ดยนุตคกรีสลาากงล
MIDDLE AGES
เรื่องราวสภาพแวดล้อมในยุคสมัยโดยทั่วๆไป
สมัยกลาง หรือ ยุคกลาง (อังกฤษ: Middle Ages) คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวัน
ตก (สิ้นสุดของสมัยคลาสสิก) จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ
สมัยกลางยังถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาคือ ต้นสมัยกลาง (Early Middle Ages) สมัยกลาง
ยุครุ่งโรจน์ (High Middle Ages) และปลายสมัยกลาง (Late Middle Ages)
ในยุคกลางตอนต้น การลดลงของประชากร การหดตัวของเมือง และการรุกรานจาก
อนารยชน เริ่มต้นขึ้นในยุคโบราณตอนปลายและดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เหล่าอนารยชนผู้บุกรุก
เข้าตั้งอาณาจักรของตนในส่วนที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 7
แอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันตะวันออก ได้กลายไป
เป็นจักรวรรดิอิสลาม แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและโครงสร้างทางการเมืองมากมาย
แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากยุคโบราณคลาสสิคอย่างสิ้นเชิง จักรวรรดิโรมันตะวันออก ยังคงอยู่รอด
และรักษาอำนาจของตนเอาไว้ได้
ระบบมาเนอร์ ระบบเจ้าขุนมูลนาย 2 ระบบนี้คือระเบียบของสังคมที่ใช้กันในยุคกลาง
ตอนกลาง ต่อมาอาณาจักรเริ่มรวมศูนย์อำนาจมากขึ้นภายหลังการล่มสลายลงของจักรวรรดิคา
โรแล็งเชียง สงครามครูเสดซึ่งเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1095 คือ ผลิตผลจากความพยายาม
ทางการทหารของเหล่าชาวคริสต์ในยุโรปตะวันตก ที่ต้องการจะทวงคืนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ในตะวัน
ออก รวมไปถึงการก่อสร้างโบสถ์วิหารแบบกอทิก เป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จทางด้านศิลปะ
อันยอดเยี่ยมจากยุคกลางตอนกลาง
ยุคกลางตอนปลายต้องเผชิญกับความยุ่งยากและหายนะมากมาย เช่น ความอดอยาก
โรคระบาด และสงคราม กาฬโรคระบาดในยุโรปคร่าชีวิตชาวยุโรปไป 3 ใน 4 โดยประมาณ
ความกังขา ความนอกรีต ความแตกแยกภายในคริสตจักรดำเนินควบคู่ไปกับสงครามระหว่างรัฐ
สงครามกลางเมือง และการลุกฮือของชาวนาภายในอาณาจักรต่าง ๆ พัฒนาการทางด้าน
วัฒนธรรมและเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงสังคมของยุโรปอันเป็นจุดจบของยุคกลางและจุดเริ่มต้น
ของสมัยใหม่ตอนต้น
เรื่องราวสภาพแวดล้อมในยุคสมัย
ที่เกี่ยวข้องกับดนตรี
ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความ
รื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์
(Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทมีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะ
เป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนอง
จำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกัน
นอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็น
ในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ
ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ.
