19. การเคลื่อนท่ีของมนษุ ย์ วชิ าชีววทิ ยา
ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6
กลุม่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โดย ครสู ิริกร คงกลา้
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์
การเคลือ่ นทขี่ องมนุษย์
? การเคล่ือนทขี่ องมนุษย์
เกิดจากการทางานรว่ มกัน
ของโครงสรา้ งใด ?
ระบบโครงกระดูก
กระดูกแกน (axial skeleton) อยูบ่ รเิ วณกลางของรา่ งกาย มี 80 ชิ้น ไขสนั หลงั
กระดูกสนั หลัง
กะโหลกศีรษะ - 22 ชน้ิ
• กระดูกทเี่ ปน็ แผ่นเชอ่ื มตดิ กัน หมอนรอง
• ทำหนำ้ ท่ีหอ่ หุ้มและปอ้ งกันสมอง กระดกู
กระดกู อก กระดกู สนั หลัง
• อยู่ตรงกลางของทรวงอก เชื่อมตอ่ กับกระดกู ซ่ีโครง
• ทำหน้ำที่ป้องกนั อวัยวะทอี่ ยภู่ ำยในช่องอก • กระดูกทม่ี ีลักษณะเปน็ ข้อ ๆ ต่อกนั
กระดูกซโี่ ครง • ทำหน้ำท่ีช่วยคำ้ จนุ และรองรับน้ำหนกั ของรำ่ งกำย
• ลักษณะเปน็ ซ่ีๆ 12 คู่ เชอื่ มต่อกับกระดูกสันหลังและ • ระหว่ำงกระดูกสันหลังแต่ละข้อมีหมอนรองกระดูก
กระดูกอก ช่วยรับแรงกดท่ีเกิดจำกกำรเคลื่อนไหวและป้องกัน
• ทำหนำ้ ที่ป้องกนั อนั ตรำยให้กับอวยั วะภำยใน แรงกระเทือนแก่กระดกู สนั หลัง
• ทำงำนร่วมกับกล้ำมเนื้อยึดกระดูกซี่โครงแถบนอก
และแถบในทเี่ กย่ี วกับกำรหำยใจ
โครงกระดกู แกนในผู้ใหญ่
กะโหลกศีรษะ (Skull) ---- 22 ชนิ้
กระดกู หู (Ear ossicles) ----- 6 ชนิ้
กระดกู โคนลนิ้ (Hyoid bone)---- 1 ชนิ้
กระดกู สันหลัง (Vertebral column) -- 26 ชนิ้
กระดกู ซ่โี ครง (Ribs) --- 24 ชนิ้
กระดกู อก (Sternum) --- 1 ชนิ้
รวม 80 ชนิ้
.
ระบบโครงกระดูก
กระดกู รยางค์ (appendicular skeleton)
• โครงกระดกู ทนี่ อกเหนอื จากกระดกู แกน กระดูกไหปลาร้า ข้อตอ่ และเอ็นยึดข้อต่อ
• มี 126 ช้นิ
กระดูกสะบกั • บริเวณที่กระดกู 2 ชน้ิ มำเชอ่ื มตอ่ กนั
กระดูกแขน • มนี ้าไขขอ้ (synovial fluid) หลอ่ ลื่นข้อตอ่
กระดูกเชงิ กราน ให้เคล่ือนไหวได้สะดวกและไม่เสียดสีกนั
• มเี อน็ ยึดข้อ (ligament) ยดึ กระดูกให้เชอื่ ม
กระดูกขา
ตดิ กัน
เอน็ ยึดขอ้
น้ำไขขอ้
กระดกู รยางค์ในผู้ใหญ่
กระดกู ส่วนไหล่ (Shoulder girdle) --4 ชนิ้
กระดกู แขน (Bones of arms) --6 ชนิ้
กระดกู มือ (Bones of hands) --54 ชนิ้
