ทักษะการเรียนรู ทักษะการเรียนรู ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชา ทักษะการเรียนรู (ทร31001) (ทร31001) สาระทักษะการเรียนรู สาระทักษะการเรียนรู รายวิชา เรียบเรียงโดย สายชล วิสุทธิ์สมุทร ฉัตรชัย เกตุทัต วาที่รอยตรีมนัส วิสุทธิ์สมุทร สายชล วิสุทธิ์สมุทร และคณะ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มัธยมศึกษาตอนปลาย 135.- ISBN 978-616-07-2244-0 135.- 9 786160 722440 ISBN 978-616-07-2244-0
ทักษะการเรียนรู ทักษะการเรียนรู ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชา ทักษะการเรียนรู (ทร31001) (ทร31001) สาระทักษะการเรียนรู สาระทักษะการเรียนรู รายวิชา เรียบเรียงโดย สายชล วิสุทธิ์สมุทร ฉัตรชัย เกตุทัต วาที่รอยตรีมนัส วิสุทธิ์สมุทร สายชล วิสุทธิ์สมุทร และคณะ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มัธยมศึกษาตอนปลาย 135.- ISBN 978-616-07-2244-0 135.- 9 786160 722440 ISBN 978-616-07-2244-0
หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ (รหัสวิชา ทร31001) หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ ผู้เรียบเรียง นางสายชล วิสุทธิ์สมทร ศศ.บ (การจัดการ), บธ.ม. (บริหารธุรกิจ-การตลาด) นายฉัตรชัย เกตุทัต คบ. (คอมพิวเตอร์ศึกษา), กศ.ม. (วิจัยการศึกษา) ว่าที่ร้อยตรีมนัส วิสุทธิ์สมทร กศ.บ. คม. บริหารการศึกษา ผู้ตรวจ นายมนัสชัย กีรติผจญ วท.ม. (การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ), บธ.บ. (การบัญชี, คอมพิวเตอร์ธุรกิจ, การจัดการทั่วไป) นายสมนึก โรจน์มงคลรัตน์ กศ.ม. (สาขาธุรกิจศึกษา) นายไพฑูรย์ กำลังดี บธ.บ. (การตลาด), บธ.ม. (การตลาด) บรรณาธิการ นางสาวสุชาดา วราหพันธ์ กศ.บ. (สังคมศึกษา), ค.ม. (พื้นฐานการศึกษา)
จัดพิมพ์โดย บริษัท สำ นักพิมพ์เอมพันธ์ จำ กัด สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์เป็นของบริษัท สำ นักพิมพ์เอมพันธ์ จำ กัด ฝ่ายวิชาการ : 87/122 ถ.เทศบาลสงเคราะห์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0 2954 4818-20, 0 2953 8168-9 โทรสาร 0 2580 2923 ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายผลิตและจัดส่ง, ฝ่ายการเงินและบัญชี : 69/109 หมู่ 1 ซ.พระแม่การุณย์ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 โทร. 0 2584 5889, 0 2584 5993, 0 2961 4580-2 โทรสาร 0 2961 5573, 0 2582 2313 หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ (รหัสวิชา ทร31001) หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ ปีที่พิมพ์ 2564 จัดพิมพ์ครั้งที่ 1 ISBN: 978-616-07-2244-0 ราคา 135 บาท
หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เรียบเรียงขึ้นตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำ นักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำ นักงาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร31001 เล่มนี้ แบ่งเป็น 8 บท ประกอบด้วย การเรียนรู้ด้วยตัวเอง แหล่งการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ การคิดเป็น การวิจัยอย่างง่าย การนำ เสนอผลงานวิจัย การเลือกกลุ่มตัวอย่าง และ ทักษะการเรียนรู้และศักยภาพหลักของพื้นที่ในการพัฒนาอาชีพ แต่ละบทยังมีส่วนประกอบดังนี้ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ระดับและตัวชี้วัด กำ หนดสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ว่าเมื่อเรียนจบ ในแต่ละบทนั้น ๆ ผู้เรียนต้องบรรลุตัวชี้วัดข้อใดบ้าง 2. แนวคิด เป็นการสรุปแก่นความรู้ให้กับผู้เรียน 3. สาระการเรียนรู้ วิเคราะห์ตามมาตรฐานการเรียนรู้ระดับและตัวชี้วัดที่กำ หนดในหลักสูตร ครอบคลุมและเหมาะสมกับผู้เรียน 4. คำ ถามท้ายบท เป็นกิจกรรมให้ผู้เรียนปฏิบัติเพื่อเสริมความรู้ความเข้าใจ จึงหวังว่า หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร31001 เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนสามารถบรรลุผลตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำ หนดไว้ ในหลักสูตร และหากมีข้อเสนอแนะประการใด ฝ่ายวิชาการ บริษัท สำ นักพิมพ์เอมพันธ์ จำ กัด ยินดีน้อมรับไว้ด้วยความขอบคุณยิ่ง ฝ่ายวิชาการ บริษัท สำ นักพิมพ์เอมพันธ์ จำ กัด คำ นำ
สารบัญ โครงสร้างรายวิชา คำาแนะนำาการใช้หนังสือเรียน แบบทดสอบก่อนเรียน 2 เรื่องที่ 1 ความหมาย ความสำาคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง 3 เรื่องที่ 2 ทักษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู้ 6 เรื่องที่ 3 ลักษณะของผู้ที่มีการเรียนรู้ด้วยตนเอง 7 เรื่องที่ 4 ทักษะการแก้ปัญหาและเทคนิคในการเรียนรู้ด้วยตนเอง 10 เรื่องที่ 5 การวางแผนการเรียนรู้ 13 เรื่องที่ 6 แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน (Student Portfolio) 15 เรื่องที่ 7 ขั้นตอนการประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน 18 เรื่องที่ 8 ปัจจัยที่ทำาให้การเรียนรู้ด้วยตนเองประสบความสำาเร็จ 21 คำาถามท้ายบทเรียน 23 แบบทดสอบหลังเรียน 23 บทที่ 1 การเรียนรูดวยตนเอง 1 แบบทดสอบก่อนเรียน 61 เรื่องที่ 1 ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ 62 คำาถามท้ายบทเรียน 66 แบบทดสอบหลังเรียน 67 แบบทดสอบก่อนเรียน 26 เรื่องที่ 1 ความรู้เกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้ 27 เรื่องที่ 2 ห้องสมุด 31 เรื่องที่ 3 พิพิธภัณฑ์ 35 เรื่องที่ 4 อุทยานแห่งชาติ 37 เรื่องที่ 5 อินเทอร์เน็ต 39 คำาถามท้ายบทเรียน 42 แบบทดสอบหลังเรียน 42 บทที่ 2 การใช้แหลงเรียนรู 25 แบบทดสอบก่อนเรียน 45 เรื่องที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการจัดการความรู้ 46 เรื่องที่ 2 การรวมกลุ่มเพื่อต่อยอดความรู้ 48 เรื่องที่ 3 กระบวนการจัดการความรู้ 49 เรื่องที่ 4 การจัดการความรู้ด้วยการรวมกลุ่มปฏิบัติการ : ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practices : CoPs) 51 เรื่องที่ 5 การพัฒนาขอบข่ายความรู้ของกลุ่ม 53 เรื่องที่ 6 การสรุปองค์ความรู้กลุ่มและการจัดทำาสารสนเทศ 54 เรื่องที่ 7 การจัดทำาสารสนเทศองค์ความรู้ในการพัฒนาตนเอง/ครอบครัว 57 คำาถามท้ายบทเรียน 58 แบบทดสอบหลังเรียน 58 บทที่ 3 การจัดการเรียนรู 44 บทที่ 4 การคิดเปน 60
แบบทดสอบก่อนเรียน 69 เรื่องที่ 1 ความรู้เกี่ยวกับการวิจัย 71 เรื่องที่ 2 สถิติที่ใช้ในการวิจัย 75 เรื่องที่ 3 การสร้างเครื่องมือการวิจัย 77 เรื่องที่ 4 การเขียนโครงการวิจัยอย่างง่าย 82 คำาถามท้ายบทเรียน 88 แบบทดสอบหลังเรียน 89 แบบทดสอบก่อนเรียน 124 เรื่องที่ 1 ความหมายและความสำาคัญของศักยภาพหลักของพื้นที่ในการพัฒนาอาชีพ 125 เรื่องที่ 2 พื้นที่หลักในการพัฒนาอาชีพ และการวิเคราะห์ศักยภาพหลักของพื้นที่ในการพัฒนาอาชีพ 125 เรื่องที่ 3 ศักยภาพหลักของพื้นที่ในการพัฒนาอาชีพ 128 คำาถามท้ายบทเรียน 137 แบบทดสอบหลังเรียน 137 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน คำาถามท้ายบท และแบบทดสอบหลังเรียน 139 บรรณานุกรม 152 บทที่ 5 การวิจัยอยางงาย 68 แบบทดสอบก่อนเรียน 92 เรื่องที่ 1 การนำาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 93 เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์ในการเขียนรายงาน 98 เรื่องที่ 3 ขั้นตอนการเขียนรายงาน 100 เรื่องที่ 4 ลักษณะของรายงานที่ดี 101 เรื่องที่ 5 รูปแบบการนำาเสนอรายงาน 102 เรื่องที่ 6 เทคนิคการนำาเสนอผลงาน 103 คำาถามท้ายบทเรียน 107 แบบทดสอบหลังเรียน 108 บทที่ 6 การนําเสนอผลงานวิจัย 91 แบบทดสอบก่อนเรียน 111 เรื่องที่ 1 ความหมายของประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 113 เรื่องที่ 2 เทคนิคการเลือกกลุ่มตัวอย่าง 114 เรื่องที่ 3 การกำาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 119 คำาถามท้ายบทเรียน 121 แบบทดสอบหลังเรียน 121 บทที่ 7 การเลือกกลุมตัวอยาง 110 บทที่ 8 ทักษะการเรียนรูและศักยภาพหลักของพื้นที่ในการพัฒนาอาชีพ 123
1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง ทบทวนความหมาย ความสำ คัญ และกระบวนการของการเรียนรู้ด้วยตนเอง ฝึกทักษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทักษะการแก้ปัญหา และเทคนิคในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้านการอ่าน การฟัง การสังเกต การจำ และการจดบันทึก ทบทวนการวางแผนการเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีทักษะพื้นฐานและเทคนิคในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในเรื่องการวางแผน การประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง การวิเคราะห์ วิจารณ์ ฝึกทักษะความรู้ ทักษะการพูด และการทำ แผนผังความคิด เจตคติ/ปัจจัย ที่ทำ ให้การเรียนรู้ด้วยตนเองประสบความสำ เร็จ การเปิดรับโอกาสการเรียนรู้ การคิดริเริ่มและเรียนรู้ด้วยตนเอง การสร้างแรงจูงใจ การสร้างวินัยในตนเอง การคิดเชิงบวก ความคิดสร้างสรรค์ ความรักในการเรียน การใฝ่รู้ใฝ่เรียน และความรับผิดชอบ 2. การใช้แหล่งเรียนรู้ ทบทวนความหมาย ความสำ คัญ ประเภทแหล่งเรียนรู้ ทบทวนการใช้ห้องสมุดประชาชน การเข้าถึงสารสนเทศห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดอื่น ๆ แหล่งเรียนรู้อื่น ๆ ที่สำ คัญ เช่น ผู้รู้ในชุมชน พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ สื่อมวลชน รวมทั้งการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ของตนแอง ศึกษา สำ รวจแหล่งเรียนรู้ภายในชุมชน จัดกลุ่ม ประเภท และความสำ คัญ ศึกษาเรียนรู้กับภูมิปัญญา ปราชญ์ ผู้รู้ในท้องถิ่น 3. การจัดการความรู้ ทบทวนความหมาย ความสำ คัญ หลักการของการจัดการความรู้ กระบวนการจัดการความรู้ การรวมกลุ่มเพื่อต่อยอดความรู้ การพัฒนาขอบข่ายความรู้ของกลุ่ม การจัดทำสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ ฝึกทักษะกระบวนการจัดการความรู้ด้วยตนเองและด้วยการรวมกลุ่มปฏิบัติการ โดยการกำ หนดเป้าหมายการเรียนรู้ ระบุความรู้ที่ต้องใช้ การแสวงหาความรู้ สรุปองค์ความรู้ ประยุกต์ใช้ความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ การรวมกลุ่มปฏิบัติการเพื่อต่อยอด ความรู้ การพัฒนาขอบข่ายความรู้ของกลุ่ม สรุปองค์ความรู้ของกลุ่ม จัดทำสารสนเทศองค์ความรู้ใหม่และการนำ ไปใช้ในการพัฒนาตนเอง ครอบครัว 4. การคิดเป็น ทบทวนความรู้ ความเข้าใจ และความหมายของความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษา/การศึกษานอกระบบ และเชื่อมโยงมาสู่ กระบวนการคิดเป็น ทบทวนความหมาย ความสำ คัญของการคิดเป็น กระบวนการคิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ กระบวนการคิดเป็น ศึกษารายละเอียดที่หลากหลายในชิงเปรียบเทียบของลักษณะข้อมูลทางด้านวิชาการ ตนเอง และสังคมสิ่งแวดล้อมที่ แตกต่างกันไปของชุมชน วัฒนธรรม จารีตประเพณี สถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และบุคคล เพื่อนำ มาขยายในการคิด การตัดสินใจ อย่างคนคิดเป็น ศึกษาข้อมูลด้านคุณธรรม จริยธรรม ที่เที่ยวข้องกับบุคคล ครอบครัว และชุมชน มาเสริมความหมายการคิดเป็นให้ เกิดสันติสุขที่ยั่งยืน ฝึกปฏิบัติการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลในชุมชน เพื่อนำ มาประกอบการคิดการตัดสินใจ โครงสร้างรายวิชา ทักษะการเรียนรู้ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (รหัสวิชา ทร31001) ศึกษาและฝึกทักษะเกี่ยวกับเรื่องดังนี้ 1. สามารถประมวลความรู้ ทำ งานบนฐานข้อมูล และมีความชำ นาญในการอ่าน ฟัง จดบันทึกเป็นสารสนเทศอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว 2. สามารถวางแผนและใช้แหล่งเรียนรู้ได้อย่างคล่องแคล่วจนเป็นลักษณะนิสัย 3. สามารถสรุปองค์ความรู้ใหม่ นำ ไปสร้างสรรค์สังคมอุดมปัญญา 4. ความสามารถในการฝึกทักษะการคิดเป็นที่ขับซ้อนเชื่อมโยงกับคุณธรรม จริยธรรม ที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาคิดเป็น และ สามารถระบุถึงปัญหาอุปสรรคการพัฒนากระบวนการคิดเป็นและการแก้ไข 5. สามารถวางแผนการวิจัย ดำ เนินการตามแบบแผนอย่างถูกต้อง 6. สามารถวางแผนประยุกต์ใช้ทักษะการเรียนรู้ และศักยภาพหลักของพื้นที่เป็นเครื่องมือในการเพิ่มศักยภาพและขีด ความสามารถในการแข่งขันใน 5 กลุ่มอาชีพใหม่ มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ
ฝึกปฏิบัติการคิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยกระบวนการการคิดเป็น ทั้งจากกรณีตัวอย่างที่ซับซ้อนและหลากหลาย โดยนำ ข้อมูลด้านคุณธรรม จริยธรรม มาประกอบการคิดการพิจารณาด้วย ฝึกการสรุปกระบวนการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการคิดเป็นจากข้อมูลที่เก็บและวิเคราะห์จากชุมชน 5. การวิจัยอย่างง่าย ทบทวนความหมาย ความสำ คัญการวิจัยอย่างง่าย กระบวนการและขั้นตอนของการดำ เนินงาน สถิติง่าย ๆ เพื่อการวิจัย เครื่องมือการวิจัย และการเขียนโครงการวิจัยอย่างง่ายๆ ศึกษา ฝึกทักษะ การวิจัยในบ้าน การเขียนรายงานวิจัย การนำ เสนอและเผยแพร่งานวิจัย 6. ทักษะการเรียนรู้และศักยภาพหลักของพื้นที่ในการประกอบอาชีพ ทบทวน ประยุกต์ใช้ทักษะการเรียนรู้และศักยภาพหลักของพื้นที่ คือ ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในและพื้นที่ ศักยภาพ ของพื้นที่ตามลักษณะภูมิอากาศ ศักยภาพของภูมิประเทศและทำ เลที่ตั้งของแต่ละพื้นที่ ศักยภาพของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ และศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นเครื่องมือในการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถ ในการแข่งขันในกลุ่มอาชีพใหม่ เช่น กลุ่มอาชีพด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการบริหารจัดการ และการบริการ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง มาตรฐานที่ 1.1 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง 1. ประมวลความรู้ และสรุปเป็นสารสนเทศ 2. ทำ งานบนฐานข้อมูลด้วยการแสวงหาความรู้จนเป็นลักษณะนิสัย 3. มีความชำ นาญในทักษะการอ่าน ทักษะการฟัง และทักษะการจดบันทึก อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว 4. สามารถนำ ความรู้ความเข้าใจในเรื่อง 5 ศักยภาพของพื้นที่และหลักการพื้นฐานตามยุทธศาสตร์ตามกระทรวงศึกษาธิการ 2555 ไปเพิ่มขีดความสามารถการประกอบอาชีพ โดยเน้นที่กลุ่มอาชีพใหม่ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล มาตรฐานที่ 1.2 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการใช้แหล่งเรียนรู้ 1. วางแผนการใช้แหล่งเรียนรู้ตามความต้องการจำ เป็นของแต่ละบุคคล 2. ใช้แหล่งเรียนรู้จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมตามความต้องการจำ เป็น 3. ใช้แหล่งเรียนรู้อย่างแคล่วคล่องจนเป็นลักษณะนิสัย 4. สามารถวางแผนและเลือกใช้แหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพของตนเองและท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสมกับความสามารถ เช่น การหาตำ แหน่งงานว่างจากอินเทอร์เน็ต ฯลฯ มาตรฐานที่ 1.3 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการจัดการความรู้ 1. ออกแบบผลิตภัณฑ์ สร้างสูตร สรุปองค์ความรู้ใหม่ของขอบเขตความรู้ 2. ประพฤติตนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ 3. สามารถจัดทำ แผนที่ความคิดเกี่ยวกับอาชีพในด้านต่าง ๆ ของชุมชน เช่น เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรม ความคิดสร้างสรรค์ การบริหารจัดการ ได้อย่างถูกต้อง 4. สร้างสรรค์สังคมอุดมปัญญา มาตรฐานที่ 1.4 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการคิดเป็น 1. อธิบายหรือทบทวนปรัชญาคิดเป็น และการใช้ระบบข้อมูลทางวิชาการ ตนเอง และสังคมสิ่งแวดล้อม มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อประกอบกระบวนการคิด การตัดสินใจ ในการแก้ปัญหา 2. อธิบายและปฏิบัติการใช้เทคนิควิธีการฝึกทักษะการคิดเป็นที่ซับซ้อนและนำ คุณธรรม จริยธรรม ที่เกี่ยวข้องมาส่งเสริม กระบวนการคิดเป็นให้มากขึ้น 3. อภิปราย ถกแถลงถึงปัญหาและอุปสรรคในการใช้กระบวนการคิดเป็น ประกอบการแก้ปัญหา 4. เชื่อมโยงปรัชญาคิดเป็น กระบวนการเรียนรู้ การศึกษานอกระบบ 5. บอกลักษณะของคนคิดเป็นได้อย่างน้อย 8 ประการ 6. สามารถนำ ความรู้ความเข้าใจในเรื่อง 5 ศักยภาพของพื้นที่และหลักการพื้นฐานตามยุทธศาสตร์ตามกระทรวงศึกษาธิการ 2555 ไปเพิ่มขีดความสามารถการประกอบอาชีพ โดยเน้นที่กลุ่มอาชีพใหม่ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล มาตรฐานที่ 1.5 มีความรูดวามเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการวิจัยอย่างง่าย 1. ออกแบบการวิจัย เพื่อค้นหาความรู้ความจริงที่ต้องการคำ ตอบ 2. ดำ เนินการตามแบบแผนการวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูล สรุปสารสนเทศความรู้ความจริงที่ต้องการคำ ตอบ 3. ใช้กระบวนการวิจัยอย่างง่ายเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการประกอบอาชีพสร้างรายได้ที่มั่งคั่งและมั่นคง
หนังสือเรียน สาระทักษะการเรียนรู้ รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร31001 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นหนังสือเรียนที่จัดทาขึ้นส ํ าหรับผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ํ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในสาระการประกอบอาชีพ ซึ่งในหนังสือเรียนเล่มนี้ แบ่งเป็น 8 บท ได้แก่ บทที่ 1 การเรียนรู้ด้วยตนเอง บทที่ 2 การใช้แหล่งเรียนรู้ บทที่ 3 การจัดการเรียนรู้ บทที่ 4 การคิดเป็น บทที่ 5 การวิจัยอย่างง่าย บทที่ 6 การนำ เสนอผลงานวิจัย บทที่ 7 การเลือกกลุ่มตัวอย่าง บทที่ 8 ทักษะการเรียนรู้และศักยภาพหลักของพื้นที่ในการพัฒนาอาชีพ เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของหลักสูตร ผู้เรียนควรปฏิบัติดังนี้ 1. ศึกษาโครงสร้างรายวิชา ประกอบด้วย สาระสาคัญ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และขอบข่าย ํ เนื้อหา 2. ผู้เรียนประเมินตนเองโดยการทำ แบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อวัดความรู้และประสบการณ์ เดิมของผู้เรียน พร้อมบันทึกผลการประเมินแบบทดสอบก่อนเรียนไว้ 3. ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาในบทเรียนอย่างละเอียด ประกอบกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ในรูปแบบอื่น เช่น ร่วมกันค้นคว้า วิเคราะห์ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยสแกนคิวอาร์โคด (QR CODE) จากตัวอย่างสัญลักษณ์ ดังนี้ 4. เมื่อผู้เรียนศึกษาเนื้อหาในบทเรียนจบแล้ว ผู้เรียนสามารถทบทวนความรู้จากการทำ แบบฝึกหัดท้ายบท และตรวจสอบความถูกต้องของคำ ตอบโดยการแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ระหว่างผู้สอนกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน 5. เพื่อเป็นการทบทวนความรู้และประเมินตนเอง ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองโดยการทำ แบบทดสอบหลังเรียน เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจว่าผู้เรียนบรรลุผลตามเป้าหมายของหลักสูตรแล้ว หรือไม่ ถ้าหากยังไม่ตรงตามเป้าหมายผู้เรียนสามารถกลับไปศึกษาความรู้ให้เข้าใจก่อนจะเริ่มศึกษา ในบทเรียนอื่นเป็นลำ ดับต่อไป คำ แนะนำ การใช้หนังสือเรียน
