The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

HANDBOOK OF SUTERING
คู่มือการเย็บแผล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rinsato12012558, 2021-08-27 07:35:41

HANDBOOK OF SUTERING

HANDBOOK OF SUTERING
คู่มือการเย็บแผล

HANDBOOK
OF SUTERING

คมู่ ือการเยบ็ แผล

นางสาวชตุ ิมา วดั บญุ เลี้ยง
รหสั นักศึกษา 61102301033 (B9)

วิชาการรกั ษาพยาบาลเบื้องต้น (พย. 1426)

HANDBOOK OF SวUTิทERยINาGลคยั่มู อื พกายรเยา็บบแผาล ลบรมราชชนนี พทุ ธชนิ ราช

คมู่ อื หตั ถการเย็บแผล

จัดทำโดย

นางสาวชตุ ิมา วัดบุญเลย้ี ง
รหสั นักศกึ ษา 61102301033

กลุ่ม B9 รุน่ 70

เสนอ
อาจารย์ ดร.สาวติ รี ลิม้ กลมทิพย์

รายงานนเี้ ปน็ ส่วนหน่ึงของวชิ าการรกั ษาพยาบาลเบื้องต้น (พย. 1426)
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเยบ็ แผล



คำนำ
คู่มอื การเย็บแผลเลม่ น้ี เป็นส่วนหน่งึ ของรายวชิ า การรกั ษาพยาบาลเบื้องตน้ (พย. ๑๔๒๖) โดยมี
วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือศกึ ษาเกีย่ วกับ อุปกรณ์ ขนั้ ตอนและวธิ ีการเย็บแผล เพ่อื ใหน้ ักศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ
วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี พทุ ธชนิ ราชที่กำลังศึกษาอยู่ไดม้ ีความรเู้ ข้าใจทางหัตถการฟ้ืนฐานศัลยกรรม
ทางนกั ศึกษาไดจ้ ัดทำคู่มือน้ีข้ึนมาเพ่ือเปน็ แนวปฏบิ ัตริ ่วมกัน
โดยเนอื้ หาในรายงานประกอบดว้ ย ลักษณะบาดแผล วัตถุประสงค์ของการเยบ็ แผล การเตรยี มผปู้ ว่ ย
ก่อนการเยบ็ แผล อปุ กรณท์ ่ีใชใ้ นการเย็บแผล ข้ันตอนการเย็บแผลและคำแนะนำการดแู ลแผล
ผจู้ ัดทำหวังเปน็ อยา่ งยิง่ วา่ คู่มือหตั การพน้ื ฐานการเยบ็ แผลเล่มนี้จะเป็นประโยชนต์ ่อสำหรบั นักศกึ ษา
พยาบาลและพยาบาลวิชาชีพทวั่ ไป ผทู้ สี่ นใจศกึ ษาเกยี่ วกบั การเย็บแผล ขอ้ ผิดพลาดประการใดทางผจู้ ัดทำขอ
นอ้ มรับในข้อช้แี นะ และจะนำไปแก้ไขหรือพัฒนาให้ถูกต้องสมบูรณใ์ นโอกาสตอ่ ไป

ผจู้ ดั ทำ
ชุติมา วัดบญุ เลย้ี ง
๒๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเยบ็ แผล

สารบญั ข

เร่อื ง หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
บทนำ ค
วัตถปุ ระสงค์ของการทำหัตถการ 1
ลักษณะแผล 1
1
- ชนดิ ของบาดแผล 4
8
- กระบวนการหายของแผล 9
11
- ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ การหายของแผล 17
27
การเตรยี มผ้ปู ่วยก่อนทำหตั ถการ 31

อปุ กรณ์

ขัน้ ตอนการทำหัตถการ

คำแนะนำ (แผล,การตัดไหม, วัคซนี ฯลฯ)

อ้างองิ

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ ือการเยบ็ แผล



บทนำ
ในฐานะผู้ให้บริการทางสาธารณสขุ ท่านจะมีโอกาสดูแลผู้ป่วยท่มี บี าดแผลทงั้ บาดแผลที่เกิดข้นึ
เฉียบพลันจากอบุ ตั เิ หตหุ รือการผา่ ตดั (acute wound) และบาดแผลเรือ้ รังทเ่ี กิดจากสาเหตุต่างๆ
(chronic wound) ความรเู้ บื้องต้นเกย่ี วกับกรหายของบาดแผล ลักการและวิธีการดูแลบาตแผล และชนดิ ของ
วสั ดุปิดแผลจะช่วยใหก้ ารหายของบาตแผลเป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ อันหมายถึงบาตแผลหายในเวลาอัน
สมควร ไมม่ ภี าวะแทรกซ้อนด้านการตดิ เชอ้ื และไม่เกดิ แผลเปน็ มากเกินควรนอกจากนี้ผู้ป่วยหลงั ผ่าตดั สว่ น
หนง่ึ จะมีการวางสายระบายไวเ้ พ่อื เปน็ ทางออกของของเหลวทีค่ งเหลอื อยูเ่ พ่ือป้องกนั การบวมจากของเหลวคัง่
ใตแ้ ผลหรอื เพื่อเปน็ การป้องกันหรือรกั ษาภาวะติดเชอื้ การดูแลสายระบายที่ถกู ต้องจะช่วยใหบ้ รรลุ
วัตถุประสงคด์ ังกลา่ วโดยไม่ทำให้เกิดภาวะตดิ เช้ือซ้ำเติมเพิ่มข้ึนอีก
เมอ่ื เกดิ บาดแผลข้ึนกับร่างกายหลอดเลือดบริเวณดังกล่าวจะเกดิ การหดตัวเพื่อหยดุ เลือด มกี ารเกาะ
กลุ่มของเกล็ดเลือดตามมาด้วยกระบวนการสรา้ งลิ่มเลือดมาอุดบรเิ วณหลอดเลือตท่ีบาตเจบ็ น้นั (coagulation
phase) ในเวลาตอ่ มาหลอดเลอื ดจะเริ่มขยาย มีเซลล์เม็ดเลือดขาวและเชลล์อักเสบตา่ งๆ เข้ามายังบรเิ วณน้ี
เพ่ือใหเ้ กิดกระบวนการอักเสบของบริเวณดังกล่าวเพ่ือทำลายเช้ือโรค เน้อื ตาย และสงิ่ แปลกปลอมท่ีมีตกค้าง
อยใู่ นบาดแผล (Infammatory phase) จากน้นั จะมีการสรา้ งเชลลแ์ ละผลิตเสน้ ใยคอลลาเจนเพอ่ื ก่อเป็น
เนอื้ เยอื่ และเส้นเลอื ดใหม่ (proliferative phase) โดยในระยะต่อมาเมื่อปริมาณเส้นใยคงทแี่ ละพอเหมาะแลว้
จะมีการจัดเรยี งเซลลแ์ ละเส้นใยเนือ้ เยื่อ โดยไม่มีการเพิ่มปริมาณสันไยอกี จากน้ันจะเกิดกระบวนการหดตวั
ของบาดแผลและการเคล่ือนทีข่ องเชลล์เย่ือนุมาคลุมจนกระท่งั แผลบดิ และเกิดเปน็ แผลเปน็ สุดท้ายของแผล
นนั้ ๆ (remodeing phase) ๒๒๓๔
ในทางศลั ยกรรมชนิดการหายของบาตแผลอาจแบ่งไดเ้ ปน็ การหายโดย primary intention เป็นการ
หายของบาดแผลทม่ี ีการเย็บปิดใหเ้ สมือนบริเวณเนื้อเย่ือเติมภายในระยะเวลาไม่นานหลังเกิดบาลแผล แต่
สำหรบั บาดแผลที่มีการปนเปื้อน มกี ารติดเช้ือ หรือมีการหายไปของเนื้อเยื่อเปน็ บริเวณว้างอาจจำเป็นต้อง
ปล่อยให้เปน็ แผลเปิด (open wound) รอใหเ้ กดิ granulation tissue และเกดิ การหดตัวของแผลตาม
ธรรมชาติเอง เรยี กวา่ เปน็ การหายแบบ secondary intention ในบางกรณีการรอให้เกิดการหดตัวของแผล
อาจใช้เวลานานและเกิดแผลเปน็ ทไี่ มส่ วยงาม จึงควรเยบ็ ปิดบาดแผลนน้ั หลังจากทำเผลแบบเปดิ ไปช่วงหนง่ึ
เรียกการหายของแผล ผลแบบน้ีวา่ เป็นแบบ tertiary intention หรือ delayed primary closure
นอกจากนย้ี งั มีบาดแผลที่มีการหายไปของขัน้ ผิวหนังเพียงบางส่วนต่อมเหง่ือและรูขมุ ขนส่วนที่เหลอื อยูจ่ ะสร้าง
epithelum มาปกคลุมปิดบาดแผลใต้

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู อื การเย็บแผล

1

วตั ถุประสงคข์ องการทำหัตถการ
1.เพือ่ การหา้ มเลือด (Stop Bleeding)
2.ซอ่ มแซมส่วนที่บาดเจ็บ (Reconstruction)
3.ลดอาการปวดและการตดิ เชือ้ (Decrease pain and infection)
4.ลดรอยแผลเปน็ ท่ีอาจเกิดจากบาดแผลนั้น ๆ (Reduce scar)
5.รวมถงึ เพิม่ การหายของแผล (Increase healing of ulcer)

หตั ถการการเยบ็ แผล Sutureลกั ษณะแผล
ชนิดของบาดแผล สามารถแบ่งชนดิ ของบาดแผลได้หลายวธิ ีดงั นี้
1. ชนดิ ของบาดแผลโดยพิจารณาจากลักษณะการฉกี ขาดของบาดแผล
แผลปดิ (closed wound) หมายถงึ บาดแผลที่ผิวหนังหรือเยอ่ื บุไมฉ่ ีกขาดออกจากกันแตเ่ นอ้ื เยื่อที่อยใู่ ต้
ผวิ หนงั ไดร้ ับบาดเจ็บ มักเกดิ จากของไมม่ คี ม แบ่งเปน็

