The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทความทางวิชาการ ๒ แบบคือ (๑) บทความวิจัย เรียบเรียงมาจากองค์ความรู้ที่ผ่านระเบียบวิธีวิจัย และ (๒) บทความวิชาการที่เรียบเรียงมาจากการศึกษาและทัศนะของผู้เขียน บทความวิชาการควรประกอบมาจาก ๓ ส่วนคือ ส่วนเกริ่นนำ ส่วนเนื้อหา และส่วนสรุป แต่ทั้งนี้ในเนื้อหาประกอบด้วยทัศนะที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอพร้อมด้วยเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เชื่อว่าสิ่งที่ผู้เขียนเสนอมานั้นมีน้ำหนักเพียงพอต่อความน่าจะเป็น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by vilai357, 2022-05-26 00:32:21

ทัศนะว่าด้วยบทความทางวิชาการ A5

บทความทางวิชาการ ๒ แบบคือ (๑) บทความวิจัย เรียบเรียงมาจากองค์ความรู้ที่ผ่านระเบียบวิธีวิจัย และ (๒) บทความวิชาการที่เรียบเรียงมาจากการศึกษาและทัศนะของผู้เขียน บทความวิชาการควรประกอบมาจาก ๓ ส่วนคือ ส่วนเกริ่นนำ ส่วนเนื้อหา และส่วนสรุป แต่ทั้งนี้ในเนื้อหาประกอบด้วยทัศนะที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอพร้อมด้วยเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เชื่อว่าสิ่งที่ผู้เขียนเสนอมานั้นมีน้ำหนักเพียงพอต่อความน่าจะเป็น

Keywords: บทความ,พุทธศาสนศึกษา,บทความทางวิชาการ

ทศั นะว่าดว้ ยบทความวิชาการ

มนตรี เพชรนาจกั ร

ทศั นะวา่ ดว้ ยบทความทางวชิ าการ
มนตรี เพชรนาจกั ร

จดั ทาขน้ึ เพอื่ ประกอบการเสวนาทางวชิ าการเรอื่ ง
เทคนิคการประเมนิ บทความเพอื่ การตพี มิ พ์ จดั โดย
ม.มจร.



ทศั นะว่าดว้ ยบทความวิชาการ

มีขอสังเกตว่า ในสังคมวิชาการ เมื่อเราได้ยินคาว่า
“บทความวิชาการ” จะหมายถึงบทความท่ีเกี่ยวกับการเผยแพร่
ความรู้ใน ๒ เรื่องหลักคือ (๑) ความรู้ท่ีเกิดข้ึนจากการวิจัยผ่าน
ระเบียบวิธีวิจัย (๒) ความรู้ท่ีรวบรวมและ/หรือเรียบเรียงขึ้นจาก
การศึกษาและมุมมองของผู้เขียน ข้อสังเกตน้ีน่าจะสอดคล้องกับ
ประกาศ ก.พ.อ.เร่ือง หลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้
ดารงตาแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และ
ศาสตราจารย์ พ.ศ.๒๕๖๓ ได้แยก “บทความทางวิชาการ” ไว้ส่วน
หน่งึ แตกตา่ งจาก “บทความวิจัย”๑ อันมีลกั ษณะดังน้ี

งานวิจัย หมายถึง ผลการศึกษาผ่านระเบียบวิธีวิทยาการ
วิจัย...บทความวิจัย หมายถึง ประมวลสรุปกระบวนการวิจัยใน
ผลงานวิจัยเพ่ือการเผยแพร่ในสังคมวิชาการ๒ บทความทางวิชาการ

๑ ดูรายละเอียดใน ราชกิจจานุเบกษา. (๒๕๖๓). ประกาศ ก.พ.อ.
เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดารงตาแหน่ง ผู้ช่วย
ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ.๒๕๖๓. เล่ม ๑๓๗.
หนา้ ๕๒ และ หน้า ๗๖.

๒ เร่ืองเดยี วกนั . หน้า ๕๒.