1. อธิบายความหมาย ความสำ คัญ และกระบวนการของการเรียนรู้ด้วยตนเอง 2. ปฏิบัติการฝึกทักษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู้ทักษะการแก้ปัญหา และเทคนิคในการเรียนรู้ด้วยตนเองได้และการวางแผนการเรียนรู้และ การประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง 3. ฝึกปฏิบัติทักษะการพูดและการทำ แผนผังความคิด 4. อธิบายปัจจัยที่ทำ ให้การเรียนรู้ด้วยตนเองประสบความสำ เร็จ ตัวชี้วัด สิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ มาตรฐานที่ 1.1 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง บทที่ 1 การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่มถึงความต้องการ ในการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งสืบเนื่อง มาจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่าง รวดเร็ว บุคคลต้องมีการปรับตัวให้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ภายใน ห้องเรียนไม่สามารถให้ความรู้แก่บุคคล ได้ทั้งหมด บุคคลจึงต้องมีการศึกษา หาความรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และสามารถ ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมได้ สาระสำ คัญ เรื่องที่ 1 ความหมาย ความสำ คัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่องที่ 2 ทักษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู้ เรื่องที่ 3 ลักษณะของผู้ที่มีการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่องที่ 4 ทักษะการแก้ปัญหาและเทคนิคในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่องที่ 5 การวางแผนการเรียนรู้ เรื่องที่ 6 แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน (Student Portfolio) เรื่องที่ 7 ขั้นตอนการประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน เรื่องที่ 8 ปัจจัยที่ทำ ให้การเรียนรู้ด้วยตนเองประสบความสำ เร็จ ขอบข่ายเนื้อหา 1. ประมวลความรู้และสรุปเป็นสารสนเทศ 2. ทำ งานบนฐานข้อมูลด้วยการแสวงหาความรู้จนเป็นลักษณะนิสัย 3. มีความชำ นาญในทักษะการอ่าน ทักษะการฟัง และทักษะการจดบันทึกอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว 4. สามารถนำ ความรู้ความเข้าใจในเรื่อง 5 ศักยภาพของพื้นที่และหลักการพื้นฐานตามยุทธศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการ 2555 ไปเพิ่มขีดความสามารถการประกอบอาชีพ โดยเน้นกลุ่มอาชีพใหม่ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
2 แบบทดสอบก่อนเรียน 1. ความหมายตามการเรียนรู้ของโนลส์คือข้อใด ก. การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นกระบวนการที่ ผู้เรียนคิดริเริ่มการเรียนเอง ข. การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการจัด ประสบการณ์ ค. การแสวงหาความรู้โดยผู้เรียนเป็น ผู้กำ หนดเป้าหมายการเรียนที่ชัดเจน ง. การควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 2. ข้อใดไม่ใช่ความสำ คัญของกระบวนการ เรียนรู้ด้วยตนเอง ก. สอดคล้องกับกระบวนการทางธรรมชาติ ข. เรียนรู้ได้เร็ว ค. มีนวัตกรรมทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ง. เกิดแนวคิดใหม่ในการศึกษา 3. ใครเป็นผู้ที่มีทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก. ชาติชายใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูล ข. สุกัญญาลอกการบ้านเพื่อนในตอนเช้า ค. สมฤดีชอบแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน ง. ชิตกมลให้คุณยายสอนทำ ขนมไทย 4. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการฟัง ก. มองสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ข. พูดแทรกขณะที่อีกฝั่งหนึ่งพูดอยู่ ค. มีสมาธิกับการฟัง ตั้งใจฟัง ง. นั่งเหม่อลอย ไม่สนใจผู้พูด 5. ข้อใดคือข้อดีของการจดบันทึก ก. ช่วยให้น่าอ่าน ข. เพื่อนยืมไปจดต่อได้ ค. ทำ ให้ไม่ง่วงนอน ง. ช่วยให้จดจำ ได้ดียิ่งขึ้น 6. “การเฝ้าดูและการจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น” เป็นทักษะในข้อใด ก. การฟัง ข. การสังเกต ค. การอ่าน ง. การจดบันทึก 7. ข้อดีในการวางแผนการเรียนรู้คือข้อใด ก. ทำ ให้ผู้เรียนเกิดการอยากเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น ข. เรียนได้ครบตรงตามหลักสูตร ค. ช่วยให้ง่ายต่อการเรียน ง. ช่วยให้ผู้เรียนกระตือรือร้นในการเรียน 8. ข้อใดเป็นการออกแบบแผนการเรียน ก. ผู้เรียนกำ หนดวัตถุประสงค์ที่จะเรียน ข. ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างรอบด้าน ค. ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียน ง. ผู้เรียนจะต้องกำ หนดแนวทางการเรียน 9. ข้อใดคือความหมายของแฟ้มสะสมผลงาน ของผู้เรียน ก. การเก็บรวบรวมประวัติส่วนตัวและ เอกสารต่าง ๆ ข. การเก็บรวบรวมผลงานของผู้เรียนที่ผ่าน การคัดเลือกโดยผู้เรียนเอง ค. แฟ้มสะสมผลงานที่ตัวเองชอบ ง. การเก็บรวบรวมข้อมูลที่ตัวเองสนใจ 10. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของแฟ้มสะสมผลงาน ก. ส่งเสริมการเรียนรู้ตามศักยภาพเป็นราย บุคคล ข. สะท้อนความสามารถรวมออกมาเป็นผลงาน ค. ใช้ในการพิจารณาการเลื่อนชั้นเรียน ง. ใช้ประเมินพัฒนาการของผู้เรียน คำ ชี้แจง จงเลือกคำ ตอบที่ถูกต้องที่สุด
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 3 ความหมาย ความสำาคัญของ 1 การเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่องที่ การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ที่ทำาให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งสอดคล้อง กับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของโลกปัจจุบัน บุคคลจึงต้องมีการพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารญาณ การรู้จักเชื่อมโยงความรู้กับการทำางาน รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ตามสภาพความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา การเรียนรู้ด้วยตนเองมาจากพื้นฐานความเชื่อว ่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความดี มีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง หาทางเลือกของตนเอง และพัฒนาตนเองได้อย ่างไม ่มีขีดจำากัด ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพ ใส่ใจ ใฝรู้ ขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเองได้ ความหมายของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โนลส์ (Knowles) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้ด้วยตนเองว่า การเรียนรู้ ด้วยตนเองเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนคิดริเริ่มการเรียนเอง โดยวินิจฉัยความต้องการ ในการเรียนรู้ของตน กำาหนดเป้าหมายและสื่อการเรียน ติดต่อกับบุคคลอื่น หาแหล่ง ความรู้ เลือกใช้กลยุทธ์วิธีการเรียนรู้ เสริมแผนการเรียนรู้และประเมินผลการเรียน ของตน ซึ่งอาจได้รับหรือไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็ตาม กริฟฟน (Griffin) กล่าวว่า การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้เฉพาะของบุคคล โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาการเรียนรู้ ความสามารถ ในการวางแผน การปฏิบัติตามแผน และการประเมินผลการเรียนรู้ของตน บรูคฟลค์ (Brookfield) กล่าวถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองว่า การเรียนรู้ด้วยตนเองนั้นเป็นการแสวงหาความรู้โดยผู้เรียนเป็น ผู้กำาหนดเป้าหมายการเรียนที่ชัดเจน ควบคุมกิจกรรมการเรียน ของตนในด้านเนื้อหาและวิธีการเรียน ซึ่งอาจขอความช่วยเหลือ ในด้านต่าง ๆ เช่น การกำาหนดและใช้หนังสือประกอบการเรียน หรือบทความต่างๆ จากบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเลือก วิธีการประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง
4 จากความหมายของการเรียนรู้ด้วยตนเองดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การเรียนรู้ด้วยตนเอง คือกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนริเริ่มการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสนใจ ความต้องการ และความถนัด มีเป้าหมาย รู้จักแสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้ของตนเอง เลือกวิธีการ เรียนรู้จนถึงการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจะดำเนินการด้วยตนเอง หรือร่วมมือกับผู้อื่น หรือได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรือไม่ก็ได้ การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะเห็นการพัฒนาตนเองทั้งด้านความรู้และด้านความชำ นาญของ ตัวผู้เรียนเอง ซึ่งความสำ คัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีดังนี้ 1. เรียนรู้ได้มาก การเรียนรู้ที่เกิดจากการริเริ่มจะเรียนได้มากกว่าและดีกว่าบุคคลที่เป็น ผู้ที่รอรับการถ่ายทอดจากครูหรือผู้สอนอื่น ๆ บุคคลที่เรียนรู้ด้วยตนเองจะเรียนอย่างตั้งใจ มีจุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจสูง สามารถใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ได้ดีกว่าและยาวนานกว่า บุคคลที่รอรับการสอนแต่อย่างเดียว ความสำ คัญของกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้การทำ งานผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง โดย A มีความสนใจและจำ เป็น ในการเรียนรู้การใช้งานโปรแกรมตัวนี้ ในขณะที่ B มีความสนใจในสิ่งที่ต่างออกไปและไม่ได้ จำ เป็นที่จะต้องใช้ 2. สอดคล้องกับกระบวนการทางธรรมชาติการเรียนรู้ด้วยตนเองมีความสอดคล้อง กับกระบวนการทางธรรมชาติของจิตวิทยาพัฒนาการ กล่าวคือเมื่อแรกเกิดบุคคลต้องพึ่งพาผู้อื่น ได้แก่ บิดา มารดา ซึ่งจะทำ หน้าที่ปกป้องและตัดสินใจแทน และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะพัฒนา ตนเองสู่ความเป็นอิสระมากขึ้น มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สามารถดำ เนินชีวิตด้วย ตนเองและชี้นำ ตนเองได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองของ B ประกอบอาชีพขายอาหารตามสั่ง B ก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการประกอบ อาหารชนิดต่าง ๆ หรือการปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ ทั้งนี้การเรียนรู้จะมากน้อยตาม ความสนใจ ความเชื่อ และการมองโลกของแต่ละบุคคล
