ใบความรทู้ ี่ 2.1
เรือ่ ง พอลเิ มอร์ เซรามกิ วัสดุผสม
พอลเิ มอร์
ถ้าพูดถึงคำว่า “พอลิเมอร์” หลายคนอาจจะตอ้ งใช้เวลาในการประมวลผลวา่ มันคืออะไร แต่ถา้ ใหพ้ ูด
ถึงคำว่า “พลาสติก ยาง เสน้ ใย ซิลโิ คน โฟม ฟอสฟาซนี ” นักเรียนอาจต้องร้องอ๋อ เปน็ แนน่ อน ซ่งึ สาร
เหล่านั้นลว้ นเป็นเปน็ ผลติ ภัณฑ์ของพอลิเมอรน์ น่ั เอง กอ่ นท่ีจะทำความเข้าใจว่าพอลเิ มอร์คอื อะไร ชนดิ ของพอ
ลเิ มอร์มีอะไรบ้าง และพอลเิ มอรเ์ กดิ ข้ึนได้อย่างไรนัน้ เรามาร้จู กั กบั ประโยชนข์ องพอลิเมอรก์ นั กอ่ น
ประโยชน์ของพอลิเมอร์
ในปจั จบุ ันเรามีการนำพอลเิ มอร์มาใช้ในการอำนวยความสะดวกในชีวิตอยา่ งแพร่หลาย เรียกกนั ได้วา่
เราสามารถเจอพอลิเมอร์ได้ในทุกมิติของการดำรงชีวิต ได้แก่
1. ด้านการแพทย์ มีการใช้ยาง ในการทำลูกสูบกระบอกฉีดยา กระเปาะบบี หลอดหยด จกุ ยาง ใช้
พลาสตกิ ในการทำข้อเทยี ม เปน็ ต้น
2. ดา้ นการก่อสรา้ ง พบว่า มีการใชไ้ ม้ ( เซลลูโลส ) ในการกอ่ สรา้ งและทำเฟอรน์ เิ จอรต์ ่างๆ ใช้
PMMA ( Polymethymethaacrylate ) ในการทำป้ายรา้ นคา้ ป้ายโฆษณา โคมหลงั คา กรอบแวน่ ตา เลนซ์
โคมไฟ เฟอร์นิเจอร์ ใชพ้ อลเี อทิลนี ( Polyethylene ) ทำสายเคเบิล แผน่ กันความชนื้ ในอาคาร ใชพ้ อลี
คารบ์ อเนต (Polycarbonate) ทำโคมไฟสาธารณะ พอลโี พรพลิ ีน (Polypropylene) ใช้ทำโต้ะ เก้าอี้ เชือก
พรม ใช้พอลไี วนิล คลอไรด์ ( Polyvinylchloride ) กระดาษปิดผนัง กระเบ้ืองปูพื้น และฉนวนหมุ้ สายไฟ
3. ด้านผลติ ภัณฑ์ท่ีใชบ้ รรจอุ าหาร ใช้พอลีเอทิลีน ( Polyethylene ) ทำถงุ บรรจุอาหาร ถาดทำ
น้ำแข็งในตเู้ ยน็ ขวดและภาชนะบรรจุของเหลว ใช้พอลีไ่ วนิล คลอไรด์ ( Polyvinylchloride ) ทำถ้วยและ
ถาดบรรจุอาหารชนดิ แผ่นบาง ใช้ทำถุงและพลาสติกบรรจุของ ขวดน้ำมันพืชชนิดต่างๆ ใชพ้ อลคี าร์บอเนต
(Polycarbonate) ทำขวดนมชนิดดี เปน็ ตน้
4. ดา้ นอตุ สาหกรรมยานยนต์ ใชพ้ อลเี อสเตอร์ ( Unsaturated Polyester ) ในการทำผลิตภัณฑ์ ไฟ
เบอร์กลาส เชน่ เรือ รถยนต์ ชิน้ ส่วนในเครอ่ื งบนิ ใช้พอลเี อไมด์ ( Polyamides ) ทำเกียร์
