อารยธรรม
โลกยุคกลาง
สู่การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์
Hundred Years' War
Crusade War
LEONARDO DA VINCI
RAFFAELLO SANZIO
MICHELANGELO DI LODOVICO
BUONARROTI SIMONI
คำนำ
E-BOOK เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาสังคมศึกษา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยมีจุดประสงค์เพื่อ การศึกษาหาความรู้
เกี่ยวกับยุคกลาง เหตุการปฏิวัติต่างๆสงครามครูเสด สงคราม
100 ปี ยุคฟื้ นฟูศิลปะวิทยาและยุคสมัยใหม่ เป็นต้น ผู้จัดทำได้
เลือกหัวข้อนี้ในการทำสื่อการเรียนรู้เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
คณะผู้จัดทำ ขอขอบคุณ อาจารย์ ธเนศ ชะพินทร ที่ให้
เเนวทางในการศึกษาหาความรู้ และข้อเสนอเเนะ ผู้จัดทำหวังเป็น
อย่างยิ่งว่าสื่อการเรียนรู้ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาไม่มาก
ก็น้อยหากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ
ยุคกลาง-เหตุการปฏิวัติต่างๆ 1-6
-ระบบฟิวดัล
-อิทธิพลของศาสนาคริสต์
-สงครามครูเสด
-สงครามร้อยปี
ยุคฟื้ นฟูศิลปะวิทยา6-8
-เเนวคิด
-นักปรัชญาศิลปิน
-ศิลปะ
-วรรณกรรม
ยุคสมัยใหม่8-13
-การสำรวจโลก การกำเนิดชาติใหม่
-การปฏิรูปศาสนา
-การปฏิวัติด้านต่างๆ
-การปฏิวัติเกษตรกรรม
-การปฏิวัติอุสาหกรรม
-การปฏิวัตทางภูมิปัญญา
-การปฏิวัติอังกฤษ-อเมริกา-ฝรั่งเศษ
1
ยุคกลาง-เหตุการปฏิวัติต่างๆ
ระบบฟิวดัล
ระบบฟิวดัล(ระบบศักดินาสวามิภักดิ์)
เป็นลักษณะการปกครองและสังคมของชนเผ่าเยอรมัน(เน้น
ความผูกพันระหว่างนักรบกับและหัวหน้านักรบตามประเพณี
โดยกษัตริย์กระจายอำนาจไปสู่หัวหน้าหรือกลุ่มนักรบ)และ
ลักษณะการปกครองที่สืบทอดมาจากโรมัน(ระหว่างผู้อุปการะ
กับผู้รับอุปการะและความสัมพันธ์ระหว่าง นายกับข้าทาส)
ผสมผสานกันเป็นรากฐานของยุโรปสมัยกลาง
ในช่วงที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย ชาวนาเจ้าของที่ดิน
ต้องหลบหนี ลี้ภัย เกิดความหวาดกลัว จึงต้องยกที่ดินให้
ผู้มีอำนาจเพื่อขอความคุ้มครองเจ้าของที่ดินเดิมเปลี่ยน
สภาพมาเป็นผู้เช่าที่ดิน แต่เป็นเสรีชนและกษัตริย์มี
อาณาจักรกว้าง
โครงสร้างทางสังคมของระบบฟิวดัล
1. กษัตริย์ มีฐานะเป็นสูงสุดโดยมีขุนนางเป็นมีพันธะผูกพันทาง
หน้าที่ต่อกัน กษัตริย์จะพระราชทานที่ดินเป็นการมอบหมายอำนาจใน
การปกครอง ให้กับขุนนาง อำนาจของกษัตริย์อ่อนลงปกครอง
ราษฎร์ที่อยู่รอบพระนคร ดินแดนส่วนอื่นๆเป็นของขุนนาง และมี
ความผูกพันกับกษัตริย์โดยยกย่องให้เป็นหัวหน้า
2. ขุนนาง ขุนนางมีฐานะเป็นทั้ง ของกษัตริย์ ซึ่งมีหน้าที่ส่งทหาร 2
ของตนไปสมทบกับกองทัพของและช่วยเหลือทางการเงินแก่ขุนนางชั้นสูงยังมีฐานะเป็นของขุนนางชั้น
ต่ำกว่าลงมา ขุนนางเป็นเจ้าของปราสาทหรือคฤหาสน์
ยังมีขุนนางที่ผ่านการฝึกได้รับการสถาปนาแต่ตั้งให้เป็นอัศวินไม่ใช่ขุนางที่สืบทอดทางสายโลหิต
3. เสรีชน ส่วนใหญ่เป็นชาวนา เป็นผู้เช่าที่ดินซึ่งเคยเป็นของตนเองแต่ไม่มีภาระผูกติดกับที่ดิน หรือเป็นเจ้าของที่นา
ขนาดเล็ก ชาวนารายเล็กๆ