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 5 3. มีนวัตกรรมทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีนวัตกรรมทางการศึกษาเพิ่มขึ้นมาก เช่น มีหลักสูตรใหม่ ห้องเรียนแบบเปิด ศูนย์วิทยบริการ การศึกษาอย่างอิสระ โปรแกรมการเรียน ที่เฉพาะจุดสำ หรับบุคคลภายนอก การศึกษาระบบมหาวิทยาลัยเปิด รูปแบบของนวัตกรรมเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นความรับผิดชอบของผู้เรียนที่จะต้องเริ่มจากการริเริ่มการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. เกิดแนวคิดใหม่ในการศึกษา ความเปลี่ยนแปลงของโลกหลายๆ ด้านอย่างรวดเร็ว ทำ ให้เกิดแนวคิดใหม่ในการศึกษา ดังนี้ 4.1 บุคคลเรียนรู้และสะสมความรู้เหล่านั้นไว้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีหรือน้อย กว่านั้น มนุษย์จึงต้องพัฒนาทักษะดังกล่าว เมื่อบุคคลจบการศึกษาไปแล้วยังสามารถแสวงหา ความรู้เพิ่มเติมได้เพื่อพัฒนาตนเองให้มีความรู้ใหม่เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก 4.2 บุคคลเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากครอบครัวเมื่อเติบโตขึ้นได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้กว้างขึ้น จากสิ่งแวดล้อม จากเพื่อน จากครู หรือจากสื่อมวลชนต่าง ๆ จึงกล่าวได้ว่าการเรียนรู้จะเป็น ส่วนหนึ่งของการดำ เนินชีวิตและบุคคลสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต 4.3 การเรียนรู้ด้วยตนเองไม่จำ กัดอายุผู้เรียน ผู้เรียนมีโอกาสเลือกเรียนตาม ความต้องการและความสนใจ ผู้เรียนที่อยู่ในวัยเยาว์ควรเน้นทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อจะ ได้ใช้ทักษะจากการเรียนรู้ด้วยตนเองนี้ในการแสวงหาความรู้ให้ทันต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง ของโลก ตัวอย่างเช่น จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่กำ ลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ การเรียนของทั้งนักเรียนและนักศึกษาจะต้องปรับเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบของห้องเรียน ออนไลน์แทน อีกทั้งการใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ของบุคคลทั่วไปเพื่อการใช้ ชีวิตที่สะดวกสบายเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การที่ผู้เรียนมีความสนใจมากกว่าด้านเดียว หรือความจำ เป็นในการนำ ไปใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานหรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ งานของตนเอง ซึ่งหากผู้เรียนมีโอกาสและไม่ปิดกั้นตนเองก็จะสามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่มีข้อจำ กัดใด ๆ
6 2 ทักษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู้ เรื่องที่ การสร้างทักษะเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองสามารถกระทำาได้ ดังนี้ 1. ฝกเป็นคนช่างสังเกต การสังเกตสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว จะช่วยให้ มีความรอบรู้ และเกิดความเข้าใจได้ด้วยตนเอง เช่น เราพบว่า ไก่มักขัน ในตอนเช้าคางคกร้องเมื่อฝนกำาลังจะตก เมื่อเข้าหน้าหนาวอากาศจะมืดเร็ว กว่าหน้าร้อน 2. ฝกตนเองให้มีนิสัยรักการอ่าน ช่างจด และจำา หากผู้เรียนเป็นคนที่มีนิสัยรักการอ่าน ซึ่งเป็นการอ่านสิ่งที่มีประโยชน์และจะช่วยให้มี ความรู้เพิ่มเติม ผู้เรียนควรมีการจดบันทึกไว้เพื่อ จำาและเอาไว้อ่านทบทวน ทำาให้ความรู้เหล่านั้น คงอยู่ได้นาน 3. ฝก ให้ รู้จักก า รค้นคว้ าห าคว าม รู้ การหาความรู้โดยการค้นคว้า เป็นปัจจัยสำาคัญ ที่จะช่วยให้เกิดทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง การค้นคว้าเป็นปัจจัยสำาคัญของการหาความรู้ เช่น เมื่อต้องการทราบเกี่ยวกับเรื่องใด จะต้องทราบว่าควรค้นคว้าข้อมูลได้จากแหล่งใด หากค้นคว้าจากห้องสมุดจะต้องมีทักษะใน การอ่าน การจดจำาด้วย 4. ฝกหาคำาตอบ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการทราบเกี่ยวกับเรื่องใด ไม่ควรอยู่นิ่งเฉย จะต้องพยายามค้นคว้าหาคำาตอบให้ได้ เช่น เมื่อสงสัยว่าแอปเปิลแต่ละสีมีประโยชน์แตกต่างกัน อย่างไร ก็ควรรีบค้นคว้าหาคำาตอบทันที 5. ฝกค้นคว้าจากปัญหาต่างๆ เมื่อผู้เรียน สนใจเกี่ยวกับเรื่องใด ควรค้นคว้ารายละเอียด หาคำาตอบเกี่ยวกับสิ่งนั้นให้ได้มากที่สุด เช่น หลังจาก ที่ทราบว่าแอปเปิลแต่ละสีมีประโยชน์แตกต่าง กันอย่างไร ควรหาต่อไปว่า เพราะเหตุใดแอปเปิล แต่ละสีจึงมีประโยชน์แตกต่างกัน มีสารอาหาร ต่างกันอย่างไร ถือเป็นฝึกค้นคว้าปัญหาต่าง ๆ ให้ ได้มากที่สุด การอ่านสิ่งที่เปนประโยชน์ ช่วยเพิ่มพูนความรู้ การฝกการค้นคว้าหาคำาตอบ https://eqrcode.co/a/5aqqRg
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 7 6. ฝกศึกษาข้อความและบทความ พยายามศึกษาข้อความหรือบทความที่เกี่ยวข้องกับ วิธีการแสวงหาความรู้ให้ตนเองได้อ่านอย่างสมำ่าเสมอ ปัจจุบันมีนักวิชาการหลายท่าน นำาเสนอบทความรู้ต่าง ๆ ไว้อย่างหลากหลาย เราสามารถศึกษาได้จากแหล่งความรู้ทั่วไป ได้แก่ นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ ฯลฯ เช่น เคล็ดลับการเรียนเก่ง ปฏิบัติตนอย่างไรให้รุ่งเรือง 3 ลักษณะของผู้ที่มีการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่องที่ ลักษณะของผู้ที่เรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนี้ 1. เป็นผู้ที่มีความสมัครใจในการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยมิได้ถูกบังคับ หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดจากความต้องการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น นางสาวพิมพาได้ทานข้าวมันไก่ ในโรงอาหารของโรงเรียนเกิดความติดใจในรสชาติ จึงหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำาข้าวมันไก่ ให้อร่อย เป็นต้น จัดว่าการเรียนรู้ครั้งนี้มิได้มีใครมาบังคับ แต่นางสาวพิมพาต้องการเรียนรู้ ด้วยตนเองโดยความสมัครใจ การเรียนรู้ด้วยตนเองเกิดจากความสมัครใจ 2. เป็นผู้ที่ทราบขั้นตอนของการเรียนรู้ ด้วยตนเอง และทราบว่าตนเองจะต้องปฏิบัติ อย่างไร จึงจะสามารถประสบความสำาเร็จจาก การเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เมื่อต้องการทราบเกี่ยวกับ เรื่องใดเรื่องหนึ่งบุคคลจะต้องทราบถึงวิธีการว่า ตนเองจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะทำาให้เกิดความรู้ ตามที่ต้องการทราบ เช่น เมื่อนายวิรัตน์ต้องการ ทราบถึงคุณสมบัติของใบย่านาง จึงได้ไปสอบถาม จากปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งนายวิรัตน์ทราบว่าเป็น วิธีการที่ทำาให้เขาสามารถประสบความสำาเร็จในการเรียนรู้ได้ 3. เป็นผู้ที่ชื่นชมและมีความสนุกสนานกับกระบวนการเรียนการสอน การเรียนรู้ ด้วยตนเองผู้เรียนจะต้องมีความสนุกสนานกับการเรียนนั้น หากรู้สึกเบื่อหน่ายจะทำาให้ ไม่ประสบความสำาเร็จและไม่ต้องการเรียนรู้อีกต่อไป
8 4. เป็นผู้ที่มีทัศนคติเชิงบวก มีแรงจูงใจร่วมมือกับเพื่อนหรือคนอื่น ๆ ในการเรียน ตลอดจน ให้ข้อมูลเชิงบวกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในการเรียนด้วย ผู้ที่มีทัศนคติที่ดีกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีแรงจูงใจร่วมมือกับกลุ่มเพื่อนหรือคนอื่น ๆ เป็นผู้ที่ให้ข้อมูลเชิงบวกเพื่อใช้ในการเรียนรู้ จะทำ ให้การเรียนรู้ด้วยตนเองประสบความสำ เร็จ เช่น เมื่อกลุ่มเพื่อนต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ ตลาดนํ้า ดวงใจก็เกิดทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการเรียนรู้เรื่องตลาดนํ้า เกิดแรงจูงใจที่ต้องการเรียนรู้ เช่นเดียวกัน และหากมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับตลาดนํ้าก็จะนำ มาเล่าให้เพื่อในกลุ่มฟังด้วย การใช้เทคโนโลยีในการค้นหาคำ ตอบ 5. เป็นผู้ที่รู้จักหาวิธีการใหม่ๆ ในการหา คำ ตอบ ประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้จากการเรียนไป ใช้กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล หาโอกาสพัฒนา และค้นหาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา การเรียนรู้ด้วย ตนเองมีวิธีการหลากหลาย ผู้ที่เรียนรู้ด้วยตนเอง จะต้องรู้จักวิธีการหาคำ ตอบแบบใหม่ที่แตกต่างไป จากเดิมและมีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น วิธีการ หาความรู้ที่ปฏิบัติกันมาคือ การอ่านจากหนังสือ ตำ ราที่ค้นคว้าได้จากห้องสมุด ผู้เรียนรู้อาจริเริ่ม ผู้เรียนที่ดีจะต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และบทบาทของตนเอง ใช้วิธีการค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต สอบถามจากผู้รู้ รวมไปถึงการทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้งนี้โดยพิจารณาถึงสถานการณ์และโอกาส 6. เป็นผู้ที่รู้จักใช้ตนเองเป็นแหล่งข้อมูล สามารถบอกตนเองได้ว่าต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ สิ่งใด ทักษะหรือข้อมูลที่จำ เป็นมีอะไรบ้าง กำ หนดเป้าหมาย วิธีการรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ วิธีการประเมินผลการเรียนรู้ความต้องการจัดการความรู้ต่างๆ ด้วยตนเอง ตระหนักในความสามารถ สามารถตัดสินใจได้ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และบทบาทของการเป็นผู้เรียนรู้ที่ดีหมายถึง ผู้เรียนรู้ด้วยตนเองจะต้องทราบว่าตนเองต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องใด ทักษะหรือข้อมูลใดที่มี ความสำ คัญ หรือจำ เป็นสำ หรับการเรียนรู้เป้าหมายของการเรียนรู้อยู่ที่ใด จะเรียนรู้ด้วยวิธีใดจึงจะ ประสบความสำ เร็จได้และรวมถึงวิธีการปฏิบัติตน ในฐานะผู้เรียนที่ดีด้วย เช่น มงคลต้องการเรียนรู้ เกี่ยวกับการวาดภาพเหมือน ต้องพิจารณาการ วาดภาพเหมือนจะต้องใช้ทักษะด้านใด และตนเอง มีทักษะด้านนั้นหรือไม่ หากตระหนักถึงความสามารถ ของตนเองว่ามีเท่าใด มงคลจะสามารถจัดการตนเอง เกี่ยวกับบทบาทของผู้เรียนได้
