ความสั มพั นธ์ ไทย –
สหภาพยุ โรป
ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ร ะ ห ว่ า ง
ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย กั บ ส ห ภ า พ
ยุ โ ร ป แ ล ะ อ ง ค์ ก า ร
ส ห ป ร ะ ช า ช า ติ
ไทยกับสหภาพยุโรป (European
Union – EU) มีความสัมพันธ์ทางการ
ทูตมายาวนานกว่า 40 ปี โดยได้มีการ
จัดตั้งคณะผู้แทนของสำนักงานคณะ
กรรมาธิการประชาคมยุโรปที่กรุงเทพฯ
เมื่อปี 2521 ซึ่งถือเป็นคณะผู้แทนแห่ง
แรกของประชาคมยุโรปในภูมิภาค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาได้
เปลี่ยนชื่อเป็น “คณะผู้แทนสหภาพ
ยุโรปประจำประเทศไทย” ในส่วนของ
ไทย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุง
บรัสเซลส์ มีฐานะเป็นคณะผู้แทนไทย
ประจำสหภาพยุโรปด้วย
ด้านการเมือง
ไทยกับอียูมีกลไกดำเนินความสัมพันธ์ทวิภาคี ได้แก่ การประชุมระดับเจ้า
หน้าที่อาวุโสไทย-อียูมาตั้งแต่ปี 2535-ปัจจุบัน มีการประชุมมาแล้ว 14 ครั้ง
ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2562 ณ กรุงบรัสเซลส์ ขณะนี้ไทยกับ EU อยู่
ระหว่างการเจรจาเพื่ อลงนามความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความ
ร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement – PCA)
โดยตั้งเป้าหมายให้สามารถลงนามได้ภายในปี 2564 ทั้งนี้ ความตกลง PCA
จะช่วยสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายให้ใกล้ชิดและมีผลเป็นรูปธรรม
ยิ่งขึ้นในทุกมิติของความสัมพั นธ์
ด้านเศรษฐกิจ
ไทยกับ EU กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นการ
เจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement –
FTA) โดยอียูเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับต้น ๆ ของไทย ในปี 2562
การค้าระหว่างไทยกับอียูมีมูลค่าประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท คิด
เป็นสัดส่วนร้อยละ 9.21 ของการค้าต่างประเทศของไทยทั้งหมด
ซึ่งมีมูลค่า 15 ล้านล้านบาท โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า EU
ประเทศสมาชิก EU ที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย 3 อันดับแรก
ได้แก่ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส
สินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทยไป EU ได้แก่
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ รถยนต์และอุปกรณ์ อัญมณี
และเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ
ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า ไก่แปรรูป รถจักรยานยนต์และ
ส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
สินค้านำเข้าสำคัญ 10 อันดับแรกจาก EU ได้แก่ เครื่องจักร
กลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบเคมีภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม ส่วนประกอบและอุปกรณ์-
ยานยนต์ เครื่องบินและอุปกรณ์การบิน เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยว
กับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องเพชรพลอย
อัญมณี
ด้านการลงทุน
EU อยู่ในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ 5 อันดับแรกของไทย (ร่วม
กับญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และอาเซียน) โดยประเทศสมาชิก EU ที่มี
มูลค่าการลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี
สวีเดน และฝรั่งเศส
ไทยกับ EU มีกรอบความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานด้านต่างๆที่
สำคัญ ได้แก่ มาตรฐานด้านการประมง แรงงาน การบินพลเรือน ผลิตภัณฑ์
ไม้ ทรัพย์สินทางปัญญา ด้านภาษี เกษตรและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการยกระดับ
มาตรฐานเหล่านี้ ถือเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและ
ความยั่งยืนในระยะยาวให้กับประเทศไทย ผ่านโครงการความร่วมมือและการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานสากลกับอียู ที่ผ่านมามีการ