กระดกู เชงิ กราน (Pelvic girdle) --2 ชนิ้
กระดกู ขา (Bones of lgs) --8 ชนิ้
กระดกู เท้า (Bones of feet) --52 ชนิ้
รวม 126 ชนิ้
ข้อต่อ (Joint)
-ข้อต่อ: เป็ นบริเวณท่กี ระดกู มาต่อกับ
กระดกู มี synovial memebranes
มาหุ้มบริเวณข้อต่อ เพ่ือป้ องกันการ
เสียดสีระหว่างกระดูก จะมีกระดูก
อ่อนมาทาหน้าท่ีเป็ นหมอนรอง และ
มี synovial fluid ทาหน้าท่ีเป็ นสาร
หล่อล่ืน
-Ligament: เป็ นเอ็นท่ียดึ ระหว่าง
กระดกู กับกระดกู
-Tendon: เป็ นเอ็นท่ียดึ ระหว่าง
กล้ามเนือ้ กับกระดูก
ขอ้ ตอ่
ขอ้ ต่อ แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท
1 ขอ้ ต่อท่เี คลอื่ นไหวไมไ่ ด้
• ข้อต่อที่กระดกู ยดึ ตดิ กันด้วยเนื้อเยอื่ เก่ยี วพนั ที่เปน็ พังผืด
หรือลักษณะการเชื่อมต่อของกระดูกทม่ี ีรอยหยกั คล้ายฟัน
• พบท่ีกะโหลกศีรษะ
2 ข้อตอ่ ที่เคลอื่ นไหวไดเ้ ลก็ น้อย
• ขอ้ ตอ่ ที่กระดกู ยึดติดกนั ด้วยกระดกู ออ่ น
• พบทีก่ ระดกู สันหลัง กระดูกซโี่ ครง
3 ขอ้ ต่อทเ่ี คล่อื นไหวได้ดี
• ขอ้ ต่อที่เคล่ือนไหวไดม้ าก มชี อ่ งวา่ งอย่ภู ายใน
• พบท่ีหัวไหล่ ขอ้ ศอก นว้ิ มือ หวั เข่า
ขอ้ ต่อแบบเดือยหรือแบบหมนุ 6 ขอ้ ตอ่ ทเ่ี คล่อื นไหวได้ ข้อตอ่ แบบเบา้ (ball and socket joint)
(pivot joint or rotary joint)
1 • มีอสิ ระในกำรเคลอ่ื นไหวมำกท่ีสดุ
• มีกำรเคลื่อนไหวแบบหมนุ • เชน่ ข้อต่อบรเิ วณหวั ไหล่ ข้อต่อบริเวณสะโพก
• เช่น ข้อต่อบริเวณตน้ คอกบั ฐำน 2
ขอ้ ตอ่ แบบวงรหี รอื แบบปุ่ม
กะโหลกศรี ษะ 3 (ellipsoidal/condylar joint)
ข้อต่อแบบบานพับ (hinge joint) 5 • มีพนื้ ผิวของข้อตอ่ คล้ำยกบั ขอ้ ต่อแบบเบำ้
แตจ่ ำกัดกำรเคลื่อนไหวในดำ้ นใดดำ้ นหนง่ึ
• มกี ำรเคล่อื นไหวในสองมิติคล้ำยบำนพับ
ประตู • เช่น ข้อต่อกระดกู ฝำ่ มือและข้อมอื
• เช่น ข้อต่อบรเิ วณข้อศอกและข้อเขำ่ ขอ้ ตอ่ แบบสไลด์ (gliding joint)
ขอ้ ต่อแบบอานมา้ (saddle joint) 4 • เคลอ่ื นไหวเฉพำะแนวระนำบ
• เช่น ข้อต่อกระดกู ข้อมือ ขอ้ ตอ่ กระดูกข้อเทำ้
• ข้อตอ่ ทีม่ กี ำรประกบกันของส่วนเวำ้ ของปลำย
กระดกู ท้ังสองในแนวทีต่ ่ำงกัน จงึ จำกัดกำรหมนุ ขอ้ ต่อกระดกู สันหลัง
• เช่น ข้อต่อระหว่ำงกระดกู ฝ่ำมอื กบั
กระดกู นิ้วหวั แมม่ อื
