The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by griengsakku, 2023-05-10 02:20:25

คู่มือวิธีการก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ บนพื้นที่สูงในเขตพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง

Conservation soil and water Mannual

คู่มือวิธีการก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน ้าบนพื้นที่สูง ในเขตพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง


ค ู่ม ื อวิธ ี การก ่ อสร ้ างระบบอนุรักษ ์ ดินและน า้บนพน ื้ท ี่สูง ในเขตพื้นที่ศูนย ์ พฒันาโครงการหลวง สนิท อินทะชัย ศูนย ์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ ส านักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 กรมพัฒนาที่ดิน 2549


ค าน า คู่มือวิธีการก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน้า บนพ้ืนที่สูง ในเขตพ้ืนที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง เป็นเอกสารวชิาการที่จดัทา ข้ึน โดยมีวตัถุประสงคเ์พอื่รวบรวมขอ้มูลเกี่ยวกบัข้นัตอน วธิีการก่อสร้างระบบ อนุรักษ์ดินและน้า และมาตรการอนุรักษแ์บบต่างๆที่ใช้ในการพฒันาพ้ืนที่การเกษตรบนพ้ืนที่สูงในเขต พ้ืนที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงท้งั 37 ศูนย์ที่อยใู่นความดูแลรับผิดชอบของมูลนิธิโครงการหลวง โดย ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ ส านักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 กรมพฒันาที่ดิน เพื่อพฒันาพ้ืนที่ การเกษตรของเกษตรกรใหม้ีความเหมาะสมต่อการเพาะปลูกพชืไดอ้ยา่งยงั่ยนืและเป็นเอกสารคู่มือสา หรับ เจา้หนา้ที่ผปู้ฏิบตัิงานใชเ้ป็นแนวทางในการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า ต่อไป คู่มือวิธีการก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน้ าบนพ้ืนที่สูงในเขตพ้ืนที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง เป็นเอกสารแนะน าวิธีการก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน้ า และช่วยให้ผูส้นใจได้ศึกษาค้นคว้าท าความ เขา้ใจไดง้่ายเกี่ยวกบัข้นัตอนวธิีการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า และประโยชน์ของมาตรการอนุรักษ์ แบบต่างๆ หากผูศ้ึกษาพบว่ามีขอ้บกพร่องกรุณาแจง้ให้ขา้พเจา้ฯได้ทราบ เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขใน โอกาสต่อไป และพร้อมน้ีขา้พเจา้ฯขอขอบคุณเจา้หนา้ที่ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจดัทา เอกสารคู่มือเล่มน้ี ใหส้า เร็จลุล่วงไปดว้ยดี นายสนิท อินทะชัย


สารบัญ หน้า ค าน า สารบัญ สารบัญภาพ ก สารบัญภาคผนวก ค บทที่ 1 บทน า 1 หลักการและเหตุผล 1 ประเด็นของปัญหา 3 วัตถุประสงค์ 4 ประโยชน์ที่คาดวา่จะไดรับ้ 4 บทที่ 2 ลกัษณะพ้นืที่โครงการ 5 การแบ่งกลุ่มพ้นืที่ศูนย ์ 7 ขอ้จา กดัของการทา การเกษตรบนพ้นืที่สูง 8 การป้องกนัการชะลา้งพงัทลายของดินในพ้นืที่เกษตรกรรม 12 ผลการศึกษาวจิยัที่เกี่ยวกบัมาตรการอนุรักษด์ินและน้า 17 บทที่ 3 การคดัเลือกพ้นืที่และการสา รวจออกแบบ 19 การสา รวจคดัเลือกพ้นืที่ 19 การสา รวจพ้นืที่เพอื่จดัทา แผนที่วงรอบขอบเขตและระดบั 21 การออกแบบระบบอนุรักษด์ินและน้า 27 บทที่ 4 แบบแปลนและสัญลักษณ์ 31 แบบแปลนระบบอนุรักษด์ินและน้า 31 สญัลกัษณ์แผนที่แบบแปลนระบบอนุรักษด์ินและน้า 34 บทที่ 5 วธิีการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า 40 อุปกรณ์ที่จา เป็นสา หรับการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า 40 ข้นัตอนการเขา้ดา เนินการพฒันาพ้นืที่ 41 วธิีการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า 43 มาตรการอนุรักษด์ินและน้า 47


บทที่ 6 การปรับปรุงบ ารุงดิน 56 การปรับปรุงบ ารุงดินด้วยอินทรียวัตถุ 56 การใช้ปุ๋ ยหมักในการปรับปรุงบ ารุงดิน 58 การใช้ปุ๋ ยพืชสดในการปรับปรุงบ ารุงดิน 59 การใช้ปุ๋ ยคอกในการปรับปรุงบ ารุงดิน 59 บทที่ 7 การใช้ประโยชน์และการดูแลรักษา 61 การใชป้ระโยชน์จากมาตรการอนุรักษด์ินและน้า 61 การดูแลรักษามาตรการอนุรักษด์ินและน้า 63 บทที่ 8 สรุปข้อเสนอแนะ 65 สรุปการพิจารณาเลือกใช้มาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่เหมาะสมกบัสภาพพ้นืท ี่ 65 ข้อเสนอแนะ 66 บรรณานุกรม 69 สารบัญภาพ


สารบัญภาพ ภาพประกอบ หน้า 1. ตวัอยา่งแผนที่ภูมิประเทศ1 : 50000 แสดงขอบเขตพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงขนุแปะ 6 2. แผนที่แสดงที่ต้งัศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง 37 ศูนย์ 7 3. แบบจ าลองแม้วตกดอย 13 4. แผนที่แสดงขอบเขตพ้นืที่จากการสา รวจคดัเลือกพ้นืที่ 21 5. แสดงการต้งัเครื่องกา หนดตา แหน่งโดยใชด้าวเทียมเป็น Base 24 6. แสดงการต้งัเครื่องกา หนดตา แหน่งโดยใชด้าวเทียมเป็น Rover 24 7. กล้องประมวลผล (Total station) 26 8. เป้ าสะท้อนกลับ (Prism reflector) 26 9. การใช้โปรแกรม Terramodel สร้างแผนที่วงรอบขอบเขตและแบบแปลน 30 10. การใช้โปรแกรม AutoCAD ตกแต่งแบบแปลนและใส่เครื่องหมายสญัลกัษณ์ 30 11. ตวัอยา่งแบบแปลนระบบอนุรักษด์ินและน้า 32 12. ตวัอยา่งแบบแปลนภาพตดัตามยาวระบบอนุรักษด์ินและน้า 33 13. สัญลักษณ์หมุดหลักฐาน 34 14. สัญลักษณ์หมุดหลักเขต 34 15. สญัลกัษณ์เสน้ช้นัความสูง 35 16. สญัลกัษณ์ทางระบายน้า หรือลา หว้ย 35 17. สัญลักษณ์เส้นทางคมนาคมหรือแนวถนน 36 18. สญัลกัษณ์แบบแปลนภาพตดัตามยาวระบบอนุรักษด์ินและน้า 36 19. สญัลกัษณ์คนัดินเบนน้า 37 20. สญัลกัษณ์คนัดินก้นัน้า 37 21. สญัลกัษณ์ข้นับนัไดปลูกพชืแบบต่อเนื่อง 38 22. สญัลกัษณ์ข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดบั 38 23. สญัลกัษณ์คูรับน้า ขอบเขา 39 24. สญัลกัษณ์อาคารชะลอความเร็วของน้า 39 25. การประชุมช้ีแจงเกษตรกร 42 26. การสา รวจหาพ้นืที่เป้าหมายดว้ยเครื่องกา หนดตา แหน่งโดยใชด้าวเทียม 42 27. การส ารวจตรวจสอบวงรอบขอบเขตแบบแปลน 43


28. ก า ร ว า ง แ น ว ห ล กั ข อ ง ร ะ บ บ อ นุ รั ก ษ ด์ิ น แ ล ะ น้ า 44 29. การส า ร ว จ ว า ง แ น ว ร ะ บ บ อ นุ รั ก ษ ด์ิ น แ ล ะ น้ า 45 30. ก า ร ก่อ ส ร้ า ง ร ะ บ บ อ นุ รั ก ษ ด์ิ น แ ล ะ น้ า โ ด ย ใ ช แ้ ร ง ค น 45 31. ก า ร ก่อ ส ร้ า ง ร ะ บ บ อ นุ รั ก ษ ด์ิ น แ ล ะ น้ า โ ด ย ใ ช เ้ ค รื่อ ง จ กั ร ก ล 46 32. ก า ร ต ก แ ต่ง ร ะ บ บ อ นุ รั ก ษ ด์ิ น แ ล ะ น้ า โ ด ย ใ ช แ้ ร ง ค น 46 33. คันดินเ บ น น้ า (Diversion ) 47 34. ค นั ดิ น ก้ นั น้ า (Broad base terrace ) 49 35. ข้ นั บ นั ไ ด ป ลู ก พ ช ื แ บ บ ต่อ เ นื่อ ง (Bench terrace ) 50 36. คู รั บ น้ า ข อ บ เ ข า (Hillside ditch ) 51 37. ข้ นั บ นั ไ ด ไ ม ผ ้ ล แ บ บ ร ะ ด บั (Orchard hillside terrace ) 52 38. ท า ง ร ะ บ า ย น้ า ห รื อ ล า ห ว ้ ย 53 39. อ า ค า ร ช ะ ล อ ค ว า ม เ ร็ ว ข อ ง น้ า โ ด ย ใ ช แ้ ผ น่ค อ น ก รี ต ส า เ ร็ จ รู ป 54 40. อ า ค า ร ช ะ ล อ ค ว า ม เ ร็ ว ข อ ง น้ า โ ด ย ใ ช ก ้ ล่อ ง เ ก เ บ้ี ย น 55 41. ก า ร ใ ช ป้ ร ะ โ ย ช น์ พ้นื ที่ส า ห รั บ ป ลู ก พ ช ื ผ กั แ ล ะ ไ ม ด้ อ ก 62 42. ก า ร ใ ช ป้ ร ะ โ ย ช น์ พ้นื ที่ส า ห รั บ ป ลู ก ไ ม ผ ้ ล เ มื อ ง ห น า ว 63


สารบัญภาคผนวก ภาคผนวกที่ หน้า 1. ภาพตดัตามขวางของข้นับนัไดปลูกพชืแบบต่อเนื่องและสูตรคา นวณค่าตามมิติต่างๆ 72 ของระบบอนุรักษ์ดินและน้า 2. ค่ามิติต่างๆของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ข้นับนัไดดินแบบตอ่เนื่องกวา้ง 2.5 เมตร 73 3. ค่ามิติต่างๆของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ข้นับนัไดดินแบบตอ่เนื่อง กว้าง 3 เมตร 74 4. ค่ามิติต่างๆของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ข้นับนัไดดินแบบตอ่เนื่องกวา้ง 4 เมตร 75 5. ค่ามิติต่างๆของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ข้นับนัไดดินแบบตอ่เนื่อง 76 กว้าง 5 ถึง 6 เมตร 6. ภาพตดัตามขวางของคูรับน้า ขอบเขาข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดบั 77 และสูตรคา นวณค่าตามมิติต่างๆของระบบอนุรักษด์ินและน้า 7. ค่าตามมิติต่างๆของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่ความลาดเทของพ้นืที่ 78 1 ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ( คูรับน้า ขอบเขาและข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดับ ) 8. ค่าตามมิติต่างๆของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่ความลาดเทของพ้นืที่ 79 13 ถึง 24 เปอร์เซ็นต์( คูรับน้า ขอบเขาและข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดับ ) 9. ค่าตามมิติต่างๆของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่ความลาดเทของพ้นืที่ 80 25 ถึง 36 เปอร์เซ็นต์( คูรับน้า ขอบเขาและข้นับนัไดไม้ผลแบบระดับ ) 10. ค่าตามมิติตา่งๆของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่ความลาดเทของพ้นืที่ 81 37 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ( คูรับน้า ขอบเขาและข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดับ ) 11. ราคาค่าใชจ้่ายต่อไร่งานพฒันาพ้นืทดี่ว้ยวธิีอนุรักษด์ินและน้า โดยใชเ้ครื่องจกัรกล 82 12. ราคาค่าใชจ้่ายต่อไร่งานพฒันาพ้นืทดี่ว้ยวธิีอนุรักษด์ินและน้า โดยใชแรงคน้ 93


บทที่ 1 บทน า 1. หลกัการและเหตุผล พ้นืที่สูงของประเทศไทยมีอยทู่้งัสิ้นประมาณ 96.1 ลา้นไร่ ประกอบดว้ย ภาคเหนือ 54 ลา้นไร่ ภาคกลาง 12 ลา้นไร่ภาคใต้14.6 ลา้นไร่ภาคตะวนัออกเฉียงเหนือ 12.1 ลา้นไร่และภาคตะวันออก 3.4ลา้นไร่( กรมพัฒนาที่ดิน, 2542 ) พ้นืที่ดงักล่าวจะเป็นภูเขาสูงสลบัซบัซอ้นกนั ปกคลุมดว้ยป่าไมน้านา ชนิด โดยเฉพาะพ้นืที่สูงในภาคเหนือส่วนใหญ่ถูกกา หนดใหเ้ป็นช้นัคุณภาพลุ่มน้า ช้นัที่หน่ึง จะเป็นแหล่ง ตน้น้า ลา ธารของแม่น้า สายสา คญัๆหลายสาย เช่น แม่น้า ปิง แม่น้า วงัแม่น้า ยม และแม่น้า น่าน ซึ่งไหล มารวมกนัเป็นแม่น้า เจา้พระยา กลายเป็นแม่น้า สายหลกัที่สา คญัของประเทศ ดงัน้นัทรัพยากรธรรมชาติที่ อุดมสมบูรณ์จึงมีอิทธิพลตอ่การรักษาความสมดุลทางธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้มใหอ้ยใู่นสภาพที่ดีได้และ ทรัพยากรป่ าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ภาคเหนือจะพบป่ าเบญจพรรณบริเวณพ้นืที่ราบลุ่มที่มีความอุดมสมบูรณ์ ของดินสูง ป่ าเต็งรังจะพบบริเวณที่ดอนที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินคอ่นขา้งต่า และแหง้แลง้และป่าดิบ เขาจะพบบนพ้นืที่สูงส่วนใหญ่เป็นป่าไม่ผลดัใบที่มีตน้ไมข้้ึนปกคลุมอยา่งหนาแน่น มีความชุ่มช้ืนสูงมี อากาศหนาวเย็นและมีฝนตกชุกยาวนานจะเป็นแหล่งทรัพยากรน้า ที่ดีคุณสมบตัิของดินและหินเอ้ืออา นวย ใหม้ีการเก็บและปล่อยน้า ไดด้ี ป่าดิบเขาที่อุดมสมบูรณ์น้นัจะอา นวยน้า ในฤดูแลง้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ของน้า ที่ไหลในลา ธารส่วนลุ่มน้า ที่ทรุดโทรมน้นัมีน้า ไหลในฤดูแลง้ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ (เกษม, 2527) และทรัพยากรดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสา คญัต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวติที่อยบู่นดิน และ ดินเป็นแหล่งของธาตุอาหารที่จา เป็นสา หรับพืชทุกชนิดในปริมาณ และสดัส่วนที่พอเหมาะที่ทา ใหพ้ชื สามารถเจริญเติบโตไดอ้ยา่งปกติและใหผ้ลผลิตได้ โครงสร้างของดินเป็ นสมบัติทางกายภาพที่เกิดจากการ จัดเรียงตัวของอนุภาคดินที่มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกนัไปมาเกาะตวักนัดว้ยแรงดึงดูดระหวา่งกนั หรือสาร เชื่อมจึงมีโครงสร้างที่แตกต่างกนัออกไป แต่โครงสร้างของดินมกัไม่เสถียรหรือไม่คงที่ยอ่มเปลี่ยนแปลงไป ตามอิทธิพลที่ได้รับจากภายนอก (เกษมศรี, 2541) จะเห็นไดว้า่ทรัพยากรธรรมชาติท้งัดิน น้า และป่าไม ้ มีความสา คญัที่เชื่อมโยงกนัอยา่งเป็นระบบที่ทา ใหเ้กิดความสมดุลกนัทางธรรมชาติเมื่อทรัพยากรตวัใด ตวัหน่ึงถูกทา ลายก็จะส่งผลกระทบกบัทรัพยากรตวัอื่นๆอยา่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะทวคีวามรุนแรงส่ง ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้มเพมิ่มากข้นึมนุษยเ์ป็นตวัการสา คญัที่มีอิทธิพลต่อการ เปลี่ยนแปลงความสมดุลของธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้มไดใ้นเวลาอนัรวดเร็ว โดยบุกรุกท าลายทรัพยากรป่ า ไม้เพื่อตัดไม้ไปใช้สอยแผว้ถางป่าใชพ้ ้นืที่เป็นที่อยอู่าศยัและเป็นพ้นืที่ทา การเกษตรต้งัถิ่นฐานอยในบริเวณู่ พ้นืที่สูง ระหวา่ง 500 เมตร ถึง 1,400 เมตร เหนือระดบัน้า ทะเล ประกอบด้วยชาวไทยและชาวเขาที่อพยพ ยา้ยถิ่นฐานมาจากพ้นืที่ใกลเ้คียงท้งัในและนอกประเทศ และชาวเขาในประเทศไทยมีท้งัหมด 9 เผา่ ไดแ้ก่


