วัดไดท้ ำ� หนา้ ที่เผยแผ่ธรรมะ เปน็ ทพ่ี ึ่งและยึดเหน่ยี วจิตใจพทุ ธศาสนกิ ชน ให้
ใฝใ่ นการสรา้ งบญุ กศุ ล ทำ� ความดเี พอ่ื สว่ นรวม นอ้ มนำ� หลกั ธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
มาใช้ด�ำเนินชีวิตให้มคี วามสขุ สามารถต้งั รบั ความเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ ในสงั คมด้วยความ
มีสติ รูเ้ ท่าทันและมีปัญญา
42
“ศิริเสาธง” สายธารแหง่ ธรรมนำ� ศรทั ธา
ดว้ ยศรัทธาในบวรพทุ ธศาสนา เดินตามทางบดิ าทแี่ ผ้วถาง
ด้วยจติ ใจแน่วแน่ตามแนวทาง วปิ ัสสนาคือหนทางที่เลือกเดนิ
เจริญภาวนากัมมฏั ฐาน จนเกดิ เปน็ สถานชนสรรเสรญิ
อารามนามแหง่ น้คี งดำ� เนิน รุ่งเจรญิ ณ บางเสาธงคงความดี
สายธารแหง่ ความดขี องคุณพ่อ จงึ สานตอ่ เป็นอารามตามวิถี
วัลลภ แสงดแี น่ ปฐมบทแห่งความดี ที่แห่งนี้เกดิ เป็นเชน่ อาราม
นับเป็นมง่ิ กศุ ลชนคนล้นหลาม
นายเวกนางซ่อนกลิ่น ศิริย่ิง ศวิ โมกข์สถานนามวปิ ัสสนา
ร่วมบรจิ าคที่ดนิ สร้างอาราม แมป่ น่ิ ทอง ศาลยาชวี นิ หนนุ ศาสนา
ดว้ ยแรงบุญศรัทธาชนทั้งผอง เกดิ อาวาสงามลำ�้ คา่ ศลิ ปจ์ นิ ตบ์ รรจง
ถวายในนามบรษิ ทั สวนบางนา จำ� ลองแบบดสุ ติ มหาปราสาททสี่ งู สง่
อโุ บสถจตุรมขุ อันวิจติ ร ตามประสงค์สาธบุ ุญหนุนศรทั ธา
ณ ถิ่นฐานภมู ิล�ำเนาบางเสาธง ร่วมประกาศหลกั ชัยในพระศาสนา
พระมงคลธรรมธัชเจา้ อาวาส นำ� ศรัทธาใฝท่ างธรรมท�ำความดี
ศิรเิ สาธงธรรมสถานเกิดมีมา สีท่ ศพรรษศิริเสาธงคงวิถี
จารึกไวส้ มโภชศริ สิ วสั ดิ์ อารามนเ้ี กิดดว้ ยใจท่ีใฝธ่ รรม
เฉลิมฉลองประกาศก้องทัว่ ธาตร ี
ประพนั ธโ์ ดย ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วฒุ ิพงษ์ ทองก้อน
43
44
พระคติธรรม
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก
คตธิ รรมประทานเน่ืองในวันมาฆบูชา
๒๖ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๔
ดิถีมาฆบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกค�ำรบหน่ึงแล้ว ดิถีเช่นน้ีชวนให้พุทธบริษัท
ทุกหมู่เหล่าน้อมระลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาท
ปาตโิ มกข์ อนั มหี ลกั การส�ำคัญเปน็ หัวใจของพระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่
๑. การไมท่ �ำบาปทั้งปวง
๒. การบำ� เพญ็ กศุ ลให้ถงึ พรอ้ ม
๓. การช�ำระจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิ
ประทานแก่พระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รปู ซ่งึ ล้วนอุปสมบทด้วยวธิ ีเอหภิ ิกขุอุปสัมปทา
เหตุการณด์ ังกลา่ วเกดิ ข้นึ ณ ดิถีเพ็ญเดอื น ๓ เมือ่ กวา่ ๒,๖๐๐ ปีล่วงมาแล้ว อยา่ งไรก็ดี
หากปีใดเป็นปอี ธกิ มาส วนั มาฆบชู าจะตรงกบั ดถิ ีเพ็ญเดือน ๔ ดังเช่นท่ีเกิดขน้ึ ปนี ี้
สารตั ถะประการหนง่ึ ในโอวาทปาตโิ มกข์นัน้ สมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้าได้
ทรงสัง่ สอนหลกั การแหง่ ‘ขนั ตธิ รรม’ เพื่อเป็นหลกั เผยแผพ่ ระศาสนา และการดำ� รงตน
ของพุทธบริษัท ดังพระพุทธภาษิตท่ีวา่ ‘ขนฺตี ปรมํ ตโป ตตี กิ ฺขา’ แปลว่า ‘ขันติ เป็น
เครอ่ื งเผาผลาญบาปธรรมอยา่ งยงิ่ ’
‘ขนั ติ’ หมายถึง ‘ความอดทนอดกล้ัน’ มลี ักษณะ คือความขม่ มีรส คือความ
อดทนตอ่ สง่ิ ที่น่าพอใจและไมน่ า่ พอใจ มีสภาพที่ปรากฏ คอื ความอดกลนั้ หรอื ความไม่
โกรธ มีพ้ืนฐานคอื ความเข้าใจสิ่งทงั้ หลายตามความเป็นจริง
ทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกต่างมีสัญชาตญาณรักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันท้ังสิ้น
และก็เป็นธรรมดาที่ทุกชีวิตจ�ำต้องเผชิญความทุกข์โทมนัส สลับกับความสุขโสมนัส
หมุนเวียนเปล่ียนไปอยู่เสมอ จะหาบุคคลผู้มิต้องประสบกับ ‘โลกธรรม ๘’ กล่าวคือ มี
ลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข และทุกข์ ในโลกนี้ เป็นอันมิมีเลย
45
ผู้ตระหนักรู้ในความจรงิ เชน่ นี้ จึงพึงสั่งสมบม่ เพาะก�ำลงั แหง่ ขันติไวส้ �ำหรบั ใชร้ ะงบั ยับย้ัง
และตา้ นทานโลกธรรม โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในทา่ มกลางวกิ ฤติการณ์ ซ่ึงรุมเร้าเข้าสู่บ้าน
เมืองและโลกของเราทกุ วนั นี้ ท้ังนกี้ เ็ พอ่ื จะไดร้ ักษาร่างกายและจิตใจใหย้ งั คงความผาสกุ
สามารถอดทนอดกล้นั ตอ่ ทุกขเวทนาทางกาย ถอ้ ยคำ� จาบจ้วงลว่ งเกนิ ค�ำติฉินนินทาวา่
ร้าย และความเสอ่ื มลาภเสือ่ มยศ ซ่ึงหลงยดึ ถอื ไว้ว่าเป็นตัวเราของเราเสียได้ อย่างน้อย
แม้จะเจบ็ ใจเพียงใด แตก่ ็ไมเ่ ผลอแสดงอาการหนุ หนั พลันแล่นออกมาทางกายหรอื ทาง
วาจาจนเสยี กิริยาอาการอันดี