ระบบกลา้ มเนอ้ื
กล้ามเน้อื หวั ใจ (cardiac muscle)
• เป็นกล้ำมเน้อื ของหัวใจโดยเฉพำะ
• เซลลร์ ปู ทรงกระบอกทีม่ ีลำยตำมขวำง สว่ นปลำยของเซลล์แตกแขนงและเชอ่ื มตอ่
กบั เซลลข์ ำ้ งเคียงแตล่ ะเซลลม์ หี ลำยนิวเคลียส
• ถกู ควบคุมโดยระบบประสำทอตั โนวตั ิ
กล้ามเน้ือเรียบ (smooth muscle)
• เปน็ กล้ำมเน้อื ท่ไี มม่ ีลำย
• เซลล์มลี ักษณะแบนยำว หวั ทำ้ ยแหลม แตล่ ะเซลลม์ ี 1 นวิ เคลยี ส
• ถกู ควบคมุ โดยระบบประสำทอัตโนวตั ิ
• พบในอวยั วะภำยใน เชน่ ลำไส้ ปอด กระเพำะอำหำร
กลา้ มเนื้อโครงรา่ ง (skeletal muscle)
• เป็นกล้ำมเน้ือทย่ี ึดติดกบั กระดูก
• เซลลม์ ีลักษณะเป็นทรงกระบอก มแี ถบสีเข้มสลบั สีจำง แตล่ ะเซลลม์ หี ลำยนวิ เคลยี ส
• ถกู ควบคุมโดยระบบประสำทโซมำติก
การเคลื่อนไหวของมนษุ ย์
เกดิ จำกกำรทำงำนของกล้ำมเนื้อ 2 ชดุ เช่น กำรทำงำนของกล้ามเน้อื ไบเซพ (biceps) และกลา้ มเนื้อไตรเซพ
(triceps) ในสภำวะตรงกันข้ำม
ขณะงอแขน ขณะเหยียดแขน
The skeleton-muscle connection
-การเคล่อื นไหวส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกายเกดิ จากการทางานร่วมกนั
ของ nerves, bones, muscles
-การหด-คลายตวั ของกล้ามเนือ้
เป็ นการทางานร่วมกันของกล้ามเนือ้
2 ชุด ท่ที างานตรงข้ามกัน
เช่น การงอแขน
:กล้ามเนือ้ biceps (flexor) หดตวั
(เป็ น agonist)
:กล้ามเนือ้ triceps(extensor) คลาย
ตวั (เป็ น antagonist)
The power arm-load arm concept
-ในการเคล่ือนของกระดกู จะมีกระดกู ท่อนหน่ึง
ทาหน้าท่เี ป็ นจุดหมุน (falcum)
-ความเร็วในการเคล่ือนท่ี หรือความสามารถ ในการรองรับ
นา้ หนักของกระดกู ขนึ้ อย่กู บั
อตั ราส่วนของ power arm ต่อ load arm
-power arm: ระยะทางระหว่างจุดท่กี ล้ามเนือ้ ยดึ
กบั กระดกู ถงึ จุดหมุน
-load arm: ระยะทางระหว่างจุดหมุนถงึ บริเวณท่ี
ใช้ในการเคล่อื นไหว เช่น เท้า หรือมือ
-ถ้าอตั ราส่วน power arm/load arm ต่า เช่น
ในเสือชีต้า กระดกู จะเคล่ือนท่ไี ด้เร็ว
-ถ้าอตั ราส่วน power arm/load arm สูง เช่น
ในตวั badger กระดกู จะรับนา้ หนักได้มาก
Origin and insertion
-ท่ปี ลายทงั้ สองข้างของกล้ามเนือ้
แต่ละมดั จะยดึ ตดิ กบั กระดกู โดย
ด้านท่ยี ดึ ตดิ กับกระดกู เฉย ๆ