กะเหรี่ยง แมว้เยา้อีกอ้มูเซอ ลีซอ ลวัะ ถิ่น และขมุและรวมประชากรพ้นืที่สูงชาติพนัธุอ์ื่นๆ อีก 5 ชนเผา่ ไดแ้ก่จีนฮ่อ ไทยใหญ่ ไทยล้ือ ปล่อง และคนไทย (ชูสิทธิ์,2541) เริ่มจากบุคคลกลุ่มเลก็ๆ 1 ถึง 2 ครอบครัว ขยายเพมิ่จา นวนประชากรเป็นชุมชนขนาดใหญ่อยา่งรวดเร็ว และชุมชนท้งัเล็กและใหญ่ที่อาศยั อยอู่ยา่งกระจดักระจายทวั่ ไปบนพ้นืที่สูงของประเทศมีการพ่งึพงิทรัพยากรธรรมชาติแต่เพยีงอยา่งเดียว การ ประกอบอาชีพทางการเกษตร ในอดีตระบบการผลิตเป็ นแบบยังชีพการบุกรุกท าลายทรัพยากรธรรมชาติยัง ไม่รุนแรง แต่ในสภาพปัจจุบนัมีการเปลี่ยนแปลงอยา่งรวดเร็วจากการเพมิ่จา นวนประชากรและการพัฒนา ทางเศรษฐกิจเป็นสาเหตุสา คญัที่ทา ใหร้ะบบการผลิตปรับเปลี่ยนเป็นเชิงพาณิชยเ์พมิ่มากข้ึน มีการใช้ที่ดิน อยา่งเขม้ขน้ ใช้พันธุ์พืชหลายชนิดรวมท้งัใชส้ารเคมีในการผลิตขณะเดียวกนัการใชฐ้านทรัพยากรการเกษตร ในระบบการผลิตยังขาดการวางแผนที่ดี เช่น การเพาะปลูกบนพ้นืทลี่าดชนัโดยไม่มีมาตรการอนุรักษด์ิน และน้า จึงส่งผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้มและทรพัยากรธรรมชาติทา ใหสู้ญเสียความสมดุลและความรุนแรง ของปัญหาเพมิ่มากข้นึ ในปีพ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ฯ พระราชทานพระราชดา ริ และพระราชทรัพยส์ ่วนพระองคใ์หด าเนินงานโครงการหลวง ้ เพอื่ช่วยประสานงานกบัรัฐบาล หน่วยงาน ราชการ ข้าราชการ นักวิชาการ โดยมีพระราชประสงคจ์ะทรงช่วยเหลือราษฎรชาวไทยภูเขาในทอ้งถิ่น ทุรกนัดารใหม้ีชีวติความเป็นอยทู่ ี่ดีข้ึนพ้นืที่ดงักล่าวมกัเป็นพ้นืที่ห่างไกลจากการดูแลของรัฐ มีการปลูกฝิ่น การตดัไมท้า ลายป่า และการทา ไร่หมุนเวยีน นอกจากน้ีในพ้นืที่โครงการหลวงหลายแห่งเมื่อเริ่มโครงการ มีปัญหาดา้นความมนั่คง โดยมี ม.จ. ภีศเดช รัชนี เป็ นผู้รับสนองพระราชด าริมาปฏิบัติงานโดยด ารง ตา แหน่งองคอ์า นวยการโครงการหลวง มีชื่อเรียกโครงการน้ีในสมยัเริ่มงานคร้ังแรกวา่ “โครงการหลวง พัฒนาที่ดินชาวเขา ” หรือ “ โครงการหลวงพัฒนาภาคเหนือ ” ส่วนคณะผทู้า งานจากหน่วยงานต่างๆ ที่ อาสาสมัครออกไปแนะน าส่งเสริมช่วยเหลือชาวไทยภูเขาในวันหยุดราชการหรือวันอาทิตย์จะเรียกงานน้ีวา่ “ โครงการเกษตรหลวงในพระบรมราชานุเคราะห์ ” และต่อมาไดเ้ปลี่ยนชื่อใหเ้หมาะสมอีกคร้ังเมื่อปีพ.ศ. 2523 เป็ น “ โครงการหลวง ” โดยมีงานหลักเพื่อสนองพระราชด าริ 4 ข้นัตอนคือ งานวจิยังานส่งเสริม งานพฒันาที่ดิน และงานพฒันาเศรษฐกิจและสงัคม ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชด าริในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพโครงการหลวง โดยให้ โครงการหลวงจดทะเบียนเป็ นมูลนิธิเพื่อจะได้เป็ นองค์กรนิติบุคคล มีกฎหมายรองรับ และด าเนินงานด้วย ความเป็นปึกแผน่สืบไป ปัจจุบนัมีพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงที่อยใู่นความดูแลรับผดิชอบท้งัสิ้น 37 ศูนย์ฯ กรมพัฒนาที่ดิน ไดเ้ขา้มาร่วมงานอยา่งจริงจงัในปีพ.ศ. 2519 ไดส้ ่งเจา้หนา้ที่จากกองบริรักษท์ ี่ดิน กองส ารวจดิน และกองจ าแนกดินเขา้มาสา รวจพ้นืที่เพอื่ทา การบุกเบิกพฒันาพ้นืที่จดัที่ทา กิน จดัสร้าง ระบบอนุรักษด์ินและน้า และปรับปรุงบา รุงดิน โดยใชเ้งินงบประมาณจากกรมพฒันาที่ดินบางส่วน และ ไดร้ับเงินสมทบจากโครงการหลวงอีกจา นวนหน่ึง ต่อมาในปีพ.ศ. 2522 กรมพัฒนาที่ดินได้รับจัดสรร


งบประมาณจากส านักงบประมาณเพื่อด าเนินการพัฒนาที่ดินในพ้นืที่โครงการหลวงและมีโครงการเป็ นของ ตนเองเรียกวา่ “โครงการพัฒนาที่ดินชาวเขา ” ในปี พ.ศ. 2527 ได้เปลี่ยนชื่อเป็ น “ ฝ่ ายปฏิบัติการโครงการ หลวงภาคเหนือ ” ลกัษณะการดา เนินงานเรียกวา่ “ขอจัดพัฒนาที่ดิน ” ในเขตที่เป็ นป่ าเสื่อมโทรมหรือป่ า ถูกท าลาย และในปี พ.ศ. 2546 ได้เปลี่ยนชื่อเป็ น “ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ” และมีหน้าที่ รับผิดชอบคือศึกษาวเิคราะห์เพอื่วางโครงการพฒันาพ้นืที่และปฏิบัติการพัฒนาที่ดินในเขตพ้นืที่ศูนย์ ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด าริ เพื่อให้ราษฎรชาวไทยภูเขา มีพ้นืที่ทา การเกษตรอยา่งยงั่ยนืและดา รงชีพอยไู่ดเ้ป็นหลกัแหล่งถาวรโดยวธิีการอนุรักษด์ินและน้า 2. ประเด็นของปัญหา การพฒันาพ้นืที่เกษตรของเกษตรกรบนที่สูงให้มีความเหมาะสมตอ่การเพาะปลูกพชืเพื่อลดปัญหา การชะล้างพังทลายของดินน้นัจะตอ้งมีการจัดการการใชท้ ี่ดินอยา่งเหมาะสม เนื่องจากพ้นืที่ดงักล่าวมีปัจจยั ที่ก่อใหเ้กิดการชะลา้งพงัทลายของดินไดแ้ก่ความลาดชันของพ้นืที่ปริมาณน้า ฝน ลกัษณะพชืพรรณที่ข้ึน ปกคลุม คุณสมบัติของดิน และมนุษย์ ซ่ึงปัจจยัเหล่าน้ีมีผลต่อการสูญเสียอนุภาคของดินโดยเฉพาะน้า ฝน และน้า ไหลบ่าหนา้ดินเป็นตวัการที่สา คญัแตม่ ีเพยีงปัจจยัเดียวเท่าน้นัที่เกษตรกรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อลดอัตราการสูญเสียดินคือความลาดชันของพ้นืที่ และศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือได้ ดา เนินการพฒันาพ้นืที่เกษตรของเกษตรกรในเขตพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงต่างๆท้งั 37 ศูนย์ฯโดยใช้ วธิีการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า ในการเปลี่ยนแปลงความลาดชนัของพ้นืที่เช่น การสร้างอาคาร ชะลอความเร็วของน้า คนัดินเบนน้า คันดินก้นัน้า ข้นับนัไดดินปลูกพชืข้นับนัไดปลูกไมผ้ลแบบระดบั และคูรับน้า ขอบเขา ซ่ึงมาตรการอนุรักษต์ ่างๆเหล่าน้ีมีโครงสร้างในทางวศิวกรรมหลายอยา่งที่สามารถ นา มาใชเ้พอื่ใหบ้รรลุเป้าหมายดงักล่าวได้และการที่จะดา เนินการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า ใหไ้ด้ มาตรฐานและถูกหลกัวศิวกรรมเพอื่ใหก้ารใชป้ระโยชน์ไดผ้ลตามวตัถุประสงคท์ ี่กา หนดไว้ดงัน้นัจึงต้องมี เจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการทา งานดา้นน้ีมาเป็นระยะเวลานาน แต่เนื่องจาก เจ้าหน้าที่เป็ น ข้าราชการ ลูกจา้งประจา และลูกจา้งชวั่คราว ซึ่งเป็ นปัญหาในการบริหารงานเพราะ เจา้หนา้ที่เหล่าน้ีจะมีวาระในการปฏิบัติราชการ เช่น เกษียณอายุราชการ ลูกจ้างลาออก และเมื่อมีเจ้าหน้าที่ มาบรรจุใหม่แทนคนเก่าจะต้องท าการฝึ กอบรมถ่ายทอดวชิาความรู้ท้งัภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติการสนาม เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ และใช้ระยะเวลาในการฝึ กนานหลายปี จึงจะได้เจ้าหน้าที่ที่มีความรู้และความ ช านาญออกไปปฏิบัติงานภาคสนามได้ ในอดีตวิธีการฝึ กอบรมถ่ายทอดวชิาความรู้ท้งัภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติการสนามเพื่อสร้างเสริม ประสบการณ์ใหก้บัเจา้หนา้ที่ใหม่น้นั ใชว้ธิีการถ่ายทอดแนะนา วธิีการดว้ยการบอกกล่าวและใชรูปภาพ ้ ประกอบในการสอนเป็ นหลักไม่มีเอกสารทางวชิาการเป็นการเฉพาะ จึงเป็ นอีกสาเหตุหนึ่งที่ท าให้การ ถ่ายทอดผดิพลาดขา้มข้นัตอนและขาดรายละเอียดที่ส าคัญไป ซึ่งสาเหตุดงักล่าวขา้งตน้จึงเป็ นประเด็น


ปัญหาของการศึกษาเพอื่รวบรวมขอ้มูลเกี่ยวกบัข้นัตอน วธิีการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า และการ ใช้ประโยชน์จากมาตรการอนุรักษด์ินและน้า แบบต่างๆที่ก่อสร้างในพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง และ จดัทา เป็นเอกสารคู่มือสา หรับเจา้หนา้ที่ผปู้ฏิบตัิงานและผู้สนใจใช้ศึกษาค้นคว้า และใช้เป็ นแนวทางในการ ก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า ต่อไป 3. วตัถุประสงค ์ 1.) เพื่อศึกษารวบรวมขอ้มูลข้นัตอน วธิีการก่อสร้าง และรูปแบบมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ทใี่ช้ ในการพฒันาพ้นืที่การเกษตรบนพ้นืที่สูง ของหน่วยงานศูนยป์ฏิบตัิการโครงการหลวงภาคเหนือใหเ้ป็น หมวดหมู่และเป็นเอกสารวชิาการเพอื่ความสะดวกในการศึกษาคน้ควา้ทา ความเขา้ใจไดง้่ายต่อการนา ไปใช้ ประโยชน์ 2.) เพื่อจดัทา เอกสารคู่มือแนะนา ข้นัตอนวธิีการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า ใหก้บัเจา้หนา้ที่ และผเู้กี่ยวขอ้งไดศ้ึกษาคน้ควา้ทา ความเขา้ใจและปฏิบตัิงานไดถู้กตอ้งตามหลกัวชิาการ 4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.) ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ มีเอกสารวชิาการดา้นการอนุรักษด์ินและน้า บนพน้ืที่ สูงในพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง เผยแพร่ใหก้บัหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้งและผสู้นใจไดศ้ึกษาคน้ควา้และ นา ไปใชป้ระโยชน์ต่อไป 2.) ผปู้ฏิบตัิงานและเจา้หนา้ที่ของศูนยป์ฏิบตัิการโครงการหลวงภาคเหนือ ใชคู้่มือเป็ นแนวทาง ในการศึกษาคน้ควา้และทา ความเขา้ใจเกี่ยวกบัข้นัตอนวธิีการก่อสร้าง และรูปแบบมาตรการอนุรกัษด์ินและ น้า ในการพฒันาพ้นืที่การเกษตรในพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงไดอ้ยา่งถูกตอ้งตามหลกัวชิาการ


บทที่ 2 ข้อมูลทวั่ไปของพื้นที่ ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงมีท้งัหมดจา นวน 37 ศูนย์ต้งัอยใู่นพ้นืที่ 5 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ไดแ้ก่จงัหวดัเชียงใหม่จา นวน 27 ศูนย์ จังหวัดเชียงราย จ านวน 6 ศูนย์ จังหวัดพะเยา จ านวน 1 ศูนย์ จงัหวดัแม่ฮ่องสอน จา นวน 2 ศูนย์ และจังหวัดล าพูน จ านวน 1 ศูนย์ส่วนใหญ่พ้นืที่ศูนยพ์ฒันา โครงการหลวงต้งัอยใู่นเขตป่าลุ่มน้า ช้นั 1 ช้นั 2 เขตป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติและอยใู่นระดบัความสูง จากระดบัน้า ทะเลปานกลางเกินกวา่ 800 เมตร มีสภาพเป็นพ้นืที่หุบเขาหรือพ้นืที่ตามเชิงเขาที่มีความลาดชัน อยใู่นทอ้งถิ่นทุรกนัดารห่างไกลจากชุมชนทวั่ ไปซ่ึงไม่ถูกตอ้งตามกฎหมาย มูลนิธิโครงการหลวงจึงตอ้ง เป็นผขู้ออนุญาตใชป้ระโยชน์พ้นืที่ดงักล่าวจากภาครัฐ และคณะรัฐมนตรีไดพ้จิารณาใหค้วามเห็นชอบแลว้ จึงแต่งต้งัให้เจา้หนา้ที่จากหน่วยงานต่างๆเป็นพนกังานเจา้หนา้ที่ของรัฐเขา้ดา เนินการพฒันาพ้นืที่ศูนยต์ ่างๆ โดยไม่ผดิกฎหมาย ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงทุกศูนยต์อ้งมีการกา หนดขอบเขตพ้นืที่ในแผนที่ภูมิประเทศ 1:50000 ใหช้ดัเจนโดยวงรอบพ้นืที่เป็นแผนที่ลุ่มน้า ขนาดเลก็และใชส้นัเขาเป็นแนวสนั ปันน้า ใหค้รอบคลุม ล าห้วยสาขาที่ไหลผา่นในพ้นืที่และชุมชนหมู่บา้นท้งัหมด การด าเนินงานพฒันาพ้นืที่ศูนยต์ ่างๆท้งั 37 ศูนย์ จะดา เนินการพฒันาภายใตแ้ผนแม่บทศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง ซ่ึงเริ่มจดัทา แผนแม่บทระยะที่ 1 ต้งัแต่ปี พ.ศ. 2540 ถึง 2544 และปัจจุบันได้ด าเนินงานตามแผนแม่บทระยะที่ 2 พ.ศ. 2545 ถึง 2549 ซึ่งได้รับ ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2545 มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับรายได้ของ ประชากรและชุมชนบนที่สูงใหส้ามารถดา รงชีวิตและช่วยเหลือตนเองได้พฒันาคุณภาพชีวติของประชากร และชุมชนบนที่สูง รักษาความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ม ใหม้ีโครงสร้างพ้นืฐานทาง เศรษฐกิจที่จา เป็น และใหเ้กษตรกรในพ้นืที่มีส่วนร่วมในกระบวนการพฒันาเศรษฐกิจสงัคม และ สิ่งแวดลอ้มของชุมชนอยา่งยงั่ยนื ประกอบดว้ย 7 แผนงานหลกัไดแ้ก่แผนงานดา้นการพฒันาและ ส่งเสริมอาชีพ แผนงานดา้นการฟ้ืนฟูและอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติ แผนงานด้านการพัฒนา ปัจจยัพ้นืฐาน แผนงานดา้นการพฒันาสงัคมและชุมชน แผนงานดา้นการป้องกนัและปราบปรามยาเสพติด แผนงานดา้นการตลาดและการขนส่ง และแผนงานดา้นการบริหารจดัการ โดยมีส่วนราชการและ รัฐวสิาหกิจที่เกี่ยวขอ้งเขา้ร่วมดา เนินงาน จา นวน 19 หน่วยงาน ไดแ้ก่กรมชลประทาน กรมปศุสตัว์ กรมประมง กรมอุทยานแห่งชาติสตัวป์่าและพนัธุพ์ชืกรมพฒันาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรม ส่งเสริมสหกรณ์องคก์ารอุตสาหกรรมป่าไม้ สา นกัพฒันาเกษตรที่สูง กรมพฒันาสงัคมและสวสัดิการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สถาบนัวจิยัวทิยาศาสตร์และเทคโนโลยแีห่งประเทศไทย มหาวทิยาลยัแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กรมการปกครอง กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข สา นกังานคณะกรรมการป้องกนัและปราบปรามยาเสพติด และมูลนิธิโครงการหลวง


ภาพที่ 1 ตวัอยา่งแผนที่ภูมิประเทศ 1:50000 แสดงขอบเขตพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงขนุแปะ ที่มา :ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ ส านักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 กรมพัฒนาที่ดิน


ภาพที่ 2 แผนที่แสดงที่ต้งัศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง 37 ศูนย์ ที่มา : ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ ส านักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 กรมพัฒนาที่ดิน 1. การแบ่งกล่มุพน ื้ที่ เพื่อให้การดูแลและการจดัการพ้นืที่ลุ่มน้า ถูกต้องตามหลกัวชิาการไม่ใหเ้กิดการชะลา้งพงัทลายของ ดินและเกิดผลกระทบตอ่สิ่งแวดลอ้ม จึงแบ่งกลุ่มพ้นืที่ของศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงออกเป็น 3 กลุ่ม ตามระดบัความสูงดงัน้ี 1.1 กลุ่มพืน้ที่ศูนย์ที่มีระดับความสูงจากระดับน า้ทะเลเกนิ 1000 เมตร ส่วนใหญ่เป็นพ้นืที่ภูเขาหรือหุบเขาสลบัซบัซอ้นพ้นืที่มีความลาดชนัสูง ลอ้มรอบดว้ยพ้นืที่ป่าไม้ พ้นืที่เพาะปลูกจะเป็นพ้นืที่ราบระหวา่งหุบเขา ตามแนวลา หว้ย หรือพ้นืที่ตามไหล่เขา ดินมีความอุดม สมบูรณ์ปานกลาง มีความเป็นกรดเล็กนอ้ย ปริมาณน้า ฝนโดยเฉลี่ยประมาณ 1,518.5 มิลลิเมตร และมี อากาศหนาวเย็นอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19.7 องศาเซลเซียส ประกอบด้วยศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ท้งัหมดจา นวน 14 ศูนย์ไดแ้ก่อ่างขาง แกนอ้ย ม่อนเงาะ หนองหอย ขนุวาง ปางอุ๋ง อินทนนท์แม่แฮ หว้ยสม้ ป่อย ขนุแปะ แม่โถ แม่ปูนหลวง หว้ยน้า ข่นุและแม่ลานอ้ย เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผา่ กะเหรี่ยง มง้มูเซอ และจีนฮ่อ เนน้การปลูกพชืเพอื่ยงัชีพเอาไวบ้ริโภคเป็นสา คญัเช่น ขา้ว ขา้วไร่ส่วน รายไดท้ ี่สา คญั ไดแ้ก่ ไมผ้ลเมืองหนาว พชืผกัและไมด้อก