5. ดา้ นเครอื่ งนุง่ ห่ม ใช้พอลีเอไมด์ หรอื ไนลอ่ น( Polyamides or Nylon ) ในรูปเสน้ ใยทำรม่ ชูชีพ ถุง
เท้า เสอ้ื ฟ้า เอน็ ตกปลา ผงกำมะหยี่ ใช้พอลไ่ี วนลิ คลอไรด์ ( Polyvinylchloride ) ทำถุงมือ รองเท้าเด็ก ใช้
พอลีเอสเทอร์ ( Polyester) ในการทำเส้นใยทอเสื้อผา้ เสน้ ใยเซลลโู ลสและเส้นใยโปรตีนจากสตั ว์ นำมาทำ
เป็นเครือ่ งนุ่งหม่ เช่น ฝ้าย เส้นไหม เป็นต้น
(ภาพเมด็ พลาสตกิ พอลเิ มอร์ท่เี ป็นวตั ถุดบิ ในอตุ สาหกรรมพลาสตกิ ท่มี า : https://pixabay.com, Feiern1 )
เมื่อไดท้ ราบกันแลว้ ว่าพอลเิ มอร์มคี วามสำคญั ต่อการใชช้ วี ติ ประจำวนั ของเราแลว้ ต่อไปเรามาทำ
ความรจู้ กั กนั ว่า พอลิเมอรค์ ืออะไร มีก่ีชนิด และมวี ธิ ีการสงั เคราะห์อย่างไรบ้าง
พอลเิ มอร์ (Polymer) มีรากศัพท์ มาจาก Poly + Meros ซง่ึ
- Poly แปลว่า Many หมายถงึ มากมาย
- Meros หรือ Mer แปลวา่ Unit หมายถงึ หน่วย
ดงั น้ัน พอลิเมอร์ หมายถงึ สารประกอบทม่ี ีหนว่ ยเลก็ ๆ หลายหน่วยมาเชอื่ มต่อกันจนกลายเปน็
สารประกอบท่มี ีโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกลุ มาก หน่วยเล็กๆหรอื โมเลกุลพ้นื ฐานนน้ั เรียกว่า มอนอ
เมอร์ ( Monomer ) พอลิเมอรจ์ ะประกอบด้วยหนว่ ยทซี่ ้ำกัน ( Repeating unit ) มาเช่อื มตอ่ กนั ด้วยพนั ธะ
โควาเลนต์
ชนิดของพอลิเมอร์
เราสามารถจำแนกชนดิ ของพอลเิ มอรโ์ ดยใช้เกณฑ์ในการจำแนกได้หลายแบบ ทำให้ไดช้ นิดของพอลิ
เมอร์ ตา่ งๆดงั นี้
เมื่อจำแนกตามลักษณะการเกดิ ได้ 2 ชนิดดังน้ี
1. พอลิเมอร์ธรรมชาติ ( Natural polymers) เปน็ พอลเิ มอรท์ เี่ กิดขน้ึ เองตามธรรมชาติ เชน่
เซลลโู ลส DNA โปรตนี แปง้ ยางธรรมชาติ เปน็ ตน้
2. พอลิเมอร์ท่ีเกิดจากการสังเคราะห์ ( Synthetic polymers ) เปน็ พอลเิ มอร์ที่เกิดจากการ
สงั เคราะหโ์ ดยปฏกิ ิริยาเคมี เช่น พลาสติก ไนลอ่ น เมลามีน เป็นต้น
เมือ่ จำแนกตามชนดิ ของมอนอเมอร์ท่ีเปน็ องค์ประกอบได้ 2 แบบ ดังนี้
1. โฮโมพอลิเมอร์ ( Homopolymers ) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ชนดิ เดียวกันมาเช่ือมต่อ
กัน เช่น แป้ง และเซลลูโลส ซง่ึ เกดิ จากมอนอเมอรก์ ลูโคสมาเชอื่ มต่อกนั