บคุ คลผู้สามารถดำ� รงขันตธิ รรม คอื ความอดทนอดกลั้นไวไ้ ด้ ย่อมได้ชื่อว่าเปน็
ผ้เู สง่ียมงดงาม ถือธรรมะเปน็ ใหญ่ กิเลสตัณหาไมอ่ าจทำ� อันตราย เมอ่ื เปน็ ไดด้ งั นีแ้ ล้ว
ยอ่ มประสบความสงบร่มเยน็ ระงับความด้ินรนทะยานอยาก การทีส่ ามารถดบั เพลิงทกุ ข์
เป็นคราว ๆ ได้ เสมอื นวา่ ได้ถงึ พระนพิ พานเปน็ คราว ๆ เปน็ บทพิสูจน์ใหพ้ ุทธบรษิ ัทรู้
เหน็ ตามความเปน็ จริงวา่ พระนิพพานมใิ ชธ่ รรมะอนั สุดเอ้อื ม
แม้ว่าพระนิพพานจริง ๆ คือความดบั เพลงิ ทกุ ขไ์ ดโ้ ดยส้ินเชงิ อาจยังอยไู่ กล แต่
พระนิพพานในปจั จุบันคอื ความดบั กิเลสตัณหา ซงึ่ บงั เกิดขน้ึ ครอบง�ำจิตใจในขณะน้ี จึง
อาจใช้ ‘ขนั ติธรรม’ คอื ความอดทนอดกลนั้ นเ้ี อง เปน็ เคร่ืองช่วยระงับดบั ได้ แมเ้ พียง
คราวหนึ่ง ๆ กย็ งั ดี ไมเ่ กินความสามารถท่ที ุกคนจะปฏบิ ตั แิ ละเขา้ ถึงได้ เพอื่ ความสงบ
ร่มเยน็ ซึง่ พงึ บงั เกิดมขี นึ้ แกต่ นและแกส่ ังคมสว่ นรวม สมความปรารถนาอนั ดงี ามของคน
ไทย ที่ต่างหวงั ใจม่งุ หมายจะได้ประสบสนั ตสิ ขุ ด้วยกนั ทกุ คน
ขอพระสทั ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจา้ จงดำ� รงม่ันคงอยู่ในโลกน้ี
ตลอดกาลนานและขอพุทธบริษัทท้ังหลาย จงพร้อมเพรียงกันศึกษาพระสัทธรรมนั้น
เพ่ือบรรลุถึงความรุ่งเรืองไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นสืบไป เทอญ
46
อริยสัจ ๔ : ทุกข์ สมุทัย นโิ รธ มรรค
ความจรงิ อันประเสรฐิ ๔ ประการ
หลักคำ� สอนสำ� คัญของพระพทุ ธศาสนา
๑ ทุกข์
ความไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ มนุษยท์ ุกคนไม่ว่าจะเปน็ เด็กหรอื ผู้ใหญ่ต่างก็มี
ความทุกขด์ ้วยกันท้ังนนั้ ความทกุ ขจ์ งึ เกดิ ขนึ้ กบั ทกุ คนไดท้ ุกขณะ เราจงึ ตง้ั อย่ใู นความ
ไมป่ ระมาทและพร้อมทจี่ ะเผชิญหนา้ กับความจรงิ ของชวี ติ
ความทกุ ขเ์ กดิ ข้นึ ท่ไี หน และเกดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร
ขนั ธ์ ๕ คือ องคป์ ระกอบของชีวิตมี ๕ ประการ ประกอบดว้ ย
- รปู คอื ส่วนประกอบของชวี ติ เป็นรา่ งกาย รวมถึงพฤติกรรมทงั้ หมดของ
รา่ งกาย
- เวทนา คือ ความรูส้ ึกของกายและใจท่ีเกิดขึ้นต่อสงิ่ ทรี่ ับรู้นน้ั ๆ คือรทู้ างตา
ท่ีเกดิ จากการไดเ้ ห็น รู้ทางหูทีเ่ กดิ จากการไดย้ ินได้ฟัง รู้ทางจมกู ที่เกดิ จากได้กลนิ่ รู้
ทางล้นิ ทเ่ี กิดจากการได้ลิ้มรส รู้ทางกายท่เี กิดจากการได้สัมผสั รทู้ างใจทีเ่ กดิ จากการ
ได้คิด เวทนามี ๓ อย่าง คือ ความรู้สกึ สบายกายและสบายใจ เรียกวา่ สุขเวทนา ความ
รสู้ กึ ไม่สบายกายและสบายใจ เรียกว่า ทกุ ขเวทนา ความรู้สกึ ท่ไี ม่เป็นสขุ และไมเ่ ปน็ ทกุ ข์
เรยี กวา่ อเุ บกขาเวทนา
- สัญญา คอื ความจ�ำไดห้ มายรู้ในสงิ่ ตา่ ง ๆ ทั้งที่เป็นรปู ธรรมและนามธรรม ท่ี
เกดิ จากตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ ได้สัมผสั กับ รปู เสยี ง กลิ่น รส สมั ผสั และนกึ คิด
- สังขาร คือ การทีจ่ ิตของคนเราคดิ ปรุงแตง่ ไปในทางทดี่ ี ทางทช่ี ่วั หรือทางที่
ไมด่ ีและไมช่ ่ัว ซ่งึ เป็นข้ันตอนทก่ี อ่ ให้เกดิ พฤตกิ รรมทง้ั ทางดแี ละทางชั่ว หรือเปน็ แรง
จูงใจหรอื กระตนุ้ ผลกั ดนั ใหค้ นเรากระทำ� การอย่างใดอย่างหนึ่ง
- วิญญาณ คอื การรับรู้อารมณ์ (ความรู้สกึ ) ของใจผา่ นประสาทสัมผัสท้งั หา้
การรบั รอู้ ารมณ์ทางตา หรอื การเห็น เรยี กวา่ จกั ขวุ ิญญาณ
การรับรอู้ ารมณท์ างหู หรอื การไดย้ ิน เรียกวา่ โสตวญิ ญาณ
การรบั ร้อู ารมณท์ างจมกู หรอื การไดก้ ล่นิ เรยี กว่า ฆานวิญญาณ
47
การรับรูอ้ ารมณ์ทางลนิ้ หรือ การลมิ้ รส เรียกวา่ ชิวหาวญิ ญาณ
การรบั รู้อารมณท์ างกาย หรอื การสัมผสั ทางกาย เรียกวา่ กายวิญญาณ
การรับรอู้ ารมณท์ างใจ หรือ การคดิ เรียกวา่ มโนวิญญาณ
ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ เรียกวา่ “อายตนะภายใน” สว่ น รปู เสียง กลน่ิ รส
สมั ผัส การนึกคดิ (ธรรมารมณ)์ เรยี กว่า “อายตนะภายนอก” อายตนะ แปลวา่ สิ่งทีเ่ ช่อื ม
ตอ่ ให้เกิดการรับรู้ เช่น ตาบอด จะมองไม่เห็นรปู (สง่ิ ตา่ ง ๆ) เม่ือมองไมเ่ ห็น ความรู้ที่
เกิดการจากมองไมเ่ ห็นก็จะไม่มี แต่ก็มขี ้อดี คอื ความทกุ ข์ทเ่ี กิดจากทางตาทีไ่ ดเ้ หน็ กจ็ ะ
ไมม่ ี เป็นต้น
ตามองเหน็ สง่ิ ทไี่ มด่ ี เกดิ ความทุกขท์ างใจ
หูได้ยนิ เสียงทไ่ี มด่ ี เกดิ ความทุกข์ทางใจ
จมกู ได้กล่ินทีไ่ มด่ ี เกดิ ความทุกขท์ างใจ
ล้นิ ไดล้ ม้ิ รสทีไ่ ม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ
กายไดส้ มั ผสั สิง่ ท่ไี ม่ดี เกดิ ความทุกข์ทางกายและทางใจ
