บ อ น สี ร า ชิ นี แ ห่ ง ไ ม้ ใ บ
Caladium
รู้ครบจบในเล่มเดียว
คำ นำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้ นเพื่ อเป็นส่วนหนึ่ งของรายวิชา
COM 231 การสร้างสรรค์เนื้ อหาและผลิตสื่ อดิจิทัล เพื่ อให้ได้
ศึ กษาหาความรู้ในเรื่ องบอนสีราชินีแห่งไม้ใบในเรื่ องต่างๆ
ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้นำไปศึ กษา
เพื่ อเป็นความรู้ต่อผู้ที่สนใจในเรื่ องนี้ไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิด
พลาดประการใดหรือข้อมู ลไม่สมบู รณ์ข้าพเจ้าจึงต้องขออภัยไว้มา
ณ ที่นี้ด้วย
ผู้ จั ด ทำ
วิยะดา ทองแพง
9/12/64
ส า ร บั ญ 4
7
ตำ น า น บ อ น สี 18
ป ร ะ เ ภ ท แ ล ะ ก า ย วิ ภ า ค ข อ ง บ อ น สี 27
วิ ธี ก า ร ป ลู ก เ ลี้ ย ง บ อ น สี
แ ห ล่ ง แ ล ก เ ป ลี่ ย น ค ว า ม รู้
ตำ น า น บ อ น สี
บอนสีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ แพร่หลายเข้ามา
ทางทวีปยุโรป อินเดีย จนถึงประเทศอินโดนีเซีย และคาดว่า
แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยมากับ
เรือสำเภาของพ่อค้าจีน คือ CALADIUM SCHOMBURGKI
(ANDRE) M.MADISON หรือที่เรียกกันว่า ว่านโพธิ์ทอง หรือ
ว่านพระอาทิตย์ เส้นใบสีชมพู และ ว่านโพธิ์เงิน หรือ ว่าน
พระจันทร์ เส้นใบสีขาว เชื่อกันว่าหากใครปลูกเลี้ยงบอนสีทั้ง
สองต้นจะเป็นสิริมงคล เมตตามหานิยม และช่วยให้ค้าขายดี
4
จากหลักฐานพบว่า สมัยกรุงศรีอยุธยามีการปลูกเลี้ยงบอนสีห
ลายสายพันธุ์ เช่น พระยาเศวต วัวแดง ช้างเผือกใบบัว จนถึง
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การปลูกเลี้ยงบอนสีก็ยิ่งมีความหลาก
หลายมากขึ้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ.2440 และ พ.ศ.2450 ทรงนำ
พ ร ร ณ ไ ม้ จ า ก ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ เ ข้ า ม า ป ลู ก ใ น ป ร ะ เ ท ศ ห ล า ย ช นิ ด
สำหรับบอนสีที่นำเข้ามาในปี พ.ศ.2440 เป็นบอนสีประเภทใบ
ไทย แต่เรียกกันว่า "บอนฝรั่ง" มีพื้นใบสีแดงเข้มและสีแดงอ่อน
บางชนิดมีพร่าเหลือบสี เช่น แดงสรรพศาสตร์ แดงภาณุรังษี
แดงสุริยัน ไก่อัมรินทร์ ไก่ราชาวดี ไก่วสันต์ ฯลฯ
5
ส่วนบอนสีที่นำเข้ามาในปี พ.ศ. 2450 เป็นบอนสีประเภทใบไทย
เช่นกัน แต่มีความหลากหลายของสีสันมากขึ้น พื้นใบมีตั้งแต่สี
แดงเข้ม สีแดงอ่อน สีชมพูแก่ สีชมพูอ่อน บางชนิดเป็นเหลือบสี
เหลือง พื้นใบมีเม็ดสีขาว สีแดง หรือมีเม็ดสองสีปนกัน และยังมี
บ อ น ป้ า ย ที่ มี แ ถ บ ด่ า ง พ า ด บ น พื้ น ใ บ ถื อ ว่ า เ ป็ น ยุ ค เ ริ่ ม ตั น ข อ ง
ความนิยมปลูกเลี้ยงบอนสีของไทย ซึ่งอยู่ในกลุ่มขุนนาง ข้าราช
บริพารเท่านั้น และเป็นการปลูกเลี้ยงแบบธรรมชาติ คือปล่อยให้
ต้นพักตัวในฤดูหนาว ใบเหี่ยวเฉา เหลือแต่หัวฝังจมใต้ดิน รอ
จนกว่าจะถึงฤดูฝนจึงเริ่มแตกใบใหม่ขึ้นมาจึงเริ่มเลี้ยงกัน จน
ช่วงปี พ.ศ. 2472 - 2475 การปลูกบอนสีแพร่หลายไปสู่
ประชาชนทั่วไป เริ่มจากบรรดาขุนนาง ข้าราชบริพารได้นำบอน
สีไถวายพระสงฆ์และบุคคลสำคัญที่สนิทสนมกัน แต่การปลูก
เ ลี้ ย ง บ อ น สี ยั ง จำ กั ด เ ฉ พ า ะ ใ น ก ลุ่ ม ค น มี เ งิ น แ ล ะ ต า ม วั ด ว า อ า ร า ม
เท่านั้น เนื่องจากมีราคาสูง เช่น บอนสี "นกยิบ" ที่มีราคา 10
ชั่ง เท่ากับ 800 บาท (มีมูลค่าเป็นแสนบาทในปัจจุบัน) และเรียก
กั น ว่ า " น ก ยิ บ สิ บ ชั่ ง
6
ป ร ะ เ ภ ท แ ล ะ ก า ย วิ ภ า ค ข อ ง บ อ น สี
ความแตกต่างของบอนสีแต่ละชนิด แต่ละพันธุ์ อยู่ที่ลักษณะ
ของใบที่มีสีสันลวดลายสวยงาม จำแนกตามรูปใบเป็น 5 ประเภทคือ
