รายงานการวจิ ยั
การพัฒนาทกั ษะการอ่านออกเสยี งอกั ษรนำวชิ าภาษาไทยของนกั เรยี นระดับชัน้
ประถมศึกษาปีท่ี 2โดยใช้หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์
Improving thai language reading aloud skills of second grade students
Using e-books
โดย
นางสาวจุฑามณี อินทรส์ า
นางสาวดวงฤทยั จันคีรี
นายปกรณ์ มะทะการ
นางสาวปรียาภรณ์ บญุ อาจ
รายงานเล่มน้เี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของรายวิชา วิจัยและสมั มนาปญั หาในชนั้ เรยี นระดบั
ประถมศกึ ษา รหัสวิชา 1104903 ภาคเรยี น 2 ปกี ารศึกษา 2564 คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั อตุ รดติ ถ์
การพฒั นาทักษะการอ่านออกเสียงอกั ษรนำวชิ าภาษาไทยของนักเรยี นระดับชน้ั
ประถมศกึ ษาปที ่ี 2โดยใชห้ นังสอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์
Improving thai language reading aloud skills of second grade students
Using e-books
โดย
นางสาวจฑุ ามณี อนิ ทรส์ า
นางสาวดวงฤทยั จนั ครี ี
นายปกรณ์ มะทะการ
นางสาวปรยี าภรณ์ บญุ อาจ
รายงานเล่มนี้เป็นสว่ นหน่งึ ของรายวชิ า วจิ ยั และสมั มนาปญั หาในชน้ั เรียนระดับ
ประถมศึกษา รหสั วชิ า 1104903 ภาคเรยี น 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อตุ รดติ ถ์
ก
กิตติกรรมประกาศ
การวิจัย เรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สามารถดำเนินการจนประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
เนื่องจากได้รับความอนุเคราะห์และสนับสนุนเป็นอย่างยิ่งจาก อาจารย์ อิสระ ทับสีสด อาจารย์ผู้สอนในรายวิชา
วิจัยและสัมมนาปัญหาในชั้นเรียนระดับประถมศึกษา ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษา ความรู้ ข้อแนะนำ และปรับปรุง
แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ จนกระทั่งการวิจัยครั้งนี้สำเร็จเรียบร้อยด้วยดี ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ไว้ ณ ทน่ี ้ี
ขอขอบคุณ คณุ ดวงฤดี มะทะการ คณุ วรี าภรณ์ กาตบิ๊ และคุณสมสกลู เหมน็ หวาด ทใี่ หค้ วามอนุเคราะห์
ในการเป็นผู้เชี่ยวชาญประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ ความ
เหมาะสมของแบบฝึกทักษะ และประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของนวัตกรรม ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของ
แผนการจดั การเรียนรู้ ความเที่ยงตรงเชงิ เนอื้ หาของแบบฝึกทกั ษะ ความเทีย่ งตรงเชิงเนอื้ หาของความพงึ พอใจ
สุดท้ายนี้ผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่สนใจศึกษา
ตอ่ ไป
คณะผ้วู ิจยั
นางสาวจุฑามณี อินทรส์ า
นางสาวดวงฤทัย จนั ครี ี
นายปกรณ์ มะทะการ
นางสาวปรียาภรณ์ บุญอาจ
ข
การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงอกั ษรนำวิชาภาษาไทยของนกั เรยี น
ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใชห้ นงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์
นางสาวจฑุ ามณี อินทรส์ า*
นางสาวดวงฤทัย จันครี ี *
นายปกรณ์ มะทะการ *
นางสาวปรยี าภรณ์ บญุ อาจ *
บทคดั ย่อ
การวจิ ยั ครัง้ นก้ี ระทำกับกลุม่ ตวั อยา่ งเดยี วทถ่ี กู คัดเลอื กโดยวิธีการสุ่มตามหลักการความน่าจะเป็นอยา่ งง่าย
จากนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพิชัยดาบหัก 1 อำเภอเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพ่ือ
พัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2) เพ่ือ
ทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง กการอ่านออกเสียง กับนักเรียนระดับชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 2 และ 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนกั เรียนระดับชั้นนักเรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีต่อการ
ทดลองใช้หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยระเบียบวิธกี ารวจิ ัยเป็นแบบ
กึ่งทดลอง เครื่องมือการวิจัยซึ่งผ่านการหาประสิทธิภาพแล้วประกอบด้วยแบบสอบถาม ความพึงพอใจ แบบประเมินความ
เหมาะสมของนวัตกรรม แบบประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรู้ และแบบประเมินความเหมาะของแบบฝกึ ทักษะ
วิเคราะหข์ ้อมลู ดว้ ยคา่ เฉลีย่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ One - Sample t Test ผลการวจิ ยั พบว่า
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สร้างขึ้นตามแนวคิด หลักการของครรชิต มาลัยวงศ์ (2540) (หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เป็น
เอกสารดิจติ อลที่สรา้ งขึน้ โดยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ ที่มีประวัติความเป็นมา มีโครงสรา้ งลักษณะคลา้ ยกับหนังสือจริง มีรูปแบบ