2. โคพอลิเมอร์ ( Co - polymer ) เปน็ พอลิเมอร์ทเ่ี กิดจากด้วยมอนอเมอร์มากกวา่ 1 ชนดิ มา
เชอื่ มตอ่ กัน เช่น โปรตนี เกิดจากกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ มาเช่อื มต่อกัน ซง่ึ กรดอะมโี นมีหลายชนิด และเม่ือมี
การเชอ่ื มต่อกลายเป็นโปรตีนกอ็ าจมีการสลับท่ีกันไปมา ซ่ึงโปรตนี แต่ละชนิดกอ็ าจเกดิ มาจากกรดอะมิโนคน
ละชนดิ กนั จำนวนกอ็ าจไมเ่ ท่ากัน และรูปร่างและความยาวของสายพอลิเมอร์ท่แี ตกตา่ งกนั จึงทำให้โปรตีนมี
ความหลากหลาย
เม่อื จำแนกตามโครงสร้างของพอลเิ มอร์ได้ 3 แบบ ดงั น้ี
1. พอลิเมอร์แบบเสน้ ( Linear polymer ) เกิดจากมอนอเมอรต์ ่อกนั เปน็ เส้นยาว ๆ ใน 2 มิติ เช่น
เซลลโู ลส เกิดจากกลูโคสต่อกันเปน็ เส้นตรง และ ( Polyethylene ) ทีน่ ำมาใช้ทำเป็นขวด กลอ่ งพลาสติก
หีบห่ออาหาร ของเล่น เกดิ จากเอทลิ ีนต่อกนั เป็นเสน้ ตรง
2. พอลิเมอรแ์ บบก่งิ ( Branch polymer ) เกิดจากมอนอเมอร์ต่อกันเป็นสายยาวและบางจดุ มกี าร
แตกก่ิง จึงทำใหส้ ายพอลเิ มอรม์ ีก่ิงก้านสาขา ไมส่ ามารถเรยี งชดิ ติดกนั แบบพอลิเมอร์แบบเสน้ เช่น พอลิเอ
ทิลนี ชนดิ ความหนาแนน่ ต่ำ ท่ีนำมาใช้ทำเปน็ ถุงเยน็ ฟิล์มหดฟิลม์ ยืด ขวดนำ้ ฝาขาด
*** พอลิเมอรแ์ บบเส้นและแบบกิง่ มีโครงสรา้ งทจี่ ับกันแบบหลวม ๆ ถา้ ใหค้ วามรอ้ นสงู จะสามารถ
หลอมเหลวได้ สามารถรีไซเคิลแลว้ นำกลบั มาใชใ้ หม่ได้ ***
3. พอลิเมอร์แบบรา่ งแห ( Network polymer ) เกิดจากมอนอเมอร์ต่อกนั เป็นสายยาวและมีการ
เช่อื มโยงแตล่ ะสายพอลิเมอร์เขา้ หากนั โครงสร้างพอลิเมอร์ชนิดนี้ทำให้พอลเิ มอรม์ คี วามแข็งมาก จงึ มีความ
ทนทาน ไม่หลอมเหลว และไมย่ ดื หยนุ่ เชน่ เมลามีน ท่ใี ชท้ ำภาชนะบรรจอุ าหาร
ปฏกิ ริ ยิ าการเกิดพอลเิ มอร์
ปฏกิ ิริยาการเกดิ พอลิเมอร์ เรียกว่า ปฏิกิริยาพอลเิ มอไรเซชนั ( Polymerization ) คือกระบวนการ
สร้างสารท่มี ีโมเลกลุ ขนาดใหญ่ จากสารทีม่ โี มเลกุลเล็ก ( Monomer ) ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันจะเกิดภายใต้
สภาวะตา่ ง ๆ เช่น ตวั เร่งปฏกิ ิรยิ า อณุ หภูมิ ความดัน เป็นต้น ทำให้เกดิ พอลเิ มอรช์ นิดต่าง ๆ ขน้ึ มากมาย ทง้ั ท่ี