1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนา ซึ่งมีหลายอย่างที่น่าสนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300
ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในโบสต์มีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ใน
ราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant)
ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony)
จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องใน
ลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทาง
เดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ)
ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัว ออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนา
มาจากดนตรีในโบสต์ ที่ไม่มีจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของจังหวะ
กล่าวได้ว่าในเวลานี้มีสิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นอย่างเด่นชัด
เป็นลักษณะของการสอดประสาน ในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อยได้สองสมัย คือ
สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova)
ลักษณะเด่นทางด้านดนตรีในยุคสมัยกลาง
เริ่มประมาณปี ค.ศ. 400 - 1400 ในสมัยกลางนี้โบสถ์เป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านดนตรี ศิลปะ
การศึกษาและการเมือง วิวัฒนาการของดนตรีตะวันตกมีการบันทึกไว้ตั้งแต่เริ่มแรกของคริสต์ศาสนา
บทเพลงทางศาสนาซึ่งเกิดขึ้นจากกราประสมประสานระหว่างดนตรีโรมัน โบราณกับดนตรียิวโบราณ
เพลงแต่งเพื่อพิธีทางศาสนาคริสต์เป็นส่วนใหญ่ โดยนำคำสอนจากพระคัมภีร์มาร้องเป็นทำนอง เพื่อให้
ประชาชนได้เกิดอาราณ์ซาบซึ้ง และมีศรัทธาแก่กล้าในศาสนา ไมใช่เพื่อความไพเราะของทำนอง หรือความ
สนุกสนานของจังหวะ เพลงที่ใช้ร้องในพิธีของศาสนาคริสต์แตกต่างกันไปตามภูมิภาคและเชื้อชาติที่นับถือ
เมื่อคริสต์ศาสนาเข้มแข็งขึ้น ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการขับร้องเพลงสวด ที่เรียกว่า
ชานท์ (Chant) จนเป็นที่ยอมรับในหมู่พวกศาสนาคริสต์ สันตะปาปาเกรกอรี (Pope Gregory the
Great) พระผู้นำศาสนาในยุคนั้น คือ ผู้ที่รวบรวมบทสวดต่างๆ ที่มีอยู่ ให้เป็นหมวดหมู่ เปลี่ยนคำร้องจาก
ภาษากรีกให้เป็นภาษาละติน กำหนดลำดับเพลงสวดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกคนปฏิบัติเหมือนกัน ผล
งานการรวบรวมบทสวดของสันตะปาปาเกรกอรี ถูกเรียกว่า เกรกอรีชานท์ (Gregory Chant)หรือบท
สวดของเกรกอรี ซึ่งในศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิคก็ยังนำมาใช้อยู่จนปัจจุบัน ชานท์เป็นบทเพลงรอง
ที่มีแต่ทำนอง ไม่มีการประสานเสียงและไม่มีการบังคับจังหวะ แต่ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและรสนิยมของ
นักร้องเอง เพลงประเภทนี้ถูกเรียกว่า เพลงเสียงเดียว หรือเรียกว่า โมโนโฟนี (Monophony)