หลากหลายประเภท สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนด้วยมัลติมีเดีย เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี และเสียง
อื่นๆ ซึ่งการใช้งานมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด และหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์สามารถสร้างได้ด้วยโปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์
2013 (Microsoft PowerPoint 2013) ที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปนั้น ภายหลังทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ืองการอ่านออก
เสียงอักษรนำเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงแล้วนำผลมาเปรียบเทียบกับทักษะการอ่านออกเสียงที่อยู่เดิมด้วยแบบทดสอบ
ก่อน – หลังการใช้นวัตกรรม ด้วยวิธีการดังกล่าวทักษะการอ่าน ของกลุ่มตัวอย่างที่มีอยู่เดิมอยู่ที่ระดับต่ำเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของ
สพฐ. และจากการทดลองใช้หนังสอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ อย่ทู ีร่ ะดับดเี มือ่ เทยี บกับเกณฑ์เดยี วกัน และเม่อื วิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบดว้ ย One
–Sample t Test ทักษะการอ่านสูงกว่าท่มี ีอยเู่ ดิม อย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิตทิ ่ี 0.05 หรอื ที่ระดบั ความเชื่อม่ัน95 % มีความพึงพอใจต่อ
เฉพาะการทดลองใช้หนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ทรี่ ะดบั มากที่สดุ
__________________________________________________________________________________
คำสำคญั :การพฒั นาทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำวชิ าภาษาไทยของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้หนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์
*นักศึกษาวชิ าเอกสาขาการประถมศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อตุ รดิตถ์
*นางสาวจุฑามณี อินทร์สา
*นางสาวดวงฤทยั จนั ครี ี
ค
*นายปกรณ์ มะทะการ
*นางสาวปรยี าภรณ์ บุญอาจ
Improving students' reading aloud skills in Thai language
2nd grade using e-books
Ms. Jutamanee Insa*
Ms. Duangruethai Jankiri *
Mr. Pakorn Matakan *
Ms. Priyaporn Boonjai *
abstract
This research was conducted on a single sample selected by a simple probability-based random method.
From 2nd grade students, Pichaidabhak 1 School, Mueang Uttaradit District, Prasong object of research to 1) to improve reading aloud skills.
story Reading aloud the thai language subjects of second graders) to try and study the results of the e-book trial, organize learning activities
on aloud with students in grades 2 and 3) to study the satisfaction level of second grade students towards the e-book trial, organize learning
activities. Reading aloud the introduction to Thai language, the research methodology is semi-experimental. Research tools that have been
optimized include questionnaires. complacency Innovation Suitability Assessment Form Assessment of the suitability of the learning
management plan and the suitability assessment form of the skills training Analyzed data with average, standard deviation, and One - Sample
t Test, the findings showed.
E-books are created based on concepts. The Principles of Kanchit Malaiwong (1997) (e-book) are digital documents created by
computer programs with a history. It has a structure that resembles a real book, has a variety of formats. It can stimulate the interest of
learners with multimedia such as still images, animations, music, and other sounds, whose use has both advantages and bites, and e-books
can be created with microsoft powerpoint programs. 2013 (Microsoft PowerPoint 2013) installed on a typical computer After experimenting
with learning activities on reading aloud, the introduction to improve reading aloud skills and then comparing the results to the existing
reading aloud skills with the first test. – After the use of innovation, the reading skills of the existing sample were low compared to the NHS
criteria, and the e-book trials were good compared to the same criteria, and when compared with One –Sample t Test, reading skills were
higher than existed. Statistically significant at 0.05 or at a confidence level of 95%. There was satisfaction only with the e-book trials at the
highest level.