1) แผลฟกชำ้ (contusion/bruise) เป็นการฉีกขาดของกล้ามเนอ้ื ใตผ้ ิวหนงั พบรอยฟกช้ำ เสน้ เลือด
แตก เลอื ดออกแทรกเข้าไปในเน้อื เยอ่ื อาจรวมเปน็ ก้อนเลอื ด(hematoma) หากก้อนเลก็ ร่างกาย
สามารถดูดซึมเลือดทค่ี ง่ั ใหห้ ายไปไดเ้ อง
2) แผลกระทบกระเทือน (concussion) มักใช้เก่ียวกบั การกระทบกระเทอื นของระบบประสาท
แผลเปดิ (opened wound) หมายถงึ แผลท่มี ีการฉีกขาดหรอื ทำลายผวิ หนังให้แยกออกจากกัน ไดแ้ ก่
1) แผลถลอก (abrasion wound) เปน็ บาดแผลท่ีมีการท าลายของผิวหนังชั้นนอกมเี ลือดซึมเลก็ น้อย
สาเหตเุ กิดจากอุบัติเหตุถกู ขดี ขว่ น หรอื ลืน่ ไถลบนพื้นหยาบขรขุ ระ
2) แผลฉีกขาด (laceration wound) ลักษณะของผิวหนงั บรเิ วณขอบแผลท่ีฉีกขาดจะกะรุ่งกะริ่ง
และมกี ารท าลายของเน้ือเยือ่ มาก แผลอาจลึก เสย่ี งต่อการติดเชอ้ื สาเหตเุ กดิ จากของมีคมหรอื ไม่มี
คมก็ได้
3) แผลตดั (incision wound/cut wound) เป็นแผลทีเ่ กดิ จากวัตถุมีคม ขอบแผลเรียบแตม่ กี ารฉีก
ขาดของเสน้ เลอื ด เช่น แผลถูกมีดบาด เป็นตน้
4) แผลทะลุ (penetration wound) เปน็ แผลทีม่ คี วามลึกมากกว่าความกว้างและความยาว ไดแ้ ก่
แผลถกู แทงดว้ ยของแหลม (puncture wound/stabbed wound) และ แผลถูกยิง (gunshot
wound)
5) แผลท่มี เี น้ือเยื่อขาดหรอื หลดุ ออกจากร่างกาย (avulsion wound) เป็นแผลท่มี ีการตัดขาดของเสน้
เลือด เสน้ ประสาทรว่ มด้วย แผลชนิดน้ที ำใหเ้ สียเลอื ดมาก และมกั มกี ารปนเปอื้ นเช้ือมาก
6) แผลถกู ระเบดิ (explosive wound) เป็นบาดแผลทีถ่ ูกสะเก็ดระเบิด
7) แผลแตก (rupture) เป็นการแตก ฉีกขาดของอวัยวะภายในร่างกาย
8) แผลผา่ ตดั (surgical incision) ขอบแผลเรียบ กล้ามเนอื้ และผิวหนังถูกเยบ็ ปิด
2. ชนิดของบาดแผลโดยพิจารณาจากสาเหตุการเกดิ บาดแผล
1) แผลทเ่ี กดิ จากอุบตั เิ หตุ (traumatic or accident wound)
2) แผลท่ีเกดิ ขึ้นเพ่ือจุดมุ่งหมายในการรักษา (intentional wound) เชน่ แผลผา่ ตดั แผลรอยแทง
เข็มในการฉดี ยา เปน็ ตน้

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเย็บแผล

2

3. ชนิดของบาดแผลโดยพิจารณาจากความสะอาดของแผล
1) แผลสะอาด (clean wound) หมายถึง แผลท่ีไมม่ กี ารติดเช้อื หรอื เป็นแผลทีเ่ คยปนเปื้อน

เชอ้ื แตไ่ ดร้ ับการดูแลจนแผลสะอาดไมม่ ีการตดิ เช้ือ เนื้อเยื่อของแผลเปน็ สีชมพูอมแดงและมกั เปน็
แผลปิด (closed wound) หรอื เป็นแผลทีเ่ กิดจากการวางแผนลว่ งหนา้ เพ่ือการตรวจรกั ษา มกี าร
ควบคุมภาวะปราศจากเชอื้ เชน่ แผลผ่าตดั แผลเจาะหลัง แผลใหน้ ำ้ เกลือ ยกเวน้ แผลผ่าตัดในระบบ
ทางเดนิ หายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบสบื พนั ธ์แุ ละระบบทางเดินปสั สาวะ

2) แผลก่งึ สะอาดกงึ่ ปนเปื้อน (clean-contaminated wound) ลกั ษณะของแผลคลา้ ยแผล
สะอาดแตม่ กั เปน็ แผลผา่ ตัดในระบบทางเดนิ หายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบสืบพนั ธ์รุ ะบบ
ทางเดนิ ปสั สาวะ และยังไมเ่ กิดการติดเชอื้

3) แผลปนเปอื้ น (contaminated wound) เป็นแผลท่ีไม่สะอาด ไดแ้ ก่ แผลที่เกิดจาก
อบุ ตั ิเหตุ เชน่ แผลถลอก แผลไฟไหมแ้ ผลนำ้ ร้อนลวก แผลถกู รังสแี ผลถูกกรด-ด่างไฟฟา้ ชอ็ ต หรอื
แผลผ่าตดั ทีม่ กี ารปนเปอ้ื นเชื้อในระหวา่ งการผา่ ตัด โดยแผลมกี ารอักเสบ คอื มีอาการ ปวด บวม แดง
รอ้ น แต่ยงั ไม่มีการติดเชอื้

4) แผลติดเชอื้ หรือแผลสกปรก (infected wound/ dirty wound) เปน็ แผลทีม่ ีการ
ปนเปือ้ นเชอ้ื จนเกิดการติดเชอ้ื เกิดการอักเสบ มหี นอง สว่ นใหญ่เป็นแผลท่เี กิดจากอุบตั ิเหตุ
4. ชนดิ ของบาดแผลโดยพิจารณาจากกลไกท่ไี ดร้ บั บาดเจบ็
1) แผลถลอก (abrasion wound) อาจเกิดจากการหกล้ม ลกั ษณะแผลมีการทำลายเฉพาะชั้น
ผิวหนงั epidermis มรี อยขดู ขดี หรอื ถูกครูดเป็นรอยถลอก มีเลือดไหลซึม

ทมี่ า:https://web.facebook.com/EMRPhuket/photosB

2) แผลฟกช้ำ (contusion wound หรือ bruise wound) เกิดจากการถกู แรงกระแทกจากวตั ถทุ ี่
ไมม่ ีคม เชน่ ถกู ไมต้ ี หรอื การพลัดตกหกล้ม เปน็ ต้น แผลอาจมีลักษณะเป็นรอยฟกช้ำ บวม เขียว คลำ้
เน่อื งจากเสน้ เลือดท่ีอยใู่ ตผ้ ิวหนงั มกี ารฉีกขาดทำให้มีเลือดออกขังอย่ใู ต้ผวิ หนงั แต่ไมม่ เี ลอื ดออกมาภายนอก
ผิวหนงั

ทมี่ า: https://www.sanook.com/health/24823

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู อื การเยบ็ แผล

3

3) แผลตัด (incision wound) เกดิ จากวตั ถุสิง่ ของหรือเคร่อื งมือที่มคี มบาด เช่น มดี เศษกระจก
เศษแก้ว เปน็ ต้น ลกั ษณะของแผลจะเรยี บ ปากแผลแคบแต่ยาว ถ้าแผลใหญ่หรอื ลึกและมีการฉีกขาดของ
หลอดเลอื ดใหญร่ ว่ มด้วยจะทำใหม้ กี ารตกเลือดได้มาก

ที่มา : http://www.forensicchula.net

4) แผลฉีกขาด (lacerated wound) ลักษณะขอบแผลไมเ่ รียบ เน่อื งจากมีการฉีกขาดหรอื ทำลาย
ผวิ หนังและเนอ้ื เย่ือไมเ่ ทา่ กัน ผิวหนังหรอื เนือ้ เย่อื อาจฉีกขาดห้อยรงุ่ ริง่ มีเลือดออกมากน้อยข้นึ กับขนาดและ
ความลกึ ของแผล

ทมี่ า : https://th.ilovevaquero.com/

5) แผลทะลทุ ะลวง (penetration wound) เกิดจากวัตถทุ ่ีว่งิ ทำให้เกิดแรงทะลุผา่ นเข้าไปใน
เน้อื เยือ่ ช้นั ลกึ ของร่างกาย เช่น อาวุธปนื ซง่ึ อาจใช้ชอ่ื เรยี กแผลชนดิ นว้ี ่าแผลถกู ยิง (gun shot wound)

ทีม่ า :https://www.gotoknow.org/posts/449565

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู อื การเยบ็ แผล

4

6) แผลถกู แทง (puncture or stab wound) เกิดจากวัตถุมคี มต าหรือแทงเข้าไป เช่น ตะปูเขม็
มีด เป็นต้น ลักษณะบาดแผลจะแคบแต่ลกึ ถา้ ถกู แทงอวัยวะทส่ี ำคัญหรือถูกหลอดเลือดใหญ่ จะทำให้มี
เลอื ดออกขงั อยูภ่ ายในรา่ งกายไดซ้ ่ึงจะเป็นอันตรายมาก

ทีม่ า : https://quizlet.com/90830374

7) แผลฉกี กระชาก (avulsion wound) ผวิ หนังและเนื้อเยือ่ ชั้นลึกฉีกขาดไป อาจเป็นบางส่วนหรือ
ทงั้ หมด ลักษณะแผลเป็นแผลเปดิ อาจเป็นหลุม

ทีม่ า : https://www.orthobullets.com/

5. ชนดิ ของบาดแผลโดยพจิ ารณาจากเปล่ียนแปลงทางกายภาพและเคมี
1) แผลไฟไหมน้ ำ้ ร้อนลวก (burn and scald wound)
2) แผลไฟฟ้าชอ็ ต (electrical burn wound)
3) แผลถูกดา่ งไหม้ (alkaline burn wound)
4) แผลถกู กรดไหม้ (acid burn wound)

กระบวนการหายของแผล แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 Defensive (Inflammatory) phase

เมือ่ ผิวหนังได้รบั บาดเจ็บ กลไกการป้องกนั ตัวของร่างกายจะทำหนา้ ที่ทนั ที และส้ินสดุ ประมาณ 3-4
วนั เหตุการณส์ ำคญั ท่ีเกดิ ข้ึนในระยะนี้ คือ กระบวนการ hemostasis และ inflammation Hemostasis คอื
การท าใหเ้ ลอื ดหยุดไหลจากการหดตัวของหลอดเลือด (vasoconstriction)และจากการที่เกล็ดเลอื ด
(platelets) รวมตัวกันเป็นลิ่มเลอื ดไปอดุ รูไม่ให้เลอื ดไหลออกมาได้ (fibrin clot formation) กลไกนช้ี ่วย
ปอ้ งกันการเสียเลอื ดและของเหลวภายในร่างกาย รวมทั้งยับยง้ั การปนเป้ือนของเชื้อโรคบรเิ วณแผล

Inflammation เปน็ การปรบั ตวั ของร่างกายต่อการบาดเจ็บของเน้ือเยื่อ ซง่ึ เกิดข้ึนทั้งระบบหลอด
เลอื ด (vascular response) และระบบเซลล์ (cellular response) การตอบสนองของระบบหลอดเลือด
เกดิ ขึน้ เม่ือเนื้อเย่ือไดร้ บั บาดเจ็บ จะมีการหลัง่ สารเคมีเช่น histamine (จาก mast cell), serotonin (จาก