ใจได้นึกคิดถึงสิง่ ที่ไม่ดี เกดิ ความทกุ ขท์ างใจ
ในทางตรงขา้ ม
ตามองเห็นส่งิ ทด่ี ี เกิดความสขุ ทางใจ
หูได้ยินเสยี งท่ีดี เกิดความสขุ ทางใจ
จมูกได้กลิ่นทด่ี ี เกดิ ความสขุ ทางใจ
ลน้ิ ได้ล้ิมรสที่ดี เกิดความสุขทางใจ
กายไดส้ ัมผัสสงิ่ ทดี่ ี เกดิ ความสขุ ทางกายและทางใจ
ใจไดน้ ึกคิดถึงส่งิ ทีด่ ี เกดิ ความสุขทางใจ
ดังนั้นความสุขและความทุกข์ของคนเราน้ันเกิดข้ึนที่กายและท่ีใจ เมื่อมีการ
กระท�ำเกิดข้ึนหรือมีพฤติกรรมเกิดข้ึน และเมื่อการกระท�ำน้ันผ่านไปแล้ว ก็ท�ำให้เกิด
ความสขุ และความทุกข์ได้ เชน่ จดจำ� การกระทำ� น้ันได้ และได้นกึ คิดเกยี่ วกับการกระท�ำ
นน้ั ทำ� ให้เกิดความไมพ่ อใจ เกิดความแคน้ ใจ เกดิ ความโศกเศรา้ ใจ เป็นต้น รวมเรยี กวา่
ความทุกข์
48
๒. สมทุ ัย
สมุทยั คอื ความจรงิ ที่ว่าด้วยเหตุเกดิ แหง่ ความทุกข์ เพราะความทุกขห์ รือ
ปญั หาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขนึ้ โดยไมม่ ีสาเหตุ สมุทยั เป็นหลักธรรมท่ีควรละ เพือ่ ไม่
ให้เกดิ ทุกข์
๒.๑ หลักกรรม (วิบัติ ๔)
หลกั กรรม หรือกฎแห่งกรรม เป็นค�ำสอนท่ีสำ� คัญของพุทธศาสนา มใี จความ
สั้น ๆ ว่า หว่านพชื เช่นใด ไดผ้ ลเชน่ นนั้ ท�ำดีไดด้ ี ทำ� ชว่ั ไดช้ ่วั ผลของกรรมมที ง้ั ผลชัน้ ใน
และผลช้นั นอก
ผลชนั้ ใน หมายความวา่ เมอ่ื ใดเราท�ำดี เราก็เปน็ คนดเี มอื่ นนั้ คอื ใจสงบ
สะอาด ปลอดโปรง่ เมอื่ ใดท�ำชว่ั กเ็ ป็นคนชวั่ เม่ือน้นั คือ จติ ใจเตม็ ไปดว้ ยความโลภ
ความมุง่ รา้ ย ความไม่สงบผอ่ งใส
ผลชน้ั นอก หมายถึง ความสขุ ความทกุ ข์ ความเจริญ ความเสื่อม ซึ่งปัจจยั
ภายนอกตัวเราเปน็ ผู้กำ� หนด ทำ� ให้ผลชน้ั นอกของกรรมไมเ่ ปน็ ไปอยา่ งท่ีควรเปน็ ส่ิงท่ี
สนับสนุนใหก้ รรมดีใหผ้ ล (ชั้นนอก) และขดั ขวางการใหผ้ ลชัน้ นอกของกรรมช่วั เรียกวา่
สมบตั ิ สิ่งทสี่ นบั สนนุ ให้กรรมชั่วใหผ้ ล (ช้ันนอก) และขดั ขวางการใหผ้ ลชั้นนอก ของ
กรรมดี เรยี กว่า วบิ ตั ิ
วบิ ตั ิ ๔ คอื ความบกพร่อง ๔ ประการ ดังน้ี
- คติวบิ ัติ เกดิ อยใู่ นภพ ถ่นิ หรอื ประเทศทีไ่ มเ่ จริญ
- อุปธวิบตั ิ เกิดมามีรา่ งกายพกิ ลพิการ อ่อนแอ ไม่สงา่ งาม
- กาลวบิ ตั ิ เกิดอย่ใู นสมยั ท่บี ้านเมอื งมที กุ ข์เขญ็ ยกยอ่ งคนช่วั
บบี คน้ั คนดี ไมม่ ศี ีลธรรม
- ปโยควิบัติ การทำ� งานไม่ครบถว้ นไมต่ ่อเน่ือง ท�ำครง่ึ ๆ กลาง ๆ
ไม่ตรงกับความถนดั หรือความสามารถของตน
49
๒.๒ อกุศลกรรมบถ ๑๐
หมายถงึ ทางแห่งความชั่ว หรอื กรรมชัว่ อนั เป็นทางไปสู่ความเสอื่ มและความ
ทกุ ข์ การทำ� ความชวั่ แบ่งได้ ๓ ทาง
๑) การท�ำความช่วั ทางกาย มี ๓ ประการ
- ปาณาติบาต คอื การฆ่าสัตว์ หรือการทำ� ให้ชวี ติ สตั ว์โลกถงึ แกค่ วามตาย
- อทนิ นาทาน คือ การลักขโมยของผ้อู ่ืน หรอื การถือเอาสง่ิ ของที่เจา้ ของไม่ให้
รวมถงึ การฉอ้ โกง การยักยอก การหลอกลวง
- กาเมสมุ จิ ฉาจาร คอื การประพฤติผิดในสามี ภรรยา บตุ ร ธิดาของผอู้ ืน่
๒) การท�ำความช่ัวทางวาจา มี ๔ ประการ
- มุสาวาท คือ การพดู เท็จ พูดโกหก พูดไม่จรงิ
- ปสิ ุณาวาจา คอื วาจาสอ่ เสยี ด พูดสอ่ เสียด พูดยุยงให้เขาแตกร้าวกนั
- ผรุสาวาจา คือ วาจาหยาบ ค�ำพูดเผด็ รอ้ น ค�ำหยาบคาย
- สมั ผัปปลาปะ คือ การพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีสาระ ไมม่ ปี ระโยชน์แกใ่ ครไมว่ ่า
ตนเองหรอื ผ้อู นื่
๓) การท�ำความชว่ั ทางใจ มี ๓ ประการ
- อภชิ ฌา คือ การคิดเพ่งเล็งอยากไดข้ องผู้อน่ื โดยไม่นึกว่าของใครใครกห็ วง
แมย้ งั มิได้ลงมือขโมย แตก่ ท็ �ำใหจ้ ติ ใจเสื่อม
- พยาบาท คอื การคิดร้ายตอ่ ผ้อู ่นื อยากใหผ้ อู้ น่ื เจ็บปวด เสยี หาย ประสงค์ร้าย
ความคดิ รา้ ยน้ันจะบัน่ ทอนความสามารถและความดขี องตนเอง
- มจิ ฉาทิฐิ คือ ความเหน็ ผิดจากคลองธรรม เชน่ ไม่เช่ือวา่ ทำ� ดไี ดด้ ี ทำ� ช่ัวได้ช่ัว
50
๒.๓ อบายมขุ ๖
หมายถงึ ทางแห่งความเส่ือม มี ๖ ประการ
๑) ตดิ สรุ าและของมนึ เมา มีโทษดงั นี้
- ทำ� ใหเ้ สียทรพั ย์
- ท�ำใหเ้ กดิ การทะเลาะวิวาทกันและบางคร้ังถึงกบั ฆ่ากัน
- เปน็ บอ่ เกิดแหง่ โรค เพราะทำ� ให้เสยี สขุ ภาพ บั่นทอนก�ำลังกาย
- ท�ำให้เสียเกยี รติยศและชอื่ เสียง
- บั่นทอนก�ำลังสตปิ ัญญา
๒) ชอบเท่ยี วกลางคืน มีโทษดงั น้ี
- เป็นการไมร่ กั ตวั ทำ� ใหร้ า่ งกายและจิตใจไม่ปกติ ไม่อาจประกอบอาชีพการ
งานได้ตามปกติและต้องเสยี เงนิ รกั ษาตวั โดยไมจ่ ำ� เปน็
- เป็นการไมร่ ักลกู เมียหรือครอบครัว ทำ� ให้ครอบครวั ขาดความอบอุน่
- เป็นการไม่รักษาทรัพยส์ มบัติ เปน็ การจ่ายเงินโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร
- เปน็ ทร่ี ะแวงสงสัยของผอู้ ่นื ทำ� ให้เกดิ ความไมไ่ ว้วางใจในการท�ำงาน
- เปน็ เปา้ หมายใหผ้ ู้อืน่ ใสค่ วามได้ เพราะทำ� อะไรผิดเล็กน้อย คนก็จะกล่าวหา
วา่ เพราะเทยี่ วมาก จึงเป็นอย่างนี้ ท้ัง ๆ ทีอ่ าจมิใชก่ ็ได้
- เปน็ ทีม่ าของความเดือดรอ้ นตา่ ง ๆ เพราะเม่ือเทีย่ วจนหมดเงนิ อาจคิดท�ำ
ช่ัว อารมณเ์ สยี บ่อย ๆ ทำ� ใหค้ รอบครวั แตกแยก
๓) ชอบเทย่ี วดกู ารละเล่น มีโทษ คอื ทำ� ใหใ้ จจดจ่ออย่กู บั สิง่ ทจี่ ะเลน่ ไมเ่ ปน็
อันทำ� มาหากนิ เสยี ทงั้ เวลา เสียทั้งเงนิ ทำ� ใหค้ นเชื่อถือนอ้ ยลง ถูกมองว่าเปน็ คนไม่
เอาการเอางาน
๔) ติดการพนนั มีโทษดงั น้ี
- เม่อื ชนะยอ่ มกอ่ เวร คือ เม่ือเล่นไดก้ ย็ ่อมมีคนอยากแก้มือเรยี กร้องใหเ้ ล่นอกี
- เม่ือแพย้ อ่ มเสียดายทรัพย์ เพราะเมอื่ เล่นเสยี จติ ใจกบ็ งั เกดิ ความเสยี ดาย
ทรพั ย์
51
- ทรัพย์สนิ ย่อมเสยี หาย เพราะเงนิ ทไ่ี ด้มาน้ันมกั เก็บไว้ไดไ้ ม่นาน ตอ้ งใช้จ่าย
จนหมด
- ไมใ่ ครเชอ่ื ถือ เพราะผอู้ น่ื ยอ่ มขาดความเช่ือถือในถอ้ ยค�ำ มักถูกมองว่าเป็น
คนหลอกลวง
- เพื่อนฝงู ดูหม่ิน ไมอ่ ยากคบคา้ สมาคม เพราะกลวั จะเสียชอื่ เสียงตามไปด้วย
- ไมม่ ใี ครอยากได้เป็นค่คู รอง เพราะกลัวครอบครัวไมร่ าบร่นื และอาจละทิ้ง
ครอบครัวได้
๕) คบคนชวั่ เปน็ มติ ร มีโทษ คอื ท�ำใหเ้ ปน็ คนช่วั ไดร้ ับความทุกข์ความเดอื ด
รอ้ นตามไปด้วย
๖) เกียจคร้านการงาน มโี ทษ คือ ท�ำใหช้ ีวิตไม่เจรญิ ก้าวหน้า มีแตค่ วามยาก
ล�ำบาก ขดั สนในชีวิต
ประโยชน์ของการละเว้นอบายมุข
- ไม่เสยี ทรัพยไ์ ปโดยเปล่าประโยชน์
- ไม่หมกมุ่นในส่งิ ที่หาสาระมไิ ด้
- ประกอบหน้าท่ีการงานได้เตม็ ท่ี
- ชีวิตเจรญิ ก้าวหนา้
- เป็นที่รักและไว้วางใจของผูอ้ ื่น
- สามารถประกอบหนา้ ทกี่ ารงานได้ดว้ ยความสจุ ริต
52
๓. นิโรธ
นิโรธ คือ ความดับทกุ ข์หรอื ดบั ปัญหาตา่ ง ๆ พทุ ธศาสนามหี ลักคำ� สอนเก่ยี ว
กบั เรื่องความสขุ มากมายแต่ จุดหมายสงู สุด คอื นิพพาน เปน็ บรมสขุ ทส่ี ูงสดุ แบง่ ออก
เป็น
๓.๑ สามสิ สขุ คอื ความสุขทางกายท่ีเกิดจากวตั ถภุ ายนอก เรียกว่า กามสขุ
คอื ความสุขทเี่ กดิ ประสาทสมั ผัสท้ัง ๕ (ตา หู จมูก ลิน้ กาย) ท�ำให้เกิดความพอใจ เปน็
ความสุขของคนทั่วไป ทเ่ี กิดจากการกระท�ำความดใี นดา้ นต่าง ๆ ท่ีสำ� คญั ได้แก่
- ความสขุ ทเ่ี กดิ จากการมีทรัพย์ เรยี กวา่ อตั ถิสุข
- ความสุขทีเ่ กดิ การใช้จา่ ยทรัพย์ เรียกวา่ โภคสขุ
- ความสุขทเี่ กิดจากการไมม่ ีหนส้ี นิ เรียกว่า อนณสขุ
- ความสขุ ทีเ่ กดิ จากการประพฤติในสง่ิ ทสี่ ุจรติ เรียกว่า อนวัชชสขุ
สามสิ สุข เปน็ ความสขุ ทไ่ี ม่แน่นอน เพราะความทุกข์อาจเกิดขน้ึ เสมอถา้ ตั้งอยู่
ในความประมาท
๓.๒ นริ ามสิ สุข คือ ความสุขทไ่ี ม่องิ อาศยั วตั ถุภายนอก เรียกวา่ ความสขุ ทาง
ใจ ความสุขประเภทน้มี ตี ง้ั แต่ขัน้ ต่ำ� สดุ ไปจนถึงขน้ั สูงสุด คอื นิพพาน
นริ ามสิ สขุ ขั้นต�ำ่ คอื การไดร้ ับอบอนุ่ จากพอ่ แม่ ความไมม่ ีศตั รู ไมม่ ผี เู้ กลียดชัง
มีผใู้ ห้ความรักใคร่ นับถือ ยกย่องสรรเสรญิ ไม่คดิ รา้ ยตอ่ ใคร ไมม่ คี วามวติ กกงั วล ไม่
หวาดระแวง ไมค่ ดิ ฟุง้ ซ่าน
นิรามสิ สุขขน้ั กลาง คือ ความอ่มิ ใจทีไ่ ด้เสยี สละ การมีจติ ใจทสี่ งบ
นริ ามสิ สุขขัน้ สงู สุด คือ นิพพาน
53
๔. มรรค
มรรค คอื ขอ้ ปฏิบตั ทิ ีท่ �ำใหพ้ น้ จากความทกุ ข์หรอื ปัญหาต่าง ๆ
อริยมรรคมีองค์ ๘
อรยิ มรรค แปลว่า ทางอันประเสริฐทางน้นั มที างเดยี วแต่มีองคป์ ระกอบ ๘
ประการ
๑) สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ หมายถงึ การรู้การเหน็ อริยสัจ ๔ อย่างถูกต้อง
คือรู้วา่ ทกุ ขไ์ ดแ้ กอ่ ะไรบ้าง และ เปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งไรรูว้ า่ ตณั หาเป็นเหตใุ ห้เกิดทกุ ขแ์ ละ
ตณั หานั้นควรละเสียรู้ว่าทกุ ข์จะดบั ไปเพราะวา่ ดบั ตณั หา และรวู้ า่ อรยิ มรรคเป็นทางให้
ดับตัณหาได้
๒) สมั มาสงั กปั ปะ ความดำ� รชิ อบ หรืความคิดชอบ คอื มคี วามคิดออกจาก
กาม ไมห่ ลงใหลกับรปู เสียง กลน่ิ รส สมั ผสั มีความคิดที่ไม่พยาบาทปองรา้ ยผูอ้ ืน่ และมี
ความคิดที่จะไม่เบยี ดเบียนผูอ้ ่นื
๓) สัมมาวาจา การพดู ชอบ ได้แก่ เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพดู สอ่
เสยี ด คือ การพูดยุยงให้เขาแตกกัน การเว้นจากการพูดค�ำหยาบและการพูดเพ้อเจอ้
หรือการพดู ไรส้ าระ
๔) สมั มากัมมันตะ การกระท�ำชอบ ได้แก่ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เวน้ จากการ
ลกั ทรัพย์ เว้นจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม
๕) สัมมาอาชีวะ การเลีย้ งชพี ชอบ ได้แก่ ประกอบอาชพี ท่ีสุจริตไมผ่ ิด
กฎหมายและศลี ธรรม
๖) สัมมาวายามะ ความพยายามชอบหรือความเพยี รชอบ
๗) สมั มาสติ ระลกึ ชอบ ไดแ้ ก่ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ประกอบด้วย
๑. การตง้ั สติกำ� หนดพจิ ารณากาย
๒. การตง้ั สติกำ� หนดพจิ ารณาเวทนา
๓. การต้งั สติกำ� หนดพจิ ารณาจิต
๔. การตั้งสตพิ จิ ารณาธรรม
๘) สมั มาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ ไดแ้ ก่ ฌาน ๔ ประกอบด้วย
๑. ปฐมฌาน ๒. ทตุ ิยฌาน ๓. ตตยิ ฌาน ๔. จตตุ ถฌาน
54
บพุ พนิมิตของมัชฌมิ าปฏิปทา
บพุ พนมิ ิต แปลว่า ส่งิ ทเี่ ปน็ เครอื่ งหมายให้รู้ หมายถึง สง่ิ ทบี่ ง่ บอกลว่ งหน้า
กอ่ นทอี่ รยิ มรรคมอี งค์ ๘ จะเกดิ ขน้ึ กบั ผปู้ ฏบิ ตั ิ บพุ พนมิ ติ ของมชั ฌมิ าปฏปิ ทา มี ๗
ประการ
๑) การมกี ลั ยาณมติ ร คอื การมเี พอื่ นทดี่ ที แี่ นะนำ� ประโยชน์ เรยี กวา่ กลั ยาณมติ ตตา
๒) ความถงึ พรอ้ มด้วยศีล คอื การมวี นิ ยั มีระเบียบในชีวติ ของตนและการอยู่
ร่วมกันในสงั คม เรยี กว่า สลี สัมปทา
๓) ความถงึ พร้อมดว้ ยฉันทะ คอื ความพอใจใฝ่รักในปญั ญา ในจรยิ ธรรม ใฝ่รู้
ในความจรงิ และใฝ่ในความดี เรียกว่า ฉันทสัมปทา
๔) ความถงึ พร้อมดว้ ยการฝกึ ฝนพฒั นาตน คอื การรจู้ ักฝึกฝนพฒั นาตน เรยี ก
วา่ อตั ตสัมปทา
๕) ความถงึ พร้อมดว้ ยทฏิ ฐิ คือ การยึดถอื เช่อื ถือในหลกั การและมคี วามเห็น
ความเข้าใจพืน้ ฐานท่ีมองเห็นสงิ่ ท้ังหลายตามเหตุผล เรยี กวา่ ทฏิ ฐสิ มั ปทา
๖) ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท คือ มีความกระตือรอื ร้นอยูเ่ สมอ เหน็
คุณค่าของกาลเวลา เหน็ ความเปลีย่ นแปลงเปน็ สิ่งท่ีกระตุน้ เตือนให้เรง่ รดั การคน้ หาให้
เข้าถงึ ความจริงหรือทำ� ชีวิตทีด่ งี ามให้ส�ำเร็จ เรียกวา่ อปั ปมาทสมั ปทา
๗) การรูจ้ ักใชค้ วามคดิ ที่ถูกวิธี คดิ เปน็ คิดอยา่ งมรี ะเบยี บ รจู้ ักคดิ พิจารณา
เพอ่ื นำ� มาใชพ้ ัฒนาตนใหก้ ้าวหน้าขน้ึ ไป เรียกว่า โยนโิ สมนสกิ าร
สติปฏั ฐาน ๔
สติปฏั ฐาน ๔ คือ ข้อปฏิบัติท่เี ปน็ ท่ตี ง้ั แห่งสติ หรือการตั้งสติกำ� หนดพจิ ารณา
ส่ิงต่าง ๆ ให้รู้เท่าทัน ท�ำให้มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ และท�ำให้ไม่ประมาทในการ
ดำ� เนนิ ชวี ติ แบง่ เป็น ๔ ประการ
๑) กายานปุ ัสสนา หมายถึง การตัง้ สตกิ �ำหนดพจิ ารณากาย เพื่อให้รเู้ ท่าทัน
และเขา้ ใจตามความเป็นจรงิ วา่ กายนไี้ ม่มีตัวตนทแ่ี ท้จริง ไมใ่ ชข่ องเรา เราบงั คับไมไ่ ด้
ตอ้ งมีแก่ เจบ็ ตาย ไปตามกาลเวลา
๒) เวทนานุปัสสนา หมายถึง การตั้งสติก�ำหนดพิจารณาเวทนา คือ ความสขุ
ความทกุ ข์ หรอื ความเฉย ท่เี กดิ ขึน้ ในขณะใดขณะหน่งึ อยา่ งร้เู ท่าทันวา่ เป็นอยา่ งไร
55
๓) จิตตานปุ สั สนา หมายถึง การตั้งสตกิ �ำหนดพจิ ารณาจิต เพอ่ื ให้รู้เทา่ ทนั ถงึ
สภาพหรอื อาการของจติ วา่ จิตใจขณะนน้ั เป็นอยา่ งไร มีความขุน่ มวั หดหู่ ฟุ้งซา่ น
เกยี จคร้าน หรอื ขยนั
๔) ธัมมานุปัสสนา หมายถงึ การตง้ั สติก�ำหนดพิจารณาธรรมทีเ่ ป็นกุศลหรอื
เป็นอกุศล ซึง่ เกดิ ขึ้นกับใจ ว่าเกดิ ขึ้นจากเหตปุ จั จัยอะไรบ้าง และจะดบั ไปด้วยวิธใี ด
ดรุณธรรม ๖
ดรุณธรรม ๖ คอื ธรรมท่เี ปน็ หนทางแหง่ ความส�ำเร็จ ความเจรญิ ก้าวหนา้ มี
๖ ประการ
๑) รกั ษาสขุ ภาพดมี ิให้มีโรคทัง้ จติ และกาย เพราะโรคภัยไข้เจบ็ เป็นอปุ สรรคท่ี
คอยขดั ขวางไม่ให้ประสบความส�ำเรจ็ ด้วยเหตุนี้จึงตอ้ งหม่นั บรหิ ารกายใหม้ ีสุขภาพแขง็
แรงและบริหารจิตใหม้ ีสขุ ภาพจติ ทดี่ ี เรียกวา่ อโรคยะ
๒) มรี ะเบียบวนิ ยั ไมก่ อ่ เวรภยั แก่ผ้อู นื่ และสงั คม รู้จกั ให้อภยั ไมอ่ าฆาต
พยาบาท เรียกว่า ศลี
๓) ได้คนดเี ปน็ แบบอยา่ ง คือ คนมีปัญญา มีคุณธรรมและยดึ ถอื ปฏบิ ัติตามจะ
ช่วยสนับสนนุ ให้การด�ำเนนิ ชีวิตเจรญิ กา้ วหน้า เรียกว่า พุทธานุมัติ
๔) ต้งั ใจเรียนรูใ้ ห้จรงิ ศกึ ษาคน้ คว้าแสวงหาความร้ใู ห้เชย่ี วชาญ เรียกว่า สุตะ
๕) ท�ำแตส่ ่ิงท่ถี กู ต้องดงี าม ด�ำรงมน่ั อย่ใู นสจุ รติ เรยี กว่า ธรรมานุวัติ
๖) ขยนั หม่ันเพียร การไม่ทอ้ ถอย ไม่ทอ้ แทเ้ ฉ่ือยชา เรยี กวา่ วริ ิยะ
กลุ จิรัฏฐติ ธิ รรม ๔
กลุ จิรฏั ฐิตธิ รรม ๔ คอื ข้อปฏบิ ตั ิสำ� หรับรกั ษาวงศ์ตระกูลให้ด�ำรงอย่ไู ด้นาน มี
๔ ประการ
๑) การแสวงหาพสั ดทุ ห่ี ายไป หมายถงึ สิง่ ของท่ีจ�ำเป็นในครอบครัว เชน่
ปจั จยั ๔ เมื่อหายไปหรือหมดไป จะต้องช่วยกนั จดั หามาทดแทนสง่ิ ทห่ี ายหรือหมดไป
๒) การบรู ณะซอ่ มแซมพัสดุที่เกา่ ช�ำรดุ หมายถงึ สงิ่ ของท่ีจ�ำเปน็ เม่อื เกดิ ช�ำรุด
