วิวัฒนาการ ของวิชาชีพ การพยาบาล สุปาณี เสนาดิสัย อรุณศรี เตชัสหงส์
สงวนลิขสิทธิ์ โดยโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประกอบการเรียนการสอนนี้ ได้รับการสงวนลิขสิทธิ์และคุ้มครองภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ รวมทั้งกฎหมายและสนธิสัญญาว่าด้วยทรัพย์สินปัญญา ห้ามมิให้ผู้ใดท้าการเผยแพร่ เปลี่ยนแปลงหรือท้าซ้้า มิฉะนั้นจะถูกด้าเนินคดีทางกฎหมาย
54 วิวัฒนาการของวิชาชีพการพยาบาล รองศาสตราจารย์สุปาณี เสนาดิสัย ผู ้ช่วยศาสตราจารย์อรุณศรี เตชัสหงส์ การศึกษาถึงประวัติการพยาบาลจะท าให้ผู ้อ่านทราบถึงวิวัฒนาการของวิชาชีพการพยาบาล ความยากล าบากและความพยายามของผู ้น าทางการพยาบาลในการที่จะพัฒนาวิชาชีพการพยาบาลให้มี ความเป็ นเอกลักษณ์ มีความเจริญและกา้วหนา้ข้ึน กอ่ ใหเ้กดิความรู้สึกรักและตระหนักถึงบทบาทของ ตนเองในการที่จะเป็ นส่วนหนึ่ งที่จะท าให้วิชาชีพการพยาบาลมีการพัฒนาตลอดเวลาท้งัน้ีเพื่อให้ ประชาชนมีสุขภาพดี การพยาบาลในสมัยดึกด าบรรพ์ การพยาบาลเป็ นศาสตร์และศิลป์เกา่แกป่ระเภทหน่ึงเกดิข้ึนดว้ยความจา เป็น มนุษย์ไมว่า่จะเป็น เชื้อชาติใด จะด ารงชีวิตอยู่ได้ต้องมีปัจจัย 4 ซึ่งได้แก ่ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค การป่ วยไข้ย่อมเก ิดได้ทุกครัวเรือน แต่ละครอบครัวมีบิดามารดาเป็ นผู ้คุ้มครองบุตร ต่างมีหน้าที่ช่วยก ัน พิทักษ์รักษาบุตร บิดาเป็ นหัวหน้าครอบครัว มีหน้าที่หาอาหารและคอยต่อสู้ศัตรูที่จะมาเบียดเบียน ซึ่ ง ในการหาอาหาร บิดาจะตอ้งละทิ้งบ้านอาจเป็นวนัหรือหลายๆวนัมารดาอยูบ่า้นจึงมีหนา้ที่คอยพิทกัษ์ รักษาและเลี้ ยงดูบุตรตามสามัญส านึก มารดาต้องรับภาระหน้าที่เพื่อให้บุตรและสมาชิกในครอบครัว ได้รับความสุขสบายและปลอดภัย ก ิจกรรมเหล่านี้ จะเก ี่ยวข้องก ับการดูแล เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่ อาศยัตลอดจนการดูแลเมื่อเจ็บป่วย ดังน้นัจะเห็นไดว้า่ผู้ใหก้ารพยาบาลคนแรกคือสตรีผูเ้ป็นมารดา การพยาบาลในสมัยน้นัจึงเกดิข้ึนจากสญัชาติญาณของมารดาที่มีอยูใ่นมนุษย์ความรู้สึกรับผิดชอบทา ให้ มนุษย์มีการช่วยเหลือซึ่งก ันและก ัน เป็ นการปฏิบัติด้วยวิธีง่ายๆ ไม่มีระเบียบแบบแผน การแพทย์และ การพยาบาลในยุคต้นๆแยกก ันไม่ออก อาจกระท าโดยบุคคลคนเดียว การแพทย์และการพยาบาลได้มา แยกกนัเมื่อการคน้ควา้ความรู้ทางดา้นวิทยาศาสตร์มากข้ึน โดยพยาบาลทา หนา้ที่ใหผู้ป้่วยไดร้ับความสุข สบายและปลอดภัยจากการรักษา ส่วนแพทย์มีหน้าที่ตรวจ วิเคราะห์ และรักษาโรค การที่มารดาสามารถดูแลบุคคลในครอบครัวไดน้ ้ัน ในระยะแรกๆกโ็ดยอาศัยสามัญสา นึก (common sense) ซึ่งในสัตว์เรียกว่า สัญชาตญาณ (instinct) เชน่แตง่แผลโดยการเลียแผล ลิ้นหยาบๆจะ กวาดลา้งสิ่งที่จะเขา้ไปในแผล สตัว์จะแชแ่ผลลงในน้า ที่ไหลเพื่อชว่ยล้างและระงับการอกัเสบ สุนัข แมว รักษาโรคท้องเดินโดยการก ินหญ้าบางชนิด และสัตว์บางชนิดช่วยพยาบาลสัตว์อื่นที่บาดเจ็บด้วย ดงัน้นัการดูแลรักษาพยาบาลจากมารดาในระยะน้ีจึงมีการลองผิดลองถูก เมื่อประสบความสา เร็จหรือ ลม้เหลวกจ็ดจา ไว้ซ่ึงท้งัน้ีนอกจากจะไดช้ว่ยครอบครัวตนเองแลว้ยงัไดช้ว่ยเหลือเพื่อนบา้นดว้ย ผูท้ี่มี
55 ความรู้ความช านาญในการช่วยให้ผู ้อื่นปลอดภัยจะได้รับความรัก ความนับถือ ยกย่อง และอยู่ในความ ทรงจา ของคนทวั่ ไป การพยาบาลที่ปฏิบัติก ันในยุคต้น เป็ นการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อให้เก ิดความสุขสบายและ ปลอดภัย เช่น การนวด การประคบด้วยความร้อน และ/หรือความเย็น และการช าระล้าง การแพทย์และการศาสนา ในสมัยก ่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็ นหลักแหล่ง มนุษย์มีความเชื่อว่ามีวิญญาณ แฝงอยูต่ามสรรพสิ่งของตา่งๆ เชน่ตน้ไม้แมน่้า ภูเขา สตัว์เหตุการณ์ตา่งๆที่เกดิข้ึนเป็นการบนัดาลของ เทพเจา้ความเจ็บป่วยที่เกดิข้ึนเป็นการกระทา ของภูตผีปีศาจการรักษาเป็นการภาวนา กราบไหวส้ิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง ขับไล่วิญญาณร้ายให้ออกจากร่างกายผู ้ป่ วย โดยการท าให้ผู ้เจ็บป่ วยหมดความสุข หรื อทุกข์ทรมานเพื่อไล่ปี ศาจไป เช่น ให้อดอาหาร ทุบตี ท าเสียงดัง ใช้ยาที่มีรสขม ปนขี้วัวและ ปัสสาวะของคน ความเชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิตนี้ท าให้เก ิดวิธีการทางไสยศาสตร์ในการรักษาโรค ผู ้ที่ท าการรักษาเป็ นผู ้ที่รู้จักสังเกตอาการต่างๆ มีความช านาญและสามารถช่วยระงับอาการต่างๆ ได้ เรี ยกว่า หมอ โดยมากมักเป็ นชาย เรียกว่า พ่อมด (medicine men)ถ้าเป็ นหญิงเรี ยก แม่มด (wise women) หมอที่ท าการรักษามักจะแสดงตนให้ผิดแปลกไปกว่าผู ้อื่น มีการแต่งกายที่ไม่เหมือนผู ้อื่น ใช้ คาถาอาคมและมีพิธีการตา่งๆ เพื่อทา ใหเ้กดิความเชื่อถือทา ใหพ้ิธีน้นัเกดิความศกัด์ิสิทธ์ิ ดังที่กล่าวแล้วว่ามนุษย์ในสมัยก ่อน เชื่อว่าการป่ วยไข้เก ิดจากการกระท าของภูตผีปี ศาจ มีการฝ่ า ฝืนความประสงค์ของเทพเจ้า เป็ นการละเมิดศีลธรรม ซึ่ งได้มีการกล่าวไว้ในศาสนาหลายศาสนา ดังเช่น ศาสนาของเปอร์เซียและฮินดู มีค าสอนที่เรี ยกว่า ศีลธรรมจรรยา ซึ่งบ่งไว้ชัดเจนว่า “ผู ้ประกอบ คุณความดี จะได้รับผลดีในชีวิต” ศาสนาคริสเตียนในสมัยกลางได้สอนไว้ว่า “โรคระบาดเก ิดจากความ บาปหนาของมนุษย์และตอ้งแกบ้าปดว้ยการประกอบคณุงามความดีอยา่งมากโรคน้นัจึงจะสงบ” จากความเชื่อและการคาดคะเนสาเหตุของโรคนี้ เอง ท าให้มีอิทธิพลต่อการรักษาพยาบาล การ พยาบาลจึงมีส่วนเก ี่ยวข้องก ับการศาสนาและวิทยาศาสตร์ มาอย่างใกล้ชิดในทุกยุคทุกสมัย และได้รับ อิทธิพลจากท้งัสองศาสตร์น้ีมาเป็นลา ดบั โรงพยาบาลในสมัยแรก เนื่องจากการแพทย์และศาสนามีความสมัพนัธ์กนัอยา่งใกลช้ิด ดงัน้นัโรงพยาบาลในสมยัแรกๆ จึงมักจะเป็ นโบสถ์ วิหาร หรือสถานที่เคารพอื่นๆ โรงพยาบาลจึงเป็ นสถานที่ที่ผู ้ป่ วยมาอ้อนวอนหรื อ สังเวยเทพเจ้า เป็ นที่พักอาศัยของผู ้ป่ วย ญาติและเพื่อนที่มาให้ความช่วยเหลือ ประวัติการแพทย์ ของอี ยิปต์ในสมัยต้น จาก 2,700-1,550ปีก ่อนคริสตศักราช มีหลักฐานที่เป็ น การบันทึกโดย Imhotep ซึ่งเป็ นศัลยแพทย์และนักสถาปัตย์ของฟาโรองค์หนึ่ง แสดงว่าได้เรียนรู้เก ี่ยวก ับ
56 กายวิภาคศาสตร์ โดยการช าแหละร่างกาย ท่านเป็ นเจ้าของต าราเรื่อง สมอง รู้ว่ามีหน้าที่ควบคุมการ ทา งานของร่างกาย ตา รากายวิภาคศาสตร์ฉบบัหน่ึงเขียนต้งัแต่4,800 ปี ก ่อนคริสตกาล ประมาณ 3,000 ปี ก ่อนคริ สตกาล อียิปต์เป็ นประเทศที่มีการศึกษาและสถาปัตยกรรมสูง มี ความก ้าวหน้าทางสุขาภิบาลดีมาก มีการเกบ็รักษาศพไมใ่หเ้นา่เปื่อยอาบน้ ายาและพนัผา้หอ่ศพที่เรียกว่า มัมมี่ โดยมีความเชื่อว่าวิญญาณที่ตายจะกลับมาเข้าร่างกายอีก อียิปต์เป็ นชาติแรกที่ท าการค้นคว้าสมุนไพร และยาต่างๆ เพื่อรักษาร่างกายไม่ให้ชราและมีอายุยืน ยิวโบราณ การแพทย์ของชาวยิวเข้าใจว่าถ่ายทอดมาจากอียิปต์ โดยพระศาสดาของศาสนาฮิบรู ว์ ชื่อ โมเสส ผู ้สร้างบัญญัติ 10 ประการข้ึน โมเสสได้รับการยกย่องว่าเป็ น “บิดาของการสุขาภิบาล” น า หลักการสุขาภิบาลมาใช้ก ับประชาชนในค่ายซึ่งมีมากกว่าล้านคน ซึ่งสอดคล้องก ับหลักการของวิธีการ สมัยใหม่ ศาสดาโมเสสได้ก าหนดข้อปฏิบัติเก ี่ยวก ับการป้ องก ันโรค ซึ่ งได้แก ่ การรักษาสุขอนามัย การพักผ่อน การนอนหลับ การใช้ผ้าปูที่นอนที่สะอาด การตรวจและเลือกอาหาร มีระเบียบการ รับประทานอาหาร มีการอนามัยชุมชน มีการวินิจฉยัโรคและรายงานเมื่อมีโรคติดตอ่เกดิข้ึน พวกยิว เป็ นพวกแรกที่หาทางต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บโดยมีเหตุผล พระต าแหน่งสูงท าหน้าที่ควบคุมการรักษาพยาบาล และสุขอนามัยทางสังคม (social hygiene) ในระยะน้ีเริ่มมีที่พกัใหผู้ป้่วยเป็นคร้ังแรก เปอร์ เซี ย ชาวเปอร์เชียนโบราณ มีบ้านให้ผู ้ป่ วยพัก และได้รับการปฏิบัติจากทาสท้งัชายและหญิง อินเดีย ฮินดูมีโรงพยาบาลหลายแห่งส าหรับผู ้เดินทางที่เจ็บป่ วยไปพักอาศัย มีแพทย์ที่ช านาญ เฉพาะโรครวมท้งัการผา่ตดัเอาบุตรออกทางหนา้ทอ้ง(caesarian section) ชาวฮินดูมีการปลูกฝี มาแต่สมัย ดึกดา บรรพ์มีการใชย้าชว่ยระงับปวดโดยใช้ฝิ่นและกญัชา (cannabis) เมื่อ 1,300-500 ปี ก ่อนคริสตกาล ลงักามีกษตัริย์องค์หน่ึงสร้างโรงพยาบาลข้ึนไวเ้มื่อ 1,500 ปี ก ่อนคริสตกาล ในสมยัน้ันผู้ที่เป็นพยาบาลจะต้องเป็นคนฉลาดรอบรู้เอาใจใสต่ ่อคนไข้มีร่างกายและจิตใจ บริสุทธิ์ รู้จักผสมยา รู้จักประกอบอาหารอย่างดี รู้จกัเสียสละ ช านาญในการอาบน้า ชา ระร่างกายให้ คนไข้ รู้จักนวดเฟ้ น และอุ้มคนไข้ คุณสมบัติเหล่านี้แสดงว่าต้องได้รับการอบรมที่ดีมาก ่อน ประมาณ 250 ปี ก ่อนคริ สตกาล พระเจ้าอโศกได้ส่งคณะแพทย์ไปเผยแพร่ที่ลังกา ได้ทรงสร้างที่พักส าหรับคน เดินทางและของสัตว์คล้ายโรงแรมและโรงรถและสร้างวิหารส าหรับสวดมนต์ ภาวนาและวิปั สสนา ส าหรับชายและหญิง นอกจากนี้ในคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย (Vedas, the sacred book) ได้ระบุเก ี่ยวก ับการรักษาทาง อายุรศาสตร์ ศัลยศาสตร์ การพันผ้า ยาพิษและวิธีแก ้ยาพิษ โรคทางประสาท โรคจิต โรคเด็ก โรค เก ี่ยวก ับทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ การอนามัยตลอดจนหลักการป้ องก ัน สอนถึงความสะอาด ในการคลอดบุตร อากาศโปร่ง หมอตา แยตอ้งตดัเล็บให้ส้นัอาบน้า ทุกวนัถา่ยอุจจาระทุกวัน แพทย์
57 ตอ้งตดัผมให้ส้นัสวมเสื้อขาว รักษาความลบัของผูป้่วย ใช้ยาที่มีกลิ่นหอมหวานในห้องผ่าตัด เพื่อไล่ ปี ศาจไม่ให้เข้าแผล แสดงว่าทฤษฎีเก ี่ยวก ับเชื้อโรคได้แฝงอยู่แล้ว จีน แพทย์จีนผู ้ให้ก าเนิดการแพทย์ของจีน และได้รับการยกย่องว่าเป็ นบิดาทางการแพทย์ของ จีน คือ Sage Sen Lung ซึ่งรู้ทางยา ใช้สมุนไพรและเกลือแร่ รู้เรื่องอวัยวะภายในได้ถูกต้อง ผลเนื่องจาก การช าแหละศพ รู้เก ี่ยวก ับระบบการไหลเวียนของร่างกาย แพทย์จีนในสมัยโบราณมีคติประจ าใจว่าให้ดู ฟัง ถาม และจับต้อง แพทย์จีนใช้วิธีแมะเป็ นส่วนใหญ่ จาง จุง จิง(Cheng Chung Ching) เมื่อ 200 ปี ก ่อน คริสตกาลเป็ นแพทย์คนแรกที่สวนอุจจาระโดยใช้ท่อไม้ไผ่ส้นัและกรอกน้ าเขา้ทางทวารหนกัหอ้งสมุด ทางการแพทย์ไดจ้ดัต้งัข้ึนในสมยัน้ีกายภาพบา บดัท ากนัมาก โรคซิฟิลิสและโกโนเรียเป็นโรคที่รู้จกักนั มาก การปลูกฝี ท าก ันใน 1,000 ปี ก ่อนคริสตกาล ในจีนใช้สาหร่ายทะเลรักษาโรคไทรอยด์ ตับปลา ส าหรับโรคปอด epinephrine สา หรับหืด ใชต้ ับในโรคโลหิตจาง น้า มนักระเบา (Chaulmoogra oil) ส าหรับโรคเรื้อน (Leprosy) เมื่อ 1,300 ปี ก ่อนคริสตกาล ศตวรรษที่1 มีศาลาสา หรับทา การรักษาต้งัอยูต่อ่จากวิหาร ศตวรรษที่2ญี่ปุ่นสง่คนไปศึกษาวิชาแพทย์ที่จีน ตอ่มาการนวดไดแ้พร่หลายในท้งัสองประเทศ แต่ทางยุโรปยังไม่รู้จกัวิธีจนกระทั่งใน 1,000 ปีต่อมา การอนามัยของจีนดีมากมีการดื่มน้า ชาจีนซ่ึง จา เป็นตอ้งใชน้้า ตม้สุกจึงเป็นการป้องกนัโรคลา ไสใ้นสมยัโบราณ กรี ซ ประมาณ 400 ปี ก ่อนคริสตกาล มีแพทย์ชื่อ ฮิปโปเครติส เป็ นแพทย์คนแรกที่กล่าวว่าการ เจ็บป่วยไม่ได้เก ิดจากภูตผีปี ศาจ แต่เป็ นเพราะมนุษย์ละเมิดกฎธรรมชาติ และมีหลักในการรักษาโดยหา เหตุแหง่การเจ็บป่วยและรักษาตามสาเหตุเป็นผูร้ิเริ่มแนวทางการรักษาแผนใหม่และไดร้ับการยกยอ่งว่า เป็ น “บิดาแห่งวงการแพทย์” ซึ่งได้วางแนวทางประกอบโรคศิลป์ เก ี่ยวก ับการรักษาไว้เป็ นหลักใหญ่ๆ ซึ่ ง ยังคงใช้ได้ในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้ 1. โรคภัยไข้เจ็บไม่ได้เก ิดจากภูตผีปี ศาจหรือโชคชะตา แต่เก ิดจากการที่มนุษย์ละเมิดกฎ ธรรมชาติ 2. ให้รู้จักใช้ความสังเกตคนไข้ ความหมายของท่าทาง สีหน้า การหายใจและอาการอื่นๆ โดยทวั่ ไป 3. ก าหนดวิธีการบันทึกประวัติผู ้ป่ วยและวิธีตรวจร่างกาย 4. ช้ีใหเ้ห็นความสา คญัของหนา้ที่ของร่างกายโดยทวั่ ไป 5. ใช้เหตุผลเก ี่ยวก ับการใช้ความร้อนประคบ การพยาบาลและอื่นๆ 6. สอนวา่ผูท้ี่มีไข้ควรรับประทานอาหารเหลว และควรเช็ดตวัดว้ยน้า เย็น 7. ความส าคัญในการรักษาความสะอาด ผ้าปูที่นอน เรียบและสะอาด 8. แนะนา ใหล้า้งปาก กล้วัคอใหผู้ป้่วย