ประชุมภายใต้กรอบความร่วมมือที่สำคัญ ได้แก่
Thailand-EU FLEGT VPA ครั้งที่ 3 (Forest Law Enforcement,
Governance and Trade Voluntary Partnership Agreement)
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 (ผ่านระบบทางไกล)
EU-Thailand Labour Dialogue ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์
2563
Joint Taskforce between Government of Thailand and DG
MARE in combating against IUU Fishing ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9-10
ธันวาคม 2562
Thai-EU Senior Officials’ Meeting (SOM) ครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 16
ตุลาคม 2562
Joint Taskforce between Government of Thailand and DG
MARE in combating against IUU Fishing ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 13-15
กุมภาพันธ์ 2562
THAI-EU SENIOR OFFICIALS’ MEETING (SOM) ครั้งที่ 13
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2561
THAILAND-EU FLEGT VPA ครั้งที่ 2 (FOREST LAW
ENFORCEMENT, GOVERNANCE AND TRADE
VOLUNTARY PARTNERSHIP AGREEMENT) เมื่อวันที่ 19
กรกฎาคม 2561
EU-THAILAND LABOUR DIALOGUE ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 16-
17 พฤษภาคม 2561
THAI-EU SENIOR OFFICIALS’ MEETING (SOM) ครั้งที่ 12
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560
THAILAND-EU FLEGT VPA ครั้งที่ 1 (FOREST LAW
ENFORCEMENT, GOVERNANCE AND TRADE
VOLUNTARY PARTNERSHIP AGREEMENT) เมื่อวันที่ 29-
30 มิถุนายน 2560
ความร่วมมือด้านวิชาการและการพั ฒนา
EU มีโครงการสนับสนุนภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา
วิจัยของไทยในการเพิ่ มขีดความสามารถบุคลากรภาครัฐและเอกชนใน
หลายระดับ ได้แก่ ระดับทวิภาคี ระดับอาเซียน ระดับภูมิภาคเอเชีย
(โครงการ SWITCH-Asia) และระดับโลก (ทุน Erasmus Mundus
และ Erasmus+ และทุนเพื่อส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม (Horizon
2020))
ความร่วมมือกับอาเซียน
EU มองอาเซียนว่าเป็นหุ้นส่วนโดยธรรมชาติ (natural
partner) และประสงค์จะมีความร่วมมือในทุกมิติ และมีความ
ประสงค์ที่จะผลักดันและยกระดับความสัมพั นธ์กับอาเซียนจาก
“หุ้นส่วนที่เพิ่มพู น” (Enhanced Partnership) ในปัจจุบันไป
สู่ความเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” (Strategic Partnership)
ต่อไปในอนาคต โดยประเด็นที่ EU ให้ความสนใจ เช่น ความ
มั่นคงทางทะเล การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ ความช่วยเหลือ
ด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ เป็นต้น
องค์การสหประชาชาติ
องค์การสหประชาชาติก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม
2488 (ค.ศ. 1945) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความั่นคง
ระหว่างประเทศ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การเคารพในหลัก
ความยุติธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ การส่งเสริมความ
เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของประชากรโลก ตลอด
จนส่งเสริมความสัมพั นธ์อันดีระหว่างประเทศ
องค์การสหประชาชาติมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นคนิวยอร์ก
ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีสมาชิก 189 ประเทศ ประกอบ
ด้วยองค์กรหลัก 6 องค์กร คือ สมัชชา(General Assembly)
คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) คณะมนตรี
เศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council :
ECOSOC) คณะมนตรีภาวะทรัสตี (Trusteeship Council)
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of
Justice) และสำนักเลขาธิการ (Secretariat) องค์กรต่าง ๆ
เหล่านี้มีสำนักงานอยู่ที่นครนิวยอร์กยกเว้นศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ประเทศไทยกับสหประชาชาติ
ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติลำดับที่
