The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาที่จะกล่าว ไม่ใช่การค้นหาว่าอะไรคือสาเหตุของความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อ หากแต่ต้องการค้นหาว่า ถ้าคนในศาสนามองว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ดี อะไรคือสิ่งที่ดีในศาสนาที่พอจะเป็นข้อเสนอในการปัดเป่าความเจ็บปวดที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างกันได้ อย่างน้อยจะได้ยืนยันได้ว่า ความคิด ความเชื่อทางศาสนาคือวัฒนธรรมอันแสดงถึงวิถีชีวิตแห่งความดีความทางสังคมที่เกิดจากการสรรสร้างของมนุษย์ ไม่ใช่ยาเสพติดที่เป็นพิษต่อมนุษย์และสังคมของมนุษย์เอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by vilai357, 2022-02-11 13:26:41

การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม: ความคิด ความเชื่อทางศาสนา A5

เนื้อหาที่จะกล่าว ไม่ใช่การค้นหาว่าอะไรคือสาเหตุของความแตกต่างทางความคิดและความเชื่อ หากแต่ต้องการค้นหาว่า ถ้าคนในศาสนามองว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ดี อะไรคือสิ่งที่ดีในศาสนาที่พอจะเป็นข้อเสนอในการปัดเป่าความเจ็บปวดที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างกันได้ อย่างน้อยจะได้ยืนยันได้ว่า ความคิด ความเชื่อทางศาสนาคือวัฒนธรรมอันแสดงถึงวิถีชีวิตแห่งความดีความทางสังคมที่เกิดจากการสรรสร้างของมนุษย์ ไม่ใช่ยาเสพติดที่เป็นพิษต่อมนุษย์และสังคมของมนุษย์เอง

Keywords: ศาสนา,ความเชื่อ,พหุวัฒนธรรม,พหุสังคม



การอยูร่ ว่ มกัน
ในสงั คมพหุวัฒนธรรม :

ความคดิ ความเช่ือทางศาสนา

การ

มนตรี เพชรนาจกั ร



การอย่รู ่วมกันในสังคมพหวุ ฒั นธรรม :
ความคิด ความเช่ือทางศาสนา

รวบรวมและเรียบเรยี ง มนตรี เพชรนาจกั ร

ใชป้ ระกอบการเรียนประเด็น การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสงั คมพหวุ ัฒนธรรม



คานา

วัฒนธรรม ๒ แบบที่มองเห็นได้คือ (๑) วัฒนธรรมอันมีสัญลักษณ์รองรับ และ (๒)
วัฒนธรรมที่ต้องทาความเข้าใจผ่านสัญลักษณ์ คาว่าสัญลักษณ์ในที่น้ีจะคือลักษณะทางกายภาพท่ี
มนษุ ย์สามารถจะจบั ตอ้ งไดห้ รือสัมผสั ได้

สัญลักษณ์รองรับวัฒนธรรมเช่น รูปภาพ ถ้วยชาม ภาพยนตร์ หนังสือ วรรณกรรม
กฎหมายฯลฯ สัญลักษณ์เหล่าน้ีบ่งช้ีถึงพัฒนาการในการดารงชีวิตของมนุษย์ และเราอาจเข้าใจ
มนษุ ย์อย่างลึกซึ้งไดโ้ ดยผา่ นสัญลักษณ์ทีม่ นุษยส์ รา้ งข้นึ น้ี

ความคิด ความเชื่อทางศาสนา คือผลิตผลอย่างหน่ึงของมนุษย์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลิตผล
คือความคิด ความเชื่อทางศาสนาน้ันจะเกิดในห้วงเวลาท่ีต่างกัน และสัมพันธ์กับความต้องการของ
มนษุ ย์เสมอ การศึกษาศาสนาปฐมบรรพ์ จะพบวา่ ความคดิ ความเช่ือทางศาสนาเกดิ จากการทีม่ นษุ ย์
มีความรู้สึกกลัวบางอย่าง จากนั้นจึงหาทางท่ีจะจัดการกับความกลัว เบ้ืองหลังของความกลัวและ
การพยายามจดั การความกลัวคือความต้องการที่จะไมต่ ้องเจบ็ ปวดท้ังทางจิตใจและร่างกาย ระยะถัด
มา จะพบว่า ศาสนาอาจไม่ได้ถูกใช้เพื่อจัดการกับความกลวั เท่าน้นั แต่สามารถนาไปใช้ประโยชน์อื่น
ทางสังคมได้เช่น การรวมรวมคนท่ีมีรสนิยมทางศาสนาเดียวกันเพ่ือต่อต้านระบบคิดท่ีแตกต่าง การ
รวมพลังคนเพ่ือสร้างสัญลักษณ์ทางศาสนาในนามของบุญสู่สวรรค์ ท้ังท่ีผู้อยู่ในศาสนาไม่เคยเห็นส่ิง
น้ันมาก่อน ปัจจุบันมีศาสนามากกว่า ๑ ศาสนา และศาสนาเหล่านั้นยังไม่ได้ท้ิงคราบเดิม กล่าวคือ
ยังคงเป็นส่ิงตอบสนองความต้องการของมนุษย์ผู้เช่ือมั่นในศาสนา แต่ปัญหาคือ ในสังคมที่มี
วฒั นธรรมทางศาสนามากกว่า ๑ วฒั นธรรม และแตล่ ะศาสนาเสนอท่าทเี ดียวกันคือ ศาสนานี้เทา่ น้ัน
คือศาสนาที่ดีที่สุด ส่งผลต่อระบบคิดคือ ถ้าศาสนานี้ดี แสดงว่า ศาสนาที่ต่างจากศาสนาน้ีไม่ดี และ
ส่งผลไปถึง “คนท่ีอยู่ในศาสนานี้ไม่ดี” วัฒนธรรมทางศาสนาจึงกลายเป็นข้อกังขาสาหรับคนที่เฝ้า
มองการเคลอ่ื นไหวของความคดิ และความเช่ือของคนในศาสนา จานวนหนึง่ จงึ ปฏิเสธศาสนา เพราะ
เห็นว่า ศาสนาไม่ได้ดีจริง ดังจะเห็นได้จาก ความขัดแย้งทางความคิดและความเชื่อของคนที่ถือ
ศาสนาต่างกนั

ปัญหาท่ีน่าพิจารณาคือ สถานการณ์ทางศาสนาที่เกิดข้ึนในสังคม เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า
ความคิดและความเชื่อของคนท่ีอยู่ในศาสนาท่ีไม่เหมือนกันจะมีความแตกต่างกัน และส่ิงท่ีน่าพิศวง
เป็นอย่างย่ิงคือ คนท่ีอยู่ในศาสนาเดียวกันแต่มีความคิดในศาสนาเดียวกันอย่างแตกต่างกัน ท้ังท่ี
ศาสนาระบถุ งึ ความดีท่สี ุดของการดารงชีวิตตามแนวทางศาสนา

เน้ือหาทีจ่ ะกล่าวต่อไป ไม่ใชก่ ารคน้ หาวา่ อะไรคือสาเหตขุ องความแตกต่างทางความคิดและ
ความเช่ือ หากแต่ต้องการค้นหาว่า ถ้าคนในศาสนามองว่าศาสนาเป็นส่ิงท่ีดี อะไรคือส่ิงท่ีดใี นศาสนา
ทีพ่ อจะเป็นข้อเสนอในการปัดเป่าความเจ็บปวดที่เกิดจากความแตกต่างระหวา่ งกนั ได้ อย่างน้อยจะ
ได้ยืนยันได้ว่า ความคิด ความเชื่อทางศาสนาคือวัฒนธรรมอันแสดงถึงวิถีชีวิตแห่งความดีความทาง
สังคมที่เกดิ จากการสรรสรา้ งของมนษุ ย์ ไม่ใชย่ าเสพตดิ ทเี่ ป็นพิษต่อมนษุ ย์และสงั คมของมนษุ ย์เอง

มกราคม ๒๕๖๕



สารบัญ ๑

สงั คมพหวุ ฒั นธรรม ๔
ศพั ท์และความหมาย
วิถสี งั คมพหวุ ฒั นธรรม ๙

ความขดั แย้งในสังคมพหวุ ัฒนธรรม ๑๑
สถานการณ์ความขัดแย้ง ๑๙
ความขัดแย้งทางความคดิ -ความเช่ือเก่ยี วเนื่องด้วยศาสนา
สาเหตขุ องความขดั แยง้ ทางความคิด-ความเชื่อเกยี่ วเนอื่ งด้วยศาสนา ๒๐
๒๐
สนั ติวิธขี องการอยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตใิ นสงั คมพหุวฒั นธรรม ๒๒
แนวคิดดา้ นสนั ติวิธที างสงั คมเพ่ือการอยู่อยา่ งสันตใิ นสงั คมพหวุ ัฒนธรรม
แนวคิดด้านสันตวิ ธิ ที างสงั คมเพอ่ื การอยู่อย่างสันตใิ นสังคมพหวุ ฒั นธรรม ๒๘

บรรณานุกรม



การอย่รู ่วมกันในสังคมพหวุ ฒั นธรรม : ความคดิ และความเชื่อทางศาสนา

ประสบการณ์และการเรียนรู้ส่งผลเป็นรูปแบบชีวิตระดับปัจเจก เมื่อรูปแบบของแต่ละชีวิต
มารวมอยู่ในครอบครัว ชุมชน และสังคมเดียวกัน สิ่งท่ีเราจะสังเกตได้คือความแตกต่างหลากหลาย
ของชีวิตมนุษย์ในสังคม ปัญหาท่ีตามมากับความแตกต่างของรูปแบบชีวิตคือ การยอมรับไม่ได้ถึง
ความแตกต่างหลากหลายและการพยายามจัดการความแตกต่างหลากหลายให้อยู่ในรูปแบบชีวิต
เดยี วกัน โดยที่ผู้แตกต่างไมไ่ ด้ยินยอม หรือไม่มีเหตุผลเพียงพอทีจ่ ะใหผ้ ูแ้ ตกต่างเปล่ียนแปลงตนที่คุ้น
ชินไปสูค่ วามแปลกใหม่ ปญั หาท่ตี ามมาคือความขดั แยง้ จากการยอมรับไมไ่ ด้

ถ้าความขัดแย้งไม่ได้ส่งผลให้คนในครอบครัว ชุมชน และสังคมอยู่อย่างสันติ และถ้า
ความสุขสงบ (สนั ตสิ ุข) คือเป้าหมายของแต่ละคน จะมีวิธกี ารใดบา้ งหรือไม่ในการสร้างความสงบสุข
ให้เกิดขึ้นแก่ครอบครัว ชุมชน และสังคม ท่ีมีรูปแบบชีวิตมากกว่าหนึ่งรูปแบบอย่างแตกต่างและ
หลากหลาย

เน้ือหาที่จะกล่าวต่อไปน้ี จะเป็นการพิจารณาถึง การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุ
วฒั นธรรม ด้วยวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ (๑) วิเคราะห์ความหมายของคาว่า สังคมพหุวฒั นธรรม
(๒) วิเคราะห์ความขัดแย้งที่เกิดข้ึนในสังคมพหุวัฒนธรรม และ (๓) วิเคราะห์เชิงประยุกต์แนวคิด
ด้านสันติวิธีเพื่อเป็นข้อเสนอในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม คาดหวังว่า เน้ือหาท่ี
ไดน้ าเสนอนจ้ี ะเปน็ ประโยชน์ต่อความตระหนักรู้เพื่อการอยู่อยา่ งสนั ติในสังคมพหวุ ฒั นธรรม

สังคมพหวุ ฒั นธรรม

ศพั ท์และความหมาย

ชุดของคาท่ีนามาเรียงต่อกันเป็น “สังคมพหุวัฒนธรรม” เม่ือแยกคาออกจากกันจะคือ (๑)
สังคม (๒) พหุ และ (๓) วัฒนธรรม

ราชบัณฑิต๑ได้ใหค้ วามหมายว่า คาวา่ “สังคม” จะคือ (๑) [-คมมะ-] น. คนจานวนหน่ึงท่ีมี
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามระเบียบ กฎเกณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์สาคัญร่วมกัน เช่น สังคมชนบท
(ป.) (๒) น. วงการหรอื สมาคมของคนกลุ่มใดกล่มุ หนึ่ง เชน่ สังคมชาวบ้าน. (ป.). (๓) [-คมมะ-] ว. ท่ี
เก่ียวกับการพบปะสังสรรค์หรือชุมนุมชน เช่น วงสังคม งานสังคม. (ป.).คาว่า “พหุ” จะคือ ว. มาก
และ คาว่า “วัฒนธรรม” จะคือ น. ส่ิงท่ีทาความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมไทย
วัฒนธรรมในการแต่งกาย, วิถีชวี ติ ของหมคู่ ณะ เช่น วฒั นธรรมพนื้ บ้าน วฒั นธรรมชาวเขา

มติชน ได้ให้ความหมายว่า คาว่า “สังคม” น. กลุ่มคนท่ีมีวิถีชีวิตเกี่ยวเน่ืองกัน วงการหรือ
สมาคมของคนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง. ว. ท่ีเก่ียวเนื่องกับสังคม เช่น วงสังคม สาวสังคม๒. คาว่า “พหุ” ว.

๑ ราชบั ณ ฑิ ตยสถาน . พ จน านุ กรม ฉบับ ราชบั ณ ฑิ ตยสถาน พ.ศ.๒ ๕ ๕ ๔ . เข้าถึงได้จาก
https://dictionary.orst.go.th. เมอ่ื ๑๙ สงิ หาคม ๒๕๖๔.

๒ มตชิ น. (๒๕๔๗). พจนานกุ รม ฉบบั มตชิ น. กรงุ เทพฯ: มติชน. หน้า ๘๕๖



มาก, จานวนมากกว่าหน่ึง๓ คาว่า “วัฒนธรรม” น.แบบแผนการดาเนินชีวิตและขนบประเพณีของ
แตล่ ะสังคม, น. ความมีระเบยี บ, ความสวยงาม, ความเจริญ๔

ในการหาความหมายของศพั ท์ พจนานุกรมคอื ตัวแทนของแหล่งข้อมูลที่นา่ จะดีที่สุด การนา
พจนานุกรมทีอ่ ้างถงึ ๒ ฉบับนี้มาพิจารณาเพ่ือท่จี ะให้เห็นความเหมอื นและแตกตา่ งก่อนเข้าสขู่ ้อสรุป
ของศัพท์และความหมาย ระหว่างพจนานุกรมฉบับแรกคือตัวแทนของภาครัฐผู้ทาหน้าท่ีการจัด
โครงสร้างการศึกษาให้แก่สังคมท้ังประเทศ ส่วนพจนานุกรมฉบับหลังคือตัวแทนของเอกชนผู้อาจมี
ท่าทีแตกต่างจากระบบการศึกษาท่ีรัฐจัดการให้ การเลือกพิจารณาความหมายจากพจนานุกรมฉบับ
นเ้ี พราะเหน็ วา่ เป็นเอกสารอธิบายศัพทท์ ่ไี ด้รับการกล่าวถงึ ในระดับตน้ ๆ

จากการยกอ้างความหมายของศัพท์ คาว่า “สังคม” พจนานุกรมทั้ง ๒ ฉบับจะให้
ความหมายที่สอดคล้องกันในแง่ของ “ความสัมพันธ์ของคน” พจนานุกรมฉบับมติชนจะให้
ความหมายกว้างๆและยดื หยุน่ แตพ่ จนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตจะมกี รอบ ๓ อย่างคือ (๑) ความเก่ียว
เน่ืองกัน (๒) ความเกี่ยวเนื่องน้ีมีข้ึนตามระเบียบ กฎเกณฑ์ และ (๓) จะบอกว่าเป็นสังคมก็ต่อเม่ือมี
วัตถุประสงค์สาคัญร่วมกัน อีกแง่หน่ึงที่พจนานุกรมทั้ง ๒ ฉบับกล่าวถึงคือ กลุ่มคนขนาดย่อยทาง
สังคม

คาว่า “พหุ” พจนานุกรมท้ัง ๒ ฉบับใช้คาแปลเป็นความหมายคือ “มาก” แต่พจนานุกรม
ฉบบั มติชน ไขความเพิ่มเตมิ วา่ “จานวนท่มี ากกว่าหน่งึ ” น่นั คอื พหุ

คาว่า “วัฒนธรรม” พจนานุกรมท้ัง ๒ ฉบับ ใช้ชุดของข้อความต่างกัน เม่ือตัดตัวอย่างออก
จะไดด้ งั น้ี

พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรม ฉบบั มติชน

ส่ิงที่ทาความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะและ แบบแผนการดาเนนิ ชีวิตและขนบประเพณีของ

วถิ ชี ีวติ ของหมคู่ ณะ แต่ละสังคม, ความมีระเบียบ, ความสวยงาม,

ความเจรญิ

ถ้านาชุดข้อความท้ัง ๒ ฉบับมารวมกันจะได้ว่า “สิ่งที่ทาความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ
วิถีชีวิตของหมู่คณะ แบบแผนการดาเนินชีวิตและขนบประเพณีของแต่ละสังคม ความมีระเบียบ
ความสวยงาม และ ความเจริญ” แต่หากตัดข้อความท่ีมีความซ้ากันออกไป อาจได้เป็น (๑) ส่ิงท่ีทา
ความเจริญงอกงามให้แก่หมคู่ ณะ โดยรวบ ๓ กลมุ่ คาเข้าด้วยกันคือ ส่ิงทท่ี าความเจริญงอกงามใหแ้ ก่
หมู่คณะ ความสวยงาม และความเจริญ จริงอยู่ คาว่า “ความสวยงาม” จะมีความหมายต่างจาก
“ความเจริญงอกงาม” แต่โดยเนอื้ หาสาระ มีความเป็นไปได้เสมอกับ “ความเจริญงอกงามคือความ
สวยงาม” (๒) หากชุดข้อความว่า “วิถีชีวิตของหมู่คณะ” มีค่าความหมายเท่ากับ “แบบแผนการ
ดาเนินชีวิตและขนบประเพณี” จะได้เป็น “วิถี/แบบแผนการดาเนินชีวิตของหมู่คณะ” ปัญหาที่
ตามมาคือ “ขนบประเพณีคืออะไร?” เมื่อค้นจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต ขนบ หมายถึง

๓ มติชน. เรื่องเดียวกัน. หนา้ ๖๑๖
๔ มตชิ น. เรอ่ื งเดยี วกัน. หนา้ ๘๐๑



แบบอย่าง แผน ระเบียบ๕ ประเพณี หมายถึง สิ่งท่ีนิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนเป็นแบบ
แผน...๖ขนบประเพณี หมายถึง จารีตประเพณีท่ีวางเป็นระเบียบแบบแผนไว้แล้ว๗ และ จารีต
ประเพณี หมายถึง ประเพณีที่นิยมและประพฤติกันสืบมา ถ้าฝ่าฝืนถือว่าเป็นผิดเป็นชั่ว.๘ ดังน้ัน คา
ว่า “ขนบ” จึงมีความซ้าซ้อนกับคาว่า “แบบแผน” และ ถ้าคาว่า “ขนบประเพณี” มีความหมาย
เท่ากับคาว่า “จารีตประเพณี” ขนบประเพณีจะมีลักษณะที่คนในสังคมให้ค่า การสืบสาน และหาก
ทาตามและไม่ทาตาม จะส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ในแง่น้ี ขนบประเพณี แม้จะคือ “แบบแผนการ
ดาเนินชีวิต” เหมือนกัน แต่ท่ีแตกต่างคือ แบบแผนน้ีควร/ต้องประพฤติตามจึงจะได้รับความช่ืนชม
หากไม่ประพฤติตามจะมีโทษ อย่างน้อยคือ การไม่รับเข้ากลุ่ม/คนนอกกลุ่ม ดังนั้น หาก “แบบ
แผนการดาเนินชีวิต” ถูกกากับด้วย“ขนบประเพณี” คาว่า “แบบแผนการดาเนินชีวติ ” จะมีผลทาง
สังคม และดังน้ัน คาว่า “วิถี/แบบแผนการดาเนินชีวิตของหมู่คณะ” จะอยู่ในกรอบของ “ต้อง
กระทา” หรือ “ควรกระทา” จากการวิเคราะห์น้ี คาว่า “วัฒนธรรม” จะคือ “ส่ิงที่ทาความเจริญ
งอกงามใหแ้ กห่ ม่คู ณะและวถิ /ี แบบแผนการดาเนนิ ชีวติ ของหมู่คณะ” อันมีลักษณะบังคบั ใหก้ ระทา

