ชนินิด นิ ด นิ ของคำคำ คำคำ ในภาษาไทย Grade 2A นนาางงสสาาววกกรรรรณิณิณิณิกณิณิกาาร์ร์ร์ร์ร์ร์ ศศรีรีรีรีณรีรีณะะพพรรมม รรหัหัหัหัสหัหัสนันันันักนันักศึศึศึ ศึ กศึ กศึ กษษาา 6644004400110011221133 สสาาขขาาวิวิวิวิชวิวิชาาภภาาษษาาไไททยย คคณณะะคครุรุรุรุศรุรุศาาสสตตร์ร์ร์ร์ร์ร์ จัจัจัจัจัดจัดทำทำทำทำทำทำ โโดดยย
E-Book เรื่อง "ชนิดของคำ ในภาษาไทย" ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของรายวิชา ED13201 นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ สื่อสาร การศึกษาและการเรียนรู้ จัดทำ ขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียน การสอนและเป็นสื่อการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาไทย เพื่อให้ ผู้อ่านได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง ชนิดของคำ ในภาษาไทย และได้ ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน โดย E-Book ฉบับนี้ ประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้ ชนิดของคำ ในภาษาไทย 7 ชนิด และตัวอย่าง ชนิดของคำ ในภาษาไทย ผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า E-Book ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับ ผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำ ลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อ แนะนำ หรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำ ขอน้อมรับไว้และขออภ้ย มา ณ ที่นี้ คำ นำ กรรณิการ์ ศรีณะพรม วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ก
สารบัญ บั เรื่อง หน้า คำ นำ สารบัญ ชนิดของคำ ในภาษาไทย คำ นาม คำ สรรพนาม คำ กริยา คำ วิเศษณ์ คำ บุพบท คำ สันธาน คำ อุทาน สรุปชนิดของคำ ในภาษาไทย แบบฝึกหัด เฉลยแบบฝึกหัด อ้างอิง ประวัติผู้เขียน .......................................................................... ก ........................................................................ ข ............................................... 1 ........................................................................ 2 ................................................................ 5 ....................................................................... 7 .................................................................... 9 ....................................................................12 ...................................................................13 ....................................................................14 .......................................15 ..................................................................16 ..................................................................18 ....................................................................... 20 ............................................................. 21 ข