55 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2489 หลังจากที่สหประชาชาติได้
ก่อตั้งเพียง 1 ปี โดยนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้ชี้แจงเหตุผลไว้ดังนี้
1. เพื่อความมั่นคงของไทย เนื่องจากสหประชาชาติเป็น
องค์การมีกำลังมากที่สุดที่สามารถธำรงสันติภาพ และความ-
มั่นคง และให้ความยุติธรรมสำหรับประเทศเล็ก ๆ อย่างไทย
2. เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเก่าแก่
ชาติหนึ่ง เนื่องจากการที่เข้าเป็นสมาชิกขององค์การโลกเป็นการ
ยืนยันรับรองฐานะของไทยอีกครั้งหนึ่ง
3. ไทยหวังความช่วยเหลือจากสหประชาชาติในด้าน-
เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
4. เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ไทยประสงค์จะร่วมมือในการ
สร้างสันติภาพและความมั่นคงของโลกอย่างจริงจัง
บทบาทด้านการส่งเสริมสันติภาพและรักษาความมั่นคง
ระหว่างประเทศ
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ซึ่งเกิดกรณีปัญหากัมพู ชา ประเทศไทยได้มีบทบาทนำอย่าง
แข็งขันร่วมกับอาเซียนในการแก้ไขปัญหาในประเทศเพื่ อนบ้านโดยดำเนินการผ่านเวที
สหประชาชาติ ต่อมาหลังจากสหประชาชาติได้ปรับบทบาทให้สอดคล้องกับบรรยากาศทางการ
เมืองระหว่างประเทศ หลังจากการยุติของสงครามเย็น ประเทศไทยได้เพิ่มบทบาทในด้านการ
เข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจาก
พิจารณาเห็นว่าสหประชาชาติเป็นเสมือนตัวแทนประชาคมโลก ดังนั้นการให้สหประชาชาติดูแล
รักษาสันติภาพและความมั่นคงจึงเป็นประโยชน์แก่ประเทศที่มีกำลังทางทหารขนาดเล็กอย่างไทย
มากกว่าที่จะให้ประเทศใดประเทศหนึ่งใช้กำลังฝ่ายเดียวเพื่ อยุติข้อขัดแย้ง
นอกจากนี้ ในฐานะประเทศสมาชิกที่ดีของสหประชาชาติไทยได้พยายามให้การสนับสนุน
บทบาทของสหประชาชาติเท่าที่สถานภาพและกำลังทรัพย์จะเอื้ออำนวยประเทศไทยได้มีบทบาท
ในด้านนี้มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ยุคหลังสงครามเย็น ดังนี้
1. ส่งทหารเข้าร่วมในกองกำลังรักษาสันติภาพฯ บริเวณชายแดนอิรัก-คูเวต (United
Nations Iraq-Kuwait Observer Mission: UNIKOM) ปีละ 5 นาย ตั้งแต่ปี 2534-
ปัจจุบัน
2. ส่งทหารเข้าร่วมกองกำลังรักษาความปลอดภัยในอิรัก (United Nations Guards
Contingent in Iraq :UNGCI) ในปี 2535 จำนวน 2 ผลัด ๆ ละ 50 นาย
3. ส่งทหารหนึ่งกองพันเข้าร่วมองค์กรบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพู ชา
(United Nations Transitional Authority in Cambodia: UNTAC)
ปี 2534-2535
4. ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพในบอสเนีย-
เฮอร์เซโกวินา (United Nations Mission in Bosnia-Herzegovina: UNMIBH)
ปีละ 5 นาย ตั้งแต่ปี 2540 – ปัจจุบัน
5. ส่งทหารเข้าร่วมปฏิบัติการของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก ปี 2542- ปัจจุบัน
6. ส่งนายทหารสังเกตการณ์ 5 นายเข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพในเซียร์ราลี
โอน(United Nations Mission in Siera Leon: UNAMSIL) ตั้งแต่ต้นปี 2543
บทบาทของไทยในฐานะเป็นที่ตั้งของหน่วยงานต่าง ๆ
ของสหประชาชาติ
ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของหน่วยงานสหประชาชาติ
และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะกรุงเทพ-
มหานครได้เป็นที่ตั้งขององค์การในระดับภูมิภาคและสำนักงานที่สำคัญ ๆ
ของสหประชาชาติหลายองค์การ ซึ่งเป็นองค์การหลักในด้านการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคม เช่น คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับ
เอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) สำนักงานส่วนภูมิภาคของโครงการสิ่ง
แวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และองค์การ
อนามัยโลก เป็นต้น การที่ประเทศไทยได้เป็นที่ตั้งของหน่วยงาน
สหประชาชาติหลายหน่วยงานเช่นนี้ ได้เปิดโอกาสให้ความร่วมมือระหว่าง
ไทยกับสหประชาชาติในด้านต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างใกล้ชิด ซึ่งได้ให้
ประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย โดยเฉพาะ
ต่อประชาชนในภูมิภาคซึ่งยังมีฐานะยากจนและขาดแคลนในด้าน
สาธารณูปโภค และระบบสุขอนามัยที่ดี
บทบาทของไทยในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ ของ
สหประชาชาติ
นับตั้งแต่ไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ผู้แทนของประเทศไทยได้รับการเลือกตั้งให้
ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในสหประชาชาติอย่างสม่ำเสมอ อาทิ
1. ประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 11 ปี 2499 โดยพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรม
หมื่นนราธิปพงศ์ประพั นธ์ทรงได้รับการเลือกจากประเทศสมาชิกสมัชชาฯ
2. สมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประจำปี 2529-2530
3. สมาชิกคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ช่วงปี 2517-2519, 2523-2525, 2526-
2528, 2532-2534, 2538-2540
4. รองประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 35 ปี 2523, สมัยที่ 43 ปี 2531, สมัยที่
50 ปี 2538 และ สมัยที่ 54 ปี 2542
5. ประธานคณะกรรมการพิเศษว่าด้วยการเมืองและปลดปล่อยอาณานิคม
ปี 2534
6. ประธานคณะทำงานของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดว่าด้วยปฏิบัติการรักษา
สันติภาพ ปี 2536-2541
7. รองประธานคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยการปรับปรุงและขยายคณะมนตรีความ-
มั่นคงฯ ปี 2537-2541
8. ประธานคณะกรรมการบริหารของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและกองทุน
ประชากรแห่งสหประชาชาติ ปี 2541-2542
9. ประธานร่วมคณะเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการเตรียมการสำหรับการประชุมระหว่าง
ประเทศว่าด้วยการให้ความสนับสนุนด้านการเงินสำหรับการพัฒนา ปี 2543
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกสหประชาชาติให้ปฏิบัติหน้าที่ใน
คณะกรรมาธิการ หรือ คณะกรรมการต่าง ๆ ในกรอบสหประชาชาติอีกมากมาย โดยในปี
2543 ไทยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการ 8 คณะ ได้แก่ การพัฒนาสังคม
กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการบัญชีและรายงาน การ
ป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ยาเสพติด การพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการ
สิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ และโครงการประสานงานความช่วยเหลือแห่งสหประชาชาติ
และในปี 2544 ไทยจะเข้าเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนเป็นครั้งแรก โดยมีวาระ
ถึงปี 2546 เป็นเวลา 3 ปี
บทบาทและความร่วมมือระหว่างไทยและ
สหประชาชาติในด้านสังคม
ในอดีตที่ผ่านมา ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นภายในประเทศมักเป็นผลหรือได้
รับอิทธิพลจากเหตุการณ์นอกประเทศ ปัจจุบันซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ ปัญหา
สังคมมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากความเกี่ยวโยงทั้งจากปัจจัยภายใน
ประเทศและภายนอกประเทศจนไม่อาจแก้ไขได้จากด้านใดเพียงด้านเดียว หรือ
โดยประเทศใดประเทศเดียวเพียงลำพัง และบ่อยครั้งที่ปัญหาภายในประเทศได้
ส่งผลกระทบต่อความอยู่ดีกินดี ความปลอดภัย ความมั่นคงของประชาชนและ
ประเทศในระดับภูมิภาคและของโลก ทำให้ไทยจำเป็นต้องกระตือรือร้นที่จะให้ความ
ร่วมมือแก่ประชาคมระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมภายในประเทศ และ
ป้องกัน
มิให้ปัญหาภายในประเทศลุกลามจนกลายเป็นปัญหาของภูมิภาคหรือ
ของโลก จากการสู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ
สมาชิกของประชาคมระหว่างประเทศที่จะต้องให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
แก่ผู้อพยพที่เข้ามาพักพิงในประเทศนานนับทศวรรษ ในช่วงวิกฤตการณ์อินโด
จีน ไทยได้ให้ที่พักพิงแก่ผู้อพยพชาวกัมพู ชา ลาว และเวียดนามตั้งแต่ พ.ศ.