อีกข้อความหน่ึงท่ีควรพิจารณาคือ “...หมู่คณะ” ที่พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตระบุถึง
และ “...แต่ละสังคม” ทพ่ี จนานุกรม ฉบับมติชนระบุถึง ทาให้มองเห็นความเป็นสังคมใน ๒ แบบคือ
(๑) กลุ่มคนขนาดย่อย (๒) สังคมขนาดใหญ่ สอดคล้องกับ “กลุ่มทางสังคม (Social Group)” ใน
ทฤษฎีทางสังคมวิทยา ท่ีแบ่งออกเป็น ๒ คือ กลุ่มที่มีความสัมพันธ์แนบแน่น สืบสานยาวนาน มี
ลักษณะความเป็นกลุ่ม/คณะชัดเจน เรียกกลุ่มน้ีว่า กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Groups) และกลุ่มที่มี
ความสัมพันธ์แบบหลวมๆ เรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Groups) นอกจากนั้น อาจ
จัดเป็นกลุ่มใน (In-groups) – กลุ่มนอก (Out-groups) อันมีลักษณะ “พวกเรา” และ “พวกเขา”
ซง่ึ ร่วมอยใู่ นคาว่า “สงั คม” ทฤษฎีการจัดกลมุ่ น้ี ผู้สนใจสามารถศึกษาไดจ้ ากศาสตร์สงั คมวิทยา

ขอกล่าวย้อนไปถึงความหมายของ “วัฒนธรรม” จากพจนานุกรมทั้ง ๒ ฉบับ ดูเหมือนว่า
ความหมายที่พจนานุกรมให้ไว้นั้นมีที่มาจาก ๒ แหล่งคือ แหล่งแรก ความหมายที่ถอดออกจากคา
แปล เพราะเมื่อแยกคาว่า “วัฒนธรรม” ออกเป็น ๒ คาคือ (๑) วัฒนะ แปลว่า ความเจริญ ความ
งอกงาม และ (๒) ธรรม จะคอื คุณความดี, กฎเกณฑ,์ ความถกู ต้อง, ส่ิง, หลกั ประพฤตปิ ฏิบตั ิ๙ รวม
แปลว่า ส่ิงที่เจริญงอกงาม หลักเกณฑ์ที่เจริญงอกงาม ความถูกต้องดีงาม หลักประพฤติปฏิบัติท่ีดี
งาม และแหล่งที่สอง ความหมายเชิงสาระ/คาอธิบาย (อรรถ) เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์วิทยา โดย
พิจารณาถึงวิถีการดารงชีวิตของกลุ่มคนท่ีพยายามรักษาบางรูปแบบชีวิตไว้เพราะคิดว่าเป็นสิ่งดีงาม
เชน่ ศาสนา ความเชอื่ ศิลปะ เป็นตน้

เมื่อวิเคราะห์ความหมายของ สังคม + พหุ + วัฒนธรรม จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต
สถาน และ พจนานุกรม ฉบับมติชน สงั คมพหุวัฒนธรรม หมายถึง สิ่งท่ีทาความเจริญงอกงามให้แก่

๕ ราชบั ณ ฑิ ตยสถาน . พ จน านุ กรม ฉบับ ราชบั ณ ฑิ ตยสถาน พ.ศ.๒ ๕ ๕ ๔ . เข้าถึงได้จาก
https://dictionary.orst.go.th. เมอื่ ๑๙ สงิ หาคม ๒๕๖๔.

๖ ราชบัณฑิตยสถาน. เรอ่ื งเดยี วกัน.
๗ ราชบัณฑิตยสถาน. เร่อื งเดียวกนั .
๘ ราชบณั ฑิตยสถาน. เร่ืองเดยี วกนั .
๙ ดูรายละเอียดใน ราชบณั ฑิตยสถาน. เรอ่ื งเดียวกัน.



หมู่คณะและวิถี/แบบแผนการดาเนินชีวิตของหมู่คณะที่มีมากกว่าหนึ่งแบบในสังคม และ อาจย่อให้
ส้ันด้วยภาษาท่ัวไปว่า “วิถีชีวิตท่ีหลากหลายในสังคม (วิถีสังคมพหุวัฒนธรรม)” หรือ “สังคมท่ีมี
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม”

วิถสี งั คมพหุวฒั นธรรม

การพิจารณาความแตกต่างหลากหลายในสังคมพหุลักษณ์ นักวิชาการมักพิจารณาใน ๓
เรอื่ งหลักๆคือ ชาตพิ นั ธ์ุ อตั ลักษณ์ และวัฒนธรรม การหาความหมายของ ๓ เร่ืองหลักเหลา่ น้ี มักจะ
แยกกันไม่ออกแบบเด็ดขาด อย่างคาว่า “ชาติพันธ์ุ” หากแยกศัพท์ออกจากกันจะคือ ชาติ แปลว่า
การเกิด เหล่ากอ เทือกเถา + พันธ์ุ แปลว่า พวกพ้อง เหล่ากอ คารวมง่ายๆ อาจแปลว่า
“เทือกเถาเหลา่ กอ” คารวมนี้ เปน็ คารวมเชิงสัญลักษณ์ คาวา่ “เทือกเถา” เป็นภาพของกลุม่ ไม้เล้อื ย
ที่มีการรึงรัดกันเหนียวแน่น สัญลักษณ์น้ีช้ีชวนไปถึง กลุ่มคนที่มีความผูกพันกันด้วยสายใยบาง
อย่างเช่น ลักษณะทางภาษา ความเช่ือ ฯลฯ ส่วนคาว่า “เหล่ากอ” เป็นภาพของต้นไม้ชนิดเดียวกัน
รวมกันเปน็ กอ หรือกลุ่มกอ้ นชนิดเดียวกัน สัญลักษณ์น้ีชี้ชวนไปถึง กลุ่มคนที่มีลักษณะแบบเดียวกัน
กลุ่มก่อนเดียวกัน ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ระบุความหมายของ “เทือกเถาเหล่ากอ”ว่า
เชื้อสายวงตระกูลท่ีสืบเน่ืองกันมา๑ งานทางช๐าติพันธ์ุวิทยาเห็นว่า กลุ่มชาติพันธ์ุคือกลุ่มคนท่ีมี
ลกั ษณะวฒั นธรรมเหมือนกัน มีการสืบเช้ือสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน๑ จึงมีความส๑อดคล้องกับ
ความหมายที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตระบุไว้ คือ “ความเปน็ เช้อื สายหรือตระกูลเดียวกนั ” คาว่า
“ชาติพันธุ์” แปลมาจากศัพท์ภาษาอังกฤษคือ “ethnos” ส่วนคาว่า “อัตลักษณ์” มากจาก อัต
(อัตตะ) แปลว่า ตัวตน/ตน + ลักษณ์ แปลว่า สมบัติเฉพาะตัว โดยความหมาย รวมจะคือ
“ลักษณะเฉพาะตน” หรือ “ความเป็นตัวตนที่มีลักษณะเฉพาะ” งานทางสังคมวิทยาได้นา
ความหมายของศัพท์ท่ีบ่งช้ีถึงความเป็นบุคคลของคน ไปสู่ระบบคุณค่าทางสังคมอย่าง บทบาททาง
สังคม/บทบาทท่สี ังคมคาดหวังจากบคุ คล ลักษณะเฉพาะทางภาษา เป็นต้น และขยายไปสู่ความเป็น
กลุ่ม เช่น อัตลกั ษณ์ของชนเผ่า อัตลักษณ์ของผู้นับถือศาสนา ก. อัตลักษณ์ของชาวเล เป็นต้น คาว่า
อัตลักษณ์ แปลมาจากภาษาอังกฤษคือ “identity” ที่เป็นลักษณะเฉพาะตนจะคือ “personal
identity” ในแง่สังคมจะคือ “social identity” ดังนั้น คาว่า “ชาติพันธ์ุ” และ “อัตลักษณ์” ท่ี
กล่าวถึงน้ี เราจะเห็นถึง “การแสดงออก” ท่ีบง่ ชี้ว่าเป็นใคร และ/หรือ วถิ ีชีวิตของคน/กลุ่มคน อันมี
ความหมายเกี่ยวพันธ์กับ “วัฒนธรรม” ท่ีหมายถึง วิถีชีวิต อย่างไรก็ตาม หากเราจะแยกให้เด็ดขาด
เราอาจต้องนิยาม เช่น ชาติพันธุ์ หมายถึง กลุ่มบุคคลที่เชื่อว่าเกิดจากเผ่าพันธ์ุ/ตระกูลเดียวกัน อัต
ลักษณ์ หมายถึง ลักษณะแห่งตัวตนของบุคคล/กลุ่มคนนั้นๆ และ วัฒนธรรม หมายถึง วิถีชีวิตของ
กลุ่มคนท่ปี รากฏใหร้ ับรอู้ ยู่

๑ ราชบณั ฑติ ย๐สถาน. เรอ่ื งเดยี วกนั .
๑ ดรู ายละเอยี ๑ดใน มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชนฯ. ความหมายของชาตพิ ันธุ์. เข้าถงึ ได้
ใ น https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=2 3 &chap=5 &page=t2 3 -5 -
infodetail01.html เมอ่ื ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔



การพจิ ารณาในขอ้ ย่อยน้ี จะพิจารณาใน ๒ เรื่องคอื ความคิด -ความเชอื่ และวถิ ปี ฏิบตั ิ เหตุ
ท่ีต้องพิจารณาใน ๒ เรื่องนี้เพราะ การดารงชีวติ ของมนุษย์ในสงั คมท่ีเรียกว่าวิถีสังคมน้ัน มีท่ีมาจาก
ความคิด-ความเช่ือ ส่วนวิถีการปฏบิ ัตคิ ือภาคแสดงของความคดิ -ความเช่อื ท่ีจะสามารถจะวเิ คราะห์
ไดว้ า่ ทา่ ทใี นการแสดงออกแบบน้ันมาจากความคดิ -ความเชื่อแบบใด

๑. ความคดิ – ความเชือ่
งานทางวัฒนธรรมศกึ ษาในอดีต จะจัด “ความคิด-ความเชือ่ ” อยูใ่ นกลุ่ม “วัฒนธรรมท่ีไม่ใช่
วตั ถ”ุ ประกอบดว้ ย
(๑) ความคิด-ความเช่ือทางศีลธรรม มีความเกี่ยวข้องกับมิติจิตใจเป็นสาคัญ แหล่งที่มาของ
วัฒนธรรมแบบน้คี ือ ศาสนา ศัพท์เฉพาะท่ีใชค้ ือ “คติธรรม”
กรณีศึกษา ความคิด-ความเช่ือทางศีลธรรม บุคคลสามารถพิจารณาได้ผ่านคาพูด ข้อเขียน
ภาพวาด เพลง ดนตรี นาฏศิลป์ ประติมากรรม เรื่องเล่า นิยาย ภาพยนตร์ อาหารฯลฯ อย่าง
ภาพยนตร์อิหร่านเรื่องกุหลาบแช่แข็ง (The Frozen Rose) จานวนหนึ่งของแนวคิด เป็นการแสดง
ถึงวิถีของมุสลิมที่มีชีวิตผูกพนั กับพระเจ้า (God) ชดุ ภาพวาดต่าง ๆ ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ท่ีมีการ
ผสานรวมต่างวัฒนธรรมและซ่อนซับคติแบบพุทธศาสนาไว้๑ เพลงพระ๒เจ้ารักฉันทุกวัน บ่งชี้ถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าที่งดงามและมนษุ ยท์ ่ีรกั พระองค์ ทานองเพลงแบบฟังสบายๆ บ่งชี้กลิ่น
ไอของความเชอ่ื ในศาสนาคริสต์ทชี่ ูเรือ่ งความรักเป็นตัวหลักสาคญั ของการดารงชีวิต พธิ ีกรรมโนราห์
โรงครูในจังหวัดพัทลุง-สงขลา ท่ีแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างลูกหลานและบรรพบุรุษท่ีเสียชีวิตไป
แล้วผ่านพิธีกรรมโนราห์ ปราสาทนครนครธมในกัมพูชา บุโรพุทโธในอินโดนีเซีย ทัชมาฮาล ใน
อนิ เดยี เป็นต้น
(๒) ความคิด-ความเชื่อทางกฎ ระเบียบ กติกา สัญญา อนุสัญญา ขนบธรรมเนียม จารีต
ประเพณีฯลฯ อันมีลักษณะให้กระทาตาม หากไม่กระทาจะมีความผิด อย่างน้อยคือการถูกเพ่งเล็ง
จากสังคมด้วยท่าทีไม่เป็นท่ีน่าพอใจ แหล่งที่มาที่สาคัญของวัฒนธรรมแบบน้ีจะคือ รูปแบบการ
ดารงชีวิต และวิจารญาณของมนุษย์ในสังคมนั้นเพ่ือการแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นในระยะเวลาน้ัน ๆ ศัพท์
เฉพาะที่ใช้คอื “เนติธรรม”
กรณีศึกษา บุคคลสามารถพิจารณาผ่านกฎหมายบ้านเมือง อย่างรัฐธรรมนูญ กฎหมาย
ปกครอง กฎหมายอาญา ข้อบังคับ สัญญาระหว่างบุคคลและองค์กร ข้อบังคับในหน่วยงาน
จรรยาบรรณวชิ าชีพ แนวปฏิบัตใิ นหมู่บ้าน เปน็ ตน้
(๓) ความคิด-ความเช่ือเก่ียวกับความสัมพันธ์ทางสังคม/ส่ิงที่ควรปฏิบัติต่อกันทางสังคม
แหล่งที่มาที่สาคัญของวัฒนธรรมแบบนี้คือ ค่านิยม/ความโน้มเอียงทางสังคมที่ส่งผลต่อการตัดสนิ ใจ
ว่าควรหรือไม่ควรต่อการแสดงออกต่อสังคม กลุ่มข้อมูลชุดน้ีคือ “มารยาท” ศัพท์เฉพาะที่ใช้คือ
“สหธรรม”
กรณีศึกษา บุคคลสามารถพจิ ารณาผา่ นท่าทีทม่ี ีต่อสังคม เช่น มารยาทในการใช้โทรศัพท์ใน
ห้องประชุม มารยาทในการขับรถบนถนนสาธารณะ มารยาทในการอยู่ในห้องเรียน/ห้องสัมมนา
มารยาทในการพบปะบุคคลที่ไม่เคยรจู้ ักมากอ่ น เปน็ ตน้

๑ ดูรายละเอยี ๒ดใน ลกั ษณ์ คณุ สมบัติ. (๒๕๕๔). มารผจญในงานจิตรกรรมของถวัลย์ ดัชนี ใน Veridian
E – Journalฯ. ปีท่ี ๔ ฉบบั ท่ี ๒. นครปฐม: มหาวิทยาลยั ศิลปากร. หน้า ๖๓-๘๐.



วัฒนธรรมท่ีไม่ใช่วัตถุ (นามธรรม) นี้ จะมองเห็นได้ผ่านวัฒนธรรมท่ีเป็นวัตถุ ท้ังในรูปของ
วัฒนธรรมทเ่ี ป็นมรดก (Heritage culture) วัฒนธรรมวิถชี ีวติ (Living culture) และ วฒั นธรรมเชิง
สร้างสรรค์ (Creative culture) และเมื่อศึกษาในเชิงลึก เราจะพบการเคลื่อนย้ายทางวัฒนธรรม
ที่มาควบคกู่ ับการเคลื่อนย้ายหรอื การเปลยี่ นแปลงทางสังคม

Heritage culture Living culture Creative culture

ความคดิ -ความเช่ือเดิม รปู แบบการดารงชวี ิต การประยุกต์ใหส้ อดคลอ้ ง
(lifestyle) (transformation)
(traditional concept-belief)

Social movement

วฒั นธรรมทางความคิด-ความเชื่อนี้ จะมีลักษณะที่แตกต่างกันตามบรบิ ทและฐานความคิด-
ความเชื่อ และมีการผสมผสานกันในกรณีท่ียอมรับร่วมกันว่าสามารถกระทาร่วมกันได้ อย่าง
วัฒนธรรมทางความคิด-ความเช่ือทางศีลธรรมเร่ือง “การให้” วัฒนธรรมแบบพุทธจะสอดคล้องกับ
“ทาน” วัฒนธรรมแบบอิสลามจะสอดคล้องกับ “ซะกาต” วัฒนธรรมแบบคริสต์จะตั้งอยู่บนความมี
น้าใจ/รัก โดยมีเป้าหมายหลักร่วมกันคือ การช่วยเหลือคนขัดสน/เดือดร้อน ส่วนรายละเอียดของ
การให้จะขึ้นอยู่กับการอธิบาย/ตีความของผู้มีบทบทในการกาหนดท่าทีทางศาสนา ท่าทีท่ีควร
กระทาระหว่างกันทางสังคมก็เช่นกัน อย่างการแสดงไมตรีต่อกัน บางพ้ืนท่ีจะใช้เสียงเป็นสัญลักษณ์
บางพ้นื ทจี่ ะใช้การจับมือเป็นสญั ลักษณ์ บางพนื้ ทจ่ี ะใชก้ ารกอดเป็นสญั ลักษณ์ หากใครไมท่ าจะถอื ว่า
ไมตรีไม่อาจต่อให้เชื่อมกันได้ จึงข้ึนอยู่กับการยอมรับร่วมกันว่าสัญลักษณ์ใดควรแทนความรู้สึกใด
ส่ิงแสดงท่ีมีอยากแตกต่างหลากหลายเหล่านี้คือตัวบ่งช้ีความมีอยู่ของความคิดและความเช่ือที่
แตกต่างและหลากหลาย

๒. วถิ ีปฏบิ ตั ิ
วิธีป ฏิบัติหรือวิถีการดารงชีวิตของแต่ละคน/กลุ่มคนในสังคม จะมีลักษณ ะเฉพาะตนท่ี
แตกต่างกันไป อย่างถ้าเรานากฎหมายมาเป็นเส้นกลางและแยกมนษุ ย์ออกเป็น ๒ กลุ่มคือ (๑) กลุ่ม
ผู้ยดึ มั่นในบรรทัดฐานของกฎหมาย และ (๒) กล่มุ ผู้ใช้ชีวติ นอกบรรทดั ฐานกฎหมาย คนทง้ั ๒ กลมุ่ น้ี
จะมีรูปแบบการดารงชีวิตท่ีแตกต่างกัน นาย ก. อยู่ในกลุ่มผู้ยึดม่ันในบรรทัดฐานของกฎหมาย จะมี
ท่าทีต่อไฟเหลืองตรงส่ีแยกแตกต่างจาก นาย ฮ. ท่ีอยู่ในกลุ่มผู้ใช้ชีวิตนอกบรรทัดฐานของกฎหมาย
นาย ก.จะค่อยๆชะลอความเร็วของรถลงเพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ถนนสาธารณะร่วมกันในเส้นทางอ่ืน
ได้ขับรถผ่านไป ขณะท่ีนาย ฮ.จะรีบเพ่ิมความเร็วของรถเพ่ือไปให้พ้นแยกโดยเร็ว แม้จะต้องฝ่า
สัญญาณไฟแดงเพียงเสย้ี วนาทีก็กระทาได้ และที่ความตระหนักต่อกฎหมายอ่อนด้อยกวา่ น้นั คอื การ
ไม่สนใจว่ามีกฎหมายใดในสังคมน้ี นอกจาก “ตัวฉัน” ที่อยากทาอะไรก็ได้ ที่ยกตัวอย่างนี้เป็นระดับ
ปฏิบัติการตามกฎหมาย ส่วนระดับพิจารณาความกฎหมาย เราจะพบท่าทีในการแสดงความเห็นท่ี