เป็นพอลเิ มอร์ในธรรมชาติ และพอลิเมอร์สงั เคราะห์
1. ปฏกิ ริ ิยาพอลเิ มอรไ์ รเซชัน่ แบบเตมิ ( Addition polymerization ) ปฏกิ ิรยิ านีเ้ กิดกบั มอนอเมอร์ทไี่ มอ่ ิ่มตวั
เชน่ เอทลิ ีน โพรพิลีน อะไครโลไนทริล สไตรีน โดยมตี วั เรง่ ปฏิกริ ยิ า และอุณหภมู ทิ ่ีเหมาะสมทำให้พนั ธะคแู่ ตก
ออก แลว้ เกดิ การสรา้ งพนั ธะกับโมเลกุลขา้ งเคียงต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทัง่ โมเลกลุ ขนาดใหญ่ข้นึ สายพอลิเมอร์
ยาวขึน้ ปฏกิ ิริยาจะเกิดไปเร่ือย ๆ จนกระทั่งมอนอเมอร์หมดไป ปฏิกริ ิยาแบบน้จี ะเกิดปฏิกิรยิ าท่ีพนั ธะคู่ของ
คาร์บอน ไมม่ ีการสญู เสียของอะตอมใด ๆ ทำให้ไม่มผี ลิตภัณฑอ์ นื่ ๆ ข้างเคียงเกิดข้นึ ตวั อย่าง พอลิเมอร์ทีเ่ กิด
จากปฏกิ ิรยิ าชนดิ นไ้ี ด้แก่ Polyethylene, Teflon, Polyvinyl Choride
2. ปฏกิ ริ ิยาพอลิเมอร์ไรเซช่นั แบบควบแน่น ( Condensation polymerization ) ปฏกิ ริ ยิ าน้ีเกดิ กับมอนอ
เมอร์ที่มหี มูฟ่ ังก์ชั่น 2 หมู่ อยู่ดา้ นซา้ ยและขวาของมอนอเมอร์ เพื่อให้สามารถเกดิ ปฏิกริ ิยาควบแนน่ กบั
โมเลกุลขา้ งเคยี งได้ท้ังสองด้าน และตอ่ ขยายความยาวสายโมเลกุลออกไป โดยในปฏิกิริยาจะกำจัดโมเลกลุ
ขนาดเล็กออกมาจากปฏกิ ิรยิ า เช่น H2O NH3 HCl หรอื CH3OH เป็นตน้ ตวั อยา่ ง พอลเิ มอร์ทเี่ กดิ จาก
ปฏกิ ิรยิ าชนิดนี้ได้แก่ Polyester, Polyurethane, polyamide
เซรามิก
เซรามกิ (องั กฤษ: ceramic) เซรามิกมรี ากศัพท์มาจากภาษากรกี keramos มคี วามหมายว่า สง่ิ ท่ีถูก
เผา ในอดตี วสั ดุเซรามิกท่มี ีการใช้งานมากทส่ี ดุ คอื เซรามกิ ดั้งเดมิ ทำมาจากวสั ดหุ ลกั คือดินเหนยี ว โดยในช่วง
แรกเรยี กผลติ ภัณฑ์ประเภทน้ีว่า ไชนาแวร์ เพือ่ เป็นเกยี รติใหก้ ับคนจนี ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการผลติ เคร่ืองปัน้ ดนิ เผา
รุ่นแรก ๆ
ประโยชนใ์ ช้สอย
เซรามิกสามารถนำมาประยุกต์ เพ่ือผลติ เป็นผลิตภัณฑป์ ระเภทต่าง ๆ ได้มากมาย อาทิ หม้อไหถว้ ย
ชาม เคร่อื งเคลอื บดินเผา อฐิ กระเบ้ืองเคลือบ วสั ดุประเภทซเี มนต์ แก้ว และวสั ดุทนไฟ เปน็ ต้น ตั้งแตป่ ี 1950