วิวัฒนาการที่สำคัญที่สุดของดนตรีเกิดขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 คือ การเพิ่มแนวร้องขึ้นอีกแนว
หนึ่ง เป็นเสียงร้องที่เป็นคู่ขนานกับทำนองหลัก กำหนดให้ร้องพร้อมกันไป วิธีการเขียนเพลงที่มี 2 แนวนี้
เรียกว่า ออร์แกนุม (Organum) จากจุดนี้ดนตรีสากลได้พัฒนาไปอย่างมาก ได้พัฒนาขึ้นกลายเป็นเพลง
หลายแนวเสียงหรือเรียกว่า โพลีโฟนี (Polyphony)
ปลายยุคกลางได้มีการเล่นดนตรีนอกวงการศาสนาขึ้นบ้าง โดยมีกลุ่มนักดนตรีเร่ร่อนเที่ยวไปในที่
ต่างๆ เปิดการแสดงดนตรีประกอบการเล่านิทาน เล่าเรื่องการต่อสู้ของนักรบผู้กล้าหาญ ร้องเพลง หรือ
บรรเลงดนตรีประกอบการแสดงต่างๆ จุดมุ่งหมายคือความบันเทิง นักดนตรีพเนจรเหล่านี้ กระจายอยู่ทั่ว
ภาคพื้นยุโรป มีชื่อเรียกต่างกันไป พวกจองเกลอ (Jonglour) อยู่ทั่วไปในยุโรป
พวกมิสสเทรล (Minstrel) เร่ร่อนอยู่ในอังกฤษ พวกทรูแวร์ (Trouveres) ทำหน้าที่บรรเลงเพลงใน
ราชสำนักทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส และพวกทรูบาร์ดัวร์ (Troubadour) ทำหน้าทีบรรเลงเพลง
ในราชสำนักทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส
ตัวอย่างของเครื่องดนตรีในยุคสมัยกลาง
-เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชัก ได้แก่ ซอวิแอล (Vielle)
ขนาดต่าง ๆ ซอรีเบ็ค (Rebec) ซึ่งตัวซอมีทรวดทรงคล้ายลูก
แพร์ และซอทรอมบา มารินา (Tromba marina) ซึ่งเป็นซอ
ขนาดใหญ่ มีสายเพียงสายเดียวหรือถ้ามีสองสายก็เทียบเสียง
ระดับเดียวกัน (Unison) และผู้บรรเลงจะต้องยืนสีซอ
- เครื่องสายที่บรรเลงด้วย
การใช้นิ้วดีด ได้แก่
ลิวต์ (Lute)
- เครื่องเป่า ได้แก่ ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ (Recorder)
ปี่ ชอม (Shawm) แตรฮอร์นและทรัมเปต
ตัวอย่างของเพลงในยุคสมัยกลาง
การเพิ่มแนวร้องขึ้นอีกแนวหนึ่ง เป็นเสียงร้องที่เป็นคู่ขนานกับทำนอง
หลัก กำหนดให้ร้องพร้อมกันไป วิธีการเขียนเพลงที่มี 2 แนวนี้เรียกว่า
ออร์แกนุม (Organum)
จากจุดเริ่มนี้เองดนตรีสากลก็ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย จากแนวสอง
แนวที่ขนานกันเป็นสองแนวแต่ไม่จำเป็นต้องขนานกันเสมอไป
สวนทางกันได้ ต่อมาได้เพิ่มเสียงสองแนวเป็นสามแนวและเป็นสี่แนว จาก
เพลงร้องดั้งเดิมที่มีเพียงเสียงเดียว ได้พัฒนาขึ้นกลายเป็นเพลงหลายแนว
เสียงหรือเรียกว่า โพลีโฟนี (Polyphony)
โมเต็ต (Motet)
คือ การนำทำนองจากเพลงแชนท์มาเป็นแนวเสียงต่ำหรือแนวเบส และเพิ่มเสียง 2
เสียง เข้าไปโดยเสียงที่เพิ่มมีจังหวะการเคลื่อนที่ของตัวโน้ตเร็วกว่าเสียงต่ำที่มีตัว
โน้ต จังหวะยาวกว่า บางครั้งใช้เครื่องดนตรีเล่นแทนคนร้อง
คอนดุคตุส (Conductus)
คือ เพลงในลักษณะเดียวกับโมเต็ต แต่แนวเสียงต่ำแต่งขึ้นใหม่ มิได้นำมาจาก
ทำนองของเพลงแชนท์แบบโมเต็ต ส่วนเนื้อหาของเพลงมีต่าง ๆ กันออกไป ทั้ง