4. ทาสติดที่ดินคือชาวนาที่อาศัย ทำกินบนที่ดินตั้งแต่บรรพบุรุษ ต้องผูกติดกับ ที่ดิน จะโยกย้ายไปไหนไม่ได้ อยู่ในการควบคุม
ของเจ้านาย ต้องเสียภาษีรัชชูปการ ภาษีผลิตผลที่ผลิตได้ให้เจ้านาย ยอมให้เจ้านายเกณฑ์แรงงานขุดคู สร้างสะพาน
5. พระและนักบวช มีบทบาททางการอบรมจิตใจให้แก่สามัญชน
3
ระบบฟิวดัลเสื่อม
1. เนื่องจากการปฏิวัติทางเศรษฐกิจคริสต์ศตวรรษที่ 11
2. การฟื้ นฟูการค้ากับตะวันออกใกล้ มีการไถ่ตัวทาสติดที่ดินเป็นอิสระโดยไปทำการค้า เป็นช่างฝีมือ
3. เกิดโรคะบาด กาฬโรค ทั่วยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 14
4. มีทหารรับจ้าง ชาวนา หนีไปเป็นทหารรับจ้าง เกิดจลาจลชาวไร่ ชาวนา
5. กษัตริย์เริ่มติดต่อโดยตรงกับประชาชนทรงมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงยุบกองทัพของขุนนาง
อิทธิพลของศาสนาคริสต์
บทบาททางสังคม
ในสมัยกลางคริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมยุโรป
เพราะสังคมมีแต่ความวุ่นวายและความเสื่อม ผู้ที่ปรารถนาจะ
หลบหนีจากความวุ่นวายได้พบว่า คริสต์ศาสนาสามารถให้ความ
รู้สึกที่มั่นคงทางจิตใจได้ คริสต์ศาสนาจึงแผ่อิทธิพลไปทั่วยุโรป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และ 13 ศาสนจักรมี
อำนาจสูงสุดเหนือสถาบันใด ๆ และเข้าไปมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต
ของชาวยุโรปอย่างกว้างขวาง
บทบาททางการเมือง
ศาสนจักรได้อ้างอำนาจเหนือกษัตริย์และขุนนางในฐานะ
ของผู้สถาปนากษัตริย์ สันตะปาปาอ้างอำนาจได้ตั้งแต่
สันตะปาปาลีโอที่ 3
ศาสนจักรได้เข้ามามีบทบาทในการยุติสงครามการแย่ง
ที่ดินระหว่างเจ้านายที่ดินต่าง ๆ
ศาสนจักรได้จัดระบบการพิจารณาศาล จึงอ้างในสิทธิที่
จะพิจารณาคดีทั้งศาสนาและทางโลก
4
บทบาททางเศรษฐกิจ
ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งในสมัยกลาง เนื่องจากศาสนจักรได้
เงินภาษีจากประชาชน และบรรณาการที่ดินที่ชนชั้นปกครองมอบให้ศาสนจักร
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศาสนจักรมีอำนาจในสมัยกลาง ได้แก่ การจัดการอำนาจ
แบบรวมศูนย์ที่มีประสิทธิภาพของศาสนจักรคริสตจักรได้วางรูปแบบการ
บริหารงานเลียนแบบการบริหารของจักรวรรดิโรมัน
สงครามครูเสด
สงครามครูเสด เป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษยชาติ
ในครั้งอดีต เป็นสงครามระหว่างศาสนา โดยส่วนใหญ่
หมายความถึงสงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวมุสลิมและชาว
คริสต์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ดินแดนที่ทำการสู้รบและ
แย่งชิงพื้นที่กัน เป็นสถานที่สำคัญของสามศาสนาได้แก่
อิสลาม ยูได และ คริสต์ ซึ่งในปัจจุบัน ก็คือบริเวณประเทศ
อิสราเอล ปาเลสไตน์ และเลบานอน
สาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดสงครามครูเสด
1. สงครามครูเสดเป็นผลของความขัดแย้งกันเป็นเวลาช้า
นาน ระหว่างคริสตจักรทางภาคตะวันตกกับทางภาคตะวันออก
2. ความกระตือรือร้นในการไปแสวงบุญของชาวคริสเตียนยัง
นครเยรูซาเล็มมีมากกว่าที่เคยเป็นมา
