The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ด.ญ.ฑิคัมภรณ์ เเสนศรี 11ข ม.2/8

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by maynaruknaka, 2022-11-15 04:28:20

จิตวิทยา

ด.ญ.ฑิคัมภรณ์ เเสนศรี 11ข ม.2/8

คำนำ

e-book เล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยา
ซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วย จิตวิทยาด้าน

ต่ า ง ๆ
โดยรวบรวมข้อมูลมาเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้

ศึกษา เเละเรียนรู้เพิ่มเติม
โดยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ว20256
โปรเเกรมนำเสนอข้อมูล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
2 ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้รับ

ป ร ะ โ ย ช น์ ไ ม่ ม า ก ก็ น้ อ ย
เเละขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างยิ่งที่สนใจ

e-book เล่มนี้ของเรา

ผู้จัดทำ
ฑิคัมภรณ์

ส า ร บั ญ

จิตวิทยาคืออะไร...........................................1
จิตวิทยามีความสำคัญอย่างไร.............2
ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา........3
จิตวิทยาด้านความรัก................................4
จิตวิทยา 20 ข้อ.............................................5
รวม 13 ข้อเท็จจริง.....................................7
7 เทคนิคจิตวิทยา......................................10
บรรณานุกรม................................................11

1

จิ ต วิ ท ย า คื อ อ ะ ไ ร ?

คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับ จิตใจ (กระบวนการ
ของจิต), กระบวนความคิด, และ พฤติกรรม ของ มนุษย์
ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่นักจิตวิทยา
ศึกษาเช่น การรับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของมนุษย์),
อารมณ์, บุคลิกภาพ, พฤติกรรม, และรูปแบบความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมีความหมายรวมไปถึงการ
ประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่
เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน (เช่นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว,
ระบบการศึกษา, การจ้างงานเป็นต้น) และยังรวมถึงการใช้
ความรู้ทางจิตวิทยาสำหรับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต นัก
จิตวิทยามีความพยายามที่จะศึกษาทำความเข้าใจถึงหน้าที่
หรือจุดประสงค์ต่าง ๆ ของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคล
และพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันก็ทำการ
ศึกษาขั้นตอนของระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการควบคุมและ

แสดงออกของพฤติกรรม

หากกล่าวในเชิงปัจเจกบุคคล จิตวิทยาช่วยให้เรา
สามารถทำความเข้าใจการกระทำ ความคิด และ
พฤติกรรมของตนเองมากขึ้น ส่งผลให้เราสามารถ
ตัดสินใจ หลีกเลี่ยงความเครียด และบริหารจัดการ
เวลาในชีวิตได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยให้ค้นพบเป้าหมายใน
ชีวิตและบรรลุเป้าหมายนั้นได้ อันจะนำไปสู่การ
ดำเนินชีวิตให้มีความสุขและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

จิตวิทยามีความสำคัญ 2

อย่างไร?

ช่วยทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของความเป็น
มนุษย์มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เมื่อเรามีจิตวิทยาที่ดี

ในการดำรงชีวิตเราก็จะรู้ว่าจริงแล้วอะไรคือสิ่งที่สำคัญใน
ชีวิตของเรา สามารถจัดลำดับความสำคัญของการกระทำใน
ชีวิตได้เป็นอย่างดี หรือ การสร้างแรงผลักดันให้กับชีวิตของ

ตนเองเพื่อให้รู้สึกว่าชีวิตของตนเองยังคงมีค่าอยู่เสมอ
ช่วยในเรื่องการปรับตัวและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจิต
ของตนเอง การเรียนรู้ในเรื่องของจิตวิทยาจะช่วยทำให้เรารู้
ถึงวิธีในการปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ
วันของเราอย่างมีเหตุและผล อาทิเช่น หากรู้ว่าตอนนี้กำลัง
โกรธก็จะมีวิธีในการระงับความโกรธที่ดีเพราะเรารู้ว่ามัน
ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น การรู้ว่าไม่ควรไปสนใจในปมด้อยทั้งของ
ตนเองและผู้อื่น การรู้จักแก้ไขเรื่องความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น

ภายในจิตใจได้เป็นอย่างดี
ช่วยในเรื่องของการตัดสินใจเรื่องของตนเองและผู้อื่นได้
จริงแล้วมันเหมือนกับว่าเป็นการมีสติของเราด้วยส่วนหนึ่ง
เมื่อเราเรียนรู้และเข้าใจว่าการใช้หลักจิตวิทยาในการดำเนิน