1.2 กลุ่มพืน้ที่ศูนย์ที่มีระดับความสูงจากระดับน า้ทะเลระหว่าง 800 ถึง1000 เมตร ส่วนใหญ่เป็นพ้นืที่ภูเขาหรือหุบเขาสลบัซบัซอ้นพ้นืที่มีความลาดชนัสูง ลอ้มรอบดว้ยพ้นืที่ป่าไม้ พ้นืที่เพาะปลูกจะเป็นพ้นืที่ราบระหวา่งหุบเขา ตามแนวลา หว้ย หรือพ้นืที่ตามไหล่เขา ดินมีความอุดม สมบูรณ์ปานกลาง มีความเป็นกรดเล็กนอ้ย ปริมาณน้า ฝนโดยเฉลี่ยประมาณ 1,478.52 มิลลิเมตร และมี อากาศหนาวเย็นอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 21.47 องศาเซลเซียส ประกอบด้วยศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ท้งัหมดจา นวน 8 ศูนย์ไดแ้ก่ ป่าเมี่ยง แม่สาใหม่วดัจนัทร์ ปางดะ ทุ่งหลวง หว้ยน้า ริน หว้ยแลง้และ แม่สะเรียง เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผา่กะเหรี่ยง ลวัะ และคนเมือง 1.3 กลุ่มพืน้ที่ศูนย์ที่มีระดับความสูงจากระดับน า้ทะเลระหว่าง 400 ถึง800 เมตร สภาพพ้นืที่ส่วนใหญ่เป็นพ้นืที่ราบระหวา่งหุบเขา พ้นืที่ลาดเชิงเขา และพ้นืที่บางส่วนเป็นเนินเขา เต้ียๆ สภาพพ้นืที่ป่าเป็นป่าเสื่อมโทรมและแหง้แลง้โดยเฉพาะฤดูหนาวและฤดูร้อน ปริมาณน้า ฝนโดย เฉลี่ยประมาณ 1,402.16 มิลลิเมตร และมีอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 23.6 องศาเซลเซียส ประกอบดว้ยศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงท้งัหมดจา นวน 14 ศูนย์ ไดแ้ก่หว้ยเส้ียว ห้วยลึก หนองเขียว แม่หลอด หมอกจ๋าม ตีนตก แม่ทาเหนือ แม่สะป๊อก ทุ่งเริง ทุ่งเรา พระบาทหว้ยตม้ ปังค่า หว้ยโป่ง และสะโงะ เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผา่กะเหรี่ยง มง้มูเซอ ละวา้จีนฮ่อ และคนเมือง 2. ข้อจา กดัของการทา การเกษตรบนพน ื้ที่สูง 2.1 การท าการเกษตรบนพืน้ที่สูง โครงการหลวง (2539) การทา การเกษตรของชาวเขาในอดีตทา ไร่เลื่อนลอย ตัดไม้ท าลายป่ าเพื่อ ปลูกขา้วและฝิ่น ขา้วน้นั ปลูกไวก้ินส่วนฝิ่นน้นั ปลูกเพอื่เป็นยารักษาโรคและขายเป็นรายไดห้ลกัแต่ฝิ่น เป็นพชืเสพติดที่ก่อใหเ้กิดปัญหามากมาย ฝิ่นเป็นพชืที่ข้ึนไดด้ีในสภาพพ้นืที่สูงทางภาคเหนือของประเทศ ไทย เพราะมีความทนทานต่อความแหง้แลง้และความหนาวเยน็เป็นอยา่งดีไม่ชอบฝนชาวเขาจึงนิยมปลูกกนั ในระหวา่งเดือนกนัยายนถึงเดือนพฤศจิกายนซ่ึงเป็นช่วงปลายฤดูฝน เมื่อเมล็ดงอกเจริญข้ึนมาก็จะไดร้ับ ความช้ืนในดินเพยีงพอที่จะเจริญเติบโตจนออกดอกติดผลในฤดูหนาว ในขณะน้นัอากาศจะแหง้เหมาะที่จะ ทา การกรีดผลฝิ่นใหย้างไหลออกมาแสงแดดและความแหง้ของอากาศจะทา ใหย้างฝิ่นแหง้เร็ว ชาวเขาก็จะ ตามมาขดูเอายางไปรวบรวมไวเ้ป็นฝิ่นดิบ ซ่ึงสามารถเก็บไวไ้ดน้านโดยไม่เสียจึงเหมาะอยา่งยงิ่ที่จะเป็น ผลิตผลเกษตรในเขตทุรกนัดารที่ห่างไกลทางคมนาคม แต่ฝิ่นก็มิไดท้า ใหช้าวเขาร่า รวยเพราะพอ่คาคน้ กลางใหร้าคาต่า แต่นา ไปขายในตลาดโลกในราคาสูงความร่า รวยจึงตกอยทู่ ี่พอ่คา้คนกลาง ส่วนชาวเขามี ความยากจนข้นแค้นเหมือนเดิม ในปี พ.ศ. 2502 สมัยรัฐบาลของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไดม้ีคา สงั่ คณะปฏิวตัิใหม้ีการปราบยาเสพติดอยา่งจริงจงัการแกป้ัญหาที่จะใหช้าวเขาเลิกการปลูกฝิ่นจึงเป็นปัญหาที่ ละเอียดอ่อน และประการสา คญัคือจะตอ้งทา ใหช้าวเขามีรายไดท้ดแทนรายไดจ้ากการปลูกฝิ่น และไม่ เคลื่อนยา้ยทา ลายป่าดว้ยการทา ไร่เลื่อนลอยการปลูกไมผ้ลจึงเป็นหนทางช่วยแกป้ัญหาดงักล่าวได ้แต่ใน


ขณะน้นั (ระหวา่ง พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2508) ทางราชการยงัไม่มีวธิีการที่จะปลูกพชืทดแทนการปลูกฝิ่น ชาวเขาที่ปลูกฝิ่นอยเู่ป็นประจา ทา ผดิกฎหมาย และมีการคา้ฝิ่นเถื่อนอีกดว้ยซ่ึงต่อมาไดก้ลายเป็นปัญหาของ ฝิ่นแปรรูป เช่น เฮโรอีน เป็นปัญหาต่อสงัคมโลก และพ้นืที่ส่วนใหญ่เป็นพ้นืที่ลาดเชิงเขาทา การเกษตร แบบไม่มีมาตรการอนุรักษด์ินและน้า จึงมีปัญหาการชะลา้งพงัทลายของดินสูง 2.2 ประชากรที่อาศัยอยู่บนพืน้ที่สูง ชูสิทธิ์ (2541) ประชากรซ่ึงต้งัถิ่นฐานในบริเวณพ้นืที่สูง ระหวา่ง 500 เมตร ถึง 1,400 เมตร เหนือระดบัน้า ทะเลประกอบดว้ยชาวไทยและชาวเขา ดงัน้นัความสมัพนัธร์ะหวา่งคนกบัระบบนิเวศป่าจึงมี ท้งัคนไทยและชาวเขา ชาวเขาอยใู่นพ้นืที่สูงกว่า 600 เมตร เหนือระดบัน้า ทะเลสา หรับคนไทยอยตู่่า กวา่ ระดบัดงักล่าว ชาวเขาในประเทศไทยมีท้งัหมด 9 เผา่ ไดแ้ก่กะเหรี่ยง แมว้เยา้อีกอ้มูเซอ ลีซอ ลวะ ถิ่น และขมุ ในพ.ศ.2540 มีประชากรจ านวน 774,316 คน แต่ถา้รวมประชากรพ้นืที่สูงชาติพนัธุอ์ื่นๆ ไดแ้ก่จีนฮ่อ ไทยใหญ่ ไทยล้ือ ปล่อง คนไทย และกลุ่มชาติพนัธุอ์ื่นๆดว้ย มีจา นวน 991,122 คน การ อนุรักษร์ะบบนิเวศป่าของชาวเขา เกิดจากแนวความคิดประสบการณ์และการเรียนรู้แล้วสรุปเป็ นบทเรียน หรือแนวทางในการปฏิบตัิท้งัที่เป็นแนวความคิด อุดมการณ์ความเชื่อ หรือลกัษณะของนามธรรมและการ กระทา ต่างๆในชีวติประจา วนัซ่ึงเป็นรูปธรรมสามารถแสดงออกมาเป็นกระบวนการของพฤติกรรมที่สงัเกต ไดแ้ต่แนวความคิดในเรื่องระบบนิเวศของชาวเขาและคนไทย มีศาสนาและระบบความเชื่อแอบแฝงอยู่ ดงัน้นัเมื่อมีความเชื่อดงักล่าวจึงตอ้งมีพธิีกรรมหรือการปฏิบตัิเพอื่ใหเ้กิดความสา เร็จรอดพน้จากวิกฤตการณ์ ต่างๆ เช่น โรคภยัไขเ้จบ็การประกอบอาชีพและสาเหตุอื่นที่มาจากอา นาจเหนือธรรมชาติความเชื่อทาง ศาสนา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คติผีสางเทวดา (Animism) หมายถึง ความเชื่อที่วา่ท้งัสิ่งมีชีวติและ สิ่งไม่มีชีวติมีบุคลิกภาพ ดงัน้นัสิ่งที่มีอา นาจเหนือธรรมชาติดงักล่าว ไดแ้ก่ผสีาง เทวดา ปีศาจ เทพเจา้ วญิญาณ เชื่อวา่อา นาจเหนือธรรมชาติเหล่าน้ีมีพฤติกรรมเหนือมนุษย์แต่อา นาจที่ยงิ่ใหญ่กวา่มนุษยอ์ีก ประเภทหน่ึงเรียกวา่คติถือของขลงัของศกัด์ิสิทธ์ิ(Animatisms) หมายถึงความเชื่อในอ านาจเหนือธรรมชาติ ที่ไม่มีรูปร่างลกัษณะและบุคลิกภาพที่เหมือนมนุษยท์วั่ๆไปอา นาจดงักล่าวอาจอยใู่นตน้ไม้หินและคน เช่น หวัหนา้เผา่มีอา นาจลึกลบัเหนือกวา่บุคคลธรรมดา ซ่ึงวถิีการดา เนินชีวติของชาวเขาเผา่ต่างๆแตกต่างกนั ไปตามลกัษณะทางความเชื่อของเผา่น้นัๆ ท้งัๆที่ชาวเขาแต่ละเผา่มีการประกอบอาชีพทางการเกษตรที่ คลา้ยกนัเมื่อมีหน่วยงานท้งัภาครัฐและเอกชนให้การช่วยเหลือในการพฒันาพ้นืที่และแนะนา ส่งเสริมอาชีพ ทา การเกษตรสมยัใหม่เพอื่การอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติและป้องกนัไม่ใหเ้กิดผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ม น้นัดา เนินการดว้ยความยากลา บากที่จะทา ใหเ้ป็นที่ยอมรับของสงัคมชาวเขาเหล่าน้นั ไดอ้ยา่งรวดเร็วและใช้ ระยะเวลาส้นั ได้ 2.3 ดินบนพืน้ทสีู่งในภาคเหนือ กรมพัฒนาที่ดิน (2539) ได้ส ารวจและรายงานดินบนพ้ืนที่สูง โดยจา แนกเป็นกลุ่มชุดดินที่62 ลักษณะการเกิดและวตัถุตน้ก าเนิดดิน กลุ่มชุดดินน้ีพบอยู่บนสภาพพ้ืนที่ที่เป็นภูเขาสูงชันหรือเป็น


เทือกเขาสลบัซับซ้อน ส่วนใหญ่มีความลาดชันมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์แต่อาจพบดินที่มีลกัษณะแบบ เดียวกนัอยบู่นพ้นืที่ที่มีความลาดชนันอ้ยกวา่ 35 เปอร์เซ็นตป์ะปนอยบู่า้ง บริเวณพ้นืที่เหล่าน้ีควรสงวนไว้ เป็นป่าตามธรรมชาติเพอื่รักษาแหล่งตน้น้า ลา ธาร ลกัษณะและคุณสมบตัิของดินที่พบบนพ้นืที่ที่มีความลาด ชันสูงมีความแตกต่างกันมากข้ึนอยู่กับปัจจยัที่ก่อให้เกิดดินได้แก่วตัถุตน้กา เนิดดินซ่ึงส่วนใหญ่ผุพงั สลายตวัมาจากหินตน้กา เนิด ความสูงต่า และความลาดชนัของพ้นืที่ตลอดจนความลาดเอียงของช้นัหิน พืช พรรณและการใชป้ระโยชน์สภาพภูมิอากาศ ตลอดจนระยะเวลาในการพฒันาของดินเหล่าน้นัดงัน้นัจึง อาจจะพบต้งัแต่ดินต้ืนจนถึงดินลึกหรือพบปะอยใู่นบริเวณเดียวกนัก็ได้เน้ือดินพบต้งัแต่ดินทรายจนถึงดิน เหนียว สีดินต้งัแต่สีน้า ตาลจนถึงแดง ปฏิกิริยาดินต้งัแต่เป็นกรดจดัถึงเป็นด่างแก่ ตลอดจนความอุดม สมบูรณ์ของดินก็จะผนัแปรไปต้งัแต่ต่า จนถึงสูงนอกจากน้ียงัอาจพบเศษหิน กอ้นหินหรือหินโผล่กระจดั กระจายทวั่ ไป โดยพบบริเวณที่เป็นดินเกิดข้ึนเป็นหยอ่มๆ ดงัน้ันการนา ดินที่พบในบริเวณที่มีความลาด ชนัสูงมาใช้ประโยชน์จึงมีปัญหามากจา เป็นตอ้งมีการศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาอย่างจริงจงัเนื่องจาก ขอ้มูลต่างๆเกี่ยวกบัดินบนพ้นืที่สูงชนัมีไม่มากนกัส่วนใหญ่ดินบริเวณที่สูงชนัเกิดข้ึนจากการสลายตวัผุพงั ของหินที่อยชู่้นัล่าง หรือหินที่เคลื่อนย้ายลงมาตามแรงดึงดูดของโลกแล้วมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปจน เกิดเป็นดิน อยา่งไรก็ตามอาจจะพบดินที่พฒันามาจากวตัถุตน้กา เนิดดินที่ถูกพดัพามาทบัถมโดยน้า จาก บริเวณที่สูงชนัไดเ้ช่นกนัท้งัน้ีเกิดข้ึนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกทา ให้เกิดการยกตวั หรือ คืนตวัของเปลือกโลกเกิดเป็นภูเขาข้ึน ทา ใหด้ินที่เคยอยบู่ริเวณที่ต่า ถูกยกตวัสูงข้ึนได้และจะพบวา่ลกัษณะ และคุณสมบตัิของดินในหลายกลุ่มชุดดินไดถู้กจดัรวมอยใู่นกลุ่มชุดดินที่62 ส่วนใหญ่ไดแ้ก่กลุ่มชุดดินที่ 26 27 29 30 31 34 35 36 39 45 46 47 48 50 51 53 55 และ56 โดยในทุกกลุ่มชุดดินที่กล่าวถึงน้ี มีปัญหาหรือขอ้จา กดัที่สา คญั ในการนา มาใชป้ระโยชน์คือ ความลาดชนัสูง ซ่ึงจะก่อให้เกิดการชะลา้ง พงัทลายของดินอย่างรุนแรง นอกจากน้ีก็จะมีปัญหาเฉพาะของแต่ละกลุ่มชุดดินอีกด้วย รายชื่อชุดดิน ประจา หน่วยดิน ที่ลาดชนัเชิงซอ้น (Slope Complex, SC) บรรพต (2548) บรรยายวา่ดินลูกรัง มีสีแดง น้า ตาลแดง การจา แนกในอดีตเรียกตามภาค(Zonal soil) 1) ภูมิอากาศ (Climates) 2) พืชพรรณ (Plants) ซ่ึงเป็นระบบเก่า และเลิกใชไ้ปแลว้พบตามแนว เสน้ศูนยส์ูตร ไดร้ับอิทธิพลจากภูมิอากาศค่อนขา้งมากจาก แสงแดด ความช้ืน อุณหภูมิ(ฝนตกชุก ร้อน ไดร้ับแสงอยา่งเตม็ที่) ดงัน้นัการพฒันาของดินกลุ่มพวกน้ีจึงใชร้ะยะเวลาอยา่งรวดเร็ว มีอายมุากจึงเรียกว่า ดินแก่(Old soil) เป็นการผา่นขบวนการต่างๆ มามาก ไม่วา่จะเป็นทางกายภาพ ชีวภาพ เคมีและเกิดการ สลายตัว (Weathering) มามาก ดินพวกน้ีธาตุอาหารที่เหลืออยู่ในดินน้อย ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่า และดินกลุ่มพวกน้ีมีสีแดง น้า ตาลแดง หรือเหลืองเป็นริ้วเป็ นจุดบนหน้าตัดของดิน สมบตัิของดินทางเคมีจดัวา่อยใู่นสภาพเลว แต่สมบตัิทางกายภาพ (ฟิ สิกส์) ดีคือระบายน้า ไดด้ี เช่น ดินบนพ้ืนที่สูง ท้งัที่ดินในกลุ่มพวกน้ีมีเน้ือดินเหนียว สาเหตุที่ทา ให้กลุ่มดินพวกน้ีระบายน้ าดี เนื่องจากดินพวกน้ีมีลกัษณะเป็นภูเขาเล็กๆ หรือลูกคลื่น (Hilly rolling) หรือลอนลูกคลื่น (Undulating)