1. บอนใบไทย ใบรูปหัวใจ ปลายใบแหลม ก้านใบกลมออกจาก
กึ่งกลางใบ หูใบฉีกไม่ถึงสะดือ
7
2. บอนใบยาว ใบรูปหัวใจคล้ายบอนใบไทย แต่ใบเรียวกว่า ปลายใบ
เรียวแหลม ก้านใบกลมออกจากโคน หูใบยาวฉีกถึงสะดือ
8
3. บอนใบกลม ใบค่อนข้างกลม ปลายใบมนหรือมนมีติ่งแหลม
ก้านใบกลมอยู่กึ่งกลางใบ หูใบฉีกไม่ถึงสะดือ
9
4. บอนใบกาบ ใบหลายลักษณะ มีทั้งใบยาว ใบกลม ใบไผ่ ใบไทย
ก้านใบแผ่แบนตั้งแต่โคนใบถึงแข้ง ลักษณะคล้ายก้านใบผักกาด
10
5. บอนใบไผ่ ใบรูปแถบ รูปใบหอกแดบหรือเป็นเส้น ปลายใบเรียว
แหลมคล้ายใบไผ่ หูใบสั้นมาก (หูรูด) ความกว้างของใบไม่เกิน 2 นิ้ว
11
นอกจากการจำแนกตามรูปใบแล้ว สามารถจำแนกตามสีสันบนใบได้
ดั ง นี้
1. บอนไม่กัดสี คือ บอนสีที่มีสีคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยังเล็กจน
โดเต็มที่ หรืออาจมีสีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ยังคงสีเดิมให้เห็น เช่น
นายจันหนวดเขี้ยว บอนสีตับวีรชน เป็นบอนใบไทยที่มีสีแดงตั้งแต่
ดั น เ ล็ ก จ น โ ต เ ต็ ม ที่
2. บอนกัดสี คือ บอนสีที่มีการเปลี่ยนแปลงของสีสัน เมื่อยังเล็กใบ
เป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาล พอโตเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือสีแดง
และอาจมีจุดหรือแต้มสีเกิดบนใบ ส่วนใหญ่เป็นบอนลูกผสมใหม่
3. บอนป้าย คือ บอนสีที่มีแถบด่างสีแดงพาดทับบนแผ่นใบสีเขียว
ซึ่งเริ่มแสดงลักษณะตั้งแต่ใบที่ 1 หรือ 2 เช่น อัปสรสวรรค์
12
4. บอนด่าง คือ บอนสีที่มีปิ้นด่างสีขาวอมเขียวอ่อนหรือขาวมแดง
บ น พื้ น ใ บ สี เ ขี ย ว ห รื อ ด่ า ง เ ห ลื อ ง
13
ใ น ว ง ก า ร ผู้ ป ลู ก เ ลี้ ย ง บ อ น สี มี คำ ศั พ ท์ ที่ บั ญ ญั ติ เ ป็ น ท า ง ก า ร เ มื่ อ ปี
พ.ศ.2475 เพื่อให้ผู้ปลูกเลี้ยงเข้าใจถึงส่วนต่าง ๆ ได้ตรงกันเมื่อ
ต้องการจดทะเบียนตั้งซื่อพันธุ์ ดังนี้
1. จอม คือ ส่วนยอดของหัวซึ่งเป็นจุดกำเนิดของใบ
2. พร่า คือ จุดเล็ก ๆ ที่แผ่กระจายบนพื้นใบ
14
3. หนุนทราย คือ จุดสีเล็ก ๆ คล้ายเม็ดทรายบนพื้นใบแต่มองเห็น
ราง ๆ
4. กระดูก คือ เส้นใบหลักที่อยู่กึ่งกลางใบ ออกจากสะดือไปจรด
ปลายใบ
5. เส้น คือ เส้นใบย่อยที่แตกแขนงจากกระดูก มีสีเดียวกับกระดูก
6. วิ่งพร่า คือ จุดเล็ก ๆ ที่แผ่กระจายเลียบข้างกระดูกอาจมีสี
เ ดี ย ว กั น ห รื อ ต่ า ง จ า ก ก ร ะ ดู ก
7. ร่างแห คือ เส้นใบย่อยที่แตกแขนงจากเส้น มีสีต่างจากพื้นใบ
8. เม็ด คือ จุดหรือแต้มที่มีสีแตกต่างจากพื้นใบ อาจเล็กหรือใหญ่
ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ซึ่งมีชื่อเรียกดังนี้
- เม็ดเล็ก คือ จุดเล็ก ๆ กระจายทั่วใบ
- เม็ดใหญ่ คือ จุดขนาดใหญ่ อาจเป็นสีขาวหรือสีอื่นๆกระจายอยู่
บนใบ
- เม็ดกลม คือ จุดกลมบนใบที่มีสีแตกต่างกันในแต่ละพันธุ์
- เม็ดลอย คือ เม็ดที่มองเห็นได้ชัดกระจายทั่วใบ
- เม็ดจม คือ เม็ดที่ปรากฎลึกลงไป มีสีกลมกลืนกับพื้นใบจนเห็น
ไ ม่ ชั ด เ จ น
- เม็ดใหญ่พร่า คือ เม็ดใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนพื้นใบ แต่สีจางกว่า
เ ห็ น ไ ม่ ชั ด เ จ น
- เม็ดถี่ คือ อาจเป็นเม็ดกลม เม็ดใหญ่ เม็ดใหญ่พร่าที่มีจำนวนมาก
สี ต่ า ง จ า ก พื้ น ใ บ ชั ด เ จ น
9. สะดือ คือ ตำแหน่งที่เส้นใบมาจรดกันบริเวณกลางใบตรงกับ
ตำ แ ห น่ ง ที่ ติ ด กั บ ก้ า น ใ บ พ อ ดี
1
5
10. หูใบ คือ ส่วนด้านล่างของใบที่แยกออกจากกันจนใกล้กับสะดือ
ห รื อ ถึ ง ส ะ ดื อ
11. หว่างหู คือ บริเวณใบที่หยักเว้าเป็นหูใบ
12. สะโพก คือ ด้านล่างของส่วนกว้างของหูใบ