เปน็ ตน้ มาได้มีความเจริญก้าวหนา้ ในกระบวนการผลติ ตลอดจนมีความเข้าใจในลกั ษณะพ้นื ฐาน และกลไกท่ี
ควบคมุ คุณสมบัติของเซรามิก ทำใหม้ ีการพฒั นาเซรามกิ ประเภทใหม่ ๆ มากมาย คำว่าเซรามิกจึงมีความหมาย
ท่กี วา้ งข้ึนรวมถงึ เซรามิกท่ีมคี ุณสมบัติพิเศษเหลา่ นี้ด้วย โดยวัสดเุ หล่านีไ้ ด้ถกู นำไปใช้ในงานต่าง ๆ เช่น ช้ินส่วน
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ฉนวนไฟฟ้า วัสดขุ ัดเจียร ชิน้ สว่ นยานอวกาศ ภาชนะ และเคร่ืองครัว (Table ware)
เครอ่ื งประดบั ตกแต่ง (Decoration & Garden ware) เครื่องสุขภัณฑ์ ชิ้นส่วนในรา่ งกายมนษุ ย์
วัตถดุ ิบเซรามิก
วตั ถดุ ิบท่ีใช้ในอตุ สาหกรรมเซรามกิ สามารถแบง่ กลุ่มอยา่ งกวา้ ง ๆ ไดด้ งั นี้คือ
1. วัตถุดบิ ประเภทดนิ เหนียว (Plastic Materials)
2. วัตถุดิบประเภทท่ีไมม่ ีความเหนียว (Non-plastic Materials) ซ่ึงวัตถุดบิ ท้งั สองกลมุ่ ดังกล่าว
อาจจะจำแนกออกเป็นกล่มุ ย่อยได้อีก นอกจากการจำแนกตามลกั ษณะข้างตน้ แล้ว ในอุตสาหกรรมการผลติ
เซรามกิ ประเภท Whiteware นยิ มแบ่งกลมุ่ ของวตั ถุดบิ ที่ใช้ในอตุ สาหกรรมออกเปน็ 3 กลมุ่ หลกั ๆ ดว้ ยกัน
ได้แก่
3. วัตถุดิบประเภทดนิ (Clays) : เป็นตวั ให้ความเหนยี วและชว่ ยใหส้ ามารถข้นึ รูปเนอื้ ดินไดง้ า่ ย และ
ช่วยทำใหเ้ นื้อดินมีความแข็งแรงเพียงพอหลงั การเผาซง่ึ ทำใหส้ ามารถหยบิ จบั ชิ้นงานในขั้นตอนการขึ้นรปู และ
การเผาได้
4. วตั ถุดิบประเภทสารชว่ ยหลอม (Fluxes) : เป็นแร่ทปี่ ระกอบด้วยอัลคาไลนห์ รืออัลคาไลนเ์ อิร์ทซึ่ง
จะหลอมตวั ระหวา่ งเผาและทำปฏิกิริยากบั สารประกอบตัวอืน่ ๆ เพื่อฟอรม์ ตัวเปน็ แกว้ ซึ่งจะทำหนา้ ท่ีใหค้ วาม
แข็งแรงกับช้นิ งานหลงั เผา ดงั น้ันสารประกอบฟลักซ์จะเปน็ ตวั ช่วยลดอุณหภมู ิทใี่ ชใ้ นการเผาชน้ิ งานลง
5. วตั ถดุ ิบประเภทตวั เติม (Fillers) : โดยทัว่ ไปแลว้ ทรายแก้ว (Silica) ทใ่ี ชใ้ นส่วนผสมของเนอื้ ดนิ
Whiteware จะทำหนา้ ทหี่ ลักในการควบคุมคา่ การขยายตัวเนือ่ งจากความรอ้ นของเน้ือดินหลงั การเผา
