The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ฝึกการจับคู่ภาพกับเงาของนักเรียนออทิสติก ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลุง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kkj, 2020-07-24 23:59:09

ฝึกการจับคู่ภาพกับเงาของนักเรียนออทิสติก ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลุง

ฝึกการจับคู่ภาพกับเงาของนักเรียนออทิสติก ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลุง

พฒั นาทักษะการจับคู่รูปภาพโดยการใช้แอพพลเิ คชน่ั
ฝกึ การจับคู่ภาพกบั เงาของนกั เรียนออทสิ ติก
ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ ประจำจงั หวัดพทั ลุง

โดย
นายปรีชา สโุ พฮง

ศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ ประจำจังหวัดพทั ลุง
สำนกั บรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ

พฒั นาทกั ษะการจบั ครู่ ปู ภาพโดยการใช้แอพพลเิ คชน่ั
ฝึกการจบั คู่ภาพกับเงาของนกั เรยี นออทสิ ติก
ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจังหวดั พัทลงุ

โดย
นายปรีชา สโุ พฮง

ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจงั หวัดพทั ลุง
สำนักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ

สำนกั คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

กิตติกรรมประกาศ

การวิจัยครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากท่านผู้อำนวยการ วิสัน สุคะมะโน
ขอขอบพระคุณที่กรุณาให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางที่ถูกต้องตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่อง
ต่าง ๆ ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนและเอาใจใสด่ ้วยดีเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
จงึ ขอกราบขอบพระคณุ เป็นอย่างสงู ไว้ ณ โอกาสนี้

ผู้วิจัยขอระลึกถึงคุณงามความดีที่ทุกท่านได้ช่วยเหลือด้วยดีตลอดมาและขอให้
งานวิจยั ฉบับนีเ้ ปน็ ประโยชนส์ ำหรับผู้ทีเ่ กี่ยวข้องตอ่ ไป

นายปรีชา สุโพฮง

ชือ่ เร่ืองการวจิ ัย พฒั นาทักษะการจับครู่ ูปภาพโดยการใช้แอพพลเิ คชั่นฝึกการจบั คู่ภาพ
กับเงาของนักเรียนออทิสติก ศนู ย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวดั พัทลงุ
ผูว้ จิ ยั
ปกี ารศกึ ษา นายปรีชา สุโพฮง ตำแหนง่ ครูผู้ชว่ ย
หนว่ ยงาน
2562

ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลุง

บทคดั ย่อ

การวจิ ยั ในคร้ังนมี้ วี ตั ถปุ ระสงค์ คือ 1)เพื่อพัฒนาทกั ษะการจบั ครู่ ปู ภาพของนกั เรียนออทิ
สติก โดยการใช้แอพพลิเคชั่นฝึกการจับคู่ภาพกับเงา 2)เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาทักษะการจับคู่
รูปภาพของนักเรียนออทิสติก ก่อนและหลังการใช้แอพพลิเคชั่นฝึกการจับคู่ภาพกับเงา
กลุ่มเป้าหมายนักเรียนออทิสติก ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลุง จำนวน 1 คน เลือก
โดยวิธีเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นแอพพลิเคชั่นฝึกการจับคู่ภาพกับเงาที่สร้าง
ขน้ึ เพ่อื ใหส้ ามารถใช้ในมือถือ แท็ปเล็ต (ระบบปฏิบตั ิการแอนดร์อย) แล็ปทอ็ ปคอมพวิ เตอร์ และ
มีเครื่องมือแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม ใช้ในการจดบันทึกและประเมินผลการใช้งานส่ือ
แอพพลิเคชั่นฝึกการจับคู่ภาพกับเงา ผลการวิเคระห์ข้อมูลพบว่า นักเรียนออทิสติก ศูนย์
การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลุง จำนวน 1 คน สามารถพัฒนาทักษะการจับคู่รูปภาพของ
นกั เรียนออทิสติก โดยการใช้แอพพลิเคชนั่ ฝกึ การจับคู่ภาพกบั เงา ซึง่ เปน็ CAI ทสี่ ามารถใชใ้ นสมา
ทโฟนและคอมพิวเตอร์ โดยผลพัฒนาการของผู้เรียน พัฒนาจาก ระดับคุณภาพ 1 ผู้เรียนทำได้
โดยผู้อื่นจับมือทำ ในการทดลองช่วงแรก ต่อมามีพัฒนาการดีขึ้นเป็นระดับคุณภาพ 3 4 และ 5
ตามลำดับ ผู้เรียนสามารถทำได้ด้วยตนเอง และผลการเปรียบเทียบทักษะการจับคู่รูปภาพของ
นักเรียนออทิสติก ก่อนและหลังการใช้แอพพลิเคชั่นฝึกการจับคู่ภาพกับเงานักเรียน พบว่าหลัง
เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี น รอ้ ยละ 80

สารบัญ

หัวข้อ หน้า

กิตตกิ รรมประกาศ
บทคดั ย่อ
สารบัญ
บทที่ 1 บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา.............................................................. 1
ความมุง่ หมายของงานวจิ ัย……………………………………………………………………………..3
ขอบเขตของการวจิ ัย………………………………………………………………………………...3
กรอบแนวคิดในการวจิ ยั …………………………………………………………………………... 4
นิยามศัพท์เฉพาะ…………………………………………………………………………………….. 4
ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะไดร้ บั .................................................................................. 5
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้อง
เอกสารและงานวิจัยท่ีเกยี่ วข้องกับเด็กออทสิ ตกิ ................................................. 6
เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้องทักษะการจบั คู่ การสงั เกต................................. 14
เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้องการใช้แอพพลิเคช่ัน........................................... 17
เอกสารและงานวิจยั ท่เี ก่ยี วข้องกบั บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน...................... 18
คอมพิวเตอร์กบั เด็กออทสิ ติก.............................................................................. 21
วิจยั ท่เี กี่ยวข้อง.................................................................................................... 22
บทท่ี 3 วิธดี ำเนนิ การวจิ ัย
ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง................................................................................. 24
เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการศึกษาคน้ ควา้ ....................................................................... 24
วธิ ีดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมขอ้ มูล....................................................... 24
การจัดกระทำและวเิ คราะหข์ ้อมูล....................................................................... 25
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................ 26
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
ลำดบั ขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล................................................ 27
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล......................................................................................... 27
บทท่ี 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
ความมงุ่ หมายของการศกึ ษาค้นควา้ .................................................................... 33
สรุปผล................................................................................................................. 33
อภปิ รายผล.......................................................................................................... 33
ข้อเสนอแนะ........................................................................................................ 34

1

บทที่ 1
บทนำ

1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา

ตามพระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 เรื่องสิทธิและหน้าทที่ างการศึกษา
ระบวุ า่ “การจดั การศึกษา สําหรบั บุคคลซึง่ มีความบกพร่องทางรา่ งกาย จติ ใจ สตปิ ัญญา
อารมณ์ สงั คม การส่ือสาร และการเรียนรู้หรอื มีรา่ งกายพิการ หรือทุพลภาพ หรือบุคคลซ่ึงไม่
สามารถพ่ึงตนเองไดห้ รือไมม่ ีผ้ดู ูแลหรอื ด้อยโอกาส ตอ้ งจัดให้บคุ คลดังกลา่ วมสี ิทธแิ ละโอกาส
ได้รับการศกึ ษา ข้นั พนื้ ฐานเป็นพิเศษ” และระบเุ กีย่ วกบั แนวทางการจดั การศกึ ษาไว้วา่ “การ
จดั การศกึ ษาต้องยึดหลักวา่ ผูเ้ รยี น ทุกคนมีความสามารถเรียนรแู้ ละพฒั นาตนเองได้และถือวา่
ผเู้ รยี นมคี วามสาํ คญั ที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสรมิ ให้ ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตาม
ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ (กรมสามญั การศกึ ษา, 2544) ดงั น้ันครูและผูม้ ีส่วนเก่ียวข้องกบั
การศกึ ษาสําหรบั เด็กทีม่ ีความตอ้ งการพเิ ศษจะต้องจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหส้ อดคล้องกับ
ความตอ้ งการทจี่ าํ เป็นของเด็ก พิเศษแตล่ ะประเภท ความสนใจและความถนดั ของผู้เรยี นและ
สง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นไดเ้ รยี นร้อู ย่างเต็มที่ และพัฒนาความสามารถ ตามศักยภาพของแตล่ ะบุคคลให้
ผเู้ รียนไดร้ บั การพัฒนาทงั้ ด้านร่างกาย ด้านสติปญั ญา ด้านอารมณแ์ ละด้านสังคมเปน็ สาํ คญั
(นิตยา เมอื งม่ิง,2550)

ออทสิ ซึม (Autism หรอื Autistic Disorder) มาจากคำว่า "Auto”11 รือ “Self’ แปลวา่
“ตัวเอง’, เป็นปญ้ หาทางจิตเวชเดก็ ท่ีรนุ แรง (เพ็ญแข ล่มิ ศิลา. 2541) ซึง่ หมายถึงกลุ่มอาการทมี่ ี
พฤติกรรมจำเพาะในเด็ก ที่แสดงถงึ ความลา่ ชา้ และความผิดปกตทิ างพฒั นาการดา้ นสงั คม การส่ือ
ความหมายและภาษา ขาดการจินตนาการและกระบวนการทางความคิด พฤติกรรมท่เี ห็นได้
ชัดเจน คอื การแยกตัวอยู่ในโลกของตวั เอง (วนิ ัดดา ปิยะศิลป.ี 2537) เดก็ ออทสิ ตกิ มักมี
พฤติกรรมอยู่ไม่ สขุ สมาธสิ ้นั วอกแวกงา่ ย มีความลำบากในการใชอ้ วัยวะตา่ งๆ ในเวลาเดียวกนั

การท่ีเด็กออทสิ ติกมีความบกพรอ่ งในการส่ือสารกเ็ นื่องมาจากความยากลำบากในการ
เขา้ ใจ การแปลความหมาย การแสดงออกทางการพูด และทักษะทางสงั คม จึงทำใหเ้ ด็กรสู้ ึกอดึ
อัด กับข้องใจเม่อื ไม่สามารถส่ือสารให้ผู้อ่นื เขา้ ใจได้ เป็นผลใหเ้ ถดิ พฤตกิ รรมทำร้ายตวั เอง ทำรา้ ย
ผ้อู ืน่ และทำลายข้าวของ (Frost and Bondy. 2002) ดังนน้ั การสื่อสารกับเด็กออทิสติกตอ้ ง
พยายาม แยกยอ่ ยทุกคำเพ่ือใหเ้ ดก็ เขา้ ใจความหมาย ซ่ึงต้องใช้ทกุ วธิ ี ท้ังการพดู อา่ น เลา่ พงี ดู
เขียน และ แสดง อย่างไรก็ตามถึงแบ้ว่าเด็กออทสิ ติกจะสอนยาก แตก่ ช็ อบแสดงพฤติกรรมและ
การเรียนรูท้ ี่ ซาๆ (ศรเี รอื น แกว้ กงั วาน. 2543)

การเรยี นรู้ของเด็กออทสิ ติกมีความแตกตา่ งจากเดก็ ปกติ เพราะเด็กมีขอ้ จำกดั ใน
กระบวนการรู้การคดิ มีความบกพร่องด้านความคดิ รวบยอด สนใจในรายละเอียดจนละเลย
ความสัมพันธข์ องส่งิ ที่เก่ียวข้อง ไมเ่ ขา้ ใจเร่ืองนามธรรม มีความยากลำบากในการประสมประสาน

2

ความคิด มีความลำบากในการลำดบั ความสำคัญ ตลอดจนการนำประสบการณ์เดิมมาใช้ใน
สถานการณ์ใหม่ ดังนัน้ หลักสำคัญในการจัดการเรียนรู้ให้แก่เดก็ ออทสิ ตกิ คือ การเพ่ิมความเข้าใจ
ต่อสิ่งต่างๆ และการจดั สง่ิ แวดลอ้ มให้งา่ ยต่อการเขา้ ใจ (Mesibovand Shea.1999) และจากการ
ทีเ่ ดก็ เหลา่ นเ้ี ป็นผทู้ ถ่ี นัดในการเรยี นร้ทู างสายตา (Visual Learners) นั่นคอื เขาสามารถเขา้ ใจต่อ
สิ่งตา่ งๆ และการจดั สงิ่ ทีม่ องเห็นมากกว่าส่งิ ที่ไดย้ ิน (Hodgdon. 2000)

แอพพลิเคชั่นเป็นส่ือการเรียนร้อู ยา่ งหน่งึ ทเี่ ป็น Non -Transient Message และทำใหเ้ ด็ก
ออทิสติกเป็นอิสระจากส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั ซึง่ เขาไม่สนใจ (The National Autistic Society.
2000 ) ท้ังนเี้ พราะเด็กไม่มีความยืดหยนุ่ ของความคดิ และพฤตกิ รรม ไมช่ อบการเปลีย่ นแปลง
เมื่อมสี ง่ิ รบกวนการปฏบิ ตั กิ ิจวตั รประจำวนั จึงทำให้เกิดความเครียด (Jordan. 1997) แต่
แอพพลเิ คช่นั ผ่านโทรศัพท์มือถือ แทป็ เลก็ หรอื คอมพวิ เตอร์ ให้เกดิ ความรสู้ กึ ผ่อนคลาย ทัง้ ยงั ได้
“เร่ิมด้น ณ จดุ ท่เี ขาเป็นอยู’่ ’ และคอ่ ยๆ มีปฏสิ มั พันธค์ บั ส่ิง อนื่ ๆ ผา่ นส่อื แอพพลเิ คชนั่ ผ่าน
โทรศัพท์มอื ถอื แท็ปเลต็ หรอื คอมพวิ เตอร์ (The National Autistic Society. 2000 )

ในป้จจุบันนี้การสอนเด็กออทิสติกยงั ไม่มีวธิ กี ารเฉพาะ ดงั นนั้ ผู้สอนจะต้องใช้วิธกี าร
หลายๆ อยา่ งในการชว่ ยเหลอื เด็กเหล่านี้ และพัฒนาวธิ กี ารสอนทมี่ ีประสิทธิภาพสำหรับเดก็ แต่
ละ คน ซ่งึ วิธีการดงั กลา่ วรวมถงึ การใช้กลยุทธก์ ารสอนโดยเนน้ การมองเห็น (Visual Strategies)
ซึง่ จะ ทำใหเ้ ดก็ ไดร้ บั ประโยชน์มากกว่าจากจดุ เดน่ ของวธิ ีการเรียนรู้แบบนี้ (Smith, Pollowa,
Patton and Dowdy. 2001) ดงั น้นั ผ้วู ิจัยจงึ เห็นวา่ การสอนโดยแอพพลิเคชนั่ ผ่านโทรศัพท์มือถือ
แท็ปเล็ตหรอื คอมพิวเตอร์ วันละประมาณ 10-30 นาที นา่ จะทำให้เด็กออพสิ ติกมีความเข้าใจ
และเรยี นรู้ได้มากข้ึน เน่ืองจากการสอนโดย บทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนทเี่ น้นการมองเห็น
และยังเป็นชอ่ งทางการเรียนรู้ที่เดก็ ถนัด อกี ท้ัง แอพพลเิ คช่ันผ่านโทรศัพท์มือถอื แทป็ เลต็ หรอื
คอมพวิ เตอร์ ยงั สามารถสรา้ งสรรค์ความนา่ สนใจด้วยภาพที่เคลือ่ นไหว สี เสียง ที่ เรา้ ใจ ทำให้
เดก็ มีความพึงพอใจและมปี ฏิกริ ิยาตอบสนองต่อบทเรยี น

เทคโนโลยีต่างๆ ท่ีเจริญกา้ วหนา้ ทำให้การดำเนินชวี ติ ของเราในป้จจบู ัน มกี ารพ่ึงพาและ
อาศัยเทคโนโลยี ในป้จจูบันมีการนำเทคโนโลยขี องคอมพิวเตอรม์ าประยุกต์ใชใ้ นการจัดการเรยี น
การสอน เพื่อพฒั นาการเรยี นการสอนให้มีคณุ ภาพมากยิง่ ข้ึน ซึ่งสิง่ ทจ่ี ะกลา่ วถึงคือ แอพพลิเคชน่ั
ผา่ นโทรศพั ทม์ ือถอื แท็ปเลต็ หรอื คอมพิวเตอรค์ ือลกั ษณะที่ แตกต่างจากหนังสือ หรือตำราทเ่ี รา
ใชใ้ นการสอน เชน่ นักเรียนสามารถโตต้ อบได้ ควบคมุ การ เรยี นของตนเอง รวมถึงกิจกรรมต่างๆ
ที่จะทำได้ ทำให้นักเรยี นสามารถที่จะเรียนไดต้ ามความ สะดวกแลความสามารถในการเรียนรู้ของ
ตนเองได้

การจดั การเรียนการสอนท่ีคำนงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยทีผ่ ้เู รยี นแตล่ ะคนจะ
ไดศ้ ึกษา ด้วยตนเองมากที่สดุ และเรว็ ทส่ี ุดที่ความสามารถระหวา่ งบุคคลจะเอ้ืออำนวย (วรี ะ ไทย
พานิช. 2537:9 - 19 )

นอกจากนั้นแอพพลเิ คช่นั ผา่ นโทรศพั ท์มือถอื แท็ปเลต็ หรอื คอมพวิ เตอร์ นา่ จะเปน็ ลื่อการ
สอนทสี่ ามารถเพ่ิมเตมิ เน้ือหาในสว่ น ทีเ่ ก่ียวข้อง และยงั ไม่ครบถว้ นสมบรู ณ์ลงไปใหค้ รบถว้ นมาก
ยิ่งขึ้น รวมทัง้ รายละเอียดท่เี ป็นการ กระตุน้ และเพ่มิ แรงจูงใจแกผ่ เู้ รยี นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เน่ืองจาก

3

เปน็ สิง่ ท่แี ปลกและใหม่ ทำให้ผู้เรียน สนกุ ไปลับการเรยี นไม่รู้สึกเบือ่ หน่าย (กดิ านนั ท์ มลิทอง.
2536)

ดงั นัน้ ผ้วู ิจัยจึงสนใจศึกษาพฒั นาทกั ษะการจบั ครู่ ปู ภาพโดยการใช้แอพพลิเคชนั่ ฝกึ การ
จับคู่ภาพกับเงาของนักเรยี นออทิสติก ศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ ประจำจังหวดั พทั ลุง ซ่ึงจะชว่ ยเสริม
ในการจับคสู่ ง่ิ ของหรือส่งิ ตา่ งๆท่ีมีความเหมือนกันได้ พัฒนาการสอื่ สาร ท้งั ยังจะน่าไปสู่การ
พัฒนาวธิ ีการช่วยเหลือใหเ้ ดก็ ออทิสติกให้เกดิ การเรียนรู้ โลกรอบตัว และทำใหเ้ ด็กมคี วามสขุ ใน
การเรียนร้ผู า่ นสื่อที่เหมาะสมอนั จะมผี ลต่อเน่ืองในการพัฒนาศกั ยภาพดา้ นอน่ื ๆ ต่อไปอีกดว้ ย

2 ความม่งุ หมายของงานวจิ ัย

1.เพ่ือพัฒนาทักษะการจบั ครู่ ูปภาพของนกั เรยี นออทสิ ตกิ โดยการใช้แอพพลเิ คชนั่ ฝกึ การ
จับค่ภู าพกับเงา

2.เพื่อเปรยี บเทียบพัฒนาทักษะการจับครู่ ปู ภาพของนักเรียนออทิสตกิ ก่อนและหลงั การใช้
แอพพลิเคช่ันฝกึ การจับคภู่ าพกบั เงา