เสยี หายจะตอ้ งรู้จักซอ่ มแซมให้ใช้การได้ เชน่ ทอ่ี ยู่อาศยั อปุ กรณ์ เครอื่ งใช้ตา่ ง ๆ ภายใน
บ้าน เป็นต้น
56
๓ การร้จู กั ประมาณในการใชจ้ ่าย หมายถงึ การรู้จกั ประหยัด รจู้ ักกินรู้จกั ใช้
ไม่ใชจ้ า่ ยเกินฐานะของตนเอง ไมก่ อ่ หน้ีสนิ ใหก้ บั ครอบครัว
๔ การตงั้ คนมีศลี ธรรมเป็นพอ่ บา้ นแม่เรอื น หมายถึง การมหี ัวหนา้ ครอบครัวท่ี
เป็นคนดีมีศีลธรรม ประกอบอาชีพสุจรติ ขยนั หมั่นเพียรในการงาน ก็สามารถสบื ทอด
ต่อวงศ์ตระกูลให้เจริญยง่ั ยนื ได้
กุศลกรรมบถ ๑๐
กศุ ลกรรมบถ ๑๐ คอื ทางแหง่ การทำ� ความดี หรอื กรรมดที ค่ี วรประพฤติ มี ๓ ทาง
๑) ทางกาย เรยี กว่า กายกรรม มี ๓ ประการ
- เว้นจากการฆา่ หรอื เบยี ดเบียนสัตว์โดยวธิ กี ารต่าง ๆ
- เวน้ จากการลกั ทรพั ย์ คอื ไมถ่ อื เอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไมใ่ ห้โดย
วิธกี ารต่าง ๆ
- เว้นจากประพฤติผดิ ในสามี ภรรยา บุตร ธดิ าของผอู้ ่นื
๒) ทางวาจา เรยี กว่า วจกี รรม มี ๔ ประการ
- เวน้ จากการพูดเทจ็ คือ การพูดในส่ิงทเ่ี ป็นจริง
- เว้นจากการพูดส่อเสยี ด คือ การพดู ทส่ี ง่ เสริมให้เกดิ ความสามัคคี
ในหม่คู ณะ
- เวน้ จากการพูดค�ำหยาบ คือ การพดู ทสี่ ุภาพ ไพเราะนุ่มนวลต่อ
บคุ คลที่เกย่ี วข้อง
- เวน้ จากการพูดเพอ้ เจอ้ คอื การพดู มสี าระประโยชนท์ งั้ ต่อตนเอง
และผอู้ ื่น
๓) ทางใจ เรียกว่า มโนกรรม มี ๓ ประการ
- ไม่โลภอยากไดข้ องผูอ้ นื่ คอื การไม่เพ่งเลง็ ท่ีจะเอาทรัพยข์ อง
คนอ่ืนในทางทุจริต
- ไม่พยาบาทปองรา้ ยผอู้ ่ืน คือ การไมผ่ กู ใจเจบ็ ไมจ่ องเวร
ไมค่ ิดอาฆาต
- ไมเ่ หน็ ผดิ จากคลองธรรม คอื การมคี วามเหน็ ถกู ตอ้ งตามเหตตุ ามผล
57
อานสิ งส์ของการสวดมนต์ ไหว้พระและน่ังสมาธิ
หากพูดเร่ืองการสวดมนต์ไหว้พระ น่ังสมาธิทุกคนก็จะนึกถึงพระสงฆ์หรือผู้
ปฏิบัติธรรม แท้จริงแล้วการสวดมนต์ไหวพ้ ระควรเปน็ ขอ้ ปฏบิ ัตปิ ระจำ� ของเหลา่ ชาว
พุทธท้งั หลาย โดยเฉพาะการสวดมนต์ไหวพ้ ระในวันธรรมสวนะหรือวนั พระ
แม้ว่าการสวดน้ันจะสวดได้แบบปากเปล่าหรือจะต้องดูหนังสือสวดมนต์ก็ตาม
สง่ิ ส�ำคญั ของการสวดมนต์ต้องอยบู่ นพ้ืนฐานของความตัง้ ใจจริง มสี มาธทิ ีด่ นี ำ� จติ ไปจับท่ี
ตัวอกั ษรทจี่ ะสวดออกมาอยา่ งจดจ่อ เปลง่ เสียงให้ดงั ฟังชดั เจน โดยครบู าอาจารย์ได้
อธบิ ายถงึ อานสิ งส์ของการสวดมนต์ไว้ ดงั น้ี
๑. อานสิ งสท์ เี่ กดิ กบั สุขภาพรา่ งกาย
ผู้ทนี่ ยิ มสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิสมำ่� เสมอจะก่อให้เกดิ ผลดีตอ่ จิต จติ ท่ี
สว่างจะทำ� ใหอ้ ารมณผ์ ่องใส ไม่โกรธงา่ ยไมเ่ ครียด แมถ้ ้าจะตอ้ งใชค้ วามคิดกจ็ ะคิดแบบมี
เหตมุ ผี ล การที่จติ ผอ่ งแผว้ ถือเป็นโอสถทิพยท์ ี่สำ� คญั ต่อร่างกาย สง่ ผลใหร้ ่างกายสรา้ ง
และหลง่ั ฮอรโ์ มนในร่างกายทเ่ี ปน็ ปกติ ท�ำให้รา่ งกายสมดลุ เมอ่ื รา่ งกายสมดลุ บคุ คลนน้ั
58
จะอายยุ ืน คนท่มี อี ารมณ์ดี ไมเ่ ครียดจะอายยุ นื ยาว เชน่ พระสงฆ์ที่ปฏบิ ตั วิ ปิ ัสสนา
กรรมฐานบางรปู จะอายุยนื บางรปู เกินรอ้ ยปี หรอื คนโบราณท่ชี อบสวดมนตไ์ หว้พระจะ
อายุยนื ยาวมาก ไม่มีต�่ำกวา่ แปดสบิ ปี การมีจติ ท่ผี อ่ งใสเสมอื นหนึ่งมยี าอายุวัฒนะขนาน
เอกไวใ้ นตวั เอง ลกั ษณะนี้ ครบู าอาจารยท์ ่านให้เรยี กวา่ “ การน�ำปัจจยั ภายในมาสร้าง
อายวุ ฒั นะ”
๒. อานิสงส์ให้เกดิ จติ ท่ีแกร่ง
หลงั การสวดมนตไ์ หวพ้ ระและนง่ั สมาธิจะทำ� ใหจ้ ิตมีก�ำลงั เปน็ การบำ� รงุ จิต
จิตท่มี กี �ำลังจะเข้มแขง็ ไมอ่ อ่ นไหวง่าย สติดี หนักแนน่ การมจี ิตเป็นสมาธสิ ติจะคงอยู่
เสมอ และก่อใหเ้ กิดปญั ญาตามมา
ปญั ญา หมายถงึ ระบบการคดิ ท่ีมสี ติคอยกำ� กับการคดิ จงึ อยู่บนพื้นฐานของ
เหตแุ ละผลไมม่ ีอารมณ์เข้ามาเจือปนส่วนความคดิ ทีข่ าดสติเราเรียกวา่ “อารมณ์” คน
สมัยใหมท่ ีไ่ มน่ ยิ มน่ังสมาธิ สง่ ผลใหส้ ติไมม่ ัน่ คงโกรธงา่ ย ไมอ่ ดทนต่อแรงกดดนั ทั้งปวงมี
อารมณ์แปรปรวนไมส่ มำ่� เสมอ เหตเุ พราะจติ อ่อนกำ� ลัง ใหเ้ ปรียบเทียบง่าย ๆ วา่ การท่ี
เราต้องรับประทานข้าวปลาอาหารเพราะอาหารเป็นส่ิงที่มีความส�ำคัญกับชีวิตฉันใดก็
ฉนั นั้น สมาธิกจ็ ะเป็นอาหารทส่ี ำ� คญั ของจิตเช่นกนั
๓. ไดอ้ านสิ งส์จากการไดโ้ ปรดดวงจติ วิญญาณ
ผู้ที่สวดมนต์ไหว้พระน่ังสมาธิถึงขั้นเป็นผู้มีจิตใสสว่างน้ันเป็นท่ีโปรดปรานของ
พวกวิญญาณเร่รอ่ นยง่ิ นัก เพื่อปรารถนาจะขอสว่ นบญุ สว่ นกุศลใหต้ นได้ร่มเยน็ หรอื พ้น
ทุกข์ หรือแมก้ ระทง่ั หลุดพน้ จากการถกู จองจ�ำ