(ตดิ กบั กระดกู ท่ไี ม่เคล่ือนท่)ี
เรียก origin ส่วนปลายท่ยี ดึ กบั
กระดกู ท่มี กี ารเคล่ือนไหว เรียก
insertion
-Tendon ท่ี origin มักจะกว้าง ท่ี
insertion มกั จะแคบ เพ่อื จากัด
ความแรงในการหดตวั ของ
กล้ามเนือ้ เกดิ ขนึ้ เฉพาะจดุ
The structure of skeleton muscle
-skeleton muscle เกดิ จากมัดของ muscle fiber
(cell) มารวมกนั
-muscle fiberแต่ละอนั คอื 1 เซลล์ท่มี ีหลาย
นิวเคลียส ท่เี กดิ จากหลาย ๆ เซลล์ในระยะแรก
มารวมกนั
-แต่ละ muscle fiber เกดิ จากมัดของ myofibrils
มารวมกนั
-myofibrilsประกอบด้วย myofilaments 2 ชนิด คือ
1.Thin filament เกิดจาก actin 2 สายและ regulatory
protein (tropomyosin) 1 สาย มาพนั กนั
2.Thick filament เกิดจากmyosinมารวมกันเป็นมัด
-การจดั เรียงตัวของ myofilaments ทา้ ใหเ้ กิด
light-dark band ซา้ ๆ กนั เรยี กแต่ละหนว่ ยท่ีซา้
กนั นีว้ ่า sarcomere (ดงั รปู )
เซลล์กลา้ มเน้อื แตล่ ะเซลล์มีนวิ เคลียส (nucleus) อยเู่ ปน็ จา้ นวนมาก เน่ืองจากเซลลก์ ลา้ มเนอื้
เกิดจากการรวมตวั ของเซลล์กลา้ มเนือ้ ตั้งต้น (myoblast) นบั รอ้ ยเซลล์ต้ังแตต่ อนท่ีเรายงั เปน็ ตวั อ่อนอยูใ่ น
ท้องแม่ นวิ เคลียสของเซลลก์ ล้ามเน้ือจะอยูช่ ิดกบั เยือ่ หุม้ เซลล์ องคป์ ระกอบตา่ งๆ ภายในเซลลก์ ม็ ี
เชน่ เดยี วกบั เซลล์โดยทั่วไป แตช่ อ่ื ท่เี รียกองค์ประกอบน้นั ๆ อาจจะแตกต่างออกไป
> เยอื่ หุม้ เซลล์กลา้ มเนื้อ --เรียกว่า ซารโ์ คเลมมา (sarcolemma)
> สว่ นของเหลวท่อี ยภู่ ายในเซลล์เรียกวา่ ซาร์โคพลาซมึ (sarcoplasm) ซึ่งจะมีมดั ของ
เสน้ ใยฝอย คอื ไฟบริล (fibril) ลอยตวั อยเู่ กอื บเตม็ พืน้ ท่ีของเซลล์
> ไมโทคอนเดรีย (mitochondria) -- เรยี กว่าซาร์โคโซม (sarcosome)
> ร่าง ER เรยี กวา่ รา่ งแหซารโ์ คพลาสมกิ (sarcoplasmic reticulum)
> Myoglobin –โปรตนี ท่ีทา้ หนา้ ทใ่ี นการจับและขนสง่ O2 ใหเ้ ซลล์กล้ามเนื้อ
ร่างแหซารโ์ คพลาสมิกของกลา้ มเนอ้ื ลายมีลักษณะเป็นท่อที่เช่อื มโยงกันโอบล้อมเสน้ ใยฝอยแต่ละเสน้
ไวโ้ ดยรอบตามความยาว บางตอนของร่างแหซารโ์ คพลาสมกิ จะมีลักษณะแผ่บานออก ภายในสว่ นบานนจี้ ะบรรจุ
แคลเซียมไอออน (Ca2+) ไว้มากมาย Ca2+พวกน้จี ะจบั อยูก่ ับโปรตีนชอ่ื แคลซีเควสตรนิ (calsequestrin)