การระบายน้า จึงดีเพราะอยบู่นพ้นืที่สูง ในสมยัก่อนทางวิชาการมีชื่อเรียกว่า หินลูกรังต่างๆ(Laterite soils) การจ าแนกดินของ USDA เรียกวา่ ลาโทโซล( Latosols ) ในปัจจุบนัมีการจดักลุ่มใหม่คืออนัดบั 1.) ออกซิโซล ( Oxisols ) 2.) อัลติโซล ( Ultisols ) ขบวนการเกิดดิน (Soil forming processes) จะเห็นว่ามีลกัษณะทางสัณฐานวิทยา (Morphology) ค่อนขา้งซบัซ้อน สร้างความลา บากให้กบัผูศ้ึกษาพอสมควร บางคร้ังแยกแยะออกจากกนั ไดล้า บาก พบ แมก้ระทงั่วา่บางพ้นืที่เกิดจากการขนจากที่หน่ึงไปยงัอีกที่หน่ึง (เพราะดินกลุ่มน้ีถูกขนยา้ยเสมอนิยมขุดแลว้ น าไปถมอีกที่หนึ่ง) ขบวนการสะสมของสารเคมีชนิดหน่ึงของดินกลุ่มน้ีคือ ในรูปของ เหล็กออกไซด์ (Iron Oxide : FeO) และอะลูมินัมออกไซด์ (Aluminum Oxide : AlO) คือการเกิดการสะสมอยา่งมากมาย ของดินกลุ่มน้ีมีสาเหตุมาจากการชะลา้งของน้า ฝนที่ชะลา้งเอาธาตุชนิดอื่น (ธาตุด่าง : Base) เพราะค่อนขา้ง ง่ายทา ให้ถูกชะลา้งแลว้หายไป (ชะลา้งโดยน้า : Leaching) สิ่งที่ตกคา้งยดึอยกู่บัดินคือ FeO และ AlO เพมิ่มากข้ึนเรื่อยๆ จึงมกัพบธาตุFeO และ AlO มากมายสะสมอยู่ แร่ดินเหนียว(Clay mineral) ที่เป็นองคป์ระกอบเป็นแร่ในรูปแบบ 2 ชนิด 1.) แร่ดินเหนียวในกลุ่มออกไซด์(Oxide clay) คือพวก FeO , AlO น้นัเอง 2.) แร่ดินเหนียวในกลุ่มเคโอลิไนค์(Kaolinite) เป็นดินเหนียวที่มีคุณภาพไม่ดีพบมากตามนาข้าว วตัถุที่พบในหนา้ตดัดินพวกน้ีอีกอยา่งคือ ศิลาแลง (Plinthite) เป็นแร่ที่มีสีแดง แดงเขม้คล้า ซ่ึง พบเห็นเสมอเมื่อขุดดินลึกลงไปในกลุ่มดินพวกน้ีขบวนการเกิดเรียกว่าพลินไทเซชนั่( Plinthization ) เพราะฉะน้นัเป็นเรื่องปกติที่ดินพวกน้ีจะมีหนา้ดินลึกบา้ง ต้ืนบา้ง แลว้แต่สภาพพ้นืที่เกิด บางที่อาจลึกเป็น 10 เมตร 2.4 ความลาดชันและความลึกของดิน ม.ร.ว.แซมแจ่มจรัส (2534) อธิบายวา่ความลาดชนัของพ้นืที่และความลึกของดินเป็นอีกปัจจยัหน่ึง ของขอ้จา กดัของการทา การเกษตรบนพ้นืที่สูง เนื่องจากพ้นืที่ราบที่เหมาะสมจะเป็ นที่ราบตามหุบเขาใกล้ล า หว้ยซ่ึงมีอยอู่ยา่งจา กดัส่วนใหญ่จะใชพ้ ้นืที่ดงักล่าวทา นาข้นับนัไดปลูกขา้วเพอื่บริโภค และจะใชพ้ ้ืนที่ลาด เชิงเขาที่มีความลาดชันสูงในการปลูกพืชเพื่อขาย และปลูกในช่วงฤดูฝนเพียงฤดูกาลเดียวเนื่องจากไม่ สามารถจดัระบบส่งน้า ชลประทานเขา้พ้นืที่ดงักล่าวได้ดงัน้นัเมื่อทา การเพาะปลูกพชืในช่วงฤดูฝนในพ้ืนที่ ลาดเชิงเขาที่มีความลาดชันสูง และมีการเปิดพ้ืนที่ไถเตรียมดินเป็นบริเวณกวา้งเมื่อมีฝนตกเม็ดฝนจะตก กระทบกบัผิวหน้าดินโดยตรงจะทา ให้เม็ดดินแตกกระจายและถูกพดัพาออกไปจากพ้ืนที่และปริมาณน้ า ไหลบา่ผวิหนา้ดินไหลมารวมตวักนั ในปริมาณมากและไหลออกจากพ้นืที่อยา่งรวดเร็วและพ้นืที่น้นัมีความ ลาดชนัมากทา ให้เกิดการกดัเซาะผิวดินเป็นร่องขนาดใหญ่ถา้ปล่อยทิ้งไวน้าน อาจทา ให้เกิดความเสียหาย เกิดกระบวนการชะลา้งพงัทลายของดินในรูปแบบอื่นในระดบัที่รุนแรงได้และยากต่อการแกไ้ข


2.5 ปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน สมเจตน์ (2522) ปัจจยัที่ก่อให้เกิดการชะลา้งพงัทลายของดิน มีท้งัปัจจยัจากกิจกรรมการใช้ ที่ดินของมนุษย์และปัจจยัทางธรรมชาติไดแ้ก่สภาพอากาศ ปริมาณน้า ฝน ลกัษณะภูมิประเทศ ความ ลาดชนัของพ้ืนที่ลกัษณะพืชพรรณที่ข้ึนปกคลุมพ้ืนที่คุณสมบตัิของดินและการจดัการที่ดิน ซ่ึงปัจจยั ต่างๆเหล่าน้ีมีผลต่อการสูญเสียอนุภาคของดินจากพ้ืนที่เป็นอยา่งมาก น้า ฝนและน้า ไหลบ่าหน้าดิน เป็น ตวัการที่สา คญัที่ทา ใหเ้กิดกระบวนการชะลา้งพงัทลายของดิน ซ่ึงความรุนแรงของเม็ดฝนทา ใหอ้นุภาคของ ดินแตกกระจาย และน้า ไหลบ่าหน้าดินจะเป็นตวัพดัพาเอาอนุภาคของดินที่แตกกระจายออกไปจากพ้ืนที่ ประเภทของการชะลา้งพงัทลายของดินมีดงัน้ี 1.) การชะล้างแบบแตกกระจาย (Splash erosion) เกิดจากการที่เม็ดฝนตกกระทบผิวหน้าดิน ซ่ึง ไม่มีวสัดุปกคลุมเป็นสาเหตุให้เม็ดดินแตกกระจาย และกระเด็นออกจากที่อยเู่ดิม ไปสะสมรวมตวักนัอยู่ ในอีกพ้นืที่หน่ึง ส่วนใหญ่เกิดข้ึนกบัพ้ืนที่ที่มีการไถพรวนเพื่อเตรียมการเพาะปลูก มีผลทา ให้ผิวหน้าดิน ในบริเวณดงักล่าวแน่นข้ึน และเป็นสาเหตุทา ใหเ้กิดการชะลา้งพงัทลายในรูปแบบอื่นๆตามมา 2.) การชะลา้งพงัทลายแบบแผน่ (Sheet erosion) เกิดจากการที่น้า ไหลบ่าผิวหน้าดินไดพ้ดัพาเอา อนุภาคดินออกไปจากพ้นืที่เป็นลกัษณะแผน่บางๆสม่า เสมอทวั่ท้งัพ้นืที่โดยอตัราการไหลของน้า จะเป็นไป อย่างชา้ๆ ส่วนใหญ่จะพดัพาเอาอนุภาคของดินที่แตกกระจายอยู่แล้วจากอิทธิพลของเม็ดฝน ดังน้ัน การชะลา้งแบบแผน่จึงเป็นการสูญเสียดินในส่วนผิวหน้าดินเป็นแผ่นบางๆทวั่ท้งัพ้ืนที่ส่วนที่เหลืออยจู่ ึง เป็นดินช้นัล่างหรือดินดานที่พลงังานของน้า ไม่สามารถพดัพาออกไปได้ 3.) การชะลา้งพงัทลายแบบร่องขนาดเล็ก(Rill erosion) เป็ นลักษณะของการชะล้างผิวหน้าดิน เป็นร่อง หรือทางน้า ขนาดเล็ก เกิดจากการที่น้า ผิวดินไหลมารวมตวักนัและไหลชะลา้งผิวดินออกจาก พ้นืที่ในอตัราการไหลที่ค่อนขา้งเร็วจึงกดัเซาะดินให้เป็นร่องแลว้ไหลลงสู่พ้ืนที่ที่ต่า กว่า ทา ให้ผิวดินถูก กดัเซาะเป็ นร่องขรุขระ มกัเกิดข้ึนกบัพ้ืนที่เกษตรกรรมที่มีการไถพรวน และการซึมผา่นน้า ของดินไม่ดี 4.) การชะล้างพังทลายแบบร่องลึก (Gully erosion) เป็ นลกัษณะของการชะลา้งพงัทลายของพ้ืนที่จน เป็นร่องน้า ขนาดใหญ่ซ่ึงเกิดจากการที่น้า ไหลบ่าผิวหน้าดินไหลมารวมตวักนั ในปริมาณมาก และไหล ออกจากพ้นืที่อยา่งรวดเร็ว และพ้นืที่น้นัมีความลาดชนัมากทา ให้เกิดการกดัเซาะผิวดินเป็นร่องขนาดใหญ่ ถา้ปล่อยไวน้านอาจทา ใหพ้ ้นืที่เกิดความเสียหาย และยากต่อการแกไ้ข มกัพบในพ้นืที่เกษตรกรรม 3. การป้ องกันการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่เกษตรกรรม ม.ร.ว.แซมแจ่มจรัส (2534 ) การเลือกใชป้ระโยชน์ที่ดินในพ้นืที่ที่มีความลาดชนัสูงดงักล่าวจา เป็น ตอ้งพจิารณาอยา่งละเอียดรอบคอบในการเพาะปลูกพชืใหม้ีความเหมาะสมกบัลกัษณะสภาพพ้นืที่เพอื่ลด ความรุนแรงของการชะลา้งพงัทลายของดินและผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดลอ้มดงัน้ี


1.) ดินลึกมาก (มากกวา่ช่วงแขน) ความลาดชนัของพ้นืที่ที่ราบใชท้า นาขา้ว ที่ชนันอ้ยใชป้ลูกพชื ลม้ลุกเช่น พชืผกัและพชืไร่ที่ชนั ใชป้ลูกไมย้นืตน้เช่น ไมผ้ล และที่ชนัมากใชเ้ป็นพ้นืที่ป่าไม้ 2.) ดินลึก (มากกวา่ขอ้ศอก) ความลาดชนัของพน้ืที่ที่ราบใชท้า นาขา้ว ที่ชนันอ้ยใชป้ลูกพืชล้มลุก เช่น พืชผกัและพชืไร่ที่ชนั ใชป้ลูกไมย้นืตน้เช่น ไมผ้ล และที่ชนัมากใชเ้ป็นพ้นืที่ป่าไม้ 3.) ดินต้ืน (เท่าขอ้ศอก) ความลาดชนัของพ้นืที่ที่ราบใชป้ลูกพชืลม้ลุกเช่น พชืผกัที่ชนันอ้ยใช้ ปลูกพชืลม้ลุกเช่น พชืไร่ที่ชนั ใชเ้ป็นทุ่งหญา้และที่ชนัมากใชเ้ป็นพ้นืที่ป่าไม้ 4.) ดินต้ืนมาก(นอ้ยกวา่ขอ้ศอก) ความลาดชนัของพ้นืที่ที่ราบใชเ้ป็นทุ่งหญา้ที่ชนันอ้ยใชเ้ป็นทุ่ง หญา้ที่ชนั ใชเ้ป็นพ้นืที่ป่าไม้และที่ชนัมากใชเ้ป็นพ้นืที่ป่าไม้ ภาพที่ 3 แบบจ าลองแม้วตกดอย นารี(2527) วธิีการอนุรักษด์ินและน้า เพอื่ใหด้ินมีประสิทธิภาพในการใหผ้ลผลิตสูงน้นัทา ไดโ้ดย การปฏิบตัิทวั่ๆไปเพอื่ทา การเกษตรกรรมที่ถูกตอ้ง ตวัอยา่งเช่น การไถพรวน การใชท้ ี่ดิน การใส่ปุ๋ย และ การใหน้ ้า เป็นตน้ ส่วนอีกวธิีหน่ึงก็คือ การปฏิบตัิเสริมดว้ยเทคนิคพิเศษต่างๆ เพื่อการอนุรักษด์ินและน้า เฉพาะลงไป หรือเรียกวา่ Supporting practices เช่นการทา ข้นับนัไดเป็ นต้น 1.) วธิีการทวั่ ไปเพอื่ทา การเกษตรกรรมที่ถูกตอ้ง 1.1) การใช้ที่ดิน (Land use) มีผลต่อการใหผ้ลผลิตพชืของดิน และการพงัทลาย ซ่ึงการใชท้ ี่ดินน้ี จ าเป็ นต้องอาศัยการจ าแนกสมรรถนะของดิน


1.2 ) การเขตกรรม (Tillage practice) หมายถึงการปฏิบตัิการใดๆก็ตามที่จะทา ใหด้ินอยใู่นสภาพที่ เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ป้องกนัและกา จดัวชัพืช ทา ให้ดินมีการซึมน้า ดีและถ่ายเทอากาศดี ด้วย ในขณะเดียวกนัถา้ทา การเขตกรรมโดยไม่คา นึงถึง สภาพภูมิประเทศ อากาศ ดิน และพืชที่จะปลูก แลว้จะมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดดินเสื่อม (Soil deterioration) อันเนื่องมาจากการพังทลายของดินและ สูญเสียโครงสร้างที่ดีของดินไป ความเขา้ใจของคนไทยทวั่ ไปแลว้จะเขา้ใจว่าการเขตกรรมก็คือ การทา ให้ ดินแตกเป็นกอ้น และพลิกดินบนลงไปขา้งล่างเท่าน้ันซ่ึงในขณะน้ีการเขตกรรมจะตอ้งมีหลกัเกณฑแ์นว ปฏิบตัิเพอื่การอนุรักษด์ินและน้า ไปดว้ย 1.3 ) ธาตุอาหารพืช (Plant nutrient) หนา้ที่ของธาตุอาหารพชืต่อการอนุรักษด์ิน ก็คือ พืชที่มีการ เจริญเติบโตดีก็จะสามารถป้องกนัและลดการพงัทลายของดินได้เป็นการป้องกนัการกระแทกของเม็ดฝน ต่อดิน ทา ใหด้ินมีโครงสร้างดีใหอ้ินทรียวตัถุกบัดินท้งัใบและรากทา ให้คงทนต่อการกดัเซาะไดด้ีดงัน้ัน จึงจ าเป็ นที่จะต้องบ ารุงให้พืชมีการเจริญเติบโตดี โดยปกติแล้วการปลูกพืช เก็บผลผลิต การชะลา้ง การ สูญเสียดิน และการที่ธาตุบางอยา่งถูกตรึง ธาตุไนโตรเจน และซัลเฟอร์สูญหายไปโดยการระเหยน้ันจะ ทา ใหป้ริมาณที่เป็นประโยชน์ไดข้องธาตุอาหารพชืลดน้อยลง จึงจา เป็นจะตอ้งเพิ่มลงไปในดิน การเพิ่มน้ี จะเพมิ่ในรูปของปุ๋ยตามสดัส่วนของธาตุอาหารพชืที่ขาดไปใหพ้อเพยีงกบัพืชตอ้งการ ซ่ึงการที่จะทราบถึง ความตอ้งการธาตุอาหารพืชในดินและพืชแต่ละชนิดน้ัน สามารถจะทา ไดโ้ดยการทดสอบในสนามโดย ปลูกพชืแต่ละชนิดกบั ปุ๋ยเกรด และจา นวนต่างๆเพอื่ดูการตอบสนองของพชืต่อปุ๋ยน้นัๆ และอีกวิธีหน่ึงโดย การวิเคราะห์ดิน เพื่อทราบปริมาณธาตุอาหารพชืที่มีอยใู่นดินน้นัหรืออาจจะทา การวเิคราะห์พชืก็ได้ 1.4 ) การจดัการน้า ( Water management) การป้องกนัการพงัทลายของดิน โดยทางที่ให้น้า ใน ดินอยใู่นสภาพที่พอเหมาะ โดยการลดปริมาณของน้า บ่า และความเร็วของการไหลปริมาณความช้ืนในดิน ที่พอเหมาะ จะเป็นการป้องกันการพงัทลายท้งัน้ าและลม และยงัทา ให้จุลินทรียใ์นดินเจริญเติบโต มี กิจกรรมดีทา ใหด้ินจบักนัเป็นกอ้น ทา ให้ดินมีความพรุนพอดีและยงัตา้นทานต่อการกดัเซาะและพดัพา ได้เนื่องจากความพรุนของดินและโครงสร้างที่คงทน ทา ให้การซึมน้ าดีปริมาณของพืชคลุมดินช่วยลด ความเร็วของน้า บ่าไดด้ี 1.5 ) การจัดการอินทรียวัตถุ (Organic matter management) อินทรียวตัถุเป็นแหล่งพลงังานและ คาร์บอนแก่จุลินทรียใ์นดินท้งัยงัทา ให้ดินจบัตวัเป็นเม็ดดิน (Aggregate) และทา ให้คงทนต่อน้ าอีกด้วย นอกจากน้ียงัเพมิ่ความพรุนในดิน การถ่ายเทอากาศและความจุของการแทรกซึมและความจุของการซาบ ซึมลง ซ่ึงจะช่วยลดปริมาณน้า บ่าและการพงัทลายได้พืชคลุมดินจะช่วยป้องกนัการกระแทกของเม็ดฝน และลม นอกจากน้ีการสลายตวัของอินทรียวตัถุยงัใหธ้าตุอาหารพชืแก่ดินอีกดว้ย


2.) การอนุรักษ์ดินโดยใช้วิธีการพเิศษเฉพาะอยา่ง 2.1) การคลุมดิน (Mulching) โดยใชเ้ศษเหลือของพชืจะทา ใหม้ีการซึมน้า มากข้ึน และลดปริมาณ น้า บ่า และลดการสูญเสียดินได้การคลุมดินน้นัมีผลท้งัทางกายภาพ ทางเคมีและทางชีวภาพ แต่ก็มีบาง จุดที่มีผลเสียซ่ึงควรพจิารณาก่อนการคลุมดิน 2.2 ) การปลูกพืชตามแนวระดับ (Contouring) ก็คือการไถพรวน หว่าน ปลูก และเก็บเกี่ยวพืช ขนานไปกบัแนวระดบัของพ้นืที่ซ่ึงขวางความลาดเท มีวตัถุประสงคเ์พอื่ลดปริมาณของน้า บ่า และลดการ พังทลายของดิน เนื่องจากการเขตกรรมและการปลูกพืชขวางความลาดเท หรือตัดขวางทิศทางของการไหล ของน้า การตกตะกอนของดินที่เพมิ่มากข้ึน และเวลาการซึมน้า จะเพมิ่มากข้ึนตามไปดว้ย 2.3) การปลูกพืชสลับเป็ นแถบ (Strip cropping) การปลูกพืชสลบัเป็นแถบบนพ้ืนที่ที่มีความลาด เท โดยกา หนดพชืสลบักนัซ่ึงควรจะเป็นพชืพวกที่ปลูกเป็นแถว(Interfiled row crops) และพืชที่เจริญคลุม พ้ืนดิน (Close-growing crop) ซ่ึงการปลูกพืชสลับกันน้ีจะตดัขวางความลาดเทของพ้ืนที่เพื่อจะลด ความเร็วของการไหลของน้า บ่า ทา ใหด้ินซ่ึงถูกพดัพามาจากแถวพืช (Row crop ) ตกตะกอน ช่วยลดอตัรา การเกิดการชะล้างพงัทลายแบบแผ่น (Sheet erosion) ซ่ึงจะไม่ก่อให้เกิดการชะล้างพังทลายแบบร่ องลึก (Gully erosion) ได้ สมยศ (2522) กล่าวว่าความจา เป็นของระบบการทา ข้นับนั ไดปลูกพืช ในบรรดาปัจจยัต่างๆ 4 ประการที่มีผลต่อการพงัทลายของดิน คือ น้า ฝน ดิน ความลาดชันและการใช้ประโยชน์ที่ดิน มีเพียง ปัจจัยเดียวเท่าน้ัน คือ ความลาดชันที่เกษตรกรสามารถเปลี่ยนแปลงได้เพื่อลดอัตราการสูญเสียดิน ปริมาณน้า ฝน และชนิดดินเป็นปัจจยัซ่ึงไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้ส่วนการใชป้ระโยชน์ที่ดิน เช่นเปลี่ยนจากพ้นืที่เพาะปลูกไปเป็นทุ่งหญา้หรือป่าไมก้ ็ไม่เป็นที่ปรารถนาของเกษตรกร เนื่องจากพ้ืนที่ การเกษตรมีน้อย เกษตรกรจา เป็นตอ้งใช้พ้ืนที่ท้งัหมดในการเพาะปลูก เพื่อความอยู่รอดของเขาเอง เนื่องจากพ้นืที่ลุ่มน้า ในภาคเหนือของประเทศไทย มีความลาดชนัจดัและมีฝนตกในอตัราสูงการใชพ้ชืเป็น มาตรการอนุรักษเ์พยีงอยา่งเดียว เช่นการปลูกพชืตามแนวระดบัขอบเขา หรือปลูกพืชเป็นริ้วสลบัจึงไม่มี ประสิทธิภาพเพยีงพอในการป้องกนัการพงัทลายของดิน การใชพ้ ืชเป็นมาตรการอนุรักษ์จะไดผ้ลเฉพาะ พ้ืนที่ซ่ึงมีความลาดชันต่า กว่า 15 เปอร์เซ็นต์หรือใช้ควบคู่กับมาตรการอนุรักษ์อื่นๆ ในการ เปลี่ยนแปลงความลาดชนัเพื่อลดความรุนแรงของปริมาณน้า ไหลบ่าหน้าดินและการพงัทลายของดิน มีโครงสร้างในทางวิศวกรรมหลายอยา่ง ที่สามารถนา มาใชเ้พื่อให้บรรลุเป้าหมายดงักล่าวได้เช่น สร้าง กา แพง คูน้า หรือคนัดิน ขวางไปตามแนวระดบัขอบเขา อยา่งไรก็ตามมาตรการที่ดีที่สุดก็คือ การปรับ ที่ดินใหร้าบหรือค่อนขา้งราบเป็นชุดติดต่อกนัขวางไปตามความลาดชนัเนื่องจากที่ราบสามารถใชไ้ดท้ ้งัใน การเพาะปลูก และขณะเดียวกนัก็สามารถสกดัก้นัน้า ที่ไหลบ่ามา และระบายออกทิ้งไปได้ถา้ไดร้ับการ จัดการที่ถูกต้อง การสร้างมาตรการอนุรักษ์โดยวิธีน้ีเป็นที่รู้จกักนัทวั่ ไปโดยเรียกกนัวา่เป็น ข้นับนั ไดปลูก พชืการสร้างข้นับนัไดปลูกพชืไม่ใช่สิ่งใหม่ในประเทศแถบเอเชีย ตวัอยา่งเช่น นาขา้วก็เป็นวิธีหน่ึงที่