หมายถึง งานวิชาการท่ีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบพร้อมด้วย
ทัศนะทางวชิ าการของผูเ้ ขียนเพ่ือตอบโจทย์ทผี่ เู้ ขียนต้องการเสนอ๓

ทัศนะว่าด้วยบทความวิชาการ จะหมายถึง บทความ
วิชาการใน ๒ แบบนี้คือ บทความวิจัย และบทความทางวิชาการ ท่ี
เราจะพบไดใ้ นวารสารทางวิชาการท่ัวไป

วิชาการคอื อะไร

ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของ “วิชาการ” ไว้ว่า
วิชาความรู้สาขาใดสาขาหนึ่งหรือหลายสาขา เช่น บทความวิชาการ
สัมมนาวิชาการ การประชุมวิชาการ๔ หากพิจารณาผ่านทัศนะของ
ราชบัณฑิต เราอาจสรุปแบบง่ายว่า วิชาการ คือ วิชาความรู้ และ
เมื่อพิจารณาผ่านมโนทัศน์ของทฤษฎีความรู้ (ญาณวิทยา) การที่
ข้อมูลต่างๆจะกลายมาเป็นความรู้ได้ก็ต่อเม่ือมีความสมเหตุสมผล
บ่งชีค้ วามจริง

ส่ิงที่น่าสังเกตคือ การพิจารณา “วิชาการ” ว่า “วิชา
ความรู้” จะมองเห็นท้ังในแง่ความหมายแบบกว้างและความหมาย

๓ เร่ืองเดียวกัน. หน้า ๗๖.
๔ ราชบัณฑติ ยสถาน. (๒๕๕๔). พจนานกุ รม ฉบับ
ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔. เขา้ ถงึ ไดใ้ น
https://dictionary.orst.go.th/. เม่ือ ๐๗ ตลุ าคม ๒๕๖๔



เฉพาะได้ ความหมายแบบกว้างคือ “อะไรก็ได้ท่ีเป็นความรู้” และ
ความหมายแบบเฉพาะคือ “แบบน้ันคือความรู้” อย่างไรก็ตาม การ
ที่ราชบัณฑิตยสถานกากับคาว่าวชิ าการไว้ด้วยคาว่า “สาขาใดสาขา
หนึ่ง” หรือ “หลายสาขา” เท่ากับบอกว่า “สาขาใดสาขาหนึ่ง” คือ
ความหมายแบบเฉพาะ และ “หลายสาขา” คือความหมายแบบ
กว้าง” แต่ก็ยังมีลักษณะเฉพาะ นั้นหมายถึง ถ้ามีความรู้บางอย่างท่ี
ไม่ได้อยู่สาขาใดเลย แสดงว่า นั่นไม่ใช่ความรู้ตามความหมายนี้
หรอื ไม่?

ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง การกาหนดช่ือสาขาวิชาสาหรับการ
เสนอขอกาหนดตาแหน่งทางวิชาการและการเทียบเคียงสาขาวชิ าท่ี
เคยกาหนดไว้แล้วมีการกาหนดสาขาของวิชาความรู้ไว้อย่าง
หลากหลายคือ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิศวกรรมศาสต ร์
สถาปัตยกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี แพทยศาสตร์และวิทยาศาสตร์
การแพทย์ การแพทย์อื่นๆ เช่น แพทย์แผนไทย ทันตแพทยศาสตร์
เภสัชชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ สหเวชศาสตร์/
เทคนิคการแพทย์ สัตวแพทยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วนศาสตร์
ส่ิงแวดล้อมศึกษา สังคมศาสตร์ บรรณารักษ์ศาสตร์ ศึกษาศาสตร์
นิติศาสตร์ การบัญชีและบริหารธุรกิจ มนุษยศาสตร์ วิจิตรศิลป์
ประยุกต์ศิลป์ พื้นที่ศึกษา และอ่ืนๆ เช่น การท่องเที่ยว การ



บริหารงานยุติธรรม สิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา เป็นต้น๕ สาขา
ของวิชาความรู้เหล่าน้ียังมีสาขาย่อยมากบ้างน้อยบ้างไม่เท่ากัน ให้
สงสัยว่า วิชาการที่หมายถึงวิชาความรู้น่าจะตีวงกว้างมากกว่าการ
ถกู จดั กลุม่ สาขาหรือไม่?

หากเราให้ความหมายคาว่า “วิชาการ” ว่า “การสร้าง
ความรู้ และ/หรือ งานเกี่ยวกับความรู้ บนฐานคิดของการแยกศัพท์
ออกจากกันเป็น (๑) “วิชา” ท่ีหมายถึง “ความรู้” และ (๒) “การ”
ท่ีหมายถึง “งาน” “การกระทา” ดังนั้น วิชาการ จะหมายถึง การ
กระทา/สร้างความรู้/งานเก่ียวกับความรู้ ไม่อยู่ในกรอบของการจัด
สาขาเพราะสามารถตีความได้ว่า อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความรู้ อัน
นั้นคือ วิชาการ จะมีความเป็นไปได้กับการมีความหมายท่ีกว้างกว่า