เสน้ ใยฝอยยังถกู ล้อมรอบด้วยท่อทางขวาง (T-tubule หรอื transverse tubule) อีกด้วย ทอ่ ทางขวาง
เปน็ ส่วนหน่งึ ของเยื่อหมุ้ เซลลท์ ่ียื่นเขา้ ไปในเซลล์
** ดงั นัน้ ช่องว่างในท่อทางขวางกถ็ อื ว่าเป็ นส่วนนอกของเซลล์**
ท่อทางขวางทา้ หน้าทเี่ ปน็ ทอ่ ส่งสญั ญาณจากภายนอก
เข้าไปยังเสน้ ใยกลา้ มเนอื้ ทุกๆ เส้น ในบางบรเิ วณทอ่ ทางขวาง
จะถกู ขนาบดว้ ยส่วนแผ่บานของรา่ งแหซาร์โคพลาสมิก
บรเิ วณดงั กล่าวนั้นเรียกวา่ ไตรแอด (triad) ลักษณะเช่นนี้
มคี วามสา้ คญั ตอ่ กระบวนการการหดตัวของกลา้ มเน้อื
การหดตัวของกล้ามเนือ้ skeleton
-การหดตัวของกล้ามเนือ้ skeleton
เกิดจากการเล่ือนเข้ามาซ้อนกนั ของ thin filament
เรียก sliding-filament model
-การหดตัวของกล้ามเนือ้ เกิดโดยความกว้าง
ของ sarcomere ลดลง, ระยะทาง ระหว่าง Z line
สัน้ ลง, A band คงท่ี, I band แคบเข้า, H zone
หายไป
-พลังงานท่ีใช้ในการหดตวั ของกล้ามเนือ้ หลัก ๆ
อยู่ในรูปของ creatine phosphate
Sliding-filament model
1.ส่วนหวั ของ myosin จับกบั ATP, อย่ใู นรูป low-energy configuration
2.myosin head(ATPase) สลาย ATP ได้ ADP+Pi,
อย่ใู นรูป high-energy configuration
3.myosin head เกดิ cross-bridge กบั สาย actin
4.ปล่อย ADP+Pi, myosin กลบั สู่ low-energy configuration ทาให้เกดิ แรงดงึ thin filament เข้ามา
5.ATPโมเลกุลใหม่เข้ามาจับกับ myosin head ทาให้ myosinหลุดจาก actin, เร่ิมวงจรใหม่
การควบคุมการหดตัวของกล้ามเนือ้
-skeleton muscle หดตวั เม่ือได้รับการ
กระตุ้นจาก motor neuron
-ในระยะพกั บริเวณท่เี ป็ นตาแหน่งท่ี
myosin มาเข้าจับ บนสาย actin (myosin
binding site) ถกู ปิ ดด้วยสายของ
tropomyosin โดยการเปิ ด-ปิ ดของ
tropomyosin ถูกควบคุมด้วย troponin
complex
-binding site จะเปิ ดเม่ือ Ca2+ เข้ามาจับ
กับ troponin
-sarcoplasmic reticulum (SR) เป็ นแหล่งเกบ็ Motor end-plate
Ca2+ ในเซลล์กล้ามเนือ้
-เม่อื action potential จาก motor neuron
มาถงึ บริเวณ synaptic terminal ทาให้
มกี ารหล่ัง Ach ท่ี neuromuscular junction,
เกดิ depolarization ท่เี ซลล์กล้ามเนือ้