คำ เป็นเสียงที่เราเปล่งออกมาตั้งแต่ 1 พยางค์ขึ้นไป ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ คำ แตกต่างจากพยางค์ตรงที่ พยางค์จะมีความหมายหรือ ไม่มีก็ได้ แต่คำ ต้องมีความหมายเสมอ คำ ในภาษาไทย แบ่งตามหน้าที่ในประโยคได้เป็น 7 ชนิด ได้แก่ คำ นาม คำ สรรพนาม คำ กริยา คำ วิเศษณ์ คำ บุพบท คำ สันธาน และคำ อุทาน คำ ทั้ง 7 ชนิดนี้ จะทำ หน้าที่ต่าง ๆ ในประโยค เพื่อ สื่อความหมายให้ถูกต้อง ชัดเจน คำ บางคำ มีหลายความ หมาย และสามารถทำ ได้หลายหน้าที่ การที่จะรู้ความ หมายที่ถูกต้องได้ต้องดูที่หน้าที่ของคำ นั้นในประโยค ชนิดของคำ ในภาษาไทย 1
คำคำ คำคำ นาม คำ นามเป็นชื่อเรียก คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ที่เป็นรูปธรรม หรือชื่อเรียกสิ่งที่เป็นนามธรรม คำ นามจะทำ หน้าที่เป็นประธาน และกรรมของประโยค ใช้ระบุบ่งชี้ถึงสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้รู้ว่ากำ ลังพูด ถึงใคร หรืออะไร ชชนินินิ นิ ดนิ ดนิ ดขขอองงคำคำคำคำคำคำ นนาามม 1.สามานยนาม 2. วิสามานยนาม 4. ลักษณนาม 5. อาการนาม 3. สมุหนาม คือ คำ นามที่เป็นชื่อทั่วไป คือ คำ นามเป็นชื่อเฉพาะ คือ คำ นามบอกหมวดหมู่ ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ ที่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ คือ คำ นามที่ใช้บอกลักษณะของคำ สามานยนาม คือ เป็นคำ นามที่ขึ้นต้นด้วยคำ ว่า “การ” หรือ “ความ” นำ หน้า 2
คำ นามแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ 1.) สามานยนาม คือ คำ นามที่เป็นชื่อทั่วไป เช่น นก ปลา คน รถ ตึก วัด ตลาด ทะเล ภูเขา ดวงดาว 2.) วิสามานยนาม คือ คำ นามเป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อคน (สมชาย วิศรุต โธมัส) ชื่อสถานที่ (เชียงใหม่ ยุโรป ถนนเพชรเกษม) ชื่อหนังสือและตัวละคร สมมติ (สามก๊ก เวนิสวาณิช หนุมาน) ตลอดจนชื่อของเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อทั้งหลาย 3.) สมุหนาม คือ คำ นามบอกหมวดหมู่ ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ ที่รวม กันเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ เช่น ฝูงสัตว์กำ ลังแตกตื่น คณะนักศึกษาไปทัศนศึกษา เหล่าทหารกำ ลังสวนสนาม โขลงช้างกำ ลังข้ามลำ ห้วย 4.) ลักษณนาม คือ คำ นามที่ใช้บอกลักษณะของคำ สามานยนาม เช่น รถ 6 คัน ปืน 5 กระบอก ช้าง 3 เชือก บ้าน 4 หลัง ขลุ่ย 1 เลา พระ 4 รูป 5.) อาการนาม คือ เป็นคำ นามที่ขึ้นต้นด้วยคำ ว่า “การ” หรือ “ความ” นำ หน้า โดยคำ ว่า “การ” มักนำ หน้าคำ กริยา เช่น การเดิน การวิ่ง การว่าย น้ำ การแข่งขัน การเสียสละ การรบ การประชุม การเดินทาง เป็นต้น ส่วนคำ ว่า “ความ” มักนำ หน้าคำ วิเศษณ์ เช่น ความสุข ความสำ เร็จ ความรัก ความ พร้อม ความรู้ ความหวัง ความแห้งแล้ง ความสงบ เป็นต้น ตัตัตั ตั ว ตั ว ตั วออย่ย่ย่ ย่ า ย่ า ย่ างงคำคำคำ คำคำคำ นนาามม 3
ตัตัตั ตั ว ตั ว ตั วออย่ย่ย่ ย่ า ย่ า ย่ างงคำคำคำ คำคำคำ นนาามม 1.สามานยนาม ไก่ บ้าน จรวด 2. วิสามานยนาม วัดพระแก้ว พ่อขุนรามคำ แหง 3. สมุหนาม โขลงช้าง ฝูงนก 4. ลักษณนาม สุนัข 3 ตัว หนังสือ 5 เล่ม 5. อาการนาม การนอน การกิน ความโกธร 4
