The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ข้อมูลประกอบการตรวจเยี่ยม-ศาลแขวงเชียงใหม่ 2567

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chiangmai242, 2024-04-26 03:25:14

ข้อมูลประกอบการตรวจเยี่ยม-ศาลแขวงเชียงใหม่ 2567

ข้อมูลประกอบการตรวจเยี่ยม-ศาลแขวงเชียงใหม่ 2567

ข้อมูลประกอบการตรวจเยี่ยม นางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา และคณะฯ วันที่ 30 เมษายน 2567


ที่พึ่ง เที่ยงธรรม เท่าเทียม ทันโลก Chiang Mai Kwaeng Court https://cmimc.coj.go.th [email protected] ประวัติศาลแขวงเชียงใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรง พ ร ะ ก ร ุ ณ า โ ป ร ด เ ก ล ้ า ฯ ใ ห ้ ส ถ า ป น า ก ร ะ ท ร ว ง ย ุ ต ิ ธ ร ร ม เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๓๔ แต่ได้รวบรวมกิจการศาลทั้งมวลใน กรุงเทพมหานครมาขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมเพียงแห่งเดียวก่อน ครั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เริ่มปรับปรุงกิจการศาล หัวเมืองตามพระธรรมนูญศาลหัวเมืองในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ และแต่งตั้ง ข้าหลวงพิเศษจัดการศาลหัวเมืองออกไปควบคุมดูแลในปีต่อมา ก่อนการ ปรับปรุงกิจการศาลหัวเมือง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองใหม่ โดยรวบรวมหัวเมืองชั้นนอก จัดเป็นมณฑล จังหวัดเชียงใหม่ขณะนั้นมีชื่อว่านครเชียงใหม่รวมอยู่ใน หัวเมืองลานนาไทย ประกอบด้วยนครลำปาง เมืองนครลำพูน เมืองนคร น่าน เมืองแพร่ และเมืองเถิน จนตั้งเป็นมณฑลเรียกว่า มณฑลลาว เฉียง ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเรียกว่ามณฑลตะวันตกเฉียงเหนือและมณฑล พายัพตามลำดับ และตั้งกองบัญชาการมณฑลอยู่ที่นครเชียงใหม่ การจัด ราชการศาลมณฑลพายัพเริ่มดำเนินการ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๔๑ โดยพระ ยาทรงสุรเดชข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลรวบรวมศาล ๖ ศาลใน หน่วยงานของยุติธรรม มหาดไทย วังคลัง นา และทหารมารวมอยู่ในศาล ยุติธรรมแห่งเดียว แล้วตั้งเจ้าบุรีรัตน์ดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษา กับตั้งศาลอุทธรณ์รับความอุทธรณ์จากศาลต่างๆ ในมณฑลพายัพ ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหลวงจรรยายุตกฤตย์(จำนง อมาตยกุล) เป็นอธิบดีผู้พิพากษาและเป็นข้าหลวงพิเศษจัดการศาลใน


ที่พึ่ง เที่ยงธรรม เท่าเทียม ทันโลก Chiang Mai Kwaeng Court https://cmimc.coj.go.th [email protected] มณฑลบูรพา เมื่อแรกจัดการศาลในนครเชียงใหม่นั้นต้องประสบปัญหา ขัดข้องจากผู้ปกครองในระบบเก่า ซึ่งต่างไม่พอใจสภาพที่ตนเองถูก ลิดรอนอำนาจในการพิจารณาตัดสินคดี หลวงจรรยายุตกฤตย์ได้แก้ไข ปัญหาโดยใช้วิธีตั้งชาวเมือง เป็นต้นว่า เจ้าบุรีรัตน์ พระยาจ่าบ้าน พระยาสำภาวะ และพระยามูนินทะเสน ขึ้นเป็นผู้พิพากษาช่วย พิจารณาสะสางคดีความเก่าที่คั่งค้างอยู่ ทั้งที่ผู้พิพากษาเหล่านี้ไม่มี ความรู้ในตัวบทกฎหมาย เพื่อเป็นการลดความขัดแย้งและทำให้เกิด ความคล่องตัวในการติดต่อราชการ จนกระทั่งมีการแต่งตั้งผู้พิพากษา จากกรุงเทพมหานครขึ้นไป และเปิดทำการพิจารณาพิพากษาคดี เมื่อ วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ ต่อมาในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ปีเดียวกัน เจ้าอุปราชเมืองเชียงใหม่ได้มีหนังสือถึงหลวงจรรยายุตกฤตย์ และพระยานริศรราชกิจ ข้าหลวงรักษาราชการมณฑล ขอแยกศาล กลับไปสังกัดตามแบบเดิม หลวงจรรยายุตกฤตย์ทูลรายงานเรื่อง นี้ มายังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดี กระทรวงยุติธรรม ซึ่งไม่โปรดให้ข้าราชการมีเรื่องขัดแย้งกับ ชาวเมือง กระทรวงมหาดไทยจึงได้ส่งพระยาศรีหเทพ ปลัดทูลฉลอง กระทรวงมหาดไทยขึ้นไปดำเนินการเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นหลวง จรรยายุตกฤตย์ได้มีโทรเลขทูลเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมว่า ขอประทาน อนุญาตกลับกรุงเทพมหานครพร้อมกับพระยาศรีสหเทพเพื่อ คัดเลือกหาตัวบุคคลไปเป็นผู้พิพากษาศาลในมณฑลพายัพซึ่งจะ ตั้งขึ้น จำนวน ๖ ศาล