-action potential แพร่ไปยงั เย่อื เซลล์ของ
กล้ามเนือ้ ท่เี รียกว่า T (transverse) tubules
-ตาแหน่งท่ี T tubules สัมผัสกับ SR ทาให้มี
การหล่ัง Ca2+
-การหดตัวของกล้ามเนือ้ จะหยุดเม่ือ SR
ป๊ัม Ca2+ จาก cytoplasm กลับเข้ามาเกบ็ ใน SR
1.Ach หล่งั จาก สรุปการหดตัวของกล้ามเนือ้
neuron จับ
receptor 2.Action potential เคล่อื นไป T tubule
7.tropomyosinปิ ด binding site, 3.SR หล่ัง Ca2+
หยุดการหดตัวของกล้ามเนือ้ 4.Ca2+จับtroponin,
binding silt เปิ ด
6.ป๊ัมCa2+ กลบั สู่ SR 5.กล้ามเนือ้ หดตัว
การหดตัวของมดั กล้ามเนือ้
-ในมัดกล้ามเนือ้ แต่ละมัดประกอบด้วย muscle fiber หลายเซลล์มารวมกนั
-การตอบสนองต่อแรงกระต้นุ ของ muscle fiberเป็ นแบบ all-or-none (เหมือน neuron) และแต่ละ
muscle fiber มี threshold ในการหดตวั ไม่เท่ากัน
- การหดตวั ของมัดกล้ามเนือ้ แต่ละครัง้ (single twitch) ขนึ้ อย่กู บั ความแรงท่มี ากระตุ้น
- ถ้ากล้ามเนือ้ ได้รับการกระต้นุ 2 ครัง้ ต่อเน่ืองกัน & มีระยะห่างพอเหมาะ จะทาให้ความแรง
ในการหดตวั ครัง้ ท่ี 2 เพ่มิ ขนึ้ (summation)
-Tetanus เป็ นการหด(เกร็ง)โดยไม่มีการ
คลายตวั ของกล้ามเนือ้ จากการกระต้นุ ถ่ๆี
และต่อเน่ือง
-Fatigue (การล้า) เป็ นสภาพทกี ล้ามเนือ้
หมดความสามารถในการหดตวั
Motor unit
-ในสัตว์มีกระดกู สันหลัง muscle cell 1 เซลล์
จะถกู ควบคุมโดย motor neuron 1 เซลล์เท่านัน้
-แต่ 1 motor neuron อาจควบคุมการทางาน
>1 muscle cell
-Motor unit ประกอบด้วย 1 motor neuron
และ muscle fiber ทงั้ หมดท่ี neuron ควบคุม
-กล้ามเนือ้ ท่ีต้องการการเคล่ือนไหวท่ี
ละเอียดอ่อน จะมีอัตราส่วนระหว่าง motor
neuron/muscle cell ต่า เช่นกล้ามเนือ้ ลูกตา
(1/3-4)
SUMMARY โครงสร้างของกล้ามเน้ือโครงร่าง ไมโอซิน
กลา้ มเนือ้ แอกทนิ
เส้นใยกล้ามเน้ือ
มัดกล้ามเนอ้ื
ซารโ์ คเมยี ร์ (กลา้ มเนอ้ื คลายตวั )
เส้นใยกล้ามเน้อื เล็ก ซารโ์ คเมียร์ (กลา้ มเนอื้ หดตัว)
การท้างานของกลา้ มเนื้อโครงรา่ ง
สมมตฐิ านการหดตวั ของกลา้ มเน้อื (sliding filament hypothesis) เกดิ จำกกำรเลื่อนตวั ของแอกทนิ เขำ้ หำกันตรงกลำง
ซงึ่ ตอ้ งอำศัยพลงั งำนและแคลเซียมเพื่อทำให้เสน้ ใยกล้ำมเนอื้ หดตวั
แคลเซยี ม
2