คำคำ คำคำสรรพนาม คำ สรรพนามเป็นคำ ที่ใช้แทนคำ นาม ในกรณีที่ต้องพูดถึงนามนั้นซ้ำ หรือใช้แทนตัวผู้พูดและแทนตัวผู้อื่น เป็นคำ ที่ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าใครเป็น ผู้พูด ซึ่งผู้พูดจะใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 เสมอ โดยแทนผู้ฟังด้วยสรรพนาม บุรุษที่ 2 และแทนผู้ที่อยู่นอกการสนทนาด้วยสรรพนามบุรุษที่ 3 ชชนินินิ นิ ดนิ ดนิ ดขขอองงคำคำคำคำคำคำ สสรรรรพพนนาามม 1.บุรุษสรรพนาม 2. ประพันธสรรพนาม 4. นิยมสรรพนาม 5. อนิยมสรรพนาม 3. วิภาคสรรพนาม คือ สรรพนามใช้แทนผู้พูด ผู้ฟัง และผู้ที่กล่าวถึง คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทน(เชื่อม)คำ นามที่อยู่ข้างหน้า คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทนนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง หรือชี้ระยะ คือ คำ สรรพนามที่แทนนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงและไม่ได้ กล่าวในเชิงถาม หรือสงสัย 6. ปฤจฉาสรรพนาม คือ คำ สรรพนามใช้เป็นคำ ถาม คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทนคำ นามเพื่อบอกความชี้ช้ำ แบ่งพวก รวมพวก 5
คำ สรรพนามแบ่งได้ 6 ชนิด คือ 1.) บุรุษสรรพนาม เป็นสรรพนามใช้แทนผู้พูด ผู้ฟัง และผู้ที่กล่าวถึง แบ่งออกเป็น - สรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้แทนผู้พูด ได้แก่ ฉัน ข้าพเจ้า กระผม ผม ดิฉัน ข้า เรา - สรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้ฟัง ได้แก่ เธอ ท่าน คุณ ใต้เท้า พระคุณ - สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนคนที่เรากำ ลังกล่าวถึง ได้แก่ เขา พวกเขา มัน 2.) ประพันธสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยค ทำ หน้าที่แทนคำ นาม หรือสรรพนามที่อยู่ข้างหน้า และทำ หน้าที่เชื่อมประโยคโดยให้ประโยค 2 ประโยค มีความเชื่อมกัน ได้แก่คำ ว่า ผู้, ที่, ซึ่ง, อัน เช่น ผู้หญิงคนที่อ ที่ ยู่ในบ้านนั้นเป็นป้า ของฉัน 3.) วิภาคสรรพนาม เป็นสรรพนามบอกความชี้ซ้ำ ที่ ใช้แทนนามหรือสรรพนามที่ แยกออกเป็นส่วนๆ ได้แก่คำ ว่า ต่าง, กัน, บ้าง” เช่น นักกีฬาต่างดีใจที่ได้ชัยชนะ เด็กนักเรียนบ้างก็อ่านหนังสือบ้างก็ร้องเพลง 4.) นิยมสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้แทนนามชี้เฉพาะเจาะจง หรือบอกความใกล้ ไกล ที่เป็นระยะทาง ได้แก่คำ ว่า นี่, นั่น, โน่น, นี้, นั้น, โน้น เช่น นี่เ นี่ ป็นของขวัญที่เธอให้ฉัน โน่นเป็นรถที่จะพาเราไป 5.) อนิยมสรรพนาม เป็นสรรพนามใช้แทนนามบอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ คำ ว่า ใคร, อะไร, ที่ไหน, ผู้ใด บางครั้งก็เป็นคำ ซ้ำ ๆ เช่น ใครๆ, อะไรๆ, ไหนๆ เช่น ใครจะไปกับฉันก็ได้ ไหน ๆ ก็มาแล้ว 6.) ปฤจฉาสรรพนาม เป็นสรรพนามใช้ในการถาม ได้แก่คำ ว่า ใคร, อะไร, ผู้ใด, ไหน ปฤจฉาสรรพนามต่างกับอนิยมสรรพนามตรงที่อนิยมสรรพนามใช้ในประโยค บอกเล่าหรือปฏิเสธ แต่ปฤจฉาสรรพนามใช้ในประโยคคำ ถาม เช่น ใครมาหน้าบ้าน อะไรอยู่ในห้อง ไหนร้านที่เธอบอก ตัตัตัตัวตัตัวออย่ย่ย่ ย่ า ย่ า ย่ างงคำคำคำคำคำคำ สสรรรรพพนนาามม 6