โดยปกติบทสวดมนต์จะมีความขลังเพราะเป็นอักขรภาษาที่มีมนต์ขลัง บาง
บทเป็นพระคาถาทมี่ อี านุภาพสงู โดยเฉพาะบทพุทธบารมี บทพระคาถาชินบัญชรมี
อานุภาพสูง ย่ิงถ้าผู้สวดมีสมาธิจิตท่ีดีแล้ว พลังแห่งเมตตาพลังแห่งอานุภาพจะแผ่
กระจายปกคลุมไปไกล ดว้ ยอานภุ าพของพลังจติ ของผูส้ วดเอง เมื่อเสียงสวดและอักขระ
ไปกระทบ หรือสัมผัสกับดวงจิตวิญญาณใด พลังเมตตาและพลานุภาพน้ีจะกระตุ้นให้
ดวงจติ วญิ ญาณเกิดความระลกึ ได้ เม่ือระลึกไดก้ ็จะสามารถดดู ซบั พลังบารมที ั้งปวงจาก
บทสวดอยา่ งเตม็ ที่ ดวงจติ ที่มดื บอดก็จะสวา่ งผ่องใสขึ้นและหลดุ พน้ จากบว่ งพนั ธนาการ
ในทีส่ ุด
59
สภาพโดยธรรมชาติของวิญญาณทั้งหลายน้ัน พวกเขาจะถูกจ�ำกัดหรือถูก
ควบคมุ พนื้ ทเ่ี สมอื นถกู จองจำ� ตตี รวน เหมอื นนกั โทษทต่ี ดิ อยใู่ นคกุ บางคนกส็ ำ� นกึ ไดเ้ อง
บางคนตอ้ งไดร้ บั การอบรมสงั่ สอนกอ่ นจงึ จะเกดิ สำ� นกึ เชน่ กนั ดวงวญิ ญาณหลายดวงเกดิ
สำ� นกึ ในความดคี วามชว่ั ทตี่ นไดก้ ระทำ� ไดเ้ อง เมอ่ื สำ� นกึ ไดก้ จ็ ะสามารถเปดิ รบั ธรรมะได้
การส�ำนกึ ไดเ้ ป็นสิ่งสำ� คัญยิ่ง ดงั ที่คนโบราณได้สั่งสอนบอกตอ่ กนั มาวา่ ก่อน
ตายให้นึกถึงพระ ความหมายนีก้ ค็ ือให้เกิดรู้สำ� นึกนั่นเอง แมถ้ า้ คนเราส�ำนกึ ไดใ้ นวนิ าที
สุดทา้ ยขณะใกล้จะตายก็ถอื ว่ามโี อกาสทีจ่ ะรบั รู้สัมผสั ธรรมได้ (จิตเปดิ ) มโี อกาสหลดุ พน้
(จากการจ�ำกัดบริเวณ) ได้และภาษาอักขระในบทสวด ดวงจิตวิญญาณสามารถก็
สามารถเข้าถึงได้ใหด้ วงจติ วิญญาณเข้าใจได้ ก่อให้เกิดความกระจ่างไดแ้ ละย่ิงเมื่อเราแผ่
เมตตาตามอีกเขาก็จะได้อานิสงส์มากย่ิงข้ึน ดวงจิตวิญญาณเหล่านั้นชุ่มเย็นเป็นสุขจน
สุดทา้ ยก็จะสามารถหลดุ พน้ ไปได้ การทีเ่ ราทำ� ใหว้ ิญญาณตกทุกขไ์ ดย้ ากทกุ ข์ทรมาน ได้
รับความสุข สวา่ งสดใส หรอื กระทง่ั หลุดพ้นไปได้ นบั ว่าได้อานิสงส์มหาศาล
สภาพความจริงในภพแหง่ วิญญาณนั้น ถา้ มนษุ ย์มองเหน็ ก็จะพบวา่ มวี ญิ ญาณ
เรร่ ่อน (สัมภเวส)ี จ�ำนวนมากมายและมที กุ หนทุกแหง่ เช่น คนมีจิตสว่างบางคนไปนอน
ทไี่ หนกจ็ ะมวี ญิ ญาณมาดงึ มาปลกุ มาทำ� ใหไ้ มส่ ามารถนอนได้ ปรากฏการณเ์ ชน่ นใ้ี หท้ า่ น
เขา้ ใจเปน็ เบอ้ื งตน้ วา่ เขามาขอสว่ นบญุ เขาเหน็ จติ ของทา่ นทสี่ วา่ ง แสดงวา่ ทา่ นเปน็ ผมู้ ี
บญุ ทสี่ ามารถแผใ่ หเ้ ขาได้ อยา่ ตกใจอยา่ กลวั ใหถ้ อื วา่ เปน็ โอกาสทดี่ ี วธิ ปี ฏบิ ตั กิ ค็ อื สวด
มนต์ แผเ่ มตตาใหเ้ ขาการแผเ่ มตตาภาวนาสมาธใิ ห้ กจ็ ะไดอ้ านสิ งสม์ ากเทา่ ทวคี ณู
การสวดมนต์ที่แท้กค็ อื การแผเ่ มตตานนั่ เอง การทำ� จติ ใหน้ ง่ิ เป็นสมาธิบ่อย ๆ
เสมอื นเราอยใู่ นท่สี งู อานิสงส์ทเ่ี ราสร้างบุญกุศลเปรยี บเสมือนเราเทนำ�้ ให้ไหลลงสู่เบ้ือง
ลา่ ง ผูอ้ ยู่เบ้อื งลา่ งทห่ี ิวกระหายกจ็ ะรอรบั อยา่ งชุ่มเย็น มคี วามปีติยนิ ดี
๔. ได้อานิสงส์จากโปรดสรรพสัตว์ทง้ั หลาย
นอกจากดวงจิตวิญญาณแล้วยังมีอีกกลุ่มหน่ึงท่ีปรารถนาจะได้รับพลังเมตตา
บารมีจากการสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธเิ ชน่ กัน คอื พวกสตั วเ์ ล็ก สัตว์นอ้ ยสรรพสัตว์
ทงั้ หลายทเี่ ป็นเพอ่ื นทุกข์ เกดิ แก่ เจ็บ ตายดว้ ยกนั ท้งั หมดทง้ั ส้นิ พลงั แหง่ การแผเ่ มตตา
บารมีนีม้ ีอานุภาพยิ่งใหญเ่ ปน็ พลังแห่งพทุ ธานุภาพ เป็นพลังฝ่ายบุญกุศล การสวดมนต์
ไหว้พระนั่งสมาธิและแผ่เมตตาบ่อย ๆ จะท�ำให้จิตมีความแข็งแกร่ง พลังแห่งการแผ่
เมตตากจ็ ะมอี านภุ าพที่ครอบคลุมพ้นื ท่ไี ดก้ ว้างขวางยง่ิ ขึ้น ไปสสู่ รรพสัตวม์ ากยิง่ ขนึ้
60
เบื้องต้นสามารถพิสูจน์ได้จริงไม่ว่ามด ยุง แมลง ฯลฯ ล้วนต้องการ และแสวง
หาพลานุภาพแห่งเมตตาอย่างหิวโหยจริงเช่นผู้ปฏิบัติธรรมบางคนพบว่ามีมดข้ึนมา
เกาะบนกลดขณะท่ีท่านก�ำลังที่ภาวนาอยู่จ�ำนวนมากหรือมียุงมากัดจ�ำนวนมากขณะ
นั่งสมาธิ แต่เม่ือท่านกล่าวแผ่เมตตาให้แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็จะจากไปของเขาเอง ไม่
ท�ำร้ายไม่รบกวนเราอีกเหตุเพราะพวกเขาได้รับแล้วน่ันเองลักษณะเช่นนี้จะเป็นเร่ือง
เดียวกันกับท่ีครูบาอาจารย์ท่ีกล่าวไว้ว่า พวกมด ยุง แมลงนั้น พวกเราสามารถพูดกับ
เขาได้น่ันเอง เม่ือเราท�ำให้สรรพสัตว์ท้ังหลายท่ีได้ทุกข์หลุดพ้นจากทุกข์ช่วยให้สรรพ
สัตว์ที่ได้สุข ให้ได้สุขยิ่ง ๆ ข้ึนไป เราก็ได้อานิสงส์แห่งการน้ีตอบคืน อานิสงส์เช่นนี้เป็น
อานิสงส์ที่ก่อให้เกิดบารมีที่ย่ิงใหญ่มาก เราเรียกว่า“อานิสงส์ทางทิพย์”
๕. ไดอ้ านสิ งส์จากพรเทวดาส่ิงศักดส์ิ ิทธ์ิ
ทกุ คร้งั ทเ่ี ราสวดมนต์ หลงั จากสวดบทบูชาพระรัตนตรัยแล้ว เราก็มกั จะสวด