58 9. ผู ้ป่ วยโรคหัวใจควรได้รับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและเป็ นเวลา 10. ผูป้่วยโรคไตใหด้ื่มน้า มากๆ 11. ผูป้่วยโรคจิตใหห้างานทา ใหฟ้ังดนตรีและสิ่งเพลิดเพลิน ฮิปโปเครติส เน้นความสะอาดและสุขสบายของผู ้ป่ วย ให้แนวคิดแก ่นักเรียนแพทย์ “ให้รักษา ผูป้่วยท้งัคน” ซึ่งเป็ นแนวคิดของการแพทย์สมัยปัจจุบัน ได้สอนให้แพทย์เก ิดความส านึกในหน้าที่ และ เก ียรติของแพทย์ต่อวิชาชีพ ให้มีความซื่อสัตย์ต่อเพื่อนผู ้ร่วมวิชาชีพ การแสดงตัวต่อเพื่อนร่วมงาน ซึ่ ง เก ี่ยวก ับความรับผิดชอบร่วมก ันในการให้บริการต่อผู ้ป่ วยให้ปลอดภยัทา่นไดบ้ญัญตัิคา ปฏิญาณข้ึนเพื่อ เป็ นอุดมการณ์และแนวปฏิบัติแก ่แพทย์ซึ่งค าปฏิญาณของฮิปโปเครติสยังคงใช้ในพิธีประสาทปริญญา ของบัณฑิตแพทย์ในปัจจุบัน อิทธิ พลของคริ สตศาสนาต่อการรักษาพยาบาล เมื่อศาสนาคริสต์อุบตัิข้ึน ณ เมืองเยรูซาเล็ม โดยมีพระเยซคูริสต์เป็นพระศาสดา ซึ่งในค าสอน ได้เน้นถึงการรักเพื่อนบ้าน โดยมีเมตตากรุ ณาช่วยเหลือซึ่ งก ันและก ัน มีการปฏิบัติทางด้านการ รักษาพยาบาลผู ้ป่ วยโดยท าเป็ นการกุศล คริสตศาสนาได้เผยแพร่เข้ามาในยุโรป และประชาชนในยุโรป เกอืบท้งัหมดกลายเป็นคริสตศาสนิกชนเมื่อประมาณปีค.ศ. 1000 ผู ้ที่นับถือศาสนาคริสต์เหล่านี้สมัครใจ ที่จะเป็ นผู ้รับใช้พระเจ้า ผู ้ที่ร ่ารวยก ็บริ จาคทาน ผู ้ที่ยากจนก ็อาสาสมัครท างานช่วยเหลือผู ้อื่นในรูปของ นกับุญ พระ และชีวดักลายเป็นแหลง่บริการทางสงัคม เป็นที่พ่ึงของประชาชนที่มีความทุกข์ท้ัง ทางด้านร่างกายและจิตใจ มีการสร้างโรงพยาบาลโดยมีพระและชีเป็ นผู ้ให้การดูแลรักษาพยาบาล มีกลุ่ม สตรี ผู ้ดีชาวโรมันหลายท่านมีความสามารถในการรักษาพยาบาล เป็ นผู ้น าในสังคม ฉลาดเฉลียว ได้ อุทิศวังและบ้านให้เป็ นวัดส าหรับสตรี เป็ นโรงพยาบาลส าหรับคนจนและคนเดินทาง บริจาคเงินและลง มือปฏิบัติการพยาบาลด้วยตนเองจนได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญพยาบาล เช่น St. Macella, St. Fabiola , St. Paula และ St. Helena กจิกรรมงานพยาบาล ได้แก่งานชา ระลา้งบาดแผล ป้อนอาหาร ให้ยา อาบน้ าผู้ป่วย การ รักษาพยาบาล นอกจากนี้ยังมีงานตัดขนแกะ ถูพื้น จุดไฟ ล้างผัก ล้างถว้ยชาม ดงัน้ันจะเห็นวา่งาน พยาบาลเป็ นงานที่หนัก ชีนิกายดีคอนเนส (Deaconesses) เป็ นกลุ่มหญิงกลุ่มแรกที่ได้ปฏิบัติงานช่วยเหลือโดยเฉพาะ ด้านการรักษาพยาบาล มีการแจกทาน แจกอาหาร และผ้าแก ่ผู ้อดอยาก ท าการเยี่ยมเยียนนักโทษและ ผู ้ป่ วยเจ็บตามบ้าน จึงนับได้ว่าเป็ นพยาบาลที่ท างานในชุมชนกลุ่มแรก (visiting nurse) ซึ่งต่อมาเรียกว่า public health nurse ในตอนแรกๆสตรีกลุม่น้ีไมไ่ด้สวมเครื่องแบบ ตอ่มาเมื่อปฏิบตัิกนัมากข้ึนจึงได้มี เครื่องหมายโดยสวมเสื้อให้ผิดแปลกไปจากคนอื่น Phoebe เป็ นแม่ชีนิกายเซนต์พอล เป็น Deaconesses คนแรกซึ่งได้ท าการช่วยเหลือคนจ านวน มากมาย นับว่าเธอเป็ นพยาบาลที่ออกเยี่ยมผู ้ป่ วยเป็ นคนแรกด้วย นอกจากนี้ ยังมี St. Olympias ซึ่ งเป็ น
59 สตรีหมา้ยและร่ ารวยมากไดส้ร้างอารามสา หรับชีข้ึนอารามหน่ึง มีญาติพี่น้องและเพื่อนมาปฏิบตัิงานเพื่อ รับใช้พระเจ้า ทาสของเธอได้รับการปลดปล่อยใหเ้ป็นอิสระ และใหโ้อกาสทาสเหลา่น้ันมาเป็นชีใน อารามของเธอด้วย ชีนิกาย Deaconesses ได้รับเก ียรติสูงส่งมาก มีความส าคัญอยู่หลายปี ต่อมาก ิจการก ็ได้เสื่อมลงที ละน้อยและเลิกก ิจการไปในที่สุดเมื่อประมาณ ค.ศ. 400และต่อมาภายหลังFliednerได้ฟื้นฟูข้ึนมาอีก คร้ังหน่ึง การศึกษาพยาบาลไดเ้ริ่มตน้ในราวศตวรรษที่ 6 โดยกลุ่มของบาทหลวงเบเนดิคแห่งเนอร์เซีย (Saint Benedict of Nersia) ได้จดัระบบผูเ้ริ่มหัดทา การรักษาพยาบาลเพื่อเตรียมคนให้เป็นพระซ่ึงถือ หน้าที่ในการดูแลผู ้ป่ วยเป็ นส าคัญ พระได้รับการยกย่องจากสังคมสูงมากเพราะถือว่าเป็ นตัวแทนของ พระเจา้ดังน้นัจึงมีอิทธิพลตอ่การรักษาพยาบาลมาก พระใชว้ิธีการรักษาโดยการสวดมนต์เสกเป่า ท า น้า มนต์ใชย้าพื้นบ้านและเคร่งพิธีกรรมทางศาสนามากกวา่กจิกรรมทางการแพทย์ทา ให้หลกัการทาง วิทยาศาสตร์ การแพทย์ของฮิปโปเครติสได้รับความสนใจน้อย และไม่ได้น ามาปฏิบัติหรื อค้นคว้าต่อ จนกระทงั่ถึงยุคกลาง การพยาบาลสมัยกลาง อิทธิพลที่เกยี่วกบัการพยาบาล นบัต้ังแตค่ริสตศาสนาต้งัตน้มา สิ่งที่ชว่ยคมุ้ครองรูปแบบของ การพยาบาล คือ ศาสนาและการทหาร ระหว่าง ค.ศ. 900 – 1500การศึกษาต่าง ๆ ได้มาจากทางการศาสนาแหล่งเดียว เนื่องจากใน สมยักอ่นยงัอา่นและเขียนไมไ่ด้เพราะฉะน้นัเป็นเวลาหลายร้อยปีที่วิชาความรู้ต่าง ๆ สอนโดยการบอก เลา่ฉะน้นัวิธีการเชน่น้ีบางสิ่งบางอยา่งอาจจะคลาดเคลื่อนโดยความเขา้ใจของผูร้ับฟังผู้ที่อา่นออกเขียน ได้มีน้อย ตลอดระยะเวลาสมัยกลางเป็ นพวกทางศาสนา ในสมัยนี้เป็ นพยาบาลชายเสียครึ่ งหนึ่ง เพราะถือ ว่าหญิงอื่นที่ให้การพยาบาลชายที่ไม่ใช่เครือญาติของตนเป็ นการไม่เหมาะสม ยุโรปสมัยต้นมีแพทย์น้อย บุรุษและสตรีที่กล้าหาญ เฉลียวฉลาด ได้ให้การรักษาพยาบาลผู ้ป่ วย ท้งัทางยา และทางผ่าตดัเมื่อมีการเจ็บไขเ้กดิข้ึนในครอบครัวซ่ึงบุคคลเหลา่น้ีบา้งกเ็ป็นสุภาพสตรีช้นัสูง ตลอดจนพระราชินีของประเทศ เมื่อบา้นเมืองขยายอาณาเขตใหญข่้ึน ผูป้่วยที่ยากจนเกดิปัญหาเมื่อมีการ เจ็บป่วยเกดิข้ึน จึงเกดิโรงพยาบาลสา หรับคนทวั่ ไปข้ึนเป็นการถาวร การแพทย์ ของอาหรับ ราชอาณาจักรอาหรับที่ยิ่งใหญ่จากสมยัต้นของศาสนาคริสต์ไปจนถึง ศตวรรษที่ 12 หรือ 13ได้สง่เสริมกจิการแพทย์อยา่งดีที่สุด ไดจ้ัดต้งัโรงพยาบาลที่ทันสมยัหลายแหง่ซ่ึง แพทย์เป็ นผู ้ควบคุม
60 โรงพยาบาลส าหรั บผู้แสวงบุญ หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศทางตะวันออกมีความเชื่อว่า การจาริ กไปในที่ที่มีความบริสุทธ์ิจะเป็นทางไปแสวงบุญนับต้ังแตจ่ากยุโรปไปเยรูซาเล็ม ซึ่ งตาม ระยะทางของผู ้ที่เดินทางไปแสวงบุญ ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต่าง ๆ อาจมีผู ้เจ็บป่ วยในการเดินทาง ฉะน้ัน จึงได้มีการจดัต้งัโรงพยาบาลข้ึนเพื่อเป็ นที่พักของผู ้ป่ วยไข้ที่ได้รับบาดเจ็บจากสัตว์ร้ายหรือโจรผู ้ร้าย สงครามครูเสด ประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 7 ศาสนาอิสลามไดอุ้บตัิข้ึน โดยมีพระโมฮมัหมัดเป็นศาสดา พวกมุสลิมมีความสนใจในทางการแพทย์ไดส้ร้างโรงพยาบาลใหญ่ๆข้ึนในเมืองแบกแดดและคอร์โคลา โดยให้สตรีเป็ นผู ้ท าการพยาบาลที่ง่าย ๆในโรงพยาบาล แต่ผดุงครรภ์ซึ่งไม่ได้รับการศึกษาอบรมเป็ นผู ้ท า คลอด ชาวมุสลิมเป็ นชาติแรกที่ใช้เอ็นวัวเย็บแผล และที่ส าคัญคืองานของฮิปโปเครติสและกาเลนได้ถูก แปลเป็ นภาษาอาหรับ ท าให้หลักการแพทย์ของฮิปโปเครติสได้มีหลักฐานสืบทอดให้ได้ศึกษาค้นคว้า ต่อไปได้ ศาสดาโมฮัมหมัดและคณะที่นับถือศาสนาอิสลามมีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนในโลกนี้ควรนับถือ ศาสนาอิสลาม มีความปรารถนาที่จะให้ประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์เปลี่ยนมานับถือศาสนา อิสลามโดยเฉพาะในอาณาจักรไบแซนทีน (Byzantine) ในประเทศอียิปต์แอฟริกา สเปน และฝรั่งเศส ทา ใหเ้กดิสงครามข้ึนที่เรียกวา่สงครามครูเสด ซ่ึงเป็นสงครามศาสนาที่เกดิข้ึนระหวา่งคริสตศตวรรษที่ 11–13 (ค.ศ. 1096 – 1271) โดยมีสาเหตุเพื่อแย่งสุสานของพระคริสต์ที่เยรูซาเล็มคืนมาจากการปกครอง ของพวกมุสลิม การเดินทางไปเป็ นร้อยๆไมล์จากยุโรปตะวันตกท าให้ผู ้คนเจ็บป่ วยล้มตาย ตาม ประวัติศาสตร์กล่าวว่าสงครามนี้ มีมากกว่า 7 คร้ัง ยืดเยื้อกวา่ 200 ปี มีการล้มตายและเจ็บป่ วย อดอยาก ก ันมาก จึงมีความจ าเป็ นที่จะต้องมีโรงพยาบาลไว้ตามเส้นทางที่ชาวคริสเตียนเดินทัพไปต่อสู้ก ับชาว มุสลิม มีพระและชีรวมตวักนัต้งันิกายการพยาบาลข้ึนในกองทัพ ทา ให้พยาบาลตองรับระเบียบวินัยใน ้ การทา งานแบบทหารซ่ึงกลายเป็นลกัษณะหน่ึงของพยาบาล คือการปฏิบตัิตามคา สงั่ของผูบ้งัคบับญัชา ผลลัพธ์ส าคัญของสงครามศาสนาจึงเก ิดการค้าขายระหว่างยุโรปและตะวันออกกลางซึ่ งมี เครื่องเทศ เครื่องหอม ผลไม้แปลก ๆ แพรพรรณ ผ้า พรม และได้เรียนรู้ถึงขนบธรรมเนียม ภาษา และไดม้ีการแตง่งานกนัข้ึน เหตุเหลา่น้ีไดท้า ใหเ้กดิความเขา้ใจและอดทนซ่ึงกนัและกนั กิจกรรมของพยาบาลทั้งหมด คือ วินัย ได้รับจากทหาร และศาสนามีการบังคับบัญชาตามล าดับ ข้นัเชน่ผูน้อ้ยลุกข้ึนยืนใหผู้ใ้หญเ่ป็นตน้ ดังที่กล่าวข้างต้นแล้ววา่เมื่อคริสตศาสนาอุบตัิข้ึนน้นัผูท้ี่ทา การพยาบาลกระทา โดยอาสาสมคัร ซึ่งโดยมากจะเป็ นพระและชี ชาวยุโรปและกลุ่มประเทศในเครือจักรภพอังกฤษจึงเรียกพยาบาลว่า Sister ทา นองเดียวกบัเรียกแมช่ ีมาจนกระทงั่ปัจจุบนั วิวัฒนาการของเครื่ องแบบพยาบาล ได้จากการปฏิบัติทางศาสนา หมวกขาว ลงแป้ งแข็ง มาจากชีนิกาย Deaconesses