แตกต่างกันในการตีความกฎหมายหัวข้อเดียวกัน คาท่ีนามาเป็นเป้าหมายของการตีความคือ “ผิด
หรือไม่ผิด” เช่น การปฏิบัติหน้าที่ในการสอบสวนผู้ต้องสงสัยแล้วส่งผลให้ผู้ต้องสงสัยเสียชีวิต ผิด
หรอื ไม?่ เปน็ ต้น ทกี่ ล่าวมาน้ีเพ่อื จะให้เหน็ วถิ ีปฏิบัติท่มี ีอย่างแตกตา่ งกนั ในสงั คม

ประเด็นทางวัฒนธรรมท่ีพอจะมองได้ง่ายมากที่สุดคือ ประเด็นวัฒนธรรมศาสนา หากแยก
คนออกเป็น ๒ กลุ่มเหมือนข้างต้นคือ (๑) กลุ่มผู้รับศาสนา และ (๒) กลุ่มผู้ไม่รับศาสนา จะพบว่า
คน ๒ กลุ่มนี้จะมีการปฏิบัติที่แตกต่างกัน อย่างน้อยคือ นาย ข. ผู้รับศาสนาจะปฏิบัติตามหลักการ
ทางศาสนา ส่วน นาย อ.ผู้ปฏิเสธศาสนา จะไมป่ ฏิบตั ติ ามหลกั การทศ่ี าสนาระบไุ ว้

สาหรับกลุ่มผู้รับศาสนาท่ีแตกต่างกันจะมีวัฒนธรรมในการดารงชีวิตทางศาสนาท่ีแตกต่าง
กนั และจะเหมือนกันกต็ อ่ เมอ่ื ผมู้ ีบทบาทในการกาหนดท่าทีทางศาสนา ตคี วามให้เหมือนกัน

ศาสนาโดยชื่อและยังมีผู้การยอมรับมีมากกว่า ๑๐ ศาสนา เช่น ศาสนายูดา ศาสนา
พรหมณ-์ ฮินดู ศาสนาพทุ ธ ศาสนาขงจ้ือ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาสิกข์ ศาสนาบาไฮ เป็น
ต้น ในประเทศไทย มีศาสนาที่มีบทบาททางสังคมโดดเด่นหลักๆ ประกอบด้วย ศาสนาพราหมณ์-
ฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาสิกข์ ศาสนาบาไฮ และหากการนับถือ
วิญญาณบรรพบุรุษจะคือการนับถือศาสนา จะพบว่าจานวนมากโดยท่ัวไปของคนในพ้ืนท่ีประเทศ
ไทย นับถือวญิ ญาณบรรพบุรุษ และวญิ ญาณประจาธรรมชาติ

วิถีปฏิบัติของคนมีศาสนา ดูได้ไม่ยากต้ังแต่เกิดจนกระท่ังตายจะมีรูปแบบท่ีระบุได้ว่าอยู่ใน
กลมุ่ หรอื พนื้ ฐานความคิดแบบศาสนาใด ขอยกตวั อยา่ งดังต่อไปนี้

ตัวอย่าง ก. ส้มพูดกับแตงโมว่า “ในปีหน่งึ ๆ ฉนั นมาซไมต่ า่ จาก ๑,๘๐๐ คร้งั ”
ตวั อย่าง ข. แตงโมบอกสม้ ว่า “ฉันไม่ได้นมาซเลย แต่ฉันก็ไม่เคยท่ีจะไม่รักในพระองค์
ในวันทีฉ่ ันรับศลี มหาสนทิ ฉนั รูส้ ึกดมี าก ๆ และอม่ิ ใจมาก ๆ”
ตัวอยา่ ง ค. บุง้ นง่ั อยู่ในวงพดู คุยนน้ั เหมอื นกนั จึงกล่าวว่า “สาหรับฉันนะ ฉนั ต้ังใจทา
หน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อถึงวัยหนึ่งฉันแก่ตัวลง ฉันจะสละทุกอย่างและไปหาที่ ๆ สงบ บาเพ็ญจิตเพ่ือ
เข้าถงึ พรหมให้ได้
ตวั อยา่ ง ง. เข็ม “ดีใจกับเพ่ือนๆด้วยกับสัจจะท่ีให้ไว้กับตนเองและการกระทาท่ี
เช่อื มั่นวา่ ดี สาหรับฉนั ฉันภาคภูมิใจทแี่ มใ่ หฉ้ ันยึดมั่นในศีล ๕ ตงั้ แตเ่ ดก็ ”
ตวั อยา่ ง จ. ระหว่างท่ี ๔ คนกาลังน่ังล้อมวงแลกเปล่ียนเรียนรู้กันอยู่อย่างเพลิดเพลิน
นั้น “สวัสดีครับ อืม...สานักงานอธิการไปทางไหนนะครับ” พรอ้ มกับไมตรีที่ฉายออกทางรอยยมิ้ ของ
ชายหนุ่มคนหน่งึ ผู้โพกศีรษะ เหน็บกรซิ สวมกาไลโลหะ และกาลงั เดนิ มา

ตวั อย่าง ก. จะเห็นไดจ้ ากพ้ืนฐานทางศาสนาว่าดว้ ยเรอื่ งหลกั ปฏิบัติในศาสนาอิสลามคือการ
นมาซ ๕ เวลา/วัน ตวั อย่าง ข. มาจากพิธรี ับศีลมหาสนทิ ท่ีมอี ยู่ในศาสนาคริสต์ ตวั อย่าง ค. มแี นวคิด
เรื่องการบรรลุพรหม และการสละการครองเรือนในวัยสุดท้าย ที่เป็นแนวคิดในศาสนาพราหมณ์ -
ฮินดูว่าด้วยเรื่องอาศรม ตัวอย่าง ง. ศีล ๕ คือพ้ืนฐานชีวิตผู้ครองเรือนในศาสนาพุทธ และตัวอย่าง
จ. คือสัญลักษณป์ ระจากายของผ้นู ับถือศาสนาสิกข์

วิถีปฏิบัติที่ศาสนิกชนแสดงออกต่อสังคมคือความเป็นตัวตนของคนๆนั้นท่ีเราจะสังเกตได้
กรณีไมล่ ะทง้ิ แนวทางทางศาสนาเลย จะคอื ผ้มู ีความเคร่งครัดในศาสนา กรณีไม่ค่อยใส่ใจต่อแนวทาง



ทางศาสนาท่ีตนมีชีวิตอยู่จะคือผู้มีความอ่อนด้อยต่อความเคร่งครัดทางศาสนา ดังนั้น วิถีการปฏิบัติ
จึงเป็นตัวบง่ ชี้พ้ืนฐานความคดิ -ความเชอ่ื ของบุคคล ทีม่ อี ยา่ งแตกต่างหลากหลาย

นอกจากวัฒนธรรมทางศาสนา ยังมีวัฒนธรรมอ่ืนอีกท่ีสังเกตไดถ้ ึงพื้นเพของบุคคลและบ่งช้ี
ถึงอตั ลกั ษณ์ของพ้นื ที่ เช่น วฒั นธรรมทางภาษา สาเนียงการพดู ภาษาไทยของคนพน้ื เพจังหวัดชุมพร
จะแตกต่างจากคนพื้นเพจังหวัดสงขลา สาเนียงของคนพื้นเพจังหวัดขอนแก่น จะแตกต่างจาก
สาเนียงของคนพื้นเพจังหวัดนครราชสีมา วัฒนธรรมอาหาร คนภาคใต้จะกินอาหารรสชาติจัดจ้าน
กว่าคนภาคกลาง และจะมีอาหารรสเผ็ด มีผักเป็นเคร่ืองเคียงในการกินอาหาร กรมส่งเสริม
วัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ต้ังข้อสังเกตว่า บนพ้ืนที่ที่เรียกว่าประเทศไทยน้ัน วิถีของคนแต่ละ
ภาคแตกต่างกัน คนภาคเหนือจะมีลักษณะออกไปทางละเมียดละไม มีความเรยี บร้อยละมุนละม่อม
ภาษาและท่าทางค่อนไปทางออ่ นหวาน วัฒนธรรมทางความเชือ่ จะมอี ยู่ ๒ แหลง่ ใหญๆ่ คือวัฒนธรรม
แบบ พุ ท ธและวัฒ น ธรรมการนับ ถือผี จะมีวิถีการดารงชีวิตใกล้เคียงกับ ภ าคอีสาน /
ตะวันออกเฉียงเหนือ ทผ่ี ู้คนมีความเปน็ อยู่แบบเรียบง่าย มนี ้าใจ ขยัน อดทน ส่วนภาคกลาง ในอดีต
ผู้คนจะสัมพันธ์กับอาชีพเกษตรกรรม วัฒนธรรมทางศาสนาท่ีสาคัญจะคือวัฒนธรรมแบบพุทธ แต่
ยังคงนับถือวิญญาณประจาธรรมชาติเช่น แม่โพสพ ส่วนภาคใต้ จะมีวัฒนธรรมแบบหลากหลาย
วัฒนธรรมทางศาสนาที่โดดเด่นคือวัฒนธรรมแบบพุทธ อิสลาม และการนับถือวิญญาณบรรพบุรุษ
ดา้ นชาตพิ ันธ์จุ ะมีทั้งชาติพนั ธุ์ทม่ี ากับศาสนา ชาวจีน มลายู (ยะหยา) และชาวเล จึงมลี ักษณะไปทาง
ความแตกต่าง หลากหลายท้ังความเช่ือ ศาสนา ชาติพันธุ์๑ ชัยวุฒิ พิ๓ยะกูล ตั้งข้อสังเกตว่า
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ จะมีเน้ือหาไปทางความศักดิ์สิทธิ์ เวทมนต์ คาถาอาคม คุณไสย ภูตผี
ปีศาจ เทวดาอารักษ์ เสนียดจัญไร โรคภัยไข้เจ็บและสิ่งเหนือธรรมชาติ๑ สุทธิพงษ์ ๔พงศ์ไพบูลย์ ตั้ง
ข้อสังเกตว่า จารีตนิยมท่ีปรากฏผ่านวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ (อดีต) ส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลมา
จากวัฒนธรรมฮนิ ดู...๒ ทางคือ ทางแรก ภาคใตแ้ ละบรเิ วณใกล้เคยี งคือ ชาวา-มลายู บาหลี สมุ าตรา
และ ทางที่ ๒ คือ ภาคกลางของประเทศท่ีแพร่มาจากพม่า เขมร จาม จีน๑ อย่างไรก็ต๕าม เมื่อ
สงั เกตวิถีการดาเนนิ ชีวิตในพื้นทปี่ ระเทศไทยปัจจุบนั จะพบว่า มีการเคลื่อนย้ายพ้ืนเพไปสู่พื้นที่อื่น ๆ
อย่างทั่วถึง เช่น คนพื้นเพทางภาคอิสานและภาคเหนือ ผันตวั เองมาทางานในภาคกลาง คนในพื้นเพ
๓ จังหวัดชายแดนใต้ หลีกหนีสถานการณ์ความรุนแรงมาใช้ชีวิตในภาคใต้ตอนบนและภาคกลาง
ตลอดถึงแรงงานข้ามชาติจากนโยบายการเปดิ เสรที างด้านแรงงาน เปน็ ต้น มีการตอบรับความคิด –
ความเช่ือที่แตกต่างเขา้ มา เรียกรูปแบบน้ีวา่ “การเคลื่อนย้ายทางวัฒนธรรม” ส่งผลให้มีการคละกัน
ทางวัฒนธรรม ส่วนหนงึ่ คือการปรบั ตัวทางวฒั นธรรมใหส้ อดคล้องกับความเป็นจรงิ ของชวี ติ ในสังคม
ในกรณีมีการปฏิเสธวัฒนธรรมที่เคลื่อนย้ายเข้ามาใหม่โดยผ่านคนต่างพ้ืนเพ จะส่งผลเป็นความ
ขัดแยง้ ทง้ั ทางความคิด ความเชือ่ และวถิ กี ารปฏบิ ัติ

๑ ดูรายละเอีย๓ดใน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. (๒๕๕๙). วัฒนธรรม วิถีชีวิตและภูมิ
ปัญญา. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลปก์ ารพมิ พ์. หนา้ ๒๑-๒๓.

๑ ชยั วุฒิ พิริยก๔ุล. (๒๕๔๗). อัตลักษณ์และพบวตั วรรณกรรมกลุม่ ความเชื่อและคตินยิ ม ใน วรรณกรรม
ทกั ษณิ : วรรณกรรมปรทิ ัศน์. กรุงเทพฯ: ห้างห้นุ ส่วนจากดั ภาพพมิ พ.์ หนา้ ๓๘๗.

๑ สุทธิพงษ์ พง๕ศ์ไพบูลย์. (๒๕๔๗). กระบวนการเกิดและพลวัตของภูมิปัญญาในวรรณกรรมทักษิณ ใน
วรรณกรรมทกั ษิณ: วรรณกรรมปรทิ ัศน.์ กรุงเทพฯ: ห้างหนุ้ ส่วนจากดั ภาพพิมพ์. หนา้ ๖๓๐.



ความขัดแย้งในสงั คมพหวุ ฒั นธรรม

ข้างต้น ได้พิจารณาถึง “สังคมพหวุ ัฒนธรรมคืออะไร?” โดยให้ความสาคัญกับการวเิ คราะห์
ศัพท์ และความหมายท่ีต้องการบ่งช้ีถึง “ความแตกต่างหลากหลายของวิถีชีวิตที่อยู่ในสังคม
เดียวกัน” โดยเฉพาะความคิด ความเช่ือ และการปฏิบัติ/พฤติกรรมภายนอก ส่ิงท่ีน่าสังเกตคือ ใน
“สังคม” ที่หมายถึง “การไปด้วยกัน” มีความขัดแยง้ เกิดขนึ้ และความขัดแยง้ จานวนหน่ึงส่งผลเป็น
ความรุนแรง เช่น การฆา่ ในเหตุการณ์ประท้วงทางการเมือง การฆา่ ในการแย่งชิงผลประโยชน์อนั เกิด
จากอานาจทางการเมืองในชุมชน เปน็ ต้น

ความขดั แย้ง ความรนุ แรง

แนวคิดแบบสันติศึกษา ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงเป็นคาตอบเพื่อการจัดการความ
ขัดแย้ง จึงมีท่าทีในการปฏิเสธการใช้ความรุนแรงทุกประเภท โดยเฉพาะในสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มี
ความแตกตา่ ง หลากหลาย ของคน อนั นาไปสคู่ วามขัดแยง้ ไดง้ ่ายหากรับไม่ได้กบั ความแตกตา่ ง

ในหัวขอ้ ย่อยนี้จะวิเคราะหถ์ ึงสถานการณ์ความขดั แยง้ ในบริบทสังคมไทยเป็นหลกั และจะตี
กรอบให้แคบไปท่ีประเด็นความขัดแย้งทางความคิด-ความเชื่ออันเกี่ยวเน่ืองด้วยศาสนา ส่วน
ความหมายของความขัดแย้งจะกาหนดไว้เพียง “ความไม่ลงรอย และการต้านไว้” ตามความหมาย
ของคาจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน กรณีผู้สนใจปัญหาเรื่อง “ความขัดแย้งคืออะไร?”
สามารถค้นคว้าได้จากหนังสอื ด้านสันติศึกษาและความขัดแยง้ เชน่ งานชัยวัฒน์ สถาอานันท์ วันชัย
วัฒนศัพท์ เป็นต้น และงานของ บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ เรื่อง การจัดการความขัดแย้ง: ความรู้
เบ้ืองต้นและกรณีศึกษา สนับสนุนการจัดพิมพ์โดย สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ตลอดถึงบทความอย่างงานของ ปัณณพงศ์ วงศ์ณาศรี เรื่อง ความขัดแย้งและการจัดการความ
ขดั แย้ง : บริบทสังคมไทย ตีพิมพ์ในวารสารสานักหอสมุด มหาวิทยาลัยทักษิณ รัฐพล เย็นใจมาและ
สุรพล สุยะพรหม เรื่อง ความขัดแย้งในสังคม : ทฤษฎีและแนวทางแก้ไข ตีพิมพ์ในวารสาร มจร.
สังคมปริทรรศน์ เป็นต้น ที่ให้รายละเอียดได้เพียงพอในระดับหน่ึงต่อการไขปัญหาในแง่ภาษาและ
ความหมาย

สถานการณค์ วามขัดแยง้

หากติดตามปรากฏการณ์ทางสังคมโลกที่เกิดขึ้นทางสื่อ เราจะพบปราฏการณ์ที่เกิดใน ๒
แบบคือ (๑) ส่งผลกระทบที่ไม่ดีตอ่ การดารงชีวติ ของคนในสงั คม เช่น สถานการณ์โควิด-19 ท่ยี ังคงมี
ผู้ป่วยเพ่ิมจานวนข้ึนไม่หยุด สถานการณ์การยึดครองอัฟกานิสถานของกลุ่มตาลีบัน ส่งผลให้ผู้คน
จานวนมากต้องอพยพออกจากพ้ืนที่เพราะความหวาดกลัว๑ (๒) ส่งผล๖ดีต่อการพัฒนาสังคมโลก

๑ PPTV HD 3๖6. ๒๕๖๔. ชาวอฟั กันแห่อพยพ หนตี ายจากตาลบี ัน. เข้าถงึ ได้ใน
https://www.youtube.com/ watch?v=dZvgjMUCDas. เมอื่ 16 สิงหาคม 2564.