3 ขอบเขตของการวิจยั

3.1 ขอบเขตด้านเนือ้ หาในการจดั การเรยี นรู้
3.1.1 การจบั ครู่ ปู รา่ ง ได้แก่ สีเ่ หลย่ี ม สามเหลี่ยม วงกลม หกเหลย่ี ม
3.1.2 การจับคู่ภาพสตั ว์ ไดแ้ ก่ สงิ โต ยรี าฟ หมี นก
3.1.3 การจบั คู่ภาพผลไม้ ได้แก่ เชอรี่ สม้ แตงโม สบั ปรด

3.2 ขอบเขตดา้ นประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง
ประชากรทใี่ ชใ้ นการวจิ ัยคร้งั นีไ้ ดแ้ ก่ นักเรียนออทสิ ติก ระชั้นเตรียมความพร้อม

หน่วยบริการปากพะยนู ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ ประจำจงั หวัดพทั ลงุ ปีการศึกษา 2562
จำนวน 4 คน

กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีใช้ในงานวจิ ัยคร้งั นไี้ ด้แก่ นักเรียนออทิสติก เพศหญิง อายุ 4 ปี
ระชั้นเตรยี มความพรอ้ ม หน่วยบรกิ ารปากพะยนู ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลงุ ปี
การศึกษา 2562จำนวน 1 คน เลอื กโดยวิธีเจาะจง

3.3. ตวั แปรที่ใชใ้ นการวิจยั คร้งั น้ี
4.3.1 ตัวแปรตน้ แอพพลเิ คชน่ั ฝึกการจับคูภ่ าพกับเงา
4.3.2 ตวั แปรตาม ทักษะการจบั ครู่ ูปภาพ ของนกั เรียนออทสิ ตกิ ศูนย์การศกึ ษา

พเิ ศษ ประจำจังหวดั พัทลงุ

4

3.4 ระยะเวลาการวิจัย
ระยะเวลาในการจัดทำวจิ ัยในครงั้ น้ี เริม่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 29 กมุ ภาพนั ธ์ 2563

โดยใช้เวลา สปั ดาห์ละ 1 วัน วนั ละ 20 นาที จำนวน 16 สัปดาห์ 16 ครั้ง

4 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย

ตัวแปรตน้ ตวั แปรตาม

แอพพลิเคชัน่ ฝกึ การ ทักษะการจบั ค่รู ปู ภาพ
จบั คู่ภาพกับเงา ของนักเรียนออทิสตกิ
ศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ
ประจำจงั หวัดพทั ลุง

5. นิยามศพั ท์เฉพาะ

เดก็ ออทิสตกิ หมายถงึ เดก็ ท่ีมีความบกพร่องทางพัฒนาการอย่างรุนแรง มีความ ลา่ ช้า
ทางพฒั นาการดา้ นสงั คม ดา้ นการส่อื ความหมาย ภาษา และจินตนาการมีพฤติกรรมที่ไมพ่ ึง
ประสงคแ์ สดงอย่างชดั เจนเน่ืองมาจากหนา้ ที่ของสมองบางส่วนทำงานผดิ ปกติ

นักเรียนออทสิ ติก หมายถึง นกั เรียนออทสิ ติก เพศหญิง อายุ 4 ปี เรยี นอยู่หนว่ ยบริการ
ปากพะยนู ศนู ย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพทั ลงุ

แอพพลิเคชน่ั ฝกึ การจบั ค่ภู าพกบั เงา หมายถึง สอื่ การเรยี นการสอน CAI ทีส่ ามารถใชบ้ น
เครอ่ื งคอมพวิ เตอรแ์ ละสามารถใชบ้ นสมารท์ โฟน(ระบบปฏิบตั กิ าร Android)ได้

ระดับคุณภาพ หมายถึง ระดับทีผ่ ู้บันทึกบันทึกความถ่เี ป็นรายครงั้ ท่ีนักเรยี น สามารถทำ
ได้สำเร็จใน 1 ครั้ง

5 ทำไดด้ ้วยตนเอง
4 ทำได้โดยการช้แี นะจากผู้อืน่
3 ทำได้โดยการกระตุ้น ชี้นำ ชี้แนะ จากผูอ้ ืน่
2 ทำได้โดยผ้อู ่ืนพาทำ และชว่ ยเหลือ
1 ทำได้โดยผอู้ ่ืนจบั มอื ทำ
Application (แอพพลิเคช่ัน) หมายถงึ โปรแกรมทอ่ี ำนวยความสะดวกในด้านตา่ งๆ ท่ี
ออกแบบมาสำหรบั Mobile (โมบาย) Teblet (แทบ็ เลต็ ) หรืออุปกรณเ์ คลื่อนที่ ทเ่ี รารู้จักกนั ซึง่
ในแต่ละระบบปฏบิ ัตกิ ารจะมีผพู้ ัฒนาแอพพลเิ คชนั่ ข้นึ มามากมายเพอ่ื ให้ตรงกบั ความต้องการ

5

ของผ้ใู ช้งาน ซ่งึ จะมีให้ดาวนโ์ หลดทง้ั ฟรแี ละจา่ ยเงิน ทง้ั ในด้านการศึกษา ดา้ นกรสื่อสารหรอื
แมแ้ ตด่ า้ นความบันเทิงต่างๆ เป็นต้น

พัฒนาทกั ษะการจบั ครู่ ปู ภาพ หมายถงึ แบบประเมนิ ความสามารถพ้นื ฐาน สำหรยั เดก็ ท่ี
มีความต้องการจำเปน็ พเิ ศษระยะแรกเริม่ (อายุ 0-6 ป)ี ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจังหวดั
พทั ลงุ กลุ่มทกั ษะทางสติปญั ญาหรือการเตรยี มความพร้อมทางวิชาการ ทักษะที่ 6.4 การจับคู่
ทักษะย่อยท่ี 6.4.1 การจบั คู่ส่ิงของหรือรปู ภาพ พัฒนาการท่ีคาดหวงั ท่ี 1 สามารถจบั คู่ส่ิงของ
หรือรปู ภาพท่ีเหมอื นกนั ได้

6. ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ
6.1.นกั เรยี นออทิสติกไดร้ ับการพัฒนาทักษะการจับครู่ ปู ภาพ
6.2.ครูสามารถนำไปประยุกต์ใช้กบั การสอนทกั ษะอ่นื ๆได้

6

บทท่ี 2
แนวคิดทฤษฏแี ละงานวิจัยที่เก่ยี วข้อง

ในการวจิ ัย พัฒนาทักษะการจบั ครู่ ูปภาพโดยการใช้แอพพลิเคช่ันฝึกการจับคู่ภาพกบั เงา
ของนักเรยี นออทิสติก ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจังหวดั พัทลงุ ไดม้ ีการรวบรวมเอกสารและ
งานวิจัยที่เกีย่ วข้องในดา้ นต่างๆ ดังน้ี

1 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข้องกับเดก็ ออทสิ ติก
1.1 ความหมายของเด็กออทิสติก
1.2 ลกั ษณะและอาการของเด็กออทิสติก
1.3 การวินจิ ฉัย
1.4 การสอนเด็กออทสิ ติก
1.5 แนวทางการช่วยเหลอื

2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้องทักษะการจบั คู่ การสงั เกต
2.1 ความหมายของทักาะการจับคู่
2.2 ความหมายของทักษะการสงั เกต
2.3 ขอ้ มลู จากการสงั เกต
2.4 ขอ้ เสนอแนะในการสงั เกต

3 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ งการใช้แอพพลิเคชนั่
3.1 ความหมายและประเภทของแอพพลิเคชั่น
3.2 ระบบปฏิบัติการวนิ โดวส์
3.3 ระบบปฏิบัตกิ ารแอนดอร์ยด์

4 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้องกับบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
4.1 ความหมายของบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน
4.2 ประเภทของคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
4.3 ประโยชนข์ องคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน
4.4 ลักษณะของบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน

5 คอมพวิ เตอร์กบั เด็กออทิสตกิ
6 งานวิจัยท่เี กี่ยวขอ้ ง

1 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้องกับเดก็ ออทิสตกิ

1.1 ความหมายของเด็กออทิสตกิ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2552, หนา้ 47) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนด

ประเภทและหลักเกณฑข์ องคนพิการทางการศึกษา กลา่ วว่า บคุ คลออทิสติกได้แก่บคุ คล ทม่ี ี

7

ความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วน ซึ่งส่งผลต่อความบกพร่อง ทางพฒั นาการ
ดา้ นภาษาดา้ นสังคมและการปฏสิ มั พันธท์ างสงั คมและมีข้อจำกัดด้านพฤติกรรม หรอื มีความสนใจ
จำกัดเฉพาะเรื่องใดเรือ่ งหนึ่งโดยความผิดปกตนิ นั้ ด้นพบได้กอ่ นอายุ 30 เดือน
จากความหมายของเด็กออทิสตกิ ดังกลา่ วข้างต้น สอดคล้องกับพฤตกิ รรม ของกรณีศึกษา คือ
บุคคลทีม่ ีความผดิ ปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วน ซงึ่ ส่งผลตอ่ ความบกพรอ่ งทาง
พัฒนาการดา้ นภาษาดา้ นสังคมและการปฏสิ ัมพนั ธท์ างสงั คม และมีขอ้ จำกัดดา้ นพฤติกรรม หรือ
มคี วามสนใจจำกัดเฉพาะเร่ืองใดเรอื่ งหน่งึ ซ่ึงทำให้ มีความยากลำบากในการเรียนรใู้ นทักษะการ
รับรู้

1.2 ลกั ษณะและอาการของเดก็ ออทิสติก
เด็กออทิสติกมักจะแสดงอาการผดิ ปกตใิ นหลายด้านด้วยกัน ทั้งน้ขี ้ึนอยู่กบั ความ

รนุ แรงของโรคและในเดก็ แตล่ ะคนจะมคี วามผดิ ปกตใิ นแตล่ ะด้าน อาการท่ีอาจพบได้ ในเดก็ ออทิ
สตกิ มดี ังนี้

รชั นีกร ทองสุขดี (2549, หนา้ 5-6) กล่าวถงึ ลักษณะของเดก็ ออทิสติกแต่ละคน จะ
มคี วามแตกต่างกัน ทัง้ ลกั ษณะอาการแสดงระดับความรนุ แรงของอาการจะเปลย่ี นไป ตามอายุ
ของเด็ก โดยจะมีพฒั นาการผดิ ปกติและลา่ ชา้ กวา่ เดก็ วัยเดียวกนั ในขวบปแี รก มักเลี้ยงง่าย ไมเ่ คย
ร้องไห้ แต่ในบางรายอาจมีปัญหาการกนิ ดดู นมไมด่ ี กลนื ไม่เปน็ มปี ัญหาการนอน นอนช่วงสน้ั ๆ
ตนื่ บ่อย รอ้ งไห้ไมม่ ีเหตผุ ลหรือเงยี บเฉยเกินไป ไม่ตดิ ใคร เลยหรือติดมากผดิ ปกติ ไม่ชอบให้ถกู ตัว
ไมค่ ่อยสบตา หรือจ้องอย่างมาก จ้องมองทะลทุ ะลวง แต่ไม่มคี วามหมายชว่ งหลัง 1ปี จะเร่มิ
สงั เกตว่าพูดช้าไม่พดู ไม่ชีบ้ อกความตอ้ งการ อาจมีการออกเสยี งคำสนั้ ๆ แล้วหยดุ ไป ไม่สบตา
หรอื จอ้ งมองมากผิดปกติ ไมส่ นใจใคร และไมส่ นใจเล่นกับเด็กอื่นตามวัย เลียนแบบไม่เป็น มี
พฤติกรรมทางสงั คมทีแ่ ปลก กว่าเด็กอ่ืนมกั ไม่อย่นู ิง่ ว่งิ ไมร่ ะวงั หกล้ม ไมร่ ้อง เหมือนไม่รู้สกึ เจบ็
ไมม่ ีการตอบสนอง ทางอารมณแ์ ละมีสหี น้าเฉยเมยหากเมื่อเด็กอายุ 8 เดือน หากพบพฤตกิ รรม
ต่อไปน้ีมากกว่า 2 ข้อ ใหน้ ึกถึงภาวะออทซิ ึม ไดแ้ ก่

1 ไมส่ นใจสง่ิ แวดล้อมและบุคคล เลน่ กบั เดก็ อื่นไม่เปน็
2 ไมส่ ามารถช้ีน้ิวบอกความต้องการได้
3 เลน่ สมมตไิ มเ่ ปน็
4 ไม่สามารถมีพฤติกรรมแสดงความสนใจรว่ มกับบุคคลอน่ื ได้
รชั นกี ร ทองสุขดี (2550, หน้า 87-88) กลา่ ววา่ ผปู้ กครองมกั พาเดก็ มาพบแพทย์
ดว้ ยปญั หาไม่พดู เรยี กไมห่ นั ไมส่ บตา โดยเฉพาะอย่างย่ิงในชว่ งอายุ 3-5 ขวบ แตป่ จั จุบัน จะมา
พบเรว็ ขนึ้ คือ ช่วงตั้งแต่อายุ 2-4 ขวบ แพทยจ์ ะสังเกตว่าเด็กมีลกั ษณะภายนอกปกติ แขง็ แรง
หน้าตาน่ารัก แตเ่ ฉยเมย ไม่กลัวคนแปลกหน้า ไม่สนใจใครสนใจวัตถมุ ากกว่าคน ไม่สบตาหรือ
บางรายจะจ้องอย่างมากมองแบบทะลุทะลวง อาจมองเอียง ๆ ดว้ ยหางตา เล่นของเล่นซ้ํา ๆ เล่น
เป็นบางอย่าง ไม่มจี ินตนาการ อาจนำของเลน่ มาเรียงต่อกันเปน็ แถวยาว อาจพบการเคลื่อนไหวท่ี
ผิดปกติ เดนิ เขยง่ ปลายเทา้ (Toe-walking) สะบดั มือ (Hand-flapping) กางนิ้ว งอนว้ิ เล่นแล้ว
จ้องมองบางอยา่ ง เช่น ผ้า หลอดดดู กาแฟ ซง่ึ ต่างกนั ไปในแตล่ ะราย ในเด็กโตหากไม่เคยได้รับ

8

การรกั ษาและช่วยเหลือเลย อาจมีอาการและพฤตกิ รรม คล้ายโรคจิตเภท (Schizophrenia) พดู
คนเดยี ว พดู เปน็ ภาษาทฟ่ี ังไม่ออก ไมส่ นใจใคร มีพฤติกรรมซ้ํา ๆ แปลก ๆ
จากลักษณะของเด็กออทสิ ตกิ ดงั กล่าวขา้ งตน้ สอดคล้องกับพฤติกรรมของกรณศี ึกษา คือ
กรณศี ึกษาจะ ไม่คอ่ ยสบตา หรือจ้องอยา่ งมาก จ้องมองทะลทุ ะลวงแต่ไม่มีความหมาย โยกตวั ไป
มาตลอดเวลา เล่นของเล่นซา้ํ ๆ เลน่ เป็นบางอยา่ ง เชน่ รถของเลน่ ดินนา้ํ มนั ไม่มจี นิ ตนาการ
อาจนำของเลน่ มาเรยี งตอ่ กนั เป็นแถวยาว พูดคนเดียว พูดเปน็ ภาษาทีฟ่ ัง ไม่ออก ไมส่ นใจใคร มี
พฤติกรรมซ้ํา ๆ แปลก ๆ ไมน่ ิ่ง ดังนัน้ การจดั กิจกรรมการเลน่ เพื่อพัฒนาทกั ษะการรบั รู้ของเด็ก
ออทสิ ตกิ ควรคำนึงถงึ ลักษณะของกรณีศึกษา พฤติกรรมการเรยี นร้ขู องกรณีศึกษา และออกแบบ
กจิ กรรมให้กรณีศึกษาให้สอดคล้องกับ ลักษณะของกรณีศึกษา

1.3 การวนิ ิจฉยั ในปัจบุ นั มกี ารวธิ กี ารวนิ จิ ฉัยภาวะออทิซึมไวห้ ลายแบบ โดยมีนกั วชิ าการ
ได้กล่าวถึงการวินจิ ฉยั ภาวะออทซิ ึมไว้ดงั น้ี

เพ็ญแข ลิ่มศลิ า (2550, หน้า 99) กลา่ วถึง การวินจิ ฉัยภาวะออทิซึมไวว้ ่า เกณฑก์ าร
วินิจฉัยโรคนตี้ ามคู,มือการวนิ ิจฉยั โรค DSM-IV-TR (2000) (The American Psychiatric
Association’s Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorder 4th Edition-Text
Revision, 2000) โดยสมาคมจติ แพทย์แห่งสหรฐั อเมริกา ได้กำหนดเกณฑ์ ในการวินิจฉัยโรค
ออทซิ มึ ไวด้ ังน้ี

1 ต้องแสดงอาการอยา่ งนอ้ ย 6 รายการจาก (1) (2) และ (3) โดยอย่างน้อย ต้องมี
2 รายการ จาก (1) และอยา่ งนอ้ ยอยา่ งละ 1 รายการจาก (2) และ (3) มีคุณลกั ษณะ ในการเขา้
สงั คมทผี่ ิดปกติ โดยแสดงออกอยา่ งน้อยข้อต่อไปนี้

1.1 ความผดิ ปกติทางสังคมและปฏสิ ัมพนั ธก์ ับผู้อน่ื โดยแสดงออก อย่างน้อย 2
รายการตอ่ ไปน้ี

(1) ความยากลำบากในการใช้กริยาท่าทาง (Nonverbal Behaviors) ในการ
ปฏสิ มั พนั ธ์กบั ผูอ้ นื่ เชน่ การไมม่ องสบตาคู่สนทนา การไมแ่ สดงออกทางสีหนา้ ไม่แสดงท่าทาง
ประกอบการสนทนา ยืนใกล้หรอื ไกลเกินไประหว่างสนทนา หรือใช้โทนเสยี ง ไม่ปกติ

(2) ความลม้ เหลวในการพฒั นาความสมั พนั ธ์กับเพื่อน เม่ือเปรยี บเทยี บกบั
เดก็ ในวยั เดยี วกัน มเี พ่ือนไม่ก่ีคนหรือไมม่ ีเลย ถา้ มีเพื่อน เพ่ือนมักมีอายุแก่ หรืออ่อนกว่าหรอื เล่น
กบั พ่นี ้องเท่านน้ั มปี ัญหาในการทำตามกฎเกณฑข์ องเกมทีเ่ ลน่ อยใู่ นกลุ่ม เพื่อน

(3) ไมแ่ สดงความตื่นเต้น สนุกสนาน สนใจ ความสำเร็จของคนอ่ืน (ถ้า
แสดงออกจะนอ้ ยมาก) เช่น ไม่เรียกร้องความสนใจ ไมต่ ่นื เตน้ กบั สง่ิ แปลกใหมไ่ มน่ ำส่งิ ของมาให้
หรอื โชว์ใหเ้ พือ่ นดู และไม่ต่นื เต้นกบั รางวัล

(4) ขาดการรบั รู้ต่อสงิ่ รอบช้าง เชน่ ไมต่ อบสนองต่อส่งิ รอบข้าง บางครัง้ ดู
เหมอื นจะไม่ไดย้ นิ อะไรเลย หรือไม่สนใจสง่ิ รอบตัววา่ มใี ครอย่ทู ำอะไรบ้าง หรอื เป็นอะไร (ถา้ เห็น
คนลม้ จะยนื ดเู ฉย ๆ ไม่แสดงอาการใด ๆ)

1.2 ความผิดปกติในการสื่อสารโดยแสดงออกอย่างนอ้ ย 1 รายการตอ่ ไปนี้

9

(1) มีพฒั นาการทางภาษาพดู ช้าหรอื ไม่มีพฒั นาการเลย เชน่ ไม่พูดเป็นคำใน
การส่ือสารเมื่ออายุ 2 ขวบ ไม่ใช้วลงี า่ ย ๆ เช่น ขอนมอีก เมื่ออายุ 3 ขวบ หรือ หลงั จากท่ีพดู ได้
แตม่ กั พดู ผดิ ซ้าํ ๆ และผดิ โครงสรา้ ง ยิง่ ไปกว่าน้นั มักใชก้ ารสอ่ื สารทางเลอื ก อืน่ มากกว่าการใช้
ภาษาพูด เชน่ จูงมือไปหาสิง่ ของทต่ี อ้ งการมากกว่าบอกบทสนทนาและต่อบทสนทนากับผูอ้ ่นื ได้
รวมถึงพูดกลับไปกลบั มา หรือพดู คยุ เฉพาะเรื่อง ท่ีสนใจ เป็นต้น