__________________________________________________________________________________
Keywords:Improving the reading aloud skills of Thai language subjects of second graders using e-books
*Major in Primary Education, Faculty of Education, Uttaradit Rajabhat University
*Ms. Jutamanee Insa
*Ms. Duangruethai Jankiri
*Mr. Pakorn Matakan
*Ms. Priyaporn Boonja
ง
สารบญั
บทท่ี หน้า
กติ ตกิ รรมประกาศ ............................................................................................................................. . ก
บทคัดย่อภาษาไทย ............................................................................................................................. ข
บทคดั ย่อภาษาอังกฤษ ........................................................................................................................ ค
สารบัญ................................................................................................................................................... ง
1
1 บทนำ ....................................................................................................................................... 1
ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา .................................................................................. 5
คำถามการวจิ ยั ......................................................................................................................... 5
วัตถุประสงค์การวิจยั ............................................................................................................... 5
ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รับ ....................................................................................................... 6
ขอบเขตของการวจิ ยั ................................................................................................................ 7
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ..................................................................................................................... 8
สมตฐิ านของการวจิ ยั ...............................................................................................................
2 การทบทวนและเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง .......................................................................................... 11
การวจิ ยั ในชัน้ เรยี น ................................................................................................................... 11
หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-book) ............................................................................................... 16
วธิ ีการสรา้ งและคณุ ภาพของนวัตกรรม ..................................................................................... 18
เครื่องมือการวจิ ยั ...................................................................................................................... 20
ความพึงพอใจ ............................................................................................................................ 23
ผลการเรียนรู้ ............................................................................................................................. 24
งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง .................................................................................................................... 25
3 วธิ กี ารดำเนินงานวจิ ยั ................................................................................................................ 29
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ....................................................................................................... 29
เครอ่ื งมือการวจิ ยั ...................................................................................................................... 30
การดำเนนิ การรวบรวมข้อมลู .................................................................................................... 34
จ
บทท่ี
หน้า
การวเิ คราะหข์ ้อมูล .................................................................................................................... 35
4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล .............................................................................................................. 36
ผลการพฒั นาหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ .......................................................................................... 36
การพัฒนาผลสมั ฤทธิ์การเรียนรู้ ................................................................................................ 39
5 สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ ........................................................................................... 45
วตั ถุประสงคข์ องวจิ ัย ................................................................................................................. 45
สมมติฐานของการวจิ ยั .............................................................................................................. 45
การวิเคราะหข์ ้อมลู .................................................................................................................... 45
สรปุ ผลการวิจัย ......................................................................................................................... 46
อภิปรายผลการวิจยั .................................................................................................................. 48
ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................. . 50
บรรณานุกรม ....................................................................................................................................... 52
ภาคผนวก ............................................................................................................................. ................. 54
ภาคผนวก ก เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย ...................................................................................... 54
ภาคผนวก ข ค่าดัชนีความสอดคล้อง และค่าอำนาจจำแนกของเครื่องมือ ................................. 112
ภาคผนวก ค หนังสอื ขอความอนุเคราะห์ ................................................................................... 211
ประวัติโดยย่อของผูว้ จิ ัย 222
........................................................................................................................
