วิ เ คราะห์
ลิลิตตะเ ลงพ่ าย
๔๒(๒๑๕) (ร่าย)
สองขัติยายุรยาตรา ยังเกยราชหอทัพ ขุนคชขับช้างเทียบ ทวย
หาญเพียบแผ่นภู ดูมหิมาดาดาษ สระพราศพร้อมโดยขบวน องค์อดิศวร
สองกษัตริย์ คอยนฤขัตรพิชัย บัดเดี๋ยวไททฤษฎี พระศรีสารีริกบรมธาตุ
ไขโอภาสโศภิต ช่วงชวลิตพ่างยล ส้มเกลี้ยงกลลุก่อง ฟ่องฟ้าฝ่ายทักษิณ
ผินแวดวงตรงทัพ นับ คำรบสามครา เป็นทักษิณาวรรตเวียน ว่าย
ฉวัดเฉวียนอัมพร ผ่านไปอุดรโดยด้าว พลางบพิตรโทท้าว ท่านตั้งสดุดี อยู่
นา
ฯลฯ
คำศั พท์
ทวยหาญ = ทหาร,เหล่าทหารกล้า,พลรบ,
ทฤษฎี = การเห็น,การเห็นด้วยใจ,ความเห็น
ชวลิต = รุ่งเรื่อง,รุ่งโรจน์,สว่าง
ทักษิณาวรรต = เวียนไปทางขวา
ถอดคำประพันธ์ได้ว่า
สองกษัตริย์คือสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ ได้เสด็จไป
ยังเกยทรงช้าง ขุนคชขับช้างมาเทียบ ห้อมล้อมไปด้วยทหารหาญเต็ม
แผ่นดินดูพรั่งพร้อมเป็นขบวน ขณะที่กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงคอย
พิชัยฤกษ์อยู่ ก็ได้ทอดพระเนตรพระบรมสารีริกธาตุซึ่งส่องแสงสุกใส
ขนาดเท่าผลส้มเกลีเยง ล่องลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้ ได้หมุนรอบ
กองทัพเป็นทักษิณาวรรต ๓ รอบ แล้วลอยขึ้นไปทางทิศเหนือกษัตริย์
สองพระองค์ทรงสรรเสริญนมัสการอธิษฐานให้ชนะศึ ก
๔๓(๒๘๙) (ร่าย)
เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ตามเต็มท่งแถวเถื่อน เกลื่อนกล่นแสนยา
ทัพ ถับปะทะไพรินทร์ ส่วนหัสดินอุภัย เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยา
ปราบไตรจักร ตรับตระหนักสำเนียง เสียงฆ้องกลองปืนศึก อึกเอิกก้อง
กาหลง เร่งคำรนเรียกมัน ชันหูชูหางแล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บาทย่าง
ใหญ่ดุ่มด่วน ป่วนกิริยาร่าเริง บำเทิงมันครั่นครึก เข้าสู้ศึกโรมราญ ควาญ
คัดท้ายบมิอยู่ วู่วางวิ่งฉับฉิว ปลิวประเล่ห์สมพาน ส่ำแสะสารแสนยา ขวา
ซ้ายแซงหน้าหลัง ทั้งทวยพลตนขุน ถ้วนทุกมุลมวลมาตย์ ยาตรบทันโท
ท้าว ด้าวศึกสู้สองสาร ราญศึกสู้สองไท้ ไร้พิริยะแห่ห้อม พร้อมแต่กลาง
ควาญคช กำหนดสี่โดยเสร็จ เห็จเข้าใกล้กองหน้า ข้าศึกดูดาษเดียร ธระเมีย
รหมู่ดัสกร มอญพม่าดาดื่น เดินดุจคลื่นคลาฟอง นองน่านในอรรณเวศ
ตรัสทอดพระเนตรเนืองบร โล่โรมรอนทวยสยาม หลามเหลือหลั่งคั่งคับ
ซับซ้อนแทรกสับสน ยลบเป็นทัพเป็นกอง ธก็ไสสองสารทรง ตรงเข้าถีบ
เข้าแทง ด้วยแรงมันแรงกาย หงายงาเสยสารเศิก เพิกพังพ่ายบ่ายตน ปน