61 เสื้อคลุมหรือผ้าคล้องคอ (hood) สามารถยกข้ึนคลุมศีรษะและหนา้ได้ การคลุมศีรษะ และการตัดผมส้ัน เพื่อป้องกนัโรคติดตอ่บางชนิด และป้องกนัสิ่งสกปรกจาก ผมตกไปที่ผู ้ป่ วย และเพื่อให้เก ิดความสะอาดเรียบร้อยสงบเสงี่ยม เครื่องแบบพยาบาลในห้องผ่าตัด เป็ นเครื่ องแบบที่เลียนแบบมาจากเครื่องแต่งกายทางศาสนา เป็นส่วนมาก โรคติดต่อท้ังหลายเชื่อกนัว่าพระผู้เป็นเจ้าบันดาลข้ึน ไม่สามารถจะควบคมุไดท้ ้ังน้ี เนื่องจากการปราศจากความรู้และความสกปรกตา่ง ๆ เชน่น้า อาหารไมส่ะอาด การก าจัดขยะมูลฝอย ที่ไม่ถูกวิธีไม่มีทางระบายอากาศและน้า ไม่มีอากาศสดชื่นในฤดูหนาว คนจะมีอายุส้ันมากประมาณ 30 ปี เมื่อคริสตกาล 1400 โรงพยาบาลเกา่แกใ่นยุโรป ซ่ึงคงดา เนินกจิการอยูจ่นสมยัน้ีได้แก่โรงพยาบาลในฝรั่งเศส ซ่ึง ปกครองโดยคณะสงฆ์เป็ นเวลานาน ได้เน้นถึงความส าคัญในด้านจิตใจของผู ้ป่ วยมากกว่าทางกาย พยาบาลในโรงพยาบาลเป็นสตรีที่เคร่งศาสนา เสียสละอุทิศชีวิตเพื่อทา บุญแตย่ ังไมไ่ดเ้ป็นชีในคร้ังแรก เพราะยังไม่ได้ปฏิญาณตัวและยังไม่มีเครื่องแบบ ยุคมืดมนของการพยาบาล ระหว่างปี ค.ศ. 1400–1600 เป็ นยุคที่มีการฟื้ นฟูวิทยาการใหม่ ๆ (Renaissance) มีการพัฒนา ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี การเมือง และวิทยาศาสตร์การแพทย์ โลกมีการเปลี่ยนแปลงและ ก ้าวหน้ามาก เช่น คริสโตเฟอร์โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา มาร์โคโปโลเดินทางจากอิตาลีถึงจีนและ กลับไปอิตาลี มีการประดิษฐ์ เครื่องพิมพ์ดีดในปี ค.ศ. 1438 มีการเปิ ดมหาวิทยาลัยท าให้การศึกษา ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว หลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ของฮิปโปเครติสถูกน ามาศึกษา อีกคร้ังหน่ึง มีการปฏิรูปทางคริสต์ศาสนาโดยผูน้า ชาวเยอรมนัชื่อมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) ได้ ต้งนิกายโปรเตสแตนต์ ั (Protestant) แยกออกมาจากนิกายโรมันคาทอลิก นิกายโปรแตสแตนต์ได้แผ่ขยาย ไปทวั่ โดยเฉพาะในประเทศเยอรมัน ฮอลแลนด์ และอังกฤษ การแตกแยกทางศาสนาท าให้เก ิดภาวะ ระส ่าระสายกระทบกระเทือนการพยาบาลมาก มีการปิ ดวัดคาทอลิกหลายแห่งและยุบต าแหน่งพยาบาล ชายเก ือบหมด นิกายชีทางการพยาบาลหลายนิกายต้องถูกล้มเลิก การบริการที่จัดโดยวัดเสื่อมลง รัฐบาล และเทศบาลตอ้งเขา้ดา เนินงานในโรงพยาบาลเพื่อบริการผูป้่วย มีการสร้างโรงพยาบาลชมุชนข้ึน กลุ่ม อาสาสมัครต่างๆก ็ค่อยๆล้มเลิกไป ไม่มีสตรี ที่มีความรู้เฉลียวฉลาดหรือมีเก ียรติค นใดยอมเข้ามา ปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลที่ปฏิบัติงานก ็ได้รับความอดอยาก ท างานหนักเก ินตัว ถูกกดขี่ ที่อยู่อาศัย สกปรก แน่นแออัดจนไม่มีผู ้ใดสมัครเป็ นพยาบาลยกเว้นผู ้ที่ท างานอย่างอื่นไม่ได้แล้ว พยาบาลขาด ความช านาญและศีลธรรมจรรยา การพยาบาลจึงตกอยู่ในยุคมืดจนกระทงั่ถึงศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ. 1630 เซนด์วินเซนท์ เดอ พอล(St. Vincent de Paul)เป็ นบุรุษที่มีใจบุญอย่างสูงได้เปิ ด สถาบันที่เกยี่วกบัสมาคมของสตรีที่จะทา การกศุลเยี่ยมเยียนผูป้่วยตามบ้าน ชว่ยเหลือผูป้่วยเจ็บ กอ่ต้ัง นิกายพยาบาลที่เรี ยก Sister of Charity โดยสมาชิกต้องเป็ นคนเฉลียวฉลาด สุภาพเรี ยบร้อย ความ
62 ประพฤติดีมีความสนใจจริงที่จะชว่ยเหลือผูป้่วยที่ยากจน สมาชิกในนิกายน้ีมีท้งัเด็กและผูใ้หญ่มีการ จดัอบรมท้ังการชว่ยเหลือดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลและออกเยี่ยมผูป้่วยตามบา้น เซนต์หลุยส์เดอ มา รีลลา (St. Louise de Marilla) เป็ นสตรีม่ายของครอบครัวขุนนางซึ่งด าเนินชีวิตและกระท าแต่ความดี มีพื้นฐานการศึกษาดี ได้เป็ นผู ้จัดการนิกายนี้ เธอได้วางรากฐานเขียนค าแนะน าไว้เป็ นแนวทาง ปฏิบตัิงานของสมาชิก มีแนวความคิดที่จะปรับปรุงบริการพยาบาลและใหก้ารศึกษาท้งัแกส่ตรีและบุรุ ษ ในการปฏิบัติงานพยาบาล ซึ่ งมิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Miss Florence Nightingale) ได้เคยไปเยี่ยม สังเกตระบบการบริ การพยาบาลในโรงพยาบาลของนิกายพยาบาล ซิสเตอร์ ออฟ แชร์ริ ตี้ (Sister of Charity)ในฝรั่งเศสอยูร่ะยะหน่ึง การพยาบาลยุคก่อนมิสไนติงเกล ในปี ค.ศ. 1836 ปาสเตอร์ ทิวดอร์ ไฟลด์เนอร์ (Pasteur Theoder Fliedners) และภรรยา ได้ สร้างโรงพยาบาลข้ึนที่เมืองไกเซอร์เวิท ต้ังอยูร่ ิมฝั่งแมน่้า ไรน์ในประเทศเยอรมนัเพื่อเป็นการฟื้นฟู นิกายพยาบาลดีคอนเนส (Deaconesses) โดยมีมิสซิสเฟรดเดอริค ไฟลด์เนอร์(Mrs. Frederick Fleidners) เป็ นครูใหญ่ ผู ้สมัครต้องเป็ นสตรี มีอายุอย่างน้อย 18 ปี มีสุขภาพดี นับว่าเป็ นโปรแกรมการศึกษาเพื่อ เตรียมพยาบาลที่มีระบบระเบียบเป็นแหง่แรกและดีที่สุดในสมยัน้ัน ในการจดัการศึกษาน้ีผูส้มัครเข้า เรียนต้องผ่านระยะการทดลอง 3 เดือน เมื่อผ่านระยะนี้ แล้วจึงเข้าเรียนในหลักสูตร 3 ปี มีการสอบ ภาคทฤษฎีและนกัเรียนต้องข้ึนฝึกปฏิบตัิกบัผู้ป่วย สว่นใหญ่เป็นการอาบน้า ทา เตียง ซกัเสื้อผา้ดูแล ความสะอาด ท าอาหารและปฏิบัติการพยาบาลทุกประเภท นักเรียนต้องสวมเครื่ องแบบและได้รับ เงินเดือนเล็กน้อย มีการสอนจรรยาพยาบาลและศาสนารวมอยู่ด้วย มิสซิสไฟลด์เนอร์ ได้พยายามรวมส่วนดีของการปฏิบัติแบบเก ่าและแบบใหม่เข้าด้วยก ัน โครงสร้างของการศึกษายังรวมอยู่ก ับศาสนา ชีดีคอนเนสปฏิบัติงานโดยไม่มีเงิ นเดือน แต่ได้รับ สวัสดิการที่พักอาศัยและอาหารโดยไม่ต้องเสียเงิน การปฏิบัติงานของชีดีคอนเนสต้องอยู่ภายใตค้า สั่ง และการควบคุมของแพทย์และพระในชุมชน ในสมยัน้นัการพยาบาลในประเทศอเมริกาไมไ่ด้มีการพฒันาการรักษาพยาบาลในกลุม่คาทอลิก จะอยูใ่นสภาวะที่ดีกว่ากลุม่ โปรเตสแตนต์เนื่องจากพระและชีซ่ึงเป็นชาวฝรั่งเศสและสเปนอพยพเขา้ไป อยู่ในสหรัฐอเมริกา ไดช้ว่ยใหก้ารพยาบาลข้นัต้นแกชุ่มชน ในสมยัน้นัยงัไมม่ ีกระทรวงสาธารณสุข มี เศษขยะอยูท่ ั่วไปบนถนน น้า ประปาสกปรก ผูค้นมีสภาพสกปรก ไมม่ ีสถานที่อาบน้า สาธารณะ มีหมัด หนูเหา แมลงวนัอยูใ่นบา้นของทุกช้นัในสงัคม ในตอนต้นศตวรรษที่ 18 นี้ ในทวีปอเมริกาเหนือ โรงพยาบาลจะมีผูป้่วยแนน่ขนดัเตียงผูป้่วยต้ัง ติดก ันมากจนไม่อาจรักษาความสะอาดได้ คนที่ท าการพยาบาลเป็ นสตรีแก ่หรื อสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาน่า เกลียด ไม่มีสมรรถภาพในการให้การพยาบาล มีการขาดแคลนผู ้ที่จะมาให้การพยาบาลมาก ผู ้บริ หาร บา้นเมืองจึงออกคา สงั่ ให้นักโทษสตรีมาให้การพยาบาลในโรงพยาบาลของเทศบาล
63 ในประเทศอังกฤษ มีการขาดแคลนพยาบาลอย่างรุนแรงมาก พยาบาลต้องท างานหนักมาก เงินเดือนน้อย สตรีที่เข้ามาเป็ นพยาบาลเป็ นคนยากจนที่หางานท าไม่ได้ ท างานเพื่อเงินอย่างเดียว ไม่ได้ มีจิตใจที่จะเข้ามาช่วยเหลือผู ้ป่ วย บางคนประพฤติตวัเสื่อมเสีย ดื่มเหลา้เมาสุราขณะปฏิบัติงาน ทอดทิ้ง ผู ้ป่ วย ทะเลาะก ับผู ้ป่ วยหรือวิวาทก ันเอง เห็นแก ่ตัว การพยาบาลตกต ่ามาก ดังจะเห็นว่า ชาร์ลส์ ดิค เก ้นส์ (Charles Dickens) นักประพันธ์ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงได้เขียนบทละครเรื่ อง แซรี่ แกมท์ (Sairey Gamp) และเบสซี พริก (Besty Prig) ในปี ค.ศ. 1844 บทละครแสดงให้เห็นถึงความเลวร้าย ของพยาบาลในสมัยน้นัเป็นพยาบาล 2 คนที่โง่เขลา ใจด า ดื่มสุราขณะปฏิบัติงาน รักความสนุก ครื้นเครงแม้ขณะให้การพยาบาลผู ้ป่ วยที่ใกล้ตาย จึงมักเรียกพยาบาลที่ไมด่ ีท้งัหลายวา่แซรี่ แกมท์ ซึ่งบท ละครนี้ ยังอยู่ในจิตใจของประชาชนและมีอิทธิพลที่ท าให้ประชาชนสนใจและพยายามที่จะแก ้ไข ปรับปรุง การพยาบาลยุคมิสไนติงเกล มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล เก ิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.1820 ณ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ท่านเป็ นบุตรสาวคนสุดท้องในจ านวน 2 คน ของมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ มีสถานภาพทางสังคมสูงมาก เป็นตระกูลที่มีความซื่อสตัย์สุจริต มีอุดมคติสูง มีจิตใจสูง ชื่อของท่านต้งัตามชื่อเมืองที่เกดิเมื่ออายุได้ 5 ปี บิดามารดาได้กลับคืนมายังประเทศอังกฤษ ท่านได้รับการศึกษาอย่างสูงและดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ใน ขณะน้นัทา่นไดเ้รียนภาษาละตินกรีก พูดภาษาอิตาเลียน ฝรั่งเศส และเยอรมันได้คล่องแคล่ว ขณะที่มิสไนติงเกลยังเด็ก ท่านชอบดูแลให้การพยาบาลสัตว์ที่เลี้ยงในบ้าน เมื่ออายุ 9 ปี ท่านได้ แสดงความจ านงที่จะท าประโยชน์ให้แก ่ผู ้ป่ วย และเมื่ออยู่ในระยะวัยรุ่น ท่านได้ไปเยี่ยมเยียนผู ้ป่ วยและ ช่วยพยาบาลเพื่อนบ้านที่ยากจนตลอดจนญาติของท่านที่ป่ วยเจ็บ ท่านจะอาสาเข้าช่วยเหลือเต็มที่ เมื่ออายุได้ 20 ปี ท่านได้ขออนุญาตบิดามารดาให้ส่งท่านเข้าเรียนวิชาพยาบาล แต่ไม่ได้รับ อนุญาตเนื่องจากบิดามารดาของท่านทราบดีวา่การพยาบาลในขณะน้นัอยูใ่นสภาพที่เลวร้าย คนที่เป็น พยาบาลกล็ว้นเป็นบุคคลช้ันต่า มารยาทหยาบคาย มิสไนติงเกลรู้สึกเสียใจมากแตไ่ม่กลา้ขดัขืน ทา่นมี ความเชื่อมนั่ว่าชีวิตที่แทจ้ริงตอ้งเป็นชีวิตที่ต้องบ าเพ็ญประโยชน์ใหแ้กเ่พื่อนมนุษย์ทา่นเป็นผูท้ี่เคร่ง ศาสนามาก มีความเชื่อว่าการปฏิบัติงานให้แก ่เพื่อนมนุษย์ก ็เหมือนก ับท าให้พระผู ้เป็ นเจ้า เมื่อท่านอายุได้ 24 ปี มิสไนติงเกลได้ตัดสินใจอย่างแน่นอนที่จะศึกษาวิชาพยาบาล แต่ ครอบครัวของท่านไม่เห็นด้วย บิดามารดามีความปรารถนาจะให้ท่านได้แต่งงานและอยู่บ้านตามที่บุคคล ในครอบครัวและสังคมช้นัสูงขณะน้นั ปฏิบตัิกนั ไดพ้ยายามปลอบโยนชกัจูงใหท้า่นเปลี่ยนความคิดโดย พาไปท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ให้หันไปสนใจงานสังคมต่าง ๆ ท่านได้เรี ยนดนตรี ใน ประเทศอิตาลีพร้อมท้งัไดแ้สดงดนตรีและร้องเพลง ไดพ้บคนสา คญัๆ มากมาย ไดเข้าสมาคมที่ปารี ส ้ มิสไนติงเกล ได้พยายามปลุกตนเองให้สนใจชีวิตในสังคมเพื่อให้เป็ นที่ถูกใจบิดามารดา แต่ในที่สุดท่าน
64 กไ็มส่ามารถเลิกลม้ความต้ังใจของทา่นได้และในขณะที่ทา่นเดินทางกไ็ดข้อเข้าเยี่ยมชมโรงพยาบาลตา่ง ๆ ในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนัเบลเยี่ยมและอิตาลี ในปี ค.ศ. 1850 เมื่อท่านอายุได้ 30 ปี ท่านได้ไปเยี่ยมโรงพยาบาลที่ไกเซอร์ เวิท ประเทศ เยอรมัน และได้พักอยู่ 2 สัปดาห์ เนื่องจากท่านเคยได้ยินก ิตติศัพท์เก ี่ยวก ับงานของชีนิกายดีคอนนิส ซึ่ ง ปาสเตอร์ทิวดอร์ไฟลด์เนอร์ไดฟ้ื้นฟูข้ึน ในปีตอ่มาคือ ค.ศ. 1851 ท่านได้สมัครเข้ารับการอบรมวิชา พยาบาลที่นี่เป็ นเวลา 3 เดือน และไดฝ้ึกปฏิบตัิงานกบันิกายซิสเตอร์ออฟ แชร์ริต้ีในประเทศฝรั่งเศส ท่านได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะท างานพยาบาลเมื่ออายุ 32 ปี โดยครอบครัวของท่านไม่สามารถทัดทานได้ ต่อไป หมดหวังที่จะให้ท่านแต่งงาน จึงยอมให้ท่านด าเนินชีวิตตามที่ท่านปรารถนา บิดาของท่านได้ มอบเงินให้ท่านเป็ นปี ๆ ละ 2,500 ดอลลาร์ จากประวัติทราบว่าชีวิตของมิสไนติงเกลมีสุภาพบุรุษที่มีฐานะดี มีเก ียรติมาชอบหลายคน แต่ ท่านปฏิเสธ มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่ งเป็ นคนดีมากซึ่งรู้สึกว่าท่านก ็คงชอบเหมือนก ัน ได้พยายามขอให้ ท่านแต่งงานด้วยเป็ นเวลาหลายปี แต่ไม่ส าเร็จ เนื่องจากท่านคิดถึงงานที่ท่านต้ังใจจะทา อยา่งแนว่แน่ เป็นเหตุให้สุภาพบุรุษท่านน้ันได้หันเข้าทางศาสนา และอาสาไปเป็นนักสอนศาสนาให้กบัชาว อินเดียนแดงในภาคกลางของประเทศแคนาดา ซึ่งขณะน้นัยงัอยูใ่นระยะป่าเถื่อนมาก การที่มิสไนติงเกลมีความมุง่มั่นที่จะท างานให้การพยาบาล ชว่ยเหลือประชาชนน้นัอาจเป็น เพราะเหตุผล 3 ประการคือ 1. ท่านเป็ นผู ้มีสภาวะจิตใจดี เคร่งในศาสนา 2. สภาพการพยาบาลขณะน้นัเลวร้ายและไดร้ับการกระตุน้จากบทละครของ ชาร์ลส์ดิคเก ้นส์ (Charles Dickens) 3. ท่านสนใจและศรัทธาในการท างานของชีนิกายดีคอนนิส งานของมิสไนติงเกลที่สา คญั ไดเ้ริ่มเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1853 ท่านได้รับต าแหน่งให้ดูแล สถานที่พักฟื้นสุภาพสตรีที่ป่วยซ่ึงต้งัอยู่ที่คาเวนดิช สแควร์ (Cavendesh Square) ในกรุ งลอนดอน การทา งานของทา่นมุง่ที่จะใหผู้ป้่วยไดร้ับความสุขและมีสวสัดิภาพที่ดีโดยใหม้ีอากาศบริสุทธ์ิมีการเพิ่ม เงินเดือนใหแ้กพ่ยาบาล การพยาบาลในขณะน้นัมีการอาบน้า ใหผู้ป้่วย การเช็ดถูทา ความสะอาดพื้น การซักเสื้อผ้าผู ้ป่ วยรวมอยู่ด้วย ท่านได้ขยายงานพยาบาลออกไปถึงการพักฟื้ นหลังจากที่ผู ้ป่ วยกลับไปอยู่ บ้านโดยจัดหางานให้ท า ท่านต้องมีกลวิธีที่จะท าให้แพทย์และคณะกรรมการบริหารของโรงพยาบาล เห็นด้วยก ับท่านในการจัดระเบียบต่างๆเพื่อเป็ นประโยชน์แก ่ผู ้ป่ วย ท่านได้เข้าร่วมเป็ นกรรมการในการ จดัต้งัสถานบริการพยาบาลสา หรับสุภาพสตรีที่เจ็บป่ วย ผลงานของท่านได้รับการยกย่องมาก ต่อมาท่าน ได้รับการติดต่อให้ไปช่วยปฏิรูปงานพยาบาลที่โรงพยาบาลคิงส์ คอลเลจ (King’s College Hospital) ใน ระหว่างที่เตรี ยมการจะรับหน้าที่นี้ ท่านได้รับเชิญให้ไปช่วยจัดบริ การพยาบาลแก ่ทหารที่บาดเจ็บใน กองทัพอังกฤษในสงครามไครเมีย