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเยบ็ แผล

5

platelets), complement (สารเคมีท่ที ำให้เกิด bacteriolytic หรือ hemolysis) และ kinins (สาร
peptide ชนิดหนง่ึ มฤี ทธิต์ อ่ หลอดเลอื ดและกล้ามเน้ือเรียบ) ออกมา ซง่ึ สารเคมเี หลา่ น้ีเป็นสารทีอ่ อกฤทธต์ิ ่อ
หลอดเลอื ด (vasoactive substance) ทำให้หลอดเลอื ดขยายตวั และมีคุณสมบัติในการใหข้ องเหลวและ
พลาสมาโปรตีนผ่านออกมาบริเวณบาดแผลได้ดีข้นึ สง่ ผลให้มีการไหลเวียนของเลือดข้ึน และมีน้ำเหลืองซมึ สู่
เนื้อเย่อื ท่ีอยู่รอบๆ แผลเพิ่มข้ึน ทำใหม้ สี ารอาหารและออกซิเจน ซง่ึ เปน็ ส่งิ จำเป็นสำหรับการหายของแผลมาท่ี
บริเวณแผลมากข้ึน นอกจากนี้ยังนำเม็ดเลือดขาว (leukocytes) มาสบู่ ริเวณแผลทำใหเ้ กิดกระบวนการทำลาย
แบคทีเรีย เน้ือเยอื่ ทตี่ ายแล้ว และส่ิงแปลกปลอมตา่ งๆ (phagocytosis) เปน็ ไปได้เร็วขนึ้ สงิ่ ที่จะสงั เกตได้ใน
ระยะนี้คอื อาการปวด บวม แดง ร้อน

สำหรับกระบวนการตอบสนองของเซลล์ เกดิ ขึ้นโดยเมด็ เลอื ดขาว (leukocytes) เคลือ่ นท่ีออกจาก
หลอดเลอื ดเข้าส่ชู อ่ งว่างระหวา่ งเซลล์ (interstitial space) polymorphonuclear neutrophils (PMN) ซง่ึ
เปน็ เซลลเ์ มด็ เลือดขาวชนิดแรกทเ่ี ข้ามาถึงบรเิ วณแผล ภายในเวลา 2-3 ชั่วโมงหลังการบาดเจ็บ เพ่ือทำหนา้ ท่ี
phagocytosis แต่ neutrophils มอี ายุสัน้ ประมาณ 6 ช่วั โมงหลังจากที่ neutrophils ตายไป จะ
มmี acrophages ซึง่ เป็นเมด็ เลือดขาวที่เปลี่ยนแปลงมาจาก monocyte เขา้ มาทำหน้าท่เี ปน็ phagocytic
cell ตอ่ สกู้ บั แบคทีเรยี คลา้ ยกบั neutrophils แต่มีอายยุ ืนกว่า macrophages จะปรากฏอยใู่ นทุกระยะของ
การหายของแผล เปน็ เมด็ เลือดขาวท่ีมคี วามสำคญั มากในกระบวนการหายของแผล ซึง่ นอกจากการทำหนา้ ท่ี
ในกระบวนการ phagocytosisแลว้ ยงั มคี วามสามารถในการหล่งั สารเคมที ีช่ ว่ ยในการหายของแผล เชน่
fibroblast activation factor (FAF) ทเี่ ปน็ ตวั ดงึ ดดู fibroblasts เขา้ สูบ่ รเิ วณแผล ซึ่ง fibroblast นม้ี หี นา้ ที่
ในการสรา้ งคอลลาเจน (collagen) และ angiogenesis factor (AGF) ทเี่ ป็นตวั กระตุน้ epithelial buds
บรเิ วณสว่ นปลายของหลอดเลือดทไี่ ดร้ ับบาดเจ็บ ทำให้มกี ารสร้างหลอดเลือดใหม่

ระยะน้ี macrophage จะทำหน้าทใ่ี นการทำความสะอาดแผล โดยการกำจดั เน้อื เย่ือท่ีตายแลว้ และ
แบคทีเรียตา่ งๆ ทย่ี ังหลงเหลืออยู่ เพือ่ ใหแ้ ผลสะอาดพร้อมสำหรบั การซ่อมแซมแผลในระยะต่อไป ในแผล
เรื้อรังอาจพบเนื้อตายเหน็ เปน็ สีเหลอื งขุน่ ๆ เรียกว่า slough ซง่ึ กำจดั ออกได้ยาก

ในกระบวนการหายของแผลระยะ Inflammatory phase จะมสี ่ิงขับหล่งั (exudates) เกดิ ขน้ึ ภายใน
แผล เมอื่ มกี ารสะสมของ exudates จำนวนมากจะเปน็ สาเหตทุ ำใหแ้ ผลหายชา้ ดังน้นั การพยายามทำให้แผล
ภายนอกหาย แต่ในขณะทีภ่ ายในแผลยงั คงมี exudates ขังอยู่จะทำให้เกดิ การติดเช้อื และฝขี ้ึนได้ซ่ึงในการ
ระบาย exudates แพทยจ์ ะใส่ท่อระบายเข้าไปในแผล เพื่อระบายเลือดและนำ้ เหลืองสว่ นท่เี กินออกมา
อยา่ งไรก็ตามพยาบาลควรทำความเขา้ ใจเกยี่ วกบั exudates ประเภทตา่ ง ๆ ทัง้ นเ้ี พราะลกั ษณะและปริมาณ
ของ exudates สามารถบ่งชพี้ ยาธิสภาพของแผลได้

สง่ิ ขับหล่งั จากแผล (Exudates) จากการท่มี ีสารเคมีหล่ังออกมาในระยะ Inflammator phase เป็น
สาเหตใุ หเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด มีการไหลซึมของของเหลวและเซลล์จากหลอดเลอื ดเขา้ สู่
เนือ้ เยอ่ื เรียกวา่ ส่งิ ขับหล่งั (Exudates) สิ่งขับหลง่ั มีสว่ นประกอบแตกตา่ งกันออกไปแต่ทั้งหมดจะมีหนา้ ที่
เหมอื นกนั ดังน้ี

1. เจือจางสารพษิ ท่ีผลิตจากแบคทเี รียและเซลลท์ ี่ตายแล้ว
2. ขนสง่ เมด็ เลือดขาวและโปรตนี จากหลอดเลือดมาที่แผล

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ ือการเยบ็ แผล

6

3. ขนสง่ สารพษิ ของแบคทีเรีย เซลลท์ ่ตี ายแล้ว ซากตา่ ง ๆ และผลิตผลท่มี าจากการอักเสบออกจาก
แผล ลกั ษณะและปริมาณของส่ิงขบั หลั่งจะแตกต่างกันออกไป ทง้ั น้ีขึ้นอยู่กับปจั จยั หลายประการ เชน่ การ
บาดเจ็บทำความเสียหายให้กับเนือ้ เยือ่ มากน้อยเพียงใด ความรุนแรง ระยะเวลาของการอักเสบและชนดิ ของ
เชอ้ื โรค
ลกั ษณะของ Exudates แบ่งออกได้เปน็ 3 ประเภท คอื

1. Serous exudates
ประกอบดว้ ยนำ้ เหลือง (ส่วนทใ่ี สของเลอื ด) มีลกั ษณะคล้ายน้ำ (water) มีจำนวนโปรตีนนอ้ ย สง่ิ ขบั
หลง่ั ประเภทน้จี ะพบในการอักเสบระดบั น้อยเกดิ จากการท่ีมกี ารเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดแดงเปน็ ผลทำให้
มกี ารซมึ ผ่านของนำ้ และโปรตีนออกมาจากหลอดเลือด ตัวอย่างเช่น แผลพอง ตุ่มพอง
2. Purulent exudates
มักเรียกว่า หนอง (pus) ปกติมักพบได้ในการอักเสบที่รนุ แรง และมีการตดิ เช้อื purulent exudates
มคี วามเหนยี วมากกวา่ serous exudates ท้งั น้ีเพราะใน purulent exudates ประกอบดว้ ย leukocyte
(โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ คือ neutrophil) ซากของเซลลท์ ีต่ ายแล้ว ซากของแบคทเี รยี ทงั้ ที่ตายแลว้ และยังมีชีวติ อยู่
purulent exudates มสี แี ตกต่างกันไป เช่น สเี หลือง สเี ขียว สนี ำ้ ตาล ทง้ั นจ้ี ะข้ึนอยู่กบั เชื้อโรคท่เี ปน็ สาเหตุ
3. Hemorrhagic exudates
ประกอบด้วยเมด็ เลือดแดงเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการท่หี ลอดเลอื ดฝอยถูกทำลายทำให้เม็ดเลือดแดง
ร่ัวออกมาภายนอก สิ่งขบั หลงั่ ประเภทนีม้ กั พบในการอกั เสบทรี่ ุนแรง hemorrhagic exudates มีสีแดงสดถงึ
สีแดงเข้ม ซึ่งแสดงใหท้ ราบวา่ เลอื ดท่ีออกมาเปน็ เลือดสดหรือเลือดเกา่ บางที exudates ทีอ่ อกมาจากแผลอาจ
สามารถระบุได้วา่ อยู่ในประเภทใด ทง้ั น้ีเพราะมรี ปู แบบผสมผสาน เชน่ serosanguinous exudates ซ่ึงจะ
พบได้ในแผลผ่าตัด
ระยะที่ 2 proliferative (Reconstructive) phase
เริม่ ในวนั ที่ 3-4 หลงั จากที่ได้รับบาดเจ็บจนถงึ 2-3 สปั ดาห์ ในระยะนบี้ าดแผลจะไดร้ ับการซ่อมแซม
โดยเนอ้ื เยอ่ื เกยี่ วพนั ท่ีถูกสร้างขน้ึ มาใหม่ (new connective tissue) มกี ารลดขนาดของแผลโดยอาศยั กลไก
สำคัญคือ
Granulation, Contraction, Epithelialization Granulation เป็นกระบวนการสร้างเนื้อเย่อื
เกี่ยวพนั ขึน้ มาแทนที่เน้ือเย่ือภายในแผล โดยการสังเคราะห์คอลลาเจน (collagen) และสารรองรับ (ground
supstance) ซงึ่ เป็นสารทอ่ี ยู่ภายนอกเซลล์ (extracellular material) โดยเมอื่ มบี าดแผลเกดิ ขึ้น fibroblast
จะเคลอ่ื นตัวเขา้ มาในแผล ทำการสงั เคราะห์ collagen ซ่ึงเป็นโปรตีนสีขาว (whitish protein) ทม่ี ปี รมิ าณ
มากทส่ี ดุ ภายในร่างกายทำหน้าที่ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และเพิ่มความแขง็ แรงให้กับแผลในระยะแรก
ลกั ษณะของ collagen มลี กั ษณะคลา้ ยวุ้น (gel-like) ต่อมา collagen จะเช่ือมประสานกันไปมามีลักษณะ
คลา้ ยร่างแหกลายเปน็ collagen fibrils ทำใหแ้ ผลแข็งแรง และทนทานต่อการยืดขยายของกลา้ มเนื้อไดด้ ี
โอกาสเกดิ แผลแยกหรอื ฉกี ขาดน้อยลง แผลสามารถทนต่อแรงบบี คนั้ ในระดับปกติ เชน่ ความตงึ ตัว การบดิ ได้
ภายในระยะเวลา 15-20 วัน หลังเกิดแผล ในขณะเดียวกนั ร่างกายก็ทำการสร้างเสน้ เลอื ดใหม่(angiogenesis)
ข้ึนมาแทน กระบวนการนเี้ กิดข้นึ โดยการทำหนา้ ทข่ี อง macrophage และจากการท่ีเน้ือเย่อื ขาดเลือดมาเล้ียง
(tissue hypoxia) เพราะเสน้ เลือดถูกตัดขาดเมื่อได้รับบาดเจ็บ macrophage จะผลติ สารเคมที ี่กระตนุ้