๑๐

เช่น นโยบายการฉีดยาต้านไวรัสโควิด/การหาทางป้องกันไวรัส การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก
สถานการณ์สงคราม เป็นต้น

การมองประเทศไทยผ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เราจะเห็นทั้ง ร่องรอย
ความเดือดร้อนของคนในสังคมและแนวคิดในการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น จานวนหน่ึงของความ
เดือดร้อนเกิดจากความขดั แย้งทางดา้ นการเมืองและความขัดแยง้ ทางสงั คม

สถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านการเมือง ท่ีปรากฏชัดทางสื่อในปัจจุบันคือ การประท้วง
รัฐบาล เริ่มจาก ความไม่พอใจต่อการทารัฐประหารของทหารเม่ือ พ.ศ.๒๕๕๗ กลุ่มคนท่ีไม่พอใจ
เหล่าน้ีมีความเชื่อมั่นว่า ระบบประชาธิปไตยจะมีการคลี่คลายโดยตัวของระบบเองและสามารถผ่าน
ไปได้ด้วยทางออกของประชาชน ไมใ่ ชก่ องทัพทหาร การจดั ตง้ั รัฐบาลหลังการเลอื กตง้ั ดว้ ยระบบใหม่
พ.ศ.๒๕๖๒ ที่มีความซับซ้อนในการคิด ส่งผลให้หัวหน้าคณะรัฐประหารได้เป็นนายกรัฐมนตรี สร้าง
ความไม่พอใจให้กับคนไทยรุ่นใหม่ที่ต้องการแนวคิดแบบใหม่ในการบริหารประเทศ และเพราะเห็น
ว่า ภายใต้การนาของรัฐบาลทหารที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งคืนความสุขสู่ประชาชนอย่างแท้จริง การ
ประท้วงท่ีโดดเด่นเช่น สัญลักษณ์แฟลชจากโทรศัพท์มือถือจากเยาวชนท่ัวประเทศเพื่อแสดงออกถึง
ความไม่พอใจต่อรัฐบาล เรียกว่า แฟลชม็อบ๑ และการป๗ระท้วงอื่น ๆ อย่าง วิ่งไล่ลุง๑ ล่าสุดคือ ๘
กิจกรรม “คาร์มอบ คอลเอาท์”๑ พงษ์ศักดิ์ ๙เหลืองอร่าม วิเคราะห์ให้เห็นว่า ความไม่แน่นอนทาง
การเมืองส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความผันผวนอย่างมีนัยสาคัญ...๒ และทาให๐้
เขา้ ใจได้วา่ กรณเี ศรษฐกิจตกต่าจะสง่ ผลต่อความเป็นอยู่ทเี่ ลวร้ายในสังคม

สถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคม จะพบว่าการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นสิ่งสัมพันธ์
ไปด้วยกัน เพราะหากการเมืองเลวร้ายจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมที่ต่าเต้ีย และผู้ที่ได้รับ
ผลกระทบหนักคือประชาชนผู้เป็นองคาพยพทางสังคมเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม
สถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคม นอกเหนือจากความขัดแย้งทางการเมืองนั้น มีการจาแนกได้อีก
คือ ความขัดแย้งระหว่างองค์กร เช่น บริษัทรับเหมา กับ หน่วยงานภาครัฐ ความขัดแย้งภายใน
องค์กร เช่น แผนกการเงิน กับ ฝ่ายบริหาร ความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม เช่น กลุ่มรักษ์ทะเล กับ กลุ่ม
ธุรกิจประมง ความขัดแย้งระหว่างบุคคลผู้มีความคิดเห็นต่างกัน และความขัดแย้งภายในตน ในท่ีน่ี
จะพิจารณาเฉพาะ ความขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ือเก่ียวกับศาสนา เหตุผลที่ให้ความสาคัญกับ
เรื่องนี้เพราะ ความขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ือเกี่ยวกับศาสนา เป็นส่ิงท่ีมีอยู่ท้ังภายในและ
ระหว่างศาสนา จาหน่ึงหน่ึง ศาสนาถูกนาไปใชเ้ พอื่ ประโยชนอ์ ่นื ท่ไี ม่ใชศ่ าสนา ขณะเดียวกนั ยังไมไ่ ด้

๑ ดูรายละเอีย๗ดใน หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ. แฟลชม็อบ: กาต่อสู้ระหว่างกลุ่ม “ฟันน้านม” กับ “ฟัน
ปลอม” ใน BBC NEW. เข้าถึงไดใ้ น https://www.bbc.com/thai/53576752 เมอ่ื ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๔.

๑ ดูรายละเอยี ๘ดใน BBC NEW. ว่ิงไล่ลุง เดนิ เชียร์ลงุ : เปรยี บเทียบกิจกรรม “วงิ่ -เดิน”
การเมอื ง 12 ม.ค.. เขา้ ถึงได้ใน https://www.bbc.com/thai/thailand-51007294. เมอ่ื ๓๐ สงิ หาคม
๒๕๖๔.
๑ ดูรายละเอีย๙ดใน BBC NEW. ชุมนมุ 29 ส.ค.: ณัฐวุฒิ-บก.ลายจุด เผยเตรยี มตอ่ ยอดคารม์ ็อบฯ. เข้าถึง
ไดใ้ น https://www.bbc.com/thai/thailand-58368328. เม่ือ ๓๐ สงิ หาคม ๒๕๖๔.
๒ ดูรายละเอีย๐ดใน พงษ์ศักด์ิ เหลืองอร่าม. (๒๕๖๑). ความขัดแย้งที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจไทย ความ
ขัดแย้งทางการเมืองมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย. เข้าถึงได้ใน https://www.pier.or.th. เข้าถึงเม่ือ เม่ือ ๓๐
สิงหาคม ๒๕๖๔.

๑๑

รบั การเอาใจใส่ในวงกว้างอย่างเพียงพอเพื่อการทาความเข้าใจและการศึกษาระหว่างศาสนาเพื่อการ
เข้าใจวัฒนธรรมทางศาสนา

ความขดั แย้งทางความคิด-ความเชื่อเกีย่ วเนื่องด้วยศาสนา

๑. ความมอี ยู่ของศาสนาในฐานะสถาบนั ทางสังคม

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๓๑ ให้เสรีภาพแก่บุคคลใน

การนับถือศาสนา การปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ท้ังน้ีต้องไม่เป็น

ปฏิปักข์ต่อหน้าท่ีของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความ

สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมดันดีของประชาชน๒ กฎหมายไ๑ทยได้รับรองศาสนาในฐานะสถาบันทาง

สังคมจานวน ๕ กลุ่มคือ กลุ่มพุทธ กลุ่มมุสลิม กลุ่มพราหมณ์-ฮินดู กลุ่มซิกข์ และกลุ่มคริสต์

กระทรวงยตุ ิธรรมอนญุ าตให้นาหลกั ชะรอี ะฮ์มาใช้เปน็ กระบวนการตามกฎหมายแบบพิเศษ แมว้ ่าจะ

ไม่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่ง และใช้บังคับกับชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ใน
สว่ นทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับกฎหมายครอบครัว ซ่ึงรวมถึงมรดก๒ ๒

จากการปรากฏขึ้นของศาสนาในฐานะสถาบันทางสังคมและการนากฎศาสนาไปใช้ในพ้ืนที่

เฉพาะ สง่ ผลต่อความคดิ และความเช่ือ ในประเด็น ศาสนาควรแยกออกจากรฐั หรอื ไม?่

มีแนวคิดท่ีไม่เห็นด้วยกับการปรากฏข้ึนดังกล่าว และมองว่าเป็นเรื่องประหลาดในการที่รัฐ

จะเข้าไปควบคุมศาสนาอันเป็นมิติทางจิตใจและเสรีภาพในการนับถือของแต่ละบุคคล๒ กลุ่ม ๓

ความคิดแบบน้ีเห็นว่า ศาสนาควรแยกออกจากรัฐ และไม่ควรจากัดเฉพาะ ๕ ศาสนา ที่ตั้งอยู่บน

องค์ประกอบ ๕ อย่างคือ มีศาสดาผู้ก่อต้ังศาสนา มีหลักคาสอนท่ีบรรลุเป็นคัมภีร์ทางศาสนา มี

นกั บวช/ศาสนิกผู้สืบทอดคาสอนทางศาสนา มีศาสนสถานสาหรบั ประกอบพิธกี รรมทางศาสนา และ

มีพิธีกรรมที่เป็นตัวบ่งช้ีเอกลักษณ์ของกลุ่มศาสนา การจากัดศาสนาจะคือการลิดรอนสิทธิ์และ

ควบคุมสิทธ์ิในการนับถือศาสนา ไม่ใช่การให้เสรีภาพอย่างสมบูรณ์ในการนับถือศาสนาของแต่ละ

บคุ คล นอกจากนนั้ ดเู หมอื นจะเปน็ การให้สิทธิ์พิเศษสาหรับบางศาสนาอันเป็นความไม่เทา่ เทียมทาง

ศาสนา ท่าทีหรือมุมมองแบบนี้จะเห็นได้จากการก่อตั้งลัทธิใหม่คือ ลัทธิเบคอน (praise bacon) ที่

เกิดจากกลุ่มคนไม่มีศาสนาและมีการจดทะเบียนถูกต้องในอเมริกา๒ ส่วนในปร๔ะเทศไทย มีผู้ไม่นับ

๒ ราชกิจจานเุ ๑บกษา. (๒๕๖๐). รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย. เขา้ ถึงได้ใน
http://www.ratchakitcha.soc.go.th. เมือ่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๔

๒ สถานทตู สห๒รฐั ฯและสถานกงสุลในประเทศไทย. รายงานว่าด้วยเสรภี าพทางศาสนานานาชาติใน
ประเทศไทย พ.ศ.2561. เขา้ ถึงไดใ้ น https://th.usembassy.gov/th/our-relationship-th/official-reports-
th/2018-international-religious-freedom-report-thailand-th/. เมอ่ื ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.

๒ ดรู ายละเอีย๓ดใน ชนนิ ทร์ มณีดา. พุทธ ครสิ ต์ อิสลามและเบคอน: คยุ เรอ่ื งศาสนาและรฐั ธรรมนญู .
เข้าถึงได้ใน https://themomentum.co/chanin-maneedam-interview. เมื่อ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.

๒ ดูรายละเอีย๔ดใน BRIGHT TODAY. (๒๕๖๑). ลทั ธเิ บคอน ลัทธนิ ีม้ อี ย่จู รงิ คุณอยากรู้ไหม. เขา้ ถงึ ได้ใน
https://www.brighttv.co.th/lifestyle. เมอ่ื ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔.

๑๒

ถือศาสนาแนวจารีตจานวนหน่ึง ผู้ไม่นับถือศาสนาเหล่าน้ีมักไม่แสดงตัวต่อสังคมสว่นหน่ึงเพราะจะ
ถูกมองจากกลุ่มผรู้ ับศาสนาว่าเปน็ คนเลวร้าย

จากกรณีนี้ ทาให้เรามองเหน็ คูข่ ดั แยง้ ๒ ฝ่ายคือ (๑) ฝ่ายท่เี ห็นควรให้ศาสนาเปน็ สถาบันใน
โครงสร้างทางสังคมและได้รับการรับรองด้วยกฎหมาย กลุ่มนี้อาจเรียกว่า รัฐศาสนา (๒) ฝ่ายที่ไม่
เห็นด้วยกับการท่ีศาสนาจะเข้ามากาหนดรัฐ อย่างไรก็ตาม มีการให้ความหมายของศาสนาใน ๒
แบบคือ (๑) ศาสนาในฐานะสถาบันทางสังคม มีองค์ประกอบทางศาสนาเป็นฐาน (๒) ศาสนาใน
ฐานะวิถีชีวิต ความเชื่อ ปรัชญาฯลฯ ท่ีไม่ได้อยู่ในฐานะสถาบันทางสังคมหรือไม่ได้กาหนดให้เป็น
ศาสนาโดยรฐั

๒. ความขัดแย้งทางความคิด-ความเชื่อของศาสนาในฐานะสถาบันทางสังคมท่ีได้รับการ
รบั รองโดยรฐั และความคิด-ความเชือ่ นอกการรบั รองโดยรัฐ

เอกสารจานวนไม่น้อยและการเผยแพร่ความคิดของนักวิชาการศาสนา ระบุว่า พื้นที่ท่ี
เรียกวา่ ประเทศไทยและบรเิ วณโดยรอบมีการนับถอื บรรพบุรุษและวญิ ญาณประจาธรรมชาตอิ ยู่กอ่ น
แลว้ เรยี กอกี อย่างหนึ่งว่า การนับถือผี

คาวา่ “ผี” หากพจิ ารณาตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน จะมีท่าทีใน
เชงิ “สงิ่ ท่ีควรแก่การยาเกรง” อยูใ่ นฐานะ “ความเชือ่ ”๒ ท่มี ผี ลทั้งด๕ีและรา้ ยต่อมนุษย์ ปัจจบุ ันคานี้
ถกู นาไปใชค้ ่อนไปทางแง่ลบ เช่น ผบี ้า ผีห่าซาตาน ผพี นัน เปน็ ตน้

ปัจจุบัน แม้ว่ารัฐจะรับศาสนาท่ีหมายถึงสถาบันทางศาสนาในสังคมไทยจานวน ๕ ศาสนา
แต่จะพบว่า พิธีกรรมการเซ่นไหว้เพ่ือการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษและวิญญาณประจา
ธรรมชาตเิ ป็นสงิ่ ทมี่ ีอย่โู ดยทว่ั ไป เชน่ ความเช่ือว่าวญิ ญาณประจาอยทู่ ่ีตน้ ตะเคียน ความเช่ือเร่อื งเจ้า
ท่ี ท่ีจะต้องทาการเซ่นไหว้ก่อนปลูกบ้าน ความเชื่อเรอ่ื งวิญญาณบรรพบุรุษท่ีจะต้องให้ความยาเกรง
เพื่ออัญเชิญให้ช่วยปัดเป่าผ่านพิธีกรรมอย่างโนราห์โรงครูทางภาคใต้ การเลี้ยงผีปู่ผีตาในภาคอิสาน
พิธีแซนโฎนตา๒ พ่อแก่ แม๖่ย่านาง ความเช่ือเหล่าน้ีถูกมองว่า (๑) เป็นความเขลา เพราะเคารพต่อ
ส่งิ ท่ีมองไม่เห็น (๒) เปน็ ความอ่อนแอของมนุษย์ จากการพง่ึ พาอานาจทมี่ องไม่เห็น (๓) เปน็ ความน่า
รังเกียจ เพราะเคารพในส่ิงท่ีไม่น่าเคารพ จากศาสนาที่รัฐให้การรับรอง ขณะท่ีกลุ่มผู้มีแนวคิดแบบ
นับถือบรรพบุรุษฯ ไม่ได้เช่ือมั่นต่อศาสนาที่อยู่ในแบบสถาบันทางสังคมแบบเต็มร้อย สุดท้ายแล้ว
กลุ่มผู้มีแนวคิดแบบนับถือบรรพบรุ ุษฯจะเลอื กการเคารพผที ีค่ วรแก่การยาเกรงมากกว่า

ประเด็นน้ี เราจะเห็นคู่ขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ือ ๒ คู่คือ (๑) ฝ่ายสถาบันศาสนาใน
ฐานะไดร้ บั การรบั รองจากรัฐ และ (๒) ฝ่ายความคดิ -ความเชือ่ เดมิ นอกบรบิ ทการรับรองจากรัฐ

๒ ดรู ายละเอีย๕ดใน ราชบัณฑติ ยสถาน. (๒๕๕๔). พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔.
เขา้ ถึงได้ใน https://dictionary.orst.go.th/ เมอื่ ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔.

๒ อ่านรายละเ๖อยี ดใน สารภี ขาวด.ี (๒๕๕๙). ประเพณแี ซนโฏนตา: การสบื ทอดและการดารงอยใู่ น
บริบทพน้ื ท่ีดง้ั เดมิ ใน วารสารมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอบุ ลราชธานี ปที ่ี ๗ ฉบบั ที่ ๒. หน้า
๑๓๑-๑๖๓.

๑๓

๓. ความขัดแย้งทางความคิด-ความเชื่อของศาสนาโดยจารีตและความก้าวหน้าของ
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

กรณีศึกษาที่เกิดในสังคมไทยที่โดดเด่นคือ “ความเชื่อเรื่องพยานาค” โดยกลุ่มผู้มีความเช่ือ

ในความพิเศษของพยานาค เขาจะมีความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจว่า พยานาคเป็นส่ิงที่มีอยู่ และ
สามารถให้โชค ส่งผลต่อความสาเร็จของผู้เชื่อ ประเด็นน้ี เราอาจพิจารณาผ่านกรณี “พิสูจน์
ภาพถ่ายพยานาค...” ๒ และท่าทีต๗่อพยานาคทางสื่อออนไลน์๒ ในท่ีนี่ขอยก๘ข้อความของกลุ่มความ

เชอื่ แบบนีม้ าพจิ ารณา เชน่

“ใครไม่เจอกับตวั ก็บอกงมงายท้ังนั้นเเล้ว ถ้าเจอกับตัวถึงจะเช่ือ

น่คี น... ก็เหมอื น (อากาศเรารู้วา่ มจี ริงเเต่มองไม่เห็น)๒ ๙

“เชื่อเร่ืองพญานาคนะคะ แต่ถ้าไปจับไปเเตะไม่ขอเชื่อ เพราะ

คนปกติไม่น่าจะแตะท่านได้ และถ้าแตะได้ก็ไม่เหมาะสม เหมือนไป

หม่ินท่าน คิดวา่ จะแตะยังไงแตะไม่ให้เกยี จเลย๓ ๐

“เห็นรอยพญานาคนี้เม่ือวานน้ี ตนก็เช่ือว่าเป็นรอยพญานาค ท่ี

เช่ือเพราะไม่เคยเห็นเหตุการณ์น้ีมาก่อน เพราะไปทาบุญทุกวันพระก็

เลยเห็นจงึ ไปกราบไหว้ตั้งแต่เม่ือวานก็มีแต่คนไปที่วดั ต่างก็เชื่อกันหมด

สว่ นตัวเชอ่ื ในเร่ืองพญานาคมีจริง๓ ๑

ตัวอย่าง ๒ ข้อความนี้คือตัวอย่างของความเชื่อเรื่องความมีอยู่ของพยานาค แต่ความเชื่อ
ดงั กล่าวถกู ปฏเิ สธโดยกลมุ่ ผู้ไมม่ คี วามเชื่อเรือ่ งพยานาค เชน่

“ผมเชื่อว่าพญานาคมีจริง ผมเห็นบ่อยในตอนเด็ก ๆ ถึงวัยรุ่น ๒
แตพ่ อโตข้ึนมาไมค่ ่อยเหน็ แล้วครบั ตงั้ แต่เรมิ่ มีไฟแช็คให้ใช้กนั ”๓

๒ ศกึ ษารายละ๗เอียดไดใ้ น ข่าวชอ่ ง 8. (๒๕๖๔). พสิ จู นภ์ าพถ่ายพยานาค ชายวยั ๖๐ ถา่ ยตดิ รมิ โขง.
เขา้ ถึงไดใ้ น https://www.youtube.com/watch?v=yL54BRAxkd0. เมื่อ ๓๑ ส่ิงหาคม ๒๕๖๔.

๒ ศึกษารายละ๘เอยี ดได้ใน AMARINTV. (๒๕๖๔). หนมุ่ จบั พยานาคดว้ ยมอื เปลา่ กลางแมน่ ้าโขง. เข้าถงึ
ได้ https://www.youtube.com/watch?v=qcoafCqRjYE. เมอ่ื ๓๑ สิง่ หาคม ๒๕๖๔.

๒ นทั ลุ้นโชค. ใ๙นขา่ วชอ่ ง 8. (๒๕๖๔). พสิ จู น์ภาพถ่ายพยานาค ชายวัย ๖๐ ถ่ายติดรมิ โขง. เข้าถงึ ได้ใน
https://www.youtube.com/watch?v=yL54BRAxkd0. เม่ือ ๓๑ ส่ิงหาคม ๒๕๖๔.

๓ Baitong Ra๐ttanaporn.ใน AMARINTV. (๒๕๖๔). หนุ่มจับพยานาคด้วยมอื เปลา่ กลางแมน่ า้ โขง.
เข้าถึงได้ https://www.youtube.com/watch?v=qcoafCqRjYE. เมื่อ ๓๑ ส่งิ หาคม ๒๕๖๔.

๓ คาพอง ตดิ ช๑ัยภมู ิ. ใน PPTV ONLINE. (๒๕๖๐). ไขปริศนา “รอยพยานาค” เม่อื วิทยาศาสตรส์ วน
ทางกบั ความเชื่อ. ใน https://www.pptvhd36.com/news. เมื่อ ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔.

๓ Santoe. ใน๒ขา่ วชอ่ ง 8. (๒๕๖๔). พิสูจนภ์ าพถ่ายพยานาค ชายวัย ๖๐ ถ่ายติดรมิ โขง. เข้าถึงได้ใน
https://www.youtube.com/watch?v=yL54BRAxkd0. เมอ่ื ๓๑ สิง่ หาคม ๒๕๖๔.