เกี่ยวกับศาสนา และเรื่องนอกวัด เช่น เรื่องการเมือง การเสียดสีสังคมเป็นต้น
ตัวอย่างคีตกวีในยุคสมัยกลาง
1. เลโอนิน (Leonin ประมาณ 1130-1180)
เป็นผู้ควบคุมวงขับร้องประสานเสียงของกลุ่มนอเตอร์ เดมณ กรุงปารีส
เขารวบรวมเพลงออร์แกนนั่ม ซึ่งเป็นเพลงโบสถ์ในพิธีต่าง ๆ ตลอดทั้งปี
ไว้ในหนังสือชื่อ “Great Book of Organum” บางครั้งชื่อของเลโอนิน
เรียกเป็นภาษาละตินว่า “ลีโอนินัส”
2. เพโรติน (Perotin หรือ Perotinus Magnus
ประมาณ 1160-1220)
เป็นผู้ควบคุมวงนักร้องประสานเสียงและผู้ประพันธ์เพลงของกลุ่ม
นอเตอร์ เดม ณ กรุงปารีส เป็นรุ่นน้องของเลโอนิน ทั้งคู่เป็นผู้
บุกเบิกรูปแบบการประพันธ์เพลงแบบการสอดประสานทำนอง ทั้ง
เลโอนินและเพโรติน เป็นผู้ประพันธ์เพลงในสมัยศิลป์เก่า ซึ่งเป็นแนว
การประพันธ์แตกต่างจากสมัยศิลป์ใหม่
3. จาคาโป ดา โบโลนญา (Jacapo da Bologna)
เป็นผู้ประพันธ์เพลงที่สร้างรูปแบบให้กับสมัยศิลป์ใหม่คนสำคัญ
ในช่วงที่เขาอยู่ในกรุงมิลาน ได้ผลิตผลงาน ได้แก่
เพลงมาดริกาล 30 บท คาทชา(Caccia) 1 บท และโมเต็ต 1 บท
จาคาโปเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่พยายามพัฒนารูปแบบของเพลงแบบ
การสอดประสานทำนองคนสำคัญของอิตาลี ผลงานของจาคาโป
มีจุดเด่นที่แนวทำนองที่เด่น ชัดแสดงออกถึงจินตนาการ การใช้จังหวะ
ในลักษณะต่าง ๆ และการเคลื่อนที่ไปของแนวเสียงต่าง ๆ ที่ไม่ขึ้นแก่กัน
ในลักษณะของความกลมกลืน
ตัวอย่างคีตกวีในยุคสมัยกลาง
4. แลนดินี (Francesco Landini : 1325-1397)
ผู้ประพันธ์เพลงและนักออร์แกนเป็นบุตรของจิตรกรแลนดินี
ตาบอดมาตั้งแต่เด็กจึงหันมาศึกษา ดนตรีมีชื่อเสียงในฐานะนัก
ออร์แกนที่สามารถเล่น ได้อย่างไพเราะเต็มไปด้วยเทคนิคซึ่งสร้าง
ความประทับใจ ให้กับผู้ฟังทั่วไป แนวการประพันธ์ของ แลนดินีมี
ลักษณะของความเป็นตัวของตัวเองมาก การถ่ายทอดอารมณ์ใน
เพลง มีมากกว่าผู้ประพันธ์เพลงสมัยก่อนหน้าเขา บทเพลงร้อง
หลายแนว
แลนดินีจัดเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่มีผลงานมากมาย หนึ่งในสาม
ของบทเพลงที่ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียนประพันธ์ไว้ในสมัยนี้
เป็นบทประพันธ์เพลงของแลนดินี
5. มาโชท์ (Guillaume de Machaut,
ประมาณ 1300-1377)
ผู้ประพันธ์เพลงสำคัญในสมัยศิลป์ใหม่ มาโชท์เป็น
พระชาวฝรั่งเศส เพลงที่ประพันธ์ส่วนใหญ่จึงเป็นเพลง
โบสถ์ โดยเฉพาะเพลงแมสของมาโชท มีชื่อเสียงมาก
นอกจากนี้มาโชท์ยังมีผลงานเพลงคฤหัสถ์จำนวน หนึ่ง
ด้วย ผลงานของมาโชท์เต็มไปด้วยความประณีต
ในการใช้รูปแบบ ของการสอดประสานทำนอง
แหล่งอ้างอิง
https://musiclib.psu.ac.th/data/western-musuc
https://www.teromusiccourse.com/news/
http://www.digitalschool.club/digitalschool/
คณะผู้จัดทำ
นายซาฮิล มรรคาเขต เลขที่ 2
นายพันธกานต์ รงค์รัตน์ เลขที่ 4
นางสาวพัณณิตา ทองมาก เลขที่ 23