ใชป้ลูกขา้วกนัทวั่ ไปนบัเป็นพนัๆปีมาแลว้เพยีงแต่เป็นวธิีซ่ึงไม่อาจใชส้า หรับทุกๆแห่งได้ดงัน้ันจึงมีการ พฒันามาตรการอนุรักษ์อื่นๆ ซ่ึงมีพ้ืนฐานเช่นเดียวกบัการทา นาขา้ว มาใชใ้ห้เหมาะสมกบัชนิดพืช และ สิ่งแวดลอ้มอื่นๆ 1.) ข้นับนัไดแบบติดต่อ แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ ข้นับนัไดราบ ข้นับนัไดที่ลาดเทออกดา้นนอก และข้นับนัไดแบบลาดเทเขา้ดา้นใน นาขา้วจะเป็นตวัอยา่งสา หรับชนิดแรก และข้นับนั ไดในประเทศแถบ ก่ึงแห้งแลง้จะเป็นแบบที่สอง ส่วนข้นับนั ไดในประเทศร้อน-ชุ่มช้ืน ซ่ึงมีการระบายน้า ที่ดีก็เป็นตวัอยา่ง สา หรับชนิดที่สาม นาขา้วจะพบเห็นทวั่ๆไป ตามหุบเขาหรือเชิงเขา ซ่ึงมีน้า สามารถให้น้า ชลประทานได้ แต่การทา ข้นับนัไดแบบลาดเทเขา้ดา้นในสา หรับปลูกพชืค่อนขา้งจะเป็นของใหม่สา หรับประเทศไทย บาง ทีก็เรียกวา่เป็นแบบระบายน้า ดว้ย ซ่ึงเป็นแบบที่เหมาะสมมากภายใตส้ภาวะภูมิอากาศแถบน้ีความลาดเท เขา้ดา้นในของข้นับนัไดจะมีประมาณ 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์แลว้แต่ความกวา้ง และข้นับนั ไดจะลาดเทไป ด้านข้างตามแนวระดับหรือแนวขอบเขาประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์การมีความลาดเทไปท้งัสองดา้นเช่นน้ี ปริมาณน้า ที่ไหลบ่ามาจากฝนตกหนักๆจะถูกสกดัก้นั ไวใ้นสุดของข้นับนั ได แลว้ค่อยๆระบายออกจาก ข้นับนั ไดไปสู่ทางระบายน้ า ในอัตราที่ไม่ก่อให้เกิดการพงัทลายของดินได้ข้นับนั ไดแบบติดต่อเป็น มาตรการอนุรักษท์ ี่ยงุ่ยาก แต่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกนัดินพงัทลาย และยงัมีประโยชน์หลาย ประการ รวมท้งัความสะดวกในการเพาะปลูก และเพิ่มผลผลิตสา หรับพืชที่ตอ้งการระบบชลประทาน หรือพชืผกัต่างๆข้นับนัไดแบบน้ีจะดีและเหมาะสมที่สุดในทางปฏิบตัิเราสามารถสร้างข้นับนั ไดแบบน้ีได้ บนพ้นืที่ลาดชนัถึง 30 เปอร์เซ็นต์ไม่วา่ดินชนิดใดๆอยา่งไรก็ตามปัญหาสา คญัอยทู่ ี่ค่าใชจ้่ายและแรงงาน ในการก่อสร้าง และบางทีมีปัญหาเกี่ยวกบัความลึกของดินดว้ย 2.) คูรับน้า ขอบเขา หรือข้นับนั ไดขอบเขา เป็นข้นับนั ไดชนิดลาดเทกลบัเขา้ด้านใน สร้างไม่ ติดต่อกนัและมีความกวา้งเพียง 2 เมตร สร้างขวางความลาดชันเพื่อตัดความยาวของความลาดชันให้มี ช่วงส้นัๆ ลดความรุนแรงของการไหลบ่าหน้าดิน สามารถระบายน้า ออกไดจ้ึงลดอตัราการพงัทลายของ ดินอยา่งมาก ระยะห่างของคูดงักล่าว จะข้ึนอยกู่บัความลาดชนัของพ้ืนที่ข้นับนั ไดที่ดดัแปลงมาเป็นคูรับ น้า ขอบเขาน้ีไม่เพียงแต่เป็นคูรับและระบายน้ าเท่าน้ัน แต่ขณะเดียวกนัอาจใชเ้ป็นถนนหรือทางขนส่ง ภายในไร่นาไดด้ว้ย และถา้จา เป็นก็อาจใชป้ลูกพชืไดด้ว้ย โดยเวน้ระยะไวป้ระมาณ 25 ถึง 36 เซนติเมตร ดา้นในสุด เพอื่เป็นทางระบายน้า การสร้างคูรับน้า แบบน้ีจะมีประโยชน์มากกว่าการขุดคูตามระดบัขอบ เขาตามธรรมดา พ้นืที่เพาะปลูกตามระหวา่งคูรับน้า ขอบเขาควรใชม้าตรการอนุรักษฯ์ โดยใชพ้ ืชควบคู่ไป ดว้ย เช่น ปลูกตามแนวระดับขอบเขา ปลูกให้ถี่ใช้ซากพืชคลุมดิน หรือปลูกพืชคลุมดินเป็นตน้วิธีน้ี เหมาะอยา่งยงิ่สา หรับพชืก่ึงถาวร ความลาดชนัของพ้นืที่35 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ 3.) คันดินขอบเขา เป็ นคันดินสูงประมาณ 50 เซนติเมตร สร้างขวางความลาดชันยาวไปตาม แนวระดับขอบเขา หรือลดระดับเล็กน้อย เพื่อลดความรุนแรงของการไหลบ่าหน้าดิน และการสูญเสีย ดินจากช่วงขา้งบน คนัดินโดยทวั่ ไปจะมีสองชนิดคือ คนัดินถี่ๆ (Close bunds) และคันดินตามธรรมดา


(Regulars bunds) ชนิดแรกออกแบบสร้างเพอื่วา่หลงัจากสร้างแลว้ 2 ถึง 3 ปีใชพ้ ้ืนที่เพาะปลูกระหว่าง คนัดินและจะค่อยๆแปรสภาพพ้ืนที่เพาะปลูกมาเป็นข้นับนั ไดแบบที่ราบได้ชนิดหลังสร้างเพื่อลดการ พงัทลายของดินเท่าน้นัระยะห่างในแนวดิ่งของ คนัดินถี่ๆ จะมีประมาณ 1 เมตร และคันแบบธรรมดา ประมาณ 2 เมตร ความลาดชนัของพ้นืที่10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ 4.) ข้นับนัไดแบบเวน้หรือแบบเปลี่ยนได้ที่จริงแลว้เป็นข้นับนัไดแบบติดต่อกนัเพยีงแต่จะตอ้ง สร้างให้เสร็จภายในเวลาหลายปีหลังจากทา การปักระดับวางเคา้โครงข้ันบนั ไดแล้วจะทา การสร้าง ข้นับนัได 1 ใน 3 เท่าน้นัคือ สร้าง 1 ข้นัเวน้ไว้2 ข้นัซ่ึงสามารถใชเ้พาะปลูกไดต้ามปกติข้นับนั ได ที่สร้างจะรองรับน้า ไหลบ่าจากช่วงบน ลดอตัราการพงัทลายของดินได้ข้นับนั ไดชนิดน้ีอาจสร้างข้ึนมา ใช้และแปรเปลี่ยนได้ถ้าปลูกพืชล้มลุกบนข้ันบนั ไดและปลูกไม้ผลระหว่างข้นับนั ได หากเกษตรกร ตอ้งการปลูกพชือาหารหลกัเพมิ่ข้ึนในอนาคต เขาอาจเปลี่ยนสภาพความลาดชนัมาเป็นข้นับนั ไดได้หรือ เขาอาจปลูกไมผ้ลบนข้นับนั ไดเพิ่มข้ึนก็ไดถ้า้หากว่าเขาตอ้งการลงทุนน้อย อาจเนื่องมาจากไม่มีแรงงาน หรืออายุมากข้ึน การทา ข้ันบันไดแบบน้ีเหมาะสมในการทา ไร่นาผสม ความลาดชันของพ้ืนที่35 เปอร์เซ็นต์ 5.) ข้นับนั ไดปลูกไมผ้ล เป็นข้นับนั ไดแบบแคบๆ ซ่ึงสร้างไม่ติดต่อกนัมีความกวา้งประมาณ 1.75 เมตรเท่าน้ัน สร้างบนพ้ืนที่ลาดชนัจดัและเวา้ระยะห่างไวต้ามระยะการปลูกไมผ้ล เนื่องจากความ ลาดชนัสูง พ้ืนที่ระหว่างข้นับนั ไดจึงควรมีพืชคลุมที่ถาวร เช่น หญา้หรือถั่วต่างๆเพื่อลดการพงทลายั ของดิน ไมผ้ลอาจปลูกไดท้ ้งับนข้นับนั ได หรือในหลุมเฉพาะตน้ (Individual basins) ซ่ึงอยรู่ะหว่าง ข้นับนัไดถา้วางแผนไดถู้กตอ้ง ตน้ ไมผ้ลจะมีระยะห่างเท่าๆกนัข้นับนั ไดไม่ไดท้า ให้เสียพ้ืนที่เพาะปลูก เลย ความลาดชนัของพ้นืที่35 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ 4. ผลการศึกษาวจิยัทเี่กยี่วกบัมาตรการอนุรักษ ์ ดนิและน า้ ไชยสิทธิ์(2538) ได้ท าการศึกษาวิจยัเรื่องการจดัการพ้ืนที่ลาดชนัเพื่อการเกษตรแบบยนืยงในเขต ภาคเหนือของประเทศไทย ซ่ึงไดด้า เนินการต้งัแต่ปีพ.ศ. 2533 ถึง 2537 ณ พ้ืนที่โครงการพฒันาดอย ตุง จ.เชียงราย พบวา่มาตรการอนุรักษด์ินและน้า โดยใชแ้ถบของกระถินผสมมะแฮะ (Alley cropping) และ มาตรการจดัทา คูรับน้า ขอบเขา (Hillside ditch) สามารถลดอตัราน้า ไหลบ่าได้52 และ 64 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกบัวธิีการที่ไม่มีมาตรการอนุรักษด์ินและน้า (ปริมาณน้า ไหลบ่า 108 และ 79 ลูกบาศก์เมตร ต่อไร่ต่อปีเปรียบเทียบกบั 222.8 ลูกบาศกเ์มตรต่อไร่ต่อปี) สามารถลดปริมาณการสูญเสียดินได้ 82 และ 94 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกบัวิธีการที่ไม่มีมาตรการอนุรักษด์ินและน้า (ปริมาณการสูญเสียดิน 4.8 และ 1.5 ตันต่อไร่ต่อปี เปรียบเทียบกบั 27.4 ตันต่อไร่ต่อปี) และผลผลิตของขา้วไร่ที่ปลูกในพ้ืนที่ที่มีการจดัทา มาตรการอนุรักษ์ดินและน้ าท้งั 2 มาตรการ ไม่แตกต่างกนักับวิธีการที่ไม่มีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ า ถึงแมจ้ะมีการสูญเสียพ้ืนที่ไปบางส่วนในการจดัทา มาตรการอนุรักษด์ินและน้ า และจากการเปรียบเทียบ


มาตรการอนุรักษด์ินและน้า โดยใชแ้ถบของกระถินผสมมะแฮะ และคูรับน้า ขอบเขา พบว่าปริมาณน้า ไหล บ่า ปริมาณการสูญเสียดิน และผลผลิตของขา้วไร่จากท้งั 2 มาตรการไม่แตกต่างกนั และ อุทิศ(2547) ได้ท าการศึกษาวิจยัเรื่องการศึกษาเปรียบเทียบมาตรการอนุรักษด์ินและน้า บน พ้ืนที่ลาดชันสูง ซ่ึงไดด้า เนินการต้งัแต่ปีพ.ศ. 2544 ถึง 2546 บา้นบวกจนั่ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ. เชียงใหม่พบว่ามาตรการอนุรักษด์ินและน้ า โดยการจดัทา ข้นับนั ไดไมผ้ลแบบระดับ (Orchard hillside terrace) การจดัทา คูรับน้า ขอบเขาแบบระดบั (Level hillside ditch) การจดัทา คูรับน้า ขอบเขาแบบลดระดบั (Graded hillside ditch) และการจัดท าแถบหญ้าแฝก (Vetiver grass strip) สามารถลดการสูญเสียดินได้ 91 91 69 และ 58 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกบัวิธีการที่ไม่มีมาตรการอนุรักษด์ินและน้า (ปริมาณการ สูญเสียดิน 220 237 788 และ 1,053 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีเปรียบเทียบกบั 2,502 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี) และ ผลผลิตของขา้วโพดที่ปลูกในพ้นืที่มีการจดัทา มาตรการอนุรักษด์ินและน้า ในวิธีการต่าง ๆ จะไม่แตกต่าง กนัทางสถิติถึงแม้ว่ามาตรการอนุรักษ์ดินและน้ าที่ทา การศึกษา จะทา ให้มีการสูญเสียพ้ืนที่เพื่อจัดท า มาตรการฯ 13 ถึง 17 เปอร์เซ็นต์และจะมีผลผลิตขา้วโพดน้อยกว่าวิธีการที่ไม่มีการเสียพ้ืนที่เพื่อการ จดัทา มาตรการอนุรักษด์ินและน้ า แต่จะมีผลผลิตน้อยกว่าเพียง 7 ถึง 11 เปอร์เซ็นต์เท่าน้ัน การจดัทา มาตรการอนุรักษด์ินและน้า จะมีผลดีต่อการใชป้ระโยชน์ที่ดินต่อเนื่องต่อไปในระยะยาวการจดัทา ระบบ อนุรักษด์ินและน้ าโดยเฉพาะมาตรการวิธีกลจะสามารถใชพ้ ้ืนที่ที่สูญเสียไปจากการทา มาตรการฯนา มา ปลูกไมผ้ลอยบู่นระบบอนุรักษฯ์ไดอ้ีก และการเจริญเติบโตของไมผ้ลดา้นต่างๆ จะดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบ กบัวธิีการที่ไม่มีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้า การปลูกพชืไร่หรือพชืเศรษฐกิจอื่นๆ ดงัเช่น พชืผกัและไมผ้ล ในพ้ืนที่ที่ไดจ้ดัทา มาตรการอนุรักษด์ินและน้า การปลูกพืชที่มีอายสุ้ันและมีผลตอบแทนที่ดีและสามารถ ปลูกไดห้ลายคร้ังต่อปีประกอบกบัการปลูกไมผ้ลที่ดูแลรักษาไดง้่าย มีความทนทานมาปลูกเสริมในระบบ อนุรักษด์ินและน้า จะทา ใหม้ีผลตอบแทนต่อพ้นืที่ที่ดีข้ึนท้งัในระยะส้นัและระยะยาว


บทที่ 3 การคัดเลือกพื้นที่และการส ารวจออกแบบ พ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงมีการกา หนดเขตพ้นืที่เป็นพ้นืที่ลุ่มน้า ขนาดเล็ก เพอื่ประโยชน์ใน การบริหารจดัการในการพฒันาพ้นืที่และการควบคุมชุมชนชาวเขาที่ต้งัถิ่นฐานอยอู่ยา่งกระจดักระจายทวั่ ไป ในพ้นืที่และรู้ขอบเขตพ้นืที่รับผดิชอบมีอาณาเขตจากไหนถึงไหนโดยใชส้นัเขาเป็นขอบเขต พ้ืนที่ดงักล่าว จะประกอบไปดว้ยพ้นืที่ป่าไม้พ้นืที่แหล่งน้า ลา ธาร พ้นืที่การเกษตร พ้นืที่หมู่บา้น และเสน้ทางคมนาคม การเขา้ดา เนินการพฒันาพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงต่างๆ ตามแผนงานด้านการพัฒนาและส่งเสริม อาชีพ แผนงานดา้นการพฒันาปัจจยัพ้นืฐาน แผนงานดา้นการฟ้ืนฟูและอนุรักษท์รัพยากรธรรมชาติน้นัจะมี วิธีการด าเนินงานดงัน้ี 1. การส ารวจคัดเลือกพื้นที่ ศูนยป์ฏิบตัิการโครงการหลวงภาคเหนือจะเขา้ดา เนินการสา รวจคดัเลือกพ้นืที่ทา การเกษตร เพื่อท า การพฒันาพ้นืที่ดว้ยวธิีการจดัระบบอนุรักษด์ินและน้า ใหม้ีความเหมาะสมต่อการเพาะปลูกพชืและลด ปัญหาการชะลา้งพงัทลายของดิน โดยจะทา การสา รวจคดัเลือกพ้นืที่ร่วมกบัเจา้หนา้ที่ศูนยพ์ฒันาโครงการ หลวง คณะกรรมการหมู่บา้น และกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายเพื่อใหไ้ดพ้ ้นืที่ที่มีความเหมาะสมส าหรับการใช้ ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเพาะปลูกพืชโดยวธิีการจดัระบบอนุรักษด์ินและน้า 1.1 อุปกรณ์และเครื่องมือ เป็นสิ่งสา คญัและจา เป็นสา หรับที่ใชป้ระกอบการพจิารณาสา รวจคดัเลือกพ้นืที่ดา เนินการพฒันาได้ สะดวกรวดเร็วประหยดัเวลาและค่าใชจ้่าย อุปกรณ์และเครื่องมือมีดงัน้ี 1.) แผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:50000 ช่วยในการพจิารณาสภาพทวั่ ไปของพ้นืที่ไดอ้ยา่งทวั่ถึง เกี่ยวกบัลกัษณะความสูงของพ้นืที่ความลาดชนัของพ้นืที่ลกัษณะทางน้า หรือลา หว้ย เสน้ทางคมนาคม และที่สา คญัยงัมีเสน้กริกสามารถบอกตา แหน่งพน้ืที่ที่ทา การคดัเลือกได้ 2.) ภาพถ่ายทางอากาศขาวดา มาตราส่วน 1:15000 และภาพถ่ายทางอากาศสีมาตราส่วน 1:25000 เป็นภาพถ่ายมุมสูงของลกัษณะภูมิประเทศจากเครื่องบิน สามารถมองเห็นพ้นืที่ป่า ลา หว้ย พ้นืที่การเกษตร และเสน้ทางคมนาคมไดอ้ยา่งชดัเจน 3.) ภาพถ่ายดาวเทียมไอโคน็อส ( Ikonos ) เป็นภาพถ่ายที่สามารถเลือกช่วงเวลาและขนาดของ ภาพใหค้รอบคลุมบริเวณพ้นืที่ที่ตอ้งการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของการใชป้ระโยชน์พ้นืที่ไดเ้ป็นอยา่งดี 4.) เข็มทิศ เป็ นเครื่องมือใช้ประกอบแผนที่ภูมิประเทศ 1:50000 เพอื่ใชก้า หนดทิศทางในการอ่าน แผนที่ได้ถูกต้องแม่นยา ยงิ่ข้ึน


5.) กลอ้งระดบัแบบมือถือ เป็นเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบความลาดชนัของพ้นืที่ไดอ้ยา่งรวดเร็ว 6.) เครื่องกา หนดตา แหน่งพกิดับนพ้นืโลกใชด้าวเทียม ( Global Positioning System : GPS) เป็ น เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใชอ้่านตา แหน่งพกิดับนพ้นืโลกใชดาวเทียมในบริเวณที่ต้องการทราบ และเมื่อ ้ ไดค้่าตา แหน่งพกิดัพ้นืที่ที่ตอ้งการแลว้ สามารถนา ค่าพกิดัทอี่่านไดน้้ีไปกา หนดลงในแผนที่ภูมิประเทศ 1:50000 ท าใหท้ราบวา่พ้นืที่ที่ทา การคดัเลือกน้นัอยใู่นตา แหน่งไหนของแผนที่ 7.) กลอ้งถ่ายภาพ ใชถ้่ายภาพบริเวณพ้นืที่ที่ท าการคัดเลือก 8.) สมุดบนัทึกขอ้มูลรายละเอียดต่างๆของพ้นืที่ 1.2 การคัดเลือกพื้นที่เป้ าหมาย การพจิารณาคดัเลือกพ้นืที่เป้าหมายที่จะด าเนินการพัฒนาในพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงต่างๆ จะทา การสา รวจตรวจสอบและพจิารณาความเหมาะสมของสภาพทวั่ ไปของพ้นืที่ดงัน้ี 1.) ประชุมคณะกรรมการคดัเลือกพ้นืที่เพอื่ช้ีแจงและทา ความเขา้ใจเกี่ยวกบัวตัถุประสงค ์และ พ้นืที่เป้าหมายที่กา หนด โดยศึกษาจากภาพถ่ายทางอากาศขาวดา มาตราส่วน 1:15000 ภาพถ่ายทางอากาศสี มาตราส่วน 1:25000 ภาพถ่ายดาวเทียมไอโคน็อส ( Ikonos ) และแผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:50000 ก่อนเพราะจะสามารถช่วยใหค้ณะกรรมการไดม้องเห็นสภาพทวั่ ไปของพ้นืที่เป้าหมายในแผนที่และ ภาพถ่ายเพื่อช่วยใหก้ารพจิารณาตดัสินใจคดัเลือกพ้นืที่ไดง้่ายข้ึน 2.) ใชอุ้ปกรณ์เครื่องกา หนดพกิดับนพ้นืโลกใชด้าวเทียม (Global Positioning System : GPS) ท า การตรวจสอบตา แหน่งพกิดัพ้นืที่โดยรอบบริเวณขอบเขตแปลงพ้นืที่เป้าหมาย จุดที่ทา การตรวจสอบหรือ กา หนดตา แหน่งพกิดับนพ้นืโลกดว้ย GPS น้นัควรจะเป็นจุดที่สงัเกตไดง้่ายเช่น บริเวณขอบแปลง ทางแยก โคนตน้ไมใ้หญ่สะพาน ขา้งลา หว้ย โขดหิน และบนเนินเขา ทา การจดบนัทึกค่าตา แหน่งพกิดัที่อ่านได้ อยา่งนอ้ย 5 ถึง 10 จุดแลว้แต่ขนาดบริเวณพ้นืที่เป้าหมาย 3.) ส ารวจสภาพพ้นืที่ใหท้วั่บริเวณ โดยสา รวจดูลกัษณะทางกายภาพของดินเช่น สีดิน เน้ือดิน ความร่วนซุยของดิน ความช้ืนของดิน และตรวจวดัความลาดชนัของพ้นืที่ที่มีความลาดชนัต่างกนั ประมาณ 5 ถึง10 จุด โดยใชก้ลอ้งส่องระดบัแบบมือถือ 4.) สา รวจแหล่งน้า บริเวณใกลพ้ ้นืที่เป้าหมาย 5.) สา รวจเสน้ทางคมนาคมที่เขา้ไปยงัพ้นืที่เป้าหมายมีสภาพเป็นอยา่งไร เป็ นเส้นทางที่มีผิวจราจร เป็ นดินธรรมดา ดินลูกรัง หรือลาดยาง ความกว้างของผิวจราจรกว้างมากน้อยเพียงใด 6.) สา รวจลกัษณะการใชป้ระโยชน์ที่ดินของเกษตรกร เกี่ยวกบัระบบการผลิต การเขตกรรม และ มาตรการอนุรักษด์ินและน้า ในพ้นืที่พร้อมท้งัสอบถามความตอ้งการในการพฒันาของเกษตรกร 1.3 บันทึกข้อตกลง เมื่อทา การสา รวจตรวจสอบคดัเลือกพ้นืที่เป้าหมายได้แล้ว น าข้อมูลที่ได้จากการสา รวจพ้นืที่มา ประชุมท าความตกลงร่วมกนัระหวา่งคณะกรรมการคดัเลือกพ้นืที่เจา้หนา้ที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง


ผนู้า หมู่บา้น คณะกรรมการหมู่บา้น และกลุ่มเกษตรกรเป้าหมาย เพอื่สรุปประเด็นปัญหาบนัทึกขอ้ตกลง และลงนามเป็ นสักขีพยานร่วมกนัดงัน้ี 1.) ตา แหน่งพกิดัที่บนัทึกไดจ้ากเครื่องกา หนดพกิดับนพ้นืโลกใชด้าวเทียม (GPS) น ามาบันทึกลง ในแผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:50000 แลว้ลากเสน้เชื่อมโยงใหค้รบทุกจุดก็จะไดว้งรอบขอบเขตพ้นืที่ เป้าหมายในแผนที่ที่สามารถคา นวณขนาดพ้นืทโี่ดยประมาณได ้ใช้เป็นแผนที่แนบท้ายบันทึกข้อตกลง ภาพที่ 4 แผนที่แสดงขอบเขตพ้นืที่ที่ทา การสา รวจคดัเลือกเป็นพ้นืที่เป้าหมาย 2.) บนัทึกขอ้ตกลงที่ผา่นการพจิารณาและที่ประชุมมีมติใหค้วามเห็นชอบแลว้ ใหค้ณะกรรมการ คัดเลือกพ้นืที่ประกอบดว้ย เจา้หนา้ที่ศูนยป์ฏิบตัิการโครงการหลวงภาคเหนือ เจา้หนา้ที่ศูนยพ์ฒันา โครงการหลวง ผนู้า หมู่บา้น คณะกรรมการหมู่บา้น และกลุ่มเกษตรกรเป้าหมาย ลงนามต่อทา้ยบนัทึก เพอื่ทา สตัยาบนั ในการพฒันาพ้นืที่เป้าหมายร่วมกนัสา เนาเอกสารบนัทึกขอ้ตกลงฉบบัน้ีมอบใหศู้นยพ์ฒันา โครงการหลวง 1 ฉบบัและคณะกรรมการหมู่บา้น 1 ฉบับ เพื่อเก็บไวเ้ป็นหลกัฐาน 3.) จัดทา บนัทึกขอ้ตกลงร่วมกนัระหวา่งผเู้กี่ยวขอ้งถือวา่มีความสา คญั โดยเฉพาะเกษตรกรเจ้าของ พ้นืที่เพอื่เป็นการป้องกนั ปัญหาที่อาจเกิดข้ึนในอนาคต เช่น เกษตรกรเจา้ของพ้นืที่บางรายไม่ยนิยอมให้ พฒันาพ้นืที่ภายหลงัที่ไดร้ับการอนุมตัิงบประมาณจากรัฐบาลจึงตอ้งคืนเงินงบประมาณดงักล่าว ทา ให้ เกษตรกรรายอื่นๆเสียโอกาสไม่ไดร้ับการพฒันาพ้นืที่ 4.) รายงานผลการสา รวจคดัเลือกพ้นืที่เป้าหมายเสนอศูนยป์ฏิบตัิการโครงการหลวงภาคเหนือเพื่อ พิจารณาดา เนินการจดัทา แผนงานสนบัสนุนต่อไป 2. การส ารวจพื้นที่เพื่อจัดท าแผนที่วงรอบขอบเขตและระดับ การสา รวจเป็นการหาความสมัพนัธต์า แหน่งของจุดที่อยบู่นหรืออยใู่กลผ้วิโลก เป็นการวดัหาระยะ ราบและระยะดิ่งระหวา่งวตัถุการวดัมุมราบและมุมสูง การวดัระยะและทิศทางของเสน้น้นัเป็นการ


กา หนดตา แหน่งของจุด จากค่าที่วดัไดจ้ากการสา รวจจะนา มาคา นวณ ซ่ึงระยะจริง มุม ทิศทาง ตา แหน่ง ค่าระดบัเน้ือที่และปริมาตร และผลที่ไดจ้าการคา นวณจะสามารถนา ไปสร้างเป็นแผนที่ได้หรือนา ไป เขียนแบบสา รวจเพอื่ใชอ้อกแบบ เช่น รูปตัดตามขวาง (Profiles cross section) และ แผนภาพ (Diagrams) ปัจจุบนัเครื่องมือที่ใชใ้นการสา รวจไดเ้ปลี่ยนแปลงไปมากเช่น การสา รวจและทา แผนที่จากรูปถ่ายทาง อากาศ (Arial photogrammetry) การส ารวจทางดาวเทียม (Satellite surveying) การส ารวจจากระยะไกล (Remote sensing) และการส ารวจด้วยเครื่องวดัระยะดว้ยอิเล็กทรอนิกส์ซ่ึงเป็นการเก็บขอ้มูลในการสา รวจ อยา่งหน่ึง การส ารวจวงรอบขอบเขตเพื่อจัดท าแผนที่ ส าหรับใช้ออกแบบมาตรการอนุรักษด์ินและน้า เพื่อ พัฒนาพ้นืที่ทา การเกษตรของเกษตรกรในพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง มีข้นัตอนดงัตอ่ ไปน้ี 2.1 อุปกรณ์การส ารวจ 1.) แผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1 : 50000 ที่กา หนดวงรอบขอบเขตพ้นืที่เป้ าหมายที่จะท าการ พัฒนาไว้แล้วเพอื่ใหก้ารสา รวจคน้หาพ้นืที่เป้าหมายในพ้นืที่โครงการไดส้ะดวกและถูกตอ้ง 2.) เขม็ทิศ เป็นอุปกรณ์ใชป้ระกอบกบัแผนที่เพอื่ใหก้ารอ่านและวางแผนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้อง 3.) เครื่องกา หนดตา แหน่งโดยใชด้าวเทียม (Global Positioning System :GPS ) เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ ในการหาตา แหน่งและความสูงของจุดที่กา หนดบนพ้นืโลก 4.) กล้องประมวลผล (Total station) เป็ นเครื่องมือส ารวจชนิดหนึ่งที่สามารถน ามาใช้วัดมุมราบ และมุมดิ่งได้โดยมีความละเอียดถูกตอ้งมากกวา่การวดัมุมโดยใชเครื่องวัดความลาดเอียง ้นอกจากน้ีกลอ้ง วดัมุมยงันา มาใชใ้นการกา หนดหรือสร้างเส้นส ารวจเป็ นเส้นตรง ใชห้าระยะทางท้งัในแนวราบและใน แนวดิ่งไดโ้ดยใชห้ลกัการวัดความยาวและใชห้าระดบัความสูงต่า ของพ้นืที่ไดเ้ช่นเดียวกบักลอ้งระดบั 5.) เป้ าสะท้อนกลับ (Prism reflector) เป็นอุปกรณ์ที่ใชต้้งับนตา แหน่งที่ตอ้งการหาค่ามุมและใช้ กล้องประมวลผล (Total station) ส่องเล็งมายงัเป้าสะทอ้นกลบัแลว้อ่านค่ามุมจากกลอ้งประมวลผล 6.) หมุดหลกัเขต เป็นหมุดที่ทา ดว้ยปูนซีเมนต์ขนาดเสน้ผา่ศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร ใชป้ักเป็นหมุดวงรอบขอบเขตของพ้นืที่ที่จะดา เนินการพฒันา 7.) ตลับเมตร ใช้วัดระยะทางและความสูงของกล้อง 8.) เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมโปรแกรม Microsoft excel , Terramodel และ AutoCAD 2.2 วิธีการส ารวจวงรอบขอบเขตพื้นที่ การสา รวจวงรอบขอบเขตพ้นืที่มี2 ข้นัตอนดงัน้ี 1.) การยา้ยถ่ายค่าพกิดัจากหมุดหลักฐาน การถ่ายค่าพกิดัเพอื่ใชเ้ป็นหมุดอา้งอิงในการสา รวจพ้ืนที่ สามารถทา ไดใ้นระยะทไี่ม่เกิน 100 กิโลเมตร จากหมุดเดิมซ่ึงการถ่ายค่าน้ีจะใชเ้ครื่องกา หนดตา แหน่งโดย ใช้ดาวเทียม(Global Positioning System : GPS ) โดยจะใช้วิธีการสร้างโครงข่ายสามเหลี่ยมดว้ยการใช้ เครื่อง GPS จ านวน 3 เครื่อง ใช้GPS เครื่องหน่ึงต้งัตรงหมุดหลกัฐานที่ทราบค่าพกิดัแลว้และปรับเครื่อง GPS ใหแ้ สดงค่าพกิดัใหต้รงกบัค่าพกิดัของหมุดหลกัฐานน้นัเพอื่ใชเ้ป็นค่าพกิดัอ้างอิงเรียกวา่เบส (Base)


ส่วนตา แหน่งที่เราตอ้งการถ่ายค่าพกิดัจะใชเครื่อง ้ GPS จ านวน 2 เครื่อง ต้งัตรงจุดที่เราตอ้งการทราบค่า พกิดัจา นวน 1 เครื่อง และอีก 1 เครื่องต้งัอีกจุดหน่ึงที่ห่างออกไปประมาณ 50 เมตรเพื่อใช้ตรวจสอบ และปรับเครื่องใหแ้สดงค่าพกิดัตรงตา แหน่งน้นั ใชเป็ น ้ค่าพกิดัโครงข่ายเรียกวา่ โรเวอร์ (Rover) จากน้นั น า ค่าพกิดัที่ได้จาก GPS ท้งั 3 เครื่องมาทา การปรับค่าความผดิพลาด (Differencian) เพอื่ใหไ้ดค้่าพกิดัที่มีความ ผดิพลาดนอ้ยกวา่ 50 เซนติเมตร ซึ่งเมื่อไดค้่าพกิดัดงักล่าวแลว้จะสามารถใช้ค่าพกิดัน้นั ในการออกส ารวจ พ้นืที่ที่ตอ้งการ และยงัใชใ้นการเปิดวงรอบของการสา รวจได้หรือใชเ้ป็นหมุดอา้งอิงในภาพถ่ายทางอากาศ ได้ ไม่เกิน 100กม หมุดพิกัดเดิมที่รู้ค่า ต าแหน่งที่ต้องการย้าย น าค่าพิกัดที่ได้มาปรับค่าความ ผิดพลาด ค่าพิกัดต าแหน่งใหม่ที่มีความ ผิดพลาดน้อยกว่า 50 ซม. แผนผังการย้ายถ่ายค่าพิกัด


ภาพที่ 5 แสดงการต้งัเครื่องกา หนดตา แหน่งโดยใชด้าวเทียม บนหมุดหลกัฐานที่รู้ค่าพกิดัเพอื่ใชค้่า พกิดัดงักล่าวอา้งอิงในการถ่ายโอนค่าพกิดัไปยงัจุดที่ตอ้งการ ภาพที่ 6 แสดงการต้งัเครื่องกา หนดตา แหน่งโดยใชด้าวเทียม ที่ตอ้งการรู้ค่าพกิดัจา นวน 2 จุดใน ลกัษณะโครงข่ายสามเหลี่ยมในพ้นืที่