ชีวิตมันก็เป็นเรื่องที่จะทำให้ชีวิตของเราไม่เกิดความ
ประมาท เมื่อไม่มีความประมาทก็จะทำให้สามารถตัดสินใจ

อะไรได้ด้วยความยุติธรรมมากขึ้น ใช้เหตุและผลในการ
ตัดสินใจได้ดีขึ้น

ช่วยให้ชีวิตมีความสุข เมื่อเรามีหลักจิตวิทยาที่ดีในการ
ดำเนินชีวิตเราก็จะรับรู้ได้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ควรทำ สิ่งใดเป็น
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง รวมไปถึงรู้วิธีในการค้นหาความสุขที่แท้

จริงให้กับชีวิตว่ามันคือสิ่งใดกันแน่

3

ประวัติความเป็นมาของ

จิตวิทยา

จิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล
เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจ

ในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการ
ทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่ง
ภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง

กับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทาง

ศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้ นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็
เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส
เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึง

ความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่ม
แนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน
(British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความ
รู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญ
ต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology)
นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่าง
ระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ
ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้
พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิต
ฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของ

สิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา

4

จิตวิทยาด้านความรัก

ความรัก คือ แรงขับเคลื่อนในทุกๆ ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็นความรักของครอบครัว พี่น้อง เพื่อนฝูง และคน

รัก ความรักเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกที่พิเศษที่เรามีต่อใคร

คนหนึ่ง หรือเป็นความรู้สึกอันแรงกล้าที่เรามีให้คนคนนั้น

ซึ่งความรักก็มีหลายรูปแบบ และเป็นความผูกพันทาง

อารมณ์ด้วย ซึ่งจะแสดงออกมาในด้านของความรู้สึก ความ

คิด และการกระทำ ทำให้เรื่องของความรักกับความสัมพันธ์

นั้น เกือบจะเป็นเรื่องเดียวกัน และเพื่อทำความเข้าใจมนุษย์

ให้ดียิ่งขึ้น

ประเภทของความรัก

1. ความรักแบบมิตรภาพ (Liking) ความรักประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่อมีความใกล้
ชิดหรือความชื่นชอบ แต่ความรู้สึกหลงใหลหรือความผูกพันในความรู้สึกโร
แมนติกจะขาดหายไป ซึ่งความรักแบบเพื่อนอาจเป็นรากฐานของความรักใน
รูปแบบอื่นๆ ได้

2. ความหลงใหล (Infatuation) เป็นลักษณะของความรู้สึกของตัณหาและ
ความหลงใหลทางกายภาพ หรือที่เรียกว่า Passion โดยไม่มีความชอบและ
ความมุ่งมั่น ไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับความรู้สึกใกล้ชิดแบบความรักโรแมน
ติก หรือพัฒนาไปเป็นความรักที่สมบูรณ์ แต่อาจจะเกิดขึ้นได้หลังจากช่วง
หลงใหล เพราะความหลงใหลในช่วงแรกมักมีพลังมาก ทำให้หลายคนอาจ
จะแยกความรักกับความหลงไม่ออก

3. ความรักที่ว่างเปล่า (Empty Love) เป็นลักษณะของความมุ่งมั่นโดย
ปราศจากความหลงใหลหรือความใกล้ชิด หรือในบางครั้งความรักที่มั่นคงก็
เสื่อมสลายกลายเป็นความรักที่ว่างเปล่าได้เช่นกัน

4. รักโรแมนติก (Romantic Love) ความรักโรแมนติกจะผูกมัดผู้คนทาง
อารมณ์ผ่านความใกล้ชิดและความหลงใหลทางร่างกาย มีความรู้สึกทาง
เพศและความเสน่หาต่อกัน และอยู่ในจุดที่อาจจะมีความมุ่งมั่นในระยะยาว
หรือมีแผนการในอนาคตร่วมกัน

5. เพื่อนคู่คิด (Companionate Love) ความรักแบบเพื่อนจะเป็นความรักที่
ใกล้ชิด แต่ไม่หลงใหล และแข็งแกร่งกว่าความรักแบบมิตรภาพเพราะมี
ความผูกพันระยะยาว แต่อาจมีความต้องการทางเพศน้อยหรือไม่มีเลย

อารมณ์ก็จะเหมือนมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนทำนองนั้นค่ะ หรืออีกประเภท
คือ ความรักระหว่างคู่แต่งงานที่หย่าร้างกันแล้ว แต่ยังมีความรักที่ลึกซึ้ง
หรือผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น