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเย็บแผล

7

กระบวนการ angiogenesis เชน่ transforming factor (TNF) ซ่งึ ชว่ ยในการทำลายเนื้อตายและกระตนุ้ การ
งอกใหม่ของเส้นเลอื ด เส้นเลอื ดใหม่ท่ีเกิดข้ึนนจ้ี ะเป็นตวั น าออกซิเจนและสารอาหารที่จำเปน็ สำหรบั การ
สงั เคราะห์ collagen ในขณะเดียวกัน collagen และสารรองรบั จะทำหนา้ ที่ในการประคับประคองให้เสน้
เลือดใหม่สามารถเจรญิ เตบิ โตได้โดยไม่ฉกี ขาดเสียหาย

เน้อื เยอ่ื ทีถ่ ูกสรา้ งข้ึนใหม่ ถา้ แข็งแรงจะสงั เกตไดว้ ่า เลือดจะไม่ออกงา่ ย มสี ีแดงอมชมพูสภาพของ
เนอ้ื เยือ่ และเสน้ เลอื ดท่ถี ูกสรา้ งข้ึนมาใหม่ (granulation tissue) จะเปน็ ตวั บ่งช้ีว่า แผลจะหายดหี รอื ไม่ ถา้
granulation tissue มีสคี ล้ำจะบ่งชวี้ า่ แผลขาดเลอื ดไปเล้ียง หรือมกี ารติดเชื้อเกดิ ข้ึน

Wound contraction พบได้ภายในวนั ท่ี 6-12 ภายหลงั การบาดเจบ็ เนอื้ เย่ือเกยี่ วพนั หรือใยคอลลา
เจน ท่ถี กู สังเคราะห์ข้ึนโดย fibroblast จะเพิ่มปริมาณมากข้ึนเรื่อย ๆ โดยเร่ิมจากบริเวณฐานของบาดแผล
ขึน้ มา ในขณะเดียวกนั ขอบแผลจะถกู ดงึ ให้เขา้ มาหากัน โดยการทำหนา้ ท่ีของmyofibroblast ซงึ่ เป็นเซลล์
พเิ ศษที่มีลักษณะเป็น parallel fibers เรยี งตวั ตามขวางกับบาดแผลเมือ่ เซลลน์ หี้ ดตัว ผลของการหดตวั จะดงึ
ใหข้ อบแผลเข้ามาชิดกัน ซึ่งจะชว่ ยในการลดขนาดของแผลใหแ้ คบลง ปรากฏการณ์นีเ้ กิดขึ้นในแผลใหญ่ ๆ
และแผลเปดิ

Epithelialization การเกิดใหม่ของ epithelial tissue จะเกดิ ข้นึ ในระยะสุดท้ายของ proliferative
phase โดย epithelial cell จะเคลือ่ นตัวเขา้ สู่แผลในทุกทิศทางรอบแผลโดยปกตeิ pithelial cell จะเดินทาง
ในระยะประมาณ 3 เซนตเิ มตร จากจุดกำเนดิ รอบทิศทาง เมื่อ tissue เจรญิ เติบโตเข้ามาชดิ กบั อกี ด้านหนึง่
ระยะท่ี 3 Remodeling phase

เปน็ ระยะสุดท้ายของกระบวนการ Wound Healing ซ่ึงจะเร่มิ ประมาณ 20 วนั หลงั การเกดิ
บาดแผลและดำเนนิ ต่อไปได้ ตง้ั แต่หลายเดือนไปจนถึงหลายปขี ึ้นอยู่กับบาดแผลนั้น ๆ เชน่ ตำแหน่ง,
ระยะเวลาการหายของแผล, ความรนุ แรงของบาดแผล ระยะนแ้ี ผลจะมีความแข็งแรงขึ้น (Increase Tensile
Strength) โดยมีการเกดิ Collagen Cross Link และมีการลดจำนวน cell ต่างๆ ของบาดแผลลง
(Decreasing Cellularity) ซงึ่ ชว่ งน้ีแผลเปน็ (Scar) จะมีBlood supply ลดลง, การสรา้ ง Collagen ลดลง
และมีการทำลายของ Collagen มากข้ึนจนถึงภาวะสมดุลของการสรา้ งและทำลาย Collagen ทำให้ Scar นม่ิ
ลง, แบนลง, เรียบ และมสี ีจาง ซง่ึ Process เหลา่ น้ถี ูกควบคมุ โดย Macrophage สำหรับ Scar ท่ี mature
แล้ว ความแขง็ แรงจะไมเ่ กิน 80% ของผิวหนังปกติ และเป็นสว่ นท่ไี ม่มี sebaceous, sweat gland, hair
follicle จึงทำใหม้ ีการแห้งและแตกงา่ ยกวา่ ผิวหนงั ปกติ

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ ือการเยบ็ แผล

8

ชนดิ การหายของแผล
การจำแนกชนิดการหายของแผล โดยใช้ระดบั ความมากน้อยของการสญู เสียเนือ้ เยื่อสามารถจำแนกได้เปน็ 3
ชนดิ ดงั น้ี

1) การหายของแผลแบบปฐมภูมิ (Primary intention healing) เกดิ ขนึ้ ในแผลที่มีการสูญเสียเนอ้ื เยื่อ
น้อยและผวิ หนงั อย่ใู นสภาพดี ขอบของแผลจะถูกดงึ เขา้ มาหากันโดยวิธีการทสี่ รา้ งข้นึ เช่น การเย็บแผล การใช้
Clip หรือ staples

2) การหายของแผลแบบทุตยิ ภมู ิ (Secondary intention healing) ลกั ษณะของแผลชนิดน้ีมักจะ
เปน็ แผลทมี่ ีขนาดใหญ่ มกี ารสูญเสยี เนื้อเยือ่ จำนวนมาก ขอบแผลกว้าง ไม่สามารถดงึ เข้ามาชดิ กันได้ จะปลอ่ ย
แผลเปดิ ไว้รอใหเ้ กิดกระบวนการหายของแผล เน้ือเย่ือเกยี่ วพันจะถูกสรา้ งเข้ามาเตมิ ในส่วนที่ขาดหายไป เวลา
ทใี่ ช้ในการซ่อมแซมนานเพราะตอ้ งการเน้ือเย่ือจำนวนมาก แผลเปน็ จะมขี นาดใหญจ่ งึ มีโอกาสตดิ เช้ือสงู เพราะ
ขาดผิวหนงั ท่เี ป็นด่านป้องกนั โรค ตัวอย่างของแผลชนิดนี้ เชน่ แผลกดทับ

3) การหายของแผลแบบตติยภูมิ (Tertiary intention healing or secondary closure)
ลักษณะของแผลชนดิ นีม้ ักเป็นแผลท่มี ปี ญั หา อาจเนื่องจากมกี ารไหลเวยี นของเลอื ดไม่ดีมกี ารติดเชื้อภายใน
แผล ทำใหก้ ารเยบ็ ปดิ แผลต้องล่าชา้ ออกไป ต้องรอจนกระทัง่ ปัญหาถูกแก้ไขจนสภาพแผลดขี ึน้ จึงจะเย็บปดิ
แผลได้โดยทัว่ ไปมักจะปล่อยใหร้ า่ งกายสรา้ งเน้ือเย่ือเกยี่ วพันขึน้ มาทดแทนพอสมควรจนแผลตืน้ ขึ้นและไม่มี
การติดเชื้อ จึงทำการเย็บปดิ แผลหรอื ปิดปากแผลโดยการปลูกถ่ายผวิ หนัง (skin graft) ซึ่งจะช่วยให้แผลหาย
เรว็ ขึ้น
ปจั จัยที่มีผลต่อการหายของแผล

กระบวนการการหายของแผลจะเป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติแตก่ ม็ ีปัจจัยหลาย
ประการเก่ยี วขอ้ งกับกระบวนการหายของแผล ทัง้ ปจั จยั ท่ีช่วยสง่ เสริมการหายของแผล และปจั จยั ทีล่ ดความ
เสย่ี งต่อการเกดิ ภาวะแทรกซ้อน ดงั น้ี

1. อายวุ ยั สงู อายจุ ะมีการซ่อมแซมแผลไดช้ ้ากว่าวัยอืน่ ๆ เน่ืองจากในวยั สงู อายุนี้จะมกี ารตอบสนอง
ตอ่ การอักเสบได้น้อย การสงั เคราะหค์ อลลาเจนและเยือ่ บุผิวลดลง การสร้างหลอดเลอื ดขึ้นมาใหม่เป็นไปไดช้ ้า
ผลจากการเหยี่ วฝ่อของหลอดเลอื ดฝอยทำให้เลือดมาเลยี้ งบริเวณบาดแผลนอ้ ย และวัยสงู อายุเปน็ วยั ท่มี ภี ูมิ
ตา้ นทานโรคลดลงกวา่ เม่ืออยู่ในวยั ผใู้ หญ่

2. ภาวะโภชนาการ ภาวะโภชนาการเป็นปัจจยั สำคัญในการส่งเสริมการหายของแผลสารอาหาร
โปรตนี เปน็ องคป์ ระกอบสำคัญในการสร้างเน้ือเยอ่ื ใหม่ และเป็นสว่ นประกอบในการนำออกซเิ จนไปยงั
บาดแผล วิตามินซีชว่ ยในการสร้างคอลลาเจน ไฟโบรบลาสต์(fibroblast) ชว่ ยทำลายแบคทีเรีย วติ ามินเอช่วย
ในการสร้างเย่ือบุผวิ ขน้ึ ปกคลุมบาดแผล สงั กะสเี ปน็ โคเอน็ ไซม์(coenzyme)ในกระบวนการสงั เคราะห์คอลลา
เจน ดังนั้นการขาดสารอาหารท่ีจำเปน็ ต่อการสรา้ งเน้ือเย่ือจึงทำให้บาดแผลหายชา้

3. สภาวะของโรค มหี ลายโรคท่เี ก่ียวข้องตอ่ การหายของแผล เช่น การขาดสารทีท่ ำใหเ้ ลือด
แข็งตวั ภาวะโลหิตจาง โรคเบาหวาน เปน็ ต้น เหล่านี้เป็นปัจจยั ที่ทำให้แผลหายชา้ กว่าปกตเิ นือ่ งจาก
เม็ดเลอื ดขาวท่ที ำหน้าท่ลี ดลง มีการไหลเวยี นของเลือดไปเล้ยี งทบ่ี าดแผลน้อยลง

4. ยา ยาบางชนดิ ทำใหแ้ ผลหายช้า เชน่ ยาตา้ นการอกั เสบจะกดปฏกิ ริ ิยาการอักเสบตามธรรมชาติ
และกดการสรา้ งคอลลาเจน ยารกั ษามะเร็งจะยบั ย้ังการสร้างเซลลใ์ หม่ เป็นต้น