65 สงครามไครเมียเป็นสงครามระหว่างประเทศสหภาพโซเวียตกบัประเทศองักฤษ ฝรั่งเศสและ ตุรก ี ในระหว่าง ค.ศ. 1854 – 1856 ที่แหลมไครเมีย ทะเลดา กองทพัฝรั่งเศสไดม้ีชีนิกายซีสเตอร์ออฟ แชร์ริต้ีติดตามไปในกองทพัทา ใหท้หารฝรั่งเศสที่บาดเจ็บไดร้ับการดูแลเป็ นอย่างดี แต่กองทัพอังกฤษมี แต่พลทหารไม่ได้รับการอบรมฝึ กหัดในการดูแลผู ้ป่ วย ท าให้ทหารอังกฤษบาดเจ็บล้มตายเป็ นจ านวนมาก โดยเฉพาะตายด้วยโรคติดต่อ เช่น โรคบิด ไทฟอยด์และโรคติดเชื้ออื่นๆ ด้วยอัตราสูงถึงร้อยละ 42 เซอร์ซิดนีย์ เฮอร์เบิร์ท (Sir Sidney Herbert) รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ ซึ่งมิสไนติงเกลรู้จักเป็ นการ ส่วนตัวอยู่แล้ว ได้มอบหมายให้มิสไนติงเกลไปช่วยจัดบริการพยาบาลในกองทัพ และท่านสนับสนุน งานของมิสไนติงเกล มิสไนติงเกลได้เตรียมงานโดยคดัเลือกพยาบาลที่จะไปทา งานจา นวนท้ังสิ้น 38 คน ซึ่งเป็ นชี ทางศาสนาคาธอลิก แองลิก ัน (Anglican) พยาบาลจากโรงพยาบาลเซนต์จอนห์เฮาส์ และจากที่อื่น ๆ ท่านและคณะได้ออกเดินทางเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1854 ไปที่เมืองสคิวตารี่ (Scutari) ที่แหลมไคร เมียโดยทางเรือ เมื่อเดินทางไปถึงทา่นพบวา่ทหารที่บาดเจ็บน้นัอยูก่นัอยางแออัดมาก โรงพยาบาลควร ่ บรรจุผู ้ป่ วยได้ 1,700 คน แตข่ณะน้นัมีทหารบาดเจ็บประมาณ 3,000 – 4,000 คน สถานที่สกปรก การ สุขาภิบาลไม่ดี ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่เพียงพอ ผู ้ป่ วยนอนบนพื้นเนื่องจากมีเตียงไม่พอ มีผ้าปูที่นอน น้อยมาก ทหารที่บาดเจ็บส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเครื่องแบบที่มีเลือดติดแข็งกรัง นอกจากนี้ท่านพบว่าไม่มี ของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จ าเป็ น เช่น อ่างล้างหน้า สบู่ ผ้าเช็ดตัว มีด ส้อม ทหารรับประทานอาหารด้วย มือ อาหารที่แจกใหแ้กผู่บ้าดเจ็บกเ็ป็นอาหารที่แทบรับประทานไมไ่ด้การแจกอาหารแตล่ะคร้ังใชเ้วลา ถึง 4 ชวั่ โมง ตอนกลางคืนไมม่ ีพยาบาลดูแล ผู้ป่วยถูกทอดทิ้งใหอ้ยูต่ามลา พงันอกจากน้ีทา่นพบวา่ที่ พักของพยาบาลเองสกปรก อยู่ก ันอย่างแออัด พยาบาลต้องรับประทานอาหารในค่ายทหารเพราะไม่มี สถานที่รับประทาน อย่างไรก ็ตามท่านยังมีปัญหาใหญ่ที่ต้องเผชิญในการท างานคร้ังน้ีนนั่คือการตอ่ต้านสว่นใหญ่ ของแพทย์ในกองทัพ เพราะแพทย์เหล่านี้เคยแต่ท างานก ับผู ้ให้การพยาบาลที่ไม่เคยได้รับการอบรม และ คิดว่าท่านและคณะเป็ นผู ้ที่เข้ามายุ่งและท าให้เก ิดความยากล าบาก แต่ท่านก ็ได้พยายามปฏิบัติงานของ ทา่นดว้ยความต้งัใจมุง่มนั่และเด็ดเดี่ยวทันที ท่านได้ด าเนินกุศโลบายแนะน าพยาบาลของท่านให้ท างานเฉพาะก ับแพทย์ที่ยินดีและเต็มใจที่ ทา่นและคณะเข้ามาทา งาน และไม่ทา งานใหแ้กก่ลุม่แพทย์ที่ตอ่ต้านจนกวา่แพทย์เหลา่น้ันจะร้องขอ ความช่วยเหลือ ท้งัน้ีท่านตระหนกัวา่งานจะไม่เป็นผลส าเร็จหากท่านไม่ได้รับความร่วมมือ ซึ่งการ กระท าของท่านมีพยาบาลในคณะของท่านบางคนต่อต้าน เนื่องจากไม่เข้าใจในนโยบายของท่าน และ ในที่สุดท่านก ็ได้รับการยอมรับ ท่านพยายามจัดหาของใช้ที่จ าเป็ นซึ่งท่านพบว่าของใช้เหล่านี้บ้างก ็ถูก ส่งไปผิดที่ บ้างก ็กองอยู่ใต้เครื่องสรรพาวุธหรือหยิบออกมาไม่ไ ด้ ระบบการเบิกจ่ายยุ่งยากล่าช้า หาก ทา่นไมส่ามารถหาของเครื่องใช้เหลา่น้ีไดเ้ร็วพอ ท่านกจ็ะใชง้บประมาณของทา่นรวมท้ังติดตอ่มายัง เซอร์ซิดนีย์ เฮอร์เบิร์ ท และครอบครัวของท่านเพื่อหาผู ้บริจาค ท่านและคณะได้จัดท าความสะอาดหอ
66 ผู ้ป่ วย เครื่องนอน เสื้อผ้า แยกผู ้ป่วยโรคติดตอ่ ไดจ้ดัต้งัโรงซกัฟอกข้ึน 1 แห่ง โดยให้ภรรยาทหารช่วย ด าเนินการ เปิ ดโรงครัวท าอาหาร 5 แห่ง ท าการซ่อมแซมตึกซึ่งมีสภาพไม่น่าดูเหล่านี้ก ่อนที่ทางกรุ ง ลอนดอนจะสง่คณะกรรมการมาสา รวจสถานที่หลงัจากที่ทา่นไดท้า รายงานข้ึนไป ทางด้านการบริหารงาน ท่านได้จัดพยาบาลที่มีความรู้ความช านาญน้อยให้อยู่ใกล้ท่าน ผู ้ที่มี ความรู้ความสามารถและรับผิดชอบสูงให้ปฏิบัติงานในที่ต่างๆ กล่าวยกย่องชมเชยผู ้ที่ปฏิบัติงานดีเด่น ท่านจัดระบบบริการพยาบาลใหม่ ช่วยเหลือและแนะน าพยาบาลให้ท างานอย่างเต็มความสามารถ อดทน มีระเบียบวินัย จัดสวัสดิการด้านอื่น ๆ เช่น ห้องอ่านหนังสือ ห้องพักผ่อน ห้องพักของภรรยาทหารที่ ติดตามสามีมาในกองทัพ เขียนจดหมายถึงครอบครัวทหารที่ป่ วยหนัก ในเวลากลางคืนท่านได้เดินเยี่ยม ตรวจทหารที่บาดเจ็บโดยถือตะเก ียงดูอาการป่ วย ท าให้ทหารเหล่านี้เก ิดความอบอุ่นใจ ประทับใจ มิสไนติงเกลใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ในการปฏิรูปโรงพยาบาลจนเป็ นผลส าเร็จ ในระยะเวลา 6 เดือน ท่านสามารถลดอัตราการตายของทหารลงเหลือร้อยละ2 จากเดิมร้อยละ42 ท่านได้จัดห้องช าแหละ ศพ (autopsy) ส าหรับแพทย์ด้วยทุนของท่านเอง งานของท่านท าให้ทหารในกองทัพทุกระดับเก ิดความ ประทับใจ ลองเฟลโล (Long Fellow) นักประพันธ์ชาวอังกฤษ ได้ประพันธ์โคลงชื่อว่า ซานตา ฟิโลมิ นา (Santa Felomena) เพื่อสรรเสริญคุณงามความดีและความเสียสละของมิสไนติงเกล ซึ่งเป็ นที่รู้จัก ของคนทวั่ ไปวา่ “Lady of the Lamp” ในฤดูร้อน ค.ศ. 1855 มิสไนติงเกลและชีฝ่ ายคาทอลิก 3 คน ได้เดินทางเยี่ยมตรวจโรงพยาบาล สนามที่เมืองบาแลคลาวา (Balaklava) ในแหลมไครเมีย ทา่นไดอ้อกสา รวจโดยละเอียดพร้อมท้ังได้ วางแผนงาน ปรากฏว่าท่านได้ล้มป่ วยก ่อนที่จะได้ด าเนินงานด้วยโรคไข้รากสากน้อย มีอาการหนักมาก เหล่าทหารพากนัร้องไหเ้มื่อทราบขา่ว คนองักฤษท้งัประเทศวิตกในอาการของทา่น เมื่ออาการดีข้ึนทา่น กลับไปยังเมืองสคิวตารี่ ในปี ค.ศ. 1856 สงครามสงบ โรงพยาบาลปิดกจิการลงทีละแห่งพยาบาลท้งัหมดกลบั ประเทศ อังกฤษ มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกลกลับเป็ นคนสุดท้ายเมื่อเดือนกรกฎาคม 1856 รวมเวลาที่ท่านท างานอยู่ใน สงครามไครเมียประมาณ 2 ปี โรงเรี ยนพยาบาลไนติงเกล หลังจากสงครามสงบ เซอร์ซิดนีย์ เฮอร์ เบิร์ท ได้พยายามที่จะช่วย ยกระดบัฐานะของการพยาบาล เพื่อเป็นการเทอดเกยีรติมิสฟลอเรนซ์ไนติงเกล ทา่นไดแ้นะนา ใหต้้ัง ทุนส าหรับให้การศึกษาพยาบาล ซ่ึงมีประชาชนชาวองักฤษ รวมท้ังทหารองักฤษได้ร่วมกนับริจาคได้ เงินถึง 40,000 ปอนด์ซ่ึงนบัวา่เป็นจา นวนมากในขณะน้นัต้ังชื่อวา่มูลนิธิไนติงเกล มิสไนติงเกลไดเ้ลือก โรงพยาบาลเซนต์โทมัส (St. Thomas’ Hospital) ที่กรุ งลอนดอนเป็ นสถานที่เปิ ดโรงเรียนพยาบาลแผน ใหม่ซึ่งต้งัชื่อวา่ โรงเรียนพยาบาลไนติงเกลเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.1860เป็นโรงเรียนพยาบาลแหง่แรกใน โลกที่มีทุนเป็นของตนเองโดยเฉพาะ ซ่ึงแยกออกจากงบประมาณของโรงพยาบาลต้ังแตเ่ริ่มต้งัต้น จนกระทั่งปัจจุบันท่านได้เลือกมิสซิสวอร์ดรอปเปอร์(Mrs.Wardroper) เป็ นผู ้อ านวยการโรงเรี ยน
67 เนื่องจากท่านมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง แต่ท่านท าหน้าที่เป็ นที่ปรึ กษา ก าหนดนโยบาย วิธีด าเนินงาน คัดเลือกนักเรียนและให้ค าแนะน าในรายระเอียดต่าง ๆ อยู่หลายปี ในระยะแรกมีแพทย์เพียงร้อยละ 4 เทา่น้นัที่เห็นดว้ยกบัแผนการศึกษาพยาบาลแบบใหมท่ ี่ทา่น ไดจ้ดัต้ังข้ึน ส่วนมากมีความคิดว่า “พยาบาลท าหน้าที่คล้ายแม่บ้านหรื อคนรับใช้ในบ้าน เพียงแต่สอน ให้รู้จักท าความสะอาด และปรนนิบัติผู ้ป่ วยเมื่อต้องการความช่วยเหลือ ผู ้ที่เป็ นพยาบาลควรมีอายุวัย กลางคน หรือเคยแตง่งานแล้ว และเคยผ่านชีวิตที่ลา บากในครอบครัวมาแล้วยิ่งดี” ในการด าเนินงาน ของโรงเรียน ท่านได้พบก ับอุปสรรคต่าง ๆ ในระยะ 10 ปีแรก ในที่สุดกลุ่มแพทย์เหล่าน้นักย็อมรับ และเชื่อถือในแผนการศึกษาแบบใหม่ของท่านว่า “พยาบาลที่ได้รับการอบรมฝึ กหัดที่ดี เป็ นผู ้ที่ไว้วางใจ ได้ในการปฏิบัติการพยาบาล ให้ความร่วมมือก ับแพทย์ในการดูแลผู ้ป่ วยได้อย่างดีที่สุดผู ้ป่ วยเก ิดความ เชื่อถือ และท าให้การด าเนินงานในการดูแลผู ้ป่ วยเป็ นระเบียบเรียบร้อย” ในปี ค.ศ. 1860 เป็ นปี แรกที่เปิ ดท าการสอน ได้รับนักเรี ยนรุ่นแรกจ านวน 15 คน ทุกคนมี อายุ 25 ปีข้ึนไป หลกัสูตรการศึกษาระยะเวลา 1 ปี และต้องท างานในโรงพยาบาลอีก 3 ปี เพื่อความ ช านาญ มีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากโดยเฉพาะด้านหอพัก เพื่อต้องการให้ผู ้ปกครองแน่ใจว่าการเรียน พยาบาลน้นั ปลอดภยัและไวใ้จได้ทา่นทา การคดัเลือกนกัเรียนโดยพิจารณาถึงบุคลิกลักษณะ คณุสมบัติ ส่วนตัว ความสามารถของแต่ละบุคคล ต้องอ่านและเขียนได้ดี พยาบาลที่ส าเร็ จในรุ่นแรก ๆ มีความ ฉลาดเฉียบแหลม จิตใจดี และมีอารมณ์แจ่มใส ดังจะเห็นว่าศิษย์ของท่านเหล่านี้ได้ถูกเลือกเป็ นหัวหน้า พยาบาล หรือผู ้อ านวยการโรงเรียนพยาบาลในประเทศต่าง ๆ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สก ็อตแลนด์ มิสไนติงเกลได้วางแผนจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรโดยให้มีการเรียนภาคทฤษฎีและฝึ ก ปฏิบัติบนหอผู ้ป่ วย สอนให้รู้จักใช้เหตุผลในการปฏิบัติการพยาบาล มีการบันทึกประสบการณ์การเรียน ของนักเรียนเก ็บไว้เป็ นหลักฐาน มีการประเมินผลโดยให้นักเรี ยนรายงานผลการปฏิบัติ ซึ่งจัดว่าเป็ น ส่วนหนึ่งของประสบการณ์การศึกษา ท่านมิได้น าก ิจกรรมการท าความสะอาดพื้น การซักผ้า ซึ่ งทาง โรงเรียนชีดีคอนนิสถือเป็ นงานหลักมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนของท่านเลย นับว่าเป็ นการ ยกระดับมาตรฐานการศึกษาพยาบาลจากความเข้าใจที่ว่า พยาบาลเป็ นคนรับใช้มาสู่งานในระดับวิชาชีพ ได้เป็ นผลส าเร็จ ในระยะตอ่มาหลกัสูตรการศึกษาไดข้ยายเวลาเพิ่มข้ึนเป็น 2 – 3 ปีท้งัน้ีข้ึนอยูก่บัความรู้ พื้นฐานของนักเรียน ในระยะเวลาที่มิสซิสวอร์ดดรอปเปอร์ เป็ นผู ้อ านวยการโรงเรี ยนซึ่งนานกว่า 25 ปี ได้ผลิต พยาบาลประมาณ 500 คน ซึ่งพยาบาลเหล่าน้ีไดอ้อกไปชว่ยต้งัโรงเรียนพยาบาลแหง่ ใหมข่้ึนหลายแห่ง ท้งัในประเทศองักฤษและตา่งประเทศ ซ่ึงทา ใหก้ารพยาบาลแผนใหมข่องมิสฟลอเรนซ์ไนติงเกล เป็น ที่ยอมรับทวั่ โลก