2518 จนสิ้นสุดการสู้รบจำนวนล้านกว่าคน แม้ไทยจะได้รับผลกระทบด้านอื่น ๆ
เช่น ปัญหาความมั่นคงทางชายแดนก็ตาม นอกจากนี้ไทยได้รณรงค์ให้ประชาคม
ระหว่างประเทศสนใจปัญหาผู้อพยพเป็นเรื่องที่ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งองค์การ
ระหว่างประเทศจะต้องร่วมกันแบกรับภาระและแก้ไขปัญหา เพื่อให้ประชาชนของ
สังคมโลกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีสันติสุข แม้ปัญหาผู้อพยพอินโดจีนถือได้
ว่ายุติลงแล้ว แต่ไทยยังคงแบกรับภาระผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าอีกกว่า
100,000 คนที่ยังพักพิงอยู่ในประเทศและรอการแก้ปัญหา
นอกจากการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแล้วประเทศไทย
ได้พั ฒนามาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศให้สอดคล้องกับ
มาตรฐานสากลซึ่งเป็นที่ยอมรับ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองและส่ง
เสริมสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนภายในประเทศ เช่น การ
เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อรับ
พันธกรณีที่จะคุ้มครองสิทธิของประชาชนด้านต่าง ๆ เช่น สิทธิ
พลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
รวมทั้งการให้ความคุ้มครองแก่กลุ่มที่เสี่ยงต่อการละเมิด เช่น เด็กและ
สตรี การสนับสนุนให้กลไกต่าง ๆ ภายในประเทศที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตาม
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้มี
ความเข้มแข็งขึ้นโดยการเรียนรู้ประสบการณ์ ปัญหา และความ
เชี่ยวชาญจากประเทศต่าง ๆ ที่ได้มีกลไกลักษณะเดียวกันมาก่อน
ประเทศไทย นอกจากนี้ ไทยยังจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการ
สิทธิมนุษยชน (CHR) ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544 เป็นระยะเวลา 3 ปี
เพื่ อมีส่วนร่วมในการพั ฒนามาตรฐานการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ
มนุษยชนในระดับระหว่างประเทศ
ในด้านการพัฒนาสังคม นอกจากการร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อส่ง
เสริมศักยภาพของบุคคลบางกลุ่มในสังคม เช่น ผู้พิการ และคนชรา แล้ว
ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัฒน์ เช่น ภาวะความยากจน การค้า
มนุษย์ยาเสพติด การฟอกเงิน การระบาดของเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และโรคอื่น
ๆ ได้กลายเป็นปัญหาที่ไร้พรมแดน และหลายกรณีเกี่ยวพันกันจนไม่อาจแยก
จากกันได้ การแก้ไขปัญหาเฉพาะปัญหาภายในประเทศจึงไม่ประสบความ
สำเร็จ และไม่สามารถกระทำได้โดยประเทศใดตามลำพัง หากจำเป็นต้องร่วม
มือกันในระดับระหว่างประเทศ และในทุกภาคของสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ
ภาคเอกชน หรือองค์การเอกชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน ไทยได้
ให้ความร่วมมือแก่สหประชาชาติในด้านการพัฒนาสังคม โดยเฉพาะปัญหาใน
ระดับภูมิภาคมาโดยตลอด ในขณะเดียวกัน ไทยก็ได้รับความช่วยเหลือด้าน
ความรู้ ประสบการณ์ และเงินทุนสำหรับแผนงานและโครงการต่าง ๆ ภายใน
ประเทศโดยผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
(UNDP) โครงการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ
(UNDCP) ด้วยเช่นกัน
ไทยกับประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม
องค์การสหประชาชาติได้ให้ความสำคัญและความสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม
อย่างจริงจังตั้งแต่ทศวรรษ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา โดยเริ่มจัดให้มีการประชุม
ระหว่างประเทศที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ในเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์
(Human Environment) ในปี ค.ศ. 1972 ทำให้เรื่องสิ่งแวดล้อมได้รับความ
สนใจอย่างกว้างขวางในประชาคมระหว่างประเทศ และนำไปสู่การจัดตั้งหน่วยงาน
ที่รับผิดชอบทางด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศต่าง ๆ ในเวลาต่อมา
ประเทศไทยตระหนักเป็นอย่างดีถึงภัยคุกคามที่เกิดจากปัญหาทางด้านสิ่ง
แวดล้อม และรัฐบาลชุดปัจจุบันได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญของประเทศ รวมทั้ง
ได้ดำเนินการในด้านต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันปัญหา
ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมยังมีผลกระทบข้ามพรมแดนและเป็นภัยคุกคาม