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเยบ็ แผล

9

5. บุหร่ผี ลของบุหร่ที ำให้การทำงานของระบบหายใจเปลี่ยนไป หลอดเลอื ดฝอยหดตวั ทำให้ขาด
ออกซิเจน มีผลใหเ้ นื้อเย่ือขาดออกซเิ จน และแผลหายชา้

6. ความเครียด ทำให้มีการหลงั่ ของฮอรโ์ มนทชี่ ่วยในการทำลายสารชีวโมเลกุล (catabolic
hormone) ได้แก่ ฮอร์โมนกลคู ากอน (glucagon) และฮอรโ์ มนแคทโี คลามนี (catecholamine)มากข้นึ
ซ่ึงฮอรโ์ มนดังกล่าวจะยับยง้ั กระบวนการอักเสบ ลดการเพิ่มความสามารถในการซึมผา่ นของของเหลว
(permeability) หลอดเลือดหดตวั ทำใหก้ ารไหลเวียนของเลอื ดลดลง และมีการหลง่ั ฮอร์โมนอะดรนี าลีน
(adrenaline) ทำใหย้ บั ยง้ั การแบ่งตัวของเซลลท์ ให้แผลหายชา้ ลง

7. ความอว้ น ทำให้แผลติดยากเนอื่ งจากบรเิ วณท่ีมเี นื้อเย่ือไขมนั มากจะมีเลือดไหลเวียนมา
เลี้ยงนอ้ ย มคี วามเส่ียงท่ีจะเกิดแผลแยก และเกดิ การติดเชอ้ื สูง

8. ระบบการไหลเวียนเลอื ด แผลทมี่ ีการไหลเวียนเลือดไม่เพียงพอจะทำให้แผลหายช้า
เนอื่ งจากเลือดเปน็ ตัวนำพาออกซเิ จน อาหาร เมด็ เลือดขาว และไฟบริโนเจน (fibrinogen) ซึง่ เก่ียวข้องกบั
การหายของแผล ตวั อยา่ งของแผลที่ขาดเลือดมาเลี้ยง เช่น การใช้ผา้ พนั แผลแนน่ เกินการใสเ่ ฝือกที่แนน่ เกิน มี
ก้อนเลือดขนาดใหญ่อุดตันในแผล เป็นต้น

9. การตดิ เชอื้ แผลทต่ี ิดเชื้อจะเป็นแผลทม่ี ีระยะการอกั เสบท่ยี าวนานทำใหแ้ ผลหายช้ากว่า
ปกตแิ ละการนอนพักรกั ษาตัวในโรงพยาบาลทำให้มีความเส่ียงทจ่ี ะสัมผัสกบั เช้ือโรคตา่ งๆ อาจนำไปสู่การติด
เช้อื และทำใหแ้ ผลหายช้า

10. ลักษณะของแผล แผลที่มีขอบเรียบ มีการฉีกขาดหรือมีการทำลายเนื้อเย่อื น้อย แผลนนั้
จะหายเร็วกว่าแผลทเ่ี ปดิ กว้าง กะรุ่งกะริง่ บวม มสี ่งิ ปนเป้ือน

11. การเคลอ่ื นไหว บริเวณที่มีการเคล่ือนไหวมากเกินไปทำให้แผลหายช้า การพัก และการลดการ
เคล่อื นไหวจะสง่ เสริมการสร้างเซลล์ใหมไ่ ดด้ ี
การเตรียมผ้ปู ่วยก่อนทำหตั ถการ
การจัดการบาดแผลอุบัติเหตุ
- การประเมนิ บาดแผล
1. สอบถามข้อมลู ผ้ปู ่วย : วนั เวลาท่เี กดิ บาดแผล สาเหตุ การรกั ษา
2. ประเมนิ ลักษณะบาดแผล : ตำแหน่ง ขนาด (กว้างxยาวลึก เปน็ cm) เนอ้ื เย่ือในแผล ผิวหนังรอบแผล
ส่งิ แปลกปลอม สารคดั หลั่ง
3 พจิ ารณาในการดแู ลแผล ดังนี้

- แผลไม่เกนิ 6 hr หรอื เกิน 6 แตไ่ ม่ถึง 12 hr ขอบแผลเรียบ soft tissue ไม่ชอกชำ้ มาก ไมม่ สี ง่ิ
แปลกปลอม ให้พิจารณาเยบ็ แผลได้
- แผลเกิน 12 hr ไมเ่ ยบ็ แตต่ ้องนดั มา D/S ทกุ วัน หรอื หากมีการติดเชื้อ อาจตอ้ ง Consult แพทย์
เพอื่ พิจารณารบั Admit
- แผลทมี่ ี Fx รว่ ม, Vascular injury, เนื้อเยอ่ื หายไปจนไมส่ ามารถดงึ ขอบแผลมาชิดกนั ได้ ใหก้ าร
รกั ษาเบื้องต้นแลว้ ส่งต่อ

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู อื การเย็บแผล

10

- การทำความสะอาดผิวหนงั รอบๆบริเวณแผล (แผลสกปรก)
1 จดั ทา่ ผู้ป่วยใหเ้ หมาะสมสำหรับการลา้ งทำความสะอาดแผล
- แขน ขา ให้วางสว่ นที่เปน็ แผลบนตะแกรงลา้ งแผล
- ลำตวั สะ โพก ศีรษะ ใหใ้ ช้ผ้ายางรองแล้วม้วนขอบปล่อยชายลงในตะแกรง
2 ลา้ งผิวหนงั รอบๆแผลด้วยน้ำเกลอื ไมใ่ หส้ ัมผสั ในแผล
3 สวมถุงมอื Disposuble แล้วใช้ผา้ กอ๊ ชชบุ น้ำสบู่เหลวฟอกผิวหนังรอบๆแผล โดยเช็ดวนออกด้าน

นอก ตดั ขนในกรณีที่บริเวณนั้นมขี นมาก
4 ใชน้ ้ำสะอาดล้างน้ำสบ่อู อกให้สะอาด แล้วล้างจนกวา่ บริเวณรอบๆแผล
5 ใช้ผ้าสะอาดหรือก๊อซชับรอบๆแผลให้แหง้

การลา้ งบาดแผลกอ่ นเยบ็ แผล :
1. เตรียม set dressing ,Sterile technique
2. เปิด set บนโต๊ะวางอุปกรณ์ : แผลเป็นโพรงลกึ ตัง้ แต่ 1 ซม. เตรยี ม syringe 20cc. เขม็ No.18 ด้วย
3. เตรยี ม NSS.
4. ใส่ถงุ มอื sterile
5. ลา้ งแผลดว้ ย NSS. ยกปากขวดให้ห่างจากแผลประมาณ 6 นิว้ ล้างต่อเนอ่ื งจนสะอาด
- มี FB : ใช้ gauze ชบุ NSS. เช็ด
- แผลเป็นโพรง : ใช้ syringe ดดู NSS. Irrigate
- ใช้ gauze ซบั แผลให้แหง้
6. คลุมผา้ สเ่ี หล่ียมเจาะกลาง
7. เตรยี ม set suture

- วิธีการปฏิบตั ใิ นการฉดี ยาชาเฉพาะท่ี
ㆍ ดูดยาชาชนิดท่ตี อ้ งการใชอ้ อกมาเตรียมไว้

ㆍใช้ Povidine solution เชด็ ผวิ หนงั บริเวณทจี่ ะฉีดยาชา โดยวนออกด้านนอกใหห้ า่ งจากตำแหนง่
ทจี่ ะฉีดยาชาเปน็ วงกลมเส้นผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ 1 นิว้

ㆍ การฉดี ยาชาเฉพาะทข่ี ณะแทงเข็มผ่านผวิ หนงั เข้าสชู่ ัน้ Intradermal ควรทดสอบทุกคร้ังเพื่อ
ปอ้ งกันการฉีดยาเข้าหลอดเลอื ด

ㆍการฉดี ยาชารอบๆแผล (Infiltration) ในกรณีที่บาดแผลอยู่บรเิ วณอืน่ ที่ไม่ใชน่ วิ้ มอื หรอื น้ิวเท้า
และการฉีดยาชาโดยการสกดั กัน้ เส้นประสาท (nerve block) กรณีทบ่ี าดแผลอยู่บรเิ วณน้ิวมอื และนิ้วเท้าใหร้ อ
1 นาที เพ่ือให้ยาชาออกฤทธ์ิ

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ ือการเยบ็ แผล

11

- การเตรียมบาดแผลก่อนการเย็บแผล
การเตรียมบริเวณบาดแผลก่อนเยบ็ กอ่ นเย็บแผลต้องทำความสะอาดแผลด้วยวิธี Sterile technique

แลว้ ทาบริเวณทจ่ี ะเยบ็ และรอบๆแผลด้วยนำ้ ยา Antiseptic แลว้ คลมุ บาดแผลดว้ ยผ้าสเ่ี หลย่ี มเจาะกลาง
sterile แลว้ จดั เตรียมอปุ กรณ์ในการเยบ็ แผลให้พร้อม
อุปกรณ์

1. Tooth Forceps ใช้สำหรบั หยบิ จับภายนอก เชน่ ผวิ หนงั หรือถ้าหากตอ้ งการหยบิ จับภายใน อาจ
เป็นประเภทของการหยิบจับพังผืด

2. Non Tooth Forceps ใช้หยบิ จับภายใน
3. Needle Holder ใชส้ ำหรับการจบั เข็ม เพื่อคุมน้ำหนกั และทศิ ทางในการเยบ็ แผล
4. วสั ดเุ ย็บ หรือด้าย ท่ีใช้กันโดยท่วั ไปคือ Silk และ Nylon เปน็ ด้ายทีใ่ ชเ้ ยบ็ ภายนอกแต่ Silk จะมรี าคา

ถูกกว่า นอกจากนนั้ กจ็ ะมไี หมละลาย (Chromic Catgut) ซึง่ ใชส้ ำหรับเย็บอวยั วะภายใน โดยจะ
กลา่ วโดยละเอยี ดในหัวข้อวัสดุเย็บตอ่ ไป
5. กรรไกรตัดไหม ข้อสังเกตของกรรไกรตัดไหมคือ สว่ นใหญด่ ้านหนึ่งจะมน แต่อีกดา้ นหนึง่ จะมีปลาย
แหลม
6. Set dressing : Set suture ผา้ ส่ีเหล่ียมเจาะกลาง,และ ผา้ ส่เี หลย่ี ม
7. Gauze : sterile
8. Alcohol 70%
9. Betadine solution, Betadine scrub
10. ยาชา
11. Syringe 10 cc.
12. Plaster