13. คอใบ คือ ปลายก้านใบที่จรดกับด้านหลังของสะดือ
14. หูใต้ใบ คือ ติ่งใบเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาใต้ใบบริเวณสะดือ
พ บ ใ น บ อ น บ า ง พั น ธุ์
15. ก้านใบ คือ ก้านที่ออกจากหัว โดยทั่วไปโคนก้านแผ่เป็นกาบ
บาง ๆ ยกเว้นบอนใบกาบ ก้านใบจะแผ่เป็นกาบกว้าง
16. เสี้ยน คือ เส้นหรือขีดเล็ก ๆ สั้นบ้าง ยาวบ้าง อยู่บนก้านใบ
มี สี น้ำ ต า ล เ ข้ ม
17. สะพานหน้า คือ เส้นยาวบนก้านใบ พาดจากโคนใบไปยังคอใบ
ซึ่ ง อ ยู่ ด้ า น ใ น ข อ ง ก้ า น
18. สะพานหลัง คือ เส้นยาวบนก้านใบ พาดจากโคนใบไปยังคอใบ
แ ต่ อ ยู่ ต ร ง ข้ า ม กั บ ส ะ พ า น ห น้ า
19. สาแหรก คือ เส้นสั้น ๆ ที่ออกจากโดนก้านไปจนถึงปลายกาบ
อยู่ระหว่างสะพานหน้าและสะพานหลัง อาจเป็นเส้นเดี่ยว เส้นคู่
ห รื อ เ ป็ น ก ลุ่ ม
20. แข้ง คือ รยางค์คล้ายใบเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาจากกึ่งกลางบน
ก้ า น
ใบของบอนใบกาบ
16
21. ชั้นใบ คือ อัตราการเจริญเติบโตของใบในแต่ละต้น
เรียงเป็นชั้น มี 2 ลักษณะ ดังนี้
- ชั้นเสมอ คือ บอนสีที่มีอัตราการเจริญเติบโตของใบสม่ำเสมอ
ท ร ง พุ่ ม แ น่ น เ ป็ น ชั้ น ค ล้ า ย ฉั ต ร
- ชั้นกระโดด คือ บอนสีที่มีช่วงใบห่าง ทรงพุ่มโปร่งและสูง
22. ป้าย คือ แถบหรือขึ้นสีที่พาดทับบางส่วนของพื้นใบเรียกว่า
" บ อ น ป้ า ย "
23. กัดสี คือ ใบสีเขียวหรือน้ำตาลที่เริ่มเปลี่ยนสีตามลักษณะ
พันธุ์ อาจเปลี่ยนเป็นจุดสีก่อน แล้วขยายบริเวณกว้างขึ้นตาม
ลำดับทีละใบ สีจะสวยเต็มที่เมื่อต้นโตเต็มที่
24. ใบเบี้ย คือ ใบแรกที่เกิดขึ้นเมื่อต้นยังเล็ก เป็นใบที่ยังไม่กัดสี
และมีสีเขียว มีลักษณะและสีต่างจากใบที่โตเต็มที่แล้ว
25. บอนหนัก คือ บอนที่ใช้เวลานานกว่าจะปรากฎสีที่แท้จริง
(กัดสี) บางต้นอาจใช้ระยะเวลาหลายเดือนจึงให้สีที่แท้จริง
26. บอนเบา คือ บอนที่ใช้เวลาปลูกเลี้ยงไม่นานก็ปรากฏสีที่แท้
จริง (กัดสี)
27. บอนแผลง คือ บอนต้นใหม่ที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีผ่าหัว และ
ก ล า ย พั น ธุ์ ไ ป จ า ก ต้ น เ ดิ ม ห รื อ ต้ น แ ม่ ที่ นำ ม า ผ่ า หั ว อ า จ ไ ด้ บ อ น
แ ผ ล ง ที่ ส ว ย ก ว่ า ต้ น เ ดิ ม
17
วิ ธี ก า ร ป ลู ก เ ลี้ ย ง บ อ น สี
เ ป ลี่ ย น ก ร ะ ถ า ง ห รื อ เ ป ลี่ ย น ดิ น ต้ น บ อ น ต้ อ ง นำ ก ร ะ ถ า ง บ อ น ต้ น เ ดิ ม
มาแช่น้ำให้ปริ่มขอบกระถางนาน 5-10นาที
ให้ดินปลูกชุ่มน้ำและร่อนออกจากหัว เวลาแกะออกจากกระถาง
ร า ก จ ะ ไ ม่ ข า ด ห รื อ บ อ บ ช้ำ
2. อย่าปลูกให้หัวหรือรากลอย ควรกลบดินให้มิดหัวหรือลึก
ประมาณ 3 เซนติเมตร
3. อาจหาไม้ค้ำใบบอนและเช็ดใบให้สะอาด จะช่วยให้ทรงพุ่ม
สวยงาม ต้นบอนสีสดใสขึ้น
4. ถ้าต้องการส่งไม้เข้าประกวด สามารถตกแต่งต้นบอนสีให้สวย
ตามกติกาการประกวด เช่น การค้ำใบให้สวย การเช็ดใบ
ให้สะอาด แต่ห้ามฉีดสารที่ช่วยให้ใบมัน หรือการนำกระดาษสีไป
ติดบนตำหนิที่ใบ เป็นต้น
5. บอนสีพักตัวในช่วงฤดูหนาว ใบจะค่อย ๆ เหี่ยวแห้งจนไม่มีใบ
ผู้ปลูกควรงดให้น้ำ ปล่อยให้หัวแห้งในกระถาง หรือขุดหัว
ขึ้นมาผึ่งให้แห้งในที่ร่ม 2 - 3 วัน แล้วใส่ถุงกระดาษเก็บในที่ร่ม
พอถึงฤดูฝนก็นำมาปลูก โดยฝังหัวลงดินในกระถางที่จะปลูก
แล้วรดน้ำให้ชุ่ม บอนสีก็จะค่อย ๆ แทงรากแทงปลีเป็นใบต่อไป
18
ปั จ จั ย สำ คั ญ ใ น ก า ร ป ลู ก เ ลี้ ย ง บ อ น สี
1. ดิน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปลูกบอนสี ถ้าดินปลูกมีอินทรีย
วัตถุและธาตุอาหารเพียงพอ บนสีจะเติบโตและให้สีสันสวยงาม
ส่วนใหญ่ใช้ดินเบา เพราะดูดซับและระบายน้ำได้ดี