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 9 7. เป็นผู้ที่สามารถชี้แนะ อภิปรายใน ห้องเรียน แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไปจาก ครูผู้สอน ผู้ที่เรียนรู้ด้วยตนเองจะมีประสบการณ์ ตรงที่นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียน สามารถ นำ ประสบการณ์ตรงนั้นมาอภิปรายในห้องเรียนและ แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากครูผู้สอน 8. เป็นผู้ที่สามารถ ใช้ข้อผิดพลาดที่ ผ่านมาเป็นประสบการณ์ เพื่อพัฒนาการเรียน ให้ประสบความสำ เร็จ ทั้งยังนำ สิ่งผิดพลาดเหล่านั้น การรวบรวมข้อมูลจากการปฏิสัมพันธ์ กับบุคคล มาใช้ในประเมินตนเองเพื่อให้เข้าใจถึงศักยภาพของตนเอง การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็น ประสบการณ์ตรงของผู้เรียน บางครั้งอาจพบกับข้อผิดพลาดบ้าง ควรนำ ข้อผิดพลาด นั้นมาเป็นประสบการณ์ เพื่อให้การเรียนรู้ด้วยตนเองครั้งต่อไปเกิดข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุด หรืออาจนำ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาประเมินตนเองว่ามีสาเหตุมาจากตนเองด้วยหรือไม่ อย่างไร และตนเองจะต้องมีศักยภาพมากขึ้นอย่างไร เช่น ศิวะต้องการทราบวิธีการย้อมผ้า หลังจากที่ได้เรียนรู้วิธีการย้อมผ้าด้วยตนเอง จึงได้ทดลองทำ ปรากฏว่าสีของผ้าไม่ได้ เป็นไปตามที่ต้องการ จึงต้องพิจารณาว่าเกิดจากข้อผิดพลาดใดเพื่อการปรับปรุงแก้ไขต่อไป การอภิปรายในห้องเรียน 9. เป็นผู้ที่สามารถรวบรวมข้อมูลที่ ได้จากการปฏิสัมพันธ์กับบุคคล และสามารถ นำ ข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ การเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่เพียงแต่จะทำ ให้ตนเองมีความรู้เท่านั้น ยัง สามารถนำ ความรู้เหล่านั้นไปถ่ายทอดให้บุคคล อื่นไปใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น นิสาได้เรียนรู้ถึง วิธีการสกัดนํ้าหอมจากดอกไม้ไทย และได้นำ ไป ถ่ายทอดให้แม่บ้านคนอื่น ๆ ได้เรียนรู้บ้าง ทักษะสำ คัญของผู้ที่เรียนรู้ด้วยตนเองคือ จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถ ความตั้งใจ ควบคู่กับความรับผิดชอบ และการยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากความคิดและการกระทำ ของ ตนเอง
10 ทักษะการแก้ปญหาและ 4 เทคนิคในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่องที่ 1. พยายามทำาความเข้าใจสาระสำาคัญของ สิ่งที่อ่าน 2. พยายามจับประเด็นสำาคัญของเนื้อหา ที่อ่าน พร้อมจัดประเภทความรู้ที่ได้จากการอ่าน 3. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ใหม่กับประสบการณ์และความรู้ที่มีอยู่เดิม เมื่อได้อ่านความรู้ใหม่แล้วควรนำามาสัมพันธ์ กับความรู้ที่มีอยู่เดิม เช่น เมื่อได้อ่านวิธีการ การอ่าน การอ่านเป็นการประสมประสานของตัวอักษรโดยผ่าน การไตร่ตรองแล้วเก็บไว้เป็นความรู้ เพื่อนำาไปใช้ประโยชน์ในขั้นต่อไป การฝึกตนเอง ให้เป็นผู้ที่มีทักษะในการอ่าน มีดังนี้ เลี้ยงปลาแล้วนำาความรู้เหล่านั้นมาสัมพันธ์กับความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงปลาที่มีอยู่เดิม 4. สรุปถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่าน หลังจากที่อ่านเนื้อหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งจบแล้ว สรุปถึงสาระของเนื้อเรื่อง พร้อมกับสรุปว่าได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นได้อย่างไร เช่น ทำาให้ ทราบวิธีการซักผ้าอย่างถูกวิธี หรืออ่านเรื่องคุณค่าของผลไม้ทำาให้ทราบถึงคุณค่าของผลไม้ ประเภทต่าง ๆ 1. ตั้งใจฟัง การตั้งใจฟังผู้พูดจะทำาให้ทราบว่าผู้พูดต้องการจะบอกสาระสำาคัญอะไรแก่ ผู้ฟัง ผู้พูดบางคนมีการกล่าวถึงเรื่องต่าง ๆ มากมาย ทำาให้ผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟังและพยายามจับ ประเด็นให้ได้ว่าผู้พูดต้องการสื่อสารหรือต้องการให้ผู้ฟังทราบเกี่ยวกับเรื่องใด จึงต้องใช้สมาธิ ในการฟังสูง 2. มุ่งประเด็นที่ได้รับฟัง ซึ่งบางครั้งอาจไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาของผู้พูด แต่ยังไม่ควร ที่จะคิดโต้แย้งเพราะจะทำาให้เนื้อหาที่ฟังขาดตอน ควรใช้วิธีการจดประเด็นสำาคัญไว้ หรือยำ้ากับผู้พูด ในสิ่งที่ผู้ฟังเข้าใจภายหลัง เมื่อผู้ฟังได้ฟังแล้วเกิดข้อโต้แย้งในใจอาจทำาให้ขาดสมาธิในการฟัง และทำาให้ขาดเนื้อหาบางตอน ดังนั้นผู้ฟังจึงควรฟังหรือจดบันทึกจนจบเสียก่อน เช่น เมื่อผู้รู้ การฟง การฟังให้เกิดประโยชน์ผู้ฟังจะต้องมีสมาธิในการฟัง โดยจะต้อง คำานึงถึงหลักต่อไปนี้ การอ่าน คือ การไตร่ตรองตัวอักษรและ เก็บไว้เปนความรู้
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 11 บางท่านกล่าวถึงวิธีปฏิบัติที่ดีกับครอบครัว แต่มีบางวิธีที่ผู้ฟังไม่เห็นด้วยก็ปล่อยให้ผ่านไปก่อน ฟังหรือจดบันทึกจนจบ และหากมีโอกาสแสดงความคิดเห็นจึงค่อยแสดงออกมา 3. หลีกเลี่ยงการเหม่อลอย การเหม่อลอยหรือใจลอยจะทำ ให้การฟังขาดตอนและไม่ สามารถจับประเด็นสำ คัญได้ หรืออาจทำ ให้จับใจความได้ไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่อสาร การฟังที่จะทำ ให้ได้เนื้อหาครบถ้วนต้องเกิดจากการฟังที่มีสมาธิ ดังนั้นผู้ฟังจะต้องไม่เหม่อลอย มีสมาธิอยู่กับการฟัง 4. มีสมาธิกับการฟัง ผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟัง ไม่คุยกับผู้อื่น เพราะอาจทำ ให้พลาดประเด็น สำ คัญไป นักเรียนบางคนที่ทำ ข้อสอบไม่ได้เกิดจากการคุยกันในขณะที่ครูสอน ดังนั้นหาก ต้องการเนื้อหาอย่างครบถ้วนผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟัง ไม่คุยกับผู้อื่น 5. มีความอดทน ไม่ควรขัดจังหวะขณะฟังการพูด ควรฟังอย่างอดทน โดยมีท่าทาง ที่ผ่อนคลาย บางครั้งผู้ฟังจะต้องฟังการบรรยายติดต่อกันเป็นเวลานาน ผู้ฟังจะต้องอดทน ฟังเนื้อหาการพูดตั้งแต่ต้นจนจบ การทำ จิตใจและท่าทางให้ผ่อนคลายจะทำ ให้ฟังได้นาน 6. ควบคุมอารมณ์อารมณ์จะมีผลต่อการฟัง ห ากฟั งเรื่อ งที่ ไม่อย ากฟั งอ าจทำ ให้ผู้ฟั งเกิด อารมณ์บางอย่างขึ้นมา หรือตีความหมายของสิ่งที่ ได้ยินหรือฟังไปแบบผิด ๆ หรืออาจไม่สนใจ ทำ ให้ไม่สามารถจับใจความของผู้พูดได้ การฟังโดย อคติทำ ให้เกิดการต่อต้านผู้พูดหรือเนื้อหาที่พูด จึงทำ ให้ตีความหมายผิด หรือรับฟังเนื้อหาไม่ครบถ้วน เนื่องจากมีความคิดที่ต่อต้านทำ ให้ไม่ยอมรับข้อมูล ที่ผู้ฟังไม่เห็นด้วย ดังนั้นหากผู้ฟังต้องการเนื้อหาที่ ครบถ้วนจะต้องพยายามควบคุมอารมณ์ทำ จิตใจให้ผ่อนคลาย แล้วตั้งใจฟังเนื้อหานั้น 7. ฝึกการฟัง ควรมีการฝึกการฟังบ่อย ๆ เพื่อให้เกิดทักษะมากขึ้น การฟังอย่างมีสติ และมีสมาธิบ่อย ๆ ทำ ให้เกิดทักษะการฟังที่ดีขึ้น การสังเกต หมายถึง การเฝ้าดูและการจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น การฝึกตนเอง ให้มีทักษะด้านการสังเกต ควรหัดตนเองให้เป็นคนดูสิ่งต่างๆ อย่างถี่ถ้วน โดยเราอาจเริ่มจากการจดจำ สิ่งที่เราใช้อยู่เป็นประจำ ว่ามีรายละเอียดอย่างไร หรืออาจสังเกตพฤติกรรมของตนเองว่าเป็นอย่างไร เช่น ก้าวเท้าข้างใดก่อนเมื่อเวลาจะเดิน รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยให้เราเป็นคนรู้ตัว มีสติอยู่ตลอดเวลา และช่วยให้เป็น นักสังเกตที่ดีต่อไป ผู้ฟังที่ดีจะต้องมีสมาธิกับการฟัง
12 การจำ หมายถึง การเก็บข้อมูลไว้ระยะหนึ่ง อาจใช้เวลามากหรือเวลาน้อย ก็ได้การจำ มีผลต่อการตั้งใจรับรู้การรู้การเรียนและการใช้ภาษา การสร้างมโนทัศน์ การแก้ปัญหา การใช้เหตุผล และการตัดสินใจ การฝึกตนเองให้มีทักษะในการฟัง ควรปฏิบัติดังนี้ 1. ต้องมีสมาธิและมีความตั้งใจ 2. มีความละเอียดแม่นยำและมองเห็นภาพ อย่างทะลุปรุโปร่ง 3. จัดระบบความคิด การจำ ที่ดีจะต้องจัด ระบบความคิดว่าสิ่งใดมาก่อนและสิ่งใดมาทีหลัง 4. ปฏิบัติซํ้าๆ เช่น การท่องซํ้าไปซํ้ามา หลายๆ ครั้ง 5. การใช้เทคนิคคำ คล้องจอง หรือนำ ไป ผนวกเข้ากับสิ่งที่จำ ง่ายๆ เป็นต้น ตัวอย่างเทคนิค การจำ เช่น อักษรกลางในภาษาไทย ประกอบด้วย ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ เทคนิคการจำ ให้ ท่องว่า ไก่จิกเด็กตาย เด็กตาย บนปากโอ่ง การจดบันทึก การจดบันทึกเป็นการเขียนข้อความเพื่อช่วยในการจำ ซึ่ง ใช้เป็นเครื่องมือในการรวบรวมความรู้ที่อ่าน ฟัง และดูประมวลความคิดหลังการอ่าน การฟัง และการดู เพื่อรวบรวมสาระสำ หรับการอ่าน การฟัง และการดูต่อไป การจดบันทึกมีประโยชน์มากสำ หรับการเรียนรู้ด้วยตนเองการจดบันทึกให้ได้ การจดจำ ต้องใช้สมาธิและความตั้งใจ การจดบันทึก ช่วยในการรวบรวมความรู้ สาระสำ คัญ ควรปฏิบัติดังนี้ 1. จะต้องพยายามบันทึกโดยยึดหลักการ ตอบคำ ถามให้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไรและ อย่างไร 2. บอกแหล่งที่มาของข้อมูล หากจดบันทึกมา จากตำ รา จะต้องบันทึกไว้ด้วยว่าจากหนังสือชื่ออะไร ใครเป็นผู้แต่ง หากเป็นการจดบันทึกจากคำ พูดของ ผู้พูด ควรบันทึกว่าเป็นใคร พร้อมทั้งรายละเอียดของ บุคคลนั้นด้วย เช่น ตำ แหน่งการงาน ความชำ นาญ
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 13 3. จัดหมวดหมู่ของเนื้อหาอย่างเป็นระบบ 5. เรียงลำาดับเรื่องให้เข้าใจง่าย การเรียงลำาดับเรื่องทำาได้หลายวิธี เช่น เรียงตามลำาดับเวลา เรียงตามตำาแหน่งพื้นที่ เรียงตามลำาดับเหตุการณ์จากเหตุสู่ผล 6. ใช้ถ้อยคำาที่กระชับ เข้าใจง่าย และครอบคลุมเนื้อหามากที่สุด ตัวอย่างเช่น นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงนโยบาย การจัดการศึกษาในประเทศไทย ณ ห้องประชุมคุรุสภา เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2562 ว่า “ .................................................................................................................................” 5 การวางแผนการเรียนรู้ เรื่องที่ การวางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเองจะต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้ง 2 ฝาย ได้แก่ ผู้เรียน และผู้สอน ซึ่งจะต้องมีบทบาทหน้าที่ดังนี้ 1. วิเคราะห์ความต้องการในการเรียน ผู้เรียนจะต้องวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง กำาหนดโครงสร้างการเรียนของตน โดยพิจารณาจากความต้องการเรียนรู้ ความรับผิดชอบใน การเรียนรู้ บรรยากาศการเรียนรู้ที่พึงพอใจ และความต้องการมีส่วนร่วมในการเรียน ผู้สอนจะต้องสร้างความคุ้นเคยกับผู้เรียน ด้านผู้สอนจะต้องสร้างความคุ้นเคยกับผู้เรียน วิเคราะห์ความพร้อมของผู้เรียน สร้างบรรยากาศให้ เกิดความต้องการเรียนรู้ วิเคราะห์ความต้องการ ของผู้เรียน กำาหนดโครงสร้างหลักสูตรขอบเขต เนื้อหาอย่างกว้างๆ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ วิธีการเรียนการสอน แนะนำาข้อมูลให้ผู้เรียนคิดเอง กล่าวคือผู้เรียนจะต้องทราบว่าตนเองมี ความสนใจ มีความพร้อม และมีความต้องการ มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องใด ด้านผู้สอนเมื่อได้ทราบ ความต้องการของผู้เรียนแล้วต้องกำาหนดแผนหรือขั้นตอนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น 2. กำาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน ผู้เรียนจะต้องกำาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนของ ตนเอง ทราบว่าการเรียนวิธีใดทำาให้ตนเองบรรลุถึงเป้าหมาย และร่วมกันพัฒนาเป้าหมายการเรียนรู้