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ ือการเย็บแผล

12

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเย็บแผล

13

วัสดใุ นการเย็บแผล
ทใี่ ชอ้ ยใู่ นปัจจบุ นั แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ วัสดทุ ่ลี ะลายได้เองและชนคิ ที่ไม่ละลาย
1. วสั ดุท่ลี ะลายได้เอง (Absorbable Sutures) ประกอบดว้ ยเสน้ ใยธรรมชาติไดแ้ ก่ Catgut ทำมาจาก
Collagen ใน Submucosa ของลำไส้แกะหรอื ววั ละลายไดเ้ พราะกระตุ้นให้เกิด acute inflammation
โดยรอบ เริ่มยยุ่ และแตกภายใน 4-5 วัน และจะหมดไปภายใน 2 สัปดาห์ เส้นใยสังเคระห์เช่น
- Polyglycolic acid (Dexon), Polyglycan (Vicry1) และ Polydioxanone (PDS) Plain catgut ละลายได้
เรว็ 5-10 วัน ใช้เย็บกล้ามเนือ้ ทไี่ มล่ ึกมาก ไมต่ อ้ งใช้แรงในการดึงรัง้ มาก เช่น บริเวณปาก ลำตวั ทแี่ ผลไมล่ กึ
- Chromic catgut ละลายได้ช้า 10-20 วนั ไม่ค่อยระคายเคือง ใชใ้ นการเยบ็ กลา้ มเนื้อท่ีตอ้ งใชร้ ะยะเวลานาน
เพือ่ ทจี่ ะทำให้แผลตดิ เหง่ือมาก เชน่ รักแร้ ฝ่ามอื ฝา่ เทา้ หรอื บรเิ วณทีเ่ คลื่อน ไหวมากเชน่ ข้อพบั หรือแผลท่ี
มนี ้ำเหลอื งซึมหรือเปยี กข้ึนมาก
2. วสั ดุทีไ่ ม่ละลายเอง (Non-Absorbable Sutures) ประกอบด้วย
ㆍเสน้ ใยตามธรรมชาติ เชน่ ไหมคำ (Silk) ราคาถกู ผกู ปมง่าย และไม่คลายแต่ทำจากเส้นใยหลายเสน้ มา
ประกอบกัน จงึ ทำให้มซี อกมุมทม่ี เี ช้อื
แบคทเี รียหลบซ่อนได้ วสั ดเุ หล่านี้จะเปราะเม่อื อยูใ่ นเน้ือเยื่อประมาณ / ปี ดา้ ยมหี ลาย ขนาด ตัง้ แต่
0/0 มขี นาคใหญ่ แรงดึงร้งั มาก เหมาะสำหรบั เยบ็ แผลบรเิ วณที่มีผวิ หนงั หนา เชน่ หนงั ศีรษะ
2/0 สำหรับเย็บบริเวณเทา้
3/0 และ 4/0 สำหรับเยบ็ แขนขา ลำตวั
ㆍ เสน้ ใยสังเคราะห์ เชน่ Nylon เส้นเหล่าน้ีมคี วามแข็งแรงมากกวา่ ไหมดำ แต่ผกู ปมยากและคลายง่าย ไม่มี
ปฏิกริ ยิ ากบั เนือ้ เยื่อมากแต่ผกู ปมลำบาก

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู อื การเยบ็ แผล

14

การใชย้ าชาเฉพาะท่ี
ยาชาชนดิ ตา่ งๆ ทน่ี ยิ มใช้
1. Procaine Hydrochloride หรอื Novocaine : ใชบ้ ่อยมาก ราคาถูก ออกฤทธิ์เรว็ เกือบจะทันที มฤี ทธ์ิ -
2 ชว่ั โมง ฤทธิ์อยไู่ ดน้ านกว่าน้ี โดยเดิม Adrenaline 0.5 cc. : 100 cc. ขอยาชา (Adrenaline ทำให้หลอด
เลือดหดตัว ยาซมึ หายไปได้ช้า ทำให้ฤทธิ์อยไู่ ด้นาน)
การแพ้ยา - อย่างออ่ น : คลน่ื ไส้อาเจียน เวยี นศีรษะ

- อยา่ งมาก : หน้ามืด ตามองไมเ่ ห็น ว้าวุ่น ชัก หมดสต
2. Lignocaine Hydrochloride หรือ Lidocaine หรือ Xylocaine : มีฤทธ์ติ ่อประสาทส่งความรู้สึก
มากกวา่ ประสาทสัง่ การเคล่ือนไหว
ขนาดที่นยิ มใช้ คือ 0.5%, 1%, 2%
ㆍ การแพย้ า - อย่างออ่ น : คล่ืนไสอ้ าเจยี น เวียนศีรษะ

- อยา่ งมาก : หน้ามดื ตามองไม่เห็น ว้าวนุ่ ชัก หมดสติ
ส่ิงที่ต้องคำนึงถึงเสมอ : การกีดยาชาเข้าหลอดเลือด อาจทำใหเ้ กิดอาการ หรอื มอี าการแท้มากขึ้นได้ ดังน้ัน
เวลาแทงเขม็ เข้าไปควรดดู ดกู ่อนฉีดเสมอวา่ เขา้ หลอดเลือดหรือไม่
3. Pontocaine Hyd rochloride : ระงบั ความรู้สึกดี แตม่ พี ษิ มากจึงนิยมใช้นอ้ ย มีประโยชน์สำหรบั ทาลง
ไปบนเยื่อเมือกต่างๆ เพื่อให้หมดความรสู้ กึ ใช้มาสำหรบั ลกู ตา จมูก ปาก และกอ

- ขนาดท่ใี ชห้ ยอดตา : 0.5%
- ขนาดทีใ่ ช้พ่นจมูก หรือแพ็คคอ : 2%

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเย็บแผล

15

การเลือกขนาดและวสั ดุเย็บแผล
1. แผลบริเวณหน้า - nylon 5/0, 6/0
2. แผลบริเวณหนังศีรษะ - nylon 2/0, 3/0
3. แผลบรเิ วณลำตวั แขนขา - nylon 3/0, 4/0
4. แผลบริเวณฝา่ มอื หลงั มือ - nylon 4/0, 5/0
5. แผลในปาก - chromic/plain catgut 3/0,4/0
catgut ไหมละลาย
Silk, Nylon ผวิ หนงั

ผลไมด่ ีและพิษของยาชา

1. แพ้ยา
2. ปริมาณของยาถูกดูดซึมเข้าในรา่ งกายจำนวนมาก และมปี ฏกิ ิริยาต่อระบบประสาท
ในขณะฉดี ยาชาควรสังเกตและพดู คยุ กบั ผูป้ ่วย เพื่อท่ีจะได้รู้อาการของผ้ปู ว่ ย ถ้าผปู้ ่วยตอบไมเ่ ตม็ ปาก
หรือไมต่ อบ แสดงวา่ เขาอาจเริ่มแพ้ยาชา ควรหยดุ ฉีดยาทันที และประเมนิ ผู้ป่วยเพ่ือหาความผดิ ปกติและ
แกไ้ ข
กรณีใชย้ าชาผสม Adrenaline แมว้ า่ จะผสมมคี วามเข้มข้นต่ำ แต่ถา้ ใช้ในปริมาณท่ีมากอาจทำให้
เกดิ ผลข้างเคยี ง เช่น ใจสัน่ ความดันโลหติ สูง จึงควรระมดั ระวังในการใช้ยากับผูป้ ่วยที่มีปญั หาเกี่ยวกับหลอด
เลอื ด ความดนั โลหิต โรคหวั ใจ ผสู้ ูงอายุ
การแก้ไขการแพย้ าชา
1. ดูแลทางเดนิ หายใจให้โล่ง และรายงานแพทย์
2. ให้นอนพักศรี ษะสงู ให้ O2 Inhalation
3. วดั สญั ญาณชพี บักทึกอาการ สังเกตการเปลี่ยนแปลง
4. ถ้าความดันโลหติ ตำ่ มแี นวโนม้ ชอ็ ค ให้ 5% D/NSS 1000 cc. IV drip ให้เรว็ ระหวา่ งรอแพทย์
5. ถ้าชักให้ Valium 10 mg. IV ช้าๆ
6. ถ้าหวั ใจหยดุ เตน้ อาจต้องให้ Adrenaline 1:1000 IV, Epinephine 0.1-0.5 cc. เจือจาง1:10000IV
7. ช่วยหายใจ เตรียมอุปกรณ์เครือ่ งใช้สำหรบั ใส่ Tracheostomy tube
ตำแหน่งทีห่ า้ มใช้ Xylocaine ผสม Adrenaline
เน่ืองจากจะทำให้อวัยวะส่วนนน้ั ขาดเลือดไปเลี้ยงทำให้เกดิ เน้ือตาย ไดแ้ ก่ ใบหู นวิ้ มือ น้วิ เทา้ อวัยวะ
เพศชาย หัวนม
วธิ ีการใชย้ าชา
1. การใชท้ าหรอื หยอด (Topical): ใชช้ นดิ ทดี่ ดู ซมึ งา่ ย เช่น Cocaine / Tetracaine ทาหรอื หยอดไปบน
เยือ่ อ่อนของรา่ งกาย เชน่
1) หยอดตา : Cocaine 4%
2) คอและหลอดลม เพ่ือทำ Bronchoscopy : Cocaine4% /Tetracaine 2% / Lidocaine2- 4%
3) ช่องปัสสาวะ ในการส่องตรวจ ในผู้หญิงใชส้ ำลีชบุ Cocaine 10% ทา ในผ้ชู ายใช้ Lidocaine
1% ประมาณ 10 cc. ฉีดเข้าทางหลอดปสั สาวะ

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเยบ็ แผล

16

2. การฉดี เฉพาะที่ (Infiltration) : การท่เี มื่อจะทำการผ่าตดั ตรงไหนก็ฉดี เข้าไปในบรเิ วณน้นั โดยตรง
3. การสกดั บรเิ วณ (Field block) : การฉีดยาชาลงไปตามแนวประสาทท่ีไปเลี้ยงบริเวณใดบริเวณหน่งึ
แลว้ ทำให้บริเวณนนั้ ชา โดยไมต่ อ้ งฉดี ยาชาเขา้ ไปในบริเวณที่จะทำผา่ ตดั โดยตรง
การฉดี ยาชาเฉพาะที่ (Local Anesthesia) กอ่ นฉีดยาควรซักประวตั เิ กย่ี วกับ