ต่อสังคมโลกโดยรวมด้วย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงได้ร่วมมือกับประชาคมระหว่าง
ประเทศ ทั้งในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบ
ขององค์การสหประชาชาติและแสวงหาแนวทางร่วมกันในการคุ้มครองสิ่แวดล้อม
ของโลก ซึ่งเป็นมรดกร่วมกันของมวมนุษยชาติให้มีความปลอดภัยเพื่อคนทั้งใน
รุ่นปัจจุบันและอนาคต
ไทยกับสหประชาชาติในสหัสวรรษใหม่
สหประชาชาติได้จัดการประชุม Regional Hearings ขึ้นตามภูมิภาค
ต่าง ๆ 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภูมิภาคเอเชียตะวันตก (จัดที่กรุงเบรุต เลบานอน)
ภูมิภาคแอฟริกา (กรุงแอดดิส อาบาบา เอธิโอเปีย) ภูมิภาคยุโรป (นครเจนีวา
สวิตเซอร์แลนด์) ภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (กรุงซานติอาโก ชิลี)
และภูมิภาคเอเชีย (กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น) เพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุก ๆ ฝ่าย
เกี่ยวกับการดำเนินงานของสหประชาชาติในศตวรรษที่ 21 ซึ่งในส่วนของ
ภูมิภาคเอเชีย คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก
(ESCAP) ได้จัดการประชุม Regional Hearings ขึ้นที่กรุงโตเกียว ระหว่าง
วันที่ 9 - 10 กันยายน 2542 โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่าง
ประเทศและองค์กร เอกชนไทยเข้าร่วม
ต่อมา เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2543 เลขาธิการสหประชาชาติได้เสนอรายงาน
Millennium Report เรื่อง We the Peoples: The Role of the United
Nations in the 21st Century โดยมีเนื้อหากล่าวถึงพัฒนาการต่าง ๆ ของ
โลกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของสหประชาชาติในระยะ 55 ปีที่ผ่านมาและ
ได้ระบุถึงสิ่งท้าทายต่าง ๆ (challenges) ที่สหประชาชาติจะต้องเผชิญใน
ศตวรรษที่ 21 ตลอดจนแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด
ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า ปัจจุบันงาน
ของสหประชาชาติได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนใน
ทุก ๆ ด้านทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และเห็นว่า การ
ประชุม Millennium Summit นี้เป็นโอกาสที่ประเทศไทยสามารถให้ข้อคิดเห็น
เพื่ อปรับปรุงการดำเนินงานสหประชาชาติให้ตอบสนองความต้องการของ
ประเทศกำลังพัฒนามากยิ่งขึ้น ฯพณฯ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็น
หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม
การประชุมครั้งนี้ มีคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมทั้งสิ้นจาก 189
ประเทศ ประกอบด้วยหัวหน้าคณะผู้แทนระดับประมุขของรัฐ 99 คน หัวหน้า
รัฐบาล 48 คน และระดับสูงอื่น ๆ การประชุมแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ การ
กล่าวถ้อยแถลงของหัวหน้าคณะผู้แทนและการสัมมนาโต๊ะกลม
ผู้แทนประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่ได้กล่าวถ้อยแถลงถึงการเปลี่ยนแปลง
ของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและส่งทั้งผลดีและผลเสียแก่
ประเทศต่าง ๆ ตลอดจนกล่าวถึงสิ่งท้าทาย (challenges) ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ
การเปลี่ยนแปลงนั้น บทบาทของสหประชาชาติในการรักษาสันติภาพและความ
มั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งครอบคลุมไปถึงประเด็นที่เป็นสาเหตุของความ -
ขัดแย้ง เช่น ความยากจน การละเมิดสิทธิมนุษยชน ความเสื่อมโทรมของ
สิ่งแวดล้อม ความด้อยพัฒนา การแพร่กระจายของโรคติดต่อร้ายแรง (รวม
ถึง HIV/AIDS) การฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ ความจำเป็นในการปฏิรูป
สหประชาชาติโดยเฉพาะคณะมนตรีความมั่นคงฯ ให้เป็นประชาธิปไตย และตอบ
สนองต่อความต้องการของประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ให้มากขึ้น การเสริมสร้าง
ความแข็งแกร่งของการปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ การเรียก
ร้องให้สหประชาชาติมีบทบาทในการควบคุมดูแลความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ
และการเงินระหว่างประเทศให้มากขึ้น ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากระดับการ-
พัฒนาด้านเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้กล่าวถ้อยแถลง
สนับสนุนรายงานของเลขาธิการสหประชาชาติ โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนาที่