1
เม่อื แคลเซียมสูงขน้ึ จะ
ในสภำวะปกติ ไมโอซินไม่ แอกทิน เข้ำจบั กับโปรตีนควบคมุ
สำมำรถจบั กับแอกทินได้ ทำใหไ้ มโอซินสำมำรถ
เนอ่ื งจำกมโี ปรตีนควบคุม
จบั กับแอกทนิ ได้
ขัดขวำงอยู่
ไมโอซนิ
4 3
แคลเซียมถูกดงึ กลบั แอกทนิ เล่ือนตัวเข้ำหำกนั
ซำร์โคพลำสมิกเรตคิ ิวลมั ทำให้กล้ำมเนื้อหดตัว
โดยแคลเซียมปัม๊ (ใช้ ATP)
ทำให้กล้ำมเน้ือคลำยตัว
SUMMARY การเคล่ือนที่ของส่ิงมีชีวติ
การเคลอื่ นทขี่ องสิง่ มีชีวิตเซลลเ์ ดียว
การเคล่ือนที่โดยอาศยั การไหลของไซโทพลาซึม
พบในอะมีบำ โดยอำศัยกำรแปรสภำพกลับไปกลับมำของเอ็กโทพลำซึมและเอนโดพลำซึม ซ่ึงจะทำงำนร่วมกับกำรหดและคลำยตัว
ของไมโครฟิลำเมนต์ (แอกทินและไมโอซิน) ทำให้เกิดกำรไหลของไซโทพลำซึมไปในทิศทำงที่เซลล์เคลื่อนท่ีและดันเย่ือหุ้มเซลล์
ให้โปง่ ออกเป็นเทำ้ เทียม
การเคลือ่ นทีโ่ ดยอาศัยแฟลเจลลมั และซเิ ลีย
• แฟลเจลลมั : โบกพัดจำกโคนสปู่ ลำย ทำให้เกดิ กำรเคล่อื นไหวแบบลูกคลนื่ พบในยกู ลนี ำและวอลวอกซ์
• ซิเลยี : โบกพัดในทิศทำงเดียวกัน ทำใหเ้ ซลลเ์ คลอ่ื นที่ไปด้ำนหน้ำแบบไม่มที ศิ ทำง พบในพำรำมีเซียม
SUMMARY การเคลือ่ นทข่ี องสงิ่ มีชีวิต
การเคลอื่ นท่ขี องสตั ว์
แมงกะพรุน อำศัยกำรหดตวั ของเน้อื เยอ่ื บริเวณขอบกระดง่ิ และบรเิ วณผนงั ลำตวั สลับกนั ทำใหเ้ กิดแรงดันน้ำผลักตัวแมงกะพรุนใหเ้ คลือ่ นท่ี
ไปในทศิ ทำงตรงข้ำมกับนำ้ ทพ่ี ่นออกมำ
หมึก อำศัยกำรหดตวั ของกล้ำมเน้ือบรเิ วณลำตวั ทำให้น้ำภำยในลำตวั พ่นออกทำงท่อไซฟอนซ่งึ อย่ทู ำงส่วนล่ำงของหัว ตวั ของหมกึ จึงพงุ่ ไป
ในทิศทำงตรงข้ำมกบั ทศิ ทำงของนำ้ ทีพ่ น่ ออกมำ
ดาวทะเล อำศยั แรงดนั ของระบบทอ่ นำ้ นำ้ เข้ำทำงมำดรโี พไรตไ์ หลไปตำมทอ่ น้ำวงแหวนและท่อน้ำแนวรัศมเี ข้ำสูแ่ อมพูลลำ เมื่อกลำ้ มเน้ือ
ของแอมพูลลำหดตัวจะดันนำ้ ไปยังทวิ บฟ์ ที ทำให้ทวิ ป์ฟีทยดื ยำวไปแตะพนื้ ใตน้ ้ำ และเมือ่ กล้ำมเน้อื ของทิวป์ฟีทหดตัวจะดันน้ำกลับไปยัง
แอมพูลำ ทำใหท้ วิ ป์ฟที สัน้ ลง กำรยืดและหดของทวิ บฟ์ ีทหลำย ๆ ครัง้ ทำใหด้ ำวทะเลเคลือ่ นท่ี
ไส้เดือนดนิ อำศัยกำรหดตัวและคลำยตัวของกล้ำมเน้ือวงและกล้ำมเนื้อตำมยำวซ่ึงทำงำนในสภำวะตรงกันข้ำม เมื่อกล้ำมเน้ือวงคลำยตัว