68 งานของมิสไนติงเกลที่ส าคัญอื่น ๆ 1. บทความเรื่องการด าเนินงานเพื่อก ่อให้เก ิดประสิทธิภาพทางด้านสุขภาพและการบริหาร โรงพยาบาลในกองทัพอังกฤษ (Notes affections the health efficiency and hospital administration of the British army) ท่านไดเ้ขียนข้ึนทูลเกลา้ถวายสมเด็จพระบรมราชินีและสง่ ใหแ้กค่ณะรัฐมนตรี ในประเทศองักฤษ ท้ังน้ีเนื่องจากขณะที่ท่านปฏิบัติงานในสงครามไครเมียร์ ท่านเก ิดความประทับใจว่า มีทหารที่บาดเจ็บต้องตายไปเป็นจา นวนมากท้ังๆที่สาเหตุการตายสามารถป้องกนัได้บทความของทา่น เป็ นเรื่องที่เก ี่ยวก ับการบริหารและด าเนินการในโรงพยาบาลในระหว่างสงคราม ได้แนะน าเก ี่ยวก ับการ รักษาสุขภาพของทหาร ซึ่งหลายประเทศได้น าข้อคิดของท่านไปใช้ จึงถือได้ว่าเป็ นงานที่ส าคัญที่สุดอีก งานหนึ่ง 2. งานสุขาภิบาลในประเทศอินเดีย ท่านได้สร้างโครงการด้านสาธารณสุขในประเทศอินเดียเพื่อ ช่วยให้ประชาชนอินเดียได้มีสุขาภิบาลที่ดี ซึ่งโครงการดังกล่าวได้มีคณะกรรมการฝ่ ายขุนนางคณะหนึ่ง (Royal Commission) รับไปด าเนินการ แต่ไม่ปรากฏชื่อของท่านในโครงการนี้ 3. หนังสือเรื่ องบันทึกเก ี่ยวก ับโรงพยาบาล (Notes on Hospital) ซึ่ งได้เขียนเก ี่ยวก ับการจัด แผนผังการสุขาภิบาลในโรงพยาบาลให้เหมาะสม การจัดของเครื่องใช้ที่จ าเป็ นส าหรับการรักษาพยาบาล ในโรงพยาบาล เป็ นการปฏิรูปการก ่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ 4. หนังสือเรื่ องบันทึกเก ี่ยวก ับพยาบาล (Notes on Nursing) ใช้เป็ นมาตรฐานในการอบรม พยาบาลถึง 50 ปี ในหนังสือเล่มนี้มีประเด็นที่ส าคัญเก ี่ยวก ับการพยาบาลหลายประเด็นดังนี้ 4.1การจดัสิ่งแวดลอ้มที่ดีซ่ึงประกอบดว้ยอากาศที่บริสุทธิ์ แสงสว่างที่พอเหมาะ ความ อบอุ่นเพียงพอ ความสะอาด ความสงบเงียบ การเลือกและจัดอาหารที่เหมาะสมแก ่ผู ้ป่ วย 4.2ความสัมพันธ์ของจิตใจต่อร่างกาย ทา่นกล่าววา่สิ่งที่เกดิข้ึนตอ่ร่างกายน้นัมีความ เก ี่ยวข้องก ับจิตใจ 4.3 พยาบาลที่ดีต้องรู้จักสังเกตอาการของผู ้ป่ วยได้ถูกต้อง เพื่อช่วยให้เก ิดความปลอดภัย และได้รับความสุขสบาย 4.4 นกัเรียนพยาบาลควรไดเ้รียนรู้จากสิ่งที่เป็นจริงมากกว่าใชก้ารสมมตินนั่คือควรได้ ฝึ กการให้การพยาบาลก ับผู ้ป่ วยจริง ๆ มีการสอนข้างเตียง ไม่ใช่เรียนจากต าราอย่างเดียว 4.5 พยาบาลต้องพยาบาลผู ้ป่ วยไม่ใช่พยาบาลไข้ 4.6 พยาบาลไม่ควรละเลยการฝึ กปฏิบัติเทคนิคการพยาบาลต่างๆ เช่น การเปลี่ยนท่า นอน การดูแลความสะอาดร่างกาย การเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ผู ้ป่ วย นอกจากนี้ท่านยังได้เป็ นที่ปรึกษาของกองทัพอังกฤษในการแก ้ไขปั ญหาด้านโรงพยาบาล และ การพยาบาลซึ่งรวมถึงการก ่อสร้าง การจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ และวิธีบริหารโรงพยาบาล ท่านได้ช่วย วางแผนในการด าเนินการของโรงเรียนพยาบาลหลายแห่ง ในจ านวนผู ้ที่มาขอค าปรึ กษาจากท่าน มี มิสเตอร์ วิลเลี่ยม แรทโบน (William Rathbone) ได้มาขอค าแนะน าเก ี่ยวก ับการจัดบริ การพยาบาลใน
69 บ้านที่เมืองลิเวอร์ พูล ซึ่งท าให้มิสเตอร์ วิลเลี่ยม แรทโบนขยายและปรับปรุ งบริการห้องพักผู ้ป่ วยใน โรงงานอุตสาหกรรม โดยมีพยาบาลที่ส าเร็จจากโรงเรียนพยาบาลไนติงเกลเป็ นผู ้รับผิดชอบด าเนินการ นบัไดว้า่เป็นการเริ่มตน้ของการพยาบาลชมุชน หลักการศึ กษาพยาบาลของมิสไนติ งเกล ท่านมีหลักเก ี่ยวก ับการจัดการศึกษาพยาบาล ดังต่อไปนี้ คือ 1. ต้องเป็ นอาชีพเก ี่ยวก ับศาสนาหรือมนุษยธรรม 2. การพยาบาลเป็นท้งัวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์มีความเปลี่ยนแปลงกา้วหนา้อยูเ่สมอ 3. ในการจัดการศึกษาพยาบาล พยาบาลควรฝึ กในโรงพยาบาลที่มีระเบียบ และมีวัตถุประสงค์ ที่ถูกต้อง 4. พยาบาลควรมีสถานที่อยู่ อาทิ บ้าน หอพักที่ดี มีระเบียบวินัย เพื่อสามารถบ าเพ็ญชีวิต และอยู่ในศีลธรรมอันดี 5. ผู ้อ านวยการโรงเรียนพยาบาลควรเป็ นพยาบาลและมีสิทธิ์ปกครองเต็มที่ 6. แบ่งการศึกษาพยาบาลและบริการพยาบาลได้อย่างชัดเจน มิสไนติงเกลคัดคา้นการสอบเพื่อข้ึนทะเบียนประกอบโรคศิลปะ เพราะท่านเชื่อว่าการสอบไม่ สามารถวัดประสิทธิภาพการพยาบาลได้นอกจากน้ีทา่นเชื่อวา่การเมืองมีอิทธิพลอนัยิ่งใหญต่ ่อการ อ านวยความสุขของมนุษย์ จะเห็นวา่งานของมิสไนติงเกลไดเ้ป็นที่ยอมรับทวั่ โลกแมท้า่นจะมีสุขภาพไม่คอ่ยแข็งแรงแต่ ท่านก ็ท างานหนัก ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก ่งานพยาบาลตลอดชีวิตของท่านจนถึงอายุประมาณ 80 ปี (ค.ศ. 1900) ต่อมาสายตาและสมองของท่านไม่เอื้ออ านวยให้ท่านท างานได้ ท่านได้ถึงแก ่กรรมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1910 มีอายุได้ 90 ปี ความก้าวหน้าของการพยาบาลในอาณาจักรบริเทนใหญ่ ในระยะ 10 ปีต่อมาจากที่ได้ต้งัโรงเรียนพยาบาลไนติงเกล คือในราว ค.ศ. 1870 ระหว่างที่ ประเทศสหรัฐอเมริกาไดเ้ริ่มตน้ สร้างโรงเรียนพยาบาล ในอาณาจักรบริเทนใหญก่ ไ็ดเ้พิ่มโรงเรียน พยาบาลข้ึนมาก โดยเฉพาะในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ที่อยูใ่นเมืองสา คญัๆ ถึงแมแ้พทย์สว่นใหญจ่ะไม่เห็น ดว้ยและมีการคดัคา้นอยา่งรุนแรงหลายคร้ังกต็าม ตลอดจนประชาชนยงัสงสัยวา่สตรีจะเป็นพยาบาลได้ จริงหรือไม่ดังน้นับุคคลที่เป็นผูอ้ านวยการโรงเรียนพยาบาลเหลา่น้ีจึงตอ้งเป็นคนที่เขม้แข็ง อดทน มี บุคลิกลักษณะที่เหมาะสม และมีเจตนารมย์ที่แน่วแน่ในการพัฒนาวิชาชีพการพยาบาล พร้อมที่จะรับฟั ง ค าติชมต่าง ๆ ด้วยความอดทน ค.ศ. 1877 โรงเรียนพยาบาลเซนต์ บาร์ โทโลมิว (St. Bartholomew’s Nursing School) แห่ง ลอนดอนเป็ นโรงเรียนตัวอย่าง อยู่ภายใต้การอ านวยการของหัวหน้าพยาบาล ซึ่ งไม่เห็นด้วยก ับการ พยาบาลแบบเก ่าที่พยาบาลบางคน อ่านหนังสือไม่ออก พยาบาลเป็นแต่เพียงคนรับใช้เท่าน้ัน และ
70 พยาบาลไม่ได้รับการอบรมและต้องท างานหนักมาก แพทย์เป็ นผู ้วัดปรอท ฉีดยาใต้ผิวหนัง เปลี่ยนเตียง ผู ้ป่ วยกระดูกหัก ในระหว่างนี้ ได้มีพยาบาลที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ไปสร้างงานพยาบาลแผนใหม่ในประเทศ ต่างๆ อาทิ มิสมาร์กาเรต ฮักส์เลย์ (Margaret Huxley) ไปที่เมืองดับบลิน ประเทศไอร์แลนด์ มิสแอนนี่ ครอฟ (Annie Crop) ไปประเทศนิวซีแลนด์และได้เปิ ดโรงพยาบาลในประเทศนี้อีก 5 ปี ต่อมา มิสอ ลิส ฟิ ช เชอร์ (Alice Fisher) จาก โรงเรี ยน พ ยาบ าลไน ติงเก ลไป รัฐ ฟิ ล าเด ลเฟี ย ป ระเท ศ สหรัฐอเมริกาเพื่อเปิ ดโรงเรียนพยาบาลที่โรงพยาบาลบลอคเลย์ (Blockley) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็ น ซึ่ ง เป็ นโรงพยาบาลฟิ ลาเดลเฟี ย (Philadelphia General Hospital) ก ่อนท่านถึงแก ่กรรม 2 – 3 ปี ได้สร้าง งานที่มีประโยชน์อยา่งยิ่งที่โรงเรียนพยาบาลแห่งนี้ ค.ศ. 1885 เลดี้ ดับเฟริน (Lady Dufferin) ได้เดินทางไปประเทศอินเดียในฐานะที่เป็ นภรรยา ของข้าหลวงใหญ่ประจ าประเทศอินเดีย ท่านได้รับพระราชเสาวนีย์จากสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียให้ เอาใจใส่ดูแลความเจ็บป่ วยของสตรีชาวอินเดีย ท่านรายงานถึงความต้องการด้านการแพทย์ของสตรี อินเดียเหลา่น้ีจึงไดเ้กดิการต้งักองทุนกอ้นใหญโ่ดยชื่อว่าทุนดบัเฟรินเพื่อชว่ยเหลือดา้นการแพทย์แก่ สตรี อินเดีย บรรดาเชื้อพระวงศ์และข้าราชการได้ร่วมก ันบริจาคเงินทุนที่ท าให้สตรีอินเดียได้รับการ รักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่ วย ท าให้มีสตรีและพยาบาลจ า นวนร้อยๆ คนเข้าร่วมปฏิบัติงาน ซึ่งในที่สุด ประเทศอินเดียซ่ึงเป็นประเทศที่ใหญไ่ดม้ีโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์โรงเรียนพยาบาล ซ่ึงเป็นการริเริ่ม และด าเนินมาจนถึงปัจจุบัน เลดี้ดับเฟริ นถึงแก ่กรรมเมื่อ ค.ศ. 1936 มีอายุ 93 ปี บุตรี ของท่านชื่อ เลดี้ พล้ังเกต (Lady Plunket) และสามีของท่านเป็ นผู ้สนใจและส่งเสริ มงานด้านสวัสดิการเด็ก (Children Welfare) ในประเทศนิวซีแลนด์ต่อมา มิสเอทิล กอร์ดอน แมนสัน (Ethel Gordon Manson) เป็ นบุตรสาวสวยของครอบครัวที่ร ่ารวย ศึกษาส าเร็ จวิชาพยาบาลและมีต าแหน่งเป็ นหัวหน้าพยาบาลในโรงพยาบาลลอนดอน ท่านเป็ นผู ้น าที่จัด ระเบียบเก ี่ยวก ับการพยาบาลโดยได้ฟันฝ่ าอุปสรรคต่างๆมากมาย ค.ศ. 1881 ท่านได้รับเลือกเป็ นหัวหน้า พยาบาลที่โรงพยาบาลเซนต์บาร์โทโลมิว ท่านได้คัดพยาบาลที่ไม่ได้รับการอบรมออกและจัดวางรากฐาน เพื่อใหโ้รงเรียนพยาบาลมนั่คงจนเป็นผลสา เร็จ ค.ศ. 1887ท่านได้สมรสก ับดอกเตอร์ เบคฟอร์ ด เฟนวิค (Dr. Bedford Fenwich)ท้งั 2 ท่านได้ช่วยก ันพัฒนาวิชาชีพการพยาบาลให้เจริ ญก ้าวหน้าและมีความ มนั่คง ทา่นได้อบรมพยาบาลให้ขยัน ให้การพยาบาลผู้ป่วยอย่างดีเลิศ ใหก้ารพยาบาลอยา่งมีทักษะ ทา่นไดร้ิเริ่มกอ่ต้งัสมาคมพยาบาลแหง่ ประเทศองักฤษ ซ่ึงไดร้ับพระบรมราชานุญาตใหต้้งัข้ึนเมื่อปีค.ศ. 1893 นบัวา่เป็นคร้ังแรกที่วิชาชีพการพยาบาลไดร้ับการคุ้มครอง นอกจากน้ีใน ค.ศ.1894 ไดจ้ดัต้งัสภา การพยาบาลอังกฤษ (The Matron’s Council of Great Britain) ซึ่ งเป็ นองค์กรที่ควบคุมการศึกษา พยาบาลแห่งชาติและท่านยังให้ความร่วมมือในการจัดต้ังการศึกษาพยาบาลระดบัชาติ(National of Nursing Education)ของประเทศสหรัฐอเมริกา ยิ่งไปกวา่น้ัน ในปีค.ศ. 1893 ท่านยังได้จัดท าหนังสือ เก ี่ยวก ับการพยาบาลชื่อ The Nursing Time ต่อมาเปลี่ยนเป็ นวารสารได้ชื่อว่า The British Journal of