(2) มคี ำศัพท์เฉพาะตวั เลอื กหรอื มีภาษาแปลก ๆ หรอื พูดซํ้า ๆตามท่ีได้ยิน
หรืออา่ น (Echolalia แบบทันทหี รือทีหลงั ) และใชภ้ าษาไม่สมวยั

(3) เลน่ บทบาทสมมติไมเ่ ป็นหรอื เล่นไมเ่ หมาะสมกบั วัยและ พัฒนาการไม่มี
จนิ ตนาการ เช่น เล่นขายของไม่เปน็ เลน่ ของเล่นไมเ่ ปน็ (ลือรถไปมา หมุนล้อ) เป็นตน้

1.3 ความผิดปกติท่ีแสดงออกทางพฤตกิ รรมซํ้า ๆ ความสนใจและกจิ กรรม ตา่ ง
ๆ โดยแสดงออกอย่างนอ้ ย 1 รายการ ตอ่ ไปน้ี

(1) สนใจในส่งิ ใดสิ่งหน้ีงอย่างจริงจงั เกนิ ไปทีผ่ ิดไปจากเด็กในวัยเดยี วกันและ
ยากทจี่ ะหนั เหความสนใจเปน็ อย่างอื่น

(2) ปรับตวั ยาก ไมช่ อบการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะกจิ วตั ร ประจำวนั เช่น
ทำกิจวตั รตามลำดับเดิม ถ้ามีการเปล่ียนแปลงจะแสดงออกทางอารมณ์ที่รนุ แรง เช่น ทำรา้ ย
ตนเอง กรดี ร้องโหยหวนเปน็ เวลานาน นอกจากนีย้ ังมพี ฤติกรรมยา้ํ ทำกบั ส่ิงใดสิ่งหน้ีงอย่างไม่มี
ประโยชนอ์ ะไร

(3) มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เชน่ หมนุ ตัว เดนิ เขย่ง วิ่งไปวิ่งมา อย่างไร้
จุดหมายหรอื นงั่ เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย โบกมอื ไปมา หรอื โยงตวั เปน็ ตน้

(4) ชอบทำอะไรซํ้า ๆ อย่างไมม่ ีจดุ หมาย หรือสนใจสง่ิ ของเฉพาะ สว่ นหรอื
สง่ิ ของทีเ่ คลอ่ื นไหว เชน่ นง่ั ดพู ดั ลมหมุนไปมา ปิดเปิดสวิตซ์ไฟซํ้า ๆ เล่นสะบดั มือ หมนุ มือหรือ
โยกตัว เป็นต้น

2 มีพัฒนาการชา้ หรอื ผดิ ปกติกอ่ นอายุ 3 ขวบ อยา่ งนอ้ ย 1 ใน 3 รายการต่อไปน้ี
ไดแ้ ก่ การมีปฏสิ ัมพันธท์ างสงั คม ทางภาษาในการลื่อสารทางสงั คม หรือการเล่นสมมตุ ิ หรอื การ
เลน่ ตามจินตนาการ

3 ไมไ่ ด้รบั การวนจฉยั ว่าเป็นโรค Rett’s Disorder หรอื Childhood
DisintegrativeDisorder

สุรพงศ์ อำพันวงษ์ (ออนไลน์, 2557) กลา่ ววา่ จากการติดตามโรคออทิสตกิ ใน
ระยะเวลา ทผ่ี า่ นมา พบว่ามแี นวโนม้ เพิ่มสูงขึน้ เปน็ อยา่ งมาก เห็นได้จากรายงาน การสำรวจ
เหตุการณ์กลมุ่ อาการออทิสติกของประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2553 ท่ีพบความชุก 1:88
ขณะทกี่ ารสำรวจอย่างเป็นทางการของไทยในเด็กอายุ 0 - 5 ปี เมอื่ ปี พ.ศ.2547 พบ 1:1,000
(รอ้ ยละ0.1) โดยคาดว่าปจั จุบันประเทศไทยมผี ู้ปว่ ยออทสิ ติก ประมาณ 370,000 คน ซงึ่ ปญั หาท่ี
ผา่ นมา พบว่า ประชาชนยังเข้าใจเรอื่ งน้ีน้อย ทำให้การเข้าถึงบรกิ ารน้อยมากเพยี งประมาณรอ้ ย
ละ 15 โดยจากรายงานจำนวนผู้ป่วย ทางสุขภาพจติ ของประเทศทกี่ ระจายตามเขตสาธารณสุข

10

จังหวดั ปี 2555 มีผู้ป่วยออทสิ ตกิ เขา้ ถึงบริการจำนวน 25,537 ราย คิดเป็นอตั รา 39.74 ตอ่
ประชากรแสนคน

จากการศึกษาการวนิ จิ ฉยั เด็กออทสิ ตกิ ดงั กล่าวขา้ งต้น สอดคลอ้ งกับการวนิ จิ ฉัย
พฤติกรรมของกรณีศึกษา จำเปน็ ต้องมีข้อบ่งช้ใี นการวินิจฉัยแพทยเ์ พอ่ื จะดูวา่ เด็กมีภาวะ ออทิซึม
หรือไม่ จากพฤติกรรมทเี่ ป็นปัญหาในด้านทักษะภาษาและการสอื่ สาร พฤติกรรม ที่แสดงออกมา
ซํ้า ๆ การขาดจนิ ตนาการในการเลน่ และความบกพร่องในการรบั ร้แู ละการ เคล่อื นไหว อันจะ
สง่ ผลตอ่ การขาดโอกาสในการเรียนรู้และการดำเนนิ ชวี ิตประจำวัน ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเล่น
ควรคำนงึ ของลักษณะของเด็กออทิสติก โดยแตล่ ะกจิ กรรม ควรมลี ื่อที่เร้าความสนใจในการเรยี น
และกระตนุ้ การส่ือสาร และส่งเสรมิ พัฒนาทักษะพ้ืนฐาน ทางคณติ ศาสตร์ได้อกี ดว้ ย

1.4 การสอนเด็กออทสิ ติก
นสิ ิตา ปีตเิ จริญธรรม (ออนไลน์, 2555) ได้กลา่ วเสนอแนะแนวการสอนและลักษณะ

ของสื่อที่เหมาะสำหรับเด็กกลุ่มนีไ้ ว้ดงั น้ี
1 ย่อยงานให้เด็กเรยี นรทู้ ีละข้ัน (Task Analysis) เพื่อใหเ้ ด็กเขา้ ใจได้ง่าย ตวั ผู้สอน

เองจะตอ้ งคดิ ภาพให้ไดเ้ ป็นช็อต ๆ เหมอื นภาพต่อเนือ่ ง ยกตัวอย่างเชน่ การใสเ่ สือ่ ผา้ โดยต้อง
คดิ เป็นข้นั คือ ขนั้ ท่หี นึ่งหยบิ เส่อื ขนั้ ที่สองวางเสอื่ ควำ่ หน้า ขน้ั ทส่ี ามสอดแขน ขั้นทส่ี ่ีสอดหัว และ
ดงึ เป็นต้น และงานแตล่ ะข้ันก็ควรเริ่มจากง่ายที่สดุ แล้วจึงเพิ่มความซบั ซ้อนขึน้ ตามลำดับ

2 เรยี นรูด้ ้วยสายตา (Visual Learning) เดก็ ออทสิ ตกิ และเด็กสมาธิสน้ั ชอบลงมือ
ทำ ล้าฟงั อย่างเดยี ว ข้อมลู เหลา่ นนั้ ก็จะปลวิ หายไปทางอากาศ การสอนทเ่ี หมาะสมจึงควรมีสื่อ
จงู ใจใหเ้ ด็กได้เหน็ และลงมือทำ ด้วยกิจกรรมหลากหลาย เช่น ติดสติกเกอร์ หยอดภาพลงช่อง
หรอื ตดิ บตั รดว้ ยแถบหนามเตย

3 การช้ีแนะ (Prompting) สื่อทเ่ี หมาะกับเดก็ กลุ่มนคี้ วรมีตัวช้นี ำ เพ่อื ใหเ้ ด็ก เกดิ
การตอบสนอง ซ่ึงตวั ชน้ี ำอาจเปน็ สี เส้น เชน่ ถา้ จะสอนให้แยกผลไม้กบั สัตว์ อาจให้ภาพผลไมอ้ ยู่
บนการ์ดสฟี า้ ทง้ั หมด ภาพสัตวอ์ ยู่บนการ์ดสเี หลอื งท้ังหมด หรือการให้เด็ก โยงจบั คู่ โดยมีเส้น
เป็นตวั ชี้นำ ต่อมาเม่ือเดก็ เกิดการเรยี นรู้ในแต่ละขนั้ แล้ว จึงค่อย ๆ ลดการชน้ี ำลง และให้ทำซาํ้ ๆ
เพื่อสร้างความเข้าใจ

4 การแผ่ขยาย (Generalization) คือการเช่ือมโยงและต่อยอดการเรยี นรจู้ าก
สถานการณ์ จากสิ่งทค่ี ลา้ ยคลงึ กบั ส่งิ ทีเ่ คยเรยี นรู้ไปแลว้ จนเดก็ สามารถทำได้เอง เชน่ เมอื่ สอน
ใหเ้ ดก็ เขา้ ใจเร่อื งการจับคู่ หมากบั หมา แมวกบั แมว ลม้ กับลม้ จนเดก็ เขา้ ใจ แล้วกส็ ามารถเอาไป
ต่อยอดวา่ พระเนตรคู่กับตา หรือ Dog คู่กับหมา เป็นต้น
จากการศึกษาวธิ กี ารสอนเดก็ ออทิสตกิ ขา้ งต้น นำมาปรับใชก้ ับกรณีศกึ ษา ดังน้ี วธิ กี ารสอน
จะตอ้ งมกี ารย่อยงานให้กรณีศึกษาเรยี นรู้ทีละข้นั แบ่งออกเป็นขน้ั ตอนย่อย ๆ เรียงลำดับจากง่าย
ไปหายาก สื่อการสอนตอ้ งมีสีสนั สดใส เรา้ ความสนใจ มกี ารแบ่งแยกสื่อ ออกเป็นสีต่าง ๆ เพือ่
การสะดวกต่อการจัดประเภทของสื่อ เปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ได้ลงมอื กระทำ กจิ กรรมต่าง ๆ มีการ
ช้ีแนะในการทำกจิ กรรม เมื่อกรณีศึกษาทำไดจ้ ึงลดการชแี้ นะลง และสดุ ท้ายมีการแผข่ ยาย
เชือ่ มโยงความร้แู ละการต่อยอดการเรยี นรู้

11

1.5 แนวทางการช่วยเหลือ
เดก็ ออทสิ ติก เป็นเด็กท่คี วรไดร้ ับการชว่ ยเหลือที่เฉพาะดา้ น ซ่ึงมนี ักศึกษาพิเศษ และ

นักวชิ าการกล่าววิธกี ารช่วยเหลอื เด็กออทิสติก ดงั นี้
รชั นกี ร ทองสุขดี (2550, หนา้ 93-97) กล่าวว่า ปจั จบุ ันยงั ไม่มีการรักษาท่จี ำเพาะ

เจาะจงให้โรคนห้ี ายขาดได้ แต่กส็ ามารถช่วยเหลือให้มีพัฒนาการดีขึน้ ได้มาก ซ่ึงผศู้ ึกษา ได้ศึกษา
การทำให้เด็กกลมุ่ น้ีสามารถมีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ สามารถเรยี นรู้ และใช้ชีวติ อยูร่ ่วมกบั
ผอู้ นื่ ในสงั คมไดโ้ ดยการใชท้ ีมงานสหรชิ าชีพ (Multidisciplinary หรอื Interdisciplinary
Approach) เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึง่ สามารถแบง่ เป็น 3 ลกั ษณะ ดงั นี้คือ

1 การไม่ใชย้ าแต่ใช้การสง่ เสรมิ พฒั นาการและการเรียนร้รู ะยะแรกเริ่ม (Early
Intervention) การสง่ เสริมพัฒนาการและการเรียนร้คู วรใหต้ ั้งแต่เดก็ อายนุ ้อยทัง้ ในกลมุ่ เสี่ยง
และเด็กทไ่ี ดร้ ับการวนิ จิ ฉัยโดยต้องทำอย่างเหมาะสม เขม้ ข้นและตอ่ เนื่องในเวลาทนี่ านพอ
กิจกรรมที่จดั ให้ควรให้เหมาะสมกบั ระดบั พัฒนาการของเด็กดว้ ยการออกแบบการฝึก ให้
เหมาะสมตามจดุ แข็ง จุดอ่อน และความเร็ว ในการเรียนรู้ของแต่ละคนที่มคี วามแตกตา่ งกัน ท่ี
สำคัญคือเดก็ ควรไดร้ ับการสง่ เสริมพัฒนาการในทุกด้านเพ่ือให้เกิดความสมดลุ ท้งั ปฏิสัมพันธท์ าง
สังคม ภาษา การส่ือสารและพฤติกรรม การสง่ เสริมพฒั นาการเพียงด้านเดยี ว เชน่ การสอนพดู
โดยไมส่ อนทักษะสงั คม อาจทำใหเ้ ด็กเปน็ แบบนกแก้ว นกขุนทอง คือ พูดได้ แต่ไมเ่ ข้าใจ
ความหมาย ไมม่ องหน้าสบตา ไม่ส่อื สาร Ozonoff, Rogers, and Hendren (2003, อ้างใน
รัชนีกร ทองสุขด,ี 2550) ได้แบ่งการรักษาไว้3 กลุ่ม คอื

1.1 การเข้าช่วยเหลือทางภาษา หรือ การแก้ไขการพดู (Speech Therapy)
แบ่งเปน็ การเข้าแทรกแซงช่วยเหลอื ทางภาษาพ้ืนฐาน (กลมุ่ เด็กทยี่ ังไม่พดู ) ไดแ้ ก่ DTT, PRT,
DIR, PECS และ TEACCH การใชภ้ าษามือ เปน็ ต้น หากเด็กได้รับการพฒั นาทักษะการพูดได้ เร็ว
จะมีพฒั นาการทางภาษาใกลเ้ คียงคับเด็กทวั่ ไปเพิม่ มากขน้ึ ดังนนั้ การฝึกและแก้ไขการพูด เปน็ สงิ่
สำคัญและจำเปน็ ตอ้ งใช้วธิ ีการเพื่อชว่ ยเหลอื ให้เด็กสามารถบอกความตอ้ งการของ ตนเองได้
เรียกวิธเี หลา่ น้วี ่า การสอ่ื ความหมายทดแทน ACC (Augmentative and Alternative
Communication)

1.2 การเขา้ ช่วยเหลือเพม่ิ ความสามารถในการเข้าสงั คม ริรึท่เี ป็นทยี่ อมรับ
ได้แก่ (1) Adult-delivered Interventions ได้แก่ Social Skill Groups, Social Stories,
Visual Cues, Social Games, and Video Modeling, (2) Peer-mediated Techniques,
and Nationalistic Behavioral Techniques เป็นตน้ ทักษะสังคม เป็นความบกพร่องท่ีสำคญั
ของบุคคลออทสิ ติก ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งให้การฝกึ ฝนดา้ นนี้เปน็ พเิ ศษเพื่อให้เด็กสามารถดำรงชวี ติ อยใู่ น
สังคมได้ใกลเ้ คยี ง ปกติที่สุด ดังน้ฝี ึกฝนทักษะสังคม ทำได้โดยจำลองเหตกุ ารณ์ หรอื สถานการณ์
ทางสังคม ตา่ ง ๆ ให้ เพ่ือให้ทดลองปฏบิ ัติจนเกิดความชำนาญ หรือการสอนโดยจดจำรูปแบบบท
สนทนา ในสถานการณต์ ่าง ๆ มาใชโ้ ดยตรง

1.3 การเข้าชว่ ยเหลือปรับพฤติกรรมที่ไม่พงึ ประสงคห์ รือพฤตกิ รรมบำบัด
(Bechavioral Therapy) เป็นที่ยอมรบั ไดแ้ ก่ Function Analysis, Behavioral Support, and

12

Self Management เปน็ ตน้ การได้รบั พฤติกรรมบำบัดตง้ั แต่อายุน้อย ๆ และทำอย่างต่อเน่ือง
เป็นส่งิ สำคัญทสี่ ุด ประกอบด้วยกระบวนการฝกึ ปรับพฤติกรรม (Behavioral Modification
Procedure) และการวเคราะห์พฤตกรรมประยุกต (Applied Behavior Analysis)โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสรมิ พฤติกรรมท่เี หมาะสม ทดแทนพฤติกรรมท่เี ป็นปัญหา และสร้าง
พฤติกรรมใหม่ทีต่ ้องการ พฤติกรรมบำบดั ช่วยเสรมิ ทักษะด้านภาษา ด้านสังคม และทักษะอืน่ ๆ
นอกจากนี้ ยงั ช่วยลดระดบั ความเครยี ดของผูป้ กครองดว้ ย โปรแกรมต่าง ๆ ข้างตน้ ควรเนน้ การ'
ฝึกตัวตอ่ ตัวที่บ้านอย่างเข้มข้นและต่อเน่ือง ประมาณ 40 ช่วั โมงตอ่ สัปดาห์ นอกจากน้ี การฝกึ ฝน
ทักษะชีวติ ประจำวนั (Activity of Daily living Training) การจัดกระบวนการเรยี นรู้ในเรื่อง
กจิ วตั รประจำวนั ตอ้ งให้เดก็ สามารถช่วยเหลอื ตนเองได้ ตามศกั ยภาพ ลดการดแู ลของพ่อแม่
หรือผปู้ กครอง สง่ เสริมใหเ้ ด็กปรบั ตวั เข้าหาสังคมได้ และเกิดความภาคภูมทิ ่สี ามารถทำอะไรได้
ด้วยตนเอง การฝึกโดยใชต้ ารางกำหนดกจิ กรรม เป็นการฟืกท่ีเป็นทีย่ อมรบั ในปัจจบุ ัน และเม่ือ
เด็กไดร้ บั การชว่ ยเหลอื ระยะเร่มิ แรก (EI) จนสามารถเขา้ เรียนในโรงเรียนรว่ มและไดร้ ับการจัดทำ
แผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล (Individualized Education Program) เพือ่ เป็นแนวทางในการ
ช่วยเหลอื ในการเรยี น ทง้ั น้ีการชดั การศกึ ษามีบทบาทสำคัญในการเพมิ่ ทักษะพ้ืนฐานด้านสงั คม
การสอื่ สาร และทกั ษะความคิด มีเทคนคิ กาสอน ได้แก่ TEACCH และการใช้โปรแกรมที่เปน็ ที่
ยอมรบั ได้แก่ The Walden Early Childhood Program, The Denver Model, and The
Douglass Model (Handleman and Harris, 2001,อา้ งใน รัชนกี ร ทองสขุ ดี, 2550)