ที่พึ่ง เที่ยงธรรม เท่าเทียม ทันโลก Chiang Mai Kwaeng Court https://cmimc.coj.go.th [email protected] ต ่ อ ม า ก ร ะ ท ร ว ง ม ห า ด ไ ท ย จ ึ ง ไ ด ้ อ อ ก ก ฎ เ ส น า บ ดี เป็นข้อบังคับสำหรับปกครองมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๔๔๓ กำหนดให้มีข้าหลวงใหญ่ทำหน้าที่ ตรวจและ จัดราชการในมณฑลต่างพระเนตรพระกรรณ และเป็น ข้าหลวงพิเศษจัดการศาลยุติธรรมร่วมกับข้าหลวงยุติธรรมซึ่งดำรง ตำแหน่งข้าหลวงพิเศษจัดการศาลยุติธรรม โดยข้าหลวงยุติธรรมมีหน้าที่ จัดการวางระเบียบข้อบังคับสำหรับศาลต่างๆในมณฑล พิจารณา พิพากษาคดีความที่เกินกว่าอำนาจศาลเมือง จะพิจารณาได้ในช่วงที่ยัง ไม่ได้จัดตั้งศาลมณฑล พิจารณาพิพากษาความอุทธรณ์และมีอำนาจตั้ง ผู้พิพากษาทำการในระหว่างที่ยังไม่ได้รับตราจากเสนาบดีกระทรวง ยุติธรรมในระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือน และต่อมาได้เพิ่มอำนาจให้ ข้าหลวงใหญ่และข้าหลวงยุติธรรมในมณฑลพายัพมีอำนาจในการออก กฎหมายได้โดยไม่ฝ่าฝืนพระราชกำหนดและขัดต่อสัญญาไมตรีระหว่าง ประเทศ โดยได้รับพระบรมราชานุญาตก่อนหรือหลังจาก ออกกฎหมายแล้ว ๖ เดือน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ทั้งนี้เนื่องจากมณฑลพายัพตั้งอยู่ ห่างไกลจากกรุงเทพมหานคร และราชการบางอย่างจำเป็นต้องมีกฎ ข้อบังคับใช้เป็นระเบียบให้ทันเวลากระทรวงยุติธรรมจึงออกกฎเสนาบดี ที่ ๙/๑๑๙ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๔๔๓ กำหนดอำนาจหน้าที่ของ ข้าหลวงใหญ่ ข้าหลวงยุติธรรม และอธิบดีผู้พิพากษาเกี่ยวกับกิจการ ศาลในมณฑลพายัพไว้ว่า “.....ให้ข้าหลวงใหญ่และอธิบดีผู้พิพากษา มีอำนาจออกกฎหมายแลกะที่ตั้งศาลจำนวนศาล อำนาจศาลในมณฑล ตะวันตกเฉียงเหนือ.....” และ “.....ถ้าข้าหลวงใหญ่กับข้าหลวงยุติธรรม เห็นพร้อมกันว่าในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ควรจะตั้งศาลที่ใด จะควร