สู ต ร ดิ น ที่ นิ ย ม ใ ช้ มี ดั ง นี้
- ดินขุยไผ่ (กอไผ่ที่ตายแล้ว) ผสมกับใบทองหลาง ใบมะขาม
หรือใบก้ามปู (ใบจามจุรี) อัตราส่วน 1 : 2 อาจใช้ใบไม้ชนิดอื่นที่
ผุ พั ง ผ ส ม กั บ ดิ น ป ลู ก บ อ น สี ไ ด้ เ ช่ น เ ดี ย ว กั น
19
- ดินเหนียวร่อนเป็นก้อนเล็กผสมขี้เถ้าแกลบ อัตราส่วน 1 : 1
รดน้ำให้ชุ่มทุกวัน เหมาะกับพื้นที่ที่พรางแสง 40 - 50
เปอร์เซ็นต์ และพันธุ์การค้าที่ใช้ในการจัดสวน ต้นจะงามสวยและ
ทนทาน ควรให้ปุ๋ยยูเรียสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยหว่านบาง ๆ รอบ
ต้ น แ ล้ ว ร ด น้ำ ต า ม
- ดินทรายผสมใบมะขามผุ อัตราส่วน 1 : 1 ผู้เขียนไปพบที่ร้าน
อาหารใกล้หาดชะอำ เจ้าของร้านปลูกบอนสีไว้จำนวนมาก ส่วน
มากเป็นพันธุ์ฮกหลง กวนอิม พระยาจักรี เจ้าเงาะที่ปลูกเป็นกอ
ไม่ได้ใส่ปุ๋ย และพรางแสงให้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ต้นก็งดงาม
ใ ห้ ลู ก ค้ า ที่ ร้ า น อ า ห า ร ไ ด้ ช ม กั น
- ดินผสมที่ขายทั่วไป ใช้ปลูกบอนสีได้ แต่ไม่นิยม เพราะมีส่วน
ผสมของขุยมะพร้าวและกาบมะพร้าวสับ ซึ่งอุ้มน้ำมากไป บอนจะ
ไ ม่ ง า ม
- ดินเหนียวที่ตากแดดจนแห้งแล้วทุบผสมเศษหญ้าแห้งสับ
อัตราส่วน 2 : 1 ช่วยให้ต้นงาม อยู่ได้ดีหลายปีโดยไม่ต้องเปลี่ยน
ดินและหัวไม่ฝ่อ อาจใส่ปุ๋ยคอกอย่างปุ๊ยมูลไก่ มูลเป็ดโรยผิวหน้า
บาง ๆ เดือนละ 1 ครั้ง ต้นจะสวยงามขึ้น อย่างไรก็ตาม ดินที่ใช้
ป ลู ก บ อ น สี ส า ม า ร ถ ป รั บ ใ ช้ ไ ด้ ต า ม ค ว า ม ส ะ ด ว ก ข อ ง ผู้ ป ลู ก เ ลี้ ย ง
แ ล ะ ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม ข อ ง ส ภ า พ ภู มิ ป ร ะ เ ท ศ ใ น แ ต่ ล ะ พื้ น ที่
20
Tips
ดิ น ท อ ง ห ล า ง เ ป็ น ดิ น ที่ เ ห ม า ะ สำ ห รั บ ป ลู ก เ พื่ อ เ ก็ บ หั ว ไ ว้ ใ ช้ เ ป็ น
พ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์ เพราะทำให้หัวอวบสมบูรณ์ เหมาะแก่การ
ส่งขาย คุณชวลิต สำเภาพานิช แนะนำว่า บอนใบกลม
และบอนใบไทยเป็นบอนโตช้า ควรมีดินเป็นส่วนผสมหลัก
ผสมกับใบไม้ผุอัตราส่วน 1 : 1 ถ้าใช้ใบไม้ผุเพียงอย่างเดียวจะ
ทำให้วัสดุปลูกย่อยสลายหมดก่อนที่บอนจะโตเต็มที่ ส่วนบอน
ใบยาว ถ้าต้องการให้โตเร็วควรใช้ดินผสมกับใบไม้ผุใน
อัตราส่วน 1 : 2
21
2. น้ำ บอนสีเจริญเติบโตได้ดีและมีสีสันสวยงามในสภาพอากาศ
ร้อนชื้น ถ้าต้นขาดน้ำจะชะงักการเจริญเดิบโต ใบเหี่ยวไม่สดใส
ดั ง นั้ น ก า ร เ ลี้ ย ง บ อ น สี ใ น ก ร ะ ถ า ง ที่ มี ส ภ า พ อ า ก า ศ ป ก ติ
หรือปลูกไว้นอกตู้ควรมีจานรองกันกระถาง หล่อน้ำไว้ใน
อัตราส่วน 1 ใน 5 ของกระถางที่ใช้ปลูก หากไม่มีเวลารดน้ำก็ใส่
น้ำในจานรองให้สูงหน่อย บอนสีก็อยู่ได้อย่างสบาย ไม่ควรใช้สาย
ยางฉีดน้ำที่โดนต้น เพราะจะทำให้ดินที่กลบหัวบอนอยู่กระจาย หัว
บอนสีโผล่ขึ้นมาจนรากลอย ต้นจะโทรมและหัวบอนกระเด็นหาย
ไป ช่วงฤดูหนาวต้นบอนจะพักตัว ควรงดให้น้ำจนถึงปลายเดือน
เมษายน เมื่อหัวบอนสีเริ่มผลิใบจึงให้น้ำตามปกติ
สำหรับต้นที่ปลูกในแปลงควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง
เช้าและเย็นในฤดูร้อน ส่วนฤดูฝนรดวันละ 1ครั้ง
ตอนเช้า และควรใช้หัวฝักบัวที่มีรูเล็กและถี่
ถ้าใช้สายยางฉีดน้ำ แรงน้ำจะทำให้รากกระทบกระเทือน
ใบหักและฉีกขาด ดินที่หุ้มกาบต้นบอนจะหลุดออก
ทำให้กาบใบแบะ โอนเอนและเหี่ยวเฉาเร็ว
22
3. แสงแดด บอนสีเป็นไม้เมืองร้อนที่ต้องการอุณหภูมิ 21 - 35
องศาเซลเซียส มีแสงแดดในช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายที่ไม่ร้อนเกินไป