บทชมุ นมุ อญั เชญิ เทวดาเสมอ (สกั เคฯ) เปน็ การบอกกลา่ วอญั เชญิ เทวดาใหม้ ารว่ มพธิ กี าร
สวดมนต์ เทวดาเทพเทพารกั ษท์ งั้ หลายโปรดการฟงั สวดมนตม์ าก เพราะถอื เปน็ พธิ กี รรม
แหง่ พทุ ธทมี่ มี นตข์ ลงั มคี วามศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ บทสวดทกุ บทเปน็ อกั ขระ มพี ลงั พทุ ธานภุ าพสงู
ใครไดย้ นิ ไดฟ้ งั ไดซ้ มึ ซบั กจ็ ะเกดิ ความสวา่ งไสว เกดิ พลงั บารมมี นษุ ยท์ สี่ วดมนตไ์ หวพ้ ระ
ประจำ� เทวดา จงึ เปน็ ทโ่ี ปรดปรานของเทวดาไปทไ่ี หนมเี ทวดาปกปอ้ งคมุ้ ครอง ใหโ้ ชคให้
ลาภให้ความม่ังมีศรีสุข คนโบราณจึงย�้ำหนักหนาให้ลูกหลานสวดมนต์ก่อนนอน นี่คือ
ความหมายทแ่ี ทจ้ ริงของการสวดมนตก์ ่อนนอน เทวดาก็ตอ้ งการสร้างบารมขี องตนใหส้ ูง
ขนึ้ ไปเช่นกนั เมือ่ เราสวดมนต์ ไหวพ้ ระแผเ่ มตตา ท�ำใหเ้ ทวดาไดบ้ ารมเี พ่ิม ได้ความสวา่ ง
เพ่มิ เทวดาก็จะอำ� นวยอวยพรชยั มงคลใหเ้ ราเปน็ การตอบแทนคุณเรา
หากเราสงั เกตใหด้ จี ะพบวา่ ทกุ พธิ กี รรมทางพทุ ธศาสนาตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั
จะต้องเก่ียวข้องเช่ือมโยงกับเทวดาเสมอ ก่อนเริ่มพิธีกรรมจึงต้องมีการสวดบวงสรวง
อัญเชญิ ทวยเทพเทวาและสิ่งศักดสิ์ ิทธมิ์ าร่วมพธิ ีก่อนเสมอ พุทธองค์ทรงส�ำเร็จมรรคผล
ดว้ ยทวยเทพเทวดาชว่ ยเหลือ ชีแ้ นะ ในทางกลบั กนั เทวดากพ็ ง่ึ พาธรรมจากพุทธองค์
หรือพทุ ธสาวกเพ่อื สรา้ งบารมี ชท้ี างสว่างเสมือนน�ำ้ พง่ึ เรอื เสือพึง่ ปา่ องคท์ วยเทพเทวา
กบั พุทธศาสนาจึงแยกกนั ไมอ่ อก เป็นของคูก่ นั
61
๖. สามารถแผ่เมตตาชว่ ยคนเจบ็ ปว่ ยได้
อานิสงส์การแผ่เมตตาน้ัน นอกจากสรรพสัตว์และดวงวิญญาณท้ังหลายแล้ว
มนุษย์ท่ัวไปท่ีนอนเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานก็สามารถรับอานิสงส์ของการแผ่เมตตาได้
โดยใหเ้ รากลา่ วว่า ดังนี้ “อานสิ งสข์ องการสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิ ของข้าพเจ้าในวัน
น้ี ขอส่งให้ (ชื่อ-สกุล ผปู้ ่วย)” เพยี งเท่าน้เี องก็จะกอ่ ใหเ้ กิดผลดตี อ่ ผู้ปว่ ยมหาศาล โดย
เฉพาะผู้แผ่เมตตาเป็นผู้บุญบารมีมากย่ิงก่อให้เกิดผลเร็วข้ึนอย่างชัดเจน แม้บางราย
สังขารจะไม่ดีก็ตาม ความทุกข์ทรมานจะลดลงจิตจะดีคนเราเมื่อจิตดีก็มีความสุข
อย่างไรก็ดีต้องท�ำความเข้าใจหลักของเวรกรรมแต่ละคนด้วย ผู้ป่วยบางราย
อาจจะยกเว้นไม่เป็นไปตามมาตรฐานนี้อันเนื่องจากอยู่ในภาวะชดใช้กรรมของเขา
และอีกประการหน่ึงให้เข้าใจในเรื่องวิถีจิตของผู้ป่วยต้องเปิดด้วย ถ้าจิตปิดก็รับไม่ได้
แต่หากผู้ป่วยเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้วก็จะยิ่งเกิดผลเร็วทันตาเห็น อย่างไรก็ตามความ
เป็นสายเลือดสายโลหิตระหว่างผู้แผ่อานิสงส์และผู้ป่วยก็เป็นข้อยกเว้นพิเศษอีกเช่นกัน
เพราะความเป็นสายเลือดการส่งอานิสงส์บุญกุศลจะยิ่งรวดเร็วที่สุดเกิดอานุภาพแรง
ทสี่ ดุ เชน่ กนั
ดงั กล่าวมาขา้ งตน้ คงพอจะทำ� ให้ทกุ ท่านเข้าใจเรื่อง อานสิ งส์ หรือ ประโยชน์
ที่จะรับจากการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ตลอดจนการแผ่เมตตาเป็นอย่างดีแล้ว
อยา่ งไรกด็ นี เ่ี ปน็ เพยี งประโยชนเ์ บอื้ งตน้ เทา่ นนั้ มอี านสิ งสท์ จี่ ะไดร้ บั ทางออ้ มอกี มากมาย
กวา่ น้ีแต่เปน็ “ ปัจจตั ตงั ”ของแตล่ ะคน การอ่านเชอ่ื วา่ สามารถทำ� ใหท้ า่ นเขา้ ใจไดแ้ ตจ่ ะ
ใหเ้ ข้าใจอย่างลึกซงึ้ ท่านตอ้ งปฏบิ ตั เิ อง ธรรมะคำ� ส่ังสอนขององคพ์ ระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า
ไม่มเี คร่ืองมือชนิดใดมาวัดประสิทธิภาพวัดความจรงิ ได้ ตอ้ งวัดผลด้วยการปฏบิ ตั เิ อง
ที่มา : trueplookpanya.com
62
63
“๔ ทศพรรษ สมโภชวดั ศิรเิ สาธง”
ผจู้ ัดพมิ พ ์ วดั ศริ ิเสาธง
อำ�เภอบางเสาธง จงั หวดั สมุทรปราการ
ทป่ี รกึ ษา พระมงคลธรรมธัช, ดร.
เจา้ อาวาสวดั ศริ เิ สาธง เจา้ คณะอำ�เภอบางเสาธง
รวบรวมและเรียบเรยี ง ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยร์ ตั นา ทิมเมือง
ออกแบบปก รูปเล่มและศลิ ปกรรม ดร.ปทมุ มา บำ�เพ็ญทาน
พิมพ์คร้ังท่ี ๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๕
จำ�นวนพิมพ ์ ๑,๕๐๐ เล่ม
ลิขสิทธ ิ์ วัดศริ ิเสาธง อำ�เภอบางเสาธง
จงั หวดั สมทุ รปราการ
พิมพท์ ี่ บริษทั ททู วนิ พรน้ิ ติ้ง จำ�กัด
64
¾ÃÐÁ§¤Å ¸ÃÃÁ¸ªÑ ਌ÒÍÒÇÒÊ
ÃÇ‹ Á»ÃСÒÈ ËÅÑ¡ªÑ 㹾ÃÐÈÒʹÒ
ÈÃÔ àÔ ÊÒ¸§ ¸ÃÃÁʶҹ ¢Í§ªÒÇ»ÃЪÒ
¹ÓÈÃÑ·¸Ò 㽆·Ò§¸ÃÃÁ ·Ó¤ÇÒÁ´Õ
¨ÒÃ¡Ö äÇŒ ÊÁâÀª ÈÔÃÔÊÇÑÊ´Ôì
ÊèշȾÃÃÉ ÈÔÃÔàÊÒ¸§ ´ÓÃ§Ç¶Ô Õ
à©ÅÁÔ ©Åͧ »ÃСÒÈ¡ŒÍ§ ·ÑÇè ¸Ò¹Õ
ÍÒÃÒÁ¹Õé à¡´Ô ´ÇŒ Â㨠·èãÕ ½¸† ÃÃÁ