3. ช่วงเวลาระหว่างนั้น เป็นระยะเวลาที่ระส่ำระสายอยู่ทั่วไปใน
ยุโรป
4. มุสลิมได้กลายเป็นมหาอำนาจทางการค้าแถบชายฝั่ งทะเล
เมดิเตอร์เรเนียนตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา
5. สันตะปาปา เออร์แบนที่ 2 ประสงค์จะรวมคริสตจักรของกรีก
มาไว้ใต้อิทธิพลของท่านด้วย จึงได้เรียกประชุมชาวคริสเตียนที่
เมืองเลอมองส์ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26
พฤศจิกายน ค.ศ. 1095 และรบเร้าให้ชาวคริสเตียนทำสงครามกับ
ชาวมุสลิม
สงครามร้อยปี 5
สงครามร้อยปี
เป็นความขัดแย้งระหว่าง อังกฤษและฝรั่งเศส นาน 116 ปี นับแต่ ค.ศ. 1337 ถึง 1453เริ่มจากการอ้างสิทธิ์ของกษัตริย์
อังกฤษ เหนือบัลลังก์ฝรั่งเศส คำที่นักประวัติศาสตร์ใช้นิยามสงครามความขัดแย้งแบ่งได้สามถึงสี่ช่วง คือ
1. สงครามยุคเอ็ดเวิร์ด 2. สงครามยุคแครอไลน์ 3. สงครามยุคแลงคาสเตอร์
อังกฤษกับฝรั่งเศสเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ชาวนอร์มังดีบุกไปชิงราชบังลังก์ที่เกาะอังกฤษเพราะยังอยากที่จะ
ได้ดินแดน ของบรรพบุรุษกลับมาอีกครั้ง อังกฤษกับฝรั่งเศสจึงทำสงครามกันเรื่อยมา
ช่วงหลังของสงครามอังกฤษสามารถบุกเข้าไปยึดดินแดนของ
ฝรั่งเศสได้จนเกือบจะสิ้นชาติ แต่ก็มีการมาถึงของหญิงสาว “ฌานดาร์
ค” (โจน ออฟ อาร์ค) JON OF ARC สาวชาวนาผู้ได้รับนิมิตจากพระเจ้า
ให้นำฝรั่งเศสไปสู่เอกราชจากพวกอังกฤษ
โจน เป็นผู้นำทัพฝรั่งเศสต่อสู้ จนสามารถช่วยให้ กษัตริย์ชาร์ล ที่
7 สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ฝรั่งเศส แต่ไม่ทันที่จะจบสงคราม โจน ก็ถูก
ฝรั่งเศสทรยศ จับตัวส่งไปให้อังกฤษเผาทั้งเป็น ในข้อหาว่าเป็นแม่มด
แต่การกระทำของโจนก็ไม่เสียเปล่าพวกฝรั่งเศสขับไล่อังกฤษออกจาก
ประเทศได้สำเร็จ
ยุคฟื้ นฟูศิลปะวิทยา 6
แนวคิด
พื้นฐานทางปัญญาของยุคเรอแนซ็องส์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ มนุษยนิยม ซึ่งได้รับมาจากแนวคิดของฮิวแมน
นิตัสจากสมัยโรมันและการค้นพบปรัชญากรีกสมัยคลาสสิคอีกครั้ง เช่น โพรทาโกรัส ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า "มนุษย์เป็น
หน่วยชี้วัดของทุกสิ่ง" ความคิดใหม่เหล่านี้ได้ปรากฏให้เห็นใน ศิลปะ สถาปัตยกรรม การเมือง วิทยาศาสตร์ และ
วรรณกรรม
นักปรัชญาศิลปิน
ลีโอนาร์โด ดา วินชีเป็นศิลปินที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อกันมา
แล้ว ทั้งตัวศิลปิน และผลงานของเขา ดาวินชีเป็นทั้งจิตรกร ช่าง
แกะสลัก สถาปนิก และนักประดิษฐ์ เขาถูกยกย่องว่าเป็น หนึ่งใน
จิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ผลงานของเขายังถูกกล่าวถึง และ
นำมาศึกษาในทุกวันนี้
มิเกลแองเจโล บัวนารอตติ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนส
ซองส์ทัดเทียมกับเลโอนาร์โด ดา วินชี มิเกลแองเจโล เป็น
จิตรกร ประติมากร และสถาปนิก เขาเป็นชาวอิตาลีเช่นเดียวกับ
ดาวินชี เขาถูกเรียกว่า IL DIVINO (THE DIVINE ONE) จากผู้
ที่ชื่นชม
ราฟาเอล หรือชื่อเต็ม ราฟาเอลโล่ ซานติ เป็นจิตรกรและ
สถาปนิกชาวอิตาเลียน เขาถูกนับเป็นหนึ่งในสามศิลปินที่ยิ่งใหญ่