ปะไปไขว่คว้าง ช้างศึกได้กลิ่นมัน หันหัวหกตกกระหม่า บ่ากันเลี่ยงกันหลบ
ประทบประทะอลวน สองคชชนชาญเชี่ยว เรี่ยวรณรงค์เริงแรง แทงถืบฉัด
ตะลุมบอน พม่ามอญตายกลาด ข้าศึกสาดปืนโซรม โรมกุฑัณฑ์ธนู ดูดั่ง
พรรษาซ้อง ไป่ตกต้องตนสาร ธุมาการเกิดกระลบ อบอลเวงฟากฟ้า ดูบ่
รู้จักหน้า หนึ่งสิ้นแสงไถง แลนา
คำศั พท์
เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค = เป็นการเคลื่อนทัพตามตำราพิชัยสงคราม
โดยกำหนดว่ากำหนดว่าวันที่เคลื่อนทัพนาคหันหัวไปทิศใดให้เคลื่อนทัพ
ไปทางทิศนั้ นจะเป็นสิ ริมงคลหากเดินทวนเกล็ดนาคถือว่าเป็นอัพประ
มงคล
หัสดินอุภัย = ช้างทั้งคู่ ได้เเก่ เจ้าพระยาไชยานุภาพ เเละเจ้า พระยา
ปราบไตรจักรหัสดินรณเรศ”ยุทธหัตี การรบบนหลังช้าง
ประเล่ห์ = ประดุจ
ระเมียร = คู,น่าดู
อรรณ = ห้วงน้ำใหญ่
ตรัสทอดพระเนตร = ดู,ชม,มองดู
บ่ากัน = ยัดเยียดกัน,เบียดเสียดกัน
ฉัด = เตะ
สาดปืนโซรม = สาดปืนรุมกัน
โรมกุทัณฑ์ธนู = ระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์เเละธนู
พระมหาอุปราชา = ผู้เป็นทายาทของกษัตริย์เเห่งประเทศที่อยุ่ทางทิศ
ตะวันตก-พม่า
หนึ่งสิ้นเเสงไถง = ราวกับสิ้นแสงอาทิตย์ หนุ่มเหน้า
ถอดคำประพันธ์ได้ว่า
สองกษัตริย์เสด็จเคลื่อนตามตำราพิชัยสงครามชื่ อ เกล็ดนาค แล้วได้ประทะ
กับข้าศึก ช้างพระที่นั่งทั้งสองคือ เจ้าพระยาไชยานุภาพและเจ้าพระยาปราบไตรจักร
ได้ยินเสียงฆ้อง กลอง ปืน ก็ร้องขึ้นด้วยคึกคะนองเนื่องเพราะตกมัน กางหู ชูหาง
ส่งเสียงร้องแปร๋นแปร๋น ดุ่มด่วนเดินเข้าไปด้วย อาการร่าเริงเพื่อสู้ศึกสงคราม โดยที่
ควาญช้างไม่อาจจะบังคับได้อยู่ ช้างทั้งสองวิ่งไปอย่างเร็ว ทหารในกองตามไม่ทัน มี
เพียงควาญช้าง ผู้รักษาท้ายช้างทรงและกลางช้างทรงเท่านั้นโดยเสด็จไป ได้เข้าไป
จนถึงใกล้กองหน้าของข้าศึ กสองกษั ตริย์ทอดพระเนตรฝ่ายข้าศึ กที่มีกำลังมากมาย
เหลือหลาย ก็ทรงไสช้างสู้ข้าศึก ช้างทรงเข้าถีบแทงฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน ฝ่าย
ช้างข้าศึกได้กลิ่นมันก็ตกใจกลัวพากันหนีไป สองช้างของสองกษัตริย์วิ่งเช้าชนช้าง
ข้าศึกอย่างเชี่ยวชาญ แทง ถีบ เตะ ต่อสู้กันแบบตะลุมบอน ฝ่ายพม่านอนตาย
เกลื่อนกลาดแม้ว่าข้าศึกจะยิงปืนเข้าใส่ระดมยิงธนูเข้าใส่ดั่งห่าฝน แต่ก็ไม่ถูกต้องตัว
ช้าง สู้กันจนฝุ่นตลบทั่วท้องฟ้า จนมองหน้ากันไม่เห็น ราวกับว่าเป็นเวลากลางคืน
๔๔(๒๙๐) โคลง๔ สมมุติ
เกศหล้า
๏ จึ่งไทเทเวศอ้าง ยายิ่ง ยศแฮ
มิ่งมหิศวรมกุฎ เฟื่ องด้าวดินไหว
เถลิงภพแผ่นอยุธย-