6. วตั ถดุ บิ ประเภทอน่ื นอกจากวตั ถุดิบใน 3 กลุ่มหลักข้างตน้ แลว้ ปนู ปลาสเตอร์ หรอื Plaster of
Paris รวมท้งั เคลือบและสตี า่ ง ๆ กจ็ ดั วา่ เปน็ วตั ถุดิบทีใ่ ช้ในกระบวนการผลิตผลิตภณั ฑ์เซรามกิ ดว้ ยเช่นกัน
วสั ดผุ สม(Composite)
วัสดุผสม(Composite): วัสดทุ ่ีประกอบด้วยวสั ดุ 2 ประเภทขึ้นไปโดยที่องค์ประกอบทางเคมีแตกตา่ ง
กนั และจะต้องไม่ละลายเป็นเนอื้ เดียวกัน ซง่ึ อาจเกิดจากการผสมหรือการสรา้ งพันธะ
1. เกดิ จากการผสมกนั ระหว่างวสั ดุ องคป์ ระกอบอยูใ่ นระดับทส่ี ามารถมองเหน็ ได้ ตวั อย่างเชน่
คอนกรีต ทปี่ ระกอบดว้ ยซเี มนต์ ทราย หิน และ น้ำ
2. เกดิ จากการสร้างพนั ธะ องคป์ ระกอบอย่ใู นระดบั โมเลกลุ ถา้ เป็นเหล็กเรียกวา่ อัลลอย ถ้าเปน็
พลาสตกิ เรยี กว่าพอลเิ มอร์
วสั ดเุ ชิงประกอบจะประกอบดว้ ยตวั เสริมแรง (reinforce phase) ซึ่งอาจจะอย่ใู นรูปของเส้นใย
อนภุ าค แผ่นหรอื ชิน้ เล็กๆ และ/หรือเปน็ สารตวั เตมิ ซ่ึงเปน็ เฟสกระจาย (dispersed phase) ฝงั ตวั อย่ใู นเนื้อ
พื้น ( matrix) ท่ีอาจเปน็ โลหะ เซรามิก หรือพอลิเมอร์ ตวั เสรมิ แรงจะช่วยทำใหส้ มบตั ิทางกลโดยรวมของเนื้อ
พื้นดีเน่ืองจากวสั ดแุ ต่ละชนิดจะมีทงั้ ข้อดขี ้อเสยี เชน่ โลหะจะมคี วามแข็งแรง และความเหนียวสูงแตเ่ ป็นสนิม
งา่ ยและหนกั พอลเิ มอรจ์ ะมีน้ำหนกั เบาแต่มคี วามแขง็ แรงต่ำ ทนความรอ้ นไม่ได้ นำไฟฟ้าไมไ่ ด้ เซรามกิ มคี วาม
แข็งสูง ทนต่อการสึกหรอและการผุกร่อนไดด้ ี ทนความรอ้ นไดด้ ี แต่เปราะ มีความเหนยี วตำ่ เป็นต้น ด้วยเหตนุ ี้
จงึ มีการนำเอาวสั ดุตา่ งชนิดมาผสมกนั เพ่ือจะทำให้ผลิตภัณฑ์ท่ไี ด้มีสมบัติพเิ ศษท่ีได้จากข้อดีของวสั ดุแต่ละชนดิ
เช่น คอนกรีตเสริมเหล็กเปน็ วสั ดผุ สมทีจ่ ะให้ท้ังความแขง็ (จากสมบตั ิท่ดี ีของคอนกรีตซึ่งเป็นเซรามิก) และ
ความเหนยี ว (จากสมบตั ิทด่ี ีของเหลก็ ซง่ึ เปน็ โลหะ) หรอื ไฟเบอร์กลาสเป็นวสั ดุผสมทม่ี ีนำ้ หนักเบา(จากสมบตั ิท่ี
ดีของพอลเิ มอร์) และมีความแขง็ แรง (จากสมบัติทดี่ ีของใยแกว้ ) เป็นตน้
ประเภทของวัสดคุ อมโพสติ
ประเภทของวัสดคุ อมโพสติ อาจถกู แบง่ ไดต้ ามเนื้อพ้นื ไดเ้ ปน็ 3 กล่มุ คอื กลุ่มที่มพี อลเิ มอร์เปน็