- การแพ้ยา
- ประวตั ิเก่ยี วกบั การถอนฟนั
อธิบายให้ผู้ปว่ ยทราบถงึ วตั ถุประสงค์ของการฉดี ยาวา่ เพือ่ ไม่ใหเ้ จ็บขณะทำหัตถการหลักท่ัวไปในการฉีดยาชา
1. พดู คุยกบั ผู้ป่วยให้คลายกังวล ใหน้ อนในทา่ ท่ีไม่เกรง็
2. ใช้เข็มฉดี ยาขนาดเล็ก ตรวจสอบดวู ่าเข็มไมต่ นั กระบอกฉดี ยากบั เข็มสวมกนั ไดส้ นทิ
3. ควรฉดี ยาเข้าในผวิ หนัง (Intradermal wheal) เสยี ก่อน เว้นแตบ่ ริเวณฝ่ามอื ฝ่าเท้า หรอื ทหี่ นัง
ศีรษะ เพ่ือไมใ่ หผ้ ้ปู ว่ ยเจ็บเวลาเคลือ่ นเข็ม โดยปักเข็มเพยี งพ้นผวิ แลว้ ฉีดยาเขา้ ไปเลก็ น้อย ถ้าเข็มอยูบ่ น
ผวิ หนงั จะมรี อยนนู ข้นึ ทนั ที แตถ่ ้าเขม็ เข้าไปชั้นใตผ้ ิวหนงั จะไมม่ ีรอยนูน
4. ค่อยๆ ปกั เข็มเข้าไปในเนื้อใตผ้ วิ หนงั ดดู ดวู า่ ปลายเข็มเข้าไปในหลอดเลอื ดหรือไม่ แลว้ เดินยาเพียง
1-2 cc. รอดปู ระมาณ 1-2 นาที ถา้ ไม่มปี ฏิกิริยาใดใหฉ้ ีดต่อไปจนไดป้ รมิ าณยาทต่ี ้องการ
5. ไม่ควรฉดี แรงและเร็ว เพราะจะเกดิ ความดนั สูงทำให้เจบ็ ปวดได้ กรณีท่ีฉีดเปน็ แนวหรือบรเิ วณ
กว้าง ควรแทงเข็มลงไปหรอื ถอนเขม็ ออกมาช้าๆในขณะฉดี
6. ไม่ควรแทงเขม็ ใหส้ ุดเพราะหากเขม็ หักจะเอาออกยาก
7. หากจะฉดี บริเวณกว้างควรแทงเข็มผา่ นผิวหนงั เพยี งครง้ั เดยี ว เมอ่ื เปล่ยี นตำแหน่งทฉี่ ดี ควรถอนเข็ม

ออกมาจนเกือบสดุ แลว้ จึงเปลี่ยนทิศทางของเข็ม โดยไมต่ ้องถอนเข็มออกจากผวิ หนงั
8. ไม่ควรแทงเข็มแรงๆ ลงไปบนกระดูก เพราะจะทำใหเ้ จ็บและอาจทำใหป้ ลายเขม็ งอ และขูดบาด
เนอ้ื เยอ่ื เวลาดึงออกหรือแทงเขา้
9. ทดสอบการชา โดยใช้ tooth forceps จับทผี่ ิวหนงั ตำแหนง่ ท่ีต้องการใหช้ า ถ้าผปู้ ่วยไมเ่ จ็บแสดง
ว่ามกี ารชาแลว้ สามารถทำหัตถการได้
การใชย้ าชาเฉพาะที่
การเลือกใชข้ นาดทเ่ี หมาะสมและการคำนวณยาชา

ชนิดยาชา ๒ g/100 ml ขนาดยา ๒,๐๐๐mg/๑๐๐ml
๒% lidocaine ๒๐ mg /ml

๑% lidocaine ๑ g /100 ml ๑๐ mg /ml ๑,๐๐๐mg /๑๐๐ml

๐.๕ % lidocaine ๐.๕ g/100 ml ๕ mg /ml ๕๐๐mg/๑๐๐ml

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเยบ็ แผล

17

•1% xylocaine without
adrenaline

ขนาดยา 3-5 mg/kg
•1% xylocaine with adrenaline

ขนาดยา 5-7 mg/kg
ขั้นตอนการทำหตั ถการ
- เทคนิคการเยบ็ แผล
1. เลือกเข็มใหเ้ หมาะสมกบั แผลท่เี ย็บ ถา้ เปน็ เขม็ ตรงใหใ้ ช้มอื จบั เยบ็ ไดเ้ ลย แตถ่ า้ หากเป็นเข็มโคง้ ต้องใช้
needle holder จบั เขม็ โดยจับท่ปี ระมาณ 1/3 ค่อนมาทางโคนเขม็
2. การจบั Needle holder มีการจบั ได้ 2 แบบ
Needle holder ยาว

Needle holder สน้ั

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเย็บแผล

18

3. การเยบ็ ควรปักเข็มลงไปให้ปลายเขม็ ตัง้ ฉากกบั ผิวหนงั หรอื เนื้อท่ีจะเย็บ จะทำให้ เยบ็ ง่าย ไม่ควรปักเข็ม
เฉียงๆ

4. ขณะดนั เข็มผ่านผวิ หนงั ให้หมุนเข็มให้ปลายเสยขน้ึ โดยใชข้ อ้ มือ อย่างดันตรง เนอ่ื งจากเขม็ อาจหักได้

5. ปล่อย needle holder ออกจากก้นเข็ม จากนัน้ ใช้ needle holder มาจบั ท่ีปลายอีกดา้ นหนึ่งแลว้ หมุน
เข็มออกมาจากผิวหนังตามความโครงของเข็ม

6. ดงึ ไหลมผา่ นผิวหนงั จากนั้นผกู ไหมด้วยเครื่องมือเป็น surgical knot
ลักษณะการเยบ็ แผล แบ่งเป็น 2 ประเภท ดงั นี้

1. เย็บแผลโดยใช้ไหมผูกเป็นปมแยกเป็นอนั ๆ (interupted)
2. เย็บแผลโดยใช้ไหมต่อเน่ือง (continuous interupted)

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ ือการเยบ็ แผล

19

ที่มา: https://web.facebook.com/im.scrub.nurse/photos/pcb.
วธิ ีการ รปู ภาพ
1.จับเข็มโดยจบั ที่ประมาณ 1/3 คอ่ นมาทางโคน
เข็ม

2. ใช้ forceps มเี ขี้ยวจบั ผวิ หนังขอบแผลปัก
เขม็ หา่ งขอบแผล 1 ซม.ลึกถึงกน้ แผล

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู อื การเยบ็ แผล

20

วิธกี าร รปู ภาพ
3. ปกั เขม็ ลกึ ถึงก้นแผล

4. ใช้ forceps จับประคองเข็มทีโ่ ผล่ใน sub
cutaneous tissueปลด needle holder มา
จบั เขม็ ดึงออกมาจากแผล

5.ใช้ forceps จบั เขม็ พลกิ Needle Holder
จบั เขม็ ใหม่ เพื่อเย็บตอ่

6. จับเขม็ โดยจบั ท่ปี ระมาณ 1/3 ค่อนมาทาง
โคนเขม็

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเยบ็ แผล

21

วธิ กี าร รูปภาพ
7.จบั เขม็ โดยจบั ทปี่ ระมาณ 1/3 ค่อนมาทางโคน
เขม็

8. ใช้ forceps จับผิวหนังขอบแผล อีกข้างดงึ ให้
ตงึ ปักเข็มตอ่ ในชน้ั subcutaneous tissue อีก
ข้างลึก เทา่ ๆ กนั กับขอบแผล ขา้ งแรก ดนั เข็ม
ผ่านผิวหนงั ขึน้ มาห่างขอบแผล เท่าๆ กนั

9.ใช้ forceps จับประคองเข็ม ท่โี ผล่พน้ ผิวหนัง

10. ปลด needle holder มาจบั ปลายเขม็ ใน
ลักษณะคว่ำมือดงึ เข็มออกตามความโคง้ ของ

เข็มอย่าใชแ้ รงงัด ขอบแผล

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเย็บแผล

22

วิธกี าร รูปภาพ

11. ดงึ ไหมผ่านแผล ใหเ้ หลอื หางสัน้ ๆ
มอื ซา้ ยจบั ไหมม้วนรอบneedle holder เป็น
บว่ งไปในลกั ษณะ ม้วนหนา้ ออกไปจากตัว

12.หากไหมล่ืน หรือเย็บแผล ในทต่ี ึง แนะนำ
ให้จับไหมม้วนรอบ needle holder เป็นบว่ ง

เพมิ่ อกี 1 รอบ เรียกวา่ surgical knot

13. ใช้ needle holder ดงึ ปลายไหม ลอด
บ่วงเข้ามาหาตัว ขณะที่มือซา้ ยจับปลาย
ไหมอีกด้านดึงในทิศ ออกจากตวั ดึงให้ปม
ตงึ

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู อื การเย็บแผล

23

วิธกี าร รูปภาพ

14.Pass needle holder ลอดบวง ไปจับปลาย
ไหม อีกขา้ งหนึ่ง

15. ลอ็ คปมไมใ่ หล้ ่นื หลดุ โดยโยกปลาย
ไหมดา้ นสัน้ ที่ needle holder จับอยู่ออก
จากตัว ไปอยู่ในแนว เดยี วกับไหม ทมี่ ือซ้าย
ดึงอยู่

16. มอื ซ้ายจับไหมทีจ่ ับอยู่มว้ นรอบ needle
holder เป็นบ่วง ในลักษณะม้วนหลัง

17.ใช้ needle holder ดึงปลายไหม
ลอดบว่ งออกไปจากตัวขณะที่มอื ซา้ ยท่จี ับ
ปลายไหม อีกดา้ นหนงึ่ ดึง
ใน ที่เขา้ หาตัวดึงใหป้ มตงึ

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเย็บแผล

24

วธิ กี าร รปู ภาพ

18.มือซา้ ยนำไหมที่จบั อยู่ม้วนรอบ needle
holder เป็นบว่ ง ในลกั ษณะมว้ น

19.Pass needle holder ลอดบ่วงไปจับ
ปลายไหม อีกด้านหน่งึ

20.ใช้ needle holder ดึงปลายไหมลอดบ่วง
เขา้ มาหาตวั ขณะทม่ี ือซา้ ย จับปลายไหมอีก
ขา้ งหน่งึ ดงึ ไปในทศิ ออกจากตวั ดึงใหป้ มตงึ

สดุ ทา้ ยใหท้ ำความสะอาดแผล แลว้ ปดิ แผลด้วยกอ๊ สปราศจากเชอ้ื ให้ใช้Forceps ดงึ ปมดา้ ยจากน้ัน
ใช้กรรไกรตัดไหมตัดล่างปมด้ายหรอื บนปมด้ายกไ็ ด้แตข่ ้อพึงระวังคือถา้ ตัดไหมด้านลา่ งปมตอ้ ง ดึงดา้ ยออก
ดา้ นซ้ายมือแต่ถ้าตัดบนปมด้ายใหด้ ึงด้ายออกดา้ นขวา (ดึงด้ายออกทิศทางเดยี วกบั ด้านท่ีตดั ดา้ ย) เพ่ือ
ปอ้ งกนั แผลแยก การตัดไหมโดยทั่วไปใชเ้ วลาประมาณ 7 วนั แต่ถ้าเปน็ บริเวณใบหนา้ ทมี่ ีการ ไหลเวยี นของ
เลอื ดดีแผลแหง้ เร็วอาจใชเ้ วลาประมาณ 5 วนั นับจากวันเย็บ สว่ นใหญ่การเย็บจะเปน็ แบบธรรมดา ซงึ่ ใชก้ ับ
แผลทว่ั ไป

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเยบ็ แผล

25

ทม่ี า: https://web.facebook.com/im.scrub.nurse/photos/pcb.

ท่มี า: https://web.facebook.com/im.scrub.nurse/photos/pcb.

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ ือการเย็บแผล

26

ท่มี า: https:/ /web.facebook.com/im.scrub.nurse/photos/pcb.

ที่มา: https://web.facebook.com/im.scrub.nurse/photos/pcb.