แสดงพระเดชฟุ้งฟ้า
คำศั พท์
มหิศวรมกุฎ = ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง,พระเจ้าเเผ่นดิน
เถลิง = ขึ้น
ถอดคำประพันธ์ได้ว่า
สมเด็จพระนเรศวรพระผู้เป็นดังสมมุติเทพ ผู้เป็นที่รักยิ่งของประชาชนได้ขึ้นครอง
ราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา ทรงมีพระเกียรติฟุ้งเฟื่ องไปทั่วทั้งแผ่นดิน
๔๕(๒๙๑)
๏ ภูวไนยผายโอษฐ์อื้น โชยงการ
แก่เทพทุกถิ่นสถาน ฉชั้ น
โสฬสพรหมพิมาน กมลาสน์ แลนา
เชิ ญช่ วยชุมโสตซั้ น สดับถ้อยตูแถลง
คำศั
พท์
โชยงการ = พระดำรัสของพระเจ้าแผ่นดิน,ตัดมาจากราชโยงการ
โสฬสพรหม(โส-ลด-พรม) = พรหมโลกซึ่งเป็นพรหมภูมิ
กมลาสน์ = ผู้มีดอกบัวเป็นที่ประทับหมายถึงรับพรหม
ชุมโสต = พร้อมกันเงี่ยหูฟัง
ถอดคำประพันธ์ได้ว่า
สมเด็จพระนเรศวรได้มีโองการเชิญเทพทุกถิ่นที่ตั้ง ๖ ชั้น เชิญพระ
พรหมในพรหมโลก ๑๖ ชั้น มาฟังคำแถลงของพระองค์
๔๖(๒๙๒)
๏ ซึ่งแสร้งรังสฤษฏ์ให้ มาอุบัติ
ในประยูรเศวตฉัตร สืบเชื้ อ
หวังผดุงบวรรัตน ตรัสเยศ ยืนนา
ทำนุกพระศาสน์เกื้อ ก่อสร้างแสวงผล
คำศั พท์
ประยูรเศวตฉัตร = ตระกูลกษัตริย์๑๔.”ขุนเสียม”หมายถึงเสียมในที่นี้
หมายถึงสยาม(ผู้เป็นฬหญ่ในสยามก็หมายถึง พระนเรศวรฯ)…ช้าง
ทรงของสมเด็จพระนเรศวรฯ = เจ้าพระยาไชยานุภาพ ช้างทรงของ
สมเด็จพระเอกกาทศรถ = เจ้าพระยาปราบไตรจัทร
ถอดคำประพันธ์ได้ว่า
การที่เทวดาบันดาลให้ข้าพเจ้ามาเกิดในเชื้ อสายกษัตริย์ด้วยหวังให้
ค้ำจุนพระรัตนตรัย ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง
บทวิเคราะห์ด้านวรรณศิ ลป์
โวหารภาพพจน์ที่ปรากฎ
๑ ) อุปมา
๔๓(๒๘๙) เดินดุจเคลื่อนคลาฟอง
๔๓(๒๘๙) ดูดั่งพรรษาซ้อง
๔๔(๒๙๐) สมมุติ มหิศวร
๒ ) อุปลักษณ์
๔๒(๒๘๘) คํารบสามครา เป็นทักษิณวรรต
๓ ) คำไวพจน์
๔๖(๒๙๒) รังสฤษฏ์ - สร้าง
๔ ) จินตภาพเสียง
๔๓(๒๘๙) เสียงฆ้องกลองปืนศึก อึกเอิกก้องกาหลง
๕ ) อธิพจน์
๔๔(๒๙๐) เถลิงภพแผ่นอยุธย- ยายิ่ง ยศแฮ
แสดงพระเดชฟุ้งฟ้า เฟื่ องด้าวดินไหว
๑ ) สั มผัสพยัญชนะ
๔๒(๒๑๕) (ร่าย)
สองขัติยายุรยาตรา ยังเกยราชหอทัพ ขุนคชขับช้างเทียบ ทวยหาญ
เพียบแผ่นภู ดูมหิมาดาดาษ สระพราศพร้อมโดยขบวน องค์อดิศวรสอง
กษัตริย์ คอยนฤขัตรพิชัย บัดเดี๋ยวไททฤษฎี พระศรีสารีริกบรมธาตุ ไขโอภาส
โศภิต ช่วงชวลิตพ่างยล ส้มเกลี้ยงกลกุก่อง ฟ่องฟ้าฝ่ายทักษิณ ผินแวดวง
ตรงทัพ นับ คำรบสามครา เป็นทักษิณาวรรตเวียน ว่ายฉวัดเฉวียนอัมพร
ผ่านไปอุดรโดยด้าว พลางบพิตรโทท้าว ท่านตั้งสดุดี อยู่นา
ฯลฯ