องคค์ วามรู้ วิธีการ

วชิ าการ

๕ ดูรายละเอยี ดใน ราชกิจจานเุ บกษา. (๒๕๖๓). การกาหนดช่ือ
สาขาวิชาสาหรบั การเสนอขอกาหนดตาแหน่งทางวชิ าการและการเทียบเคียง
สาขาวิชาท่เี คยกาหนดไว้แล้ว พ.ศ.๒๕๖๒. ตอนพิเศษ ๑๕๑ ง. ภาคผนวก



เพราะแม้จะไม่ใช่นักวิชาการ แต่เขามีวิธีการสร้างความรู้และมีองค์
ความร้จู ากการสรา้ งสมมาระยะหนงึ่ เขานา่ จะคอื สมาชิกหนงึ่ ของวง
วิชาการ และน่าจะมีความหมายที่สอดคล้องกับคาว่า “วิชาการ”
มากกว่า อันครอบคลมุ ถึงกระบวนการได้มาซง่ึ องคค์ วามรดู้ ้วย

งานทางปรัชญา สาขาหน่ึงคือ ญาณวิทยา (Epistemology)
หรือ ทฤษฎีความรู้ (Theory of knowledge) ระบุว่า เหตุผล/
เหตุผลนิยม (Rationalism) และ ประสบการณ์/ประสบการณ์นิยม
(Empiricism) คือแหล่งท่ีมาของความรู้ เคร่ืองมือท่ีสาคัญในการ
ได้มาซึ่งความรู้มีอยู่ ๒ แบบคือ นิรนัย (Deduction) และ อุปนัย
(Induction) เหตุผลนิยมจะให้ความสาคัญกับวิธีการแบบนิรนัย
ส่วนประสบการณ์นิยมจะให้ความสาคัญกับวิธีการแบบอุปนัย
เป้าหมายของท้ัง ๒ วิธีคือ ความสมเหตุสมผล/เช่อื ถือได้/ความรู้นัน้
จรงิ

หากมอง “วิชาการ” ด้วยแนวคิดแบบญาณวิทยา แสดงว่า
วิชาการต้องมีความสมเหตุสมผล/เช่ือถือได้/ความรู้นัน้ จริง โดยผ่าน
วธิ ีการแบบใดแบบหนึ่งหรือทง้ั สองแบบรว่ มกนั

วิธีการแบบนิรนัย คือการค้นหาความจริงจากส่วนรวมเพื่อ
เก็งความจริงต่อส่วนย่อย ตัวอย่างแบบง่ายเช่น ใบไม้ทุกใบมีสีเขียว
ใบมะม่วงเปน็ ใบไม้ ดังน้นั ใบมะมว่ งจึงมีสเี ขยี ว



วิธีการแบบอุปนัย คือการค้นหาความจริงจากหน่วยย่อย
เพื่อเกง็ ความจรงิ ต่อสว่ นรวม ตวั อยา่ งแบบงา่ ยเชน่ สม้ ผลที่ ๑ หวาน
ส้มผลท่ี ๒ หวาน ส้มผลที่ ๔ ก็หวาน ดังน้ัน ส้มทุกผลในตะกร้าน้ีมี
รสหวาน

ปัจจุบัน มีปรัชญาแขนงหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง
คือปรัชญาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ปรัชญาแขนงนี้มองว่า
ความรู้ไม่ตายตัวและการท่ีสิ่งนั้นจะเป็นความรู้ได้ก็ต่อเมื่อสามารถ
นาไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตจริงได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า อันใด
ปฏบิ ัตแิ ล้วเกดิ ผลที่เปน็ ประโยชนต์ ่อการทาใหช้ ีวิตดีขึ้นได้ อันนัน้ คือ
ความรู้

งานแบบเหตุผลนิยมที่ให้ความสาคัญกับวิธีการแบบนิรนัย
เราจะพบได้ง่ายจากวิชาการแบบมนุษยศาสตร์ เช่น ปรัชญา
ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น งานแบบประสบการณ์นิยมท่ี
ให้ความสาคัญกับวิธีการแบบอุปนัย เราจะพบได้ง่ายจากวิชาการ
แบบวิทยาศาสตร์ เช่น การแพทย์ เภสัชศาสตร์ เป็นต้น งานแบบ
ปฏิบัตินิยมที่ให้ความสาคัญกับผลที่ดีจากการนาไปใช้ เราจะพบได้
ง่ายจากวิชาการแบบเทคโนโลยี การพัฒนาสังคม/ชุมชน การศึกษา
แบบปฏิบตั ิ (Active learning) เปน็ ตน้