เน้นประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง ปัญหาราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งอาจก่อให้
เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก การดำเนินการของไทยที่ช่วยส่งเสริมสันติภาพและ
ความมั่งคั่งระหว่างประเทศซึ่งประกอบด้วยการเสนอชื่อ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์
ในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) การจัดการประชุม
อังค์ถัด (UNCTAD X) การสนับสนุนการจัดการประชุม Financing for
Development ในระดับสูงสุด และการที่พลโทบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ได้รับ
คัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังของคณะผู้บริหารในการถ่าย
โอนอำนาจแห่งสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (UNTAET) นอกจากนั้น ได้
แสดงท่าทีสนับสนุนการขยายจำนวนสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง-
สหประชาชาติ (Security Council) ทั้งประเภทถาวรและไม่ถาวรบนพื้นฐาน
ของการมีตัวแทนที่เท่าเทียมกันในแต่ละภูมิภาค
ที่ประชุมได้รับรองร่างข้อมติ United Nations Millennium
Declaration โดยฉันทามติ ปฏิญญาดังกล่าวเน้น “คน” เป็นศูนย์กลางการ
พัฒนา โดยกำหนดเป้าหมายสำคัญ 4 ประการคือ การส่งเสริมสันติภาพและ
ความมั่นคง การส่งเสริมประชาธิปไตยและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การ-
พัฒนา การลดความยากจนและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการปฏิรูป
สหประชาชาติ ปฏิญญาดังกล่าวเป็นการแสดงข้อผูกพันทางการเมือง
(Political Commitment) ของประเทศสมาชิกในระดับสูงร่วมกันที่จะนำเป้า
หมายที่กำหนดในปฏิญญามาปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และสะท้อนให้
เห็นว่าประเทศสมาชิกมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนองค์การสหประชาชาติในฐานะที่เป็น
สถาบันที่จำเป็นของมนุษยชาติในการที่จะผลักดันมวลมนุษย์ชาติไปสู่สันติภาพ
ความร่วมมือ การพัฒนาทำให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
ความมุ่งมั่นร่วมกันเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่ายินดี เพราะไม่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายในยุค-
สงครามเย็นซึ่งโลกแบ่งออกเป็นขั้ว ด้วยเหตุผลทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน
ทำให้การเห็นพ้ องต้องกันในเรื่องใดเรื่องก็เป็นไปได้ยาก
ที่ประชุม Millennium Summit ได้ขอให้ที่ประชุมสมัชชาฯ ทบทวน
ปฏิบัติการต่าง ๆ ตามปฏิญญาและขอให้เลขาธิการสหประชาชาติมีรายงาน
เสนอต่อที่ประชุมสมัชชาฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานของการดำเนินการขั้น
ต่อไป ซึ่งประธานสมัชชาฯ ได้รับที่จะติดตามผล และรักษา momentum และ
Spirit ของการประชุม Millennium Summit ให้คงอยู่โดยได้เสนอแนวทาง
การดำเนินงานเพื่ อเป็นพื้ นฐานในการหารือต่อไป
กรมองค์การระหว่างประเทศและคณะกรรมการประสานงาน
สหประชาชาติ
กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่รับผิด
ชอบดูแลเกี่ยวกับนโยบายของไทยในกรอบพหุภาคี และกรอบสหประชาชาติ
อย่างไรก็ดี โดยที่ขอบข่ายงานด้านนี้มีสาระ ครอบคลุมงานในสาขาเฉพาะต่าง
ๆมากมาย และเพื่อให้การดำเนินนโยบายของไทยในกรอบสหประชาชาติตอบ
สนองต่อผลประโยชน์ของชาติให้ได้มากที่สุด จึงได้มีการเสนอให้คณะรัฐมนตรี
แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านสหประชาชาติ องค์การระหว่างประเท
ศอื่นๆ และองค์การต่างประเทศ ขึ้นเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2525 ประกอบด้วย
กรรมการจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็น
ประธาน อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศเป็นรองประธาน และกรมองค์การ
ระหว่างประเทศทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่ในการให้
ข้อมูล ประสานนโยบาย และกำหนดท่าทีของไทยสำหรับการประชุมในองค์การ
ระหว่างประเทศ ซึ่งกรมองค์การระหว่างประเทศจะหารือร่วมกับคณะกรรมการ
ประสานงานฯ เพื่อกำหนดท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัย
สามัญ ซึ่งมีขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ นครนิวยอร์ก ระหว่างเดือนกันยายนถึง
ธันวาคม
คณะผู้จัดทำ
1. นางสาวณัฏฐณิชา ปัญญา เลขที่ 7
2. นางสาวณัฐธิชา สิงหาศรี เลขที่ 8
นักศึกษาระดับชั้น ปวส.1/1 แผนกการบัญชี