2 การรักษาดว้ ยยา (Pharmacotherapy) ยงั ไม่พบว่ามตี ัวยาใดทีช่ ่วยแก้ไข
ความบกพร่องดา้ นการสื่อสารและดา้ นสงั คมส่วนยาทพ่ี บวา่ มปี ระโยชน์ในการลดพฤติกรรม อยู่ไม่
นิง่ (Hyperactivity) หนุ หันพลันแล่น (Impulsivity) ก้าวร้าว (Aggression) และหมกมุ่น
(Obsessive Preoccupation) คอ ยากระตุน้ สมอง เช่น Methylphenidate หรอื Ritalin กลุ่ม
ยารกั ษาโรคซึมเศรา้ ไดแ้ ก่กลุ่มยา SSRI (Selective Serotonin Reuptake Inhibitor) ยาคนั ชกั
ในรายทมี่ ีอาการชัก ยากระตุ้นสมอง (Stimulant) และกลุ่มยารกั ษาโรคทางจติ เวช
(Neuroleptics Haloperidol, หรือ Fluoxetine) ในการชว่ ยลดอาการกระสบั กระส่ายและ
พฤติกรรมซา้ํ ๆเปน็ ตน้ (อสสิ า วัชรสนิ ชุ,2546,หนา้ 57-58; สมพร เรอื งตระกลู ,2543 หน้า 43
อ้างใน รชั นีกร ทองสขุ ดี, 2550)

3 การรกั ษาทางเลือก ในปจั จุบันมกี ารโฆษณาชวนเชอ่ื ลือวิธีการบำบัดอาการ
ของโรค บางรายออกมาประกาศวา่ วิธขี องตนสามารถรักษาโรคนใ้ี ห้หายขาดไดแ้ ละมผี หู้ ลงเชื่อ
เปนจำนวนมาก วธเหลานไดแ้ ก่ Auditory Integration Training, Facilitated
Communication, Hyperbaric Oxygen, Secretin (hormones that controls digestion),
Vitamin B6 and Maganesium, Dimethylglycine (DMG), Intravenous Immunoglobulin
(IVIG), Steriods, Antifungal Medications, Detoxication, Dietary Manipulations,
Animal Therapy, Sensory Integration Therapy, Craniosacral Therapy (ฝก่ การหายใจ),
หรอ Behavioral Optometry (Effects of Behavior on vision) (รชั นกร ทองสุขด, 2550,
หนา้ 93-97)

13

อาจิณ พูนสำราญ (2550, หนา้ 54) กลา่ ววา่ การชว่ ยเหลือเด็กออทสิ ติก มีวิธกี าร
ดังต่อไปนี้

1 เด็กออทิสติกมักจะไม่มองสบตากบั คนอนื่ ซึ่งพฤติกรรมน้ีมกั จะเปน็ ปญั หาต่อ
การฟังคำส่ังและบทเรียนทว่ั ไป ซง่ึ มีผลให้ครตู ้องอธบิ ายคำสัง่ ใหม่ให้เดก็ ฟงั แบบตวั ต่อตวั โดยใน
ระยะเรมิ่ แรกครูควรใช้วิธกี ระต้นุ เตอื นดว้ ยมือ เช่น คางของเดก็ เพ่ือให้มองจ้อง มาที่หน้า ครูและ
พูดว่า “มองมาทนี่ ่ซี ิ” และค่อย ๆ เปล่ียนไปใชก้ ารกระตุ้นเตอื นทางสายตา โดยใชเ้ ดก็ มองตาม
นิ้วช้ขี องครทู ่ีเคลื่อนยา้ ยไปท่ีปากของครูใช้คำสง่ั นนั้ ๆ เปน็ พเิ ศษ เชน่ “ได้เวลาฟังแลว้ นะ”
อาจจะเปน็ ประโยชนเ์ พ่ือเตอื นความจำของเดก็ ว่าต่อไปเขาจะต้องมองดู และฟังแลว้ ไม่ควรสอน
เด็กแบบตวั ต่อตัวหรอื 1:1 เป็นประจำ ไมเ่ ชน่ นนั้ เด็กจะเกิดความรู้สึก วา่ การอย่กู บั ครู ตวั ต่อตัว
เท่าน้นั ทีเ่ ป็นเวลารว่ มกจิ กรรม ครคู วรกระตุ้นกำลงั ใจเพื่อให้เดก็ นัน้ ไดเ้ รียนรว่ มในชัน้ เรียนกล่มุ
ใหญด่ ว้ ย

2 หลกี เลยี่ งการใชค้ ำสั่งทางวาจาทลี ะหลาย ๆ คำส่ังพรอ้ มกันเพราะวา่ เด็กจะมี
ปญั หา ในการจำและเรียงลำดับกอ่ นหลังของคำสั่ง ล้าเด็กมีความสามารถในการอ่านได้ อาจเขียน
คำสง่ั ลงในกระดาษเปน็ ข้อ ๆ อยา่ งงา่ ย ๆ เพือ่ ใหเ้ ดก็ อ่านได้หรอื อาจใช้รปู ภาพ เพื่อเตอื นให้เขา
นำวัสดอุ ุปกรณต์ ่าง ๆ มาใช้ในกิจกรรมท่ีครตู อ้ งการ การใช้ทา่ ทางกระตนุ้ เตือน อาจเป็นการให้
กำลงั ใจแก่เดก็ ได้เลยี นคำพูดตามคำส่ังของครูดว้ ยเช่นกัน

3 คนท่ีเป็นออทสิ ติกจำนวนมากคิดเปน็ รปู ภาพมากกวา่ คำพดู เดก็ จึงเรยี นรู้
คำนาม ได้งา่ ยที่สุด เพราะว่าเขาสามารถสรา้ งรูปภาพเกบ็ ไว้ในหวั สมอง ครคู วรเปน็ ผู้สาธิตคำที่
เด็กจะต้องเรียนรูร้ ูปภาพลายเส้นอาจจะทำใหเ้ ดก็ เขา้ ใจยาก ดงั นัน้ ควรเร่ิมตน้ ในการสอน โดยใช้
วตั ถขุ องจริงและถ่ายภาพคำถามท่คี ลมุ เครอื เชน่ “ทำไมทำอยา่ งน”ี้ จะทำใหเ้ ดก็ เข้าใจ ได้ยาก

4 การสมั ผสั ตวั อักษรพลาสติกอาจจะชว่ ยใหเ้ ด็กเรยี นร้พู ยัญชนะได้การทีจ่ ะให้
เดก็ ออทิสติกหลายคนท่เี ขียนตวั หนังสอื ไดส้ วย และเรียบร้อยนั้นเร่อื งยากมาก ๆล้าใชเ้ คร่ือง
พิมพ์ดดี หรอื คอมพวิ เตอร์ นา่ จะเป็นประโยชน์กวา่ วางแป้นพิมพต์ ิดหน้าจอ เพื่อว่าจะได้ไม่ตอ้ ง
เคลือ่ นย้ายตาออกจากแป้นพิมพ์ ในขณะที่ตรวจสอบส่ิงท่ีพิมพไ์ ปแล้ว การใช้เม้ากอ็ าจเป็นปญั หา
สำหรับเดก็ ออทสิ ติกเชน่ กัน

5 การใช้ของจริงเมื่อสอนเกย่ี วกับการนับตวั เลข จะดีกวา่ วตั ถุจากการวาดรปู
หรอื ภาพทเ่ี ขียนบนกระดานดำเด็กอาจจะบวกลบเลขได้ แต่อาจจะตดั สินไม่ไดว้ ่าวตั ถุใด ๆ หนกั
กวา่ กนั อยา่ สรปุ อะไรเกยี่ วกับระดบั ของความเขา้ ใจที่เด็กมเี ขาอาจมีความสามารถ ในการพูดและ
อธิบายบางเรือ่ งแต่จริงๆอาจไม่เข้าใจในสิง่ ทเ่ี ขากำลังพดู ถงึ เลย

6 เด็กออทิสติกหลายคนมีความสามารถในการวาดรูปงานศลิ ป์และการคำนวณ
ซ่งึ ควรจะส่งเสริมความสามารถให้ได้ฝึกทกั ษะนี้ต่อไปควรใช้ในสิง่ ของท่ีเด็กสนใจในการเพ่ิม
แรงจงู ใจในวิชาทเ่ี ขาไม่สนใจ

7 กฎระเบยี บของห้องเรียน และขีดจำกัดของพฤตกิ รรมท่ีจะอนญุ าตใหเ้ ด็กออทิ
สติก ปฏิบัตไิ ดแ้ นน่ อน ถา้ หากว่าเดก็ มีความสามารถในการอ่านแลว้ การเตือนด้วยคำท่ี เขียนอาจ

14

ชว่ ย เดก็ ได้มาก เชน่ เด็กท่มี ักพดู คุยขณะทำกจิ กรรมครอู าจยกบตั รท่เี ขียน “โปรดเงยี บ” หรอื ใช้
รูปการ์ตนู ใหเ้ ด็กถือบตั รเอาไว้กับมือหรือเก็บไว้ในกระเปา้ เพื่อเตือนใหห้ ยดุ พดู

8 เด็กออทสิ ติกอาจจะมปี ัญหาในการแสดงอารมณ์ของตนเองและอธิบายให้คน
อ่นื รู้ ว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร ดงั นนั้ เดก็ จงึ มักรู้สึกเก็บกด แตอ่ าจสามารถระบายออกได้ดว้ ยวิธที ี่
เกร้ยี วกราด อาละวาด กา้ วร้าว หรือร้องไห้ การใชบ้ ัตรภาพใบหน้าท่ีแสดงอารมณ์ตา่ ง ๆ เช่น
ความสุข เสียใจ กสู้มใจ สับสนเปน็ ดน้ เพ่ือส่ือความรู้สึกของเดก็ ก็เป็นวิธีหน่ึง และพยายามหา
เหตุผลในภายหลงั เด็กอาจต้องการเวลาอยู่ตามลำพังสักครู่หน่ึงกไ็ ด้ เม่ือเด็กออทสิ ติกเริม่ ต้นเขา้
โรงเรยี น พฤตกิ รรมอาจจะเปล่ยี นไปในทางทีแ่ ย่ลง เมื่ออยู่บ้าน หรือในเวลาว่าง เหตผุ ลก็คือเด็ก
อาจจะพยายามควบคมุ พฤติกรรมขณะอยู่ในห้องเรยี น เปน็ อย่างมาก แลว้ ตอ้ งการเวลาพักผอ่ น
กบั เวลาเปน็ “ตัวของตวั เอง” อยา่ งไรกต็ ามเวลา ดงั กลา่ วน้สี ำคญั เป็นอย่างมากท่ีจะชว่ ยให้เด็ก
ได้ร้จู ักการต่อสู้กบั ความเครยี ดทมี่ ีอยู่ ด้วยตวั เขาเอง ดงั น้ีครคู วรระวงั คือต้องไม่ลดความคาดหวงั
ทต่ี งั้ ไว้ขณะอย่ทู บ่ี า้ น

จากการศึกษาแนวทางการชว่ ยเหลือเด็กออทิสติกข้างต้น สามารถสรปุ ไดว้ ่า การให้
ความชว่ ยเหลอื เดก็ ออทิสตกิ ใหม้ พี ฒั นาการการเรยี นรแู้ ละทักษะท่ีดีขน้ึ ไดน้ ้ัน ต้องมีการช่วยเหลือ
รักษาในหลาย ๆ ดา้ นประกอบกัน โดยเฉพาะการบำบดั และพฒั นา ทักษะการใชภ้ าษา การแสดง
พฤติกรรมและควบคมุ พฤตกิ รรมที่เหมาะสมหรอื ไมเ่ หมาะสม อารมณ์และทกั ษะการเข้าสังคม
และการใชช้ ีวติ ประจำวัน เป็นต้น ซงึ่ การช่วยเหลือ เด็กออทสิ ติกในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ ถือว่ามี
ความสำคญั มากกวา่ การชว่ ยเหลือโดยใชย้ าปฏิชวี นะ หรอื การรกั ษาแบบทางเลือกหรือการลงโทษ
ทไ่ี ม่มีผลตอ่ การพฒั นาทักษะใด ๆ ใหแ้ กเ่ ด็กกลมุ่ น้ี ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้นำหลักการช่วยเหลือ
เดก็ ออทสิ ติกในการเรียนมาใช้ในการจัดกจิ กรรม โดยให้เด็กทำกิจกรรมแบบตัวตอ่ ตัวหรือ 1:1ใช้
คำส่ังงา่ ยๆทลี ะคำสง่ั ในการทำกจิ กรรม

2 เอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับทักษะการจับคู่ การสังเกต

2.1 ความหมายทักษะการจับคู่
ทักษะการจับคู่ (Matching) หมายถึง เป็นการฝึกฝนใหเ้ ด็กรูจ้ ักการสงั เกตลกั ษณะ

ต่างๆของวตั ถสุ ่งิ ของ และรจู้ ักการจบั คู่ที่เหมือนกัน มีความสมั พนั ธก์ ัน หรือประเภทเดียวกนั เข้าคู่
กันสำนกั พิมพ์ MIS คมู่ ือลบั สมอง กลา่ ววา่ “การจับค่”ู หมายถึง การหาส่ิงที่มลี ักษณะเด่น
สอดคล้องกนั มาเข้าคู่กนั นอกจากจะนำสิง่ ที่เหมือนกนั มาจับคูก่ ันแล้ว ยังรวมไปถึงการจับคู่
ความสมั พนั ธ์หรือตัวเลขอีกด้วย กิจกรรมการจบั คจู่ ะช่วยใหเ้ ด็กๆ เข้าใจความหมายของ “มลู
ค่าท่ีเทา่ กนั ” ช่วยพัฒนาความรู้ด้านคณิตศาสตร์ ดงั นั้นการจบั คูจ่ ึงเปน็ พน้ื ฐานการพฒั นาการ
เรียนรใู้ นอนาคตท่ีจะมองขา้ มไม่ได้ การจบั คู่ในสายตาของผู้ใหญ่อาจเป็นเร่ืองงา่ ย แต่อนั ทจี่ ริง
แลว้ การจบั คูแ่ ฝงการฝกึ ฝนทักษะการสงั เกตการแยกแยะ และการคิดอยา่ งมเี หตุผลใหก้ ับเด็กๆ
ชว่ ยพฒั นาการเรียนรู้แบบก้าวกระโดด โดยในชวี ิตประจำวนั อาจใหเ้ ด็กๆ ช่วยงานบ้าน เช่น จบั คู่
ถุงเทา้ จับคู่ช้อนกับส้อมวางลงในจานบนโต๊ะอาหาร จะชว่ ยให้เดก็ ๆ ได้ฝกึ ฝนเร่อื งการจับคอู่ ยา่ ง

15

เป็นธรรมชาติ หนังสือเลม่ น้ถี ามคำถามใหเ้ ด็กๆ ได้คิดวิเคราะหเ์ รอ่ื งราวทเี่ กยี่ วข้องกับ
ชวี ิตประจำวนั ผา่ นวิธีการเรยี นรู้ทีห่ ลากหลาย เชน่ เกมเขาวงกต การติดสตกิ เกอร์ การลากเส้น
จับคู่ การระบายสี เพ่อื ไม่ใหเ้ ดก็ ๆ เกิดความเบ่ือหน่าย ซ่ึงกิจกรรมเหลา่ น้ีจะชว่ ยดึงดูดให้เดก็ ๆ
เข้าส่โู ลกแหง่ การจบั คู่ ท่ที ำใหพ้ วกเขารสู้ ึกว่ากำลัง “เลน่ ” ไม่ใชก่ ำลัง “เรยี น” ขณะท่เี ด็กๆ กำลงั
คดิ หาคำตอบควรจะให้เวลาพวกเขาอย่างเพยี งพอ ไมจ่ ำเป็นตอ้ งเร่งให้พวกเขาตอบคำถาม เพราะ
จะเปน็ การปิดกนั้ โอกาสในการคิดของเด็กๆ แตอ่ าจจะแนะนำหรือชแ้ี นะแนวทางในการตอบ
คำถามให้เดก็ ๆ บ้าง เม่ือสมองส่วนซีรีเบลลมั ได้ทำการคิดวิเคราะห์ จะช่วยพัฒนาการเรยี นรู้ให้
เดก็ ๆ ไปอกี หน่ึงข้ัน

2.2 ความหมายของทักษะการสงั เกต
พนั ธ์ ทองชุมนุม (2547 : 22) กล่าวว่า การสังเกต (Observation) หมายถงึ

ความสามารถในการใช้ประสาทสมั ผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรอื หลายอย่างรวมกัน รวมท้ังใช้
เครอื่ งมอื เขา้ ช่วยประสาทสมั ผัส เพอ่ื ให้ได้ข้อมูลของปรากฎการณ์ตา่ ง ๆ ใดยไมเ่ พ่ิมเติม
ความเหน็ ของผู้สงั เกตลงไป เพราะการเพิ่มเติมความคิดเหน็ จากข้อมูลท่ีสังเกต เปน็ การอธิบาย
หรือดคี วามความหมายของส่ิงที่สังเกตได้ โดยอาศัยความร้หู รือประสบการณ์เดิมรวมดว้ ย

ภพ เลาหไพบุลย์ (2542 : 15) ไดใ้ ห้ความหมายของ ทักษะการสังเกต หรอื
ความสามารถในการสงั เกตว่า หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผสั อย่างใดอย่าง หนึ่ง
หรอื หลายอย่างรวมกัน ไดแ้ ก่ ตา หู จมูก ลิน้ และผวิ กาย เขา้ ไปสมั ผัสโดยตรงกบั วัตถุ หรอื
เหตุการณ์ตา่ ง ๆ ในการรวบรวมขอ้ มลู ให้มากที่สุด โดยไมใ่ ส่ความคิดเห็นสว่ นตวั ของผู้สังเกตลงไป
เพราะข้อมูลท่ไี ดจ้ ากการสงั เกตนี้นอาศยั ทงั้ ความรู้และประสบการณเ์ ดมิ รวมด้วย
สรุปว่า ทักษะการสงั เกต หมายถงึ ความสามารถของบุคคลในการใชป้ ระสาท สมั ผัสท้ังห้า ซึง่
ได้แก่ ตาหู จมูก ล้นิ กาย สมั ผสั กระทำต่อวตั ถอุ ย่างใดอย่างหนงึ่ หรือ รวมกนั เพื่อให้ไดข้ ้อมลู ท่ี
มีอยจู่ ริงชองวัตถุ โดยไมแ่ สดงความคดิ เห็นใด ๆ เพ่ิมเติม

2.3 ขอ้ มลู จากการสังเกต
พันธ์ ทองชุมนุม (2547 : 22-23) กล่าวถึง ข้อมลู ที่ไดจ้ ากการสังเกต ว่ามี 2 ประเภท

ดังน้ี
2.3.1 ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ เป็นข้อมลู ที่เก่ยี วกบั ลักษณะของสมบัติของส่งิ ท่ีสงั เกตได้

จากการใชป้ ระสาทสมั ผัสอย่างใดอย่างหนึง่ หรือหลายอยา่ งรวมกนั กล่าวคือ ผูส้ ังเกตด้องใช้ ตาดู
หูฟัง ผิวกายสัมผสั จมูกดม ล้ินรบั รส ข้อมูลที่ไดเ้ ป็นข้อมูลท่ไี ม่สามารถระบุออกมา เป็นตวั เลขได้
เช่น ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพจากมะนาวผลหนงึ่

เม่อื ใชต้ า มรี ูปร่างกลมขนาดดูกปงิ ปอง ควิ เรียบ สีเหลอื งแกมเขยี ว
เมื่อใช้จมูก มีกลิน่ ส้ม
เมอื่ ใชล้ ิน้ มรี สเปร้ยี วจัด
เม่อื ใช้กายสัมผัส มคี วิ เรียบ ไม่นิ่มไม่แข็งเกนิ ไป
เม่ือใช้หู เมอ่ื ปลอ่ ยกระทบพน้ื เสียงไม่ดังมากนัก

16

2.3.2 ขอ้ มูลเชิงปรมิ าณ เปน็ ขอ้ มูลที่บอกรายละเอยี ดเก่ียวกับปรมิ าณ เชน่ ขนาด
มวล อณุ หภูมิ อาจบอกโดยการกะปรมิ าณ เชน่ นำ้ มีอณุ หภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซยี ส หรือดู
กอมมมี วลประมาณ 20 กรมั ข้อมูลเชิงปริมาณจะชว่ ยบอกรายละเอีอดชัดเจนว่าข้อมูล เชงิ
คุณภาพ เชน่ ข้อมูลที่บอกว่าวนั น้อี ุณหภมู ิ 38 องศาเซลเซียส จะใหข้ อ้ มลู ทช่ี ัดเจนกวา่ การท่ี
บอกวา่ วนั น้อี ากาศร้อน ตวั อย่างข้อมลู เชงิ ปริมาณจากการสังเกตชายคนหนง่ึ