บทความวชิ าการ

บทความทางวิชาการคือ บท/จบหน่ึงของเนื้อหาวิชาการ
จริงอยู่ มีบทความจานวนหนึ่งที่ไม่ได้รบั การตอบรับอย่างเต็มปากว่า
เป็นบทความวิชาการ คือบทความท่ัวไปและบทความเชิงวิชาการ
เพราะบทความเหล่าน้ันมีเหตุผลจาเป็นสนับสนุนยังไม่เพียงพอให้
เชื่อได้ว่าจริง เช่น การหยิบกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดไม่เพียงพอส่งผล
ให้มีการคลาดเคลื่อนสูง การพิจารณาความจริงของบริบทยังไม่
เพียงพอ ไม่มีข้อมูลสนับสนุนทั้งประสบการณ์และเหตุผล เป็นต้น
ดังน้ัน บทความวิชาการจึงมีลักษณะค่อนไปทางความสมบูรณ์ของ
กระบวนการแตกต่างจากบทความทั่วไปและบทความเชิงวิชาการ

จะพบว่า ทั้งบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ
โดยท่ัวไปจะประกอบด้วย ๓ ส่วนคือ ส่วนต้น ส่วนกลาง และส่วน
ปลาย บทความวิจัยจะล้อตามรูปแบบการวิจัย ส่วนบทความ
วชิ าการแมจ้ ะใหอ้ ิสระในการเรียบเรยี ง แต่จานวนหนง่ึ ไม่ไดแ้ ตกต่าง
จากการวิจัยคือ กาหนดโจทย์ สมมติฐาน รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์
ข้อมูล และสรุปผล เพียงแต่บทความวิชาการจะมีความเป็นอัตนัยท่ี
โดดเด่น และบทความวิจัยจะล้อตามรายงานการวิจัย พอจะ
เทยี บเคียงไดด้ งั นี้



สว่ น สงั คมศาสตร์ บทความวจิ ัย บทความ
สว่ นต้น ชือ่ บทความ เอกสาร ผสมผสาน วิชาการ
บทคัดยอ่
ส่วนกลาง ความเป็นมา ช่ือบทความ ช่อื บทความ ชือ่ บทความ
วัตถุประสงค์
สมมติฐาน บทคัดย่อ บทคัดยอ่ บทคดั ยอ่
กรอบแนวคดิ
ขอบเขต ความเป็นมา ความเปน็ มา บทนา ระบุ
นิยาม
ผลที่คาดหวงั วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถุประสงค์ ความเป็นมา

ทบทวน สมมตฐิ าน สมมตฐิ าน หลกั การ
วรรณกรรม
วธิ วี ิทยาการ กรอบแนวคิด กรอบแนวคดิ และเหตผุ ล
วิจัย
วิธีวิทยาการ วิธีวิทยาการ ขอบเขต

วิจัย วิจัย วัตถุประสงค์

ขอบเขต ขอบเขต (เ ห็ นอะ ไ ร

นยิ าม นยิ าม ต้องการทา

ผลทค่ี าดหวงั ผลที่คาดหวัง อะไร ทาเพื่อ

อะไร ทา

อย่างไร และ

ค า ด ห วั ง

อะไร)

เรยี บเรียง เรียบเรียง แบบ ๑

เน้ือหา เนื้อหา ฐานคิดทาง

ตามลาดับ ตามลาดบั วชิ าการ

วตั ถปุ ระสงค/์ และมี สถานการณ์

รายละเอียด ผลการวิจัย สังคม



รวบรวม ตามลาดบั / เชิงปรมิ าณ ทัศนะของ
ข้อมูล ขอ้ เทจ็ จรงิ สนับสนนุ ผเู้ ขียน
วเิ คราะห์ ท่ัวไปเพ่ือโยง เหตุผล
ข้อมลู ไปสู่ข้อสรุป สนบั สนุน
อภิปรายผล หมายเหตุ:
งานทาง แบบที่ ๒
ปรชั ญาจะมี สถานการณ์
สสี นั ทที่ ัศนะ สังคม
ของผเู้ ขยี น ทศั นะของ
และเหตผุ ล ผเู้ ขียน
สนับสนนุ ที่ เหตผุ ล
เพยี งพอ สนับสนุน

ส่วนปลาย สรุปผล สรุปผล แบบ ๓
ปญั หา
ฐานคิดทาง
วชิ าการ
ทศั นะของ
ผเู้ ขยี น
เหตุผล
สนับสนุน
ฯลฯ

สรุป

๑๐

มีบทความทางวิชาการอีกแบบหน่ึง คือการนาส่วนใดส่วน
หนึ่งของรายงานการวิจัยมาเขียนเป็นบทความวิชาการ ในงานวิจัย
๑ เร่ืองอาจเขียนได้มากกว่า ๑ บทความ โดยการดึงมาจากการ
วิเคราะห์และอภิปรายผลบ้าง ประเด็นในการทบทวนวรรณกรรม
บา้ ง