คำคำ คำคำกริริย ริ ย ริ า คำ กริยาเป็นคำ ที่ใช้บอกอาการของนาม หรือสรรพนาม ให้รู้ว่านาม หรือสรรพนามนั้น ๆ มีอาการอย่างไร หรือทำ อะไร ชชนินินิ นิ ดนิ ดนิ ดขขอองงคำคำคำคำคำคำ กกริริริ ริ ยริ ยริ ยาา 1.อกรรมกริยา 2. สกรรมกริยา 4. กริยานุเคราะห์ 5. กริยาสภาวมาลา 3. วิกตรรถกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ คือ กริยาที่มีกรรมมารับจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ คือ กริยาที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ต้องอาศัย คำ นาม สรรพนาม หรือคำ วิเศษณ์มาเติม ข้างหลังจึงจะได้ใจความ คือ กริยาช่วย เป็นคำ ที่ช่วยให้กริยาอื่นที่อยู่ข้าง หลังครบความ เพื่อบอกกาล หรือบอกการ กระทำ ให้สมบูรณ์ คือ กริยาที่ทำ หน้าที่เป็น ประธาน กรรม หรือ บทขยายของประโยคก็ได้ 7
คำ กริยาแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ 1.) อกรรมกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ เช่น ไก่ขัก่ ขัน, หมาเห่า 2.) สกรรมกริยา คือ กริยาที่มีกรรมมารับจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ เช่น ฉันอ่านหนังสือ, น้องขี่จั ขี่ จักรยาน 3.) วิกตรรถกริยา คือ กริยาที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ต้องอาศัยคำ นาม สรรพนาม หรือคำ วิเศษณ์มาเติมข้างหลัง จึงจะได้ใจความ ได้แก่กริยา คำ ว่า ว่า, เหมือน, คล้าย, เท่า, คือ, เสมือน, ประดุจ, แปลว่า เช่น คุณเป็นนัก ดนตรี, ลูกคล้ายกับเรา, น้ำ ใจประดุจน้ำ ทิพย์ 4.) กริยานุเคราะห์หรือกริยาช่วย เป็นคำ ที่ช่วยให้กริยาอื่นที่อยู่ข้างหลัง ครบความ เพื่อบอกกาล หรือบอกการกระทำ ให้สมบูรณ์ ได้แก่ กำ ลัง, คง, ย่อม, ต้อง, เคย, ให้, ยอม, แล้ว, เสร็จ, ถูก, น่าจะ, จะ, จะได้, นะ, เถิด, เถอะ, สิ, ดอก, หรอก, จง, อย่า กริยานุเคราะห์จะวางอยู่หน้าคำ กริยา หรือ หลังคำ กริยาก็ได้ เช่น ประจักษ์ถูษ์ถูกครูดุ, เขาน่าจะสอบไม่ผ่าน, แม่ซักผ้าเสร็จ, พ่อกำ ลังไปตกปลา, พรุ่งนี้ฝนคงไม่ตก, เราเจอกันพรุ่งนี้น นี้ ะ, ฉันไม่ไปกับเขา หรอก, คุณไปคนเดียวเถอะ, ผมไปด้วยคนสิ,สิเธอเคยไปที่นั่นมาแล้ว เป็นต้น 5.) กริยาสภาวมาลา คือ กริยาที่ทำ หน้าที่เป็น ประธาน กรรม หรือบท ขยายของประโยคก็ได้ เช่น ว่ายน้ำ เป็นการออกกำ ลังกายที่ดี (ว่ายน้ำ เป็น ประธานของประโยค), ชาวจีนชอบเที่ยวเชียงใหม่ (เที่ยว เป็นกรรมของกริยา ชอบ), เขาซื้อดอกไม้เพื่อมอบให้ฉัน (มอบ เป็นบทขยายกริยา ซื้อ) ตัตัตั ตั ว ตั ว ตั วออย่ย่ย่ ย่ า ย่ า ย่ างงคำคำคำ คำคำคำ กกริริริ ริ ยริ ยริ ยาา 8
คำคำ คำคำ วิวิเ วิ เ วิศษณ์ณ์ ณ์ณ์ คำ วิเศษณ์เป็นคำ ที่ใช้ขยายคำ นาม สรรพนาม กริยา และคำ วิเศษณ์ เพื่อให้ข้อความนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะคำ วิเศษณ์เป็นคำ ที่บอกคุณสมบัติ หรือลักษณะเฉพาะของสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งอาการต่าง ๆ เช่น เมื่อเราระบุถึง บ้านหลังหนึ่ง คำ วิเศษณ์จะบอกให้รู้ว่า เรากำ ลังหมายถึงบ้านที่มีสีแดง ไม่ใช่บ้านสีเขียว หรือเมื่อเรากำ ลังพูดถึงคนที่วิ่งอยู่ คำ วิเศษณ์จะบอกให้รู้ ว่า เรากำ ลังระบุถึงคนที่วิ่งเร็วที่สุด ไม่ใช่คนที่วิ่งช้าๆ เป็นต้น 9