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเยบ็ แผล

27

ที่มา: https://web.facebook.com/im.scrub.nurse/photos/pcb.
คำแนะนำ (แผล,การตดั ไหม, วัคซนี ฯลฯ)
การให้ยาปฏชิ ีวนะและยาแก้ปวด
1. ซกั ประวตั แิ พย้ ากลุม่ Penicillin ถ้าไมม่ ปี ระวัติแพ้ยานีใ้ ห้

- แผลปนเป้อื นไม่มาก ไมม่ ี FB เน้อื เยื่อกระทบกระเทือนไม่มาก ขอบแผลเรียบ
: Penicillin (250) 1x3 ac.+hs. 5 วนั
- แผลปนเปอ้ื น เนอ้ื เยือ่ ชำ้ กระรงุ่ กระร่งิ ขอบไมเ่ รยี บ มี FB นานเกิน 6 ชม.
: Cloxacillin (250)1x3 ac.+hs. 5 วัน
- แผลสตั ว์กัด คนกัด
: Amoxycillin (500) 2x2 pc. นาน 5 วัน
2. แพ้กลุม่ Penicillin : Roxithromycin (150)1x2 ac. นาน 5 วัน
3. ปวด : Paracetamal (500) 2 tab.prn., NSAID : Ibuprofen (400) 1x2 pc. นาน 5 วนั
การใหภ้ ูมคิ ุ้มกนั บาดทะยัก ซักประวัติการได้วคั ซนี ป้องกันบาดทะยัก
1.ไมเ่ คยได้ / ได้รับมาเกนิ 10 ปี : ฉีด 3 ครง้ั ครง้ั ละ 0.5 cc. เดือนที่ 0,1,6
2.เคยได้รบั ครบ 3 ครง้ั ไมเ่ กิน 10 ปี : ไมฉ่ ีด
3.ได้รบั ครบ 3 ครงั้ เกิน 10 ปี : กระตนุ้ 1 ครั้ง
4. เด็ก 13 ปขี ึ้นไป ให้เชน่ เดยี วกับผทู้ ี่ไมเ่ คยได้มาก่อน

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเยบ็ แผล

28

การดูแลแผลหลงั การเย็บ
- นัดดแู ผลในวนั รุ่งขน้ึ เพ่ือประเมินแผล ถ้าแห้งดี ไม่บวมแดง นัดล้างแผลวันเว้นวนั จนครบตัดไหม ถ้า

มี discharge ซึม แผลบวมแดง ใหน้ ดั ล้างแผลทุกวนั จนครบตดั ไหม
คำแนะนำทีจ่ ะใหผ้ ปู้ ่วยก่อนกลับบา้ น

- รกั ษาแผลให้แหง้ สะอาดอยู่เสมอ อยา่ งนอ้ ย 24 ช่ัวโมงแรก และไม่ใหเ้ ปียกนำ้ จนกวา่ แผลจะหาย
ถา้ แผลเปียกนำ้ ใหร้ ีบกลับมาล้างแผลทโ่ี รงพยาบาล

- ยกอวัยวะส่วนท่มี บี าดแผล เช่น บรเิ วณ แขน ขา ใหส้ ูงกว่าระดบั หัวใจ
- ไมใ่ หเ้ ปลีย่ นผ้าปดิ แผลหรือแกะผา้ ปดิ แผลออกเอง
- รบั ประทานอาหารท่มี ีประโยชน์
- ให้สังเกตอาการผิดปกติทต่ี อ้ งรบี มาโรงพยาบาลทนั ที ได้แก่ ไข้ ปวดแผลมากกวา่ ปกติ บวมแดง
แสบร้อน มี Discharge ซมึ มาก เปน็ ตน้
การตดั ไหม
โดยทว่ั ไปการตดั ไหมจะทำให้วนั ท่ี 7-10 ภายหลงั การผา่ ตัด ท้ังนขี้ ้นึ อยู่กับจุดมุ่งหมายในการเยบ็ แผล
ตำแหน่งแผลและถ้าปล่อยไวน้ านเกินไปจะทำให้เกิดการอักเสบและแผลแยกในภายหลังได้
1. ตรวจสอบคำส่ังการรักษาของแพทยท์ ุกคร้งั วา่ มีจุดประสงค์ให้ตดั ไหมทุกอัน (total stitches off)
หรอื ตัดอนั เวน้ อัน (partial stitchess off)
2. ไหมทีเ่ ย็บแผลสว่ นทมี่ องเห็นเป็นสว่ นทม่ี ีการสัมผัสเชื้อแบคทเี รยี ที่อาศยั อยตู่ าม ผิวหนงั ในการตัด
และดงึ ไหมออกจึงไมค่ วรดึงไหมส่วนที่มองเหน็ ลอดผา่ นใต้ผวิ หนัง และจะต้องดึงไหมออกให้หมด เพราะถา้
ไหมตกคา้ งอย่ใู ตผ้ ิวหนัง จะกลายเปน็ ส่งิ แปลกปลอมและเกิดการอักเสบได้
3. ขณะตัดไหมหากพบว่ามีขอบแผลแยกให้หยดุ ทำ และปิดแผลดว้ ยวัสดทุ ี่ช่วยดึงรัง้ ให้ ขอบแผล
ติดกัน

วิธตี ดั ไหม
1. ทำความสะอาดบาดแผล โดยใช้นำ้ เกลอื เชด็ รอบแผล และอาจใช้น้ำเกลอื เช็ดคราบทไี่ หมเยบ็

(suture) ออก
2. การตัดไหมที่เยบ็ แผลโดยใชไ้ หมผกู เป็นปมแยกเปน็ อนั ๆ โดยใชป้ ากคบี ไมม่ ีเขยี้ วจับ ชายไหมส่วน

ท่อี ยเู่ หนือปมทผี่ ูกไว้ ดึงข้นึ พอตึงมือส่วนของจะเห็นไปใต้ปมโผล่พ้นผิวหนงั ข้นึ มา 2 เสน้ และใชส้ อดปลาย
กรรไกรสำหรบั ตัดไหมในแนวราบขนานกบั ผิวหนงั ตดั ไหมส่วนที่อยชู่ ิด ผิวหนงั ซงึ่ อยู่ใต้ปมท่ผี ูก แล้วดึงไหมใน
ลักษณะดึงเข้าหาแผลเพื่อป้องกันแผลแยก

3. การตดั ไหมทเี่ ย็บแผลโดยใช้ไหมผกู เปน็ ปมเปน็ อนั ๆ ชนิดสองชัน้ ให้ตดั ไหมสว่ นที่
มองเหน็ และอยชู่ ดิ ผวิ หนังมากที่สดุ ซ่งึ อยดู่ ้านตรงกันขา้ มกับปมไหมใหต้ ัดไหมด้วยวิธีเดยี วกบั การเยบ็ ธรรมดา

4. การตดั ไหมทเ่ี ยบ็ แผลแบบตอ่ เน่อื ง ให้ตัดไหมสว่ นที่อยชู่ ิดผวิ หนังดา้ นตรงกันขา้ มกับปมทผี่ ูกอัน
แรก และอันถัดไปดา้ นเดิม เมื่อดงึ ไหมออกส่วนท่ีเป็นปมผกู ไวอ้ ันแรก และส่วนท่อี ยู่ชิด ผิวหนัง ซ่ึงติดกบั ไหมที่
เย็บอนั ทสี่ องจะหลุดออก ส่วนไหมปมอันถัดไปให้ตดั ไหมส่วนที่อยชู่ ดิ ผิวหนังด้านเดมิ ทำเชน่ นจี้ นถึงปมไหมอัน
สุดท้าย สำหรับไหมที่เยบ็ ตอ่ เนื่องชนิดทบหว่ ง ให้ใช้กรรไกร ตัดไหม สว่ นท่ีอยชู่ ดิ ผวิ หนงั ดา้ นตรงขา้ มกับที่พนั
ทบเป็นห่วงทีละอัน และดึงออก

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเย็บแผล

29

ตำแหน่ง เวลาวัน เหตุผล
หนา้ ๕-๗
ศีรษะ ๗-๑๐ ติดงา่ ย ผิวบาง มีการเคล่ือนไหวน้อย
๗-๑๐ มีผิวหนังและกลา้ มเน้ือหนา ตดิ ชา้
รยางค์ และลำตวั
๑๔-๒๑ มผี วิ หนัง หน้า อาจรีกถึงช้นั กล้ามเน้ือ
ใกลข้ ้อ และไขมนั ตอ้ งใชเ้ วลาสมานแผล
หลาย

มีการเคลอื นไหวสูง ทำใหก้ ารตดิ ของ
แผลชา้

***หากตดั ไหมเกินกำหนดเวลา เกนิ เวลากำหนด ร่างกายอาจแสดงปฏิกริ ิยาว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมและ
อาจทำใหเ้ กิดการ อกั เสบ เป็นหนอง หรือสง่ ผลให้ปมของไหมจมและฝงั ใตผ้ ิวหนงั

เพ่มิ เตมิ การเย็บแผลที่นอกเนือ้ จากหนา้ ที่ของพยาบาล

ท่มี า: https://web.facebook.com/im.scrub.nurse/photos/pcb.

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเยบ็ แผล

30

ทม่ี า: https://web.facebook.com/im.scrub.nurse/photos/pcb.

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเย็บแผล

31

อา้ งอิง
กษยา ตันติผลาชวี ะ. ( ๒๕๖o). การตแู ลแผล (Wound dressing ตำราหตั ถการพนื้ ฐานศัสย์ศาสตร์ (พิมพค์ รงั้

ที่ ๒ ) . กรุงเทพ : โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย
จฑุ ารัตน์ ผูพ้ ิทักษ์กุล. (2557). การเย็บแผล. สบื คน้ 21 สิงหาคม 2564, จาก

http://pws.npru.ac.th
โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตำบลบ้านต๊ำ (2563). การเยบ็ แผล. สบื ค้น 21 สิงหาคม 2564, จาก

https://www.anamaibantum.com/2019/08/blog-post_12.html
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ (2560). การเยบ็ แผล. สบื ค้น 21 สงิ หาคม 2564, จาก

http://med.swu.ac.th/surgery/images/SAR54/1.pdf
อวนิ นท์ บัวประชุม ( กรกฎาคม ๒๕๖๔). บทท่ี ๕ การทำหตั การภายใตช้ อบเขตของระเบียบกระทรวง

สาธารณสุข. เอกสารประกอบการ สอนวชิ า การรักษาพยาบาลเบ้ืองต้น (พย. ๑๔๒b/, พิษณุโลก :
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชนิ ราช
อญั ติมา กิจศรีนภดล ( กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๒). บทที่ 9 หลกั การและเทคนคิ การทำแผล พันผา้ และการดแู ลทอ่
ระบาย. วชิ าหลักการและเทคนิคการพยาบาล รหัสวชิ า พย.1202 (พย.1202 /, พษิ ณุโลก :
วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชนิ ราช

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู ือการเยบ็ แผล

HANDBOOK OF SUTERING ค่มู อื การเยบ็ แผล

THANK
YOU

HANDBOOK OF SUTERING คมู่ อื การเยบ็ แผล


Click to View FlipBook Version