ขอ้ สังเกตจากการพจิ ารณาบทความวิชาการ

สิ่งที่ต้องตระหนักก่อนการอ่านบทความคือ (๑) ไม่มีส่ิงใด
สมบูรณ์แบบ (๒) บทความทางวิชาการคือผลงานทางความคิดของ
ผู้เขียน (๓) ผู้เขียนจานวนหน่ึงยังเป็นผู้ใหม่และไม่ได้ชานาญในการ
เขียนตามรูปแบบท่ีกาหนดไว้ (๔) ภาษาที่หมายถึงสัญลักษณ์ในการ
ส่ือสารเป็นของเฉพาะบุคคล (๕) เราจะช่วยให้บทความน้ันมี
เสถียรภาพขึ้นได้อย่างไร (๖) ไม่จาเป็นที่ผู้เขียนบทความต้องเรียบ
เรียงงานตามทัศนะของผู้อ่านบทความเสมอไป (๗) อะไรคือตัวตน
ของผู้เขียนบทความ

อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้อ่านบทความ เราคงปฏิเสธไม่ได้ท่ี
จะให้บทความน้ันเป็นไปตามแนวทางท่ีผู้อ่านคิด และแนวทางที่
ผู้อ่านคิดก็มาจากประสบการณ์ในการอ่านบทความที่แต่ละคนมีไม่
เท่ากัน ที่จะพิจารณาต่อไปน้ีคือข้อสังเกตจากการอ่านบทความทาง
วชิ าการ

๑๑

๑. ช่อื เร่ืองบทความวชิ าการ โดยมากหากเป็นบทความเพื่อ
การเผยแพร่งานวิจัย ช่ือเรื่องของบทความวิจัยจะใช้ช่ือหัวข้อวิจัย
เป็นช่ือบทความวิจัย การขยับเป็นช่ืออ่ืนที่โฉบเฉ่ียว แม้จะเป็นสิ่งที่
กระทาได้ ภายใต้เหตุผลของผู้เขียนบทความวิจัย แต่ถ้าขยับแล้ว
ส่งผลต่อความห่างไกลภาพรวมของงานวิจัย การไม่ขยับเป็นอ่ืนจะ
ดีกว่า เพราะ (๑) หัวข้อวิจัยได้ผ่านการพิจารณาจากที่ปรึกษาวิจัย
แล้ว บางฉบับ มีการปรับเปลี่ยนจากหัวข้อท่ีตั้งไว้เป็นหัวข้อใหม่เมอ่ื
ทาวิจัยเสร็จแล้ว (๒) ตลอดเร่ืองของงานวิจัยบางฉบับ เช่น
วิทยานพิ นธ์ ผ่านการอนุมตั โิ ดยคณะกรรมการพจิ ารณาโครงรา่ งวิจัย
แล้ว (๓) หัวขอ้ วจิ ัยอมเนื้อหาของงานวิจยั ทง้ั หมดแลว้ สว่ นบทความ
ทางวิชาการที่เขียนขึ้นจากโจทย์ท่ีผู้เขียนสนใจหรือท่ีถอดจาก
บางสว่ นของงานวจิ ัย อาจปรับเปลยี่ นไดต้ ามทศั นะของผเู้ ขียน ท่พี บ
จะมี ๒ ลักษณะหลักๆคือ (๑) ชื่อบทความแบบตรงไปตรงมา (๒)
ช่ือบทความแบบโฆษณาให้น่าสนใจ อย่างการใช้คาถามเป็นช่ือ
บทความ การใช้ภาษาสัญลักษณ์แทนเนื้อความรวมและ/หรือภาษา
สัญลักษณ์อาจไม่เก่ียวกับเน้ือความรวมเลย กรณีน้ีจะพบไม่บ่อยใน
งานวิชาการ และ (๓) การนาความคิดรวบยอดมาตั้งเป็นช่ือ
บทความ/การนาขอ้ สรปุ แบบสนั้ สดุ มาเปน็ ชื่อบทความ

ข้อเสนอในการต้ังชื่อเร่ืองคือ จะทาอย่างไรให้ชื่อบทความ
กะทัดรัด และบ่งชี้ถึงเนื้อหารวมทั้งหมด แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุก

๑๒

บทความจะต้องกะทัดรัดเสมอไป ทั้งน้ี ต้องดูบริบทอื่น ๆ ประกอบ
“ความแปลกใหม่ท่ีเป่ียมสาระ” น่าจะคือคาตอบของการตั้งช่ือ
บทความวิชาการ เพราะบางคร้ังข้อความเชิงโฆษณาอาจจะคือ
จุดเริ่มต้นของความลวงโลกโดยที่ผู้เขียนไม่รู้ตัว หากจะใช้ฐานคิด
แบบพุทธมากาหนดชอื่ บทความวิชาการควรตงั้ อยบู่ นความการุณต่อ
เพื่อนมนุษย์ น่าจะคือทัศนะท่ีว่า “บ่งชี้ความจริง มีสาระ น่าสนใจ
คนอ่านชืน่ ใจ และมคี วามเหมาะสมกับบริบท”๖

๒. บทคัดย่อ เอกสารบางฉบับระบุว่า บทคัดย่อคือบทสรุป
ของเนื้อหาท้ังหมด โดยการประมวลข้อความขนาดส้ัน ในการเขียน
บทคดั ยอ่ คงไม่พ้นจากการระบุถึงท่ีมา วธิ กี ารวิจยั และข้อคน้ พบ ใน
ความเห็นของผูเ้ ขียน นอกจากทีร่ ะบมุ า บทคัดย่อ ควรทะลุไปทแี่ ก่น
ของเนื้องาน หรือแก่นมโนทัศน์ท่ีถอดมาแบบกระชับที่สุด อาจเป็น
เพียงข้อความหน่ึงบรรทัดท่ีทรงคุณค่าในการยืนยันความจริง ถ้า
ผู้เขียนสามารถทะลุผ่านข้อค้นพบไปสู่แก่นมโนทัศน์ได้ จะเป็นการ
เพม่ิ คณุ คา่ ของบทคดั ย่อท่ีมากกว่าบทสรุป บทความวจิ ยั จานวนมาก
มักเขียนบทคัดย่อคือการสรุปแบบส้ัน อย่างไรก็ตาม ส่ิงท่ีต้องไม่ลืม

๖ ม.ม. ๑๓/๙๔/๙๔ “...ยญจฺ โข ตถาคโต วาจ ชานาติ ภตู ตจฉฺ
อตฺถสญหฺ ติ สา จ ปเรส ปยิ า มนาปา ตตรฺ กาลญฺญู ตถาคโต โหติ ตสสฺ า วา
จาย พยฺ ากรณาย ต กิสสฺ เหตุ อตถฺ ิ หิ ราชกมุ าร ตถาคตสสฺ สตเฺ ตสุ
อนุกมปฺ าติ.

๑๓

ในบทคัดย่อคือข้อค้นพบตอบโจทย์หัวข้อวิจัย เช่น ศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่าง ก.ท่ีมีต่อ ข. การเขียนส่ิงท่ีพบในบทคัดย่อก็
ควรตอบว่า ก. สัมพันธ์กับ ข.อย่างไร? ส่วนบทความทางวิชาการ
ก่อนน้ันไม่มีการเขียนบทคัดย่อ เข้าใจว่า การมีบทคัดย่อน่าจะเกิด
จากการปรับให้สอดคล้องกับ รูปแบบในการลงตีพิมพ์ใน
วารสารวิชาการ ทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า บทคัดย่อของบทความ
วิชาการมีความยืดหยุ่นกว่าบทความวิจัย แต่ข้อความก็คงรักษา
สาระสาคัญที่ผู้เขียนต้องการบอกแบบสั้นและกระชับสุด อันหน่ึงท่ี
ไม่ควรขาดจากบทความวิชาการคือความเป็นตัวตนของผู้เขียนคือ
“มีความเห็นอย่างไร ทาไมจึงเห็นอย่างนั้น การเห็นอย่างนั้นมี
เหตผุ ลใดรองรบั หรอื ไม่ และแกน่ มโนทัศน์ที่สาคัญทีส่ ดุ ”

๓. เนอื้ หา ควรประกอบด้วยสว่ น ๓ ทกี่ ลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ (๑)
ส่วนต้น บอกถึงส่ิงท่ีเราจะทา ท่ีไปที่มาของสิ่งท่ีเราจะทา งานท่ีเคย
มีคนทาแล้ว งานเหล่านั้นมีจุดเด่น-ดอ้ ยอย่างไร เหตุผลที่ต้องทา ทา
อย่างไร และสิ่งที่ทามีความสาคัญท่ีโดดเด่นอย่างไร แนวโน้มของ
คุณค่าความรู้ในปัจจุบันคือตอบโจทย์สังคม โดยเฉพาะในเชิง
นโยบาย ไม่ใช่เพียงตอบสนองความต้องการอยากรู้เท่าน้ัน ความรู้
เชิงทฤษฎีอาจจะคือการหักล้างทฤษฎีเก่าและเสนอทฤษฎีใหม่ท่ี
ผู้เขียนมองว่ามีค่าของความจริงที่ก่อประโยชน์ต่อโลกได้มากกว่า
(๒) ส่วนกลาง เร่ิมจากการทบทวนวรรณกรรมทั้งบทความวิจัยและ