ถ้าได้รับแสงแดดจัดอาจทำให้ใบไหม้ แต่ถ้าแสงแดดน้อยเกินไป
ใบจะมีสีซีด ก้านใบยาวกว่าปกติ ต้นสูงชะลูดผิดลักษณะประจำ
พันธุ์ไป พบว่าบอนสีพันธุ์เดียวกัน ถ้าปลูกในสภาพต่างกัน
ลักษณะสีสันและลวดลายใบจะแตกต่างกัน ในฤดูแล้ง (เดือน
กุมภาพันธ์ - เมษายน) ควรพรางแสงให้มีความเข้มแสง
ประมาณ 50 - 70 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.30 น. -
15.00 น. จะช่วยให้สีสันสวยงามยกเว้น บางพันธุ์ที่ต้องการแสง
ม า ก ก ว่ า ป ก ติ
23
Tips
ผู้ปลูกเลี้ยงบางท่านแนะนำว่า ควรใช้ซาแรนพรางแสง 70
เปอร์เซ็นต์ เพราะทุกวันนี้สภาพอากาศร้อนจัด หากอากาศ
ไ ม่ ร้ อ น ม า ก นั ก ก็ เ ปิ ด ซ า แ ร น อ อ ก ชั้ น ห นึ่ ง เ พื่ อ ใ ห้ รั บ แ ส ง แ ด ด
เพิ่มขึ้นผู้ที่ต้องการปลูกในบ้าน ห้องทำงาน ควรปลูกเลี้ยง
มากกว่า 1 ต้น โดยยกต้นแรกมาตั้งไว้ในห้อง 4- 5 วัน จาก
นั้นนำต้นออกรับแสงนอกบ้านสัก 1 - 2 สัปดาห์ แล้วยกต้น
อื่ น ม า ส ลั บ ห มุ น เ วี ย น ไ ป
24
4. ความชื้นในอากาศ บอนสีเป็นพืชที่ไวต่อสภาพอากาศ
ความชื้นในอากาศจึงมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตมาก เช่น
ในฤดูหนาวและฤดูร้อนซึ่งมีความชื้นในอากาศต่ำ หัวบอนจะเริ่ม
พักตัว ใบเหี่ยวและทิ้งใบหมด จนถึงฤดูฝนซึ่งความชื้นในอากาศ
สูงขึ้น จึงเริ่มผลิใบใหม่เติบโตต่อไป แต่ปัจจุบันสามารถป้องกัน
ก า ร พั ก ตั ว ข อ ง หั ว บ อ น ไ ด้ โ ด ย ก า ร ป ลู ก ใ น ตู้ ห รื อ ก ร ะ โ จ ม
5. ลม บอนสีไม่ชอบลมแรง ถ้าบริเวณที่ปลูกเลี้ยงเป็นทางลม
โกรก จะทำให้ก้านใบแบะ หักหรือฉีกขาด และทรงพุ่มไม่สวยงาม
ควรปลูกในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก แต่ไม่ใช่
ทางลมและไม่มีลมแรง หรือปลูกใต้พุ่มไม้ใหญ่เพื่อช่วยบังลม
6. ชนิดและพันธุ์ บอนสีแต่ละชนิดมีความแข็งแรงทนทานและ
ความยากง่ายในการเลี้ยงต่างกัน พบว่าบอนใบสีเขียวเป็นบอนที่
เลี้ยงง่ายที่สุด รองลงมาคือบอนใบสีขาว สีแดง และ
บอนใบเหลืองเลี้ยงยากที่สุด ส่วนบอนใบยาวมีความแข็งแรงกว่า
บอนใบไทยและบอนใบกลม
25
7. ปุ๋ย อาจให้ ปุ๋ยออสโมโค้ท สูตรเสมอ (13-13-13) หรือ
ปุ๋ยยูเรียเล็กน้อย สัปดาห์ละ 5 - 10 เม็ด จะช่วยให้บอนสีสวยขึ้น
ไม่ควรใส่มากเกินไป เพราะจะทำให้ใบชะลูด สีใบเปลี่ยน
8. ภาชนะปลูก อาจเป็นกระถางพลาสติกหรือกระถางดินเผาก็ได้
แต่นิยมใช้กระถางดินเผา เนื่องจากมีรูพรุนระบายน้ำและอากาศ
ได้ดี ระบบรากบอนสีจะเติบโตได้ดีกว่ากระถางพลาสติก
ซึ่งเป็นวัสดุทึบ ถ่ายเทอากาศได้น้อยกว่า อาจปลูกในกระถางตั้ง
ประดับตามพื้น หรือเป็นไม้กระถางแขวนก็ได้
26
แ ห ล่ ง แ ล ก เ ป ลี่ ย น ค ว า ม รู้
ผู้ที่ปลูกเลี้ยงบอนสีเริ่มพัฒนาเทคนิคการปลูกเลี้ยงที่แตกต่างไป
จากเดิม เช่น มีการนำแก้วน้ำดื่มหรือแก้วครอบพระมาครอบต้น
บอน บางรายก็ยกต้นบอนไว้ในตู้กระจกเพื่อป้องกันการพักตัว
การทดลองผสมเกสรให้ติดเมล็ด เพื่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ และ
ก า ร นำ ต้ น บ อ น สี ม า แ ล ก เ ป ลี่ ย น กั น ใ น ห มู่ ผู้ ป ลู ก เ ลี้ ย ง พ ร้ อ ม กั บ ตั้ ง
ชื่อตามลักษณะใบและสีสัน แบ่งเป็นกลุ่มโดยเรียกชื่อว่า "ตับ"ตาม
ตัวละครในวรรณคดีบ้าง ชื่อจังหวัด หรือชื่อบุคคลสำคัญ
ในประวัติศาสตร์ จนมีการรวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่มของนักเล่นบอน
สี
ซึ่งมีสถานที่ชุมนุม 5 แห่ง ได้แก่
1. สนามบาร์ไก่ขาว ตั้งอยู่บริเวณร้านเมธาวลัย ศรแดงใน
ปัจจุบัน ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในอดีตมีการนัดชุมนุมเดือน