ชชนินินิ นิ ดนิ ดนิ ดขขอองงคำคำคำคำคำคำวิวิวิ วิ เ วิ เ วิ เศศษษณ์ณ์ณ์ ณ์ณ์ณ์ 8. ประติชญาวิเศษณ์ 9. ประติเสธวิเศษณ์ 10. ประพันธวิเศษณ์ คือ คำ วิเศษณ์ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบรส คือ คำ วิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ คือ คำ วิเศษณ์ประกอบคำ กริยา หรือคำ วิเศษณ์ เพื่อเชื่อมประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน คือ คำ วิเศษณ์ใช้ถาม 1.ลักษณวิเศษณ์ 2. กาลวิเศษณ์ 4. ประมาณวิเศษณ์ 5. นิยมวิเศษณ์ 3. สถานวิเศษณ์ คือ คำ วิเศษณ์ที่บอก สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส คือ คำ วิเศษณ์บอกเวลา เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต คือ คำ วิเศษณ์บอกจำ นวน หรือปริมาณ คือ คำ วิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ 6. อนิยมวิเศษณ์ คือ คำ วิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ คือ คำ วิเศษณ์บอกสถานที่ 7. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คำ วิเศษณ์ใช้ถาม 10
คำ วิเศษณ์แบ่งออกเป็น 10 ชนิด คือ 1.) ลักษณวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์ที่บอก สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส เช่น น้ำ เย็น จัดอยู่ในแก้วใสแจ๋ว, ข้าวผัดจานนี้มีรสหวาน, ประยุทธ์สูงที่สุดในห้อง 2.) กาลวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์บอกเวลา เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต เช่น คนใน อดีตเป็นที่น่าจดจำ , เธอไปก่อนฉันตามไปทีหลัง 3.) สถานวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์บอกสถานที่ อาทิ ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ เช่น เขาอยู่ใกล้เธออยู่ไกล, แม่ทัพอยู่บนข้าอยู่ล่าง, เชียงใหม่อยู่เหนือกระบี่อยู่ใต้ 4.) ประมาณวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์บอกจำ นวน หรือปริมาณ อาทิ หนึ่ง สอง สาม มาก น้อย ที่หนึ่ง หลาย เช่น ฉันเลี้ยงแมวสี่ตัว, ป้ามีที่ดินมากมาย 5.) นิยมวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ อาทิ นี่ นั้น โน้น ทั้งนี้ เช่น ฉันชอบรถคันนี้, บ้านหลังนั้นโดนไฟไหม้ 6.) อนิยมวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ อาทิ ใด อื่นๆ กี่ ไหน อะไร เช่น ฉันจะไปที่ไหนก็ได้, พูดอะไรระวังๆ หน่อย 7.) ปฤจฉาวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์ใช้ถาม อาทิ ใด ไร ไหน อะไร ทำ ไม อย่างไร เช่น คุณจะไปไหนครับ, คุณคิดจะทำ อะไร 8.) ประติชญาวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบ อาทิ ครับ ขอรับ ขา คะ จ๋า เช่น คุณครูครับผมมีเรื่องอยากปรึกษาคุณครูครับ, คุณแม่ขาปูน้อย หนีบมือค่ะ 9.) ประติเสธวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ อาทิ ไม่ ไม่ใช่ มิใช่ มิได้ เช่น เขาไม่ใช่เพื่อนฉัน, ฉันไม่ได้หยิบของของเขา 10.) ประพันธวิเศษณ์ เป็นคำ วิเศษณ์ประกอบคำ กริยา หรือคำ วิเศษณ์ เพื่อเชื่อม ประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน อาทิ ที่, ซึ่ง, อัน เช่น ขวดสีแดงที่อยู่ด้านในสุดหล่น แตก, อาหารจานนี้มีรสเค็มซึ่งเกินค่ามาตรฐาน ตัตัตั ตั ว ตั ว ตั วออย่ย่ย่ ย่ า ย่ า ย่ างงคำคำคำ คำคำคำวิวิวิ วิ เ วิ เ วิ เศศษษณ์ณ์ณ์ ณ์ณ์ณ์ 11