14 ด้านผู้สอนจะกำ หนดโครงสร้างของการเรียน วัตถุประสงค์ของการเรียน ช่วยให้ผู้เรียน กำ หนดความต้องการในการเรียนของตนเองให้สามารถวัดและเป็นจริงได้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ระดมสมอง แสดงความคิดเห็น และนำ เสนอความคิดเห็นของตน พร้อมทั้งแนะนำ ให้ผู้เรียนรู้จักคิด และวิเคราะห์เอง กล่าวคือผู้เรียนจะต้องเขียนจุดมุ่งหมายในการเรียนของตนเองอย่างชัดเจน พร้อมทั้งระบุ ถึงพฤติกรรมที่จะทำ ให้ตนเองประสบผลสำ เร็จในการเรียนรู้ส่วนด้านของผู้สอนจะมีบทบาทให้ผู้เรียน ได้แสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเต็มที่ ผู้สอนคอยช่วยชี้แนะเพื่อให้ผู้เรียนรู้จัก คิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น ผู้เรียนต้องการรู้เกี่ยวกับเรื่องการย้อมผ้าบาติก วิธีที่จะทำ ให้ ตนเองเรียนรู้ได้ดีที่สุดคือการได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง โดยมีผู้มีความรู้แนะนำ ขณะปฏิบัติ ผู้สอนเป็นผู้แนะนำ แนวทางให้ผู้เรียนสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายได้เช่น แนะนำ ผู้รู้แหล่งเรียนรู้ การเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ 3. ออกแบบแผนการเรียน ผู้เรียนจะ ต้องฝึกการทำ งานอย่างเป็นขั้นตอนจากง่ายไป หายาก ร่วมกันรับผิดชอบการทำ งานของกลุ่ม ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการเรียน รับผิดชอบ การดำ เนินงานตามแผน และรับผิดชอบควบคุม กิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองตามแผนการเรียนที่ กำ หนด ด้านผู้สอนต้องเตรียมความพร้อมการจัดการเรียน การสอน เสริมทักษะที่จำ เป็นในการเรียนรู้ร่วม ตัดสินใจวิธีการทำ งาน วิธีการสอนในแต่ละเรื่อง กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ประสาน สิ่งที่ตนเองรู้กับสิ่งที่ผู้เรียนต้องการ แนะนำ ข้อมูลให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์เองได้ ตลอดจน สร้างทางเลือกที่หลากหลายให้ผู้เรียนปฏิบัติตามแนวทางของตน กล่าวคือผู้เรียนจะต้องกำ หนดแนวทางการเรียนที่จะทำ ให้ประสบความสำ เร็จตาม วัตถุประสงค์ที่ระบุไว้อย่างเหมาะสมกับความต้องการและความสนใจของตนเอง ผู้เรียนออกแบบ วิธีการ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ได้ง่ายขึ้น 4. แสวงหาแหล่งวิทยาการ ผู้เรียนต้องค้นคว้าหาความรู้ตามที่ได้รับมอบหมาย ด้วยความรับผิดชอบ เลือกใช้ประโยชน์จากกิจกรรมและยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพให้บรรลุถึง วัตถุประสงค์ที่กำ หนด ด้านผู้สอนต้องนำ กลยุทธ์การสืบค้นข้อมูลมาถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียน แนะนำ แหล่งความรู้ สื่อ จัดรูปแบบสื่อการเรียนที่เหมาะสม สังเกต ติดตาม ให้คำ แนะนำ เมื่อผู้เรียนเกิดปัญหาและ ต้องการคำ ปรึกษา
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 15 แหล่งวิทยาการเป็นได้ทั้งวิทยากรที่เป็นบุคคลและวัสดุ รวมถึงแหล่งค้นคว้าต่างๆ เช่น ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ 5. ประเมินผลการเรียนรู้ ผู้เรียนฝึกประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วม ในการประเมินผลของตนเอง ด้านผู้สอนให้ความรู้และฝึกผู้เรียนในการประเมินผลการเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้ผู้เรียน ผู้สอนจะต้องกำาหนดเกณฑ์การประเมิน ตัวผู้เรียน นำาเสนอวิธีการ เกณฑ์การประเมินผล มีส่วนร่วมใน การตัดสินใจ จัดตารางประเมินผลร่วมกัน แนะนำา วิธีการประเมินเมื่อผู้เรียนสงสัย การประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนจะต้อง กำาหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ไว้อย่างชัดเจน เปรียบเทียบความรู้ของตนเองก่อนเรียนและ หลังเรียน เพื่อดูว่ามีความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใด โดยใช้แหล่งข้อมูลจากผู้เรียนและครูผู้สอนเป็นหลัก แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน 6 (Student Portfolio) เรื่องที่ การเรียนการสอนในปัจจุบัน เน้นผู้เรียนเป็นสำาคัญ ทำาให้การประเมินผลการเรียนเปลี่ยนแปลงไป แต่เดิมประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยการทดสอบแบบอัตนัยหรือปรนัย แต่ไม่สามารถ ประเมินการเรียนการสอนได้ทั้งหมด แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน จึงเป็นวิธีการใหม่อย่างหนึ่ง ที่ผู้สอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับอุดมศึกษานำามาใช้ เนื่องจากแฟ้มสะสมผลงานอาศัย หลักการประเมินร่วมกันระหว่างผู้ประเมินและผู้ถูกประเมิน ทั้งในด้านการเก็บรวบรวม การจัดระบบ และการวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อสนเทศที่สอดคล้องกับชีวิตจริงทั้งภายในและ ภายนอกโรงเรียน จึงเป็นการประเมินที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกระดับอายุสามารถแสดง ผลสำาเร็จของตนเอง โดยผู้เรียนสามารถเลือกใช้วิธีการและตัดสินใจเลือกผลงาน มีอิสระ ในการสร้างสรรค์ คิดค้นกลวิธี และสะท้อนภาพความคิดของตนเองออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แฟ้มสะสมผลงานจึงเป็นเครื่องมือสำาคัญที่สะท้อนความเชื่อว่า ผู้เรียนต้องมีส่วนรับผิดชอบ ต่อการเรียนรู้ของตนเองและมีหลักฐานยืนยันว่าตนเองเกิดการเรียนรู้ ก้าวหน้า จนบรรลุเป้าหมาย ที่กำาหนดไว้หรือไม่ นอกจากนี้แฟ้มสะสมผลงานยังสามารถนำามาใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารเชื่อมโยง ระหว่างครู ผู้เรียน ผู้ปกครอง และผู้บริหารด้วย
16 แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน เป็นการเก็บรวบรวมผลงานของผู้เรียนที่ผ่านการคัดเลือก โดยผู้เรียนเอง หรืออาจมีครูเป็นผู้แนะนำา มาเก็บไว้ในแฟ้มอย่างเป็นระบบ เพื่อแสดงให้เห็นถึง ความพยายาม เจตคติ แรงจูงใจ ความเจริญงอกงาม ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้เนื้อหาวิชาต่างๆ ของผู้เรียนให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้ทราบ แฟ้มสะสมผลงานของผู้เรียนจะเน้นการประเมินผลย่อย (Formative Evaluation) มากกว่าการประเมินผลสรุปรวม (Summative Evaluation) ดังนั้น แฟ้มสะสมผลงานของผู้เรียนจึงต้องหลากหลายและเพียงพอเพื่อใช้ในการประเมิน เพื่อปรับปรุง ผลการเรียนของผู้เรียนให้ดีขึ้น การเก็บรวบรวมผลงานซึ่งบรรจุไว้ในแฟ้มสะสมผลงาน ควรมี ลักษณะดังต่อไปนี้ ส่วนที่ ๑ คำานำา สารบัญ ประวัติ ส่วนตัว ผลการเรียนแต่ละ วิชา รายการ ชิ้นงาน ผลงานที่ครูและผู้เรียน ร่วมกันคัดเลือก ส่วนที่ ๒ รายละเอียดของผลงาน แต่ละชิ้นและความคิดเห็น ของตนเองที่มีต่อผลงาน แต่ละชิ้นที่อยู่ในแฟ้ม ส่วนที่ ๓ เกณฑ์การตัดสินแฟ้ม สะสมผลงาน และข้อมูล การประเมินโดยครู ตนเอง เพื่อน ผู้ปกครอง และ ผู้สนใจอื่นๆ รวมทั้งภาค ผนวก (ถ้ามี) ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในการคัดเลือกรายการต่างๆ ใน แฟมสะสมผลงาน 1. 2. ต้องมีเกณฑในการคัดเลือก ตัดสินผลงาน 3. มีหลักฐานแสดงผลการประเมินตนเอง แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียนเป็นการเก็บรวบรวมผลงานของผู้เรียนอย่างมีระบบ ในการทำา แฟ้มสะสมผลงานนั้น แฟ้มอาจจะมีรูปร่างอย่างไรก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้อะไรเป็นภาชนะเก็บสะสม โดยยึดหลักของการใช้สะดวกและมีประสิทธิภาพ แฟ้มสะสมผลงานจึงควรประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ องค์ประกอบของแฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 17 ใช้ในการแจ้งผลสำ เร็จของผู้เรียนให้บุคคลที่เกี่ยวข้องทราบ รวมทั้งสามารถนำ ไปใช้ในการอภิปรายความก้าวหน้าของผู้เรียนกับผู้ปกครองได้ การประเมิน แฟ้มสะสมผลงานจะมีลักษณะเปิดเผยตรงไปตรงมา ซึ่งต่างจากการใช้แบบทดสอบที่ครู ต้องปกปิดเป็นความลับ ใช้ประเมินพัฒนาการของผู้เรียน เนื่องจากการเก็บสะสมผลงานนั้นงานทุกชิ้น ที่พิจารณาคัดเลือกไว้แล้วต้องเขียนชื่อ วัน เดือน ปี ไว้ เพื่อประเมิน ความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการของผู้เรียนได้ สะท้อนความสามารถรวมออกมาเป็นผลงาน และการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการ ทำ งานของผู้เรียนได้ทุกขั้นตอน ค้นหาจุดเด่นของผู้เรียน แบบทดสอบส่วนมากใช้ในการสอบเพื่อหาข้อผิดพลาด ทำ ให้ผู้เรียนไม่ชอบการสอบและพยายามหลบเลี่ยงการสอบหรือทุจริตในการสอบ แฟ้มสะสมผลงานจะทำ ให้ครูสามารถหาจุดเด่นของผู้เรียนมากกว่าจุดด้อย ผู้เรียน สามารถเลือกและตัดสินใจว่าจะใช้งานชิ้นที่ดีที่สุดของตนในการประเมิน ดังนั้นผู้เรียนจึง มีความสุขในการทำ แฟ้มสะสมผลงานของตนมากกว่าการสอบ ส่งเสริมการเรียนรู้ตามศักยภาพเป็นรายบุคคล ในการทำ แฟ้มสะสมผลงานนั้น ควรให้ผู้เรียนจัดทำ แฟ้มด้วยตนเอง ดังนั้นแต่ละคนจึงสามารถเลือกทำ งาน แต่ละชิ้นได้อย่างมีอิสระตามความสนใจและความสามารถของผู้เรียน และผู้เรียนสามารถนำ ผลงานมาปรับเปลี่ยนให้ดียิ่งขึ้นได้ การทำ แฟ้มสะสมผลงานจึงเหมาะสำ หรับส่งเสริม การเรียนรู้เป็นรายบุคคล แฟ้มสะสมผลงานมีประโยชน์ในการแสดงหรือนำ เสนอผลงานของผู้เรียน ซึ่งมีลักษณะ ที่สอดคล้องกับความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน แฟ้มสะสมผลงานจึงสามารถใช้ประโยชน์ หลายประการ คือ ประโยชน์ของแฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน 1. 2. 3. 4. 5.