๑๔

“บางคร้ังความเชื่อความศรัทธาของคน ก็ทาให้คนเราไม่ยอม

เปิดสมองรบั ความจรงิ ทางวิทยาศาสตร์ เลยไมฉ่ ลาดซักที”๓ ๓

กลุ่มความคิดแบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะปฏิเสธในสิ่งท่ีพิสูจน์ไม่ได้ดังกล่าว ดังนั้น
จะบอกวา่ พยานาคเป็นส่ิงทมี่ อี ยกู่ ็ตอ่ เมื่อสัมผัสได้ ดูตวั อยา่ งขอ้ ความตอ่ ไปนี้

“...มีคากล่าวของอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ประโยคหนึ่ง

ซ่ึงผู้เขียนชอบมากคือ "ส่ิงท่ีเราอยากได้ยินมากกว่าคือไม่เชื่อต้องพิสูจน์

ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อต้องลบหลู่ มันฟังดูเป็นลบไปหน่อย แต่ไม่เช่ือต้องพิสูจน์

พิสูจน์จากทฤษฎีก็ได้ จากการปฏิบัติก็ได้ หรือจากการลงไปดูพื้นท่ีก็ได้

ทั้งนั้น ใช้หลากหลายวิธีดีกว่ามาบอกว่าอย่าลบหลู่ อย่าไปยุ่งกับเรื่องน้ี
แบบนีไ้ ม่ใช่ มันตอ้ งหาทางพิสูจน์...”๓ ๔

กรณีศึกษาเรอ่ื งพยานาคนี้ เปน็ ตวั อย่างของความคดิ -ความเชอื่ ทางศาสนาแนวจารตี ในแบบ ๕
ศาสนาในฐานะวิถีชีวิต ความเชื่อ ปรัชญา เคร่ืองยึดเหน่ียวฯลฯ นอกเหนือการรับรองของรัฐ ส่วน

แบบที่ได้รับการรับรองจากรัฐ อาจพิจารณาได้ท่ัวไป เช่น คาถามว่า พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่?
ประเด็นน้ี ในอดีตมีข้อขัดแย้งทางความคิด-ความเชื่อและยกเป็นข้อถกเถียงทางปรัชญามาแล้ว๓
และอาจต้ังคาถามต่อคนท่ีสนใจเฉพาะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า นิพพาน ผี นรก สวรรค์ มีอยู่

จริงหรือไม?่ เราจะได้คาตอบท่แี ตกตา่ งจากผ้นู ับถือศาสนา

๔. ความขัดแย้งระหว่างศาสนา จอห์น ฮิค ตั้งข้อสังเกตว่า ความแตกต่างทางศาสนามี ๓
ประการคือ (๑) ความแตกต่างเกี่ยวกับประสบการณ์ทางศาสนา (๒) ความแตกต่างเกี่ยวกับการ
ตีความศาสนา และ (๓) ความแตกต่างเกี่ยวกับความจริงสูงสุด๓ จากข้อสัง๖เกตน้ี เราจะเห็นความ
แตกต่างกันใน ๒ เร่ือง (๑) ความแตกต่างในเชิงข้อมูลที่ระบุตามคัมภีร์ และ (๒) ความแตกต่างทาง
ความคิดท่ีมีต่อข้อมูล ดูเหมือนว่า ความขัดแย้งทางสังคมอันเก่ียวเน่ืองด้วยศาสนาจะเกิดจาก
ประเด็นหลัง คือ ท่าทีของบุคคลท่ีมีต่อข้อมูล ในอดีต จะพบร่องรอยความขัดแย้งทางศาสนาใน
หลายรูปแบบเช่น ความขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับความมีอยู่ของพระเจ้า พระพุทธเจ้าคืออวตาร
ของพระวษิ ณุ พระเยซูคือสาวกของพระพุทธเจ้า สงครามการยึดพ้ืนท่ีทางศาสนาอย่างกรณีสงคราม
ครูเสด การกีดกันทางศาสนา/การแย่งพื้นที่วัฒนธรรมทางศาสนา อย่างกรณี ชนกลุ่มน้อยใน

๓ A B. ใน AM๓ARINTV. (๒๕๖๔). หนมุ่ จับพยานาคด้วยมอื เปล่ากลางแม่นา้ โขง. เขา้ ถงึ ได้
https://www.youtube.com/watch?v=qcoafCqRjYE. เมอ่ื ๓๑ สงิ่ หาคม ๒๕๖๔.

๓ ดูรายละเอีย๔ดใน ณพทั ธ์ นรงั ศยิ า. (๒๕๕๗). วทิ ยาศาสตร์กบั ความเชอื่ และความเป็นไทย. ใน ประชา
ไท. เขา้ ถึงได้ใน https://prachatai.com/journal/2014/10/56093. เมือ่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๔.

๓ ดูรายละเอีย๕ดใน สารานกุ รมปรชั ญาออนไลนฉ์ บับสังเขป. การอ้างเหตุผลยืนยนั การมีอยู่ของพระเจา้ .
เขา้ ถึงได้ใน http://www.parst.or.th/philospedia/argumentsfortheexistenceofgod.html. เมื่อ ๓๑
สงิ หาคม ๒๕๖๔.

๓ John H.Hic๖k. (1983). Plilosophy of Religion. New Jersey: Prentice-Hall. P 115.

๑๕

ปากีสถาน๓ การเผาตัว๗เองของนักบวชทิก กว๋าง ด๊ึก ในเวียดนาม๓ การถูกบัง๘คับให้ใช้วัฒนธรรม

ของรัฐอันมที ่ีมาจากระบบคิดท่ีมีร่องรอยของศาสนาใดศาสนาหนง่ึ แบบโดดเด่น เปน็ ต้น
สาหรับประเทศไทยที่ผ่านมา มีกรณีอันเกี่ยวเน่ืองด้วยศาสนาอย่าง การฆ่านักบวชในพุทธ

ศาสนา๓ การปฏิเสธ๙การสร้างมัสยิดในพ้ืนท่ีจังหวัดน่าน๔ การปฏิเสธ๐การสร้างพุทธมณฑลประจา
จงั หวดั ปัตตานี๔ ยังไมร่ วมถ๑ึงทา่ ทที ่ีมตี อ่ ผู้นับถอื ศาสนาท่ีต่างกัน เช่น การไม่ซอื้ เคร่ืองอปุ โภคบริโภค
ทม่ี บี ุคคลตา่ งศาสนาเป็นเจ้าของ การไม่ใหค้ นตา่ งศาสนามาค้าขายในพื้นที่ ตลอดถึงทา่ ทตี ่อศาสนาท่ี

มีทศั นะตา่ งกนั ดงั ขอ้ ความตวั อยา่ งน้ี

“...ผมจะไม่กราบสิ่งใดที่ต่าเท่าผมหรือต่ากว่าผม รูปปั้นเนี่ย ผลักก็ตก

แตกแล้ว มันต่ากว่าผมและมันไมม่ ีชวี ิต มันเป็นอะไรกไ็ ม่รู้ ผมจะไหว้ทาไมกับสิง่ ท่ี

ไมม่ ีชีวิตแต่มรี ูปร่างอัปลกั ษณ์กว่าผม...บางคนมีศาลพระภูมิหน้าบ้าน บ้านมนั เล็ก

กวา่ ผม และผมยังต้องไปกราบไหวอ้ กี เหรอ คนละรนุ่ กัน มันต่ากวา่ ผมและผมต้อง

ไหว้เหรอ...”๔ ๒

“…ทุกวันน้ี ผู้นาผู้ที่มีอานาจ เป็นอิสลาม เลยไห้สิทธิอิสลามมากเกิน มี

ธนาคารอิสลามเพื่อไหร่ อาหารกระป๋องยังต้องไห้มีตราฮาลาญ หลายสิ่งหลาย

อย่างที่ไห้อานาจเกินไปกับอิสลาม บางที่เขียนป้าย ท่ีนั่งสาหรับมุสลิม ผมก้อไม่

เข้าใจทาไมน่ังรวมกับคนอ่ืนไม่ได้ พวกมุสลิม ทางที่ดีเราชาวพุทธ อย่าสนับสนุน

ไหพ้ วกอิสลามมอี านาจในทางการเมือง...”๔ ๓

ข้อความท่ียกตัวอย่างน้ี ผู้ศึกษาโปรดใช้วิจารณญาณในฐานะ “ปรากฏการณ์ทางสังคม
ศาสนา” เท่าน้ัน หากศึกษาประวัติศาสตร์สังคมมนุษย์ ท่าทีเหล่าน้ีไม่ใช่เร่ืองแปลกใหม่ ส่วนลึกของ

๓ ดรู ายละเอีย๗ดใน VOA. (๒๕๕๐). สมั ภาษณผ์ รู้ ้ปู ญั หาการกดี กันทางศาสนาฯ. ใน
https://www.voathai.com/a/a-47-2007-10-08-voa2-90633294/920662.html. เม่อื ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔.

๓ ดูรายละเอยี ๘ดใน โรม บนุ นาค. (๒๕๖๔). โลกตะลงึ ..พระสงฆ์เผาตวั ตายประทว้ งฯ ใน
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000055514. เมอ่ื ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔.

๓ ข่าวชอ่ ง 8. (๙๒๕๖๒). คนรา้ ยบกุ ยิงถลม่ วดั . เข้าถงึ ไดใ้ น https://www.youtube.com/watch?v=
QQjv6eDqU3w. เมอื่ ๘ กนั ยายน ๒๕๖๔.

๔ ดรู ายละเอยี ๐ดใน VOICE TV. (๒๕๕๘). ตา้ นมสั ยดิ นา่ นฯ. เขา้ ถึงไดใ้ น https://www.youtube.
com/watch?v=luZ06BgdyqI. เมอื่ ๘ กนั ยายน ๒๕๖๔.

๔ ดรู ายละเอีย๑ดใน POST TODAY. (๒๕๕๙). คนปัตตานคี ดั ค้านพทุ ธมณฑลแมเ้ ปลีย่ นชื่อ. เขา้ ถึงไดใ้ น
https://www.posttoday.com/social/local/411492. เมือ่ ๘ กันยายน ๒๕๖๔.

๔ ดูรายละเอยี ๒ดใน THE STANDARD. (๒๕๖๑). โต Silly Fools วิจารณต์ ามความเชอ่ื หรือดหู ม่นิ
ศาสนาอ่ืน. เข้าถงึ ได้ใน https://www.youtube.com/watch?v=Mo5OVcwRcGY. เมื่อ ๘ กันยายน ๒๕๖๔.

๔ กุยแก ฟ้งเซ๓ี้ยว. (๒๕๖๐). บ๊ิกปอ้ มยัน “มหาอภชิ าต” สกึ เอง ใน Sping. เขา้ ถึงไดใ้ น https://www.
youtube.com/watch?v=jZwwJNW77hc. เมอ่ื ๘ กันยายน ๒๕๖๔.

๑๖

ท่าทีแบบน้ีคือ การปกป้องความเช่ือ การตั้งกาแพงความเช่ือ และการตอบโต้ทางความเชื่อ ที่บุคคล
เชอ่ื ว่า ความเชื่อของตนเทา่ นัน้ ถูกตอ้ ง เรียกระบบคิดแบบนี้ว่า “เอกนิยม”ทางความเชื่อ/ศาสนา

๕. ความขัดแย้งภายในวัฒนธรรมทางศาสนา ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนาจะพบข้อสังเกต
อันหนึ่งคือ การแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ มีที่มาจากท่าทีทางศาสนาท่ีแตกต่างกัน อย่างกรณี ความ
ขัดแย้งระหว่างการเลือกผู้นาในการสืบทอดศาสนาอันเป็นท่ีมาของนิกายซุนนีย์ และนิกายชีอะฮ์ใน
ประวัติศาสนาอิสลาม ความขัดแย้งระหว่างนิกายโรมันคาทอลิก และนิกายโปรเตสแตนต์ในประวัติ
ศาสนาคริสต์ในประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ การแยกนิกายออกเป็นเถรวาทและมหายานอันเกิดจาก
การตีความศาสนาทแ่ี ตกต่างกัน เป็นต้น

ในประเทศไทย ล่าสุดความขัดแย้งภายในวัฒนธรรมทางศาสนาท่ีโดดเด่นอย่างกรณี บุคลิก
ของพระภิกษุ ๒ รูปต่อการเผยแผ่ธรรมแบบออนไลน์ (on-line) กลายเป็นวาระท่ีคณะกรรมาธิการ
ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ของประเทศต้องเชิญตัวเข้าพบ อย่างไรก็ตาม ท่าทีท่ีผู้ชมมีต่อบุคลิก
ของพระภิกษุ ๒ รูป อาจแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ๆคือ (๑) ไม่เห็นด้วยกับการเผยแผ่ศาสนาใน
รปู แบบใหม่ (๒) มีความเห็นกลางๆท่ีไม่โดดเด่นว่าเหน็ ดว้ ยหรอื ไม่เห็นด้วย และ (๓) เห็นด้วยกับการ
เผยแผศ่ าสนาในรปู แบบใหม่ อาจพจิ ารณาผา่ นขอ้ ความดงั ตอ่ ไปน้ี

สองมหาก็เปรียบเหมือน หมาจรจัดเยี่ยวรดถาดทองคา พระเจ้าปเสนทิ

โกศล ทางสุบนิ (ฝัน) ว่า “เหน็ หมาจรจดั เย่ียวรดถาดทองคา” พระพุทธองค์ ทรง

ทานายว่า ภายภาคหน้า จะมีกลุ่มคนเบาปัญญา แฝงตัวเข้ามาทาลายคาสอนของ

พระตถาคต มีการบิดเบือนคาสอน ตะแบงบาลี สรา้ งลทั ธิแผลงๆ แม้แต่สงฆ์สาวก

กผ็ ิดเพี้ยนจากสัจธรรม ทาให้ผู้คนหลงเช่ือ เห็นกงจักรเปน็ ดอกบัว สร้างอิทธิฤทธ์ิ

ปาฏิหาริย์ งมงาย มอมเมาสาธุชน ผู้ไม่รู้ซ้ึงถึงแก่นแท้ของพระธรรมวินัย มักจะ

นยิ มสรา้ งแตพ่ ธิ กี รรม ไม่ได้นาพาไปสนู่ พิ พาน๔ ๔

อยากพูดอะไรก็พูด พดู ไปเร่ือย เอาฮา เอามันส์ แซะ!เรื่องสังคมการเมือง

ผมว่าคงไม่ใช่กิจของสงฆ์ น่าจะสึกออกมาทาทอล์กโชว์ ไม่มีความสารวม ไม่มี
ความเหมาะสมท่ีจะเป็นพระเลยสักนิด ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่ พระทั้งสองรูปน้ีจะ

มาน่ังทารายการแบบน้ีหรือไม่นะ?? ทุกวันนี้พระท้ัง 2 รปู พิจารณาตนแล้วหรือยัง
ฝากใหค้ ิดครบั เผือ่ ไดส้ ต!ิ แกน่ แท้ คาสอนของ พระพทุ ธเจา้ คืออะไร?๔ ไมส่ ารวม ๕
ขาดสติสัมปชัญญะ ไม่เคารพพระธรรมวินัย หิริโอตัปปะ รู้จักไหม กิริยามารยาท

ธรรมะไม่ใช่เรื่องตลก เป็นแก่นธรรมเพ่ือความพ้นทุกข์ 2 พส. ท่านความใช้สติ

๔ ม.จ.จลุ เจมิ ย๔ุคล. ใน “ทา่ นใหม”่ ลัน่ แรงฯ. เข้าถึงไดใ้ น https://www.youtube.com/
watch?v=l0YYqE_3OR4. เมอ่ื ๑๔ กนั ยายน ๒๕๖๔.

๔ Issara Srato๕ngjai. ใน คลิบโซเซยี ล พระมหาสมปองฯ. เข้าถึงได้ใน https://www.
youtube.com/watch?v=qMm9Fko_9_M. เม่ือ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๔.

๑๗

ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว เป็นฆราวาส ก็สอนธรรมได้ ธรรม มิใช่

เรอ่ื งตลก นะท่าน๔ ๖

นรกและบาป = ไม่สุขใจ คือ ดูแล้วคิดมาก/อคติ/จับผิด / ไม่มีความสุข

สวรรค์และบุญ = สุขใจ คือ ดูแล้วไม่คิดมาก / ไม่อคติ/ไมจ่ ับผิด/มีความสุขท่ีได้ดู
ได้ทา๔ เหรียญมี ๗2 ด้านเสมอ...! คิดบวกชีวิตเราก็บวก แถมไม่เสียสุขภาพจิต

..!๔ ... ไม่มองท๘ุกอย่างเป็นอนัตตา ทุกอย่างมันไม่เท่ียงมีหมุนเวียนเกิดแล้วดับ

ไป๔ ...เราต้องถ๙ามว่า เราเป็นใคร ผมไม่ได้คิดว่าเป็นเร่ืองดีหรือไม่ดี เราไมค่ วรไป

พิพากษาหรือตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี แต่ต้องถามว่า สิ่งท่ีทาน้ี มันจะไปตอบว่า

คนท่ีฟังแล้วได้อะไร ถ้าคนท่ีฟังได้แค่สนุกสนานเฮฮา เขาก็ได้ความสนุกสนาน

เพราะฉะน้ัน ถ้าเขาต้องการส่ือสนุกสนาน เขาก็ได้สนุกสนาน แต่ถ้าเขาต้องการ

ส่อื ธรรมะ ธรรมะคืออะไร อยา่ งท่ีบอก เข้าใจธรรมชาติ มีความทุกขล์ ดน้อยลง อยู่

กับสิ่งต่างๆรอบตัวได้ดีมากขึ้น ก็ต้องถามว่า ส่ิงที่เขาทาตอบโจทย์ตรงน้ันหรือไม่

เปล่า คนฟังรู้สึกว่า ฉันมีความทุกข์น้อยลง ฉันเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่

ดับไป ฉันเข้าใจสัจธรรมของชีวิต ไม่มีมิจฉาทิฏฐิ ถ้ามันทาได้ถึงตรงนั้น จะ

นาเสนออย่างไรก็แล้วแต่ ต้องไปถามดูว่า คนท่ีฟัง...เขาได้อะไรจากตรงน้ัน

มากกวา่ ๕ ๐

หนูเป็นคนเครียดบ่อย ไม่มีความสุข เป็นซึมเศร้า เป็นคนไม่ค่อยย้ิมหรือ

หัวเราะง่าย ๆ จะซึม ๆ ตลอดแอบร้องไห้คนเดียว เป็นคนเก็บตัวอยู่ตลอด พอได้

ฟังพระอาจารย์แล้ว รู้สึกดีขึ้น เริ่มยิ้มออก หัวเราะทุกคร้ังท่ีได้ฟัง ขอบคุณพระ

อาจารย์มากค่ะ๕ พระสมัยให๑ม่ ฟังธรรมแล้วมีความสุข ฟังต่อไปครับ ผมก็เป็น

แบบคุณ สๆู้ น่ะ ให้กาลังใจตอ่ กัน๕ ๒

ปู่ดูไลฟ์ย้อนหลังหลายรอบมาก ปู่อายุ 83 บอกสมัยก่อนพระก็เทศน์กัน
แบบนี้นะ ฟังแล้วจรรโลงใจทางานสวนต่อได้ท้ังวัน วันพระทีต้องรีบต่ืนไปศาลา
ไปน่ังฟัง สายก็กลับ วันไหนไม่สบายใจก็ไปวัดหาพระเพื่อน หาหลวงปู่หลวงตา ปู่
ดูไลฟ์ไปพูดสอนหลานตามไป พ่อบอกเมื่อคืนปู่ขอปากกา กระดาษไปจดคาสอน

๔ ทองดี สาแด๖งผล. ใน “กนก” จวกแรง “พระมหาไพวลั ย์”. เข้าถงึ ได้ใน https://www.
youtube.com/watch?v=l-RDo04OSdg. เม่อื ๑๔ กนั ยายน ๒๕๖๔.

๔ USSLSJ LW๗SJ. ใน “เอาอะไรมาเส่ือม” 2 พส.ฯ. เขา้ ถึงได้ใน
https://www.youtube.com/watch?v=WzTLvFR4Ae0. เมือ่ ๑๔ กนั ยายน ๒๕๖๔.