2.) การสา รวจโดยใชค้่าพกิดัหลงัจากทา การยา้ยค่าในการส ารวจค่าพกิดัที่ไดจ้ากการถ่ายค่าสามารถ ใชเ้ป็นจุดต้งักลอ้งเพอื่เปิดวงรอบของการสา รวจเขา้สู่พ้นืที่ที่ตอ้งการได้ใช้กล้องประมวลผล (Total station) เก็บตา แหน่งบริเวณจุดเปลี่ยนแปลงต่างๆของพ้นืที่โดยค่าที่ไดจ้ากกลอ้งจะอยใู่นลกษณะของมุมที่อ้างอิง ั กบัทิศเหนือ(Azimuth) นา ขอ้มูลทไี่ดม้าหาค่าพกิดัของแต่ละตา แหน่งโดยใชโ้ปรแกรม Microsoft excel ใน การคา นวณค่าพกิดั ทิศเหนือและทิศตะวันออก ( N และ E ) ต่อจากน้นันา ขอ้มูลทไี่ดเ้ขา้สู่โปรแกรม Terramodel เพอื่นา พกิดัที่ไดม้าข้ึนรูปโครงข่ายลกัษณะแปลงที่สา รวจ และนา รูปโครงข่ายที่ไดไ้ปซอ้นทบั กบัภาพถ่ายทางอากาศที่ปรับแกค้่าพกิดับนภาพแลว้เพอื่ระบุตา แหน่งขอบเขตพ้นืที่ในรูป จากน้นั ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างแบบจ าลองระดับสูงเชิงเลข (Digital Elevation Models หรือ DEMs) เพื่อให้ โปรแกรมสามารถคา นวณลกัษณะพ้นืที่เพอื่สร้างเสน้ช้นัความสูง(Contour line) ซ่ึงเสน้ช้นัความสูงที่ไดจ้ะ มีความใกลเ้คียงกบัลกัษณะพ้นืที่จริงหรือไม่ข้ึนอยกู่บัความละเอียดของการสา รวจ จากน้นันา เส้นช้นัความ สูงที่ได้มาสร้างเป็ นแผนที่วงรอบขอบเขตและระดับ เพื่อน าไปพิจารณาออกแบบมาตรการอนุรักษ์ดินและ น้า ต่อไป ค่าพิกัดที่ถ่ายค่ามา จุดต้ังกล้องเปิดโครงข่าย สร้างภาพถ่ายทางอากาศให้มี พิกัดบนภาพ สร้าง DEM ของพื้นที่จาก ภาพถ่ายทางอากาศ ออกแบบระบบอนุรักษ์ เลือกรูปแบบระบบอนุรักษ์จาก ความชันของเส้นช้ันความสูง น าโครงข่ายมาซ้อนกับ ภาพถ่ายทาง เก็บต าแหน่งขอบแปลง น าข้อมูลมาคา นวณหาค่าพกิัด น าค่าพิกัดมาขึน้รูปโครงข่าย สร้างเส้นชันความสูง แผนผังการส ารวจ


ภาพที่ 7 แสดงการส ารวจด้วยกล้องประมวลผล (Total station) เพอื่การถ่ายโอนค่าพกิดัพ้นืที่จาก หมุดโครงข่ายไปยังหมุดวงรอบขอบเขตพ้นืที่เป้าหมายใหค้รบทุกหมุด ก็จะไดค้่าตามที่ตอ้งการเพื่อใช้ใน การสร้างแผนที่วงรอบขอบเขตและระดบัต่อไป ภาพที่ 8 แสดงการต้งัเป้ าสะท้อนกลับ (Prism reflector) บนหวัหมุดที่ตอ้งการค่าทราบมุมและค่า ระดับความสูงโดยใช้กล้องประมวลผลส่องมายงัเป้าสะทอ้นกลบัก็จะไดค้่าตามที่ตอ้งการเพื่อใช้ในการ สร้างแผนที่วงรอบขอบเขตและระดบัต่อไป


3. การออกแบบระบบอนุรักษ ์ ดนิและน า้ การออกแบบระบบอนุรักษด์ินและน้า จะตอ้งทา การศึกษาขอ้มูลพ้นืฐานของพ้นืที่ที่จะทา การพฒันา อยา่งละเอียด เพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกมาตรการอนุรักษด์ินและน้า มีความเหมาะสมกบัลกัษณะของพ้นืที่ ปริมาณน้า ฝนที่ตก แหล่งน้า ระบบการปลูกพชืและรวมถึงความตอ้งการในการใช้ประโยชน์ที่ดินของ เกษตรกรและศูนย์พัฒนาโครงการหลวง เมื่อไดแ้ผนที่วงรอบขอบเขตและระดบัของพ้นืที่เป้าหมายแลว้ น ามาพิจารณาลักษณะสภาพภูมิประเทศที่ปรากฏในแผนที่เช่น ความลาดชนัของพ้นืที่ทางน้า หรือลา หว้ย ทา การตรวจวดัค่าความลาดชนัของพ้นืที่ที่มีค่าความลาดชนัแตกต่างกนัจากแผนที่วงรอบขอบเขตและระดบั หลายๆจุด เพอื่นา มาหาค่าเฉลี่ยใชเ้ป็นตวัแทนของความลาดชนัของพ้นืที่ ใช้ประกอบการพิจารณาเลือก รูปแบบมาตรการอนุรักษด์ินและน้า เช่น คนัดินเบนน้า คนัดินก้นัน้า คูรับน้า ขอบเขา ข้นับนัไดไมผ้ลแบบ ระดบัข้นับนัไดปลูกพชืแบบต่อเนื่อง และอาคารชะลอความเร็วของน้า การออกแบบระบบอนุรักษ์ดิน และน้า ดา เนินการตามข้นัตอนดงัน้ี 3.1 การค านวณหาระยะห่างของมาตรการอนุรักษ์ดินและน ้า เมื่อพจิารณาคดัเลือกรูปแบบมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่เหมาะสมไดแ้ลว้นา มาคา นวณหาค่า ระยะห่างของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า โดยใชว้ดัความแตกต่างระดบัข้นัของมาตรการ 2 ข้นัที่ติดต่อกนั ในแนวดิ่ง ( Vertical Interval : VI) และค่าทคี่า นวณไดน้้ีน าเข้าโปรแกรมเทระโมเดล (Terramodel) เพื่อ กา หนดใหโ้ปรแกรมทา การประมวลผลสร้างเสน้ช้นัความสูงใหม้ีระยะห่างตามที่ตอ้งการใหม่ เพื่อใช้เป็ น เสน้แนวมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่ตอ้งการ และนา ค่าเสน้ช้นัความสูงที่ค านวณได้ใหม่น้ีเขา้สู่โปรแกรม ออโทแค็ด (AutoCAD) เพื่อท าการปรับแต่งแนวเส้นใหม่ให้มีความโคง้ที่สวยงามพร้อมท้งัใส่เครื่องหมาย สัญลักษณ์ของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ใหช้ดัเจน และนา ไปซอ้นทบักบัแผนที่วงรอบขอบเขตและระดับ ของพ้นืที่เป้าหมายเดิมก็จะไดแ้ผนที่แบบแปลน เพอื่ใชใ้นการพฒันาพ้นืที่ต่อไป และการคา นวณหาค่า ระยะห่างของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ซ่ึงหาไดจ้ากสูตรดงัน้ี 1.) ระยะห่างระหวา่งคนัดินใชว้ดัความแตกต่างระดบัร่องน้า 2 ร่องที่ติดต่อกนั ในแนวดิ่ง ซ่ึงหา ได้จากสูตร VI = aS + b เมื่อ VI = ระยะห่างในแนวดิ่ง มีหน่วยเป็นฟุต S = ความลาดเทของพ้นืที่หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ a = ค่าคงที่ของสภาพภูมิประเทศในแถบน้นัๆ มีค่าระหวา่ง 0.3 ถึง 0.6 b = ค่าคงที่เนื่องจากคุณลกัษณะของดินและพชืคลุม ซ่ึงมีค่าเป็น 2 เมื่อดิน น้นัคงทนต่อการพงัทลายและมีพชืคลุมดินมาก และเป็ น 1 เมื่อดินน้นั ง่ายต่อการพงัทลาย และมีพืชคลุมดินน้อย


สา หรับค่า VI น้นัจะเปลี่ยนแปลงไดป้ระมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ (±) ของค่า VI เดิม เพื่อที่จะปรับให้ ใชไ้ดใ้นบริเวณที่มีชนิดของดิน ลมฟ้าอากาศ และระบบการเกษตรแตกต่างกนั ที่มา: นารี สุทธปรีดา (2527:106) 2.) ระยะห่างระหวา่งข้นับนัไดปลูกพชืแบบต่อเนื่องใชว้ดัความแตกต่างระดบัของข้นับนัได 2 ข้นั ที่ติดต่อกนั ในแนวดิ่ง ซ่ึงหาไดจ้ากสูตร VI = S × Wb 100 –S × U เมื่อ VI = ระยะห่างในแนวดิ่ง มีหน่วยเป็นเมตร S = ความลาดเทของพ้นืที่หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ Wb = ความกวา้งของพ้นืที่ราบที่กา หนด หน่วยเป็นเมตร U = ค่าสมั ประสิทธ์ิที่กา หนดให้0.75 หรือ1 (ดังแสดงไว้ในภาคผนวกที่ 1ถึง 5) 3.) ระยะห่างระหวา่งคูรับน้า ขอบเขาและข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดบั ใชว้ดัความแตกต่างระดบของั ข้นัคูรับน้า และข้นั บันได 2 ข้นัที่ติดต่อกนั ในแนวดิ่ง ซ่ึงหาไดจ้ากสูตร VI = (S +4) ÷10 เมื่อ VI = ระยะห่างในแนวดิ่ง มีหน่วยเป็นเมตร S = ความลาดเทของพ้นืที่หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ (ดังแสดงไว้ในภาคผนวกที่ 6ถึง 10) 3.2 การประมาณราคาค่าก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดนิและน ้า พ้นืที่เป้าหมายที่ทา การสา รวจออกแบบระบบอนุรักษด์ินและน้า เสร็จแล้วจะต้องคิดราคาค่าก่อสรา้ง ประกอบแบบเพอื่ของบประมาณมาดา เนินการพฒันาพ้นืที่โดยการคา นวณพ้นืที่วงรอบขอบเขตใชห้น่วยวดั เป็นไร่แลว้คูณดว้ยราคากลางต่อไร่ตามที่ไดท้า ความตกลงกบัสา นกังบประมาณ ซ่ึงราคาดงักล่าวเป็นราคา ถวั่จ่ายเพอื่ใชในการ ้ก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า รูปแบบต่างๆที่ไดก้ล่าวมาขา้งตน้ และราคาค่าใชจ้่าย ต่อไร่ที่สา นกังบประมาณกา หนดใหม้ี2 ราคาไดแ้ก่ 1.) ราคาค่าใชจ้่ายต่อไร่งานพฒันาพน้ืที่ดว้ยวธิีอนุรักษด์ินและน้า โดยใชเ้ครื่องจกัรกล ด าเนินการ บนพ้นืที่ที่เครื่องจกัรกลสามารถก่อสร้าง คนัดินเบนน้า คนัดินก้นัน้า ข้นับนัไดปลูกพชืแบบต่อเนื่อง และ คูรับน้า ขอบเขา ราคา 3,800 บาทต่อไร่ (ดังแสดงในภาคผนวกที่ 11 ) 2.) ราคาค่าใชจ้่ายต่อไร่งานพฒันาพ้นืที่ดว้ยวธิีอนุรักษด์ินและน้า โดยใชแรงคน ด าเนินการบน ้ พ้นืที่ที่เครื่องจกัรกลไม่สามารถก่อสร้างไดจ้ึงใชแ้รงคนเพอื่ก่อสร้าง คนัดินเบนน้า และข้นับนัไดไมผ้ล แบบระดับ ราคา 5,430 บาทต่อไร่ (ดังแสดงในภาคผนวกที่ 12 )


แผนผังการออกแบบ แผนที่วางรอบขอบเขตและระดับ ตรวจวัดความลาดชันเฉลี่ยของพื้นที่ โปรแกรม AutoCAD ค านวณค่าระยะห่างทางด้านตั้ง(VI) ข้อมูลพืน้ที่จากการส ารวจภาคสนาม ปรับแต่ง/ใส่เครื่องหมาย โปรแกรม Terramodel แบบแปลนระบบอนุรักษ์ดินและน ้า พิจารณาคดัเลือกมาตรการอนุรักษ์ฯ ประมาณการราคาค่าก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน ้า ส่งแบบของบประมาณมาด าเนินการ


ภาพที่ 9 การใช้โปรแกรม Terramodel สร้างแผนที่วงรอบขอบเขตและแบบแปลน ระบบอนุรักษด์ินและน้า ภาพที่ 10 การใช้โปรแกรม AutoCAD ตกแต่งแบบแปลนและใส่เครื่องหมายสญัลกัษณ์ ระบบอนุรักษด์ินและน้า


บทที่ 4 แบบแปลนและสัญลักษณ์ การพฒันาพ้นืที่ดว้ยวธิีการจดัระบบอนุรักษด์ินและน้า ในพ้นืที่ทา การเกษตรของเกษตรกร ในพ้ืนที่ ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงต่างๆท้งั 37 ศูนย์ซ่ึงพ้นืที่ทา การเกษตรในแต่ละศูนยฯ์น้นัจะมีลกัษณะสภาพ พ้นืที่แตกต่างกนัทางภูมิกายภาพ และความเหมาะสมของพชืพรรณแต่ละชนิดที่มูลนิธิโครงการหลวงใชใ้น การแนะน าส่งเสริมใหเ้กษตรกรเพาะปลูก การพฒันาพ้นืที่ดว้ยวธิีการจดัระบบอนุรักษด์ินและน้า จึงตอ้งมี แบบแปลนการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า ระบุไวอ้ยา่งครบถว้นและชัดเจน เพื่อใช้เป็ นแนวทางในการ และป้องกนัความผดิพลาดทอี่าจเกิดข้ึนและสร้างความเสียหายได้ 1. แบบแปลนระบบอนุรักษ ์ ดนิและน า้ แบบแปลนระบบอนุรักษด์ินและน้า เป็นแบบแปลนที่บอกรายละเอียดลกัษณะพ้นืที่และรูปแบบ มาตรการอนุรักษด์ินและน้า แบบต่างๆที่จะทา การก่อสร้างในพ้นืที่เป้าหมายไวอ้ยา่งครบถว้นชดัเจน เช่น มาตราส่วน ทิศทาง ความสูงของพ้นืที่หมุดวงรอบขอบเขต ที่ต้งัและชื่อหมู่บา้น เสน้ทางคมนาคม ลา หว้ย หรือจุดที่สงัเกตไดง้่ายในพ้นืที่เพอื่ช่วยใหผ้ ปู้ฏิบตัิงานสามารถตรวจสอบหาพ้นืที่เป้าหมายไดอ้ยา่งถูกตอ้ง ถึงแมจ้ะทา การสา รวจและออกแบบล่วงหนา้ไวห้ลายปีแลว้ก็ตาม และรูปแบบมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่ ไดท้า การออกแบบไวจ้ะตอ้งมีความเหมาะสมกบัสภาพพ้นืที่และการใชป้ระโยชน์ที่ดิน เพอื่ใหม้าตรการ อนุรักษด์ินและน้า ที่ก่อสร้างในพ้นืที่เป้าหมายน้นัสามารถทา หนา้ที่ป้องกนัและลดอัตราการชะล้างพังทลาย ของดินจากปริมาณน้า ไหลบ่าหนา้ดิน รูปแบบมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่ไดอ้อกแบบไวจ้ะตอ้งใส่ เครื่องหมายสญัลกัษณ์กา กบัไวอ้ยา่งชดัเจน เพอื่ป้องกนัความผดิพลาดที่อาจเกิดข้ึนไดเ้มื่อทา การก่อสร้าง มาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่นิยมใชใ้นการพฒันาพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงไดแ้ก่คนัดินเบนน้า คนั ดินก้นัน้า ข้นั บันไดปลูกพืชแบบต่อเนื่อง คูรับน้า ขอบเขา ข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดบัทางระบายน้า และ อาคารชะลอความเร็วของน้า ซ่ึงมาตรการอนุรกัษด์ินและน้า แบบต่างๆเหล่าน้ีจะมีความเหมาะสมกบัสภาพ พ้นืที่และการนา ไปใชป้ระโยชน์ที่แตกต่างกนับางคร้ังในพ้นืที่เดียวกนัอาจจะเลือกใชม้าตรการอนุรักษ์ดิน และน้า เขา้ดา เนินการก่อสร้างไดห้ลายรูปแบบ


ภาพที่ 11 ตวัอยา่งแบบแปลนระบบอนุรักษด์ินและน้า ที่มา : ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ ส านักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 กรมพัฒนาที่ดิน


ภาพที่ 12 ตวัอยา่งแบบแปลนภาพตัดตามยาวระบบอนุรักษด์ินและน้า ที่มา : ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ ส านักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 กรมพัฒนาที่ดิน


2. สัญลักษณ์แผนทแี่บบแปลนระบบอนุรักษ ์ ดนิและน า้ 2.1 หมุดหลักฐาน คือหมุดแผนที่ที่ไดท้า การรังวดัวางต่อเนื่องกนัไปบนพ้นืดิน โดยทราบตา แหน่ง ค่าพกิดัภูมิศาสตร์หรือค่าพกิดัฉากที่นบัเนื่องจากศูนยก์า เนิด หมุดหลกัฐานน้ีใชส้า หรับโยงยดึทา แผนที่ เพอื่ใหรู้้ตา แหน่งของที่ดินบนพ้นืโลก เป็นหมุดคอนกรีตหวัสี่เหลี่ยมขนาด 25 x 25 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร ตรงกลางฝังด้วยหัวหมุดทองเหลืองกลมหรือเหลี่ยมราบขนาด 3 x 3 เซนติเมตร มีจุดศูนย์กลาง พร้อมด้วยหมายเลขประจ าหมุด รอบนอกบนหัวหมุดคอนกรีตเขียนอักษรประจ าเส้นหมายเลขหัวหมุด ภาพที่ 13 สัญลักษณ์หมุดหลักฐาน 2.2 หมุดหลักเขต คือหมุดแผนที่ซึ่งท าการวางออกและเขา้บรรจบกบัหมุดโครงข่าย หมุดแผนที่ ทหารหรือหมุดแผนที่ซ่ึงมีความละเอียดเท่ากนัเพอื่ใหม้ีหมุดแผนที่เขา้ไปถึงที่ดินซ่ึงจะทา การรังวดัทา แผน ที่วงรอบขอบเขตและระดบั ใชใ้นการออกแบบก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า เป็นหมุดคอนกรีตทรงกลม มีเสน้ผา่ศูนยก์ลาง 10 เซนติเมตร ยาว 25 ถึง 30 เซนติเมตร ตรงกลางฝังด้วยโลหะหรือตะปู พร้อมเลข หมายกา กบัไวเ้ช่น ศปล. 1 ศปล.2 ภาพที่ 14 สัญลักษณ์หมุดหลักเขต สัญลักษณ์หมุดหลักฐาน สัญลกัษณ์หมุดหลักเขต