1.) บอกสถานภาพความเป็นเจ้าของ เช่น พ่อซื้อบ้านของคุณอา, สุนัขของเขาหายไปจากบ้าน เป็นต้น 2.) บอกความเกี่ยวข้อง เช่น เธอไปกับเขา, นักศึกษามอบของขวัญปีใหม่แม่ด่อด่าจารย์ เป็นต้น 3.) บอกความประสงค์ เช่น อาหารนี้สำ นี้ สำหรับไปทำ บุญ, น้องตั้งใจเรียนเพื่ออนาคต เป็นต้น 4.) บอกเวลา เช่น เขามาตั้งแต่บ่ต่ บ่าย, เขากลับถึงบ้านตอนหกโมง เป็นต้น 5.) บอกตำ แหน่ง ที่ตั้ง สถานที่ เช่น เธอมาจากอุดรธานี, ผมขอลงตรงสะพานลอย เป็นต้น 6.) บอกความเปรียบเทียบ เช่น เหล็กหนักกว่าไม้, แม่รักลูกยิ่งกว่าชีวิต เป็นต้น คำ บุพบทเป็นคำ ที่ทำ หน้าที่เชื่อมคำ 2 คำ ให้สัมพันธ์กัน อาจนำ หน้า คำ นาม สรรพนาม หรือกริยาที่ทำ หน้าที่เป็นนาม เพื่อบอกสถานการณ์และ ตำ แหน่งของคำ เหล่านั้นให้ชัดเจนขึ้น เช่น ของ ที่ แห่ง เพื่อ ใน บน สำ หรับ กับ แก่ แด่ ต่อ เป็นต้น คำคำ คำคำ บุบุ บุ พ บุ พบท ชชนินินิ นิ ดนิ ดนิ ดขขอองงคำคำคำคำคำคำ บุบุบุบุ พ บุ พ บุ พบบทท 12
1.) เชื่อมคำ กับคำ ได้แก่คำ ว่า และ, กับ เช่น เขาและเธอต้องทำ งาน, แมวกับหนูเป็นศัตรูกันเสมอ เป็นต้น 2.) เชื่อมประโยคกับประโยค ได้แก่คำ ว่า หรือ, และ, เพราะ, จึง, แต่ เช่น เธอจะทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น 3.) เชื่อมข้อความกับข้อความ ได้แก่คำ ว่า เพราะฉะนั้น, แม้ว่า…ก็, เพราะ…จึง เช่น เพราะเขาขยันหมั่นเพียร เขาจึงร่ำ รวย, ฉันชอบอากาศหนาว เพราะฉะนั้น ฉันจึงชอบไปเที่ยวยุโรป เป็นต้น 4.) เชื่อมความให้สละสลวย ได้แก่คำ ว่า ก็, อันว่า, อย่างไรก็ตาม, อนึ่ง เช่น เขาก็เ ก็ป็นคนดีคนหนึ่ง, อันว่ากริยามารยาทอันงดงามนั้น ย่อมเป็นที่ชื่นชมของผู้ที่พบเห็น, อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรประมาท ในการใช้ชีวิต เป็นต้น คำ สันธานเป็นคำ ที่ใช้เชื่อมคำ เชื่อมความ และเชื่อมประโยค ให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกันและสละสลวย คำคำ คำคำสัสัน สั น สั ธาน ชชนินินิ นิ ดนิ ดนิ ดขขอองงคำคำคำคำคำคำ สัสัสัสันสัสันธธาานน 13
1.) คำ อุทานบอกอาการ คือ คำ อุทานที่สื่อให้รู้อาการต่าง ๆ ของผู้พูด เช่น อาการดีใจ เสียใจ ตกใจ และประหลาดใจ เป็นต้น ได้แก่คำ ว่า เอ๊ะ! โอ๊ย! อ๊ะ! เฮ่! เฮ้ย! โธ่! อนิจจา! แหม! ว้า! ว้าย! วุ้ย! เป็นต้น คำ อุทานเป็นคำ ที่เปล่งออกมาโดยอาจไม่มีความหมาย แต่เน้นที่ การแสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้พูด คำคำ คำคำอุอุ อุอุ ทาน ชชนินินิ นิ ดนิ ดนิ ดขขอองงคำคำคำคำคำคำ อุอุอุอุ ท อุ ท อุ ทาานน 2.) อุทานเสริมบท เป็นคำ อุทานที่ใช้เสริมคำ อื่น เพื่อให้คล้องจอง หรือเป็นคำ สร้อยในคำ ประพันธ์ คำ เสริมอาจอยู่ข้างหน้า หรือข้างหลังคำ หลักก็ได้ เช่น โบร่ำ โบราณ, บ้านนอกคอกนา, ละคงละคร, ผลม้งผลไม้ หรืออยู่กลางคำ อื่น เช่น ผลหมากรากไม้ ส่วนคำ สร้อยอื่น ก็ได้แก่ นา, แลนา, แฮ, เฮย, เอย ในคำ ประพันธ์หรือสร้อยคำ ก็เช่น ชังกันบ่แลเหลียว ตาต่อ กันนา คำ อุทานแสดงอารมณ์มักจะมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) อยู่ด้านหลัง 14