6. รักเพ้อเจ้อ (Fatuous love) เป็นความรักความมุ่งมั่นและความหลงใหลอยู่
ฝ่ายเดียว ในขณะที่ไม่มีความใกล้ชิดหรือความชอบจากอีกฝ่าย เป็นรูปแบบ
ความรักที่เราพบเห็นได้บ่อยมาก กับการรักเขาข้างเดียวนั่นเอง

7. ความรักที่สมบูรณ์ (Consummate Love) ความรักที่สมบูรณ์นั้นจะ
ประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสาม คือ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และความ
มุ่งมั่น และเป็นรูปแบบทั้งหมดของความรัก แสดงถึงความสัมพันธ์ใน
อุดมคติของทุกคน เรียกให้เข้าใจก็คือรักแท้นั่นเอง แต่อาจจะไม่ได้
หมายความว่าจะเป็นความรักที่ถาวร

จิตวิทยา 20 ข้อ 5
เพื่อทำความเข้าใจเพื่อน

มนุษย์

1. คนที่หัวเราะอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในเรื่องที่เราไม่คิด
ว่ามันจะตลก ลึกๆแล้วคน ๆ นั้นกำลังรู้สึกว่าตัวเองกำลัง

โดดเดี่ยว
2. คนที่ใช้เวลากับการนอนมากเกินไป ขอให้สังเกตว่า

เขากำลังอยู่ในความเศร้าหรือไม่
3. คนที่พูดน้อย แต่พอมีโอกาสพูดเขาจะพูดเร็ว ๆ เพื่อให้
จบไป แสดงว่าคน คนนั้นกำลังมีความลับที่เก็บซ่อนอยู่
4. คนที่ชอบบอกว่าตัวเอง ใจแข็งและไม่ค่อยร้องให้แต่

แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด
5. คนที่กินอะไรได้น้อยลง หรือ กินมากจนเกินไป พวก

เขาอาจกำลังตกอยู่ในความเครียด
6. คนที่อ่อนไหวในทุกเรื่อง หรือ เสียน้ำตาในเรื่องเล็ก
น้อย พวกเขาอาจจะไร้เดียงสา หรือ มีหัวใจที่บอบบาง

จนเกินไป
7. คนที่เกรี้ยวกราดในทุกเรื่องแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ๆ

เป็นเพราะเขาต้องการความรัก
8. ภาษากายของคนที่กำลังโกหกคุณอยู่จะไม่กล้าสบตา

คุณโดยตรงแต่จะเลี่ยงด้วยการมองขึ้น หรือ มองลง
9.เชื่อหรือไม่ว่าคนที่นำสิ่งดี ๆ มาสู่ชีวิตคุณ และ ทำให้
คุณเข้มแข็งในทุกสถานการณ์ คนเหล่านั้นคือจุดอ่อนข

องคุณ
10.คุณจะมีความสุขมากขึ้น หลังจากที่คุณได้เผชิญหน้า

กับความกลัวที่อยู่ภายในใจของคุณเอง

6

11. มีผลสำรวจว่า โอกาสของการหย่าจะลงลดถึง 70
เปอร์เซ็นต์ ถ้าคู่แต่งงานคู่นั้นเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน
12. ถ้าคุณพูดได้หลายภาษา บุคลิกของคุณจะเปลี่ยนไป

ตามจิตใต้สำนึกที่เชื่อมต่อกับภาษานั้น ๆ
13. คุณจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เมื่อคุณตกอยู่
ภายใต้สถานการณ์ที่กดดัน หรือ ว่าต้องพยายามแก้ไข

สถานการณ์เฉพาะหน้า
14. คนที่อาสาช่วยเหลือคนอื่น หรือ เข้าร่วมในกิจกรรม
ของส่วนรวม จะมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลย

หรือไม่สนใจคนรอบข้าง
15. กฎของแรงดึงดูดที่ว่าคนที่มีความคิดคล้ายกัน หรือ

มีพฤติกรรมเช่นเดียวกัน มักจะดึงดูดมารวมกลุ่มกัน
16. เชื่อหรือไม่ว่าความเครียด และ ความกดดันที่เกิดขึ้น
ในชีวิตคนเรานั้นมักจะมาจากอาการคิดมากจนเกินไป ทั้ง

ที่ปัญหายังไม่เกิด
17. ใช้เวลาหรืออยู่กับเพื่อนฝูงที่มีความสุขกับชีวิตแบบ

ปกติ จะทำให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น
18. มีรายงานว่าผู้คนมากกว่า 68 เปอร์เซ็นต์ มีอาการ

หลอนเพราะมือถือสั่น (Phamtom Vibration
Syndrome) ทั้งที่โทรศัพท์ของคุณนั้นไม่ได้สั่น ที่มีอาการ

ดังกล่าวเพราะคุณใช้งานโทรศัทพ์มากเกินไป
19. มีผลการศึกษาพบว่า อาการกลัว หรือ ที่เรียกว่า
Phobias นั้นเกิดขึ้นมาจากการถ่ายทอดความทรงจำ

ที่มาจากบรรพบุรุษของคุณ
20. คนจะเผยความจริงมากขึ้นถ้าบทสนานั้นเกิดขึ้นใน
ช่วงดึกดื่นค่อนคืน เช่นเดียวกับที่คนมักสารภาพความ

จริงออกไปเมื่อพวกเขารู้สึกว่าเหนื่อยมาก ๆ

รวม 13 ข้อเท็จจริง 7
สิ่งที่จะบ่งบอกว่าแท้จริง

คุณเป็นคนอย่างไร?

1. การหลงลืมเป็นสัญญาณของสติปัญญาขั้นสูง
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าการลืมมีความสำคัญเท่ากับการ
จดจำ การหลงลืมจริงๆ แล้วเป็นกลไกสำหรับการสร้างพื้นที่
ว่างสำหรับข้อมูลที่จำเป็น และช่วยให้สมองไม่ต้องเปลือง
พื้นที่และพลังงานไปกับเรื่องที่ลึกๆ แล้วคุณรู้ว่าไม่ต้องไปจำ
ก็ได้2. การถูกปฏิเสธ สามารถสร้างความเจ็บปวดเหมือนที่

เกิดกับร่างกายได้
การศึกษาด้านประสาทวิทยาศาสตร์พบว่า การถูกปฏิเสธนั้น

ทำให้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับความเจ็บปวดทางกาย
ปฏิกิริยาของความเจ็บปวดทางอารมณ์และความเจ็บปวด
ทางกายนั้นคล้ายคลึงกันมาก เนื่องจากในระหว่างที่ความเจ็บ
ปวดนี้เกิดขึ้นนั้น สารเคมีตามธรรมชาติ จะถูกปล่อยออกมา

เหมือนกัน
3. ความมั่นคงจะปิดการเรียนรู้ของสมอง
ชีวิตที่ราบรื่น มั่นคง และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอาจฟังดูดี แต่
จริงๆ แล้วมันอาจไม่ได้ดีอย่างที่คิด นักวิทยาศาสตร์ยืนยัน
ว่าการอยู่ภายใต้คอมฟอร์ตโซนจะปิดกั้นคุณจากการเรียนรู้

และการพัฒนาตัวเอง
4. คุณสามารถจำได้แค่ครั้งละ 3-4 เรื่องเท่านั้น
วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคุณจะลืมสิ่ง
สำคัญที่ต้องทำ เนื่องจากสมองของเราจะจดจำเรื่องราว
ต่างๆ พร้อมๆ กันได้เพียงครั้งละ 3-4 เรื่องเท่านั้น

8

5. 85% ของสิ่งที่เรากังวลไม่เคยเกิดขึ้นจริง
การศึกษาพบว่า ความคิดเชิงลบส่วนใหญ่ที่เรา
จินตนาการมักไม่เคยเกิดขึ้นจริง ซึ่งในการทดลอง อาสา
สมัครถูกขอให้เขียนเรื่องที่พวกเขากังวลมาเป็นระยะ
เวลานาน และ 85% ของสิ่งที่ผู้เข้าร่วมการศึกษากังวล
ไม่เคยเกิดขึ้น หมายความว่ามีเพียง 15% เท่านั้นที่เป็น

ไปได้จริงๆ
6. ยิ่งคุณมีความสุขมากเท่าไหร่ คุณยิ่งอยากนอนน้อยลง

เท่านั้น
มีการศึกษาด้านจิตวิทยาที่พบว่า ความโศกเศร้าหรือ
ความรู้สึกเชิงลบช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกง่วงและอยาก
นอนหลับได้มากกว่าปกติ ดังนั้น การมีความสุขจึงให้

ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม
7. ความหวาดกลัวเป็นยีนที่สามารถส่งต่อผ่านรุ่นต่อรุ่น

ได้
ความทรงจำและความกลัวสามารถส่งผ่านทาง
พันธุกรรมได้ หากคุณไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ คุณถึงได้กลัวบาง
สิ่งบางอย่างอย่างหาคำตอบไม่ได้ ไม่แน่ว่ามันอาจเป็น