๑๔

บทความวิชาการ ผู้เขียนควรคัดเลือกมาเฉพาะท่ีสาคัญและโดดเดน่
อยา่ งนอ้ ยเปน็ การชี้ให้เห็นถงึ พื้นที่ความรดู้ ้านนี้ และควรเชอ่ื มโยงได้
กับผลการวิจัยและการอภิปรายผลท้ังในแง่โต้แยง้ และการสนับสนนุ
(๓) ส่วนปลายคือการสรุปและข้อเสนอแนะ โดยมากผู้เขียน
บทความจะสรุปเน้ือหาท่ีนาเสนอมาทั้งหมดด้วยข้อความกระชับ
และข้อเสนอแนะ อันเป็นข้อสังเกตท่ีน่าสนใจระหว่างศึกษาแต่ไม่ได้
ตอบวตั ถปุ ระสงคข์ องบทความ หากแต่ผอู้ า่ นสามารถนาไปศึกษาต่อ
ได้

ปัญหาที่มักจะพบคือ ทั้ง ๓ ส่วนไม่ได้เป็นเน้ือเดียวกัน
ข้อเสนอในประเด็นน้ี ผู้เขียนอาจจะต้องอ่านซ้า ๆ เพ่ือดูว่าเนื้อหา
ทั้ง ๓ ส่วนมีความเชื่อมโยง/ตอบรับกันหรือไม่ ในบางคร้ังอาจต้อง
ตดั ใจในการตดั เนอ้ื หาบางส่วนออกไป แม้วา่ เนือ้ หาบางสว่ นเหล่านั้น
ผู้เขยี นพงึ พอใจเปน็ อยา่ งย่ิงแต่อาจไม่ตอบโจทย์ต่อความสอดคล้อง

๔. การอ้างอิง เป็นสิ่งท่ีมีความสาคัญไม่น้อย ส่วนหน่ึงของ
ก า ร อ้ า ง อิ ง คื อ ก า ร เ พิ่ ม น้ า ห นั ก ค ว า ม น่ า เ ชื่ อ ถื อ ข อ ง ข้ อ ค ว า ม
นอกจากน้ัน ยังบ่งชี้ถึงความซ่ือสัตย์ของผู้เขียนบทความในการให้
ความสาคัญกับเจ้าของความรู้ เราจะเห็นการนาข้อความมาอ้างอิง
ใน ๓ แบบคอื (๑) การแปลงข้อความเป็นภาษาของผู้เขียนบทความ
(๒) การรักษาข้อความท้ังหมดท่ีนามาอ้างอิง (๓) การแปลความ
ผูเ้ ขียนบทความวิชาการบางคนอาจไม่อ้างองิ งานใด ๆ เลย แตง่ านท่ี

๑๕

ผู้เขียนคนน้ันนาเสนอมีเหตุผลจาเป็นท่ีเพียงพอ อย่างไรก็ตาม
งานวิจัยเอกสาร/การค้นคว้าเอกสาร จะหลีกการอ้างอิงงานอ่ืน ๆ
ไม่ได้ ในการอ้างอิง ผู้เขียนบทความอาจพิจารณาวิธีการแบบนีรนัย
และอุปนัยประกอบ เพราะการอ้างอิงคือการแสดงเหตุผลสนับสนุน
ทงั้ เชงิ ปฏิเสธและเห็นดว้ ย

มีบทความอีกประเภทหน่ึงที่มีปรากฏอยู่ในวารสารทาง
วิชาการคือ “การวิจารณ์หนังสือ” โดยผู้วิจารณ์จะแสดงท่าทีต่อ
หนังสือเล่มใดเล่มหน่ึง อาจเริ่มจาก ส่วนประกอบของหนังสือเล่ม
นั้น โครงเรื่อง จุดเด่นของเน้ือหา จุดด้อยของเน้ือหา ประโยชน์ของ
การวิจารณ์หนังสือ นอกจากจะช่วยให้ผู้วิจารณ์อยู่ในฐานะผู้อ่านท่ี
ไม่ใช่ตัวละครในเรื่องแล้ว ยังช่วยผู้วิจารณ์ให้มีความละเอียดในการ
อ่านมากขึ้น ความเห็นของผู้วิจารณ์คือเพชรเม็ดงามสาหรับผู้เขียน
ในการสร้างสรรคง์ านเขยี นให้สมบูรณ์ย่ิงขน้ึ การวิจารณห์ นงั สือ อาจ
ง่ายกว่าการสร้างบทความทางวิชาการ เพราะผู้วิจารณ์อยู่ในฐานะผู้
ดู แตกตา่ งจากผ้สู รา้ งทต่ี ้องให้ความสาคัญกับหลายส่วนประกอบกัน
กว่าจะเป็นงานบทความวชิ าการหนึง่ ช้นิ