ในยุคเรเนสซองส์ต่อจากดา วินชี และมิเกลแองเจโล
ผลงานของราฟาเอลมีความโดดเด่นในเรื่องของความชัดเจน
การจัดองค์ประกอบของภาพ และความสง่างามของตัวละครใน
ภาพ
7
ศิลปะ
สถาปัตยกรรม
งานสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ในสมัยเรอเนซองส์ ได้แก่ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (ST. PETER) ในกรุงโรม เป็น
ศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก วิหารนี้มีศิลปินผู้ออกแบบควบคุมงานก่อสร้างและลงมือตกแต่งด้วยตนเอง
ต่อเนื่องกันหลายคน
จิตรกรรมและประติมากรรม
งานจิตรกรรมและประติมากรรมในสมัยเรอเนซองส์ ศิลปินสร้างสรรค์ในรูปความงามตามธรรมชาติ และความงามที่
เป็นศิลปะแบบคลาสสิกที่เจริญสูงสุด ซึ่งพัฒนาแบบใหม่จากศิลปะกรีกและโรมัน ความสำคัญของศิลปะสมัยเรอเนซองส์
มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ศิลปะเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะเทคนิคการเขียนภาพ
วรรณกรรม
วรรณกรรมสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยาการได้รับอิทธิพลจากวรรณคดี
กรีก-โรมันผ่านมาทางอิตาลีและแผ่ขยายไปในประเทศต่างๆ ในยุโรป
นักเขียนสมัยนื้ได้ยึดแนวทางมนุษยนิยม ใช้ภาษาละตินสะท้อนความ
คิดต่อต้านแนวคิดขนบนิยมของคริสต์ศาสนา ผสมผสานกับแนวคิด
ปรัชญากรีก-โรมัน
8
งานประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองในยุคนี้ สะท้อนให้เห็นความ
ขัดแย้งทางความคิดในการต่อต้านคริสต์ศาสนาหรือแสดงออกถึง
ปรัชญาทางการเมือง เช่น เรื่องเดคาเมรอน ของโจวันนี บอกกัชโซ เป็น
เรื่องเสียดสีสังคม
เรื่องเจ้าผู้ปกครอง ของนิคโคโล มาเคียวัลลี ซึ่งอธิบายลักษณะของผู้
ปกครองว่าต้องมีอำนาจและใช้อำนาจเด็ดขาดในการปกครอง เรื่อง
ยูโทเปีย ของเซอร์โทมัส มอร์ กล่าวถึงเมืองในอุดมคติที่มนุษย์ในสังคมมี
ความสุข
ยุคสมัยใหม่
การสำรวจโลก การกำเนิดรัฐชาติใหม่
ยุคแห่งการสำรวจ หรือ ยุคแห่งการค้นพบ เป็นช่วงระยะเวลาในประวัติศาสตร์โลกที่เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ไป
จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ชาวยุโรปออกเดินทางไปสำรวจทางทะเลในโลกที่กว้างออกไปจากตัว
ทวีปยุโรปเองโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาคู่ค้าขายใหม่ และโดยเฉพาะเพื่อการแสวงหาสินค้าเพื่อสนองความต้องการของ
ตลาดตามต้องการ สินค้าที่เป็นที่ต้องการกันมากในยุโรปในขณะนั้นคือทอง เงิน และ เครื่องเทศ
รัฐชาติที่สำคัญและมีบทบาทในช่วงสมัยใหม่ตอนต้น
1. สเปน
สเปนเป็นรัฐชาติที่มีอำนาจและอิทธิพลที่สุดในสมัยคริสต์ศตวรรษที่
15 เติบโตขึ้นในสมัยกษัตริย์เฟอร์ดินานด์แห่งอาเรกอน และพระนางอิซา
เบลลาแห่งคาสตีล ทั้งสองพระองค์ทรงรวม 2 อาณาจักรเข้าด้วยกันใน
ค.ศ. 1469
9
2. โปรตุเกส
โปรตุเกสมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 เมื่อเคาน์เฮนรี่แห่งเบอร์
กันดีได้ช่วยเหลือ กษัตริย์เลออนแห่งสเปนต่อสู่พวกมัวร์ จึงได้รับพระราชทานที่ดินผืน
ใหญ่ในบริเวณโอปอร์โต ซึ่งต่อไปจะกลายเป็นประเทศโปรตุเกส