ยีนที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ
8. คนเราจะยิ่งเปิดเผยมากขึ้นเมื่อพวกเขาเหนื่อย
หนึ่งในกลไกที่น่าทึ่งก็คือ เมื่อคุณตื่นตัวดีและแจ่มใส คุณ
จะสามารถควบคุมตัวเองและเลือกสิ่งที่อยากจะพูดได้
เเต่เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ร่างกายจะเหมือนถูก
ปลดล็อกจากการระวังตัวและสิ่งต่างๆ จะสามารถพรั่งพรู

ออกมาได้อย่างง่ายดาย

9

9. การใช้เงินกับคนอื่นทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น
การใช้เงินคือหนึ่งในกิจกรรมที่ผู้คนจะรู้สึกดีจากการได้
ปลดปล่อยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้เงินเพื่อ
คนอื่นจะยิ่งเกิดความรู้สึกเชิงบวกให้กับคนคนนั้น แต่
อย่างน้อยที่สุด คุณต้องไม่ลืมที่จะควบคุมไม่ให้มันเลยเถิด

10. ช่วงวัย 18 – 33 ปี คือช่วงที่เครียดที่สุดของชีวิต
นักวิจัยเผยว่า ช่วงอายุที่เครียดที่สุดคือระหว่าง 18 ถึง 33

หลังจาก 33 ระดับความเครียดจะเริ่มลดลง มีรายงาน
ด้วยว่าผู้หญิงรู้สึกเครียดมากกว่าผู้ชาย

11. คนโกหกเก่ง จะสามารถตรวจจับว่าคนอื่นโกหกได้ดี
ด้วยเช่นกัน

ทฤษฎีทางจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์กล่าวว่าคน
ที่สามารถโกหกได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น มักจะเก่งในการ
ตรวจจับการโกหก ความลับอยู่ที่ พวกเขามีความสามารถ

ในการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิด และรู้ว่าหากจะโกหก
พวกเขาจะโกหกว่าอย่างไร

12. ใช้เวลาเพียง 4 นาที ในการเข้าใจว่าเราชอบใครซักคน
และตกหลุมรัก

มีการทดสอบและพบว่า เวลาเพียง 90 วินาที – 4 นาที
สามารถช่วยให้คนรู้ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นดึงดูดพวกเขา
หรือไม่ และมันจะพัฒนาไปเป็นความชอบหรืออาการ

ตกหลุมรักได้ง่ายกว่าที่คุณรู้
13. มีคนมากถึง 9/10 ที่มีอาการหลอนกับการสั่น
จากการทดสอบพบว่า 9/10 คนมักคิดไปว่าโทรศัพท์ของ
พวกเขาจะสั่นอยู่ในกระเป๋า และเกิดอาการหลอนแบบนั้น

อยู่บ่อยครั้ง

7 เทคนิคจิตวิทยา 10
ที่ทำให้คุณเข้าใจตัวเอง

มากขึ้น

1. คุยกับตัวเองหน้ากระจก
2. ให้ความสงบกับตัวเอง
3. ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ชอบ
4. หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคน

อื่น
5. สังเกตคนรอบตัว
6. เขียน เขียนและเขียนออกมา
7. ฟังเพลงที่ชอบ ซ้ำไปซ้ำมา



การทำความเข้าใจตัวเอง ยอมรับ

ตัวเอง คือพื้นฐานสำคัญในการ
พัฒนาตัวเอง ซึ่งการพัฒนาระบบ
ความคิด อารมณ์ และความสงบ
สุขคือสิ่งที่เชื่อมโยงกันโดยตรง

บรรณานุกรม 11

จิตวิทยาคืออะไร?
ttps://th.wikipedia.org/wiki/จิตวิทยา

จิตวิทยา 20 ข้อ
เพื่อทำความเข้าใจเพื่อนมนุษย์
https://www.sanook.com/men/58609/

7 เทคนิคจิตวิทยา
ที่ทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น
https://learninghubthailand.com
รวม 13 ข้อเท็จจริงตามหลักจิตวิทยา: สิ่งที่
จะบ่งบอกว่าแท้จริงคุณเป็นคนอย่างไร?
https://www.scholarship.in.th/

จิตวิทยาด้านความรัก
https://www.shopback.co.th/

ประวัติความเป็นมาจิตวิทยา
https://sites.google.com/

จิตวิทยาสำคัญอย่างไร?
https://www.washpsa.org/


Click to View FlipBook Version