71 Nursing ซึ่งวารสารนี้ใช้เป็ นการสื่อข่าวความเคลื่อนไหวและเป็ นกระบอกเสียงให้สมาคมพยาบาลแห่ง ประเทศอังกฤษและสภาการพยาบาลอังกฤษ ท่านได้ถึงแก ่กรรมเมื่อ ค.ศ. 1947 มีอายุได้ 91 ปี การจดทะเบียนประกอบโรคศิลปะ สมาคมพยาบาลแห่งประเทศอังกฤษได้มีโครงการที่จะเสนอ ให้มีการจดทะเบียนประกอบโรคศิลปะ แต่ถูกคัดค้านจากบรรดาแพท ย์และเจ้าหน้าที่ต่างๆใน โรงพยาบาล รวมท้ังมิสฟลอเรนซ์ไนติงเกลดว้ย ท าใหโ้ครงการน้ีตอ้งหยุดชะงักไปชวั่ระยะเวลาหน่ึง ต่อมาในปี ค.ศ. 1904 ได้มีการเสนอกฎหมายนี้ ไปยังรัฐสภาเพื่อขอจดทะเบียนประกอบโรคศิลปะ แต่ ตอ้งพ่ายแพ้และเสนออีกคร้ังในปีค.ศ. 1910 และกพ็ ่ายแพ้คะแนนเสียงอีกจนกระทงั่ ในปีค.ศ. 1919 หลงัสงครามโลกคร้ังที่1 สภาจึงอนุมัติให้กฎหมายผ่านสภาได้โดยมีข้อความยอมให้มีคณะกรรมการ สอบไล่ซึ่งประกอบไปด้วยพยาบาลที่มีจ านวนมากกว่าอาชีพอื่น ๆ ค.ศ. 1946 มีพยาบาลที่จดทะเบียนประกอบโรคศิลปะแล้วประมาณ 130,000 คน มีโรงเรียน พยาบาลที่รับรองแล้วเก ือบ 900 โรงเรียน เป็ นโรงเรียนสหศึกษาประมาณ 85 โรงเรียน โรงเรียนชาย โดยเฉพาะประมาณ 20 โรงเรียน ในช่วงระยะของมิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ได้มีการพัฒนาทางด้านการพยาบาลมากมาย อาทิมี การพยาบาลสาธารณสุข (public health nurse) ใน ค.ศ. 1865 การพยาบาลเยี่ยมบ้าน (visiting nurse program) ใน ค.ศ. 1874 การพยาบาลต าบล (district nursing) ใน ค.ศ. 1887 การพยาบาลในโรงเรียน ใน ค.ศ. 1892 การพยาบาลในโรงงานอุตสาหกรรม ใน ค.ศ. 1875 การสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาล ใน ค.ศ. 1890มีการต้ังสถาบันการศึกษาเพื่อฝึกอบรมผดุงครรภ์ใน ค.ศ.1881 และมีกฎหมายฉบับแรกที่ ควบคุมการผดุงครรภ์ ใน ค.ศ. 1902 มีการพยาบาลพิเศษ การศึกษาเก ี่ยวก ับการพยาบาลผู ้ป่ วยโรคจิต การพยาบาลในกองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ ใน ค.ศ. 1945 และมีโรงเรียนผู ้ช่วยพยาบาลที่ ได้รับการรับรองเก ือบ 20 โรงเรียน ประวัติการพยาบาลในประเทศไทย การพยาบาลไทยสมัยอดีต ประมาณ 2,800 ปีกอ่นพุทธกาล สมยัที่ชาวไทยยงัต้ังถิ่นฐานอยูแ่ถบลุม่แมน่้ าฮวงโห แยงซี เก ียง ร่วมก ับชาวจีน ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าได้มีการรบพุ่งก ันอยู่ตลอดเวลา แต่ประวัติเก ี่ยวก ับการ เจ็บป่ วยไม่ได้บันทึกไว้ การพยาบาลผู ้ป่ วยในยุคนี้ผู ้พยาบาลในครอบครัวคือ มารดา ในสมัยพุทธกาล เมื่อไทยมาต้งัถิ่นฐานเป็นปึกแผน่อยู่ที่อินโดจีน ไทยหันไปรับวัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนการแพทย์จากประเทศอินเดีย ได้พบหลักฐานเก ี่ยวก ับการพยาบาลในพระไตรปิ ฎกซึ่ ง พระพุทธเจา้ได้ทรงสงั่สอนพระภิกษุในเรื่องเกยี่วกบัการป่วยไข้ในบทวา่ “เรื่องคนพยาบาลที่ไม่ควร พยาบาลคนไข้” ประกอบด้วยธรรม 5 อย่าง คือ 1. ไม่สามารถที่จะจัดยา 2. ไม่รู้ของควร ของแสลง น าของแสลงเข้าไปให้ ไม่น าของแสลงออก
72 3. เป็ นผู ้เห็นแก ่อามิส พยาบาลคนไข้ไม่มีเมตตาจิต 4. รังเกยีจที่จะนา ไปทิ้งซ่ึงอุจจาระ ปัสสาวะ อาเจียน และเขฬะ 5. ไมส่ามารถช้ีแจง ชกัจูง ปลอบใจคนไขด้ว้ยธรรมมิกถาเป็นคร้ังคราว นอกจากนี้ได้ทรงสอนเก ี่ยวก ับคนไข้ที่พยาบาลยากว่าประกอบด้วยธรรม 5 ประการ คือ 1. มกัทา สิ่งซ่ึงไมเ่ป็นที่สบาย คือ ชอบฝืนหมอ กนิของแสลง และอื่น ๆ 2. ไมรู่้จกัประมาณในสิ่งที่สบาย 3. ไม่ก ินยา 4. ไมบ่อกอาการป่วยตามความเป็นจริงแกผู่พ้ยาบาลวา่อาการป่วยเพิ่มข้ึนทุเลาลงหรือทรงอยู่ 5. ไม่อดทนต่อทุกข์เวทนาทางกายที่เกดิข้ึนแลว้อนัเป็นเวทนากลา้แข็ง เจ็บปวด ไมเ่ป็นที่ พอใจถึงขนาดจะคร่าชีวิต ในสมัยสุโขทัยและอยุธยาในต านานจีนได้ยกย่องหญิงไทยว่าฉลาด และเป็ นที่ไว้วางใจของชาย ซึ่งแสดงว่าหญิงน่าจะได้เป็ นบุคคลส าคัญในการอ านวยความสุขความปลอดภัยในครอบครัว สมัยอยุธยา มีการสันนิษฐานวา่การแพทย์ตะวนัตกไดถู้กนา เข้ามาในประเทศไทยเป็นคร้ังแรกเมื่อพุทธศตวรรษที่ 21 โดยชนชาติโปรตุเกสที่เข้ามาท าการค้าขาย ตามประวัติได้กล่าวว่า เมื่อพม่ายกทัพมารบก ับไทย โปรตุเกส 100 กว่าคนได้มาอาสารบ ในจ านวนนี้มีแพทย์ชาวโปรตุเกสอยูบ่า้ง ยาข้ีผ้ึงใสแ่ผลบางชนิดที่ ใช้ก ันตกทอดมาทุกวันนี้ เข้าใจว่ามาจากชนชาตินี้ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช มีบุคคลชาย ตา่งชาติท้งัที่เป็นแพทย์นักสอนศาสนา ทหารและชา่ง เขา้มาในประเทศไทยมากข้ึน ปรากฏตาม หลกัฐานที่แพทย์ชาวฝรั่งเศสต้งัพระโอสถถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่การแพทย์แผนตะวันตก ยังไม่ได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนพลเมือง สมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ 1 -3การแพทย์ทั่วไปยงัใชย้าไทยในสมยัรัชกาลที่3 ประมาณ พ.ศ. 2371 มีคณะสอนศาสนาเพรสไบทีเรี ยนชาวอเมริ ก ันเข้ามาเผยแพร่ศาสนาพร้อมก ับท าการ รักษาพยาบาลด้วย การแพทย์ได้เผยแพร่เข้าไปสู่ประชาชนใน พ.ศ. 2383 ซ่ึงเป็นปีที่ไดเ้ริ่มมีการปลูกฝี ป้ องก ันไข้ทรพิษ ในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394 – 2411) พระองค์ได้ทรงยินยอมให้คณะมิชชันนารี เข้ามาเผยแพร่ ศาสนา และในขณะเดียวก ันก ็ได้ท าการรักษาพยาบาลผู ้ป่ วยไปด้วย จึงได้มีสถานที่ตรวจรักษาโรคต้งัข้ึน ในพระนครและตา่งจงัหวดัทา การรักษาใหแ้กผู่ป้่วย ผูบ้าดเจ็บโดยไมค่ ิดมูลคา่การรักษาไดผ้ลดีดงัน้ัน การรักษาตามแผนใหม่จึงเป็ นที่นิยมในหมู่เจ้านายพ.ศ.2400 ศาสนาจารย์สามีภรรยาของคณะมิชชันนารี ชื่อนายและนางแมททูน อุปการะเด็กสาวไทยคนหนึ่ งชื่อเอสเทอร์ (Esther) และต่อไปอยู่ประเทศ สหรัฐอเมริกาดว้ยประมาณ 3 ปีระหวา่งน้นัเอสเทอร์ไดเ้ขา้ศึกษาในโรงเรียนพยาบาลจนสา เร็จการศึกษา จึงกลบั ประเทศไทยไดน้ าวิธีการทา คลอดสมยัใหมม่าชว่ยหญิงไทย โดยเฉพาะในสังคมช้ันสูงและชาว
73 ยุโรปที่พ านักในประเทศไทย ซึ่ งได้รับความนิยมมากเอสเทอร์ใหก้ารบริการผดุงครรภ์จนกระทงั่ถึงแก่ กรรมใน ปี พ.ศ. 2473 เมื่ออายุได้ 85 ปี จึงนับว่าเป็ นพยาบาลคนแรกของประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 – 2454) มีการจดัต้งัโรงพยาบาลแผนปัจจุบันถาวรและโรงเรียน แพทยากร โรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล ซ่ึงกอ่นหนา้น้ีไมม่ ีเลย มีแต่โรงพยาบาลชวั่คราว ซ่ึงต้งัข้ึนรับเหตุการณ์ปัจจุบนั ในขณะน้นั ซึ่งเป็ นโรคระบาด เช่น อหิวาตกโรค ฝี ดาษ เพื่อให้การรักษา คร้ันพอโรคสงบกเ็ลิกกจิการไป ได้มีการสร้างโรงพยาบาลถาวรแห่งแรกชื่อวา่ โรงศิริราชพยาบาล โปรดเกล้าฯ ใหเ้ปิดโรงพยาบาลเพื่อรักษาพยาบาลผูป้่วยโดยไมต่อ้งเสียคา่ ใชจ้า่ยใดๆท้งัสิ้น เมื่อวนัที่26 เมษายน พ.ศ.2431 แรกเริ่มทีเดียวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ต้ังคณะกรรมการ ดา เนินการสร้างโรงพยาบาลข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2429 อนั ประกอบดว้ยเจา้นายและขุนนางช้นัผู ้ใหญ่ ก าหนดให้ ใชท้ี่ดินซ่ึงเป็นของกรมพระราชวงับวรสถานพิมุข ซ่ึงอยูท่างทิศตะวนัตกของแมน่้ าเจา้พระยาติดกบั โรงเรียนวังหลังเดิม เป็ นสถานที่ก ่อสร้างโรงพยาบาล ในปี พ.ศ. 2430 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ าศิริ ราชกกุธภนัฑ์ไดส้ิ้นพระชนม์ลง พระเมรุและพลบัพลาที่ใชในงานราชพิธีพระราชทานเพลิงศพแล้ว ได้ ้ โปรดให้รื้อมาสร้างเป็ นอาคารของโรงพยาบาลด้วย จึงพระราชทานนามโรงพยาบาลตามชื่อพระเจ้าลูกยา เธอพระองค์นี้ ก าเนิดโรงเรี ยนพยาบาล พ.ศ. 2439 สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ สว่นพระองค์ต้งัโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลข้ึนในบริเวณโรงศิริราชพยาบาลสา หรับเป็น สถานที่ศึกษาวิชาผดุงครรภ์และพยาบาลของสตรี ด้วยทรงตระหนักถึงอันตรายที่หญิงไทยคลอดลูกโดย หมอต าแยที่ไม่มีความรู้ และทรงเห็นว่าวิชาแพทย์ผดุงครรภ์มีความจ าเป็ นต่อชีวิตหญิงไทยมาก โรงเรียน น้ีไดเ้ปิดสอนคร้ังแรกเมื่อวนัที่ 12 มกราคม 2439 (รศ.155)ใหช้ื่อคร้ังแรกว่า“โรงเรียนหญิงแพทย์ผดุง ครรภ์แลการพยาบาลไข้” สงักดักรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ ในการเปิดเรียนคร้ังแรกยงัไมไ่ด้มี การกา หนดคณุสมบตัิผูเ้รียน เนื่องจากการศึกษาทวั่ ไปในสมยัน้นัยงัไมเป็ นที่แพร่หลาย การศึกษาส าหรับ ่ ประชาชนมุง่ ไปที่เพศชายท้งัสิ้น จึงหาสตรีที่รู้หนงัสือยากมากดงัน้นัผูท้ี่มาเขา้เรียนในคร้ังแรกจึงยงัอา่น เขียน หนงัสือไทยไมไ่ด้คร้ังแรกมีนกัเรียน 6คน เปิดสอนวนัที่15 มกราคม พ.ศ2439 ตอ่มาจึงมีนกัเรียน เพิ่มข้ึนเป็น 10และ14 คน ในปี ที่ 2 และ 3 ทรงโปรดเกล้าให้ท่านผู ้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงค์ ภรรยาท่านเจ้าคุณภาสกรวงค์ เสนาบดี กระทรวงธรรมการ ซ่ึงเป็นสุภาพสตรีที่มีคณุวุฒิและคณุสมบตัิเป็นที่ยกยอ่งนบัถือทวั่ ไปในสมยัน้นัเป็น ผู ้อ านวยการโรงเรียน ดร. เอช อดัมสัน (Adamsan) หรือพระบ าบัดสรรพโรค ซึ่ งเป็ นผู ้เขียนหลักสูตรซึ่ ง เนน้การผดุงครรภ์และเป็นครูคนแรกของพยาบาล ตอ้งสอนท้งัหนงัสือไทยจนนกัเรียนอา่นออกเขียนได้ และสอนการผดุงครรภ์ด้วย ถึงแม้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถทรงมีจุดมุ่งหมายให้สอนสตรี ให้มีความรู้ผดุงครรภ์แผนใหม่ แต่ในความเป็ นจริงคนเจ็บป่ วยในโรงพยาบาลก ็ต้องการคนให้การ พยาบาลด้วย จึงให้มีการสอนการพยาบาลไข้ด้วย แต่ให้ท าเฉพาะคนไข้หญิง คนไข้ชายก ็ให้ผู ้ชายให้การ
74 ดูแล ในการจัดการสอนนี้นักเรียนทุกคนอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ นักเรียนแพทย์ผดุงครรภ์รุ่นแรกนี้ ได้รับการฝึ กงานในโรงพยาบาล และออกไปฝึ กงานตามโรงพยาบาลข้างนอกด้วย มีการสอบไล่หน้า พระที่นงั่รุ่นน้ีมีผูส้ าเร็จหลกัสูตร 10 คน และได้รับพระราชทานประกาศนียบัตรจากพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูห่ ัวในวนัเสด็จเปิดโรงเรียนราชแพทยาลัยที่ปรับปรุงเสริมสร้างข้ึนใหมเ่มื่อวนัที่ 3 มกราคม 2443 สา หรับเครื่องแบบพยาบาลในสมยัน้ันใหนุ้ง่ผา้ซิ่น ผา้โจงกระเบน หรือผา้พื้นสีตา่ง ๆ ใสเ่สื้อขาว ไม่จ าก ัดแบบ ผูกเอี้ยมขาวเวลาปฏิบัติงาน พ.ศ. 2449 เปิ ดหลักสูตรการฝึ กอบรมพยาบาลชาย ระยะเวลาในการเรียน 1 ปี ผลิตเพียง 1รุ่น จึง ได้ล้มเลิกไป การพยาบาลในสมัยน้นัใหผู้ช้ายพยาบาลผูป้่วยชายและผูห้ญิงพยาบาลผูป้่วยหญิงกอ่นหน้า นี้พยาบาลชายไม่ได้รับการฝึ กอบรมแต่อย่างใด พ.ศ. 2456 นางสาวสังวาลย์ ตะละภัฎ (สมเด็จพระศรี นครินทราบรมราชชนนี) เข้าศึกษาวิชา พยาบาลที่โรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล และส าเร็จการศึกษาในปี พ.ศ.2459 พ.ศ. 2457 มีการปรับปรุงหลักสูตรการฝึ กอบรมพยาบาลชายโดยมีระยะเวลาในการเรียน 2 ปี ส าเร็จไป 9 รุ่น จ านวน 41 คนและล้มเลิกไปในปี พ.ศ.2467เนื่องจากไม่เป็ นที่นิยม นอกจากนี้ใน พ.ศ.2457 ได้ต้งัโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และนางพยาบาลเรียกกนัวา่ โรงเรียน นางพยาบาลและเปลื่ยนชื่อเป็ นโรงเรี ยนนางพยาบาลสภากาชาดสยามในปี พ.ศ.2459 และเปลี่ยนเป็ น โรงเรียนพยาบาลสภากาชาดไทย เมี่อปี พ.ศ.2482 ตามการเปลี่ยนชื่อของประเทศ โดยเปิ ดเป็ นหลักสูตรที่ เนน้ท้งัวิชาการพยาบาลและการผดุงครรภ์การพยาบาลมีความหมายมากข้ึน หลกัสูตรมีระยะเวลาเรียน 2 ปี เรียนหลักวิชา 1 ปี ฝึ กหัดท าการ 1 ปี แล้วจึงสอบไล่ และต้องฝึ กความช านาญอีก 1 ปี รับนักเรียนที่จบ ช้นัมธัยม 1 อายุ 17-30 ปี เมื่อเรียนส าเร็จแล้ว นักเรียนต้องไปเรียนวิชาผดุงครรภ์ที่โรงเรียนผดุงครรภ์ ที่ศิริราช ส่วนนักเรียนที่เรียนจบจากศิริ ราชซึ่งเป็ นวิชาผดุงครรภ์จะมาเรียนวิชาการพยาบาลที่โรงเรียน สภากาชาดไทยจนกระทงั่พศ.2465 โรงเรียนท้งัสองแหง่จึงมีหลกัสูตรการพยาบาลและการผดุงครรภ์ของ ตนเอง พ.ศ. 2460 นางสาวสังวาลย์ ตะละภัฎ และนางสาวอุบ ล ปาลกะวงศ์ ณ . อยุธยา ได้รับทุ น พระราชทานจากสมเด็จเจ้าฟ้ ามหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ไปศึกษาต่อวิชาพยาบาล ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2460 สมเด็จกรมพระยาชยันาทนเรนทรผูบ้ญัชาการโรงเรียนพยาบาลศิริราชขณะน้นั ได้ ปรับปรุงการท างานเพื่อให้แพทย์พยาบาลได้พบปะเพื่อรายงานอาการคนไข้ร่วมก ัน และพยาบาลที่เป็ น ผู ้หญิงสามารถให้การพยาบาลคนไข้ชายได้ตามแบบสากลนิยม พ.ศ. 2460 สมเด็จกรมพระยาชยันาทนเรนทร ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายพยาบาลข้ึนเป็นคร้ัง แรก ส าหรับพยาบาลที่ต้องไปส่งเชลยศึกยังประเทศอินเดีย ซึ่งเป็ นกระโปรงสีขาวหลวมๆ ยาวเหนือ ตาตุ่มเล็กน้อย แขนพองยาวแค่ศอก สวมหมวกจีบพอง เก ็บผมเข้าในหมวกหมด เรี ยกว่า หมวกทรง หม้อตาล และสวมถุงเท้ายาวสีขาว รองเท้าผ้าใบสีขาว