ละครั้ง มีการจัดประกวดและตั้งชื่อจดทะเบียนบอนสีสายพันธุ์ใหม่
ๆ และแบ่งเป็นตับต่าง ๆ เช่น ตับพระอภัยมณี ตับขุนช้างขุนแผน
ตับนก สถานที่แห่งนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการเลี้ยงบอนสีในสมัย
นั้นเป็นอย่างมาก และยังมีการรวบรวมลักษณะบอนสีที่ตั้งชื่อไว้
แล้วจำนวน 160 ต้นเพื่อจัดพิมพ์เป็นเล่มอีกด้วย
27
2. วัดอินทรวิหาร เทเวศร์ โดยจางวางหลุย วังบางขุนพรหม
เป็นผู้ริเริ่มรวมกลุ่มผู้ปลูกเลี้ยงบอนสีขึ้น และมีการชุมนุมทุกวัน
เสาร์ดันเดือน ซึ่งผู้ชนะการประกวดจะได้รับรางวัลเป็นปั้นน้ำชา
3. บ้านเจ้าคุณทิพย์ ปากคลองบางลำพูบน โดยมีพระยาทิพย์
โกษาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการพบปะกันทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เข้าชมฟรี
สำ ห รั บ ผู้ ส่ ง ป ร ะ ก ว ด เ สี ย ค่ า ธ ร ร ม เ นี ย ม ท่ า น ล ะ 1 บ า ท
4. วัดสระเกศ เป็นสำนักเลื่องชื่อ มีชมรมบอนสี 3 ชมรม โดย
แยกเป็นหมู่คณะ ได้แก่ อาจารย์หรุ่น อาจารย์เป๋ หมวดเจ๋ง
ทั้งหมดเป็นพระภิกษุ สถานที่แห่งนี้มีผู้นิยมไปชุมนุมมากที่สุดในยุค
นั้น และเป็นเช่นนั้นนานถึง 10 ปี
28
5. ร้านเสาวรส บางลำพู หลังห้างเสาวรส มีการจัดประกวด
บอนสีอยู่เป็นประจำเมื่อในอดีต บอนสีก็เหมือนไม้ประดับชนิดอื่นๆ
ที่มีช่วงที่ได้รับความนิยมและเสื่อมความนิยมไป จนในปี พ.ศ.
2508 มีผู้สั่งบอนใบยาวจากสหรัฐอเมริกามาปลูกเลี้ยงกันมาก
ขึ้น และทดลองผสมพันธุ์ใหม่ ๆ กันมากมาย บอนสีจึงได้รับความ
นิยมอีกครั้ง กระทั่ง ปี พ.ศ. 2520 ตลาดตันไม้สนามหลวงก็มี
ผู้นำบอนสีแปลกใหม่มาจำหน่ายกันในราคาค่อนข้างสูง เช่น "นาย
โ ช ติ "
มีราคาสูงถึง35,000 บาท
29
แต่เมื่อตลาดตันไม้ย้ายไปที่ตลาดจตุจักร ส่งผลให้ความนิยมบอน
สีลดลงอีกครั้ง แต่ด้วยความตั้งใจของผู้ปลูกเลี้ยงบอนสี พล
ตำรวจเอก พจน์ บุณยะจินดา และนักปลูกเลี้ยงหลายท่านจึงร่วม
กันจัดตั้งสมาคมบอนสีแห่งประเทศไทย ขึ้นเมื่อวันที่ 23
พฤษภาคม พ.ศ. 2525 พร้อมกับดำรงตำแหน่งนายกสมาคม
โ ด ย มี จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ใ ห้ นั ก ป ลู ก เ ลี้ ย ง บ อ น สี ร่ ว ม กั น อ นุ รั ก ษ์ พั น ธุ์ บ อ น สี
ที่ เ กิ ด จ า ก ฝี มื อ ข อ ง ค น ไ ท ย ม า ห ล า ย ชั่ ว อ า ยุ ค น ไ ม่ ใ ห้ สู ญ พั น ธุ์ ไ ป
พร้อมกับพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ ๆ ให้มีมากขึ้น มีการจัดประกวด
บอนสีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บอนสีมีความนิยมสูงสุดในช่วงเวลา
นั้น และยังมีหนังสือบอนสีเกิดขึ้นหลายเล่มจนถึงปัจจุบันสมาคม
ก่อตั้งมานานเกือบ 40 ปีแล้ว แต่สมาชิกและนักปลูกเลี้ยงบอนสี
ทุกท่านก็ยังคงร่วมกันพัฒนาวงการอย่างไม่หยุดยั้ง มีการจัด
ประกวดบอนสีอย่างต่อเนื่อง เพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์และความรู้
ด้านการปลูกเลี้ยงบอนสีของคนไทยให้คงอยู่ตลอดไป อีกทั้งยังมี
การผลิตกล้าพันธุ์ การผลิตหัวพันธุ์บนสีสำหรับส่งจำหน่ายต่าง
ประเทศ การปลูกเลี้ยงเพื่อผลิตเป็นไม้ตัดใบ รวมทั้งการนำไป
ปลูกประดับร่วมกับพรรณไม้อื่นในงานภูมิสถาปนิก กล่าวได้ว่า
บอนสีมีการปรับปรุงพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จนได้สายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่
มีศักยภาพในด้านไม้ประดับไม่น้อยไปกว่าไม้ประดับอื่น ๆ เลย
30
แม้ในช่วงที่กระแสความนิยมบอนสีลดลง แต่กลุ่มผู้ปลูกเลี้ยงรุ่น
เก่าก็ไม่หยุดพัฒนาพันธุ์ และยังมีการประกวดบอนสีปีละ1 - 2
ครั้งเป็นประจำทุกปี กระทั่งในปี พ.ศ. 2563 สถานการณ์การแพร่
ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 ทำให้หลายคนต้องหยุด
งาน ในขณะที่หลายคนตกงานและหันมาหางานอดิเรกใหม่ ๆ เพื่อ
สร้างรายได้ด้วยการปลูกต้นไม้ ทำให้ความนิยมบอนสีเพิ่มสูงขึ้น
มากกว่าเมื่อครั้งอดีต ประกอบกับนักปลูกเลี้ยงหลายคนได้ผลิต
ลู ก ผ ส ม ที่ มี ล ว ด ล า ย แ ล ะ สี สั น ใ บ ที่ แ ต ก ต่ า ง จ า ก บ อ น สี รุ่ น เ ก่ า อ ย่ า ง
มาก จึงทำให้กระแสความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตลาดบอนสีออนไลน์
จ า ก ร า ย ง า น ผ ล ก า ร สำ ร ว จ พ ฤ ติ ก ร ร ม ผู้ ใ ช้ อิ น เ ท อ ร์ เ น็ ต ใ น
ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2562 จัดทำโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรม
ทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
พบว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การใช้ยินเทอร์เน็ตในเมืองไทยเพิ่ม
ขึ้น1.6 เท่า จาก 19.2 ล้านคนในปี พ.ศ. 2553 เพิ่มเป็น 50.1
ล้านคน (3 ใน 4 ของประชากรไทย) ในปี พ.ศ. 2562 ใน
จำนวนนี้กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการสื่อสาร
ผ่านโซเชียลมีเดีย และเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ใช้เพื่อซื้อสินค้าและ
บ ริ ก า ร
31
ค ว า ม ก้ า ว ห น้ า ข อ ง เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ แ ล ะ ก า ร สื่ อ ส า ร แ ล ะ
พัฒนาการของสื่อสังคมออนไลน์ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้
บริโภคและผู้ค้าบอนสีอย่างที่เราคาดไม่ถึง เมื่อ 7-8 ปีก่อน ผู้ที่
ต้ อ ง ก า ร เ ลี้ ย ง บ อ น สี ต้ อ ง ไ ป เ ลื อ ก ซื้ อ ที่ ต ล า ด ต้ น ไ ม้ ห รื อ ที่ ส ว น
ด้วยตัวเองและจ่ายเป็นเงินสด แต่ปัจจุบันการซื้อ - ขายส่วน
ใหญ่ผ่านทางออนไลน์ โดยผู้ซื้อเลือกต้นบอนสีจากภาพถ่ายที่ผู้
ขายโพสต์ประกาศขาย เมื่อสรุปจำนวนต้นที่ต้องการและราคา
ทั้งหมด ผู้ซื้อจะชำระเงินผ่านการโอนบัญชีผ่านแอพพลิเคชั่น
ธนาคารในสมาร์ทโฟน ผู้ขายก็จัดส่งต้นไม้ทางไปรษณีย์ ซึ่ง
สะดวกรวดเร็ว กอปรกับพัฒนาการของระบบขนส่งต้นไม้ทาง
ไปรษณีย์แบบเร่งด่วน ทำให้ตลาดบอนสีขยายตัวได้อย่าง
รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในต่างจังหวัดที่
อ ยู่ ห่ า ง ไ ก ล จ า ก แ ห ล่ ง ป ลู ก เ ลี้ ย ง บ อ น สี แ ถ บ ภ า ด ก ล า ง ไ ด้ อ ย่ า ง
ค ร อ บ ค ลุ ม ทั่ ว ป ร ะ เ ท ศ
32
ก า ร เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต ข อ ง เ ค รื อ ข่ า ย สั ง ค ม อ อ น ไ ล น์ ยั ง เ ป ลี่ ย น วิ ถี ข อ ง
"วงการ" บอนสีอย่างเห็นได้ชัด ในอดีตผู้ปลูกเลี้ยงมือใหม่ต้องใช้
เ ว ล า เ รี ย น รู้ วิ ธี ป ลู ก เ ลี้ ย ง บ อ น สี จ า ก ผู้ ใ ห ญ่ ใ น ว ง ก า ร ด้ ว ย ก า ร
เข้าเยี่ยมรังบอนต่าง ๆ ฝากตัวเป็น "ศิษย์" เพื่อศึกษา "เคล็ด
ลับ"จากผู้เป็น"ครู" แต่ในปัจจุบันเครือข่ายสังคมออนไลน์กลาย
เ ป็ น เ ว ที แ ล ก เ ป ลี่ ย น เ รี ย น รู้ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง ผู้ ป ลู ก เ ลี้ ย ง บ อ น สี
เสมือน"ห้องเรียน" สำหรับมือใหม่ ใช้ปรึกษาและขอคำแนะนำจาก
ผู้มีประสบการณ์ รวมทั้งเป็นเวทีหารือในหมู่ผู้มีประสบการณ์ด้วย
กันเอง "ห้องเรียน" ดังกล่าวจึงพลิกโฉมวงการบอนสีไทยให้เปิด
โปร่งใส และเป็นกันเอง อีกทั้งช่วยเผยแพร่องค์ความรู้ปลูกเลี้ยง
บอนสีในวงกว้าง และสร้างกระแสนิยมให้มีผู้หันมาปลูกเลี้ยงบอน
สี กั น ม า ก ขึ้ น อี ก ด้ ว ย
33
ปัจจุบันเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook มีกลุ่มเพื่อ
แลกเปลี่ยนความรู้และซื้อขายบอนสีในไทยกว่า 50 กลุ่ม กลุ่มที่
มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด ได้แก่ กลุ่ม"บอนสี" (สมาชิก 4 หมื่น
คน) และกลุ่ม "คนชอบบอนสี" (สมาชิก 3.9 หมื่นคน)และมีเพจ
ธุ ร กิ จ ส่ ว น ตั ว ข อ ง ผู้ ข า ย บ อ น สี ทั้ ง ร า ย ใ ห ญ่ แ ล ะ ร า ย ย่ อ ย อี ก ก ว่ า
100 เพจ บางเพจใช้ระบบ Facebook Live เพื่อเสนอขายบอน
สีผ่านการถ่ายทอดสด รวมทั้งตลาดออนไลน์อื่น เช่น
Facebook,Marketplace, Shopee, Lazada, Line และ
Instagram รวมไปถึงเว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นเพื่อขายบอนสีโดย
เฉพาะ ทำให้ตลาดบอนสีในยุคดิจิทัล"ซื้อง่าย ขายคล่อง" อย่าง
ที่ ไ ม่ เ ค ย เ ป็ น ม า ก่ อ น
อย่างไรก็ดี การขยายตัวของตลาดบอนสีออนไลน์มาพร้อมกับ
ภัยมิจฉาชีพหลายรูปแบบ เช่น การหลอกให้ผู้ซื้อโอนเงินแล้วหนี
หาย การส่งสินค้าไม่ตรงภาพ และการนำภาพบอนสีของผู้อื่นไป
ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นผู้ซื้อจึงควรใช้ความระมัดระวังใน
การสั่งซื้อบอนสี เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านั้น
34
อนาคตบอนสีในยุคดิจิทัล
ไม่ว่าบริบทการซื้อขายบอนสีจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด สิ่งที่
ไ ม่ เ ค ย เ ป ลี่ ย น คื อ ค ว า ม ง ด ง า ม แ ล ะ เ ส น่ ห์ ข อ ง บ อ น สี ที่ ค ร อ ง ใ จ ค น
ไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้เลี้ยงบอนสีหลายคนนอกจาก
จะสะสมต้นบอนสีแล้ว ยังหันมาสะสม "ภาพ" บอนสีที่ตัวเองชื่น
ชอบด้วย ซึ่งเพิ่มอรรถรสและช่องทางในการ"เสพ" ความงาม
ของบอนสีในยุคดิจิทัล อย่างไรก็ดี แม้การซื้อขายบอนสี
ออนไลน์จะสะดวกรวดเร็ว เข้ากับยุคสมัยที่ผู้บริโภคมีเวลาส่วน
ตัวน้อย แต่ประสบการณ์การเลือกซื้อบอนสีออนไลน์ยังคงเทียบ
ไ ม่ ไ ด้ กั บ ก า ร ไ ป เ ยี่ ย ม ช ม รั ง บ อ น เ พื่ อ เ ลื อ ก ซื้ อ บ อ น สี ด้ ว ย ตั ว เ อ ง
ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ซื้อได้ไม้ที่สมบูรณ์และถูกใจแล้ว ยังเป็น
โ อ ก า ส ใ ห้ เ รี ย น รู้ จ า ก ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ต ร ง ข อ ง ผู้ ป ลู ก เ ลี้ ย ง อี ก ด้ ว ย
ดั ง นั้ น ก า ร ซื้ อ ข า ย บ อ น สี อ อ น ไ ล น์ จึ ง ไ ม่ ส า ม า ร ถ ท ด แ ท น ก า ร ซื้ อ
ข า ย แ บ บ เ ดิ ม ไ ด้ ทั้ ง ห ม ด
35
นอกจากเรื่องการตลาดแล้ว ความก้าวหน้าของเทคโนโลยียัง
เป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาวงการบอนสี่ในมิติอื่นด้วย เช่น
ก า ร ใ ช้ เ ท ค โ น โ ล ยี ชี ว ภ า พ เ พื่ อ อ นุ รั ก ษ์ แ ล ะ พั ฒ น า ส า ย พั น ธุ์ บ อ น สี
ก า ร ใ ช้ โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ร ะ บ บ จั ด เ ก็ บ แ ล ะ สื บ ค้ น ข้ อ มู ล ส า ย พั น ธุ์
บอนสีออนไลน์ รวมทั้งระบบการขอจดทะเบียนตั้งชื่อบอน
ออนไลน์กับสมาคมบอนสีแห่งประเทศไทย ผู้เขียนหวังเป็นอย่าง
ยิ่ ง ว่ า ส ม า ค ม จ ะ ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ จ า ก พั ฒ น า ก า ร ข อ ง เ ท ค โ น โ ล ยี ใ ห้ เ กิ ด
ประโยชน์สูงสุด เพื่อให้บอนสีอันเป็นมรดกทางพันธุกรรมของ
ไทยดำรงอยู่ สืบทอด และพัฒนาต่อยอดไปจนถึงรุ่นลูกหลาน
ข อ ง ไ ท ย ใ น ทุ ก ยุ ค ทุ ก ส มั ย สื บ ไ ป
36
เ อ ก ส า ร อ้ า ง อิ ง
ห นั ง สื อ บ อ น สี
โ ด ย ส ม า ค ม บ อ น สี แ ห่ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย