เรื่อง กลไกราคา
จัดทำโดย
เด็กหญิง พิมพ์พิชชา ทองเงา
ม.3/5 เลขที่32
เสนอ
คุณครู อนงค์ ตามสายสุด
1
กลไกราคา
หมายถึง ภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิด
จากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิต
และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
ตลาดในระบบเศรษฐกิจ
ตลาดมีหลายลักษณะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเเบ่ง เช่น เเบ่ง
ตามลักษณะกาขาย เเบ่งตามลักษณะการเเข่งขัน เเละเเบ่งตาม
วัตถุประสงค์ของการใช้สินค้า
การกำหนดราคาในระบบเศรษฐกิจ
การจะกำหนดราคาสินค้าได้ก็ต่อเมื่อมีการเเปรียบเทียบระหว่างปริมาณของ
อุปสงค์กับอุปทานในขณะนั้นกลไกราคาจะเป็นตัวกำหนดในการผลิตสินค้า
เเละบริการว่าจะผลิตปริมาณมากเท่าใด ราคาเท่าไร
2
อุปสงค์
หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการ และสามารถซื้อสินค้าใน
ระยะเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ ของสินค้าและบริการชนิดนั้น
กฎของอุปสงค์
1. ราคาสินค้าชนิดนั้น ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้นปริมาณซื้อจะลดลงถ้าราคาสินค้าลดลง
ปริมาณซื้อจะเพิ่มขึ้น
2. จำนวนประชากร ถ้าประเทศใดมีประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการสินค้าและบริการก็
เพิ่มขึ้น ถ้าประชากรเป็นเพศหญิงมาก อุปสงค์ของใช้ผู้หญิงจะเพิ่มขึ้นตาม
3. รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน ถ้าประชากรมีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น ความต้องการสินค้าบาง
ประเภทก็จะเปลี่ยนแปลงเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
4. การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เช่น ในฤดูหนาวความต้องการเสื้อกันหนาว ผ้าห่มเพิ่ม
มากขึ้น ในฤดูร้อนความต้องการปริมาณเครื่องดื่ม น้ำแข็ง เพิ่มขึ้น เป็นต้น
5. การศึกษาและการโฆษณา เช่น การได้เรียนรู้ถึงประโยชน์ของนม ทำให้คนบริโภคนม
มากขึ้น การโฆษณาที่ดีทำให้สินค้านั้นเป็นที่รู้จักทำให้จำหน่ายได้มากขึ้น
6. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น รสนิยม ความนิยม การคาดคะเนราคาสินค้า
3
อุปทาน
หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายพร้อมที่จะผลิต ออก
ขาย ณ ระดับราคาต่าง ๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนด อุปทานของสินค้า
ชนิดใดก็ตามจะมีมากหรือน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว
แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นอีกหลายอย่าง เช่น ต้นทุนการผลิต สภาพดินฟ้า
อากาศ เทคนิคการผลิต เป็นต้น
กฎของอุปทาน
1. ราคาสินค้าที่ผลิตถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น ผู้ผลิตยินดีจะผลิตสินค้ามากขึ้นเพื่อให้ได้กำไร
มากขึ้น ถ้าสินค้าราคาลดลงผู้ผลิตจะลดจำนวนการผลิตลง
2. เป้าหมายของธุรกิจ ผู้ผลิตจะกำหนดเป้าหมายการผลิตเพื่อสนองความต้องการของ
ผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลา เช่น ช่วงภาวะน้ำมันมีราคาแพง ผู้ใช้รถยนต์นิยมใช้รถที่
ประหยัดน้ำมันผู้ผลิตจะทำการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดน้ำมัน มากกว่ารถยนต์ที่สิ้น
เปลืองน้ำมันมาก
3. การเปลี่ยนแปลงของเทคนิคการผลิตให้มีความทันสมัยมากขึ้น แต่ใช้ปัจจัยการผลิต
เท่าเดิม ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้น
4. ราคาปัจจัยการผลิต ถ้าหากมีราคาสูงขึ้นผู้ผลิตจะได้กำไรน้อยลง จึงทำให้ลดกำลัง
การผลิตลง
5. จำนวนผู้ผลิตหรือผู้ขาย ถ้ามีมากทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น ถ้าผู้ผลิตหรือผู้ขายลดลง จะ
ทำให้อุปทานลดลงด้วย
6. สภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าปริมาณน้ำฝนเหมาะสม สภาพอากาศไม่แปรปรวน ปริมาณ
การผลิตสินค้าเกษตรก็เพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าฝนแล้งหรือน้ำท่วมทำให้ปริมาณการผลิตลดลง
7. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเก็บภาษีของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อการลงทุน ถ้า
ปัจจัยดังกล่าวสูงขึ้นจะทำให้อุปทานลดลง
4
การกำหนดราคาในระบบเศรษฐกิจ
การกำหนดราคาสินค้าในตลาด เป็นไปตามอุปสงค์ อุปทาน และขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์
ของผู้ผลิต หรือของธุรกิจด้วย โดยเฉพาะประเทศที่กลไกราคาไม่ได้ทำหน้าที่อย่าง
สมบูรณ์ ดังนั้น ในตลาดที่มีผู้ผลิตน้อยรายผู้ผลิตจึงมีอำนาจ และสามารถกำหนดราคา
ได้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งการกำหนดราคาของธุรกิจอาจขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์
อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เช่น เพื่อสร้างกำไร เพื่อสร้างยอดขาย หรือเพื่อ
ขยายตลาด การกำหนดราคาโดยทั่วไปเพื่อให้เป็นไปตามกลไกราคา
หลักการกำหนดราคา
อุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการมีความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับราคาสินค้า ดังนั้น
ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อ และผู้ขายต้องการขายจะปรับตัวตาม
ระดับของราคาสินค้าและบริการที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เนื่องจากการปรับตัวของ
ปริมาณซื้อและปริมาณขาย ตัวราคาจะมีลักษณะตรงกันข้าม กล่าวคือ ในขณะที่ราคา
สินค้าและบริการลดลงผู้ซื้อจะซื้อสินค้ามากขึ้น แต่สำหรับผู้ขายหรือผู้ผลิตก็จะนำ
สินค้ามาวางจำหน่ายน้อยลง การปรับตัวนี้จะเป็นเหตุให้ปริมาณซื้อและปริมาณขาย
เท่ากันพอดี ณ ระดับราคาใดราคาหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า ณ ระดับราคานั้นปริมาณ
สินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อขนาดนั้น จะเท่ากับปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะผลิตออกมา
ขาย ในขณะเดียวกันพอดีนั่น คือ ราคาดุลยภาพ
5
ตลาด
คือ การที่ผู้ซื้อเเละผู้ขายทำการติดต่อซื้อขายกัน
ดุลยภาพของตลาด
เป็นสภาวะที่ปริมาณเสนอซื้อเท่ากับปริมาณเสนอขายพอดี ทั้งนี้ระดับราคา
สินค้าที่ปริมาณเสนอซื้อเท่ากับปริมาณเสนอขายจะเรียกว่าราคาดุลยภาพ
และปริมาณสินค้าที่เท่ากันระหว่างปริมาณเสนอซื้อกับปริมาณเสนอขายจะ
เรียกว่าปริมาณดุลยภาพ
ภาวะดุลยภาพ
1. ราคาดุลยภาพ = ราคาที่เกิดจากปริมาณซื้อและปริมาณขายเท่ากัน
2. ปริมาณดุลยภาพ = ปริมาณซื้อขายที่เท่ากันพอดี
จุดดุลยภาพ
คือ จุดที่เส้นอุปสงค์ และเส้นอุปทานตัดกัน ก่อให้เกิดเป็นจุดดุลยภาพที่แสดงให้เห็นถึง
ราคาดุลยภาพ และปริมาณดุลยภาพที่เกิดขึ้น
6
ตลาดเเข่งขันสมบูรณ์
มีการเเข่งขันกันอย่างเต็มที่ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย การกำหนดราคาเกิดขึ้นทั้งจาก
ผู้ซื้อเเละผู้ขาย ไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามามีอิทธิพล
ตลาดเเข่งขันไม่สมบูรณ์
ผู้ซื้อหรือผู้ขายมีอิทธิพลในการกำหนดราคาหรือปริมาณสินค้าในตลาดเนื่องจาก
สินค้าส่วนมากมีลักษณะไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้ซื้อเกิดความพึงพอใจสินค้าของผู้ค้าคน
ใดคนหนึ่งมากกว่ากัน
7
ปัจจัยในการกำหนดราคา
สภาวะทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจดี เศรษฐกิจต่ำ
-ประชาชนมีรายได้ดี -ประชาชนมีรายได้ลดลง
-ปริมาณเงินในตลาดมาก -ปริมาณเงินในตลาดน้อย
-คนมีกำลังซื้อ -คนมีกำลังซื้อน้อย
กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำ
กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง
การเเข่งขันของตลาด
ตลาดที่มีผู้ขายเพียงไม่กี่เจ้า
ตลาดที่มีสินค้าประเภทเดียวกัน
-สินค้าที่มีลักษณะเหมือนกัน -สินค้าที่มีการลงทุนสูง
-มีผู้ขายหลายคน -มีผู้ขายเพียงคนเดียว/กำหนดราคาได้
ตามต้องการ
การตั้งราคาสินค้า
ตั้งราคาจากต้นทุนของสินค้า
ราคา=ต้นทุน + (%กำไรที่ต้องการ x ต้นทุน)