75 พ.ศ. 2462 มีการปรับปรุงเวลาการฝึกงานของนักเรียนพยาบาลจากเดิมที่ข้ึนฝึกงานในชว่งเช้า ระหว่าง 8.00-16.00 น. และมีนักศึกษาอยู่เวรประจ าตลอด 24 ชวั่ โมงวนัละ1คน มาเป็ นการผลัดเปลี่ยน ฝึ กงานวันละ 3 เวร คือ เวรเช้า-บ่าย-ดึก เวรละ 8 ชวั่ โมง ซ่ึงเป็นแบบอยา่งในการปฏิบัติงานที่สืบตอ่มา จนถึงทุกวันนี้ พ.ศ. 2462 เริ่มมีการติดขีดหมวกเพื่อระบุต าแหน่งของพยาบาลที่ส าเร็จการศึกษาแล้วที่ โรงพยาบาลศิริราช ดังนี้ ขีดก ามะหยี่สีด า ขนาดใหญ่ 1ขีด หมายถึงพยาบาลผู ้ตรวจการเวรเช้า-บ่าย-ดึก ขีดก ามะหยี่สีด า ขนาดเล็ก 2ขีด หมายถึงพยาบาลหัวหน้าตึกหรือ ครูผู ้ช่วยสอนในห้องเรียน ขีดก ามะหยี่สีด า ขนาดเล็ก 1ขีด หมายถึง พยาบาลผู ้ช่วยหัวหน้าตึก หรื อพยาบาลที่ส าเร็ จ การศึกษาแล้ว พ.ศ. 2465 มีการปรับปรุงการรับนักเรียนเข้าเรี ยนวิชาพยาบาล จากเดิมไม่ได้ก าหนดคุณสมบัติ ผูเ้รียนในระยะแรกเป็นจบช้นั ประถมปีที่3 มาเป็นรับนกัเรียนจบช้นัมธัยมปีที่3 ข้ึนไป พ.ศ. 2466 ไดม้ีการกอ่ต้งัโรงเรียนพยาบาลของเอกชนในสว่นภูมิภาคเป็นแหง่แรกคือ โรงเรียน นางพยาบาล โรงพยาบาลแ มคคอร์ มิ ค จังห วัดเชียงใหม่ (The McCormick Nurse Training School) ปัจจุบนัคือคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลยัพายพัการจดัต้งัโรงเรียนไดร้ับการสนบัสนุนจากมูลนิธิรอก ก ี้เฟลเลอร์ จุดประสงค์ของโรงเรียน คือ อบรมพยาบาลส าหรับให้การพยาบาลแก ่ผู ้ป่ วยในโรงพยาบาล หลักสูตรที่เรียน 3 ปี เรียนส าเร็จได้รับประกาศนียบัตรพยาบาล และด าเนินการในลักษณะสถาบันสมทบ ของโรงเรียนพยาบาลสภากาชาดไทย นักเรียนรุ่นแรกจ านวน 4คน พ.ศ. 2469 มีการปรับปรุงหลักสูตรใหม่ให้ทันสมัยข้ึน มีมาตรฐานสูงข้ึนโดยพระมหา กรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชบิดา กรมหลวงสงขลานคริ นทร์ ที่ได้ทรงจัดการให้มูลนิธิร็อกก ี้เฟลเลอร์ ร่วมก ับรัฐบาลไทย ในโครงการปรับปรุงการแพทย์และการพยาบาล แม้ว่าจะมีผู ้คัดค้านว่าไม่ควร ปรับปรุงการพยาบาล เพราะพยาบาลที่ส าเร็จการศึกษาแล้วโดยมากมักแต่งงาน แต่ทูลกระหม่อมทรง เห็นการณ์ไกล ทรงตระหนกัดีวา่การแพทย์จะดีข้ึนไดน้ ้นัจา เป็ นต้องมีการปรับปรุงการพยาบาลให้ดี ทัดเทียมก ันด้วย ทรงยืนยันที่จะให้มีการปรับปรุงโดยทรงอธิบายว่า “วิชาพยาบาลอ านวยประโยชน์แก ่ ส่วนรวมในที่สุดแก ่ผู ้เรียนมาแล้ว แม้จะมิได้ด าเนินอาชีพเป็ นพยาบาลก ็ตาม” สมเด็จพระราชบิดาทรงวางรากฐานการพยาบาลแผนใหม่ โดยส่งพยาบาลไทยไปศึกษาต่อยัง ตา่งประเทศ ดว้ยทุนสว่นพระองค์และทุนของมูลนิธิร็อกกเ้ีฟลเลอร์ต้งัแต่พ.ศ. 2468-2478 ทรงใช้พระ ราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จ้างครูพยาบาลชาวอเมริก ันให้มาช่วยสอนและวางรากฐานการศึกษาใหม่ มีการ ปรับปรุ งหลักสูตรการศึกษา รับนักเรี ยนที่ส าเร็จมัธยมปีที่ 6 หรือเทียบเท่า (ม.3 ปัจจุบัน) อายุ 16-30 ปี หลักสูตร 3 ปี 6 เดือน โดยจดัเป็นวิชาดา้นการพยาบาลทั่วไป 3 ปี และวิชาด้านการผดุงครรภ์ 6 เดือน มี หอ้งสอนแสดงสา หรับการปฏิบตัิเทคนิคพยาบาลและให้นกัเรียนไดฝ้ึกหดัซ่ึงแต่เดิมนกัเรียนตอ้งข้ึน
76 ฝึ กหัดท าก ับคนไข้จริงบนหอผูป้่วยเลยทีเดียว จดัระบบการสอนท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตัิมีครู ติดตามสอนและควบคุมอย่างใกล้ชิด มีห้องสมุดส าหรับนักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า พ.ศ. 2485 เริ่มมีการสอบคัดเลือกผู้สมัครเข้าเรียนพยาบาลแทนการพิจารณาตดัสินจากสมุด รายงานและการสัมภาษณ์ เนื่องจากจ านวนผูส้มคัรเขา้เรียนเพิ่มมากข้ึนทุกปี พ.ศ. 2489กระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็ นองค์กรบริการสุขภาพประสบปัญหาปริมาณพยาบาลที่มี อยูไ่ม่เพียงพอกบัจ านวนโรงพยาบาลที่จ าเป็นต้องสร้างข้ึน เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีจ านวนมากข้ึน กระทรวงสาธารณสุขไดก้อ่ต้ังโรงเรียนพยาบาลแห่งแรก คือโรงเรียนพยาบาลกรมการแพทย์ ต่อมา เปลี่ยนเป็ นโรงเรียนพยาบาลโรงพยาบาลหญิง กรมการแพทย์ (ปัจจุบัน คือวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ) พ.ศ. 2499 นบัเป็นปีที่ส าคญัยิ่งในประวตัิการศึกษาพยาบาลไทย เพราะเป็นปีแรกที่มีหลกัสูตร การศึกษาพยาบาลระดับปริญญาตรี ในโรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราช พยาบาล นับเป็ นแห่งแรกในประเทศไทย คุณหญิงพิณพากย์พิทยาเภทซึ่ งเป็ นผู ้อ านวยการโรงเรียน ได้ เสนอโครงการปริญญาวิทยาศาสตร์ บัณฑิต (พยาบาล) เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าอาจารย์ผู ้สอนใน หลักสูตรการศึกษาพยาบาลมีความจ าเป็นตอ้งพัฒนาความรู้และประสบการณ์ใหม้ากข้ึนและอย่างนอ้ย จะตอ้งเป็นระดบั ปริญญาตรีและควรจะไดม้ีการจดัข้ึนในประเทศไทย ซ่ึงแตเ่ดิมการศึกษาเพื่อเตรียม ผูส้อนจะกระทา โดยสง่อาจารย์ไปศึกษาตอ่ตา่งประเทศเทา่น้นัการสง่ครูอาจารย์ไปศึกษาตอ่ตา่งประเทศ กระท าได้ในวงจ าก ัด ท้ังน้ีเพราะรัฐบาลจะตอ้งลงทุนเป็นเงินจ านวนมาก หลกัสูตรกา หนดคณุสมบัติ ของผู้เรียนตอ้งส าเร็จช้ันมธัยมปีที่8 (ม.6 ปั จจุบัน) และต้องผ่านการสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวก ับนักศึกษาวิชาชีพอื่นๆเช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร หลักสูตรก าหนดเวลาเรียน 4 ปี เรียนวิทยาศาสตร์ 2 ปี ที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และเรียนวิชาการพยาบาล 2 ปี ส าเร็จแล้วได้รับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต (พยาบาล) ส าหรับผู ้ที่ต้องการศึกษาวิชาผดุงครรภ์ด้วย ต้องศึกษาต่ออีก 6 เดือน ส าเร็จแล้วได้รับประกาศนียบัตรผดุงครรภ์อีก 1 ฉบับ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็ น ก ้าวส าคัญที่ท าให้วิชาชีพการพยาบาลได้รับการยอมรับจากวิชาชีพอื่นๆและเป็ นพื้นฐานการศึกษาวิชาชีพ ในสากลท าใหผู้ส้า เร็จการศึกษาพยาบาลสามารถพฒันาข้ึนสูก่ารศึกษาระดับสูงข้ึน ในระดบั ปริญญาโท และเอกในเวลาต่อมา พ.ศ.2502 คุณหญิงพิณพากย์พิทยาเภทได้พิจารณาเห็นว่าวิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนา กว้างไกลมาก วิชาชีพการพยาบาลจ าเป็นต้องปรับพื้นฐานการศึกษาให้สูงข้ึน จึงไดป้รับเปลี่ยน หลักสูตรประกาศนียบัตรการพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยของโรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งเดิมรับนักศึกษาจากผู ้ส าเร็จการศึกษามัธยม6 (ม. 3 ปัจจุบัน) เป็ น หลกัสูตรอนุปริญญาพยาบาลผดุงครรภ์และอนามยัรับผูส้า เร็จจากช้ันมธัยม 8 (ม. 6 ปัจจุบัน) เข้าศึกษา โดยมีระยะเวลาในการศึกษา 3 ปี ส าเร็ จแล้วได้รับอนุปริ ญญาพยาบาลและอนามัย และจะต้องศึกษาต่อ
77 อีก 6 เดือนในหลักสูตรการผดุงครรภ์ ส าเร็จแล้วได้รับประกาศนียบัตรผดุงครรภ์ด้วย และในปี พ .ศ. 2520 นักศึกษาเข้าเรียนพยาบาลต้องส าเร็จ ม.ศ.5 (ม.6 ปัจจุบัน) ทวั่ประเทศ พ.ศ.2512 ไดม้ีการจดัหลกัสูตรการพยาบาลเฉพาะทางข้ึนเป็นคร้ังแรก หลกัสูตรแรกที่มีการ จดัทา ข้ึนคือ หลกัสูตรการพยาบาลเฉพาะทางโรคหวัใจและทรวงอก โดยจดัข้ึนที่โรงเรียนพยาบาลผดุง ครรภ์และอนามัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เหตุผลของการจัดหลักสูตรนี้ เนื่องจากการแพทย์ และการสาธารณสุขเจริญก ้าวหน้าอย่างรวดเร็วมีการน าวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วยในการ รักษาพยาบาลมากยิ่งข้ึน ดงัน้นัการพยาบาลจึงตอ้งมีการพฒันาใหก้า้วทนัตามไปดว้ย หลกัสูตรกา หนด ระยะเวลาเรียนไว้ 3 เดือนโดยได้เชิญผู ้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาเป็ นที่ปรึกษา ในระยะต่อๆมาได้มีการ ขยายการฝึกอบรมการพยาบาลสาขาอื่นๆเพิ่มข้ึนอีกหลายสาขาในสถาบนัการศึกษาพยาบาลอื่นๆ พ.ศ.2514 สภามหาวิทยาลัยขอนแก ่นได้ด าเนินการและประกาศให้คณะพยาบาลศาสตร์เป็ นคณะ วิชาหนึ่งของมหาวิทยาลัย เปิ ดท าการสอนโดยรับสมัครนักศึกษารุ่นแรกระดับปริญญาตรี จ านวน 60 คน การจดัต้ังคร้ังน้ีนบัเป็นการยกระดับการศึกษาพยาบาลจากการรวมอยูภ่ายในคณะวิชาอื่นออกมาเป็ น อิสระ มีศักดิ์และสิทธิ์ เท่าเทียมคณะวิชาอื่นในมหาวิทยาลัย คณะพยาบาลศาสตร์ แห่งนี้ ได้เป็ นผู ้น าของ การจดัต้งัคณะพยาบาลศาสตร์ใหเ้ป็นคณะวิชาหน่ึงของมหาวิทยาลยัตา่งๆในระยะตอ่มา พ.ศ. 2514และ พ.ศ. 2530 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับวิทยาลัยสภากาชาดไทย และวิทยาลัย พยาบาลต ารวจตามล าดับเข้าเป็ นสถาบันสมทบในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การรับเข้าสมทบดังนี้เป็ นผล ใหน้กัศึกษาพยาบาลของท้งัสองสถาบนัไดเ้รียนรายวิชาในมหาวิทยาลยัและรับปริญญาบัตรปริญญาตรี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่ งต่อมาในปี พ.ศ.2540 วิทยาลัยพยาบาลในสังก ัดกระทรวงสาธารณสุข ที่มีความพร้อมไดเ้ริ่มทะยอยเข้าสมทบกบัคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ และภาควิชา พยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี การเข้าเป็ นสถาบันสมทบในมหาวิทยาลัย นบัวา่เป็นการพฒันาการเรียนการสอนเขา้สูร่ะดบัอุดมศึกษาที่สมบูรณ์ยิ่งข้ึน พ.ศ. 2516 ภาควิชาพยาบาลศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ปัจจุบันคือ คณะ พยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย) ได้ขยายการจัดการศึกษาพยาบาลจากเดิมที่เปิ ดหลักสูตร ครุ ศาสตรบัณฑิตต่อเนื่อง 2 ปี เป็ นหลักสูตรระดับปริ ญญาโท ในหลักสูตรครุ ศาสตรมหาบัณฑิ ต สาขาวิชาบริหารการพยาบาล รับผู ้ส าเร็จการศึกษาพยาบาลระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า หลักสูตรมี ระยะเวลาเรียน 2 ปี เพื่อผลิตผู ้น าทางการบริหารการพยาบาล การจัดการศึกษาพยาบาลถึงระดับปริญญา โทคร้ังน้ีนบัเป็นคร้ังแรกและเป็นแรงกระตุน้ใหม้ีการขยายการศึกษาพยาบาลระดบับณัฑิตศึกษาในหลาย สถาบันในเวลาต่อมา พ.ศ.2520 ไดก้ารเปิดหลกัสูตรระดับปริญญาโทสาขาการพยาบาลทางคลินิกเป็นคร้ังแรก ที่ ภาควิชาพ ยาบาล ศาสตร์ คณ ะแ พทย ศาสตร์ โ รงพยาบ าลรามาธิบ ดี และค ณะพ ยาบาล ศาสต ร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (โรงเรี ยนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยศิริราชเดิม ซึ่ งได้ปรับเปลี่ยนเป็ นคณะ