1
บทท่ี1
บทนำ
เรือ่ ง การพฒั นาทักษะการอ่านออกเสยี งอักษรนำวิชาภาษาไทยของนักเรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
โดยใช้หนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์
ท่ีมาและความสำคญั ของปญั หา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บัญญัติความตามมาตรา 22 ว่า การจัดการศึกษาต้องยึด
หลักว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนทุกคนมีความสำคัญที่ สุดกระบวนการจัด
การศกึ ษาตอ้ งสง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศักยภาพความตามมาตรา 24 (1) บัญญัติ
ว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเก่ยี วข้องจดั เนอื้ หาสาระและกิจกรรมใหส้ อดคล้องกับ
ความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และความตอนหนึ่ง (5) ของมาตรา
เดียวกันบัญญัติว่า ให้ผู้สอนสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ และความตามมาตรา 30
บัญญัติว่า ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอน
สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละสถานศึกษา จากความตามมาตราดังกล่าวถึง
ตีความวา่ ภายหลงั ท่ผี สู้ อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระการเรยี นรู้ใด ๆ ด้วยวิธแี ละเทคนิคการสอนวิธีการใดวิธีการ
หนึ่งแล้ว เมื่อทำการวัดและประเมินผลพบว่ามีผลอย่างใดอย่างหนึ่งคือ จำนวนผู้เรียนทั้งชั้นเรียน จำนวนผู้เรียน
สว่ นมากของชัน้ เรียนหรอื ผู้เรยี นจำนวนส่วนน้อยของช้นั เรียนมีผลสมั ฤทธิก์ ารเรยี นรู้ตำ่ กวา่ เกณฑ์มาตรฐานที่ผู้สอน
กำหนดข้นึ ผลการประเมินดงั กล่าวไม่สามารถลงข้อสรุปวา่ ผลสมั ฤทธิ์การเรียนรขู้ องผู้เรียนไมผ่ ่านเกณฑ์มาตรฐาน
ที่ผู้สอนกำหนดและถูกตัดสินให้ “ตก” ในสาระการเรียนรู้นั้นแต่ผู้สอนต้องพึงตระหนักเสมอว่าการที่ผู้เรียนมี
ผลสัมฤทธิก์ ารเรยี นรตู้ ่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดอาจเปน็ เพราะว่าวิธแี ละเทคนิคการสอนตามที่ผู้สอนนำมาใช้
จัดกิจกรรมการเรียนรู้อาจนั้นไม่สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของผู้เรียน ดังนั้น ผู้สอนจึงต้องค้นหาวิธี
และเทคนิคการสอนวิธีใหม่ที่เหมาะสมกับความถนัดและความสนใจของผู้เรียนการทำวิจัยของผู้สอนจะใช้เป็น
หลักฐานยืนยนั วา่ วธิ ีและเทคนคิ การสอนวิธีใหม่ท่ผี ู้สอนนำมาใชจ้ ดั กิจกรรมการเรียนรนู้ นั้ มีผลการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ
การเรียนรู้ของผู้เรียนหรือไม่อย่างไร เม่ือเปรียบเทียบเปรียบเทียบกับวิธีและเทคนิคการสอนวิธีเดิมด้วยเหตุ
ดงั กล่าวจงึ ตอบคำถามว่าทำไมผูส้ อนจงึ ตอ้ งทำวิจัย ทงั้ วิจยั เพอื่ พัฒนาและแกป้ ญั หาผู้เรียน
2
ความสำคญั ของการอา่ น การอานมีความสําคัญกบั มนุษย์เพราะ เป็นเครอ่ื งมอื ในการศึกษา เรียนรู พัฒนา
สติปัญญา เปิดมุมมอง โลกทัศนใหม่ๆ ที่กว้างขึ้นใหกับมนุษย์ สรางความเพลิดเพลิน อีกทั้งยัง ช่วยใหผู้อานไดฝ
กคิดและจินตนาการไปพรอมๆกัน โดยมีหลักการอ่าน เปลื้อง ณ นคร (2516) กล่าวว่า อักษรนำ คือพยัญชนะ
สองตัวเรียงกัน ประสมสระเดียวกัน แต่ออกเสียงเป็นสองพยางค์ เช่น สมาธิ พยาบาท สมาคม จรัส หนอ ตัว
ส พ จ ห เป็นอักษรนำ ให้สังเกตว่า “ห” ที่เป็นอักษรนำ ไม่ออกเสียง เสียงจะไปรวมกับพยัญชนะตัวหลัง ซึ่งมี
เสยี งสูงข้นึ เชน่ เหมา ไหน หวอ หยาบ หรือ ตวั หง หญ หน หม หย หร หล หว เป็นพยัญชนะประสมตัว “ห” เป็น
อักษรนำ สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ปรับปรุง พ.ศ. 2560) กำหนดเปน็ ตวั ชว้ี ัดที่ ท 1.1 ป.2/1 และระบุข้อความเฉพาะตัวชี้วัด
ว่า อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ และบทร้อยกรองงา่ ยๆไดถ้ ูกตอ้ ง
โรงเรียนพิชัยดาบหัก 1 ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 8 ถนนสำราญรื่น ตำบลท่าเสา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัด
อตุ รดติ ถ์ มีพื้นที่จำนวน 13 ไร่ 1 งาน 99 ตารางวา จัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล 2 ถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