อายุ ประมาณ 30 ปี
สูง ประมาณ 170 เซนตเิ มตร
มวล ประมาณ 65 กโิ ลกรัม
ข้อมูลจากการสงั เกตจะละเอียดมากย่ิงขึน้ ถา้ มีข้อมลู เก่ียวกบั การเปลี่ยนแปลง
รวมอยดู่ ้วย เพราะในการสงั เกตเหตุการณอ์ ะไรก็ตามอาจจะมีการกระทำบางอยา่ งที่มผี ลตอ่
เหตกุ ารนี้ ทำให้เหตุการณ์เกดิ การเปล่ียนแปลงและลำดบั ก่อนหลังของการเปล่ยี นแปลง
ตวั อยา่ งเช่น “เมื่อเอาน้ำแข็งขนาดมวล 30 กรัม ใสล่ งไปในแก้วใบหน่งึ พบวา่ นำแขง็ จะ
หลอมเหลวหมดภายในเวลา 10 นาที” หรอื “เม่ือเอาน้ำทะเลปรมิ าตร 1 ลติ ร มาต้มใหเ้ ดอื ด
พบว่า ภายในเวลา 45 นาที น้ำจะระเหยกลายเป็นไอหมด เหลอื ผงสีชาวขนุ่ ในภาชนะที่ใช้ ต้ม”
ในการทดลองบางอย่าง เชน่ ขว่ั นำไฟฟ้า เราไม่สามารถบอกไดว้ ่า สิง่ ที่เราเห็นน้ัน เป็นตัวนำ
ไฟฟา้ หรอื ไม่ เพราะเราไม่สามารถใชป้ ระสาททง้ั 5 สังเกตได้ ทง้ั นั้น หากต้องการ คำตอบ เรา
จะต้องทำการตรวจสอบ เช่น โดยการทดลองเอามาต่อกับเซลล์ไฟฟา้ และดูผลจาก กระแสไฟฟา้
ผา่ นในสารดังกล่าว เราจงึ จะบอกไดว้ ่า สารดังกล่าวเป็นตวั นำไฟฟา้ หรือไม่
ภพ เลาหไพมูลย์ (2542 : 15) ไดก้ ล่าวถึงข้อมูลที่ไดจ้ ากการสังเกตว่ามี 3 ประเภท คือ
1 ข้อมูลเชงิ คุณภาพ เปน็ ข้อมูลเก่ียวกับลกั ษณะและคุณสมบัตชิ องส่ิงที่ สังเกต
เกีย่ วกับรูปร่าง กลิน่ รส สี การสมั ผสั เช่น การสงั เกตผลส้ม เมอื่ ใช้ตาดูผลลมั พบวา่ มรี ูปรา่ ง
ลักษณะเปน็ รปู กลม มีสีสม้ ปนเหลอื งอมเซียว เมอ่ื ใช้มือส้มผสั รสู้ ึกผิวเรียบ มนี ำหนัก นิม่ เม่อื ใช้
จมกู ดมมกี ลิน่ สม้ เม่ือใช้ลน้ิ ชิมรส มรี สหวานอมเปร้ียวเลก็ นอ้ ย เป็นตน้
2 ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ เปน็ ข้อมูลทีบ่ อกรายละเอียดเกี่ยวกับปรมิ าณ เช่น ขนาด มวล
และอุณหภูมิ เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งข้อมูลเชิงปรมิ าณท่ีได้จากการสังเกตผลส้ม เชน่ ส้มผลนี้หนกั
ประมาณ 30 กรัม และเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 4.5 เซนติเมตร เป็นตน้
3 ขอ้ มูลเก่ียวกับการเปลี่ยนแปลง เปน็ ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสังเกตการปฏสิ มั พันธ์สิง่
นั้นกับสิ่งอ่ืน เช่น เมื่อมีปฏสิ มั พันธ์กับสง่ิ อ่ืน จะชว่ ยให้ไดข้ ้อมลู จากการสงั เกต ได้กว้างขวางยงิ่ ขึ้น
2.4 ข้อเสนอแนะในการสงั เกต
พนั ธ์ ทองชุมนุม (2547 : 23) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการสังเกต ดง้ นี้
. ควรใช้ประสาทส้มผสั มากกว่าหน่ึงอยา่ งในการสังเกต
2 ควรสงั เกตใหไ้ ดข้ ้อมลู ท้งั เซิงปรมิ าณและคุณภาพ
3 ถ้าเป็นไปได้ ควรจะสังเกตข้อมลู จากการทดลอง
4 ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสังเกตไม่ควรเพม่ิ เดิมความคิดเหน็ ส่วนตัว

17

สรุปได้ว่า ทักษะการสังเกต หมายถึงความสามารถของบุคคลในการใช้ประสาท สัมผัส
ท้งั ห้า ซ่งึ ไต้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส กระทำต่อวัตถุอยา่ งใดอย่างหนง่ึ หรอื รวมกนั เพือ่ ให้
ไดข้ ้อมูลทม่ี ีอยู่จริงของวตั ถุ โดยไมแ่ สดงความคิดเหน็ ใด ๆ เพิ่มเติม

3 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้องการใชแ้ อพพลิเคชนั่

3.1 ความหมายและประเภทของแอพพลเิ คช่นั
แอพพลเิ คชัน่ (Application) หมายถงึ โปรแกรม หรือชุดส่งั ทใ่ี ชค้ วบคุมการทำงาน

ของคอมพิวเตอรเ์ คลอื่ นทแี่ ละอุปกรณ์ต่อพวงตา่ งๆ เพอื่ ใหท้ ำงานตามคำส่งั และตอบสนองความ
ต้องการของผูใ้ ช้ โดยแอพพลิเคชั่น (Application) จะต้องมีสง่ิ ทเ่ี รียกว่า สว่ นติดตอ่ กบั ผู้ใช้ (User
Interface หรอื UI) เพ่อื เป็นตัวกลางการใช้งานต่างๆ

แอพพลิเคช่นั แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทดงั นี้
1 แอพพลเิ คชน่ั ระบบ เป็นส่วนซอฟตแ์ วร์ระบบหรือระบบปฏิบัติการ (Operating

system) ท่ที ำหน้าทค่ี วบคมุ การทำงานของอปุ กรณ์และรองรับการใช้งานของแอพพลิเคชั่นหรือ
โปรแกรมต่างๆ ท่ีติดตง้ั อยภู่ ายในคอมพวิ เตอร์เคลื่อนที่

2 แอพพลเิ คชน่ั ที่ตอบสนองความต้องการของกลมุ่ ผู้ใช้ เป็นซอฟต์แวรป์ ระยุกตห์ รือ
โปรแกรมประยุกต์ ท่ที ำงานภายใตร้ ะบบปฏิบัติการ มีวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะอยา่ ง เน่อื งจากผู้ใช้มี
ความต้องการใชแ้ อพพลเิ คชน่ั ทแ่ี ตกตา่ งกนั จำนวนของอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์เคลือ่ นที่มี
หลากหลายชนิด ขนาดหน้าจอท่ีแตกต่าง จึงมผี ผู้ ลติ และพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหมๆ่ ข้นึ เป็น
จำนวนมาก เพื่อรองรบั การใช้งานในทกุ ๆด้าน

3.2 ระบบปฏิบัตกิ ารวนิ โดวส์ (Windows) คือ ระบบปฏบิ ัติการคอมพิวเตอร์ระบบหน่ึง
(operating system) สรา้ งขึ้นโดยบรษิ ัทไมโครซอฟต์ เน่อื งจากความยากในการใช้งานดอสทำให้
บรษิ ทั ไมโครซอฟต์ไดม้ ีการพัฒนาซอฟตแ์ วร์ทเี่ รียกวา่ Windows ท่มี ีลักษณะเปน็ GUI
(Graphic-User Interface) ทน่ี ำรูปแบบของสัญลักษณภ์ าพกราฟิกเข้ามาแทนการป้อนคำส่งั ทลี ะ
บรรทัด ซึง่ ใกล้เคียงกับแมคอินทอชโอเอส เพื่อให้การใช้งานดอสทำได้งา่ ยขึ้น แตว่ ินโดวสจ์ ะยัง
ไมใ่ ชร่ ะบบปฏิบัตกิ ารจริง ๆ เน่อื งจากมนั จะทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมของดอสอีกที กลา่ วคือ
จะต้องมกี ารติดต้งั ดอสก่อนที่จะติดตง้ั ระบบปฏบิ ตั ิการ Windows และผูใ้ ชจ้ ะสามารถเรียกใช้
คำสั่งต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในดอสได้โดยผา่ นทางWindows ซง่ึ Windows จะง่ายต่อการใชง้ าน
มากกวา่ ดอส

3.3 ระบบปฏบิ ตั กิ ารแอนดอร์ยด์ คือ ระบบปฏบิ ัติการหรือแพลตฟอร์มท่ีมโี ครงสร้างแบบ
เรยี งทับชอ้ นหรอื แบบสแตก็ (Stack) เพี่อควบคุมการทำงานบนมอึ ถือและอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์
แบบพกพาโดยเฉพาะและใช้ องค์ประกอบที่เปน็ โอเพนซอร์สในการพฒั นา เชน่ Linux Kernel,
SSL, OpenGL, FreeType, SQLite, WebKit อาทิเชน่ คอมพิวเตอร์, โทรคพ์ ท์ (Telephone),
โทรคพ์ หเ์ คลื่อนท่ี (Cell phone), อปุ กรณเ์ ลน่ อนิ เตอร์เน็ตพกพา (MID) เป็นต้น

18

3.3.1 ประเภทของระบบปฏบิ ัตกิ ารแอนดรอยด์
ระบบปฏบิ ตั ิการบนแอนดรอยด์ (จกั รชยั โสอนิ ทร์ และพงษ์ศธร จนั ทรย์ อย, 2554,

หน้า 2-3) ไตแ้ บ่งไว้เป็น 3 ประเภท ดังน้ี
1 Android open Source Project (AOSP) เป็นระบบแอนดรอยค์ประเภท

แรก ที่ทางบริบัท Google เปดิ ให้สามารถนำ Source Code ไปตดิ ทั้งและใช้งานอปุ กรณ์ตา่ งๆ
ได้ โดยท่ี ไม่ต้องเสียค่าใช้จา่ ย

2 Open Handset Mobile(OHM) เป็นแอนดรอยด์ที่ได้รับการพฒั นารว่ มกบั
กลมุ่ Open Handset Alliance (OHA) ซ่ึงบรีษทั เหล่าน้ีพัฒนาระบบ Android ในแบบฉบับของ
ตนเอง โดยมีรปู รา่ งหน้าตาการแสดงผล และฟงั กช์ นั่ การใช้งานท่แี ตกตา่ งกัน รวมไปถงึ อาจมี
ความเปน็ เอกลักษณ์และรูปแบบการใช้งานของแต่ละบริษัท และโปรแกรมแอนดรอยค์ประเภทนี้
ก็ได้รับสิทธิ บรกิ ารเสริมตา่ งๆจากกูเกลิ ทเ่ี รียกว่า GMS (Google Mobile Service) ซึ่งเป็น
บริการเสรมิ ทีท่ า้ ให้ แอนดรอยดม์ ีประสิทธภิ าพมากขนื้ นั่นเอง

3 Cooking หรอ Customize เป็นระบบแอนดรอยค์ ทีน่ ักพัฒนาได้นำเอาชอร์
สโคดจากแหล่งตา่ งๆมาปรับแตง่ ให้อย่ใู นฉบับของตนเอง ซึ่งการพฒั นาจะต้องปลดลอ็ คสทิ ธิใน
การ ใช้อุปกรณ์ (Unlock) เสียกอ่ น จงึ จะสามารถติดตัง้ ได้ ท้งั น้รี ะบบ Android ประเภทน้ีถอื ได้
วา่ เป็น ประเภทที่มีความสามารถสงู ทีส่ ดุ เรื่องจากได้รับการปรบั แต่งขีดความสามารถตา่ งๆใหม้ ี
ความเช้า กนั ได้กับอุปกรณ์ทใี่ ชจ้ รงิ

สรุปจากการศึกษาประเภทของระบบปฏิบตั ิการแอนดรอยด์ แอพพลิเคชนั เพอ่ื การ
เรยี นร้ทผ่ี ู้วิจยั สร้างข้ืนจัดเป็น Cooking หรอื Customize เนือ่ งจากผูว้ ิจยั ได้ทา้ การพัฒนาเอง

4 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้องกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน

4.1 ความหมายของบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
กดิ านนั ท์ มลิทอง (2543) ได้กล่าววา่ คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน หมายถึง ส่ือการสอนที่

เปน็ เทคโนโลยีระดบั สงู เมือ่ มีการนำคอมพิวเตอร์มาใชเ้ ป็นสือ่ การในการสอน จะทำให้การเรยี น
การ สอนมีการโตต้ อบกันได้ในระหวา่ งครูกบั นักเรียนท่ีอยใู่ นห้องเรียนตามปกติ นอกจากน้ี
คอมพวิ เตอร์ยังมคี วามสามารถในการตอบสนองตอ่ ขอ้ มลู ท่ีผเู้ รียนป้อนเขา้ ไปได้ในทนั ที ซงึ่ เป็น
การช่วยเสริมแรงใหแ้ ล่ผเู้ รียน

ถนอมพร (ดนั พิพฒั น์) เลาหจรัสแสง (2541) ได้กล่าววา่ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI
หรอื Computer-Assisted Instruction) หมายถึงการเรียนการสอนคอมพิวเตอรร์ ูปแบบหนงึ่
ซ่งึ ใช้ความสามารถทางคอมพิวเตอรใ์ นการนำเสนอส่อื ประสมอนั ได้แก่ ข้อความ ภาพนึ่ง กราพกิ
ภาพเคล่อื นไหว วดี ที ัศน์ และเสยี ง เพอ่ื ถ่ายถอดเน้ือหาบทเรียน หรือองค์ความรใู้ นลกั ษณะที่
ใกลเ้ คียงกบั การสอนจรงิ ในห้องเรียนมากทสี่ ุด โดยคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนจะนำเสนอเนอื้ หาทลี ะ
หน้าจอภาพ โดยเน้ือหาความรใู้ นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนจะไดร้ ับการถา่ ยทอดในลกั ษณะท่ีแตกต่าง
กันออกไป ท้ังนืข้ ึ้นอยู่กบั ธรรมชาติและโครงสร้างของเนื้อหา โดยเปา้ หมายสำคญั คือ การไดม้ าซึ่ง

19

คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน ท่สี ามารถดงึ ดดู ความสนใจของผู้เรยี น และกระตุ้นผู้เรียนใหเ้ กิดความ
ต้องการทจ่ี ะเรียนรู้

4.2 ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ถนอมพร (ดันพิพฒั น์) เลาหจรสั แสง (2541) ได้กล่าววา่ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนประเภท

ตา่ งๆ ไว้ดังนื้
1 คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนประเภทสอนเนื้อหา หรอื ประเภทติวเตอร์

คือ บทเรยี นทางคอมพิวเตอร์ ซงึ่ นำเสนอเนอ้ื หาแก'ผเู้ รียน ไม่วา่ จะเป็นเนื้อหา ใหม่ หรือการ
ทบทวนเนอ้ื หาเดิมกต็ าม ส่วนใหญ่คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนตว่ เตอรจ์ ะมแี บบทดสอบ หรอื แบบ!เก
หดั เพอ่ื ทดสอบความเข้าใจของผู้เรยี นอยู่ด้วย อย่างไรก้นตามผู้เรยี นมอี สิ ระพอทจ่ี ะ เลือก
ตัดสนิ ใจวา่ จะทำแบบทดสอบหรอื แบบ!เกหดั หรือไม่ อยา่ งไร จะเลอื กเรยี นเนื้อหาสว่ นไหน หรือ
เรียงลำดบั ในรูปแบบใด เพราะการเรียนโดยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนน้นั ผเู้ รยี นสามารถควบคมุ การ
เรยี นของตนได้ตามความต้องการของตนเอง

2 คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนประเภท!เกทบทวน หรือประเภทแบบฝึกหัด คอื บทเรียน
ทางคอมพวิ เตอร์ ซ่ึงมงุ่ เนน้ ให้ผใู้ ช้ ทำแบบ!เกหดั จนสามารถเขา้ ใจ เนื้อหาในบทเรยี นน้นั ๆ ได้
คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนประเภทน้ืได้รบั ความนยิ มมาก โดยเฉพาะ ระดับอุดมศกึ ษา ทงั้ นเ้ื พราะได้
เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นทเี่ รยี นออ่ นหรอื ไม่ทันผ้ลู ่ืน ได้มีโอกาสทำ ความเข้าใจบทเรียนสำคญั ๆ ได้
โดยทีค่ รูผสู้ อนไม่ตอ้ งเสียเวลาในชั้นเรียนอธิบายเนื้อหาเดิมซํ้าแล้ว ซาอกี

3 คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนประเภทจำลองสถานการณ์ คือ บทเรยี นทางคอมพวิ เตอร์
ที่นำเสนอบทเรียนในรูปของการจำลองแบบโดย การจำลองสถานการณ์ท่ีเหมือนจรงิ ขึ้นมา และ
ใหผ้ ู้เรียนตดั สนิ ใจแกป้ ัญหาในตวั บทเรยี นจะมี คำแนะนำเพ่อื ชว่ ยในการตัดสินใจของผู้เรียน และ
แสดงผลลพั ธใ์ นการตัดสนิ ใจน้ันๆ ข้อดีของการ ใช้คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนประจำลองสถานการณ์
คือ การลดค่าใชจ้ ่ายและการลดอันตรายอันอาจจะ เกดขนึ้ ได้จากการเรยี นรทู้ ี่เกดิ ขึ้นใน
สถานการณจ์ ริง

4 คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนประเภทเกมการสอน คือ บทเรียนทางคอมพวิ เตอร์ ที่ทำให้
ผใู้ ช้มคี วามสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ จนลืมไป วา่ กำลังเรียนอยู่ เกมคอมพิวเตอร์ทางการศึกษาเปน็
คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนประเภทท่ีสำคญั ประเภท หน่ึง เนอื่ งจากกระตุ้นใหเ้ กิดความสนใจในการ
เรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนประเภทนี้ นยิ มใช้อบั เด็กตัง้ แตร่ ะดับประถมศกึ ษา ไปจนถึง
มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย นอกจากนื้ยังสามารถนำมาใชใ้ น ระดับอุดมศึกษาได้อกี ดว้ ย

5 คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนประเภทการคน้ พบ คอื บทเรียนทางคอมพวิ เตอร์ เพ่ือให้
ผเู้ รยี น ได้มโี อกาสทดลองกระทำสงิ่ ตา่ งๆ ก่อน จนกระทง่ั สามารถหาข้อสรุปได้ดว้ ยตนเอง
โปรแกรมจะเสนอปญั หาใหผ้ เู้ รยี นไตล้ องผดิ ลอง ถูก และให้ขอ้ มูลแก'ผู้เรียน เพ่ือชว่ ยผเู้ รียนใน
การดน้ พบนั้น จนกว่าจะไดข้ ้อสรุปท่ีดีท่ีสุด

6 คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนประเภทการแค้ปัญหา คือ บทเรียนทางคอมพิวเตอร์ท่!ี เก
,ให้ผู้เรียนรู้'นกั ลดิ การตดั สินใจ โดยจะมีเกณฑ์ ท่ีกำหนดให้แล้วผเู้ รยี นพจิ ารณาตามเกณฑ์นน้ั ๆ