๔ Wirat Jano๘on. เรอ่ื งและทม่ี าเดยี วกัน.
๔ Zapss Zaa๙. เรอ่ื งและที่มาเดียวกัน.
๕ GQ. ๒๕๖๔๐. พระสงฆไ์ ลฟ์สดธรรมะ ในมุมมองของหมอบี ทตู ส่อื วญิ ญาณ. เข้าถงึ ไดใ้ น
https://www.youtube.com/watch?v=hP-AhJji9QI. เม่ือ ๙ กนั ยายน ๒๕๖๔
๕ C H E R M๑I L D. เรื่องและท่ีมาเดียวกัน.
๕ Commobil๒ea. เรอ่ื งและทีม่ าเดยี วกัน.

๑๘

เร่ืองทาใจจากคนท่ีรัก (ลูกชายคนโตของปู่เพ่ิงเสียอาทิตย์ก่อน) แล้วพับเก็บไว้หัว ๔

เตียง คือไม่ได้เห็นปู่จับดินสอปากกาเขียนนานแล้วเพราะตาไม่ดี ปู่ไม่ได้เข้าวัด

นานแล้วแต่ธรรมมะในใจเยอะมาก พระสองรูปน้ีเป็นพระท่ีปู่เปิดฟังครั้งแรกใน
รอบหลายปีเลย๕ ไม่เคยฟังพ๓ระเทศน์มาเป็น 10 ปีได้แล้วค่ะ และกลับมาฟังได้
เพราะท่านท้ัง 2 เลยค่ะ ฟังจนจบโดยไม่รู้สึกง่วงเลย ดีมาก ๆ ชอบมาก ๆ ค่ะ ๕

หลานผมชอบดูพระท่านทั้ง 2 รูป และพระปิยะอีกรูป ชอบดูคลิปพระท่านเทศน์

น่งั ดูได้ทงั้ วนั ไม่รูห้ าคลปิ มาจากไหนท้ัง ๆ ที่เป็นเด็กตดิ เกมส์มาพักหลัง เรม่ิ ห่างไป
แล้ว๕ ๕

คนที่บอกพระเทศน์แบบนี้ จะอายคนต่างศาสนา อยากบอกว่าผมเป็น

คาทอลิก แต่ติดตามพระมหาสมปองมานานร่วมสิบปีแล้วครับ ชอบสไตล์การ
เทศน์ท่านมาก๕ ผมนับถือ๖ศาสนาอิสลาม และผมก็ชอบฟัง เวลาพระสงค์พูด

ตั้งแต่พระพยอม จน มาถึง พระสงฆ์ 2 ท่านนี้ มันทาให้ ได้ความรู้๕ ท่านท่ังสอ๗ง

สุดยอดแล้วครับ ผมนับถืออิสลาม แต่ผมชอบดูเพราะฟังแล้ว ทาให้ตัวผมมีสติ๊ก

มากข้ึน เม่ือก่อนตัวผมใจร้องมาก แต่พอมาฟังท่านท่ังสองแล้ว เดียวนี้ตัวผม

เหมอื นวา่ มีเรืองอะไรกม็ ีสต๊กิ ก็คอื ว่าใจเยน็ มาก๕ ๘

กลุ่มผู้ไม่เห็นดว้ ยกับการเผยแผ่ศาสนาในรูปแบบท่ีแตกต่างไปจากที่เคยมมี าก่อน เรียกกลุ่ม
นี้ว่า “อนุรักษ์นิยม” หรือ “กลุ่มศาสนาแนวจารีต” ส่วนกลุ่มผู้เห็นด้วยกับการเผยแผ่ศาสนาท่ี
แตกต่างไปจากรูปแบบเดิม เรียกกลุ่มนี้ว่า “เสรีนิยม” หรือ “ศาสนาแนวประยุกต์” ส่วนกลุ่มท่ีมี
ความเห็นกลางๆที่ไม่โดดเด่นว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มีทัศนะค่อนไปทางเคารพในการตัดสินใจ
ของผู้อยู่ในศาสนา ศาสนาเป็นเร่ืองรสนิยมเฉพาะคน และมีความพยายามในการหาสาระสาคัญจาก
ส่งิ ทป่ี ระสบมากกว่าการตัดสนิ ว่าสิง่ ใดถกู หรอื สิ่งใดผิด

ความขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ือเกี่ยวกับศาสนานี้ มีข้อสังเกตว่า มโนทัศน์ท่ีถูกอธิบาย
ในนามศาสนาท่ีโดดเด่นและผูกติดกับวิถีการดารงชีวิตของคนในบริเวณพ้ืนท่ีที่เรียกว่าประเทศไทย
ประกอบด้วย (๑) มโนทัศน์แบบเดียว (เอกนิยม) อันมีท่าทีระบุชัดว่า สิ่งใดถูก (๒) มโนทัศน์แนว
ประยุกต์/ผสมผสาน และ (๓) มโนทัศน์แบบคัดสรร ผ่านคาอธิบายในนามศาสนา ๒ แบบ คือ (๑)
การนับถือผ/ี วิญญาณสถิต (๒) การนับถือศาสนาทร่ี ับรองโดยรัฐ

๕ Lana K. เร่ือ๓งและท่ีมาเดียวกัน.
๕ Ch Lim. เร่ือ๔งและทม่ี าเดยี วกัน.
๕ Kan Tapon๕g. เร่อื งและที่มาเดยี วกัน.
๕ K W. เร่ืองแ๖ละทมี่ าเดียวกัน.
๕ preecha d๗anmatam. ใ น “ เอ า อ ะ ไ ร ม า เสื่ อ ม ” 2 พ ส .ฯ . เข้ า ถึ ง ไ ด้ ใ น
https://www.youtube.com/watch?v=WzTLvFR4Ae0. เมือ่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๔.
๕ เดก็ ด้ือ. เรอ่ื ๘งและทมี่ าเดยี วกัน.

๑๙

สาเหตขุ องความขัดแย้งทางความคดิ -ความเชือ่ เก่ียวเน่อื งด้วยศาสนา

หากพิจารณาสาเหตุของความขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ือเก่ียวกับเน่ืองด้วยศาสนาผ่าน
แนวคิดที่จอห์น ฮิคตั้งข้อสังเกตไว้ถึงความแตกต่างทางศาสนา ๓ ประการที่อ้างถึงข้างต้น อาจ
พิจารณาได้ว่า (๑) เกิดจากการที่ศาสนิกของแต่ละศาสนาไม่สามารถมีประสบการณ์ทางศาสนาที่
เหมือนกัน (๒) เกิดจากความไม่รู้สาระสาคัญท่ีแท้จริงของศาสนา จึงต้องอาศัยการตีความ และ (๓)
เกิดจากการระบุถึงความจริงสูงสุดทางศาสนาท่ีแต่ละศาสนาใช้ภาษาต่างกัน ตลอดถึง การไม่
สามารถเข้าถึงและการไมส่ ามารถอธิบายความจริงสูงสดุ ทางศาสนาได้ด้วยภาษา อยา่ งไรก็ตาม จาก
สถานการณ์ความขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ือเก่ียวเน่ืองด้วยศาสนาที่เกดิ ข้ึนเป็นความขัดแย้งทาง
สังคม อาจตงั้ ขอ้ สงั เกตถงึ สาเหตุ ไดด้ งั นี้

๑. การยอมรับไม่ได้ถงึ ความมีอยู่ของความคิด-ความเชือ่ ทแี่ ตกตา่ ง
๒. ความเชอ่ื วา่ ศาสนาทตี่ นรับอยู่นัน้ เป็นสง่ิ ท่ีดที ่สี ดุ กว่าศาสนาอ่นื
๓. การแสดงอานาจทางความคิด-ความเชอื่ ท่ีเหนือกว่าความคิด-ความเชือ่ ท่ีแตกตา่ ง
๔. การสกัดพ้ืนท่ที างวัฒนธรรมศาสนาและรกั ษาพน้ื ทีว่ ฒั นธรรมทางศาสนาไว้
๕. การปกป้องศาสนาที่ตนรบั ว่าดที สี่ ุด
๖. การไม่ไดศ้ กึ ษาสาระสาคัญทแ่ี ทจ้ รงิ ของศาสนาทแ่ี ตกตา่ งกัน
๗. การมองไมเ่ ห็นคุณค่าที่หลากหลายของศาสนาท่ตี า่ งกนั ในสงั คมมนุษย์

การวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความขัดแย้งทางความคิด-ความเชื่อฯน้ี เป็นการวิเคราะห์ท่าที
ทางความคิดของศาสนิกท่ีรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของศาสนา ถึงอย่างน้ัน มีสาเหตุในบางลักษณะท่ี
ไม่ได้เกิดจากศาสนิกของแต่ละศาสนา โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ท่ีต้องการยอดผู้เข้าชมเป็น
ตัวเชื่อมโยงถึงความนิยมและรายได้ บางสถานการณ์จึงเกิดจากการกระตุ้นของส่ือ ส่งผลต่อความ
สนใจของเหล่าผู้มีศาสนา และกลายเป็นความขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ืออันเกี่ยวเนื่องศาสนา
แบบแพร่กระจายในเวลาถัดมา อย่างกรณี การส่ือสารถึงความรุนแรงท่ีเกิดขึ้นจังหวัดชายแดนใต้ว่า
เกิดจากท่าทีทางศาสนาและ/หรือการนาศาสนามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ส่งผลต่อผู้เสพสื่อใน
การต้ังกาแพงระหว่างผู้มศี าสนาตา่ งกนั เปน็ ต้น

สถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคม ในประเด็น ความขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ือ
เก่ียวเนื่องด้วยศาสนานี้ จะเก่ียวข้องกับความขัดแย้งทางด้านการเมืองก็ต่อเม่ือมีการนาความคิด-
ความเช่ือทางศาสนาไปใช้เพ่ือประโยชน์ทางการเมือง เช่น การอ้างว่า ความรุนแรงในจังหวัด
ชายแดนใต้เกิดจากศาสนาแทนท่ีจะอ้างว่าเป็นการปกป้องและแย่งชิงผลประโยชน์ทางทั้งเศรษฐกิจ
และการเมือง การอ้างถึงแนวคิดที่แตกต่างจากระบบคิดทางศาสนาแนวจารีตว่าเป็นแนวคิดแบบ
คอมมิวนิสต์ เพื่อจัดการคนท่ีเห็นต่างออกไปจากอิทธิผลท่ีมีผลในทางการเมือง เป็นต้น ดังน้ัน ผู้
ศึกษาอาจสังเกตได้ว่า ความขัดแย้งทางความคิด-ความเช่ือเกี่ยวเน่ืองด้วยศาสนาน้ี จะมีท่ีมาทั้ง
ภายในศาสนาและภายนอกระบบคดิ ทางศาสนา

๒๐

สันตวิ ิธขี องการอยู่รว่ มกนั อยา่ งสนั ติในสังคมพหุวฒั นธรรม

ขา้ งต้น เป็นความพยายามในการวิเคราะห์เพื่อตอบคาถามว่า สังคมพหุวัฒนธรรมคืออะไร?
ตลอดถึงความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึนในสังคมพหุวัฒนธรรม โดยมุ่งท่ี ความขัดแย้งทางความคิด-ความเชื่อ
อันเกี่ยวเนื่องด้วยศาสนา ในหัวข้อย่อยน้ี จะมาพิจารณาว่า ถ้าบุคคลมีความเคยชินกับสังคมแบบ
เดี่ยว/เอกนิยมทางวัฒนธรรมและจาเป็นต้องอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้ บุคคลควรมี
ทา่ ทอี ยา่ งไรเพื่อการอยู่ร่วมกันอยา่ งสันติ

แนวคิดที่นามาเป็นข้อเสนอเพ่ือการพิจารณา ๒ ส่วนคือ (๑) แนวคิดด้านสันติวิธีทางสังคม
เพ่ือการอยู่อย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม และ (๒) แนวคิดทางศาสนาเพ่ือการอยู่อย่างสันติใน
สังคมพหุวัฒนธรรม ส่วนแรกจะเป็นการค้นหาว่า ศาสตร์ด้านสันติศึกษามีแนวทางอย่างไรที่พอจะ
นามาประยุกต์ให้เข้ากับบริบทสังคมพหุวัฒนธรรม ส่วนที่สองคล้ายกับสุภาษิตท่ีระบุว่า “หนามยอก
เอาหนามบ่ง” เพื่อค้นหาว่า ทุกศาสนาอ้างว่าเกิดขึ้นมาเพ่ือสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่สังคม จริงอยู่
แม้จะพบว่าภายในศาสนาและระหว่างศาสนาจะมีร่องรอยความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่สาระสาคัญ
แท้จริงของศาสนาเพ่ือสันติสุขทางสังคมคือส่ิงใด พอจะนามาประยุกต์ให้เข้ากับบริบทสังคมพหุ
วฒั นธรรมไดห้ รือไม่?

แนวคดิ ดา้ นสนั ตวิ ิธีทางสงั คมเพอื่ การอยู่อย่างสนั ตใิ นสงั คมพหวุ ัฒนธรรม

สันติวิธี คือวิธีการที่จะนาไปสู่ความสงบ (สนั ติ) สันติวิธีจะมีกฎเหล็กอย่างหนึ่งคือ การไม่ใช้
ความรุนแรง/ปฏิเสธการใช้ความรุนแรง โดยทั่วไป ความรุนแรง จะหมายถึง การละเมิดบุคคลและ
ปัจจัยเก่ียวเนื่องกับบุคคล มิติศาสนาจะระบุถึงความรุนแรงคือการทาให้คนอื่นเดือดร้อน กัลตุง
(Johan Galtung) ได้กล่าวถึง ความรุนแรง ๓ แบบคือ ความรุนแรงทางตรง เช่น การทาร้ายตอ่ หน้า
ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เช่น การเวนคืนที่ดินจากบุคคลผู้อาศัยมาหลายชั่วอายุคนในบริเวณรอบ
นอกเพ่ือการแก้ปัญหาน้าท่วมขังในตัวเมือง และความรนุ แรงเชิงวัฒนธรรม เช่น การยอมรับว่า การ
ชกต่อยของนักมวยเป็นสงิ่ ท่กี ระทาได้ การท่ีนกั มวยคนหนง่ึ สมองบวมและเสยี ชวี ิตจากผลของการชก
ต่อย เป็นสิ่งท่ีเป็นไปได้ หากพิจารณาแบบตรงข้าม ความไม่รุนแรงจะคือ การไม่ทาร้าย ความเสมอ
ภาค และยตุ ธิ รรม

หลักการทั่วไปของสันติวิธีท่ีผู้ศึกษาสามารถหาคาอธิบายได้จากหนังสือด้านความขัดแย้ง
และสันติศึกษามักประกอบด้วย (๑) การปฏิเสธการใช้ความรุนแรง (๒) ปัญหาท่ีแท้จริงของความ
ขัดแย้ง/ความรุนแรง/ความไม่เห็นด้วยคืออะไร (๓) ความต้องการที่แท้จริงคืออะไร? (๔) ทุกคนมี
ความเป็นมนุษย์เหมือนกัน (๕) ขับเคล่ือนสังคมด้วยสัมพันธภาพของความร่วมมือแบบสร้างสรรค์
(๖) ใช้เหตผุ ลในการสื่อการและคานงึ ถึงความรู้สกึ (๗) พรอ้ มเผชิญต่อทุกสถานการณ์ท่จี ะเกดิ ขน้ึ (๘)
ให้ความสาคัญกับประโยชนข์ องสังคมโดยรวม ส่วนวิธกี ารที่สาคญั คือ การพูดคุย/เจรจาต่อรอง และ
เครื่องมือในเชิงลกึ คือ การรบั ฟงั ดว้ ยใจ/อย่างเข้าใจ

Listening Negotiation Peaceful ways

๒๑

หลักการเหลา่ น้คี ือหลักการท่ีสาคญั สาหรับปญั หาความขัดแย้งที่เกิดข้ึนแบบชัดเจน สาหรับ ๙
สังคมพหุวัฒนธรรม บางสถานการณ์เป็นเรื่องความรู้สึกข้างในและจาเป็นจะต้องเก็บเอาไว้ การ
คลค่ี ลายความรู้สกึ ขดั แย้งอาจตอ้ งมีคาอธบิ ายอีกแบบหนง่ึ ทแี่ ตกต่างจากความขัดแย้งทว่ั ไป

จากการใช้กรณีศึกษาและการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างในประเด็น “หากเราต้องอยู่กับคนท่ี
แตกต่างจากเรา เราควรทาอย่างไร?” “หากเรามีเพื่อนที่แตกต่างจากเรา เราจะทาอย่างไร?”๕
พอจะจัดเปน็ กลมุ่ ความคดิ ได้ดงั น้ี

วรา (นามสมมติ) เห็นว่า “เราควรให้เกียรติกันและกัน ไม่คุกคามคนอื่นและไม่ให้คนอื่นมา
คกุ คาม” ณัฐ (นามสมมติ) เห็นว่า “ตา่ งคนต่างอยู่ แยกกันไปเลย” รกั ษ์ (นามสมมต)ิ เห็นวา่ ปรับตัว
ให้เข้ากับสถานการณ์น้ัน ๆ ให้ได้” ชัย (นามสมมติ) เห็นว่า “ทาใจยอมรับสิ่งที่เกิดข้ึน เพราะว่าเรา
คนเดียวไม่สามารถเปล่ียนแปลงอะไรได้” ดา (นามสมมติ) เห็นว่า ถ้าเราไม่เข้าใจกัน เราต้องพูดคุย
กัน ส่อื สารกนั เพื่อหาตกลงรว่ มกัน” นชิ (นามสมมติ) เห็นว่า “เราต้องเรียนร้ซู ่ึงกนั และกัน หรอื การ
แลกเปล่ียนวัฒนธรรม” กร (นามสมมติ) เห็นว่า ถ้าเราต่างกัน เราต้องเรียนรู้กันและกัน ถ้าเข้ากัน
ได้ก็ปรับตัวเข้าหากัน ถ้าปรับตัวกันไม่ได้ ต่างกันต่างดาเนินชีวิตของตนเองโดยไม่ก้าวก่าย” สิทธิ์
(นามสมมต)ิ เห็นวา่ เราควรเรียนรู้ซ่ึงกันและกนั อยดู่ ้วยกนั กไ็ ด้ไม่อยู่ด้วยกันก็ได้ แค่เพียงไมก่ ้าวก่าย
กนั และกนั ” วิช (นามสมมติ) เห็นวา่ “จะบอกเขาว่า ช่วยทาตัวใหม้ ีมารยาทหน่อยนะ” สันต์ (นาม
สมมติ) เห็นว่า “เขาอาจจะมีนิสัยอย่างนั้นอยู่แล้ว สิ่งสาคัญคือ เราต้องพูดคุยกับเขาว่า ในการอยู่
ทา่ มกลางสงั คมทีห่ ลากหลาย เราควรปรับตัวใหเ้ ข้ากับคนอน่ื ให้ได้ ถ้าเราพดู แล้วเขาไม่ฟัง ก็อาจต้อง
ปฏิบัติให้เขาดู/ทาเป็นแบบอย่างให้ดู” พล (นามสมมติ) เห็นว่า ถ้าเรามีเพ่ือนอย่างนั้น เราต้องกล้า
ท่จี ะสอนกลา้ จะบอก ว่าสถานการณท์ ี่เขาอยูใ่ นตอนนี้มันไม่ถูกต้อง เขาสร้างความเดือดรอ้ นใหค้ นอ่ืน
ๆ เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมแวดล้อมให้เขา้ กับกาลเทศะ” รอน (นามสมมติ) เห็นว่า ในสถานนี้
ด้วยตัวบุคคลอาจจะคือตัวตนของเขา แต่เราก็ควรให้เกียรติงานท่ีเขาอยู่ หากเราเตือนเขาตรง ๆ
อาจจะไม่ให้เกียรติเขา ความเป็นตัวตนอาจจะเตือนรอบหลัง เพ่ือชี้ให้เห็นว่าส่ิงท่ีเขาทาเบียดเบียน
ผู้อ่ืนอย่างไร ด้วยคาพูดที่จะไม่ทาให้เขารู้สึกผิด” นัน (นามสมมติ) เห็นว่า “ถ้ามีเหตุการณ์แบบน้ัน
กับเพื่อนเรา เราควรเตือนเขาในตอนนั้น ถ้าเขาไม่โอเคเขาอาจออกไปเลย แต่ถ้าเขาโอเคก็อาจ
ปรบั ตวั หรอื อาจจะพูดดว้ ยสถานการณ์คอื ให้เขาคดิ เองว่า ถา้ เขาโดนอย่างนัน้ บ้างจะรู้สึกอย่างไร”