สำหรบั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม ท 1.1 ป.2/1 ใหก้ ับนักเรยี นระดับ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 จะจัดสาระ
การเรียนรู้ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่เคยเป็นมาพบว่า เฉพาะเรื่อง การ
อ่านออกเสียง ของกลุ่มสาระการเรียนรดู้ ังกล่าวจะจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชว้ ิธแี ละเทคนิคการสอนแบบ DLTV
ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้จะประเมนิ 3 ดา้ นรวมกันคือ ดา้ นความรู้(K) ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) และด้าน
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) และกำหนดระดับผลการการเรียนรู้ที่ประเมินเป็น 4 ระดับตามเกณฑ์ประเมินของ
สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานคือ ดีเยี่ยม มีร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 80 – 100 ดี ร้อยละ 65 – 79 พอใช้(ผ่าน)
ร้อยละ 50 -64 และต้องปรับปรุง (ไม่ผ่าน) ต่ำกว่าร้อยละ 50 สำหรับเกณฑ์การประเมินผ่านเฉพาะรายบุคคล
นั้น นักเรียนแต่ละคนต้องมีผลการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ดี ส่วนเกณฑ์การประเมินผ่านทั้งชั้นเรียนนั้น ต้องมีนักเรียน
อยา่ งน้อยรอ้ ยละ 70 ของจำนวนทั้งหมด มีผลการเรยี นรู้ต้ังแต่ระดับ ดี
จากการวัดและประเมินผลรวมทั้งชั้นเรียนเรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย ตามเกณฑ์
การประเมินผ่านพบว่า นักเรียนที่มีผลการเรียนรู้ระดับ ดี คิดเป็นร้อยละ 62.5 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านที่
กำหนดคือรอ้ ยละ 70 จากการสัมภาษณน์ ักเรยี นพบว่าสาเหตุท่ที ำให้ผลการเรยี นรู้ต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผ่านท่ี
กำหนดเป็นเพราะว่า เชน่ คำให้การสัมภาษณ์ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 ของเดก็ ชายณภัทร กอกุล ที่กล่าว
ว่า “เอา ห มาผสมกับตวั อนื่ ไม่ได้ ไม่รูจ้ ะสะกดอย่างไร” ซึ่งสอดคล้องกับเด็กชายอนุพันธ์พงศ์ บุญทานันท์ท่ี
กล่าวว่า “มีพยัญชนะหลายตัวเลยทำให้อ่านออกเสียงไม่ถูก”และเด็กหญิงวิภาดา เพ็งถา “ไม่เข้าใจการประสม
พยญั ชนะตัวที่หนึ่งกับท่สี องของคำ” จากสาเหตขุ องปัญหาและความสำคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ือง
3
การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย ดังกล่าวก่อนหน้า ผู้วิจัยจึงต้องทำการวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่อง
ดังกลา่ ว
หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์หรือทีร่ ู้จักกันในช่ืออีบุ๊ค (eBook หรอื e-Book) เป็นคำภาษาต่างประเทศ
ย่อมาจากคำว่า Electronic book หมายถึง หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสาร
อิเล็กทรอนกิ ส์โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ สามารถอา่ นเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพวิ เตอร์ทั้งใน
ระบบออฟไลน์และออนไลน์คุณลักษณะ ของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่าง ๆ ของ
หนังสือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถ
แทรก ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวแบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ ได้อีก
ประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้ ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติ
เหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป ครรชิต มาลัยวงศ์ (2540) ให้นิยามของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง
รูปแบบของ การจัดเก็บและนำเสนอข้อมูลหลากหลายรูปแบบทั้งที่เป็นข้อความตัวเลข ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว
และเสียงต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้มวี ิธีเก็บในลักษณะพิเศษคือจากแฟ้มข้อมูลหนึ่งผู้อ่านสามารถเรียกดู ข้อมูลอื่น ๆ ที่
เกี่ยวข้องได้ทันทีโดยข้อมูลอาจจะอยู่ในแฟ้มเดียวกันหรือไม่ก็ได้ข้อมูลที่กล่าวเป็น ข้อความที่เป็นตัวอักษรหรือ