สรุ ชนิดของคำ ในภาษาไทย รุ ป 1. คำ นาม คือ คำ ที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ที่เป็นรูปธรรมหรือชื่อเรียก สิ่งที่เป็นนามธรรม คำ นามจะทำ หน้าที่เป็นประธาน และกรรมของประโยค ใช้ระบุบ่ง ชี้ถึงสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้รู้ว่ากำ ลังพูดถึงใคร หรืออะไร 2. คำ สรรพนาม คือ คำ ที่ใช้แทนคำ นามในกรณีที่ต้องพูดถึงนามนั้นซ้ำ หรือใช้แทน ตัวผู้พูดและแทนตัวผู้อื่น เป็นคำ ที่ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าใครเป็นผู้พูด ซึ่งผู้พูดจะใช้ สรรพนามบุรุษที่ 1 เสมอ โดยแทนผู้ฟังด้วยสรรพนามบุรุษที่ 2 และแทนผู้ที่อยู่นอก การสนทนาด้วยสรรพนามบุรุษที่ 3 3. คำ กริยา คือ คำ ที่ใช้บอกอาการของนาม หรือสรรพนาม ให้รู้ว่านาม หรือ สรรพนามนั้น ๆ มีอาการอย่างไร หรือทำ อะไร 4. คำ วิเศษณ์ คือ คำ ที่ใช้ขยายคำ นาม สรรพนาม กริยา และคำ วิเศษณ์เอง เพื่อให้ ข้อความนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะคำ วิเศษณ์เป็นคำ ที่บอกคุณสมบัติ หรือลักษณะ เฉพาะของสิ่งต่างๆ รวมทั้งอาการต่าง ๆ 5. คำ บุพบท คือ คำ ที่ทำ หน้าที่เชื่อมคำ 2 คำ ให้สัมพันธ์กัน อาจนำ หน้าคำ นาม สรรพนาม หรือกริยาที่ทำ หน้าที่เป็นนาม เพื่อบอกสถานการณ์ให้ชัดเจนขึ้น 6. คำ สันธาน คือ คำ ที่ใช้เชื่อมคำ เชื่อมความ และเชื่อมประโยค ให้ติดต่อเป็นเรื่อง เดียวกันและสละสลวย 7. คำ อุทาน คือ คำ ที่เปล่งออกมาโดยอาจไม่มีความหมาย แต่เน้นที่การแสดง อารมณ์ ความรู้สึกของผู้พูด 15
แบบฝึกหัด เรื่อ รื่ ง ชนิด นิ ของคำ ในภาษาไทย ตอนที่ 1 จงตอบคำ ถามต่อไปนี้ 1. คำ ในภาษาไทยมีกี่ชนิด อะไรบ้าง ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 2. ปฤจฉาสรรพนามต่างกับอนิยมสรรพนามอย่างไร ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 3. คำ วิเศษณ์มีเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 16
ก. คำ ที่แสดงอาการของคำ นามหรือสรรพนาม เพื่อให้รู้ว่าคำ นามหรือสรรพนามนั้น ทำ อะไร หรือเป็นอย่างไร ข. คำ ทีี่ใช้ประกอบคำ อื่นเพื่อให้ความหมายของคำ นั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ค. คำ ที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ง. คำ ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างคำ หรือประโยคคำ หรือข้อความให้ติดต่อกัน จ. คำ ที่ใช้นำ หน้าคำ นาม คำ สรรพนาม คำ กริยา หรือคำ วิเศษณ์ เพื่อบอกตำ แหน่ง ของเหล่านั้น และแสดงความสัมพันธ์กันระหว่างคำ หรือประโยคว่าเกี่ยวข้องกัน อย่างไร ฉ. คำ ที่เปล่งออกมาโดยอาจไม่มีความหมาย แต่เน้นที่การแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้พูด ช. คำ ที่ใช้แทนคำ นามหรือข้อความที่กล่าวมาแล้ว เพื่อไม่ต้องนามหรือข้อความนั้นซ้ำ แบบฝึกหัด เรื่อ รื่ ง ชนิด นิ ของคำ ในภาษาไทย ตอนที่ 2 จงจับคู่ความหมายและชนิดของคำ โดยให้นำ พยัญชนะหน้าความหมายเขียน เติมหน้าข้อชนิดของคำ ที่มีความสัมพันธ์กัน คำ นาม คำ สรรพนาม คำ กริยา คำ วิเศษณ์ 1. 2. 3. 4. 5. คำ บุพบท 6. คำ สันธาน 7. คำ อุทาน 17
เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อ รื่ ง ชนิด นิ ของคำ ในภาษาไทย ตอนที่ 1 จงตอบคำ ถามต่อไปนี้ 1. คำ ในภาษาไทยมีกี่ชนิด อะไรบ้าง ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 2. ปฤจฉาสรรพนามต่างกับอนิยมสรรพนามอย่างไร ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... 