และกลำ้ มเนื้อตำมยำวหดตวั จะทำให้ปลอ้ งส้นั ลงและโป่งออก และเม่ือกลำ้ มเนอื้ วงหดตัวและกล้ำมเนื้อตำมยำวคลำยตัวจะทำให้ปล้องยำว
และยืดออก อกี ทั้งมเี ดือยช่วยบังคับทิศทำงในกำรเคลอื่ นที่
SUMMARY การเคล่ือนทขี่ องส่งิ มชี ีวิต
การเคลอื่ นทีข่ องสัตว์
แมลง มกี ารเคลอ่ื นท่ี 2 รปู แบบ ดงั น้ี
• การบิน : ยกปกี ขึน้ : กลำ้ มเนื้อตำมยำวยึดปีกคลำยตวั กล้ำมเนือ้ ยดึ เปลือกหุม้ สว่ นอกหดตัว
กดปีดลง : กลำ้ มเน้อื ตำมยำวยึดปีกหดตัว กล้ำมเน้ือยึดเปลือกหุ้มส่วนอกคลำยตัว
• การกระโดด : งอขา : กลา้ มเนือ้ เฟล็กเซอร์หดตัว กล้ามเนือ้ เอ็กเทนเซอร์คลายตัว
เหยียดขา : กลา้ มเนอ้ื เฟลก็ เซอรค์ ลายตวั กล้ามเนอื้ เอก็ เทนเซอร์หดตวั ตัว
ปลา
• การเคลือ่ นทีแ่ นวระนาบ : อำศัยกำรหดและคลำยตัวแบบสลับของกล้ำมเนือ้ ยึดตดิ กระดกู ท่ียึดตดิ กับกระดกู สันหลังแต่ละสว่ น
และกำรพดั โบกของครบี หำงในทิศตรงขำ้ มกับสว่ นหัว ทำใหเ้ คลอ่ื นท่ีคล้ำยตวั S
• การเคล่อื นทีใ่ นแนวดงิ่ : อำศยั กำรทำงำนของครีบหลัง ครีบอก และครบี สะโพกชว่ ยในกำรทรงตวั
นก อาศยั การทางานของกลา้ มเนื้อยกปีกและกลา้ มเนอื้ กดปีกในสภาวะตรงกันขา้ ม
• ยกปกี ขึ้น : กล้ำมเนื้อยกปีกหดตวั กลำ้ มเน้อื กดปีกคลำยตัว
• กดปกี ลง : กล้ามเนื้อยกปีกคลายตวั กลา้ มเนื้อกดปีกหดตวั
SUMMARY การเคล่อื นทขี่ องส่งิ มชี วี ติ
การเคลอ่ื นท่ีของมนษุ ย์
ระบบโครงกระดูก
ประกอบดว้ ยกระดกู แกน 80 ช้นิ และกระดกู รยำงค์ 126 ช้ิน ซ่ึงมขี ้อต่อและเอ็นยดึ ขอ้ เชื่อมตอ่ กระดูก 2 ช้ิน เขำ้ ด้วยกัน
ระบบกล้ามเนอ้ื
• กล้ำมเนอื้ หัวใจ พบเฉพำะท่ีหวั ใจ
• กล้ำมเนอ้ื เรียบ พบทีอ่ วัยวะภำยใน
• กลำ้ มเนอ้ื โครงรำ่ ง เปน็ กล้ำมเนอื้ ทย่ี ดึ ติดกับกระดกู เช่น บรเิ วณแขนและขำ ซงึ่ กำรทำงำนของกลำ้ มเนอื้ โครงร่ำงทำให้เกดิ กำรเคลื่อนท่ี
เชน่ กำรทำงำนของกลำ้ มเนอ้ื ไบเซพและกลำ้ มเน้ือไตรเซพในสภำวะตรงกันข้ำม ทำให้เกิดกำรงอแขนและเหยียดแขน
โครงสรา้ งและการท้างานของกลา้ มเน้ือ
กำรหดตัวของกล้ำมเน้ือเกดิ จำกแอกทนิ เลื่อนตัวเขำ้ หำกันตรงกลำง ซึง่ ตอ้ งอำศัยพลังงำนและแคลเซยี ม จงึ ทำให้เสน้ ใยกล้ำมเนอื้ หดตวั
https://www.youtube.com/watch?v=nTZnBdeIb5c
https://www.youtube.com/watch?v=VHKjHQZHt3s