3. ฝรั่งเศส
การนำของโจนออฟอาร์คทำให้ชาวฝรั่งเศสเกิดความสำนึกในชาติ และช่วยให้
ประสบความสำเร็จในการขับไล่ชาวอังกฤษออกจากประเทศได้ในสงครามร้อยปี (
ค.ศ.1337 – 1453 ) จากนั้นฝรั่งเศสก็เข้าสู่ความเป็นรัฐชาติแบบใหม่ในสมัยพระเจ้า
หลุยส์ที่ 11 แห่งราชวงศ์ลัว
4. อังกฤษ
อังกฤษเข้าสู่สมัยใหม่ในสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 แห่งราชวงศ์
ทิวดอร์ ทรงปรบปรามอิทธิพลของขุนนางศักดินาด้วยการยกเลิก
กองทัพศักดินา เติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 มี
การขยายตัวโพ้นทะเล และทำสงครามชนะกองทัพเรืออาร์มาดาของ
สเปน ในปี ค.ศ. 1588
5. จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และรัฐต่าง ๆ ในบริเวณ
เยอรมนี
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หมายถึง จักรวรรดิที่มี
อำนาจปกครองดินแดนที่อยู่ตอนกลางของทวีปยุโรป ก่อ
ตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยกลางเมื่อจักรพรรดิช์ลมาญ ทรงรวบรวม
ดินแดนในยุโรปตอนกลางไว้ได้ ทรงได้รับการสวมมงกุฎ
จากพระสันตะปาปาเป็นจักรพรรดิปกครองดินแดนเหล่านี้
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 800
10
6. อิตาลี
เมื่อเข้าสู่สมัยใหม่ตอนต้น อิตาลีแบ่งอกเป็นรัฐอิสระต่าง ๆ ที่มี
ฐานะทางการเมืองและเศรษฐกิจแตกต่างกัน อิตาลีไม่อาจรวมชาติได้
เพราะปัญหาจากรัฐสันตะปาปา ดินแดนส่วนหนึ่งตอนกลางของแหลม
อิตาลีที่อยู่ในความครอบครองของสันตะปาปามาตั้งแต่สมัยกลาง จน
กระทั่ง ค.ศ.1870 อิตาลีจึงรวมรัฐชาติได้สำเร็จ
การปฏิวัติด้านต่างๆ
การปฏิวัติเกษตรกรรมใช้อธิบายช่วงของการพัฒนาระบบเกษตรกรรมในสหราชอาณาจักรระหว่าง
คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ซึ่งสามารถจำกัดความแบบเจาะจงว่า) การปฏิวัติ
เกษตรกรรมในอังกฤษ เป็นการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรด้วย
นวัตกรรม เครื่องจักรการเกษตร การจัดสรรกรรมสิทธิ์และการใช้ประโยชน์จากที่ดิน และ ชลประทาน
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เป็นการกำเนิดของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ระหว่าง สมัยใหม่ตอนต้น เมื่อ
พัฒนาการในวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ ชีววิทยา (รวมกายวิภาคศาสตร์มนุษย์) และเคมีเปลี่ยนมุม
มองของสังคมและธรรมชาติ การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เริ่มต้นในทวีปยุโรปในช่วงปลาย
11
การปฏิวัติอุตสาหกรรมคือช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1760 ถึง ค.ศ. 1850 เมื่อการเปลี่ยนแปลงในภาค
เกษตรกรรม การผลิต การทำเหมืองแร่ การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อ
สภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนั้น การปฏิวัติเริ่มต้นใน สหราชอาณาจักร จากนั้นจึงแพร่ขยาย
ไปยัง ยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกซึ่งเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถูกรวมเข้ากับการปฏิวัติครั้งที่สองในราวปี ค.ศ.