18 ขั้นตอนการประเมินผล 7 โดยใช้แฟ้มสะสมผลงานผู้เรียน เรื่องที่ ขั้นที่ 1 วางแผนการจัดทำาแฟ้มผลงาน เป็นการวางแผนที่ต้องกระทำาทั้งครูและผู้เรียน ดังนี้ 1. ครู จะต้องศึกษารายละเอียดของหลักสูตร จุดประสงค์ เนื้อหาวิชา และ การประเมินผล ผู้เรียนและผู้สอนจะต้องทราบถึง รายละเอียดที่ควรทราบ 2. ผู้เรียน จะต้องทราบรายละเอียด ขอ งก า รป ร ะเมิน ก่อนทำ าก า รสอนค รูจ ะแจ้ ง จุดประสงค์เนื้อหา กิจกรรม เกณฑ์การประเมินว่ามี จุดประสงค์การเรียนรู้อะไรบ้าง ครูสอนอย่างไร และผู้เรียนต้องปฏิบัติอย่างไร มีการวัดและประเมินผล อย่างไร ผู้เรียนต้องจัดทำาแฟ้มสะสมผลงานอย่างไร ผู้เรียนต้องปฏิบัติอย่างไร มีความรู้ความสามารถ ระดับใด จึงจะผ่านเกณฑ์ ขั้นที่ 2 เก็บรวบรวมผลงานหรือหลักฐาน เป็นการเก็บรวบรวมผลงานที่ผ่านมาไว้ในแฟ้ม โดยพิจารณาการจัดเก็บว่าจะดำาเนินการอย่างไร เช่น แยกตามวัตถุประสงค์ แยกตามประเภทของงาน นอกจากนี้ยังควรวางแผนระยะเวลาการจัดเก็บ การคัดเลือก และ ขั้นตอนการดำาเนินการต่าง ๆ ของการประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมผลงานด้วย แนวทางการจัดเก็บ ผลงาน มีดังนี้ 1. จัดเก็บตามแนวทางที่มีผู้กำาหนด 2. จัดเก็บตามลำาดับ วัน เวลา ที่สร้างขึ้นมา 3. จัดเก็บตามลำาดับความซับซ้อนของผลงาน หรือตามพัฒนาการของงาน เช่น การเก็บภาพงานฝีมือของผู้เรียนอาจเริ่มเก็บจากภาพร่างไปจนถึงภาพที่มีการระบายสีอย่างสมบูรณ์ 4. จัดเก็บตามพรสวรรค์ ทักษะ หรือเนื้อหา เช่น งานศิลปะ งานประดิษฐ์ 5. จัดเก็บตามหัวเรื่องที่ต้องการนำาเสนอ 6. จัดเก็บในลักษณะผสมผสานโดยนำาวิธีการข้างต้นมาจัดเป็นแฟ้มเดียวกัน เช่น การจัดทำาแฟ้มสะสมผลงานของตนเองอาจมีการจัดแบ่งตามหัวข้อของผลงาน เช่น งานบริการสังคม งานอดิเรกงานที่เริ่มเข้าสู่อาชีพ เป็นต้น
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 19 ขั้นที่ 3 คัดเลือกผลงาน การคัดเลือกผลงานที่แสดงถึงความสามารถของผู้เรียน ตามจุดประสงค์ของการประเมินผลงาน ผลงานที่เลือกมานั้นจะต้องเป็นชิ้นงานที่ดีที่สุด ครอบคลุมเนื้อหาวัตถุประสงค์ตามที่ได้ตกลงกันไว้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สามารถอธิบายความสามารถ ที่แท้จริงของผู้เรียนให้ถูกต้องมากที่สุด การคัดเลือกผลงานมักจะเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมินโดยตรง ซึ่งได้แก่ผู้เรียนมักเป็นผู้คัดเลือกผลงานเอง การคัดเลือกผลงานหรือหลักฐานควรกระทำ หลังจากที่มีงานไม่น้อยกว่า 4-5 ชิ้น หรือหลังจากเรียนไปแล้วประมาณ 1 เดือน หรือใน ภาคเรียนหนึ่งๆ อาจคัดเลือกผลงานประมาณ 2-4 ครั้ง โดยในการเลือกครั้งแรกเป็นการเลือก ผลงานที่ดีที่สุดที่มีอยู่มาเก็บไว้ในแฟ้มหนึ่งซึ่งเรียกว่า แฟ้มสะสมผลงานดีเด่น หลังจาก การเลือกครั้งแรกประมาณ 1 เดือน หรือมีชิ้นงานเพิ่มขึ้น 4-5 ชิ้น ผู้เรียนสามารถทบทวนดูว่า ผลงานที่เลือกไว้กับผลงานใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นมานั้นชิ้นใดเป็นชิ้นที่ดีที่สุดก็ทำ การเลือกมาเก็บไว้ใน แฟ้มผลงานที่คัดเลือกแล้ว (Outstanding Portfolio) ขั้นที่ 4 แสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกต่อผลงาน การแสดงความคิดเห็นหรือ ความรู้สึกต่อผลงาน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดการวิเคราะห์และ พิจารณาผลงานของตน ซึ่งเป็นการประเมินแบบไม่เป็นทางการ โดยให้ผู้เรียนตอบคำ ถามของครูด้วย การพูด ต่อจากนั้นจึงให้เขียนแสดงความคิดออกมา ครอบคลุมเนื้อหาวัตถุประสงค์ตามที่ได้ ตกลงกันไว้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สามารถอธิบายความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนให้ถูกต้องมากที่สุด ขั้นที่ 5 ตรวจสอบความสามารถของตนเอง การประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบความสามารถของตนเองจากผลงาน ตลอดจน ตรวจสอบคุณลักษณะต่างๆ ของผู้เรียน ซึ่งเป็นได้ทั้งการตรวจสอบตามจุดประสงค์การเรียนรู้ และคุณลักษณะส่วนตัวของผู้เรียน วิธีการตรวจสอบความสามารถของตนเอง ควรพิจารณาตาม เกณฑ์ย่อยๆ ซึ่งกำ หนดขึ้นมา เช่น เรื่องนิสัยในการทำ งาน อาจกำ หนดเกณฑ์ย่อยในเรื่อง การทำ งานเสร็จทันเวลา การขอความช่วยเหลือเมื่อมีความจำ เป็น การตรวจสอบความสามารถของตนเองอีกวิธีหนึ่งคือ การพิจารณาตามเกณฑ์ย่อยๆ เช่น นิสัยการทำ งาน การขอความช่วยเหลือ หรือการตรวจสอบความสามารถของตนเอง อีกลักษณะหนึ่ง คือ การวิเคราะห์จุดเด่น-จุดด้อย ในการทำ งานของตน เช่น ความสวยงาม ความสะอาด ความเป็นระเบียบ
20 ขั้นที่ 6 ประเมินผลงาน เป็นขั้นตอนสำ คัญเพราะเป็นการตีค่าหรือสรุปถึงคุณภาพ หรือความสามารถของผู้เรียน การกำ หนดเกณฑ์การประเมินควรให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมด้วย ขั้นที่ 7 แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับผลงาน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์มี วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนได้รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจากเพื่อนผู้เรียน ผู้ปกครอง และครูผู้สอนท่านอื่นๆ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทำ ได้หลายรูปแบบ เช่น การสนทนาระหว่างผู้เรียนผู้เกี่ยวข้อง การนำ แฟ้มผลงานให้ ผู้เกี่ยวข้องเสนอแนะ ขั้นที่ 8 ปรับเปลี่ยนผลงาน ในการประเมินแฟ้มสะสมผลงานต้องการให้ผู้เรียนแสดงผลงาน หรือหลักฐานมากที่สุด ดังนั้นเมื่อผ่านไประยะหนึ่งควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปรับ เปลี่ยนผลงานหรือหาผลงานชิ้นที่ดีกว่าเดิม เพื่อให้แฟ้มสะสมผลงานมีชิ้นงานที่ดีทันสมัย น่าสนใจ และตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการประเมินผู้เกี่ยวข้องเสนอแนะ เป็นต้น ขั้นที่ 9 จัดระบบแฟ้มสะสมผลงาน องค์ประกอบของแฟ้มสะสมผลงาน มีดังนี้ 1. ส่วนนำ ประกอบด้วย ปก ข้อมูลส่วนตัวของผู้เรียน ข้อมูลผลการเรียน สารบัญ 2. ส่วนเนื้อหา เป็นส่วนที่แสดงรายละเอียดของผลงานและความคิดเห็นของตนเอง ต่อผลงานที่ได้เลือก อาจจัดจำ แนกตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้หรือลักษณะธรรมชาติของงานก็ได้ 3. เกณฑ์การตัดสินผลงาน ผลการประเมินครู ของตนเอง และของเพื่อน รวมทั้ง ภาคผนวก (ถ้ามี) ขั้นที่ 10 จัดนิทรรศการแสดงผลงาน เป็นขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความภาคภูมิใจ การจัดนิทรรศการแสดงผลงาน ชื่นชมผลงานและความสามารถของตน ในการแสดงผลงานควรให้ผู้ปกครองและชุมชนได้ เข้ามาชื่นชมความสำ เร็จขอผลงานด้วย และควรให้ ผู้เรียนได้มีบทบาทในการจัดนิทรรศการทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การวางแผน การจัดสถานที่ การเชิญผู้เกี่ยวข้อง ชมนิทรรศการ การประชาสัมพันธ์การจัดนิทรรศการ ต่าง ๆ จนถึงการประเมินผล เช่น การจัดนิทรรศการ แสดงผลงานประจำ ปีการศึกษา
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 21 ปจจัยที่ทำาให้การเรียนด้วยตนเอง 8 ประสบความสำาเร็จ เรื่องที่ การเรียนรู้ที่ประสบความสำาเร็จผู้เรียนจะต้องมีความพร้อม ซึ่งความพร้อมของตัวผู้เรียน มีดังนี้ ผู้เรียนจะต้องพิจารณาถึงแหล่งเรียนรู้ ที่เหมาะสม 1. เปดโอกาสต่อการเรียนรู้ สามารถ กระทำาได้โดยให้ความสนใจในการเรียนรู้มากกว่าผู้อื่น มีความพึงพอใจกับการริเริ่มของบุคคล มีความรัก ในการเรียนรู้ และความคาดหวังว่าจะเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่อง แหล่งความรู้มีความดึงดูดใจ อดทนต่อการหา คำาตอบในสิ่งที่สงสัย ต้องยอมรับและใช้ประโยชน์ จากคำาวิจารณ์ นำาความสามารถด้านสติปัญญามา ใช้ มีความรับผิดชอบต่อการเรียนของตนเอง กล่าวคือเมื่อผู้เรียนต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ สิ่งใดต้องพยายามหาแหล่งความรู้ที่คาดว่าจะหาคำาตอบได้ อดทนต่อการหาคำาตอบเพื่อให้ได้ คำาตอบที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เรียนต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงปลาสวยงาม ผู้เรียน จะต้องพิจารณาว่าแหล่งใดจะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ เช่น สอบถามจากผู้รู้โดยตรง ศึกษา