๒ ) สั มผัสสระ
๔๒(๒๑๕) (ร่าย)
สองขัติยายุรยาตรา ยังเกยราชหอทัพ ขุนคชขับช้างเทียบ ทวย
หาญเพียบแผ่นภู ดูมหิมาดาดาษ สระพราศพร้อมโดยขบวน องค์อดิศวร
สองกษัตริย์ คอยนฤขัตรพิชัย บัดเดี๋ยวไททฤษฎี พระศรีสารีริกบรมธาตุ
ไขโอภาสโศภิต ช่วงชวลิตพ่างยล ส้มเกลี้ยงกลลุก่อง ฟ่องฟ้าฝ่ายทักษิณ
ผินแวดวงตรงทัพ นับ คำรบสามครา เป็นทักษิณาวรรตเวียน ว่าย
ฉวัดเฉวียนอัมพร ผ่านไปอุดรโดยด้าว พลางบพิตรโทท้าว ท่านตั้งสดุดี อยู่
นา
ฯลฯ
๑ ) สั มผัสพยัญชนะ
๔๓(๒๘๙) (ร่าย)
เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ตามเต็มท่งแถวเถื่อน เกลื่อนกล่นแสนยา
ทัพ ถับปะทะไพรินทร์ ส่วนหัสดินอุภัย เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยา
ปราบไตรจักร ตรับตระหนักสำเนียง เสียงฆ้องกลองปืนศึก อึกเอิกก้อง
กาหลง เร่งคำรนเรียกมัน ชันหูชูหางแล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บาทย่าง
ใหญ่ดุ่มด่วน ป่วนกิริยาร่าเริง บำเทิงมันครั่นครึก เข้าสู้ศึกโรมราญ ควาญ
คัดท้ายบมิอยู่ วู่วางวิ่งฉับฉิว ปลิวประเล่ห์สมพาน ส่ำแสะสารแสนยา ขวา
ซ้ายแซงหน้าหลัง ทั้งทวยพลตนขุน ถ้วนทุกมุลมวลมาตย์ ยาตรบทันโท
ท้าว ด้าวศึกสู้สองสาร ราญศึกสู้สองไท้ ไร้พิริยะแห่ห้อม พร้อมแต่กลาง
ควาญคช กำหนดสี่โดยเสร็จ เห็จเข้าใกล้กองหน้า ข้าศึกดูดาษเดียร ธระเมีย
รหมู่ดัสกร มอญพม่าดาดื่น เดินดุจคลื่นคลาฟอง นองน่านในอรรณเวศ
ตรัสทอดพระเนตรเนืองบร โล่โรมรอนทวยสยาม หลามเหลือหลั่งคั่งคับ
ซับซ้อนแทรกสับสน ยลบเป็นทัพเป็นกอง ธก็ไสสองสารทรง ตรงเข้าถีบ
เข้าแทง ด้วยแรงมันแรงกาย หงายงาเสยสารเศิก เพิกพังพ่ายบ่ายตน ปน
ปะไปไขว่คว้าง ช้างศึกได้กลิ่นมัน หันหัวหกตกกระหม่า บ่ากันเลี่ยงกันหลบ
ประทบประทะอลวน สองคชชนชาญเชี่ยว เรี่ยวรณรงค์เริงแรง แทงถืบฉัด
ตะลุมบอน พม่ามอญตายกลาด ข้าศึกสาดปืนโซรม โรมกุฑัณฑ์ธนู ดูดั่ง
พรรษาซ้อง ไป่ตกต้องตนสาร ธุมาการเกิดกระลบ อบอลเวงฟากฟ้า ดูบ่
รู้จักหน้า หนึ่งสิ้นแสงไถง แลนา
๒ ) สั มผัสสระ
เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ตามเต็มท่งแถวเถื่อน เกลื่อนกล่นแสนยา
ทัพ ถับปะทะไพรินทร์ ส่วนหัสดินอุภัย เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยา
ปราบไตรจักร ตรับตระหนักสำเนียง เสียงฆ้องกลองปืนศึก อึกเอิกก้อง
กาหลง เร่งคำรนเรียกมัน ชันหูชูหางแล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บาทย่าง
ใหญ่ดุ่มด่วน ป่วนกิริยาร่าเริง บำเทิงมันครั่นครึก เข้าสู้ศึกโรมราญ ควาญ