1850 เมื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้รับแรงขับเคลื่อนจากการพัฒนาเรือกลไฟ ทางรถไฟ และต่อ
มาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วย เครื่องยนต์สันดาปภายใน และ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ช่วงของเวลาที่ถูกครอบคลุมด้วย
การปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นหลากหลายและแตกต่างกันออกไปในนักประวัติศาสตร์แต่ละคน
การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์คือขบวนการ การปฏิรูปศาสนา ที่เริ่มโดย มาร์ติน ลูเทอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1517 เพื่อ
แก้ไขความเสื่อมโทรมของ คริสตจักร โรมันคาทอลิก และ สถาบันสันตะปาปา มาเสร็จสิ้นลงด้วย สนธิสัญญาสันติ
ภาพเวสต์ฟาเลีย ค.ศ. 1648 ผลจากการปฏิรูปคือการแยกตัวจากนิกายคาทอลิกมาเป็นนิกาย โปรเตสแตนต์
12
การปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และเสร็จสิ้นลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพ
เวสต์ฟาเลีย ค.ศ. 1648 การปฏิรูปภายนอกที่แบ่งศาสนาคริสต์ออกเป็น 2 นิกายคือ โรมันคาทอลิก และโปรเตสแตนต์
การปฏิวัติอเมริกคือช่วงระยะเวลาครึ่งหลังของ
ศตวรรษที่ 18 ที่มีการลุกฮือเพื่อประกาศเอกราชจาก
จักรวรรดิอังกฤษ ของประชาชนชาวอเมริกา และสถาปนา
สหรัฐอเมริกา ขึ้นในเวลาต่อมาหลังจากได้รับชัยชนะใน
การปฏิวัติในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นประเทศแรกที่ปกครองใน
ระบอบ ประชาธิปไตยเสรีนิยม ภายใต้รัฐธรรมนูญ
การปฏิวัติฝรั่งเศส เริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1789 เมื่อ
กองกำลังประชาชนร่วมกันล้มล้าง ระบอบเก่า เพื่อสถาปนาระบอบ
ใหม่ นำไปสู่ระบอบ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นระยะเวลา
ชั่วคราว และแล้วสถาบันกษัตริย์ก็ถูกล้มล้างโดยสมบูรณ์นเดือน
กันยายน ค.ศ. 1792 ราชอาณาจักรฝรั่งเศสแปรสภาพเป็น
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่หนึ่ง
13
ตามด้วยการประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1793 และความวุ่นวายทางการเมืองที่
ยาวนานหลายปี ความวุ่นวายเหล่านี้สิ้นสุดลงเมื่อนายพล นโปเลียน ได้ก่อ รัฐประหาร 18 บรูว์แมร์ และตั้ง
ตนเองเป็น กงสุลเอก เมื่อพฤศจิกายน ค.ศ. 1799 หลักการหลายประการในปัจจุบันได้ถือว่าเป็นพื้นฐาน
สำคัญของระบอบ ประชาธิปไตยเสรีนิยม สมัยใหม่
การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ยังรู้จักกันในชื่อ การปฏิวัติปี ค.ศ. 1688 คือการปฏิวัติ
โค่นล้ม ราชบัลลังก์ ของ สมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ (พระเจ้าเจมส์
ที่ 7 แห่งสกอตแลนด์, พระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งไอร์แลนด์) โดยสหภาพ นักรัฐสภา
นิยม ชาวอังกฤษ กับ เจ้าผู้ครองสถาน ชาว ดัตช์ เจ้าชายวิลเลียม แห่ง ออ
เรนจ์-นัสเซา (เจ้าชายวิลเลียมแห่งออร์เรนจ์)
จากความสำเร็จในการบุกยึดอังกฤษ ด้วยกองทัพเรือของเจ้าชายวิลเลียม ตามมาซึ่งการขึ้นครองราช
บัลลังก์อังกฤษเป็น พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ ร่วมกับ สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ
พระชายา การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ยังถือเป็นจุดสิ้นสุดของระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในอังกฤษ ทำให้
กษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
สมาชิก
นายภัทรภูมิ วิเชียรสาร เลขที่2
นายคณวัฒน์ สุขสมศรี เลขที่4
นายขุนเขา เลขยัน เลขที่10
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/9
THANK YOU