๑๖

ขอ้ เสนอเพิ่มเติมในการเขยี นบทความทางวชิ าการ

๑. การวางโครงเรอ่ื งก่อนลงมือเขียน โครงเรื่องในที่นี่คือ ๓
ส่วนท่ีระบุถึง และในแต่ละส่วน ควรประกอบด้วย ๓ ส่วนเช่นกัน
คอื ส่วนนา เนอ้ื หา และสรปุ

๒. การคัดเลือกเน้ือหาท่ีสาคัญ การนาเน้ือหาอ่ืนมา
สนับสนุนให้เนื้อหาท่ีผู้เขียนต้องการระบุ ควรเป็นเน้ือหาที่เป็นปฐม
ภูมิ หากพบข้อความอ้างอิงของนาย ก. ในเล่ม ของ นาย ข. ผู้เขียน
ต้องตามไปดูเล่มที่นาย ก. เขียน เพราะข้อความท่ีนาย ข. นามา
อ้างอิง อาจเป็นข้อความท่ี นาย ข. แปลงข้อความของ นาย ก. เป็น
ภาษาของ นาย ข. แลว้

๓. ภาษาท่ีใช้ในการเขียน บทความวิชาการคือ บทความที่
สื่อสารด้วยการเขียน รูปประโยคของข้อความท่ัวไปคือ ประธาน
กิริยา กรรม ท้ังประโยคแบบส้ัน ประโยคยาว และประโยคซ้อน
ผู้เขียนอาจต้องตรวจสอบลักษณะการเขียนเหล่าน้ีเท่าท่ีจะทาได้
กรณีที่ต้องการใช้ศิลปะนอกเหนือแบบแผน ข้ึนอยู่กับวิจารณญาณ
ของผู้เขียน แต่บทความวิชาการจะให้ความสาคัญกับความ
ตรงไปตรงมาระหว่างส่ิงท่ีปรากฏและข้อความบ่งชี้ แน่นอนว่า มี
บทความวิชาการจานวนหนึ่ง จาเป็นต้องเล่ียงความตรงไปตรงมา
เพราะอาจเกิดความเสยี หายกบั ผู้เปน็ เจา้ ของข้อความท่ีผู้เขียนนามา
อ้างองิ นอกจากน้นั ผ้เู ขียนบทความวิชาการควรตดั ภาษาพูดออกไป

๑๗

ให้เหลือเพียงภาษาเขียนเท่าที่จะทาให้เป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ คงปฏิเสธ
ไม่ได้ว่า การเขียนคือทักษะเฉพาะบุคคล ถ้าทุกคนทาเหมือนกัน
ทง้ั หมด ศิลปะทางอกั ษรศาสตรก์ ็คงไมเ่ กิด

๔. การสรุปจะมีอยู่ ๒ แบบ (๑) สรุปเนื้อหา คือการทา
เนื้อหาทั้งหมดที่เรียบเรียงไปแล้วให้เหลือเพียงเนื้อหาหลักจานวน
หนึ่ง บทความวิชาการทั่วไปเราจะพบแบบน้ี (๒) สรุปความคิดรวบ
ยอด เป็นข้อสรุปเชิงมโนทัศน์ท่ีไม่ปรากฏบนเอกสารที่เรียบเรียงมา
ก่อน หากแต่เป็นข้อความรวบยอดท่ีปรากฏข้ึนบนสมองแบบ
ฉับพลัน ข้อความปรากฏนี้ งานทางปรัชญาเรียกว่า “อัชฌัติกญาณ
(intuition)” องค์ความรนู้ ้มี คี วามสาคญั โดยเฉพาะความตระหนักรู้ท่ี
เปน็ มโนธรรม

หมายเหตุ โปรดใช้วิจารณญาณและหาข้อมูลเพ่ิมเติมเพื่อให้การ
เขียนบทความวิชาการมี “ทางมวย” ของตนเองโดยไม่
ทิ้งรากฐานของความเป็นวิชาการ
มนตรี เพชรนาจักร


Click to View FlipBook Version