2.3 เส้นช้ันความสูง คือเส้นจินตนาการของระดับที่คงที่บนพ้นืดิน ซ่ึงไดจ้ากการลากเสน้ผา่นจดุ ต่างๆบนพ้นืดินที่มีค่าระดบัเท่ากนัและค่าความต่างระดบัของเสน้ช้นัความสูงแต่ละเสน้ซ่ึงถูกกา หนดใน แนวดิ่ง และเสน้ช้นัความสูงแต่ละเสน้ ในโครงงานน้ีกา หนดใหม้ีความสูงต่างกนั 5 เมตร เพื่อความ สะดวกในการพิจารณาออกแบบมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ภาพที่ 15 สัญลักษณ์เสน้ช้นัความสูง 2.4 ทางระบายน ้า ร่องน ้าและล าห้วย พ้นืที่ทา การเกษตรส่วนมากจะเป็นพ้นืที่ราบตามหุบเขา และพ้นืที่ลาดเชิงเขามกัจะมีร่องน้า หรือลา หว้ยอยแู่ลว้ขนาดของร่องน้า กวา้งและลึกแตกต่างกนัและลา หว้ย บางแห่งก็มีน้า ไหลตลอดท้งัปีมีประโยชน์ใชเ้ป็นทางระบายน้า เพอื่รองรับปริมาณน้า ไหลบ่าบนผวิดินที่ ไหลออกจากระบบอนุรักษด์ินและน้า ที่ก่อสร้างในพ้นืที่และระบายออกจากพ้นืที่โดยไม่เกิดการกดัเซาะ ของน้า ทา ใหเ้กิดการชะลา้งพงัทลายของดินได้ ภาพที่ 16 สัญลักษณ์ทางระบายน้า ร่องน้า และลา หว้ย สัญลักษณ์เส้นชั้นความสูง 100 สัญลักษณ์ทางระบายน ้าหรือล าห้วย


2.5 เส้นทางคมนาคม คอืเสน้ทางที่เกษตรกรใชใ้นการเดินทางมีหลายลกัษณะบางแห่งเป็นเสน้ทาง ทุรกนัดารใชไ้ดเ้ฉพาะฤดูแลง้บางแห่งก็ใชไ้ดต้ลอดท้งัปีเช่น เป็นทางเดิน ทางเกวยน ทางลูกรัง และทาง ี ลาดยาง ดงัน้นัพ้นืที่ที่จะทา การพฒันาจดัระบบอนุรักษด์ินและน้า การสา รวจวงรอบขอบเขตและระดบัจึง ตอ้งเก็บรายละเอียดของเสน้ทางคมนาคมเหล่าน้ีทุกเสนทางและแสดงไว้ในแผนที่แบบแปลน ้ ภาพที่ 17 สัญลักษณ์เส้นทางคมนาคมหรือแนวถนน 2.6 ภาพตัดตามยาวคอืเสน้ที่ลากผา่นในแนวต้งัฉากกบัเสน้แนวออกแบบมาตรการอนุรักษ์ดินและ น้า ต้งัแต่แนวแรกที่อยบู่นสุดลงมาจนถึงแนวข้นัสุดทา้ยที่อยลู่ ่างสุดของเนินเขา และเสน้ที่กา หนดเป็นเสน้ แสดงภาพตัดตามยาวจะทา มุมกบัหมุดหลกัเขตทกี่า หนดไวใ้นแบบแปลนที่อยใกล้สุด ู่ ภาพตัดตามยาวจะ บอกใหท้ราบถึงระยะห่างของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า แต่ละข้นัมีระยะห่างกนัเท่าใด และใช้เป็ นจุด สา หรับวางแนวก่อสร้างหลกัในพ้นืที่อีกดว้ย ภาพที่ 18 สัญลักษณ์ภาพตัดตามยาว สัญลักษณ์แนวถนน สัญลักษณ์ภาพตัดตามยาว


2.7 แนวคันดินเบนน ้า ( Diversion) คือแนวเส้นทึบที่มีรูปหวัลูกศรที่ปลายท้งัสองขา้งแสดงอยใู่น แบบแปลนบริเวณจุดสูงสุดของเนินเขาหรือข้นัสุดทา้ยที่อยบู่นสุดของมาตรการอนุรักษด์ินและน้า มีลักษณะ เป็นร่องน้า ที่มีความกวา้งของทอ้งร่อง 50 เซนติเมตร ปากร่องน้า กวา้ง 1.50 เมตรและมีความลาดเทของ ผนังดา้นขา้งของร่องน้า 1 ต่อ.5 แนวที่ขุดจะมีการลดระดับ 3 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์นา ดินที่ขดุมาถมขา้งร่องน้า ดา้นนอกทา เป็นคนัก้นัน้า และบดอดัให้ แน่น ภาพที่ 19 สัญลักษณ์คนัดินเบนน้า 2.8 แนวคันดินกั้นน ้า คือแนวเส้นขยุกขยิกอาจจะมีหรือไม่มีหวัลูกศรที่ปลายเสน้ท้งัสองขา้งกไ็ด้ มกัจะแสดงอยใู่นแบบแปลนในบริเวณที่มีความลาดชนันอ้ยมาก และมีระยะห่างของแนวเสน้ห่างกนัมาก คนัดินก้นัน้า มีรูปร่างลกัษณะเป็นคนัดินยกสูงจากพ้นื 75 เซนติเมตร ความกว้างของสันคันดิน 50 เซนติเมตร ฐานคันดินกว้าง 2 เมตร มี 2 แบบ แบบระดับไม่มีหวัลูกศรที่ปลายเสน้ เหมือนแบบลดระดับ ภาพที่ 20 สัญลักษณ์คนัดินก้นัน้า สัญลักษณ์คันดินกั้นน ้า สัญลักษณ์คันดินเบนน ้า


2.9 แนวข้ันบันไดปลูกพืชแบบต่อเนื่อง คือแนวเส้นประอาจจะมีหรือไม่มีรูปหวัลูกศรที่ปลายเสน้ ท้งัสองขา้งก็ได้แสดงอยใู่นแบบแปลนบริเวณที่มีความลาดชนัของพ้นืที่ไม่มากนกัมีระยะห่างของแนวเสน้ ถี่มาก ลกัษณะของข้นับนัไดจะต่อเนื่องกนัมีความสูงของข้นับนัไดแต่ละข้นัสูงในแนวดิ่งต่างกนั .50 ถึง 1 เมตร มีความกวา้งของพ้นืที่ราบข้นับนัไดต้งัแต่ 2.5 ถึง 12 เมตร มีท้งัแบบระดบัและแบบลดระดับ ภาพที่ 21 สัญลักษณ์ข้นับนัไดปลูกพชืแบบต่อเนื่อง 2.10 แนวขั้นบันไดไม้ผลแบบระดับ คือแนวเสน้ทึบไม่มีรูปหวัลูกศรที่ปลายเสน้ทึบท้งัสองขา้ง มีระยะห่างของแนวเสน้ทึบไม่ถี่และไม่ห่างมากนกัลกัษณะของข้นับนัไดจะไม่ตอ่เนื่องกนัมีระยะห่างของ ข้นับนัไดแต่ละข้นัทางดา้นลาดเขาห่างกนั 12 ถึง 17 เมตร มีความกวา้งของพ้นืที่ราบข้นับนัไดต้งัแต่ 1.50 ถึง1.75 เมตร บริเวณที่ราบข้นับนัไดใชป้ลูกไมผ้ล และมีคนัคูก้นัน้า ภาพที่ 22 สัญลักษณ์ข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดบั สัญลักษณ์ขั้นบันไดไม้ผลแบบระดับ สัญลักษณ์ข้ันบันไดปลูกพืชแบบต่อเนื่อง


2.11 แนวคูรับน ้าขอบเขา คือแนวเส้นทึบยาวและมีเส้นแบ่งเป็ นขีดๆ อาจจะมีหรือไม่มีรูปหวัลูกศร ที่ปลายเสน้ท้งัสองขา้ง มีระยะห่างของแนวเสน้ ไม่ถี่และไม่ห่างมาก ลกัษณะของข้นับนัไดจะไม่ตอ่เนื่องกนั มีระยะห่างของข้นับนัไดแตล่ะข้นัทางดา้นลาดเขาห่างกนั 12 ถึง 17 เมตร มีความกวา้งของพ้นืที่ราบ ข้นับนัไดต้งัแต่1.50 ถึง1.75 เมตร มีท้งัแบบระดบัและแบบลดระดับ ภาพที่ 23 สัญลักษณ์คูรับน้า ขอบเขา 2.12 อาคารชะลอความเร็วของน ้า แสดงในแบบแปลนเป็ นรูปกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางขวางทาง ระบายน้า ร่องน้า และลา หว้ย เป็นอาคารที่ก่อสร้างดว้ยแผน่ ปูนซีเมนตส์า เร็จรูปขนาดกวา้ง .50 เมตร ยาว 1.50 เมตร วางเรียงแถวขวางทางน้า หรืออาคารชะลอที่ก่อสร้างแบบเกเบ้ียน โดยใชก้ล่องเกเบ้ียนกวา้ง .50 เมตร ยาว 1 เมตร และลึก 1 เมตร วางเรียงแถวใส่กอ้นหินลงในกล่องให้เต็มขวางทางน้า ภาพที่ 24 สัญลักษณ์อาคารชะลอความเร็วของน้า สัญลักษณ์อาคารชะลอความเร็วของน ้า สัญลักษณ์คูรับน ้าขอบเขา


บทที่ 5 วธิีการก่อสร้างระบบอนุรักษ ์ ดินและน า้ การพฒันาพ้นืที่เกษตรบนที่สูงดว้ยวิธีการก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน้า จะดา เนินการก่อสร้าง มาตรการอนุรักษท์ ี่แตกต่างกนัตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน ชนิดพืชที่จะปลูก ลักษณะของดิน และสภาพ ภูมิประเทศ ซึ่งมาตรการอนุรักษท์ ี่ก่อสร้างในพ้นืที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงท้งั 37 ศูนย์ ไดแ้ก่ คันดิน เบนน้า คนัดินก้นัน้า ข้นับนัไดปลูกพชืแบบต่อเนื่อง ข้นับนัไดไมผ้ลแบบระดบั คูรับน้า ขอบเขา และ อาคารชะลอความเร็วของน้า การดา เนินการพฒันาจดัระบบอนุรักษด์ินและน้า ดงักล่าวขา้งตน้น้นั จะต้อง ด าเนินการก่อสร้างใหถูกต้องต ้ามแบบแปลนที่กา หนดไวทุ้กประการดงัต่อไปน้ี 1. อปุกรณ ์ ทจี่า เป็นส าหรับการก่อสร้างระบบอนุรักษ ์ ดนิและน า้ อุปกรณ์เป็นสิ่งสา คญัที่จะทา ให้การปฏิบตัิงานสา เร็จตามวตัถุประสงค์และเป้าหมายที่กา หนดไว้ ประกอบด้วย 1.) แผนที่ภูมิประเทศ 1 : 50000 ของกรมแผนที่ทหาร เป็นอุปกรณ์ที่ใชก้า หนดจุดพิกดัของวงรอบ ขอบเขตพ้นืที่ที่จะทา การพฒันา เพอื่ใหก้ารสา รวจคน้หาพ้นืที่เป้าหมายที่จะท าการพฒันาในพ้ืนที่โครงการ ได้สะดวกและถูกต้อง 2.) เขม็ทิศ เป็นอุปกรณ์ใชป้ระกอบกบัแผนที่เพอื่ใหก้ารอ่านและวางแผนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้อง 3.) เครื่องกา หนดตา แหน่งพิกดับนพ้ืนโลกใชด้าวเทียม ( Global Positioning System : GPS) เป็ น เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้อ่านตา แหน่งพิกัดบนพ้ืนโลกใช้ดาวเทียมในบริเวณที่ตอ้งการทราบ เพื่อ ตรวจสอบพ้นืที่เป้าหมายตรงกบัแผนที่ที่กา หนดไว้ 4.) แบบแปลนระบบอนุรักษด์ินและน้า ที่ออกแบบกา หนดมาตรการอนุรักษด์ินและน้า ที่เหมาะสม กบัสภาพภูมิประเทศและระบุสญัลกัษณ์ไวอ้ยา่งชดัเจน 5.) กล้องระดับอัตโนมัติ (Automatic level) เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ในการสา รวจวางแนวก่อสร้างระบบ 6.) กล้องวัดมุม (Theodolite หรือ Transiting theodolite) เป็ นเครื่องมือส ารวจวางแนวหลักของ ระบบอนุรักษด์ินและน้า และสา รวจหาหมุดวงรอบขอบเขตพ้นืที่เป้าหมาย 7.) ไม้ระดับ (Leveling rod) จะทา ดว้ยไมห้รือโลหะ หรือไฟเบอร์กลาสก็ได้โดยใชร้่วมกบักลอ้ง ระดบัเพอื่อ่านขีดแบ่งระดบัซ่ึงอ่านไดจ้นถึงทศนิยม 3 ตา แหน่ง 8.) เป้าเล็ง เป็นอุปกรณ์ที่ใชต้้งับนตา แหน่งที่ตอ้งการหาค่ามุมและใชก้ลอ้งวดัมุม (Theodolite) ส่อง เล็งมายงัเป้าเล็งแลว้อ่านค่ามุมจากกลอ้งวดัมุม 9.) เทปวัดระยะ (Steel tape) เป็นอุปกรณ์ที่ใชว้ดัความยาวหรือระยะทางระหว่างจุด 2 จุด และ อ่านค่าโดยตรงจากเทปวดัระยะ


10.) ไมห้ลกัเป็นอุปกรณ์ที่ทา ดว้ยไมไ้ผผ่า่ซีกขนาดกวา้ง 5 เซนติเมตร ยาว 1.50 ถึง 1.80 เมตร เสี่ยม ปลายดา้นหน่ึงใหแ้หลม ส่วนปลายอีกดา้นหน่ึงทาดว้ยสีขาวหรือสีแดงยาวประมาณ 30 ถึง 50 เซนติเมตร เพอื่ใชเ้ป็นหลกัปักตามแนวส่องกลอ้ง 11.) รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบดี 4 ใชใ้นการปรับเกลี่ยหนา้ดินและเศษตอและรากไมใ้นพ้นืที่ที่จะ ทา การพฒันาใหส้ะดวกต่อการส่องกลอ้งวางแนวและก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า 12.) รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบดี 3 ใชใ้นการขดุเจาะเคลื่อนยา้ยดินบริเวณแนวก่อสร้างระบบอนุรักษ์ ดินและน้า ใหเ้ป็นรูปร่างตามรูปแบบที่ไดก้า หนดไวใ้นแบบแปลน 13.) จอบเป็นอุปกรณ์ที่ใชใ้นการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า โดยท าการขุดเคลื่อนที่ย้ายดิน ตามแนวที่กา หนดไว้ 2. ขั้นตอนการเข้าด าเนินการพัฒนาพื้นที่ 2.1 การวางแผน เป็นข้นัตอนที่มีความสา คญัที่จะทา ให้การปฏิบัติงานส าเร็จตามวตัถุประสงคท์ ี่กา หนดไว้จึงตอ้งมี การวางแผนดงัน้ี 1.) การวางแผนการใชจ้่ายงบประมาณ ตอ้งมีการวางแผนการเบิกจ่ายเงินใหส้อดคลอ้งกบัแผนการ ปฏิบัติงาน 2 .) การวางแผนการปฏิบัติงาน เพื่อให้การก่อสร้างเสร็จตามเป้าหมายที่กา หนดไว้จึงต้อง พิจารณาปัจจยัที่เกี่ยวขอ้งที่อาจเป็นปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานไดด้งัน้ี 2.1) แรงงาน จึงตอ้งวางแผนการปฏิบตัิงานให้อยู่ในช่วงที่แรงงานในพ้ืนที่ว่างงานหรือนอก ฤดูกาลเพาะปลูกเพราะจะมีแรงงานเหลือหรือมากพอกบัความตอ้งการใชแ้รงงานเพื่อก่อสร้างและตกแต่ง ระบบอนุรักษด์ินและน้า ใหไ้ดม้าตรฐานตามที่แบบแปลนกา หนด 2.2 ) ฤดูกาลเพาะปลูกพชืการทา การเกษตรบนพ้ืนที่สูงในเขตพ้ืนที่ศูนยพ์ฒันาโครงการหลวงจะ ทา การเตรียมดินเพอื่การเพาะปลูกพชืระหวา่งเดือนเมษายนของทุกปีดงัน้นัจึงตอ้งวางแผนการปฏิบตัิงานให้ การก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า ใหแ้ลว้เสร็จก่อนเดือนดงักล่าว 2.3) ฤดูฝน เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการก่อสร้างระบบอนุรักษด์ินและน้า อยา่งมากท้งัการก่อสร้าง ระบบอนุรักษด์ินและน้า ดว้ยเครื่องจกัรกลและแรงคน เพราะเมื่อฝนตกจะทา ใหด้ินช้ืนแฉะและเหนียวท าให้ ดินลื่นประกอบกบัเป็นพ้นืที่ลาดชนัจึงเป็นอนัตรายต่อการใชเ้ครื่องจกัรกล 2.2 การประสานงานและการประชุมชี้แจงการก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน ้า ก่อนเขา้ดา เนินการในพ้นืที่ตอ้งติดต่อประสานงานกบัศูนยพ์ฒันาโครงการหลวง เพื่อแจ้งและนัด หมายใหเ้กษตรกรเขา้ร่วมประชุมเพอื่รับฟังข้นัตอน วิธีการพัฒนาพ้นืที่แผนการปฏิบัติงาน และ


กา หนดการเขา้ดา เนินการพฒันาจดัระบบอนุรักษด์ินและน้า เพอื่ประโยชน์ในการร่วมมือกนัพฒันาพ้นืที่ เป้าหมายใหส้า เร็จลุล่วงตามวตัถุประสงคท์ ี่กา หนดไว ้ ภาพที่ 25 การประชุมช้ีแจงเกษตรกร 2.3 การส ารวจหาพื้นที่เป้ าหมายในพื้นที่ โดยใช้เครื่องกา หนดตา แหน่งโดยใชด้าวเทียม(Global Positioning System : GPS) เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ ในการหาตา แหน่งและความสูงของจุดที่กา หนดบนพ้ืนโลกซ่ึงจะทา ให้ทราบว่าจุดเหล่าน้ันมีค่าพิกดัและ ความสูงเท่าใด ท้งัน้ีตอ้งอาศยัการรับสญัญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยรู่อบโลก ซ่ึงจะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วย ในการสา รวจหาพ้ืนที่เป้าหมายที่กา หนดไวใ้นแผนที่ภูมิประเทศ 1 : 50000ไดส้ะดวกและถูกตอ้งแม่นยา กว่าการสา รวจหาพ้ืนที่ดว้ยการสังเกตลกัษณะภูมิประเทศดว้ยตาเปล่า เพราะพ้ืนที่เป้าหมายมีการสา รวจ ล่วงหนา้ไวห้ลายปีสภาพพ้นืที่ก็รกทึบด้วยหญ้าหรือป่ าละเมาะและบางพ้นืที่หมุดวงรอบหลุดหายไปทา ให้ การคน้หาพ้นืที่เป้าหมายทา ไดย้ากยงิ่ข้ึน ภาพที่ 26 การสา รวจหาพ้นืที่เป้าหมายในพ้นืที่ด้วยเครื่องกา หนดตา แหน่งโดยใชด้าวเทียม


Click to View FlipBook Version