ที่พึ่ง เที่ยงธรรม เท่าเทียม ทันโลก Chiang Mai Kwaeng Court https://cmimc.coj.go.th [email protected] มีกี่ศาลแลควรจะมีอำนาจเพียงใด แล้วให้ตั้งศาล กะจำนวนศาล แลวางอำนาจศาลได้ตามสมควรแก่พระราชกำหนดกฎหมาย” กิจการ ศาลในมณฑลพายัพคงจะดำเนินเรื่องมาตามอำนาจหน้าที่ของข้าหลวง พิเศษจัดการศาลยุติธรรมดังกล่าว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลพายัพออกเป็น ๒ มณฑล ตามประกาศเลิกมณฑล เพชรบูรณ์เข้าเป็นเมืองในมณฑลพิษณุโลก และแยกมณฑลพายัพเป็น มณฑลมหารา ษ ฎร์แ ละ มณฑลพายัพรวมเรียกว่า มณฑล ภ า ค พ า ย ั พ ม ี ต ำ แ ห น ่ ง อ ุ ป ร า ช เ ป ็ น ผ ู ้ ต ร ว จ ก ำ ก ั บ ร า ช ก า ร ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๔๕๘ โดยแบ่งเนื้อที่ในมณฑลพายัพเดิม คือ เมืองนครน่าน เมืองนครลำปาง และเมืองแพร่ ตั้งขึ้นเป็นมณฑลมหา ราษฎร์ ดังนั้นต่อมาจึงมีประกาศแก้พระธรรมนูญข้าหลวงพิเศษ แ ล ะ ต ั ้ ง ศ า ล ม ณ ฑ ล พ า ย ั พ แ ล ะ ศ า ล ม ณ ฑ ล ม ห า ร า ษ ฎ ร์ ลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๔๕๘ ให้“ตั้งศาลมณฑลพายัพขึ้นที่เมือง เชียงใหม่ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบังคับอรรถคดีแพ่งกรณีอาณา ครอบไปทั่วอาณาเขต เมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำพูน เมืองเชียงราย แลเมืองแม่ฮ่องสอน มีอธิบดีแลคณะผู้พิพากษารับผิดชอบบังคับราชการ ศาลมณฑลพายัพ....” และยกเลิกตำแหน่งข้าหลวงพิเศษประจำมณฑล ตั้งตำแหน่ง “ข้าหลวงพิเศษศาลยุติธรรม” ขึ้นแทนมีอำนาจหน้าที่ พิจารณาพิพากษาคดีและตรวจตราระเบียบราชการศาลได้ทั่ว ราชอาณาจักร


ที่พึ่ง เที่ยงธรรม เท่าเทียม ทันโลก Chiang Mai Kwaeng Court https://cmimc.coj.go.th [email protected] ศาลมณฑลพายัพที่ตั้งอยู่จังหวัดเชียงใหม่เปิดทำการตลอด มา จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ตรา พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ ลงวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ กำหนดระเบียบ ราชการบริหารส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นจังหวัดและอำเภอ ยกเลิกการ ปกครองแบบมณฑล ดังนั้นพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๖ ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๔๗๖ จึงระบุให้ “เลิกศาล มณฑลและให้ศาลมณฑลแต่เดิมมีฐานะเป็นศาลจังหวัดกับให้ยุบตำแหน่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑล” และ “ให้มีข้าหลวงยุติธรรม มีอำนาจ เหมือนอธิบดีผู้พิพากษา...” ศาลมณฑลพายัพจึงเปลี่ยนฐานะเป็นศาล จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาเมื่อรัฐบาลมีนโยบายให้การพิจารณาคดีเล็ก ๆ เสร็จสิ้นไป โดยรวดเร็วและยุติธรรมจึงได้จัดตั้งศาลแขวงขึ้นในทุกจังหวัด สำหรับ ศาลแขวงเชียงใหม่เริ่มเปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๐ มีเขตอำนาจครอบคลุมท้องที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ และใช้อาคารเดียวกับ ศาลจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่ทำการ ต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ย้ายที่ทำ การเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๗ จึงเหลือแต่ศาลแขวงเชียงใหม่ที่ ใช้อาคารหลังนี้ จนเมื่อวันที่๒๔ กันยายน ๒๕๔๗ ศาลแขวงเชียงใหม่ได้ ย้ายไปตั้งอยู่ ณ สถานที่ใหม่


ที่พึ่ง เที่ยงธรรม เท่าเทียม ทันโลก Chiang Mai Kwaeng Court https://cmimc.coj.go.th [email protected] เขตอำนาจศาลแขวงเชียงใหม่ 1. อำเภอเมืองเชียงใหม่ 8. อำเภอสันป่าตอง 2. อำเภอสันทราย 9. อำเภอสะเมิง 3. อำเภอสันกำแพง 10. อำเภอแม่วาง 4. อำเภอแม่ริม 11. อำเภอดอยหล่อ 5. อำเภอสารภี 12. อำเภอแม่ออน 6. อำเภอดอยสะเก็ด 13. อำเภอกัลยาณิวัฒนา 7. อำเภอหางดง


ที่พึ่ง เที่ยงธรรม เท่าเทียม ทันโลก Chiang Mai Kwaeng Court https://cmimc.coj.go.th [email protected] ข้อมูลประกอบการตรวจเยี่ยม นางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา และคณะฯ วันที่ 30 เมษายน 2567


Click to View FlipBook Version