3. คำ วิเศษณ์มีเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ........................................................................................... ตอบ ชนิดคำ ในภาษาไทยมี 7 ชนิด คือ คำ นาม, คำ สรรพนาม, คำ กริยา, คำ วิเศษณ์, คำ บุพบท, คำ สันธาน และคำ อุทาน ตอบ ปฤจฉาสรรพนามต่างกับอนิยมสรรพนามตรงที่อนิยมสรรพนาม ใช้ในประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ แต่ปฤจฉาสรรพนามใช้ใน ประโยคคำ ถาม ตอบ คำ วิเศษณ์มี 10 ชนิด คือ ลักษณวิเศษณ์, กาลวิเศษณ์, สถานวิเศษณ์, ประมาณวิเศษณ์, นิยมวิเศษณ์, อนิยมวิเศษณ์, ปฤจฉาวิเศษณ์, ประติชญาวิเศษณ์, ประติเสธวิเศษณ์ และประพันธวิเศษณ์ 18
ก. คำ ที่แสดงอาการของคำ นามหรือสรรพนาม เพื่อให้รู้ว่าคำ นามหรือสรรพนามนั้น ทำ อะไร หรือเป็นอย่างไร ข. คำ ทีี่ใช้ประกอบคำ อื่นเพื่อให้ความหมายของคำ นั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ค. คำ ที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ง. คำ ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างคำ หรือประโยคคำ หรือข้อความให้ติดต่อกัน จ. คำ ที่ใช้นำ หน้าคำ นาม คำ สรรพนาม คำ กริยา หรือคำ วิเศษณ์ เพื่อบอกตำ แหน่ง ของเหล่านั้น และแสดงความสัมพันธ์กันระหว่างคำ หรือประโยคว่าเกี่ยวข้องกัน อย่างไร ฉ. คำ ที่เปล่งออกมาโดยอาจไม่มีความหมาย แต่เน้นที่การแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้พูด ช. คำ ที่ใช้แทนคำ นามหรือข้อความที่กล่าวมาแล้ว เพื่อไม่ต้องนามหรือข้อความนั้นซ้ำ เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อ รื่ ง ชนิด นิ ของคำ ในภาษาไทย ตอนที่ 2 จงจับคู่ความหมายและชนิดของคำ โดยให้นำ พยัญชนะหน้าความหมายเขียน เติมหน้าข้อชนิดของคำ ที่มีความสัมพันธ์กัน คำ นาม คำ สรรพนาม คำ กริยา คำ วิเศษณ์ 1. 2. 3. 4. 5. คำ บุพบท 6. คำ สันธาน 7. คำ อุทาน ค ช ก ข จ ง ฉ 19
อ้อ้อ้ อ้ า อ้ า อ้ างงอิอิอิ อิ งอิ งอิ ง ชนิดและหน้าที่ของคำ ในประโยค. สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม 2566, จาก https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/34280 ชนิดของคำ ในภาษาไทย. สืบค้นเมื่อ 4 มกราคม 2566, จาก https://shorturl.asia/w72nx 20
ชื่อ : นางสาวกรรณิการ์ ศรีณะพรม ชื่อเล่น : อีฟ วันเดือนปีเกิด : วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 สัญชาติ : ไทย เชื้อชาติ : ไทย ศาสนา : พุทธ ที่อยู่ปัจจุบัน : บ้านเลขที่ 232 หมู่ 4 บ้านคำ ม่วง ตำ บลทุ่งคลอง อำ เภอคำ ม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ 46180 กำ ลังศึกษา : สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ประวัติการศึกษา : - ระดับประถมศึกษา สำ เร็จการศึกษาจากโรงเรียนคำ ม่วงจรัสวิทย์ จังหวัดกาฬสินธุ์ - ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สำ เร็จการศึกษา จากโรงเรียนคำ ม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ - ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำ เร็จการศึกษาจากโรงเรียนคำ ม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ความสามารถพิเศษ : วิ่ง, เล่นบาสเกตบอล คติประจำ ใจ : จงมีความสุขในทุก ๆ วัน งานอดิเรก : ดูซีรีส์ อ่านนิยาย ติดต่อ : โทรศัพท์ 080-6906631 ปปรระะวัวัวั วั ติ วั ติ วั ติ ติ ผู้ติ ผู้ติ ผู้ผู้เผู้ผู้เขีขีขี ขี ยขี ยขี ยนน RRREEESSSUUUMMMEEE 21