20

7 คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนประเภทเพือ่ การทดสอบ คือ บทเรียนทางคอมพวิ เตอรใ์ ช้
ในการประเมนิ การสอนของครู หรือการเรียน ของนกั เรยี น คอมพิวเตอร์จะประเมนิ ผลในทันที ว่า
นกั เรียนสอบได้หรอื สอบตก และจะอยใู่ น ลำดับทีเ่ ทา่ ไร ได้ผลการสอบกี่เปอรเ์ ซ็นต์ ประวตั ิความ
เปน็ มาของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

4.3 ประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
กดิ านนั ท์ มลทิ อง (2536) ไต้กลา่ วถงึ ประโยชน์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ต้าน

ความสนใจของผู้เรยี น ดงั นี้
1 คอมพวิ เตอร์สามารถสรา้ งแรงจงู ใจในการเรยี น เพราะมที ั้งเสียง สี รปู ภาพ

กราฟทัก ตลอดจนเกมคอมพิวเตอร์ ทำใหผ้ ู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน
2 ผเู้ รียนไตเ้ รยี นรอู้ ย่างอิสระ ก้าวหนา้ ไปตามอัตราการเรียนรู้ของแตล่ ะคน
3 การใช้สี ภาพลายเสน้ ที่มีการเคลอื่ นท่ี ตลอดจนเสียงดนตรี จะเปน็ การเพมิ่ ความ

เหมือนจริง ชว่ ยเพิม่ ความสนใจในการเรยี น
4 ผ้เู รียนไตร้ ับข้อมูลย้อนกลบั ในทันที เป็นการย้ําความเข้าใจในการเรียนรูซ้ ่งึ

ประโยชนข์ องโปรแกรมคอมพวิ เตอรต์ ่อความสนใจดังกลา่ ว สอดคลอ้ งกับ การเรยี นรขู้ องผูเ้ รียนที่
เป็นเดก็ ออทสิ ติกซึ่งมคี วามสนใจสัน้ และมีข้อจำกัดในการเรยี นรู้ ใหเ้ กิด ความสนใจ และมี
แรงจูงใจในการเรียน

5 คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนช่วยพัฒนาการเรียนของผเู้ รยี น
6 คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนชว่ ยลดป้ญหาระหว่างผูเ้ รียน และระหวา่ งผ้เู รียนกบั ผู้เรยี น
ดว้ ยกัน เพราะเป็นการเรยี นแบบเอกตั ตบุคคล
4.4 ลกั ษณะของบทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ทกั ษิณา สวนานนท์ (2533 : 211-213) อธบิ ายลกั ษณะของบทเรียนคอมพิวเตอร์
ชว่ ยสอนว่า ลกั ษณะของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนไดร้ ับการพฒั นามาจากบทเรยี นสำเรจ็ รปู
ซง่ึ เป็นการสอนแบบโปรแกรมท่เี รยี นและวิธกี ารมีลักษณะสำคัญ ๆ ดังน้ี
1 เร่มิ จากส่งิ ที่รู้ไปถึงส่ิงทไี่ ม่รู้ จดั การสอนให้เนื้อหาเรียงไปตามลำดบั (Linear
Sequence) เร่ิมจากเร่ืองท่ีผเู้ รียนรู้อยู่แลว้ ไปจนถึงเร่ืองใหม่ ๆ ทย่ี ังไมร่ โู้ ดยทำเป็น กรอบ
(Frame) หลาย ๆ กรอบ ผู้เรียนจะค่อย ๆ เรยี นไปทีละกรอบตามลำดบั จากง่าย ไปสยู่ าก
2 เนือ้ หาที่คอ่ ย ๆ เพิม่ ข้นึ นน้ั จะต้องเพม่ิ ข้นึ ทลี ะนอ้ ย ๆ ค่อนขา้ งงา่ ยและมสี าระ
ใหมไ่ ม่ มากนัก ความเปล่ยี นแปลงในแตล่ ะกรอบจะต้องสามารถเรยี นรู้ได้ดว้ ยตนเอง
3 แตล่ ะกรอบจะต้องมกี ารแนะนำความรู้ใหมเ่ พียงอยา่ งเดียว การแนะความรู้
เนอื้ หา ใหม่ ทลี ะมาก ๆ จะทำใหผ้ ู้เรยี นสับสนได้งา่ ย
4 ในระหว่างการเรยี นจะต้องให้ผู้เรยี นแต่ละคนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตามไป
ด้วย เชน่ ตอบคำถาม ทำแบบทดสอบ ไม่ใช่คดิ ตามอย่างเดียวเพราะจะทำใหเ้ บอื่
5 การเลอื กคำตอบที่ผิด อาจทำให้ต้องกลับไปทบทวนกรอบของแบบเรยี นเลา่
หรือไม่ ก็เป็นกรอบใหม่ทีอ่ ธบิ ายถึงความเขา้ ใจผิด หรอื ความผิดพลาดที่เกดิ ขนึ้ หรือถ้าเป็น
คำตอบถูกต้องผเู้ รยี นกจ็ ะได้เรียนเร่ืองใหมเ่ พิ่มเตมิ การได้รู้เฉลยคำตอบ หรือรู้ผลในทนั ที จะทำ

21

ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามสนกุ สนานไปดว้ ย คำตอบท่ีถกู มักได้รับคำชมเชยทำ ให้มกี ำลังใจ ส่วนคำตอบที่
ผดิ บางทอี าจดูกตำหนิ ซึ่งไม่มีใครไดย้ ินทำใหไ้ ม่รู้สึกอับอายหรือหมดกำลังใจ

6 การเรียนโดยวธิ ีน้ีทำให้ผเู้ รยี นเรียนไดต้ ามความสามารถของตนเอง จะใชเ้ วลาใน
การทบทวนบทเรยี น หรือคดิ ตอบคำถามแต่ละข้อนานเทา่ ใดกไ็ ด้ ผเู้ รยี นจะไม่ร้สู ึกถกู กดดันดว้ ย
กำหนดเวลาท่จี ะต้องรอเพ่ือน หรอื ตามเพื่อนให้ทัน

7 การเรียนในลกั ษณะนี้เปน็ การเรยี นโดยเน้นทคี่ วามถนดั ของแตล่ ะบคุ คล แต่ละ
คนจะมีความถนดั ต่างลนั แม้แตใ่ นวชิ าเดียวลันการเรียนบทเรียนแตล่ ะบทกจ็ ะใชเ้ วลาไม่เท่าลัน

8 ในการเสนอบทเรยี นลักษณะนก้ี ารทำสรปุ ท้ายบทเรียนแต่ละบท จะชว่ ยให้
ผ้เู รยี นใชเ้ วลาเรยี นมากน้อยเพยี งใดผลเปน็ อยา่ งไรจำเป็นต้องค้นควา้ หรอื ทำงานเพิ่มเติมหรือไม่
ในการเรยี นในห้องเรยี นย่ิงครูทดสอบบ่อยเทา่ ไรการเรียนก็ยงิ่ มีผลเทา่ นั้น แต่ การทดสอบ
ธรรมดามีป้ญหาเรอื่ งการตรวจยง่ิ ถา้ ผูเ้ รียนในชั้นมมี ากก็อาจยง่ิ เสียเวลา มากความกระตือรอื รน้
ของผูเ้ รยี นอาจจะคอ่ ย ๆ หมดไปหากครไู ม่ขยนั พอ

9 การทำกรอบบทเรียนแตล่ ะบทนั้นถ้าทำได้ดี เราจะสามารถวิเคราะหค์ ำตอบไปได้
ด้วยระสบการณ์ของนักเรยี นแต่ละคนอาจทำใหค้ ำตอบแตกต่างกันออกไปเราสามารถวเิ คราะห์
จากคำตอบของกเรียนไดว้ า่ การทเี่ ลอื กคำตอบข้อนัน้ ๆ (ในกรณีทีเ่ ปน็ การ ใหเ้ ลอื กคำตอบท่ีถูก)
ถ้าเป็นคำตอบทีผ่ ิดเปน็ เพราะอะไรอาจจะเป็นเพราะสบั สนลบั เรือ่ งอนื่ ดคี วามคำถามผดิ หรอื ไม่
เขา้ ใจเลย การทำแบบทดสอบทดี่ หี ากผ้ทู ำสามารถ เรยี บเรียงเนอื้ หาได้เป็นช้ันตอนจรงิ ๆ ผเู้ รยี น
ควรจะทำไดด้ กู ทง้ั หมดบางทีกท็ ำให้ ผเู้ รยี นเกดิ ความเพ่ือหนา่ ยก็ได้

10 การกำหนดวัตถปุ ระสงคไ์ วป้ ลายทางว่า ต้องการให้ผู้เรยี นได้รอู้ ะไรบ้าง จะช่วย
ให้ การแบง่ เน้ือหาซง่ึ จะต้องเรียนไปตามลำดบั ทำได้ดขี ึน้ ไม่ออกนอกลนู่ อกทางโดยไม่ จำเปน็

5 คอมพิวเตอร์กบั เดก็ ออทิสติก

The National Autistic Society (2000) ได้กลา่ ววา่ คอมพิวเตอรเ์ ปน็ ท้ังอุปกรณ์ในการ
บำบดั และการใหก้ ารศึกษาสำหรับบุคคลออทสิ ติก ซง่ึ ความสนใจของบคุ คลกลมุ่ นม้ี ักจะมตี อ่ สงิ่
ใดสิ่งหนึง่ โดยเฉพาะ และมีแนวโนม้ ท่จี ะยดึ ติดอยกู่ บั วัตถุมากกวา่ บุคคล ขอบเขตความสนใจจะ
จำกัดเหมือนอย่ใู นอุโมงคแ์ คบๆ โดยไมส่ นใจส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั คอมพิวเตอรเ์ ปน็ เสมือนแหลง่
ความร้ทู ่ีสมบรู ณ์แบบทใ่ี ช้'ทลายกำแพงที่กนั้ อยู่สู่'โลกรอบตัว โดยการเขา้ ไปเชือ่ มกับความสนใจที่
จำกัดของแตล่ ะคน ขณะทีเ่ ด็กอยหู่ น้าจอคอมพิวเตอร์ เหตุการณ์ท่ีอยู่ภายนอกจะถูกละเลยไปเมอ่ื
เด็กมุ่งความสนใจไปท่ีหน้าจอ ราวกบั ว่าดกู ของเขาจะมเี พียงแค'เรื่องราวในจอคอมพิวเตอร์
เทา่ น้นั ทัง้ นเ้ี พราะคอมพวิ เตอร์ใหค้ วามเป็นอิสระจากสง่ิ แวดลอ้ มซ่ึงบุคคลออทสิ ติกจะรู้สึกสบาย
ผอ่ น คลาย

คอมพวิ เตอร์สามารถท่าให้เด็กรับรเู้ กยี่ วกบั ตนเองโดยการสม้ ผัสปุมตา่ งๆ บน คยี ์บอรด์
และติดตามส่งิ ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปบนหน้าจอ ท่าใหเ้ กดิ ปฏสิ ม้ พันธร์ ะหวา่ งเด็กกบั คอมพวิ เตอร์
และช่วยใหส้ ามารถรับรู้เร่ืองราวต่างๆ ท่ีผ่านเข้ามาในสายตา โดยสิง่ ทีช่ อบจะท่าให้ จดจำได้ดี ตัง

22

น้ันคอมพิวเตอร์จึงมีคุณสมบัตทิ ี่จะช่วยให้เดก็ จดจำได้ดงั กล่าว Johanson (1997) ได้ ให้
ข้อเสนอแนะในการสรา้ งซอร์ฟแวรท์ ีด่ สี ำหรับเด็กออทิสติกวัยเร่มิ เรียนว่าจะตอ้ งมีเสยี งประกอบ
เสยี งดนตรี และเสยี งพูด ทงั้ ยังตอ้ งมภี าพเคล่ือนไหว ตลอดจนใหเ้ ดก็ สามารถมปี ฏสิ ้มพันธก์ ับ
บทเรยี นได้

นอกจากนี้คอมพวิ เตอร์ยังเปน็ ครทู ่ีบคุ คลออทิสติกสามารถใช้ประโยชนไ์ ด้ง่าย ทัง้ ยงั มี
ความอดทนอดกล้นั และสามารถสรา้ งสรรคส์ ่ิงแวดลอ้ มในการเรียนรู้ท่ีน่าสนใจและดึงดูดความ
สนใจ (Moore and Calvert : 2000) ตลอดจนเป็นสงิ่ แวดล้อมท่ีให้แรงเสริมทางบวก ซึง่ จะเกดิ
ประโยชนต์ อ่ บคุ คลกลมุ่ นไี้ ดม้ าก ทั้งในด้านการสอื่ สารทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพการจงู ใจใหอ้ อกเสียงพูด
การอ่าน หรือการแสดงใหเ้ ห็นผลสำเร็จของงาน

สง่ิ สำคัญในการใชค้ อมพิวเตอร์เปน็ สื่อการเรยี นรู้ คือ ควรให้เด็กได้รู้เรื่องราวของ
คอมพิวเตอร์ และใหม้ ีความเป็นอสิ ระในการสำรวจเรื่องราวอนื่ ๆ ล่อนที่จะเขา้ สเู่ น้ือหาเกีย่ วกบั
การ เรยี นด้วย

ทัง้ นี้การสอนในชนั้ เรียนปกติจะมปี ระโยชนส์ ำหรับผเู้ รียนพ้ืนความรูเ้ ทา่ ๆ กนั เพื่อทจี่ ะ
สามารถตดิ ตามบทเรยี นท่ีครูสอนได้อย่างต่อเนือ่ ง แต่ในเด็กออทิสติกจะมีขอ้ จำกัด ทางดา้ น
ความสามารถ การตั้งสมาธิ และช่วงความสนใจ รวมทงั้ มปี ็ญหาทางด้านพฤติกรรม ดงั นั้นการ
สอนดว้ ยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะเป็นการดูแลเด็กที่มปี ญ็ หาดา้ นการเรียนอยา่ งใกล้ชดิ เพอ่ื ชว่ ย
ใหเ้ ด็กไดพ้ ัฒนาอย่างเต็มทตี่ ามความสามารถของแตล่ ะบคุ คล

6 วจิ ัยทีเ่ กย่ี วข้อง

คนงึ นจิ ไชยลังการณ์ (2546 : บทคดั ย่อ) ได้ทำการวจิ ัย เพ่ือเปรียบเทียบการเรยี นรู้ ความ
คงทาน ในการจำกำศัพท์ และความสนใจในการเรียนของเด็กออทสิ ติก ทไี่ ดร้ บั การบำบัดที่
โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่และโรงเรยี นกาวลิ ะอนุกูล พบวา่ ผลสม้ ฤทธขิ องนักเรยี นท่เี รยี น
โดยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์สอนเสริมเรยี นรู้กำศัพท์ไดด้ กี วา่ กลุ่มท่ีเรียนโดยวธิ ีปกติ

จิตสถา เสือทอง (2544: บทคัดยอ่ ) ไดท้ ำการวจิ ัยเปรยี บเทียบผลส้มฤทธทิ างการเรยี น ซงึ่
เปน็ คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน วิชาคณิตศาสตร์ เรอ่ื งการบวกจำนวนไมเ่ กิน 10 สำหรบั เด็กออทสี ดิก
ซง่ึ เปน็ ผ้เู รยี นท่ีมีความบกพร่องทางสดปิ ้ญญา ระดับเรยี นได้ ซ่งึ มรี ะดับสดปิ ้ญญาระหวา่ ง 50-70
อายุ ระหวา่ ง 7-10 ปี และไม่มพี ิการซ้าํ ซ้อน กำลงั เรียนอยู่ในระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 ใน
โรงเรียน บางบัว โครงการสอนนกั เรยี นที่มีความบกพร่องทางสดิป้ญญาเข้าเรยี นรว่ ม สงั กดั
สำนักงานการ ประถมศึกษากรุงเทพมหานคร พบวา่ บทเรียนคอมพวิ เตอร์วชิ าคณิตศาสตร์ เรื่อง
การบวกจำนวน ไม่เกิน 10 ท่ีสรา้ งขน้ึ มีประสิทธภิ าพในระดับ 90-94% ตามเกณฑป์ ระเมินคา่ E-
CAI การ วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บผลสม้ ฤทธิทางการเรียน พบวา่ หลงั เรยี นดว้ ยคอมพิวเตอร์ชว่ ย
สอนสงู กว่าก่อน เรียน และกลมุ่ ทดลองที่เรียนดว้ ยบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนและกลุม่ ควบคุม
ที่เรยี นดว้ ยวิธีการ สอนแบบปกตมิ ผี ลสม้ ฤทธทิ างการเรียนทค่ี วามแตกต่างกนั

23

Watkins (1998) ไดศ้ ึกษาผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสำหรบั การฝกึ หดั และ
ฝึกทกั ษะท่ีมตี ่อเจตคตใิ นการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ และการสะกดคำของนกั เรียนระดบั ช้ัน
ประถมศกึ ษาท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนจำนวน 120 คน ผลการทดลองพบว่า นกั เรียนกลุ่ม
ทดลองซง่ึ ได้รบั การใช้บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน มีผลการเรยี นและเจตคตทิ ่ดี ีข้นึ ต่อการเรียน
มากกวา่ กลุ่มควบคุมซงึ่ ไม่ไดร้ ับการใช้บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน

Lanno (1995) ได้สงั เคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนเพือ่
พฒั นาการอา่ นของนักเรยี นที่มคี วามผดิ ปกติทางการเรียน โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อวิเคราะหแ์ ละ
สงั เคราะหข์ ้อด้นพบจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนท่ีเป็นโปรแกรมอสิ ระทีจ่ ัดข้นึ สำหรับ
นักเรยี นท่ีมีความผิดปกติทางการเรยี นมีผลตอ่ การพัฒนาทักษะการอา่ นของนกั เรยี นประถมและ
มัธยมศึกษาทม่ี ีความผิดปกติทางการเรยี นมีผลต่อการพัฒนาทักษะการอ่านซึ่งประกอบดว้ ย
ความ เขา้ ใจในการอ่าน ความเร็วในการอา่ น และความสามารถดา้ นคำศัพท์ ตลอดจนตัวแปร
อ่นื ๆ เชน่ ระยะเวลาในการสร้างโปรแกรม การจดั ทำโปรแกรม การจดั พิมพ์ Size Effect ในการ
เปรยี บเทียบ การทดลองและการศึกษาตวั แปร ผลการวิจยั พบวา่ คา่ เฉล่ียท่ีเป็นประวตั ิการพิมพ์
การศกึ ษาและไม่ ศึกษาวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วข้อง โดยวธิ ีสงั เคราะห์ Size Effect จากการวัดการ
พฒั นาทักษะการอ่าน คือ .31 (กำหนดจุดเริ่ม) และ.19(กำหนดจุดลด) ผลการวัดในครั้งนี้คล้าย
กบั ข้อด้นพบทเ่ี คยทำมา ก่อนเกี่ยวกบั ผลของบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนต่อการพัฒนาทักษะ
การอา่ น การเปรียบเทยี บ ทักษะการอา่ นรายบุคคลแสดงว่าบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนส่งผล
ต่อการพฒั นาด้านคำศัพท์มาก ทีช่ ุด โดยพบวา่ Size Effect เก่ยี วกับการวเิ คราะห์คำศพั ทเ์ ป็น
.55 (กำหนดจดุ เร่มิ ) .53 (กำหนด จุดลด)

24

บทที่ 3
วธิ ีการดำเนินศกึ ษาค้นควา้

การวิจยั พัฒนาทกั ษะการจับคู่รูปภาพโดยการใช้แอพพลเิ คชัน่ ฝึกการจับคภู่ าพกับเงาของ
นักเรียนออทสิ ตกิ ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจงั หวัดพัทลงุ ผวู้ จิ ัยได้ดำเนินวจิ ยั ดงั น้ี

1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2 เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการศกึ ษาคน้ ควา้
3 วิธดี ำเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู
4 การจดั กระทำและวเิ คราะหข์ อ้ มลู
5 สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล

1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ น้ีได้แก่ นักเรียนออทสิ ติก ระชั้นเตรียมความพร้อม หนว่ ย
บรกิ ารปากพะยนู ศนู ย์การศึกษาพิเศษ ประจำจงั หวัดพัทลงุ ปีการศึกษา 2562 จำนวน 4 คน

กลุ่มตัวอยา่ งท่ีใช้ในงานวิจยั คร้ังน้ไี ดแ้ ก่ นกั เรียนออทสิ ติก เพศหญงิ อายุ 4 ปี
ระช้ันเตรียมความพรอ้ ม หน่วยบรกิ ารปากพะยูน ศูนย์การศึกษาพเิ ศษ ประจำจังหวดั พัทลงุ ปี
การศึกษา 2562จำนวน 1 คน เลือกโดยวิธีเจาะจง

2 เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการศึกษาค้นคว้า

เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการศึกษาคน้ คว้าครง้ั นี้ มี 3 ชนดิ ประกอบด้วย
1 แผนการจดั การเรียนรู้
2 แอพพลเิ คช่นั ฝกึ การจับคู่ภาพกบั เงา
3 ชดุ ทดสอบก่อนและหลงั เรียน

3 วิธีดำเนนิ การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล

การศึกษาคน้ คว้า พฒั นาทักษะการจับครู่ ูปภาพโดยการใชแ้ อพพลิเคชัน่ ฝกึ การจบั คูภ่ าพ
กบั เงาของนักเรยี นออทิสติก ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ประจำจังหวัดพทั ลงุ โดยดำเนนิ การตาม
ขน้ั ตอนดงั ตอ่ ไปนี้

1 ผวู้ ิจัยไดจ้ ดั ทำหนังสอื ขออนุญาตผ้ปู กครองนกั เรียน เพื่อทำการศึกษาคน้ ควา้ ใน
งานวิจยั ครั้งนี้

2 ศึกษาและวิเคราะหศ์ ักยภาพผเู้ รยี น จาก IEP ของผ้เู รียน และศึกษาสภาพจริงที่พบ
เห็นในระหว่างการจดั การเรียนการสอน แล้วนำจดุ ดว้ ยท่นี ักเรียนทีย่ งั ไมถ่ ูกพฒั นาหรือพัฒนายงั

25

ไม่เต็มศกั ยภาพของผู้เรยี น เพื่อนำมาสกู่ ารจดั จดั ทำ IIP และพัฒนาส่ือการจดั การเรยี นการสอน
ใหม้ คี วามเหมาะสมสูงสดุ กบั ผู้เรียน

3 ผวู้ ิจยั ไดน้ ำปัญหาหรือจุดด้อยทไ่ี ด้จาก IEP และสภาพจริงทีพ่ บเหน็ มาจัดทำ IIP
4 ผู้วจิ ัยไดด้ ำเนนิ การออกแบบส่ือและสร้างสื่อแอพพลิเคช่ันฝกึ การจบั คู่ภาพกบั เงา
และชุดทดสอบก่อนและหลงั เรียน
5 หาคณุ ภาพของเคร่ืองมือ โดยการหาคา่ ความเทย่ี งตรงเชิงเนอ้ื หา IOC
6 เก็บข้อมูลก่อนการจัดการเรียนการสอน โดยทำชุดทดสอบก่อนเรียน
7 ผู้วิจัย ได้จดั กิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้และให้และให้
ผ้เู รยี นใชแ้ อพพลเิ คชน่ั ฝึกการจับคู่ภาพกบั เงา ตามหมวดหมูเ่ นอื้ หาดังนี้

7.1 การจบั ค่รู ูปรา่ ง ไดแ้ ก่ สเ่ี หล่ียม สามเหลีย่ ม วงกลม หกเหลย่ี ม
7.2 การจับคู่ภาพสัตว์ ได้แก่ สิงโต ยรี าฟ หมี นก
7.3 การจบั คู่ภาพผลไม้ ไดแ้ ก่ เชอร่ี ส้ม แตงโม สับปรด
8 แบบสังเกตพฤติกรรม ของการใช้สื่อแอพพลเิ คชั่นฝกึ การจับคภู่ าพกับเงาดังน้ี

เกณฑร์ ะดบั แปลผล
คณุ ภาพ
ทำได้ด้วยตนเอง
5 ทำได้โดยการชแ้ี นะจากผู้อ่นื
4 ทำไดโ้ ดยการกระตนุ้ ชีน้ ำ ชแี้ นะ จากผูอ้ ่นื
3 ทำได้โดยผอู้ น่ื พาทำ และชว่ ยเหลือ
2 ทำได้โดยผ้อู นื่ จับมือทำ
1

9 ผู้วจิ ัยเก็บรวบรวมขอ้ มลู ครบตามระยะเวลาทีก่ ำหนด และทำการชดุ ทดสอบหลงั
เรยี น

10 ผู้วิจัยนำข้อมูลท่ีไดจ้ ากการศกึ ษาคน้ คว้า มาวเิ คราะหแ์ ละจัดระเบียบข้อมูล
11 สรุปและอภปิ รายผล

4 การจดั กระทำและวเิ คราะห์ขอ้ มลู

ในการศึกษาคน้ ควา้ ในคร้ังนี้ ผูศ้ กึ ษาคน้ คว้า ได้นำตารางบันทกึ การสงั เกตพฤติกรรม
ขณะทีผ่ ู้เรยี นใช้งานสื่อแอพพลิเคชัน่ จบั คภู่ าพกบั เงา จดบนั ทกึ การเรียนเรยี นรู้ของผูเ้ รยี นแตล่ ะ
ครั้ง มาทำการวิเคราะหข์ ้อมูล ดังนี้

1 การวิเคราะห์หาคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื

26

การหาคา่ ความเท่ยี งตรงเชิงเนอ้ื หา IOC ของสอ่ื แอพพลิเคช่นั ฝกึ การจับคูภ่ าพกบั เงา ของชุด
ทดสอบก่อนและหลงั เรยี น และแบบบนั ทึกการสังเกตพฤติกรรม

2 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผ้ศู กึ ษาคน้ ควา้ ได้ทำการการวิเคราะห์
2.1 ผลการหาค่าความเท่ียงตรงเชงิ เนื้อหา ของนวัตกรรมแอพพลิเคช่ันฝกึ การจับคู่

ภาพกบั เงาของ จากผเู้ ชยี่ วชาญจำนวน 3 คน ตอบหัวข้อการประเมิน เป็น +1 0 และ -1 จำนวน
12 ข้อการประเมิน ผลปรากฏพบวา่ มคี า่ IOC = 0.80 แอพพลิเคชัน่ ฝกึ การจบั คภู่ าพกับเงา
สามารถ ใช้ได้

2.2 ความถขี่ องการเรียนร้ขู องผเู้ รยี น จากแบบสงั เกตุพฤติกรรม นกั เรียนสามารถ
ทำได้ ในระดบั ใด เมอื่ ครบ 1 เดือนแล้วนำความถ่มี าวาดออกเป็นกราฟเพื่อวิเคราะห์ ทศิ ทางและ
ผลพัฒนาการการเรียนรู้ของผเู้ รยี น

2.3 เปรยี บเทยี บผลของการทำชุดทดสอบก่อนและหลงั เรยี นโดยใชส้ ถิตริ อ้ ยละ
3 แปรผลการความถี่ของการเรียนรขู้ องผเู้ รียน จากแบบสังเกตุพฤตกิ รรม

5 สถติ ิที่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล

วิเคราะห์ความถ่จี ากแบบบันทึกพฤติกรรม โดยใช้สถติ ิตังนี้

1.1 คา่ สถติ ริ อ้ ยละ (Percentage) ในการสดั ส่วนหากลุ่มตัวอยา่ งแต่ละโรงเรยี น (นศิ า

รัตน์ ศิลปเดช 2542: 144)

สตู ร
100

เม่ือ P แทน คา่ ร้อยละ
f แทน จำนวนหรอื ความถี่ท่ตี ้องการหาคา่ รอ้ ยละ
n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด

1.2 หาคุณภาพของชดุ ทดสอบ โดยหาคา่ ความเท่ียงตรง(Validity) การหาค่า
สัมประสิทธิ์ความสอดคลอ้ ง(Index of Item-Objective Congruence : IOC) สตู รกำหนดดังนี้
(พิสุทธา อารรี าษฎร.์ 2551 : 119-119)


=
เม่ือ แทน ความสอดคล้องระหวา่ งชดุ ทดสอบกบั จดุ ประสงค์
∑ แทน ผลรวมของคะแนนจากผเู้ ชี่ยวชาญท้งั หมด

แทน จำนวนผู้เชย่ี วชาญ

27

บทที่ 4
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล

การวจิ ยั พัฒนาทกั ษะการจับคู่รปู ภาพโดยการใชแ้ อพพลเิ คช่ันฝกึ การจบั คู่ภาพกับเงาของ
นกั เรยี นออทิสติก ศนู ย์การศึกษาพิเศษ ประจำจงั หวดั พัทลุง ซ่งึ เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ตามลำดบั ดงั ต่อไปนี้

1 ลำดับขน้ั ตอนในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
2 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล

1 ลำดบั ข้ันตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล

ผูศ้ กึ ษาคน้ คว้าได้ดำเนนิ การเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ตามลำดบั ขนั้ ตอน ดงั น้ี
ตอนท่ี 1 การเปรียบเทียบผลกการทำชดุ ทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น
ตอนท่ี 2 วเิ คราะห์ประสิทธิภาพจากการสังเกตุพฤตกิ รรมในแตล่ ะเดือน
ตอนที่ 3 วเิ คราะหป์ ระสทิ ธภิ าพในภาพรวม

2. ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

ตอนที่ 1 การเปรยี บเทียบผลกการทำชุดทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน
ตารางที่ 4.1 ผลการเปรยี บเทียบผลกการทำชดุ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน

ก่อนเรียน หลังเรียน ผลต่าง ร้อยละ

ผลการใชช้ ดุ

ทดสอบก่อนและ

หลังเรียน (ระบุ 1 4 3 เพ่มิ ข้นึ 80

เกณฑ์ระดบั

คุณภาพ)

จากตารางท่ี 4.1 จะเห็นวา่ นักเรียนมีพฒั นาการจากการทำชดุ ทดสอบก่อนเรียนและ

หลังเรียน พบวา่ จากการสังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการทำชดุ ทดสอบก่อนเรียน มรี ะดับ

คุณภาพ ระดบั 1 ทำได้โดยผอู้ ่ืนจบั มือทำ และนักเรียนในการทำชดุ ทดสอบหลังเรยี นมีระดบั

คณุ ภาพ ระดบั 4 มผี ลต่างเท่ากับ 3 สรปุ ไดว้ ่าจากการใช้ส่ือแอพพลเิ คชัน่ ฝึกการจับคู่ภาพกบั เงา

นกั เรยี น หลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรยี น รอ้ ยละ 80

28

ตอนท่ี 2 วิเคราะห์ประสทิ ธิภาพจากการสงั เกตุพฤตกิ รรมในแต่ละเดือน
ตารางท่ี 4.2 วเิ คราะหป์ ระสิทธิภาพจากการสงั เกตพฤติกรรมในเดือนพฤศจิกายน

2562

ครั้งที่ 1 2 3 4 5

วันที่ 05/11/62 12/11/62 14/11/62 19/11/62 26/11/62

เกณฑ์คณุ ภาพที่ 11123
นักเรยี นทำได้

จากตารางท่ี 4.2 แสดงถึงการพัฒนาทกั ษะการจบั ครู่ ูปภาพ ของนกั เรียนห้องเรยี นออทิ

สติก 1 ศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษ ประจำจงั หวดั พทั ลุง พบว่านักเรยี นมพี ฒั นาการที่ดีข้นึ เกณฑ์

คุณภาพ 1 ทำไดโ้ ดยผอู้ ื่นจบั มอื ทำ เปน็ ระดับคุณภาพ 3 ทำได้โดยการกระตุ้น ชน้ี ำ ชแ้ี นะ จาก

ผู้อ่ืน

ภาพที่ 1 กราฟแสดงพฒั นาทักษะการจบั ครู่ ูปภาพ โดยใช้แอพพลเิ คชัน่ ฝกึ การจับคู่

ภาพกับเงาของนักเรียนออทสิ ตกิ ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ประจำจังหวัดพัทลงุ จากการสงั เกต

พฤติกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2562

3
2
111

ครงั้ ท่ี 1 ครงั้ ท่ี 2 ครง้ั ท่ี 3 ครงั้ ที่ 4 ครงั้ ที่ 5

เกณฑค์ ณุ ภาพ

จากภาพท่ี 1 กราฟแสดงพฒั นาทกั ษะการจับครู่ ปู ภาพ โดยใช้แอพพลเิ คชนั่ ฝึกการ
จบั คภู่ าพกบั เงาของนกั เรียนออทสิ ตกิ ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลุง นกั เรยี น มี
พัฒนาการทดี่ ขี น้ึ เม่อื ไดใ้ ช้งานสื่อบอ่ ยครั้ง

29

ตารางที่ 4.3 วเิ คราะหป์ ระสิทธภิ าพจากการสงั เกตพฤติกรรมในเดือนธนั วาคม 2562

ครั้งท่ี 6 7 8 9

วนั ท่ี 3/12/62 17/12/62 24/12/62 27/12/62

เกณฑ์คุณภาพท่ี 3333
นกั เรยี นทำได้

จากตารางที่ 4.3 แสดงถงึ การพัฒนาทักษะการจับคู่รูปภาพ ของนักเรียนห้องเรียนออทิ

สติก 1 ศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ ประจำจงั หวัดพัทลุง พบว่านักเรียนมพี ัฒนาการคงที่ มรี ะดับ

คณุ ภาพ 3 ทำได้โดยการกระตุน้ ชน้ี ำ ชแ้ี นะ จากผ้อู ่นื

ภาพท่ี 2 กราฟแสดงพฒั นาทักษะการจบั คู่รปู ภาพ โดยใชแ้ อพพลเิ คชั่นฝึกการจับคู่

ภาพกบั เงาของนกั เรยี นออทิสติก ศูนย์การศกึ ษาพิเศษ ประจำจงั หวัดพทั ลุง จากการสงั เกต

พฤติกรรมในเดือนธนั วาคม 2562

3333

ครง้ั ท่ี 6 ครงั้ ที่ 7 ครงั้ ท่ี 8 ครงั้ ที่ 9

เกณฑค์ ณุ ภาพ

จากภาพที่ 2 กราฟแสดงพัฒนาทักษะการจบั ครู่ ปู ภาพ โดยใชแ้ อพพลิเคชัน่ ฝึกการ
จบั ค่ภู าพกบั เงาของกเรียนออทิสตกิ ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจงั หวัดพัทลุง นักเรยี น มี
พฒั นาการคงท่ี เม่ือได้ใช้งานสื่อบ่อยคร้ัง

30

ตารางท่ี 4.4 วิเคราะหป์ ระสทิ ธภิ าพจากการสงั เกตพฤตกิ รรมในเดอื นมกราคม 2563

คร้งั ท่ี 10 11 12 13

วนั ที่ 14/01/63 21/01/63 28/01/63 29/01/63

เกณฑ์คณุ ภาพที่ 3444
นกั เรยี นทำได้

จากตารางท่ี 4.4 แสดงถึงการพัฒนาทกั ษะการจับครู่ ูปภาพ ของนกั เรียนห้องเรยี นออทิ

สติก 1 ศูนย์การศกึ ษาพิเศษ ประจำจงั หวดั พทั ลุง พบวา่ นักเรยี นมพี ัฒนาการดีขึน้ จากระดับ

คุณภาพ 3 ทำไดโ้ ดยการกระตุ้น ชน้ี ำ ช้แี นะ จากผู้อ่นื เป็น ระดบั คณุ ภาพ 4 ทำไดโ้ ดยการชแ้ี นะ

จากผู้อื่น

ภาพท่ี 3 กราฟแสดงพฒั นาทักษะการจบั ครู่ ูปภาพ โดยใช้แอพพลเิ คชนั่ ฝึกการจับคู่

ภาพกบั เงาของกเรยี นออทิสติก ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพทั ลุง จากการสังเกต

พฤติกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2562

444
3

ครงั้ ท่ี 10 ครง้ั ที่ 11 ครง้ั ท่ี 12 ครงั้ ท่ี 13

เกณฑค์ ณุ ภาพ

จากภาพท่ี 3 กราฟแสดงพัฒนาทักษะการจับคูร่ ูปภาพ โดยใชแ้ อพพลิเคช่ันฝึกการ
จับคู่ภาพกับเงาของกเรียนออทิสติก ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ ประจำจงั หวดั พัทลงุ นักเรียน มี
พฒั นาการที่ดขี น้ึ เม่ือได้ใช้งานสอ่ื บ่อยครั้ง

31

ตารางที่ 4.5 วิเคราะห์ประสทิ ธิภาพจากการสังเกตพฤตกิ รรมในเดือนกมุ ภาพันธ์ -
มีนาคม 2563

คร้ังท่ี 14 15 16

วันท่ี 4/02/63 18/02/63 25/02/63

เกณฑ์คณุ ภาพที่ 34 5
นกั เรยี นทำได้

จากตารางท่ี 4.5 แสดงถงึ การพัฒนาทักษะการจับครู่ ปู ภาพ ของนกั เรยี นห้องเรยี นออทิ

สติก 1 ศูนย์การศกึ ษาพิเศษ ประจำจังหวดั พัทลุง พบวา่ นักเรียนมพี ัฒนาการทล่ี ดลงนครัง้ ที่ 14

ระดบั คุณภาพ 3 ทำไดโ้ ดยการกระตนุ้ ช้ีนำ ช้ีแนะ จากผู้อื่น และนกั เรียนพฒั นาทด่ี ีข้นึ เป็นระดับ

คุณภาพ 5 สามารถทำไดด้ ว้ ยตนเอง

ภาพที่ 4 กราฟแสดงพัฒนาทักษะการจบั คู่รปู ภาพ โดยใช้แอพพลเิ คช่นั ฝกึ การจับคู่

ภาพกับเงาของกเรยี นออทิสติก ศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ ประจำจงั หวดั พัทลุง จากการสงั เกต

พฤติกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2562

5
4
3

ครงั้ ท่ี 14 ครงั้ ท่ี 15 ครง้ั ท่ี 16

เกณฑค์ ณุ ภาพ

จากภาพที่ 4 กราฟแสดงพฒั นาทักษะการจับคูร่ ปู ภาพ โดยใช้แอพพลิเคชั่นฝึกการ
จบั ค่ภู าพกบั เงาของกเรียนออทิสติก ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ ประจำจงั หวัดพทั ลงุ นักเรยี นมี
พฒั นาการที่ดีขึน้ เมื่อใชง้ านบ่อยคร้ัง

32

ตารางที่ 4.6 วเิ คราะห์ประสทิ ธิภาพจากการสงั เกตพฤติกรรมในภาพรวม

คร้ังท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16

เกณฑ์

คณุ ภาพที่ 1 1 1 2 3 3 3 3 3 3 4 4 4 345
นกั เรยี นทำ

ได้

จากตารางท่ี 4.6 แสดงถึงการพัฒนาทักษะการจับคู่รปู ภาพ ของนักเรยี นห้องเรยี นออทิ

สตกิ 1 ศูนย์การศกึ ษาพิเศษ ประจำจงั หวดั พทั ลุง พบว่านักเรยี นมพี ัฒนาการในภาพรวมดีข้นึ

เม่อื เท่ยี บกับช่วงครั้งแรกๆ ทใ่ี ช้ส่อื คณุ ภาพที่นกั เรียนทำได้ 1 ทำได้โดยผู้อ่ืนจับมือทำ และมี