คัดท้ายบมิอยู่ วู่วางวิ่งฉับฉิว ปลิวประเล่ห์สมพาน ส่ำแสะสารแสนยา ขวา
ซ้ายแซงหน้าหลัง ทั้งทวยพลตนขุน ถ้วนทุกมุลมวลมาตย์ ยาตรบทันโท
ท้าว ด้าวศึกสู้สองสาร ราญศึกสู้สองไท้ ไร้พิริยะแห่ห้อม พร้อมแต่กลาง
ควาญคช กำหนดสี่โดยเสร็จ เห็จเข้าใกล้กองหน้า ข้าศึกดูดาษเดียร ธระเมีย
รหมู่ดัสกร มอญพม่าดาดื่น เดินดุจคลื่นคลาฟอง นองน่านในอรรณเวศ
ตรัสทอดพระเนตรเนืองบร โล่โรมรอนทวยสยาม หลามเหลือหลั่งคั่งคับ
ซับซ้อนแทรกสับสน ยลบเป็นทัพเป็นกอง ธก็ไสสองสารทรง ตรงเข้าถีบ
เข้าแทง ด้วยแรงมันแรงกาย หงายงาเสยสารเศิก เพิกพังพ่ายบ่ายตน ปน
ปะไปไขว่คว้าง ช้างศึกได้กลิ่นมัน หันหัวหกตกกระหม่า บ่ากันเลี่ยงกันหลบ
ประทบประทะอลวน สองคชชนชาญเชี่ยว เรี่ยวรณรงค์เริงแรง แทงถืบฉัด
ตะลุมบอน พม่ามอญตายกลาด ข้าศึกสาดปืนโซรม โรมกุฑัณฑ์ธนู ดูดั่ง
พรรษาซ้อง ไป่ตกต้องตนสาร ธุมาการเกิดกระลบ อบอลเวงฟากฟ้า ดูบ่
รู้จักหน้า หนึ่งสิ้นแสงไถง แลนา
๑ ) สั มผัสพยัญชนะ
๔๔(๒๙๐) โคลง๔
๏ จึ่งไทเทเวศอ้าง สมมุติ
มิ่งมหิศวรมกุฎ เกศหล้า
เถลิงภพแผ่นอยุธย- ยายิ่ง ยศแฮ
แสดงพระเดชฟุ้งฟ้า เฟื่ องด้าวดินไหว
๔๕(๒๙๑)
๏ ภูวไนยผายโอษฐ์อื้น โชยงการ
แก่เทพทุกถิ่นสถาน ฉชั้ น
โสฬสพรหมพิมาน กมลาสน์ แลนา
เชิ ญช่ วยชุมโสตซั้ น สดับถ้อยตูแถลง
๔๖(๒๙๒)
๏ ซึ่งแสร้งรังสฤษฏ์ใ
ห้ มาอุบัติ
ในประยูรเศวตฉัตร สืบเชื้ อ
หวังผดุงบวรรัตน ตรัสเยศ ยืนนา
ทำนุกพระศาสน์เกื้อ ก่อสร้างแสวงผล
คุณค่าด้านเนื้ อหา
1.เป็นวรรณคดีชั้นสูงของชาติ ซึ้งถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของวรรณคดีเรื่องอื่น
2.ให้คุณค่ททางด้านวรรณคดีมีวรรณศิลป์หลายประการ เช่น การเล่นคำ การใช้โวหาร
ต่างๆ การพรรณนาให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วม
3ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และลักษณะของผู้ฟังที่ดี
4.ปลูกใจให้คนไทยรักกันและเทิดทูนแผ่นดินไทยจนพร้อมที่จะเสี ยสละเพื่อบ้านเมือง
คุณค่าทางด้านสั งคม
1.ปลุกใจให้คนไทยเทิดทูนและรักแผ่นดินไทย
2.สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์
3.สะท้อนเกีายวกับขนบธรรมเนียนประเพณีดั้งเดิม
4.สะท้อนให้เห็นความเชื่ อในสังคมไทย
จัดทำโดย
นายเป็นหนึ่ง เปี่ ยมไทย ม.๕/๔ เลขที่ ๑
นายอเล็คซ์ ภูวดล ลีไวน์ ม.๕/๔ เลขที่ ๑๗
นายเดชาวัต เสาร์ทอง ม.๕/๔ เลขที่ ๓๓
นางสาวพัชมน พรลภัสชัยเลิศ ม.๕/๔ เลขที่ ๓๗
นางสาวชมพูนุท พุทธกุล ม.๕/๔ เลขที่ ๓๙