ท่าทีต่อกรณีศึกษา อาจจัดเป็นกลุ่มความคิดได้คือ (๑) การปฏิเสธความแตกต่าง อย่าง
ขอ้ ความวา่ “ต่างคนต่างอยู่” “การไม่ก้าวก่ายระหว่างกัน” “ทาตัวให้มีมารยาทด้วย” อันมีลักษณะ
ค่อนไปทาง เอกนิยมทางวัฒนธรรม (๒) การปรับเปลี่ยนตัวเอง อย่างข้อความว่า “ทาใจยอมรับส่ิงที่
เกิดข้ึน เพราะเราคนเดียวไม่สามารถเปล่ียนแปลงอะไรได้” (๓) การทาความเข้าใจ อย่างข้อความว่า
“เราต้องเรียนรกู้ นั และกนั /แลกเปลี่ยนวฒั นธรรม” “เขาอาจมีนสิ ัยอยา่ งนัน้ อยู่แลว้ ”

ท่าทีใน (๑) จะคือการพยายามทาให้ผู้แตกต่างเป็นอย่างท่ีตนคิด โดยแต่ละคนมีรูปแบบ
บางอย่างที่คิดว่าถูกต้องอยู่แล้ว จึงต้องการให้สิ่งที่แตกต่างเป็นตามรูปแบบน้ันท่ีคิดว่าถูกต้อง ส่ิงน้ี

๕ สัมภาษณ์เม๙่ือ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๔ ผ่านการสือ่ สารดว้ ยโปรแกรม Zoom

๒๒

คือ “การเปล่ียนแปลงคนอ่ืน” (๒) จะคือการยอมรับส่ิงที่เกิดข้ึน แต่เป็นการยอมรับอย่างขัดไม่ได้
หรือการจายอมต้องอยู่อย่างมีความขัดแย้งข้างใน ท่าทีแบบนอ้ี าจส่งผลเป็นความขัดแย้งแบบชัดเจน
ที่แสดงออกต่อกันได้ เม่ือต้องพบกับความรู้สึกขัดแย้งซ้า ๆ สิ่งนี้คือ “การจัดการตัวเอง” (๓) จะคือ
การพยายามเพ่ิมเติมตัวเองจากความไม่เข้าใจไปสู่ความเข้าใจผู้ที่แตกต่างจากตน เพื่อการอยู่ให้ได้
ทา่ มกลางความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างเข้าใจของทัง้ สองฝ่าย สง่ิ น้ีคอื การเรียนรรู้ ว่ มกันเพ่อื การ
เขา้ ใจกัน

ท่าทีที่น่าจะอยู่บนหลักการท่ัวไปของสันติวิธีมากท่ีสุดคือท่าทีใน (๓) เพราะท่าทีแบบน้ีบ่งช้ี
ถึง วัฒนธรรมสันติภาพบนฐานของความเข้าใจ จากการปฏิเสธความรุนแรง ค้นหาความต้องการ
แท้จริงคือความต้องการความเข้าใจ ที่แต่ละคนมีความแตกต่างจากสาเหตุท่ีแตกต่างกัน การใช้
ศักยภาพแห่งตนท่ีมีพัฒนาการทางสติปัญญาก้าวไกลกว่าส่ิงมีชีวิตอ่ืน คือเหตุผลผ่านการพูดคุยและ
รับฟังท่ีคานึงถึงความรู้สึกระหว่างกันเพ่ือการอยู่ร่วมเชิงสร้างสรรค์ในสังคมเดียวกันอันมีสถานภาพ
ความเป็นมนุษย์เหมือนกัน จะคือ การไม่ทาร้ายท้ังด้านร่างกายและความรู้สึก การให้เกียรติอย่าง
เสมอภาคกนั และยตุ ิสิง่ ท่เี กิดขึ้นดว้ ยความถูกต้อง (ธรรม)

แนวคดิ ทางศาสนาเพอื่ การอย่อู ยา่ งสันตใิ นสังคมพหวุ ัฒนธรรม

ระลอกแนวคิดทางศาสนาเพอ่ื สังคมมี ๓ ระลอกคือ (๑) ระลอกทางศาสนาท่ีมองวา่ ศาสนา
นี้เท่าน้ันถูกต้อง นอกจากศาสนาน้ีแล้วไม่มีศาสนาใดถูกต้อง ระลอกแบบน้ีเรียกว่า ศาสนาแบบ
ผูกขาด (Religious Exclusivism) (๒) ระลอกทางศาสนาที่มองว่า ศาสนาท่ีแตกต่างจากตนก็มีส่วน
ถูกต้องอยู่ บางส่วนของบางศาสนาเท่านั้นถูกต้อง ระลอกแบบน้ีขอเรียกว่า ศาสนาแบบซับเซต /
ศาสนาแบบมีส่วนร่วม (Religious Exclusivism) และ (๓) ระลอกทางศาสนาที่มองว่า ทุกศาสนา
ถูกต้อง อย่างข้อความว่า “ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีเหมือนกัน” และ/หรือ ความหลากหลายทาง
ศาสนา/ความหลากหลายทางวฒั นธรรมศาสนา เรียกวา่ พหนุ ิยมทางศาสนา (Religious Pluralism)

ศ.๑ ศ.๒ ศ.๓ ศ.ฯลฯ

ศ.๑ ศ.ฯลฯ
ศ.๓ ศ.๒

ศ.๑ ศ.๒ ศ.๓ ศ.ฯลฯ

ปัจจุบัน ระลอกศาสนาท่ีค่อยๆขยายพื้นที่ความคิดทางศาสนาคือ “พหุนิยมทางศาสนา”
หากศาสนาคือบุคคล จะคือการยอมรับความอยู่ของบุคคลในฐานะที่เป็นส่วนหน่ึงขอสังคมอย่างเท่า

๒๓

เทียมกัน ในสงั คมวิทยาศาสนา ศาสนาต่าง ๆ คอื ความมีอย่ขู องศาสนา ท่ีควรได้รับการยอมรับอย่าง
เท่าเทยี มกนั ถึงความมีอยู่ของศาสนาในสังคม

การนาแนวคิดทางศาสนามาพิจารณาเพ่ือการอยู่อย่างสันติในสังคมพหุนิยม อาจพิจารณา
ได้ใน ๒ ลักษณะหลักๆคือ ศาสนากับสันติวิธีเพื่อสันติภาพทางสังคม และ สันติภาพภายในจาก
แนวคดิ ทางศาสนา

๑. ศาสนากบั สันติวิธเี พ่ือสนั ตภิ าพทางสงั คม

ศาสนากับสนั ตวิ ิธีเพื่อสนั ติภาพทางสังคม จะคือ การยอมรับวา่ ศาสนาคือวิธีการหนึ่งในสันติ
วิธีทีห่ ลากหลายอันสามารถสร้างสันติภาพให้เกิดข้ึนได้ในสังคม หากพิจารณานกั ขับเคลื่อนสันตภิ าพ
ด้วยสันติวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย จะพบว่า บุคคลเหล่านั้นได้นาแนวคิดทางศาสนามา
ใช้เพื่อใหเ้ กดิ สันติภาพ อย่าง มหาตมะ คานธี ใช้แนวคิดเรื่อง “อหิงสา” อนั เป็นแนวคิดทสี่ าคัญอยา่ ง
หนึ่งในศาสนาฮินดู มาใช้เพื่อปลดแอกอังกฤษออกจากอินเดีย คุณแม่เทเรซา ผู้ใช้แนวคิดเรื่อง
“ความรัก” ช่วยเหลือเยาวชนและคนยากไร้ พุทธทาส ภิกขุ ผู้เป็นนักบวชในพุทธศาสนา ได้เสนอ
แนวคิดการมีส่วนร่วมทางศาสนาเพื่อดึงคนออกจากวัตถุนิยมจากการทาความเข้าใจศาสนาตนและ
ระหว่างศาสนา ในที่นี่จะใช้บางแนวคิดทางศาสนาแบบบูรณาการมาพิจารณาเพ่ือการอยู่ร่วมกัน
อยา่ งสันติในสงั คมพหุวัฒนธรรม

๑.๑ พระเจ้าและการอยู่ร่วมกัน หากพิจารณาแนวคิดเรื่อง “การสร้าง” ในประวัติศาสตร์
การสร้างโลกของพระเจ้า จะพบว่า มนุษย์ทุกคนมาจากต้นกาเนิดเดียวกัน หากเทียบพระเจ้าคือพ่อ
มนุษย์ทุกคนจะมพี ่อคนเดยี วกัน และในความเป็นจริงทางสังคม บางคนเทา่ น้ันท่ีดูแลเอาใจใส่พ่อเป็น
อย่างดี มีบางคนที่ถือปฏิบัติตามคาสั่งของพ่อ แต่บางคนก็ไม่เคยใส่ใจพ่อเลย แต่ทั้งหมดมีพ่อคน
เดียวกัน พระเจ้าและการอยู่ร่วมกันนี้ เพอ่ื จะชวี้ ่า ความแตกต่างเป็นสง่ิ ทปี่ ฏิเสธไม่ได้ สาเหตทุ ่ีสาคัญ
ของความแตกต่างจะคือ เคมีการเรยี นรขู้ องบุคคลและบริบทแวดล้อมที่ทาให้บุคคลปรับตัว บุคคลผู้
เข้าใจท่ีมาของความแตกต่างและจริงจังกับคาส่ังของพ่อ ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ตัดสินว่าใครคือผู้ที่พ่อไม่
ปลืม้ สงิ่ ทพี่ อจะทาไดค้ ือ การใชช้ วี ิตอยา่ งเขา้ ใจในฐานะต้นทางเดยี วกัน

๑.๒ พระเจ้าและธรรมชาติ ในงานทางปรชั ญาศาสนา ได้ตคี วามพระเจา้ ใน ๒ แบบคอื แบบ
บุคคล และแบบไม่ใช่บุคคล พระเจา้ และธรรมชาตจิ ะคือพระเจ้าในแบบไม่ใช่บุคคล สาหรับศาสนาท่ี
ไม่ได้ให้ความสาคัญว่าตนเกิดมาจากพระเจ้าแบบบุคคล อาจพิจารณาในแง่ของธรรมชาติคือสิ่ง
ย่งิ ใหญ่ เช่น เต๋ายงิ่ ใหญ่ ปรมาตมันยง่ิ ใหญ่ เปน็ ตน้ การทบี่ คุ คลมลี ักษณะทีแ่ ตกต่าง เพราะธรรมชาติ
ของคนแต่ละคนเป็นอย่างที่เขาเป็น/เป็นอย่างท่ีธรรมชาติจัดสรรให้เป็น เช่น หากนาย ก. มีนิสัย A
นาย ข. มีนิสัย B ถ้า นาย ก. เป็นนาย ข. นาย ก.ก็ต้องมีนิสัย B เพราะ นาย ก. เลือกท่ีจะเป็นแบบ
นาย ข. และ นาย ข. ก็ต้องเป็นอย่างที่นาย ข. เป็น เพราะนาย ข. ตัดสินใจเลือกท่ีจะเรียนรู้และ
ปรับตัวแบบท่ีนาย ข. เลือก ในสังคมพหุวฒั นธรรม จะพบว่า วฒั นธรรมคือตัวกาหนดลกั ษณะบคุ คล
ด้วย ผู้ที่รับไม่ได้กับวัฒนธรรมแบบใด เขาจะออกไปจากวัฒนธรรมแบบน้ัน และอยู่ในวัฒนธรรมท่ี
เขายอมรบั แต่ทั้งหมดคือการเรียนรู้และการปรบั ตัว ท่ีหมายถึง ธรรมชาติใหเ้ ขาเป็นอยา่ งที่เขาเลือก
แต่ละคนจึงมีธรรมชาติแตกต่าง ธรรมชาติ/การเกิดโดยความเป็นธรรมดาของสิ่งนั้น ๆ และเป็นสิ่งที่

๒๔

ปฏิเสธไม่ได้ การอยูใ่ นสังคมพหุวฒั นธรรม จึงจาต้องยอมรับความมีอยู่ของความเป็นธรรมดาของส่ิง
นน้ั ๆ

๑.๓ เพื่อนรว่ มทาง จากแนวคิดที่ว่า เราทุกคนเป็นเพ่ือนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย น่ันหมายถึง
ทุกคนที่รับศาสนาต่างกัน ความต่างกันเป็นเร่ืองรสนิยมในการรับศาสนา แม้บางคนจะระบุว่าไม่มี
ศาสนา แตเ่ ขาจะเช่ือในระบบคดิ ใดระบบคิดหนึง่ มีสิ่งที่ทุกคนตอ้ งพบคือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย ทุก
คนจงึ เป็นเพ่ือนร่วมทางท่ีต้องตกอยูภ่ ายใต้สถานการณน์ นั้ อย่างหลีกเลีย่ งไม่ได้

๑.๔ แนวคิดจิตนิยมทางศาสนา (Idealism of religions) ศาสนาหลักของโลกมีความเช่ือ
เหมอื นกันว่า เบื้องหลังกายท่ีปรากฏให้สัมผัสด้วยสายตาจะมเี จตภูต/ชีวะ/อาตมัน ซ่อนทาบอยู่ เมื่อ
รา่ งกายตาย เจตภูตไม่ได้ตายไปด้วย ฮินดูมองว่า เจตภูตจะไปเกิดในร่างใหม่ คริสต์และอิสลามมอง
ว่า เจตภตู จะไปรอวันพิพากษา ศาสนาเหล่านจ้ี ะให้ความสาคัญกบั “เจตภูตบริสทุ ธิ์” จึงต้องขดั เกลา
ใหส้ ะอาดดว้ ยการทาความดีละเวน้ ความชั่ว เหมือนกนั ตามแนวทางทแี่ ต่ละศาสนากาหนด

๑.๕ การเอาใจใส่ต่อแก่นศาสนาอย่างจริงจัง อย่างพุทธศาสนาสอนเร่ืองทุกข์และการไม่มี
แห่งทุกข์ ชาวพุทธจึงต้องหาวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งในการกาหนดรู้ทุกข์และหาทางในการไม่ต้อง
ทุกข์อีก ศาสนาคริสต์สอนให้ถอนตนออกจากสิ่งเลวร้ายและมอบความกรุณาต่อผู้อ่ืนโดยไม่ได้ระบุ
กรอบของความกรุณา อิสลามคือศาสนาแห่งสันติ อันหมายถึงการไม่เบียดเบียดกันและความสงบ
ภายในจิตใจ ขณะท่ีฮินดูเสนอหลักโยคะในการมุ่งมั่นฝึกฝนจิตให้บริสทุ ธิ์ โดยรวมคือ จติ บริสุทธิ์จาก
การฝกึ ฝนของตนเพือ่ ขยายพ้ืนทกี่ ารไม่เบียดเบยี นทางสังคม

๑.๖ การสงเคราะห์สังคม อย่างการสอนให้ช่วยเหลือสังคมด้วยการบริจาคทรัพย์ที่ดีอันเกิด
จากความอุตสาหะและเว้นขาดจากการบริจาคสิง่ ที่ไดม้ าโดยมิชอบ๖ การยินดีช่ว๐ยเหลือแกผ่ ู้ขอความ
ชว่ ยเหลือ อย่างขอ้ ความว่า “ถ้าผู้ใดจะขอส่ิงใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหนา้ จากผุ้ท่ีอยากขอยืมจาก
ท่าน๖ การประสา๑นความเป็นสังคมไว้ อย่างข้อความว่า “ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย การให้
(ทาน) การพูดคุยท่ีทาให้เกิดความร้สู ึกดี ๆ (เปยยวัชชะ) การบาเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม (อัตถจริยา)
และ การวางตนแบบเสมอต้นเสมอปลาย (สมานัตตตา) คือธรรมสาหรับสงเคราะห์สังคม (โลก)
เหมือนสลักเพลาควบคุมรถที่แล่นไปอยู่ไว้ได้...”๖ นอกจากน๒้ันมีคาสอนอ่ืนอีกที่หาได้ในเนื้อหาทาง
ศาสนา

๑.๗ การศึกษาเรียนรู้ความแตกต่างทางศาสนาเพื่อความเข้าใจศาสนาท่ีแตกตา่ ง ข้อเสนอนี้
เปน็ ขอ้ เสนอในมุมมองของพหนุ ิยมทางศาสนาอยา่ งแนวคดิ ของพุทธทาสผ้เู ปิดโลกทัศนท์ างศาสนาให้
กว้างข้ึนด้วยการศึกษาคัมภีร์ท่ีแตกต่างและการพูดคุยระหว่างผู้มีศาสนาต่างกัน แท้จริงแนวคิดนี้จะ
คือ การสานเสวนาระหว่างศาสนา (Interreligious Dialogue) ที่ ปาริชาติ สุวรรณบุบผา ได้
ขับเคล่ือนเชิงรูปธรรมเพ่ือการยอมรับความแตกต่างทางศาสนาอย่างเข้าใจ เริ่มต้นจาก การที่แต่ละ
คนศึกษาเรียนรูศ้ าสนาของตนให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง การจับคู่สนทนา/กลุ่มสนทนา การเสนอความคิด
ความเชื่อ และการปฏิบัติของตนให้คู่สนทนาฟัง ขณะที่คู่สนทนาผู้มีหน้าที่ฟังต้องฟังอย่างเอาใจเขา

๖ ดรู ายละเอีย๐ดใน มรั วาน สะมะอนุ . อัลกุรอานฉบับภาษาไทย ซูเราะฮฺที่ ๒ ขอ้ ๒๖๗. กรงุ เทพฯ: มปส.
หนา้ ๘๓-๘๔.

๖ องค์การกเี ด๑้ยี นส์ อิเตอรเ์ นชน่ั แนล. มปป. พระครสิ ตธรรมใหม.่ มปพ. หนา้ ๑๘.
๖ องั .จตกุ . ๒๑๒/๓๒/๕๐-๕๑.

๒๕

มาใส่ใจเรา ไม่ด่วนตัดสินก่อน การเสวนาระหว่างศาสนาอาจจบลงด้วยความเห็นท่ีแตกต่างกันก็ได้
อย่างน้อยๆ แต่ละคนผู้ร่วมสานเสวนาจะมีความเข้าใจเพิ่มข้ึน เป้าหมายที่ต้องการของการสาน
เสวนาทางศาสนาคือ ทัศนคติที่เปล่ียนไปจากความไม่เข้าใจสู่ความเข้าใจระหว่างกัน๖ แนวคิดนี้ ๓
น่าจะสอดคล้องกับการเจรจา/การเจรจาต่อรอง หากแต่จุดเริ่มต้นต่างกัน การเจรจาต่อรองจะมีคน
กลางในการเจรจาและเกดิ ขึน้ จากความขัดแยง้ แบบชดั เจน ขณะที่การสานเสวนาทางศาสนาอาจเกิด
จากการยอมรับไม่ได้ของผู้มีศาสนาต่างกัน อันเป็นความไม่ราบรื่นทางความรูสึก และมีการพูดคุย
แลกเปล่ียนกนั เพอื่ ให้เกดิ ทัศนคติทีด่ ตี ่อกันโดยไมม่ ีคนกลาง

๒. สนั ตภิ าพภายในจากแนวคิดทางศาสนา
หากแบ่งประสบการณ์ออกเป็น ๒ ส่วน ท้ัง ๒ ส่วนจะมีลักษณะท่ีแตกต่างกันคือ (๑)
ประสบการณ์ภายนอก ใช้เครื่องมือคือประสาทสัมผัสทั้ง ๕ เป็นตัวรับสารที่ส่งมา และ (๒) ประสบ
การภายใน จะใช้จิตเป็นตัวรับ โดยเนื้อแท้ของแต่ละศาสนาจะให้ความสาคัญกับจิตเป็นเร่ืองหลัก
ส่วนร่างกายเป็นเร่ืองรองและ/หรือเป็นเครือ่ งมอื ในการใหจ้ ติ เรียนรู้เพ่ือความบริสุทธิ์แหง่ จิต
สนั ตภิ าพภายในจะหมายถึง การทาให้จิตสงบ/จติ บริสุทธิ์ แม้ในขณะทสี่ ิ่งต่าง ๆ เคลอ่ื นไหว
ตนื่ ตระหนก วุ่นวายฯลฯ จากแง่น้ี เราอาจเหน็ จติ ใน ๒ ฝั่งคือ

S P
ความด้ินรน ความสงบนง่ิ
ความเครียด ความโปร่งโล่ง
ความแค้น/อาฆาต ความรกั /ความเหน็ ใจ
ความอยากได้ เมินเฉย
ความพล้ังเผลอ ความฉลาด
ฯลฯ ฯลฯ

สันติภาพภายในจะหมายถึง “P” และเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับ “S” ในตัวอย่างนั้น
เอกสารบางฉบับจะเทียบเคียง “S” คือ “ไฟ” และ “P” คือ “น้า” ในพ้ืนท่ีเดียวกันหากฝ่ายใดฝ่าย
หน่งึ มีพลงั ขบั เคลื่อนมากกว่าจะคือการลดขนาดอีกฝ่ายลง แนวคิดทางศาสนามองวา่ การท่จี ะให้เกิด
สันติภาพภายในจะต้องลดขนาดของ “S” ลง และพัฒนาพื้นท่ี “P” ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนวิธีการ
ไดค้ ณุ สมบตั คิ อื P มานน้ั อาจพจิ ารณาด้วยขอ้ เสนอดงั ต่อไปนี้

๒.๑ การกาหนดกติกาเพ่ือดูแลตน ผู้มีศาสนาต่างกันอาจเร่ิมต้นจากการศึกษาเรียนรู้กฎ
กติกา ข้อบัญญัติ ต่าง ๆ ที่แต่ละศาสนาระบุไว้และถือปฏิบตั ิโดยไม่บกพร่อง ผู้ไม่มศี าสนาอาจเริม่ ต้น
จากการต้ังกติกาสาหรับตนเองในการเตรียมความพร้อมเพื่อการฝึกฝนเรียนรู้ เช่น ฉันจะไม่ปฏิเสธ
คนที่มาขอความช่วยเหลือ ฉันจะพยายามไม่คิดร้ายต่อใคร เป็นต้น โดยมองถึงพฤติกรรมท่ีจะทาให้
ภาวะจิตใจดีข้ึน/อ่อนโยน/ปรารถนาดี/ปลอดจาก “S”ฯลฯ ด้วยการควบคุมพฤติกรรมที่ดีทางกาย
วาจาและจิตใจอยา่ งมีสตั ย์เพอื่ อหิงสา

๖ ดรู ายละเอยี ๓ดใน ปารชิ าติ สุวรรณบุบผา. (๒๕๕๒). สานเสวนา สานใจส่ใู จ. กรเุ ทพฯ: หจก.คลอลิตี้
อารท์ . หนา้ คานา-๙๔.

๒๖

๒.๒ ขัดเกลาจิตในหลากวิธีโดยไม่บกพร่อง เร่ิมจากการสังเกตตัวเองว่ามีนิสัยใจคอแบบใด
มากท่ีสุดระหว่าง ชอบของสวยๆ งาม ๆ / โกรธง่ายแค้นไม่หาย / ซึมๆ เศร้าๆเอาแน่นอนไม่ได้ /
ฟุ้งซ่าน คิดเยอะ / เชอ่ื ง่าย / เช่ือในเหตุผล จากนน้ั จึงหาวิธีการท่ีเหมาะสมกับความเป็นตน (๑) ตรึง
จิตกับอุปกรณ์ท่ัวไป โดยการเชื่อมโยงจิตกับอุปกรณ์ท่ีพอจะหาได้ เช่น หน้ากระดาษ A4 สีขาว ฝา
ผนังสีครีม เป็นต้น เรม่ิ จากการปลดวางความคิดท้ังหลายลง สายตาจอ้ งไปทอ่ี ุปกรณ์นั้นพรอ้ มกบั คิด
ในใจตามจริงท่ีมองเห็น เพ่ือให้จิตมีความรู้สึกเดียว จะคือการปลดภาระการคิดทั้งหมดลง วิธีน้ี
เหมาะกับทุกนิสัยใจคอ (๒) ตรึงจิตกับร่างกายท่ีเคล่ือนไหว โดยใช้เคร่ืองมือคือ “สติและความ
รู้สึกตัว” โดยปกติคนท่ัวไปจะคิดโดยไม่รู้สึกตัวว่ากาลังคิด เดินโดยไม่รู้สึกตัวว่ากาลังเดิน เพราะ
สมองคิดวุ่นต่อภารกิจท่ีจาเป็นของการมีชีวิต สติคือตัวหวนกลับมารับรู้พฤติกรรมท่ีเป็นปัจจุบันมาก
ท่ีสุด ส่วนความรู้สึกตัวคือการรับรู้ถึงพฤติกรรม/สิ่งท่ีเป็นปัจจุบัน สติและความรู้สึกตัวจะทางาน
ด้วยกัน สติทาหน้าท่ีดึงความรู้สึกกลับมา ส่วนความรู้สึกตัวทาหน้าที่ตรึงการรับรู้กับปัจจุบัน เช่น
ขณะท่ีกาลังน่ังกินข้าว แต่เราคดิ ไปถงึ เรื่องที่ทางาน สตแิ ละความรูส้ ึกตัวอยู่ในพน้ื ท่ีเดียวกบั ความคิด
ความคิดจะทาหน้าท่ีเหมือนเฟืองท่ีหมุน แต่สติและความรู้สึกตัวจะทาหน้าที่ดูเฟืองท่ีหมุน สติจะ
เตือนให้เราคิดถึงการน่ังกินข้าวและความรู้สึกตัวจะตรึงการรับรู้กับการกินข้าวท้ังขณะตักข้าว ยก
ข้าวใส่ปาก ขาวแตะล้ิน การกลื่นข้าว ฯลฯ เป็นต้น เคล็ดลับของการตรึงจิตกับร่างกายท่ีเคลื่อนไหว
คือการรับรู้การเคลื่อนไหวทุกๆการเคล่ือนไหวของอวัยวะที่เราจับการเคล่ือนไหวได้ ท่ีเป็นปัจจุบัน
มากท่ีสุด (๓) การตรึงจิตกับความดี/ความดีสูงสุด/ความบริสุทธ์ิ เช่น พระเจ้าท่ีไม่ได้อยู่ในฐานะ
รูปร่าง/การไม่สร้างรูปเคารพแม้แต่ในความคิด ความดีของตนที่เคยทาแล้วรู้สึกดีมาก ความดีของ
ศาสดา ความดีของบุคคลสาคัญที่เรารู้สึกปล้ืม เป็นตน้ วิธีการแบบนี้เหมาะกับคนท่ีมีนิสัยใจคอแบบ
เช่ือง่าย (๔) ใคร่ครวญความเป็นจริงของร่างกาย เร่ิมตั้งแต่พัฒนาการท่ีอยู่ในครรภ์ ออกจากครรภ์
ต้องพบทั้งสุขและทุกข์ และวันหนึ่งชีวิตนี้ก็ยุติลง ชีวิตน้ีไม่ใช่ของเรา แต่การที่เรามีชีวิตก็เพื่อหยิบ
ฉวยโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามในความหมายว่าไม่เบียดเบียดตนและคนอ่ืนให้เดือดร้อน และ
ทาจิตให้บริสุทธิ์ เมื่อร่างกายตายก็เปื่อยเน่าในหลุมฝังศพ มองที่กุโบร์จะพบสัญลักษณ์ความส้ินสุด
ชีวิตจากโลกน้ี ทุกคนไม่พ้นจากความตายได้ วิธีการแบบนี้เหมาะกับคนที่มีนิสัยใจคอแบบชอบของ
สวย ๆ งาม ๆ (๕) การตรึงจิตกับลมหายใจ โดยปกติเราหายใจเข้า-ออกสลับกันตลอดเวลา ช่วงท่ี
เหมาะกับวิธีการแบบนี้คือช่วงนั่งน่ิงๆ หรือการนอนพัก การรับรู้ลมหายใจเข้า-ออก สังเกตได้จาก
ความอณุ หภูมิท่สี ัมผัสขอบช่องจมูก วิธีการนี้อาจหาข้อความบางอย่างมาควบคุมใจอกี ทีหน่ึงก็ได้เพื่อ
ไม่ละท้ิงความดที างศาสนา เช่น ทุกการหายใจเข้า-ออก จะกาหนดในใจถึงพระผู้เป็นเจ้า (God) ก็ได้
(๖) การฝึกฝนจิตเชิงบวก โดยการมองหาสิ่งท่ีดแี ละปรารถนาดีต่อทุกคนแม้เขาจะแตกต่างจากเราก็
ได้ตาม มองเห็นคนที่เจ็บปวด ทุกข์ใจ หนักใจฯลฯ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ฝึกความชื่นชมยินดีเม่ือ
แต่ละคนประสบสิ่งดีงาม และ มีความพยายามในการช่วยเหลือคนท่ีเดือดรอ้ น แตถ่ ้าชว่ ยอะไรไม่จริง
ๆ เพราะเกินความสามารถ ควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ควรจะเป็น/ตามประสงค์ของพระผู้เป็น
เจา้ โดยไม่เก็บมาให้เปน็ ทกุ ขไ์ ปดว้ ย

๒.๓ แสวงหาแนวทางอนื่ ๆ / แนวทางสนบั สนนุ ในการทาให้การขัดเกลาจิตสัมฤทธ์ิผล (๑)
การจากัดการรับรู้ เหมาะกับคนท่ีรู้ความทุกข์ของคนอ่ืนแล้วมักเศร้าใจไปด้วยและคนอารมณ์
ฉนุ เฉียวง่าย โดยปกติเมอื่ เราเห็นกล้วย เราจะตีความทนั ทีว่ากลว้ ย เพราะการถูกสอนมาให้รู้จกั วา่ สิ่ง
ท่มี ีลักษณะแบบน้ันคือกล้วย เม่ือเราได้ยินเสียงเพลง เราจะตีความได้ทันทีว่าเพลงน้ีเป็นเพลงของวง

๒๗

BTS การจากัดการรับรู้คือการตัดความหมายออกให้เหลือแต่เพียงสิ่งท่ีรับรู้ เช่น เห็นวัตถุชิ้นหนึ่งสี
เหลือง ยาวประมาณ ๑ คืบ รับรู้แต่เพียง “วัตถุชิ้นหนึ่ง” เท่าน้ัน หรือ “สิ่งที่เห็น” เท่าน้ัน อ่าน
ข้อความท่เี พ่ือนสง่ มาทางไลน์วา่ “คนใจง่าย” รบั รแู้ ต่เพยี ง “ข้อความที่เหน็ ” เท่านัน้ โดยไม่ต้องแปล
ความหมายจากข้อความนั้น เคล็ดลับโดยรวมคือ “เห็นคือเห็น” และ “ได้ยินคือได้ยิน” ในกรอบ
ความคิดที่ว่า ถ้ารับรู้แล้วไม่ได้ทาให้จิตบริสุทธิ์/ชีวิตดีข้ึน ไม่มีประโยชน์ใด ๆ จากการรับรู้น้ัน (๒)
การแสวงหาบุคคลทางศาสนาที่พอจะชี้แนะแนวทางในการพัฒนาจิต/บุคคลไม่มีศาสนาที่มีความรู้
ความสามารถในการพัฒนาจิต มาเป็นเพ่ือนร่วมพัฒนา บุคคลในความหมายน้ีไม่ใช่คนที่อาจสวด
มนต์ได้เก่ง แต่ไม่เคยเข้าถึงภาวะความสงบจากการสวดมนต์หรือสาระสาคัญที่บทสวดมนต์ระบุถึง
สวดสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างคล่องแคล่วแต่ไม่เคยรับรู้ถึงวิญญาณแห่งพระองค์ท่ีเป่ียมด้วยความรัก
ระลึกถึงพระเจ้าทุกครั้งท่ีประกอบพิธีกรรมแต่ไม่เคยสัมผัสธรรมชาติแห่งพระเจ้า หากแต่ใครก็ได้ที่
สามารถถอดรหัสระหว่างสาระท่ีแท้จริง/ความหมายของข้อความน้ันและการสัมผัสความหมายนั้น
การแสวงหาบุคคลแบบนีเ้ พอื่ ให้เขาเป็นกระจกสะท้อนแนวทางท่ีเราได้ฝกึ ฝนและเปิดเผยเคลด็ ลับใน
การฝึกจติ (๓) การใช้สมอง/ปญั ญาในการตรวจสอบผลทเ่ี กิดจากการฝกึ จติ หากเกิดโทษใหพ้ ิจารณา
และละ แต่หากเกดิ ประโยชนต์ อ่ การทาให้ใจบริสทุ ธิ์ ควรรักษาและพัฒนาต่อยอด

สนั ติภาพภายในจากแนวคิดทางศาสนาคือการที่จิตบริสุทธิ์จากความเลวร้ายท่ีแตล่ ะศาสนา
ระบุถึง ด้วยความพากเพยี รของมนุษย์ในการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจ การพิพากษาในวนั สนิ้ โลกคือการที่
ผลแหง่ ความดีงามท่บี คุ คลได้สะสมด้วยการฝกึ ฝนสง่ ผลให้บุคคลมจี ิตสงบได้ทา่ มกลางส่งิ ตา่ ง ๆ

จากเน้ือหาท่ีนาเสนอมาทั้งหมดพอท่ีจะสรุปได้ว่า สังคมพหุวัฒนธรรมคือการท่ีสังคมมีวิถี
การดาเนินชีวิตที่มากกว่า ๑ รูปแบบ หรือ “สังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ที่สังเกตได้
คือ ความคิด-ความเช่ือและวิถีปฏิบัติท่ีแตกต่างกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมพหุวัฒนธรรมคือการท่ี
บุคคลยอมรบั ไม่ได้ถึงความแตกตา่ งหลากหลายทางวฒั นธรรม อาจส่งผลเป็นความขัดแยง้ ใน ๒ แบบ
หลักๆที่พอสังเกตได้การสถานการณ์ปัจจุบันคือ ความขัดแย้งทางด้านการเมือง และความขัดแย้ง
ทางดา้ นสังคม กรณีท่คี วามขดั แย้งบานปลายจะส่งผลเป็นความรุนแรง และความรุนแรงท่ีบานปลาย
คือหายนะในประวัติศาสตร์โลก เฉพาะกรณีความขัดแย้งทางวัฒนธรรมทางศาสนา จะพบทั้งการ
ปฏิเสธศาสนา ความขัดแย้งระหว่างศาสนา และความขัดแย้งภายในศาสนา สาเหตุลึกๆคือ การไม่
เข้าใจ/ไม่เข้าถึงสาระที่แท้จริงของศาสนา ข้อเสนอด้านสันติวิธีของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคม
พหุวฒั นธรรม เราอาจจาเปน็ ต้องปลดปล่อยความหลายหลากทางวัฒนธรรมให้เป็นไปอย่างที่ควรจะ
เป็น เพ่ือรักษาเสถียรภาพของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของศาสนาท่ีพบว่ามีอยู่มากกว่า ๑ ศาสนา
ขณะเดียวกนั ต่างฝ่ายต่างควรเรียนรเู้ พื่อการเข้าใจระหว่างกัน ในกรณีข้อเสนอทางศาสนา หากเช่ือ
ความมอี ยู่ของพระเจ้า มนุษย์ทกุ คนคอื ผลติ ผลของพระองค์ หากเชอ่ื ในธรรมชาตคิ ัดสรร สิง่ ต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้นคือการคัดสรรโดยธรรมชาติ และมีความเป็นไปได้ที่พระเจ้าและธรรมชาติที่ระบุถึงจะคือส่ิง
เดียวกัน มนุษย์จึงมีสถานภาพแห่งเพ่ือนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งสาคัญของความเป็นมนุษย์ใน
วฒั นธรรมทางศาสนาคือ เจตภูต/จิต ท่ีมนุษย์ทุกช่ือทางศาสนาจะต้องให้ความสาคัญในการขัดเกลา
ให้บริสุทธ์ิ ด้วยวิธีการที่สอดคล้องกับลักษณะแห่งตนท้ังน้ีเพ่ือสันติภาพภายในและการเข้าถึง
ธรรมชาตแิ หง่ พระเจา้

๒๘

บรรณานุกรม

สุชาติ ประสทิ ธริ์ ัฐสินธ,์ุ ศ.ดร.. (๒๕๕๓). ปรัชญาของศาสตร์สังคม. กรงุ เทพฯ: ห้างหนุ้ ส่วนจากัดสาม
ลดา.

ศรีเพ็ญ ศุภพิทยากุล. (๒๕๖๔). มนุษย์กับสันติภาพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย.

ปารชิ าด สวุ รรณบุบผา, ผศ.ดร..(๒๕๕๒). สานเสวนา...สานใจสู่ใจ. กรงุ เทพฯ: หจก.ควอลิตี้ อารท์ .
ติช นัท ฮันท์. (๒๕๓๗). ศานติในเรือนใจ. แปลโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์

มลู นธิ โิ กมลคีมทอง.
กรุณา-เรอื งอไุ ร กุศลาสยั . (๒๕๔๕). วาทะคานธ.ี กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์ศยาม.
เดวดิ โบหม์ . (๒๕๖๒). ว่าด้วยสนุ ทรยี สนทนา. แปลโดย เพชรรัตน์ พงษ์เจริญสุข. กรุงเทพฯ: บริษัท

ภาพพมิ พ์ จากดั .
พทุ ธทาสภกิ ข.ุ (๒๕๔๙). สนั ติภาพ. กรงุ เทพฯ: มิตรสัมพนั ธ์.
ชลธริ า สัตยาวฒั นา, ศ.ดร. และคณะ. (๒๕๕๒). วถิ สี สู่ นั ติ. กรงุ เทพฯ: สันติศิริการพมิ พ.์
อิฌิอิ โยเนะโอะ, ศ.. (๒๕๕๖). ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษา. บรรณาธิการโดย

ฉัตรทิพย์ นาถสุภาและฉลอง สุนทราวาณิชย์. กรุงเทพฯ: บริษัท สานักพิมพ์สร้างสรรค์
จากัด.
แคทเธอรีน อิงแกรม. (๒๕๕๒). ตามรอยคานธี. แปลโดย ไกรวรรณ สีดาฟองและอัฐพงศ์ เพลิน
พฤกษา. บรรณาธิการโดย อนิตรา พวงสวุ รรณ. กรงุ เทพฯ: มลู นธิ ิโกมลคีมทอง.
ปีเตอร์ แอ็คเคอร์แมน และ แจ๊ค ดูวาลล์. (๒๕๕๓). พลังแห่งสันติวิธี: การยุติความขัดแย้งในรอบ
ศตวรรษ. แปลโดย ดรุณี แซล่ ่ิว และเนาวนิจ สิรผิ าติวิรตั น์. บรรณาธิการโดย สดใส ขันติว
รพงศ์. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั แปลนพร้นิ ทต์ งิ้ จากดั .
สมภาร พรมทา, ศ.ดร.. (๒๕๕๙). ชีวิตทด่ี .ี กรงุ เทพฯ: บีพีเค พร้นิ ติ้ง.


Click to View FlipBook Version