78 พยาบาลศาสตร์ เมื่อวันที่ 7กรกฎาคม 2515) การเปิดสอนในหลักสูตรน้ีเกดิข้ึนเนื่องจากตอ้งการเพิ่ม สมรรถนะและคุณวุฒิของครูผู ้สอนพยาบาล พ.ศ.2522 หลักสูตรการศึกษาพยาบาลทั่วประเทศไดป้รับเป็นหลักสูตรระดบั ปริญญาตรีหรือ เทียบเท่า พ.ศ.2523 เก ิดภาวะขาดแคลนพยาบาลอย่างวิกฤตจึงมีการเปิ ดสอนหลักสูตรพยาบาลเทคนิค หลักสูตร 2 ปี ผู ้ส าเร็จการศึกษาจะได้วุฒิประกาศนียบัตรพยาบาลศาสตร์ระดับต้น ซึ่งในปัจจุบันได้ยุติ การผลิตในระดบัน้ีแลว้ต้งัแตป่ ีพ.ศ.2543 มีเฉพาะของวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศและวิทยาลัยพยาบาล ทหารเรื อเท่าน้นัที่ยังผลิตพยาบาลชายอยู่เนื่องจากยังมีความจา เป็นที่จะตอ้งใชพ้ยาบาลระดับน้ีอยูใ่น กองทัพ พ.ศ.2527 ภาควิชาพยาบาลสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ขยายการจัดการศึกษาพยาบาลจาก การเปิ ดสอนหลักสูตรพยาบาลสาธารณสุขปริญญาตรี และโทเป็ นหลักสูตรพยาบาลสาธารณสุข ศาสตร ดุษฎีบัณฑิต ซึ่งเป็ นหลักสูตรการศึกษาพยาบาลหลักสูตรแรกในระดับปริญญาเอก พ.ศ.2528 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้มีสภาการพยาบาลเพื่อท าหน้าที่ดูแลช่วยเหลือ ควบคุม ก าก ับสมาชิกในการประกอบวิชาชีพการพยาบาล และในส่วนที่เก ี่ยวข้องก ับการศึกษาพยาบาล พ.ศ.2530 ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้พัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (พยาบาลและผดุงครรภ์) เป็ นหลักสูตร พยาบาลศาสตรบณัฑิตซ่ึงเป็นปริญญาวิชาชีพเป็นแหง่แรกในประเทศไทย ท้งัน้ีเพื่อแสดงถึงเอกลกัษณ์ ของวิชาชีพ และต่อมาทุกหลักสูตรการศึกษาพยาบาลในประเทศไทยได้ปรับเป็ นหลักสูตรพยาบาลศา สตรบัณฑิตตามประกาศของทบวงมหาวิทยาลัย พ.ศ.2535 จากปัญหาการขาดแคลนพยาบาล คณะรัฐมนตรีมีมติให้แก ้ไขปัญหาการขาดแคลน พยาบาล โดยมีท้ังมาตรการระยะเร่งดว่นและระยะยาว ซ่ึงมีผลตอ่การจดัการศึกษาพยาบาลอยา่งมาก อาจารย์พยาบาลได้รับการพฒันาดา้นการศึกษาในระดบัดุษฎีบณัฑิตเพิ่มมากข้ึนท้งัในและตา่งประเทศ ได้รับงบประมาณสร้างอาคารสถานที่เพิ่มข้ึน และสถาบันการศึกษาพยาบาลได้ติดตอ่ร่วมมือกบั สถาบนัการศึกษาพยาบาลตา่งประเทศมากข้ึน จากข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557) มีสถาบันที่สภาการพยาบาลรับรองในระดับ ปริญญาตรีและมีผูส้า เร็จการศึกษาแลว้ท้งัหมด 78แห่ง ดังนี้คือ สังก ัดส านักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 24 สถาบัน สังก ัดสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข 29 สถาบัน สังก ัดสถาบันการศึกษาเอกชน 20 สถาบัน สังก ัดกระทรวงกลาโหม 3 สถาบัน สังก ัดส านักงานต ารวจแห่งชาติ 1 สถาบัน สังก ัดกรุงเทพมหานคร 1 สถาบัน
79 นอกจากนี้ยังมีสถาบันการศึกษาที่เปิ ดหลักสูตรใหม่ซึ่งยังไม่มีผู ้ส าเร็จการศึกษาและได้รับการ รับรองจากสภาการพยาบาลแล้ว 7 สถาบัน แบ่งเป็ นสังก ัดส านักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา 4สถาบัน สังก ัดสถาบันการศึกษาเอกชน 3 สถาบัน ส าหรับระดับปริญญาโท มีสถาบันการศึกษาที่ผลิตพยาบาลในระดับนี้ ดังนี้ คือ 1. ของรัฐบาล มี 10 แห่งได้แก ่ โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี และภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะ พย าบ าลศ าสต ร์ ข อง 8 มหา วิท ยาลัย คือ มห าวิท ยา ลัยมหิ ดล มห าวิท ยาลัยสงข ลาน ค ริ น ท ร์ มหาวิทยาลัยขอนแก ่น มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัย วลัยลักษณ์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. ของเอกชน มี 4 แห่ง ได้แก ่ มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยคริสเตียน วิทยาลัยพยาบาลเซน หลุยส์และมหาวิทยาลัยอีสเทอร์นเอเชีย ส าหรับหลักสูตรปริญญาเอก มหาวิทยาลัยที่เปิ ดสอนเป็ นหลักสูตรแรกได้แก ่ ภาควิชาพยาบาล สาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลในปี การศึกษา พ.ศ. 2528 ดังได้กล่าวมาแล้ว ต่อมาได้เปิ ดสอนที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็ นแห่งที่สอง โดยเป็ นโครงการร่วม ระหว่าง 6 สถาบัน ได้แก ่ 1. โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 2. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 3. พยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 4. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก ่น 5. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 6. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยของรัฐแต่ละแห่งได้เปิ ดสอนหลักสูตรปริญญาเอกหลักสูตรของตนเองแล้ว โดยสรุปขณะน้ีสถาบนัที่เปิดสอนหลกัสูตรปริญญาเอกมีท้งัสิ้น 7 หลกัสูตรไดแ้ก่ 1. ภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2. โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็ นหลักสูตรร่วมก ับ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเป็ นหลักสูตรนานาชาติ 3. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็ นหลักสูตรนานาชาติ 4. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก ่น 5. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 6. คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 7. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
80 พ.ศ.2539 ทบวงมหาวิทยาลัยมีประกาศเรื่อง “นโยบายและแนวปฏิบัติในการประก ันคุณภาพ การศึกษาระดับอุดมศึกษา” และมีการเคลื่อนไหวอย่างจริ งจังและต่อเนื่องเพื่อให้มีการจัดท าระบบการ ประกนัคณุภาพการศึกษาในสถาบันการศึกษาท้งัภาครัฐและเอกชน ประกอบกบัประเทศไทยประสบ ปัญหาภาวะเศรษฐก ิจอย่างรุนแรงในปี พ.ศ 2540 มีการพูดถึงค าว่า “คุณภาพ” ก ันอย่างมากในทุกวงการ ซ่ึงมีผลตอ่การจดัการศึกษาพยาบาลดว้ย มีการตื่นตวัเรื่องการประกนัคณุภาพการศึกษาพยาบาลมากข้ึน องค์กรวิชาชีพมีบทบาทส าคัญต่อการพัฒนาการประก ันคุณภาพการศึกษา ซึ่งจะท าให้การจัดการศึกษา พยาบาลมีการรับรองมาตรฐานในระดบัสากลยิ่งข้ึน โดยสรุป การพยาบาลมีวิวัฒนาการในสมัยดึกด าบรรพ์ มาจากการที่มารดาให้การดูแลบุตรและ สมาชิกในครอบครัว และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องแม้จะมีอุปสรรคต่างๆมากมาย จึงท าให้วิชาชีพการ พยาบาลมีท้งัช่วงที่ตกต่า และช่วงที่รุ่งเรือง ผู ้น าทางการพยาบาลและบุคลากรในวิชาชีพมีบทบาทส าคัญ ต่อการพัฒนาวิชาชีพ จากการศึกษาประวตัิการพยาบาลพบวา่ผูน้ าที่มีวิสยัทัศน์ต้งัมั่น เข้มแข็งและ อดทนเป็ นกุญแจส าคัญในการพัฒนาวิชาชีพ เอกสารอ้างอิง คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย. (2528). พระราชบัญญัติวิชาชีพ การพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. 2528.(อัดส าเนา). คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. (2519). อนุสรณ์ 84 ปี ศิริ ราช.กรุงเทพฯ:กรุง สยามการพิมพ์. ทัศนา บุญทอง.(2539). ย้อนรอยอดีตในรอบ 100ปี: จากโรงเรี ยนพยาบาลผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล สู่ คณะพยาบาลศาสตร์ ในปัจจุบัน. 100 ปี โรงเรี ยนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยศิริ ราชคณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กรุงเทพฯ: รุ่งเรืองรัตน์การพิมพ์. ประกาศในราชก ิจจา เล่ม 13. แผ่นที่ 43 24 มุด รศ. 155. ประก ิตเวชศักดิ์, คุณหญิง. (2521).บทบาท และความรับผิดชอบของสมาคมพยาบาลตอ่วิชาชีพท้งัใน และนอกประเทศ. วารสารพยาบาล, 22(1), 213-250. ประนอม โอทกานนท์. (2543). การประกันคุณภาพการศึกษาสาขาพยาบาลศาสตร์. กรุงเทพฯ: คณะ พยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ผกา เศรษฐจันทร์. (2525). ประวัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์เจริญก ิจ. พิณพากย์พิทยาเภท, คุณหญิง. (2503). ประวัติการพยาบาล. พระนคร:โรงพิมพ์ไทยพิทยา. _______________________. (มปป). พยาบาลแห่งชาติ ครั้งที่1-2. พระนคร:โรงพิมพ์ประพาสต้น การพิมพ์. ไพลิน นุกูลก ิจ.(2529). การวิเคราะห์พัฒนาการของการศึกษาพยาบาลในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาพยาบาลศึกษา คณะครุศาสตร์บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์
81 มหาวิทยาลัย. ภาสินี สันทนาการ.( 2514 ). สมเด็จพระราชบิดาก ับการพยาบาลของประเทศไทย. จดหมายเหตุการ พยาบาล , 20(1): 1-15. วิเชียร ทวีลาภ. (2527). พัฒนาการวิชาชีพการพยาบาล: เอกสารการสอนชุดวิชามโนมติและกระบวน การพยาบาลหน่วยที่ 1-7.กรุงเทพฯ : ฝ่ ายการพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ____________.(2551). ประวัติและวิวัฒนาการการพยาบาลในประเทศไทย (พ.ศ. 2439 – พ.ศ. 2530). กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์วัฒนก ิจพาณิชย์. ศิริราชพยาบาลอนุสรณ์ 72 ปี พ.ศ. 2511. หน้า 58 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย. (2518).ฉลองครบรอบ 84 ปี. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ไทยพิทยา. ส าเนียง มสิกะภุมมะ.(2521). การพยาบาลของประเทศไทยในปัจจุบัน : การประชุมการพยาบาลแห่ง ชาติครั้งที่ 3.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สว่นทอ้งถิ่น กรมการปกครอง. สุลักษณ์ มีชูชีพ.(2532). 60ปี...กว่าจะถึงปริญญาตรี. วารสารพยาบาล,38(4), 268-271. สมจิต หนุเจริญกุล.(2537). คุณค่าของการพยาบาล. วารสารพยาบาล, 43(2), 99-111. สภาการพยาบาล. Retrieved December 13, 2014, from http://www.tnc.or.th/frontpage ค ำถำมท้ำยบท 1. การพยาบาลในสมยัดึกดา บรรพ์เริ่มตน้มาจากอะไร ผูใ้ห้การพยาบาลคนแรกคือใคร และกจิกรรม การพยาบาลที่ปฏิบัติในยุคต้นมีอะไรบ้าง 2. อิทธิพลของคริสตศาสนาต่อการรักษาพยาบาลมีอะไรบ้าง ชีนิกาย Deaconessesได้ท าก ิจกรรมการ พยาบาลที่ส าคัญอะไรบ้าง 3. การพยาบาลในสมัยกลางมีพยาบาลชายเพราะเหตุใด การสงครามครูเสดส่งผลกระทบต่อการแพทย์ และพยาบาลอย่างไร 4. ยุคมืดมนของการพยาบาลเกดิข้ึนเมื่อใด การพยาบาลในยุคน้ีตกต่า ลงเพราะเหตุใด 5. การพยาบาลในยุคก ่อนมิสไนติงเกล มีความแตกต่างจากการพยาบาลในยุคมิสไนติงเกล อย่างไร 6. งานมิสไนติงเกลมีอะไรบ้าง และทา่นมีมูลเหตุจูงใจอะไรจึงมุ่งมนั่ ในการใหก้ารพยาบาลชว่ยเหลือ ประชาชน หลักการพยาบาลที่ส าคัญของมิสไนติงเกลมีอะไรบ้าง 7. ประวัติการพยาบาลในประเทศไทยในอดีตได้รับอิทธิพลมาจากอะไรบ้าง และมีหลักการส าคัญ อะไรบ้าง การแพทย์สมัยใหม่เผยแพร่เข้าสู่ประชาชนได้อย่างไร 8. ใครเป็ นผู ้ให้ก าเนิดโรงเรียนพยาบาล โรงพยาบาลแห่งแรกอยู่ที่ใด หลักสูตรการศึกษาการพยาบาล ได้มีการพัฒนามาอย่างไรบ้าง 9. มีสถาบันการศึกษาพยาบาลใดบ้างที่ผลิตพยาบาลในระดับปริญญาเอก
สุปาณี เสนาดิสัย และอรุณศรี เตชัสหงส์. (2566). วิวัฒนาการของวิชาชีพการพยาบาล. ใน ดลรัตน์ รุจิวัฒนากร และเบญจพร จึงเกรียงไกร (ผู้รวบรวม), เอกสารคำสอนวิชาวิชาชีพการพยาบาล. (น.54-81). โรงเรียน พยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.