สว่ นผสมหลกั (fiber-reinforced polymers, FRP) กลมุ่ ที่มเี ซรามิกเปน็ สว่ นผสมหลกั (ceramic-matrix
composite,CMC) และกลุ่มที่มโี ลหะเปน็ ส่วนผสมหลกั (metal-matrix composite, MMC) นอกจากน้ี วสั ดุ
คอมโพสติ อาจะแบง่ ไดต้ ามลักษณะของตวั เสริมแรง ได้แก่
1. ตัวเสรมิ แรงมีลักษณะเปน็ เสน้ ใย (Fibrous Composites)
2. ตวั เสริมแรงมีลกั ษณะเป็นอนุภาค (Particulate Composites)
3. ตวั เสรมิ แรงมีลกั ษณะเปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ (Flake Composites)
4. ตัวเสริมแรงเป็นสารตัวเตมิ (Filled Composites)
5. ตวั เสรมิ แรงมีลักษณะเปน็ ช้นั หรอื ชนดิ ซอ้ นแผน่ (Laminar or Layered Composites)
เพอื่ ใชป้ ระโยชนเ์ ฉพาะงาน โดยไม่ไดเ้ กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติการผสมกันของวัสดุเหล่านี้จะไม่เป็น
เน้ือเดียวกนั แตจ่ ะแยกกนั เปน็ เฟสทเี่ หน็ ได้อย่างเด่นชดั เฟสแรกเรยี กว่า เนื้อพน้ื (matrix) ซง่ึ จะอยดู่ ้วยกนั อย่าง
ตอ่ เนื่องและล้อมรอบอีกเฟสซงึ่ เรียกวา่ เฟสท่ีกระจาย หรือ ตัวเสรมิ แรง (reinforcement) คณุ สมบัตขิ องวัสดุ
ผสมทีไ่ ด้จะเป็นฟงั ช่นั หรือขน้ึ กันกบั คุณสมบตั แิ ละปรมิ าณของสารตง้ั ต้นเหลา่ น้ี และรูปทรงทางเรขาคณติ ของ
เฟสทกี่ ระจายตวั
วสั ดผุ สมสามารถแบ่งเป็น 3 กลมุ่ ดังน้ี
1. วสั ดุผสมท่เี สรมิ แรงดว้ ยอนุภาค (particle-reinforced)
2. วัสดุผสมที่เสรมิ แรงดว้ ยเสน้ ใย (fiber-reinforced)
3. วัสดผุ สมโครงสร้าง (structural)
วสั ดทุ ส่ี ามารถนำมาใชง้ านได้โดยทไ่ี ม่ต้องนำไปดัดแปลงมากมายโดยการพฒั นาการทางเคมี เรา
สามารถนำวัสดมุ าใช้โดยการนำเคมที ่เี ราสามารถหาได้โดยทวั่ ไปมาเปน็ สว่ นประกอบเพื่อแยกส่วนประกอบตา่ ง
ๆ ของวัสดทุ ่เี ราคดิ เปลยี่ นสภาพได้เรว็ โดยใช้สารเคมีมาเป็นตัวแยกส่วนประกอบออกมาใหไ้ ด้หลายแขนง
ฉะน้ัน การที่เราจะนำโลหะทีไ่ มส่ ามารถแยกตวั ประกอบได้นนั้ เราสามารถทำได้โดยการใชส้ ารเคมมี าเป็น
สว่ นประกอบ เพ่อื แยกการแตกตวั ของงานโลหะชิน้ น้ัน โดยใช้หลกั การการกดั กร่อนของสารเคมี สูดดม