พฒั นาการท่ีดีขึน้ เปน็ ระดบั คุณภาพ 5 ทำได้ดว้ ยตนเอง

ภาพท่ี 5 กราฟแสดงพฒั นาพัฒนาทักษะการจับค่รู ปู ภาพ โดยใช้แอพพลิเคช่ันฝึกการ

จบั คภู่ าพกับเงาของกเรยี นออทสิ ตกิ ศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ ประจำจังหวดั พัทลงุ จากการสังเกต

พฤติกรรมในภาพรวม

5

444 4

333333 3

2

111

ครงั้ ที่ 1 ครงั้ ท่ี 2 ครง้ั ท่ี 3 ครงั้ ท่ี 4 ครง้ั ท่ี 5 ครง้ั ท่ี 6 ครง้ั ท่ี 7 ครง้ั ท่ี 8 ครง้ั ที่ 9 ครงั้ ที่ ครง้ั ที่ ครงั้ ท่ี ครง้ั ที่ ครง้ั ที่ ครงั้ ที่ ครง้ั ที่
10 11 12 13 14 15 16

เกณฑค์ ณุ ภาพ

จากภาพท่ี 5 กราฟแสดงพัฒนาทกั ษะการจบั คู่รปู ภาพ โดยใชแ้ อพพลิเคชนั่ ฝกึ การจบั คู่
ภาพกบั เงาของนักเรยี นออทิสตกิ ศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษ ประจำจังหวดั พัทลุง ในภาพรวม นกั เรียน
มพี ัฒนาการท่ดี ีข้นึ เมื่อใช้แอพพลเิ คช่ันฝึกการจับคูภ่ าพกับเงา

บทที่ 5
สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การวจิ ัย พัฒนาทกั ษะการจับคูร่ ูปภาพโดยการใช้แอพพลิเคชน่ั ฝึกการจบั คภู่ าพกับเงาของ
นกั เรยี นออทิสติก ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดพัทลุงสรปุ ตามลำดับ ดงั นี้

1 ความมุง่ หมายของการศกึ ษาคน้ ควา้
2 สรปุ ผล
3 อภปิ รายผล
4 ข้อเสนอแนะ

1 ความม่งุ หมายของการศกึ ษาคน้ ควา้

1.1 เพอื่ พัฒนาทักษะการจับครู่ ูปภาพของนกั เรยี นออทสิ ติก โดยการใชแ้ อพพลิเคชน่ั ฝกึ
การจับคู่ภาพกับเงา

1.2 เพอื่ เปรียบเทยี บทักษะการจับคู่รูปภาพของนักเรียนออทิสติก ก่อนและหลังการใช้
แอพพลิเคชัน่ ฝกึ การจบั คภู่ าพกบั เงา

2 สรปุ ผล

2.1 ทกั ษะการจับคู่รูปภาพของนักเรียนออทสิ ติก โดยการใช้แอพพลเิ คชน่ั ฝึกการจบั ค่ภู าพ
กับเงา ซ่งึ เปน็ CAI ทีส่ ามารถใช้ในสมาทโฟนและคอมพิวเตอร์ โดยผลพฒั นาการของผ้เู รียน
พฒั นาจาก ระดบั คุณภาพ 1 ผ้เู รียนทำไดโ้ ดยผู้อ่นื จบั มือทำ ในการทดลองชว่ งแรก ตอ่ มามี
พัฒนาการดีข้ึนเป็นระดับคณุ ภาพ 3 4 และ 5 ตามลำดบั ผ้เู รยี นสามารถทำได้ดว้ ยตนเอง

2.2 ผลการเปรยี บเทยี บทักษะการจับครู่ ปู ภาพของนักเรียนออทิสตกิ ก่อนและหลังการใช้
แอพพลเิ คชน่ั ฝึกการจบั คภู่ าพกับเงานักเรยี น พบวา่ หลังเรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียน ร้อยละ 80

3 อภิปรายผล

จากการพฒั นาทักษะการจับคู่รูปภาพโดยการใชแ้ อพพลิเคชั่นฝกึ การจบั คู่ภาพกบั เงาของ
นกั เรียนออทิสตกิ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจงั หวดั พัทลงุ มผี ลดังน้ี

3.1 ทักษะการจบั ครู่ ปู ภาพจากการสอนโดยแอพพลเิ คชั่นฝึกการจับคู่ภาพกบั เงา
นักเรียนมีพฒั นาการท่ีดขี ึ้นต่อเนื่อง จากแบบบนั ทึกพฤติกรรม โดยผลพัฒนาการของผเู้ รียน
พฒั นาจาก ระดบั คุณภาพ 1 เปน็ ระดบั คณุ ภาพ 3 4 และ 5 ตามลำดับ ซึ่งอยูใ่ นเกณฑเ์ ปน็ เช่นนี้
เน่อื งมาจากแอพพลเิ คชัน่ ฝกึ การจบั ค่ภู าพกบั เงา และการจดบันทกึ ประเมนิ ผลทกุ คร้งั ทใ่ี ชส้ ่ือ

34

การสอนในแต่ละวนั ท่ี ผศู้ ึกษาคน้ คว้าสรา้ งขนึ้ ตามหลักการ ทฤษฎี จนกระทั่งได้สอ่ื การสอนทมี่ ี
เนื้อหาเหมาะสมกับผเู้ รยี นทม่ี ีความบกพร่อง(ออทิสติก) และการกำหนดเวลาได้อย่างเหมาะสม
กับผเู้ รียน โดยแอพพลเิ คชัน่ ฝึกการจบั คู่ภาพกบั เงา ได้นำไปใชก้ บั นักเรียนออทิสตกิ และสติปญั ญา
มีการพัฒนาแล้ว เพอื่ หาข้อบกพร่อง ซ่ึงสอดคล้องกบั งานวิจยั คนงึ นิจ ไชยลังการณ์ ไดท้ ำการ
วจิ ัย เพ่อื เปรยี บเทยี บการเรียนรู้ ความ คงทาน ในการจำคำศัพท์ และความสนใจในการเรียนของ
เด็กออทิสติก ทไี่ ด้รับการบำบัดที่ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหมแ่ ละโรงเรียนกาวลิ ะอนุกูล
พบว่าผลสัมฤทธิของนกั เรยี นทเี่ รียน โดยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์สอนเสริมเรียนรู้คำศัพท์ไดด้ กี วา่
กล่มุ ทเี่ รยี นโดยวธิ ปี กติ

3.2 ผลการเปรยี บเทียบทักษะการจบั คู่รูปภาพของนักเรยี นออทิสตกิ ก่อนและหลังการ
ใชแ้ อพพลิเคชน่ั ฝึกการจบั คู่ภาพกับเงานักเรยี น พบวา่ หลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียน ร้อยละ 80 จาก
แบบบนั ทกึ พฤติกรรม ในช่วงแรกท่ีใช้ชดุ ทดสอบก่อนเรยี น ผลของระดับคณุ ภาพตำ่ ระดับ 1 ทำ
ไดโ้ ดยผ้อู นื่ จบั มือทำ จากน้นั เมอื่ ใชแ้ อพพลิเคชน่ั ฝึกการจบั คภู่ าพกบั เงา นักเรยี นมีพัฒนาการที่ดี
ขน้ึ และได้นำ ชุดทดสอบหลังเรียนมาให้นกั เรยี นทดสอบอกี คร้งั พบว่านกั เรียนมพี ัฒนาการท่ดี ขี ึ้น
ระดับคุณภาพ 4 ทำได้โดยการชี้แนะจากผู้อ่ืน พบวา่ หลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียน ร้อยละ 80 ซง่ึ
สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั จิตสถา เสอื ทอง 2544 ไดท้ ำการวิจัยเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ างการเรียน
ซ่ึง เปน็ คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน วิชาคณิตศาสตร์ เรอื่ งการบวกจำนวนไมเ่ กนิ 10 สำหรับเด็กออทสี
ดกิ ซ่ึง เปน็ ผูเ้ รยี นทีม่ ีความบกพร่องทางสตปิ ัญญา ระดับเรียนได้ ซง่ึ มีระดับเชาวน์ปญั ญาอยู่
ในช่วง 50-70 และช่วงอายุอยู่ในระหวา่ ง 7-10 ปี ไม่มีพิการซํ้าซ้อน

4 ข้อเสนอแนะ

4.1 ขอ้ เสนอแนะเพอื่ การนำไปใช้
4.1.1 การทน่ี ำส่ือเทคโนโลยไี ปใชก้ บั เดก็ พเิ ศษ จะต้องควบคมุ เรอื่ งเวลา และมีข้อตกลง

กอ่ นการทำกจิ กรรมเน่ืองจากอาจทำให้เดก็ นักเรยี นติดโทรศพั ท์มอื ถอื อาจควบคุมยากในอนาคต
4.2 ข้อเสนอแนะเพ่ือการศึกษาคน้ คว้า
4.2.1 ควรเพมิ่ รูปแบบของส่ือให้มีความหลากหลายเพ่ือใหน้ ักเรยี นมพี ัฒนาการหลายๆ

ดา้ น

ภาคผนวก

เอกสารอ้างอิง

นติ ยา เมอื งม่งิ . (2550).ศกึ ษาความสามารถในการเขียนพยญั ชนะไทยของเดก็ ที่มีความ
บกพร่องทางสติปญั ญาโดยใช้แบบฝึกทักษะ. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษ ประจําจังหวดั
เลย,

กรมวิชาการ. คู่มือจัดการเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร.์ กรุงเทพฯ : องคก์ ารรบั ส่ง
สนิ คา้ และวสั ดุภัณฑ์, 2545

คณะกรรมการศึกษาเอกชน,สำนักงาน. การศึกษาสถานภาพทางเศรษฐกจิ และสังคมของ
ผู้ปกครองนักเรยี นเอกชน. กรุงเทพฯ : กองนโยบายและแผน, 2543

ครรชิต มาลัยวงศ.์ (2542). ทศั นะไอท.ี กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทซเี อด็ ยูเคชัน่ จำกัด.
ฉลอง ทบั ศร.ี (2535). ซีเอไอเปน็ ไปไดไ้ หมกบั เมืองไทย. (เอกสารประกอบการประชุมทาง

วิชาการ เร่ือง คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน). กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัย
รามคำแหง.
ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2546). เทคโนโลยกี ารศึกษาหลักการและแนวปฏิบตั .ิ กรงุ เทพฯ : วฒั นา
พานิชการพมิ พ.์
ถนอม เลาหจรสั แสง. คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน. กรุงเทพฯ : วงกลมโพรดกั ช,์ 2540
ทกั สนิ า สวนานนท.์ (2529, กันยายน). คอมพิวเตอร์ช่วยสอน. คอมพิวเตอร์รวี วิ (2), 114.
_______. (2530). คอมพิวเตอร์เพอ่ื การศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.
บุญชม ศรสี ะอาด. การวจิ ยั เบอื้ งต้น. พิมพ์ครั้งที่ 6 กรงุ เทพฯ : สุวีรยิ าสาสน,์ 2545
เผชิญ กจิ ระการ และสมนึก ภทั ทยิ ธนี. “ดัชนีประสิทธผิ ล(Effectiveness Index : E.I.)”. การวดั
การศึกษามหาสารคาม. 8 : 30-60 ; กรกฎาคม, 2545
พัลลภ เมาลานนท์. ความสนใจของนักเรียนมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ต่อการปรากฏตัวอกั ษรบน
จอคอมพิวเตอรน์ ักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวดั ดสุ ติ ตาราม
กรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานิพนธ์ ศษ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, 2541
พิสุทธา อารรี าษฎร.์ การพัฒนาซอฟทแ์ วร์ทางการศึกษา. มหาสารคาม : คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2550
ไพฑรู ย์ ศรฟี า้ . (2544). “การพัฒนาระบบการเรยี นการสอนผา่ นเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์เพอ่ื
โรงเรยี นไทย”. วทิ ยานิพนธก์ ารศกึ ษาดุษฎบี ณั ฑติ สาขาเทคโนโลยีทางการศึกษา
มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ

มณี โพธเิ สน. ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนต่อการจัดการศกึ ษา
ของโรงเรียนโพธเิ สนวิทยา อำเภอทา่ บอ่ จงั หวดั หนองคาย. รายงานคน้ ควา้ อิสระ
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2543

มนต์ชยั เทยี นทอง. (2545). การออกแบบและพัฒนาคอร์สแวร.์ กรงุ เทพฯ : ศนู ย์ผลติ ตำราเรยี น
สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

ยืน ภวู่ รวรรณ. “การใชไ้ มโครคอมพวิ เตอร์ช่วยในการเรียนการสอน.” ไมโครคอมพิวเตอร.์ 6(36) :
120-129 ; กมุ ภาพันธ์,ุ 2531

วรางคณา โกมลผลนิ . การสร้างและหาประสิทธิภาพคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนแบบเกมการสอน
สาระการเรียนรูพ้ ้ืนฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับนกั เรยี นช่วงช้นั ที่2.

วาโร เพ็งสวัสด.์ิ การวิจยั ในชัน้ เรียน. กรงุ เทพฯ : สวุ ีรยิ าศาส์น, 2546
วฒุ ิชยั ประสารสอย. (2543). บทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนนวตั กรรมเพื่อการศึกษา.

กรงุ เทพฯ : วีเจ พริ้นตงิ้ .
ศรีสกุล คุณีพงษ์. (2546). ความพงึ พอใจของเจา้ หน้าทก่ี รมพัฒนาทีด่ นิ . กรุงเทพฯ :

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์
สังคม ไชยสงเมือง. การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์บนเครอื ข่ายวชิ าระบบสือ่ สารข้อมูลและ

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เร่ือง เครือข่ายอนิ เตอร์เนต็ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย.
การศกึ ษาคน้ ควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2547
สาโรช ไสยสมบตั ิ. ความพึงพอใจในการทำงานของครอู าจารยใ์ นโรงเรยี นมัธยมศึกษา สังกัด
กรมสามัญศกึ ษา จังหวัดร้อยเอ็ด. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัย
ศรีนครนิ วโิ รฒ มหาสารคาม, 2534
สพุ จน์ กดุ แถลง. การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน เรอ่ื ง คอมพิวเตอร์เบอ้ื งต้น
สำหรับนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5. วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2551
เสาวคนธ์ อนุ่ ยนต.์ การพัฒนาและหาประสทิ ธภิ าพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนระบบ
มัลตมิ ีเดีย วิชาคอมพิวเตอรเ์ บอ้ื งต้น. กรงุ เทพฯ : สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้า
พระนครเหนือ, 2542
อรพนั ธุ์ ประสทิ ธิรตั น.์ (2530). เอกสารคำสอนวชิ าคณิตศาสตร์ 424 คอมพิวเตอร์เพื่อการ
เรยี นการสอน. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.
อจั ฉรยี ์ (คำแถม) พิมพมิ ลู . คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน. กรงุ เทพฯ : ซีเอด็ ยูเคชัน่ , 2550

ภาคผนวก


แบบแสดงความคิดเหน็ ของผทู้ รงคณุ วฒุ ิที่มีต่อนวตั กรรม

แอพพลิเคช่ันฝกึ การจบั คภู่ าพกับเงา

คำช้ีแจง ขอให้ท่านผทู้ รงคุณวุฒิไดก้ รุณาแสดงความคิดเหน็ ต่อแอพพลิเคชนั่ ฝึกการจบั คู่ภาพกับ
เงา โดยใสเ่ ครอื่ งหมาย ( ✓) ลงในช่องความคิดเห็นของท่านพร้อมเขยี นข้อเสนอแนะที่เป็น
ประโยชน์ใน

รายการขอความคดิ เห็น ความคิดเหน็ ข้อเสนอแนะ
(หัวขอ้ การประเมิน)
ไม่
1.ความชดั เจนถกู ต้องของเนื้อหา เหมาะ ไม่ เหมาะ
2.ความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรยี นรู้ สม แน่ใจ สม
3.ความนา่ สนใจในการนำเสนอ
1 0 -1

4. ความสอดคล้องแบบทดสอบกับบทเรียน

5. ความเหมาะสมในการนำเสนอเหมาะสม
6. ความเหมาะสมของขนาด รูปแบบ และสี

7. ภาษาท่ใี ช้ ถกู ต้องเหมาะสมกับบทเรยี น

8. ความเหมาะสมในการเชื่อมโยงภาพและขอ้ ความ
9. ชว่ ยปูพน้ื ความรูเ้ รือ่ งความจำ
10. กิจกรรมช่วยสรา้ งความรู้ในการจับคู่ไดด้ ี
11. สอื่ ช่วยสรา้ งความเข้าใจเพิ่มเตมิ จากกจิ กรรมการเรยี นรู้
ในหอ้ งเรียนไดเ้ ปน็ อย่างดี
12. ความรูท้ ี่ได้รบั จากการเรียนแอพพลิเคชั่น สามารถนำไป
ประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวันได้

ขอแสดงความขอบคุณอย่างย่ิง ......................................................
(.......................................................)
......................................................
(นายปรีชา สโุ พฮง) ผูท้ รงคุณวฒุ ิ
ผู้จัดทำวิจัย

ตารางวิเคราะหค์ วามคดิ เหน็ ของผู้ทรงคุณวุฒติ ่อนวัตกรรม

แอพพลิเคชนั่ ฝึกการจับคู่ภาพกับเงา

รายการขอความคิดเห็น ประมาณคา่ ความคดิ เห็น ค่า แปลผล
(หัวขอ้ การประเมิน) ของผู้ทรงคณุ วฒุ คิ นท่ี IOC
ปรบั ปรุง
1.ความชดั เจนถูกต้องของเนื้อหา 12 3 0.33 ใชไ้ ด้
2.ความสอดคล้องกับจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.00 ใช้ได้
3.ความนา่ สนใจในการนำเสนอ +1 -1 +1 1.00 ใช้ได้
ใชไ้ ด้
+1 +1 +1 ใช้ได้
ใชไ้ ด้
+1 +1 +1
ใชไ้ ด้
4. ความสอดคล้องแบบทดสอบกับบทเรยี น +1 0 +1 0.67
ใชไ้ ด้
5. ความเหมาะสมในการนำเสนอเหมาะสม 0 +1 +1 0.67 ใช้ได้
ใช้ได้
6. ความเหมาะสมของขนาด รปู แบบ และสี +1 +1 +1 1.00
ใชไ้ ด้
7. ภาษาทใ่ี ช้ ถกู ต้องเหมาะสมกับบทเรียน 0 +1 +1 0.67

8. ความเหมาะสมในการเชื่อมโยงภาพและ +1 +1 +1 1.00
ข้อความ

9. ชว่ ยปพู น้ื ความรู้เรื่องความจำ +1 +1 +1 1.00

10. กจิ กรรมชว่ ยสร้างความรู้ในการจับคู่ไดด้ ี +1 +1 +1 1.00

11. สอื่ ชว่ ยสรา้ งความเขา้ ใจเพมิ่ เติมจากกิจกรรม +1 +1 0 0.67
การเรียนรใู้ นห้องเรียนได้เป็นอยา่ งดี

12. ความรทู้ ่ีไดร้ ับจากการเรียนแอพพลิเคชน่ั 0 +1 +1 0.67
สามารถนำไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจำวันได้

คา่ IOC = 0.33+1+1+0.67+0.67+1+0.67+1+1+1+0.67+0.67

12

= 9.67 =0.80

12

สรุปว่า แอพพลเิ คช่ันฝกึ การจับค่ภู าพกับเงา สามารถ ใช้ได้

ภาคผนวก


ส่อื แอพพลเิ คช่นั ฝึกการจบั คู่ภาพกบั เงา

หน้าเมนหู ลัก
หนา้ การฝกึ การจบั คู่ หมาดรูปรา่ ง

แสดงผลเม่อื กรณที ำการจับคู่ถกู ต้อง
แสดงผลเมอ่ื กรณที ำการจบั คู่ผิด

หน้าการฝึกการจบั คู่ หมาดรปู สัตว์
หน้าการฝึกการจับคู่ หมาดรปู ผลไม้


Click to View FlipBook Version