จากตำารา อินเทอร์เน็ต ฯลฯ และต้องพยายามเข้าถึงแหล่งนั้นเพื่อให้ได้คำาตอบที่สมบูรณ์ที่สุด 2. มีอัตมโนทัศน์ในด้านของการเป็นผู้เรียนที่มีประสิทธิภาพ มีความมั่นใจในการเรียนรู้ ด้วยตนเอง จัดเวลาสำาหรับการเรียนรู้ได้อย่างมีระเบียบวินัยต่อตนเอง มีความรู้ในด้านความจำาเป็น ในการเรียนรู้ และแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มีความคิดเห็นต่อตนเองว่าเป็นผู้ที่มีความอยากรู้ อยากเห็น ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำานำ้าสมุนไพร ผู้เรียนต้องมั่นใจในตนเอง ว่าจะสามารถจัดการเกี่ยวกับเวลาอย่างมีระเบียบวินัย และทราบถึงแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้ เป็นต้น 3. มีความคิดริเริ่มและเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสามารถติดตามปัญหายาก ๆ ได้ อย่างคล่องแคล่ว มีความปรารถนาต่อการเรียนรู้อยู่เสมอ ผู้เรียนชื่นชอบต่อการมีส่วนร่วมในการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ มีความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะทำางานด้วยตนเองได้ดี ชื่นชอบการเรียนรู้ มีความพอใจกับทักษะการอ่าน การทำาความเข้าใจ มีความรู้เกี่ยวกับแหล่งความรู้ต่าง ๆ มีความสามารถ ในการวางแผนการทำางานของตนเอง และมีความคิดริเริ่มในเรื่องการเริ่มต้นโครงการใหม่ ๆ
22 การเรียนรู้ด้วยตนเองให้ประสบผลสำ เร็จ ผู้เรียนจะต้องมีความคิดริเริ่มในการเรียนรู้ ด้วยตนเอง เช่น เมื่อต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการวาดภาพเหมือนก็จะต้องออกแบบและหาแนวทาง ว่าจะสามารถแสวงหาความรู้ได้อย่างไร จากแหล่งใด และโดยวิธีใด ผู้เรียนจะต้องทราบระดับสติปัญญา ของตนเอง 4. มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของ ตนเอง การมีทัศนะต่อตนเองในด้านสติปัญญา อยู่ในระดับปานกลางหรือสูงกว่า ยินดีต่อการศึกษา ในเรื่องยาก ๆ ในขอบเขตที่ตนสนใจ มีความเชื่อมั่น ต่อหน้าที่ในการสำ รวจตรวจสอบเกี่ยวกับการศึกษา ชื่นชอบที่จะมีบทบาทในการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความเชื่อมั่นต่อหน้าที่ใน การสำ รวจ ตรวจสอบเกี่ยวกับการศึกษา ชื่นชอบ การมีบทบาทในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วย ตนเอง มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง และมีความสามารถในการตัดสินความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ของตนเองได้ ผู้เรียนควรทราบถึงระดับสติปัญญาของตนเอง เมื่อพบกับเรื่องที่ ตนเองสนใจ แม้จะเป็นเรื่องที่ยากก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถศึกษาได้ด้วยการจัดการเรียนรู้ ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ 5. รักการเรียนรู้ มีความชื่นชมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ มีความปรารถนา อย่างแรงกล้า ในการเรียนรู้มีความสนุกสนานกับการสืบสวนหาความจริง การเรียนรู้ด้วยตนเองผู้เรียนจะต้องรู้สึกสนุกสนานกับการค้นคว้า ริเริ่มคิดหาวิธีการ แปลกใหม่ในการค้นคว้า เช่น เมื่อต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดนํ้าในประเทศไทย อาจเลือกวิธี การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ซึ่งสนุกสนานกว่าการเรียนรู้จากการอ่านหรือค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต 6. มีความคิดสร้างสรรค์มีความคิดที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้ดีสามารถคิดค้นวิธีการแปลกใหม่ การมีความคิดสร้างสรรค์ และมองโลก หลากหลายรูปแบบ สามารถคิดหาวิธีต่างๆ ได้หลายวิธีสำ หรับเรื่อง เพียงเรื่องเดียว การแสวงหาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจมีวิธีการหลายวิธี ผู้เรียนสามารถเลือกใช้วิธี ที่แปลกใหม่และมีประสิทธิภาพ 7. มองอนาคตในแง่ดี มีความเข้าใจว่า ตนเองเป็นผู้ที่มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีความสนุกสนาน ในการคิดเรื่องในอนาคต มีแนวโน้มในการมอง ปัญหาว่าเป็นสิ่งท้าทาย ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่าให้ หยุดกระทำ
บทที่ 1 : การเรียนรู้ด้วยตนเอง 23 การเรียนรู้ด้วยตนเองสามารถกระทำ ได้ตลอดเวลาและตลอดไป ไม่มีการหยุดยั้งเรียนรู้ จากเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องหนึ่ง อาจเป็นเรื่องเดิมที่ลึกซึ้งขึ้นหรือเป็นเรื่องใหม่ทั้งที่เกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเดิม การใช้ทักษะในการแก้ปัญหา 8. มีความสามารถในการใช้ทักษะ มี ความสามารถในการใช้ทักษะทางการศึกษาหาความรู้ และทักษะการแก้ปัญหา ทักษะพื้นฐานดังกล่าว ได้แก่ ทักษะการอ่าน ทักษะการฟัง ทักษะการเขียน ทักษะการจำ และทักษะในการแก้ปัญหา ทักษะของ บุคคลเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน ผู้เรียนจึงควร ฝึกฝนทักษะด้านต่าง ๆ ไว้อย่างครบถ้วน คำ ถามท้ายบทเรียน คำ ชี้แจง จงตอบคำ ถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. กระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองมีความสำ คัญอย่างไรและผู้ที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจะ มีลักษณะอย่างไร 2. ทักษะการแก้ปัญหาและเทคนิคในการเรียนรู้ด้วยตนเองมีอะไรบ้าง พร้อมกับยกตัวอย่าง มา 1 ทักษะ 3. การวางแผนในการเรียนรู้มีแนวทางการปฏิบัติอย่างไร 4. แฟ้มสะสมผลหมายถึงอะไร และมีวิธีประโยชน์อย่างไร 5. ปัจจัยใดบ้างที่จะทำ ให้การเรียนรู้ด้วยตนเองประสบความสำ เร็จ แบบทดสอบหลังเรียน 1. ข้อใดคือความหมายของการเรียนรู้ ก. การเรียนรู้เกิดจากสิ่งที่ครูผู้สอนบอก นักเรียน ข. การเรียนรู้ที่ผู้เรียนริเริ่มเรียนรู้ด้วย ตนเองตามความสนใจ ค. การเรียนรู้เกิดจากการลงมือทำ ง. การเรียนตามความพร้อม 2. ข้อใดไม่ใช่การเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก. การเรียน ข. การสังเกตการโยนลูกบาส ค. การสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ง. การฟังบรรยายในชั้นเรียน คำ ชี้แจง จงเลือกคำ ตอบที่ถูกต้องที่สุด
24 3. บุคคลใดต่อไปนี้ไม่มีทักษะการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ก. จิระชอบขับมอเตอร์ไซค์แถวบ้าน ข. นิสาชอบไปห้องสมุดประชาชนทุกวันเสาร์ ค. อมรศึกษาการซ่อมโทรศัพท์จากยูทูบ ง. นันทนาชอบเรียนทำอาหารจากยูทูบ 4. บุคคลใดมีทักษะในการฟังมากที่สุด ก. กานดานั่งฟังเพื่อนนำ เสนองานอย่าง ตั้งใจ ข. อนินทร์นั่งเหม่อลอยขณะเพื่อนพูด ค. สมดวงนั่งเล่นโทรศัพท์ขณะครูพูดอยู่ หน้าชั้นเรียน ง. วีระฟังเพื่อนพูดบ้างในบางครั้ง 5. ข้อใดไม่ใช่การฝึกตนเองให้เป็นผู้ที่มีทักษะ ในการอ่าน ก. พยายามทำ ความเข้าใจสาระสำ คัญของ สิ่งที่อ่าน ข. พยายามจับประเด็นสำ คัญของเนื้อหา ที่อ่าน ค. สรุปถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่าน ง. พยายามอ่านหลายรอบเพื่อทำ ความเข้าใจ 6. บุคคลต่อไปนี้มีทักษะการสังเกตยกเว้น บุคคลใด ก. สมใจจะเห็นคุณยายสมรเดินผ่าน มุมตลาดเสมอ ข. อนุรักษ์เห็นหนอนชอบกินใบไม้ ค. กบิณสังเกตเห็นพระบิณฑบาตผ่านหน้า บ้านตนทุก ๆ เจ็ดโมงเช้า ง. น้อยเห็นน้องลื่นล้มหน้าบ้าน 7. “ผู้เรียนจะต้องกำ หนดจุดมุ่งหมายใน การเรียนของตนเองทราบว่าการเรียนวิธีใด” มีความสัมพันธ์กับข้อใด ก. วิเคราะห์ความต้องการในการเรียน ข. ออกแบบแผนการเรียน ค. กำ หนดจุดมุ่งหมายในการเรียน ง. แสวงหาแหล่งวิทยาการ 8. การประเมินผลการเรียนรู้ควรคำ นึงถึง ข้อใดมากที่สุด ก. จุดประสงค์ของการเรียนรู้ ข. คะแนน ค. หลักการประเมิน ง. วิธีการประเมิน 9. การเก็บรวบรวมผลงานซึ่งบรรจุไว้ในแฟ้ม สะสมผลงานควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ ยกเว้น ข้อใด ก. ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในการคัดเลือก รายการต่าง ๆ ในแฟ้มสะสมผลงาน ข. ต้องมีเกณฑ์ในการคัดเลือก ตัดสิน ผลงาน ค. มีหลักฐานแสดงผลการประเมินตนเอง ง. ผลงานมีความเฉพาะเจาะจง 10. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของแฟ้มสะสม ผลงานผู้เรียน ก. คำ นำ สารบัญ ประวัติส่วนตัว ข. รูปแบบการจัดแฟ้มสะสมผลงาน ค. รายละเอียดของผลงานแต่ละชิ้น ง. เกณฑ์การตัดสินแฟ้มสะสมผลงาน