ตวั เลข เรียกว่าไฮเปอร์เทก็ ซ์ (Hypertext) และถ้าหากข้อมูลนนั้ รวมถึง เสยี งและภาพเคล่ือนไหวดว้ ยก็เรียกว่าส่ือ
ประสมหรือไฮเปอร์มีเดีย ตัวอย่างงานวิจัย เช่น นาฏอนงค์ จันทร์เขียว (2558) ทำการวิจัยเรื่อง การ
พัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) โดยใช้การเรียนรู้แบบ SQ4R เรื่อง การอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 ผลการวจิ ัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
ผู้เรียนที่เรียนจากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีผลการประเมินความพึง
พอใจของนักเรียนที่มีต่อหนังสืออิเล็กทรอนกิ ส์ โดยใช้การเรียนรู้แบบ SQ4R เรื่อง การอ่านจับใจความ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ใน
ระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.52 , S.D.=0.57) เช่นเดียวกับ จรัสสม ปานบุตร (2556) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนา
หนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส(์ E-Book) เพือ่ พฒั นาทักษะการอา่ นออกเสียงภาษาไทย ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษา
ปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองเค็ด ผลการวิจัยพบว่า ทักษะการอ่านออกเสยี งภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี
ท่ี 6 โรงเรียนบา้ นหนองเคด็ หลัง เรยี นด้วยหนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ เร่อื ง การอ่านออกเสยี งภาษาไทย มคี ะแนนเฉล่ีย
เทา่ กับ 25.16 อย่ใู นเกณฑ์ระดับ ดี และมคี วามพึงพอใจที่มีต่อการเรียนดว้ ยหนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ เร่ือง การอ่าน
ออกเสยี งภาษาไทย ของ นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบา้ นหนองเคด็ อยูใ่ นระดับมากท่สี ดุ ( ( ̅ = 4.53
, S.D = 0.44) และ ศิริพร บุญเรือง (2555) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการอ่านจับ
ใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดดอนหวาย (นครรัฐประสาท) ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์
4
ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการอ่านจับ ใจความของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรยี นวัดดอนหวาย (นครรัฐประสาท) มคี วามแตกตา่ งกัน โดยเฉลย่ี
คะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียนของนกั เรียน ที่เรยี นด้วยหนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์
( ( ̅= 24.82 , S.D = 2.23 ) สูงกว่าก่อนเรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( ( ̅ = 12.04 , S.D = 2.30 ) กล่าวคือ
คะแนนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.01 และมีความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอ่
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรือ่ งการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดดอนหวาย (นครรฐั
ประสาท) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง
การอา่ นจบั ใจความ มคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดับมากทีส่ ดุ
( ( ̅ = 4.54 , S.D = 0.66) จากผลการทบทวนตัวอย่างงานวิจัยท่ีจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้หนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมนักเรียนมีระดับผลการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านรวมกันคือ ด้าน
ความรู้(K) ด้านผลผลิต/กระบวนการ (P) และดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) ทรี่ ะดบั มากทสี่ ดุ
จากดังทกี่ ลา่ วมาจะเห็นว่า เมอ่ื วิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างการอ่านออกเสียงดว้ ยตนเอง กับการอ่าน
ออกเสียงโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกสน์ ้ัน ซง่ึ แทจ้ รงิ แลว้ แนวคิดการจัดการเรียนรูด้ ้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี
ผลงานวิจยั สนับสนุนให้เห็นวา่ การจัดกิจกจิ กรรมจดั การเรียนร้ดู ้วยหนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ท่ีพฒั นาขนึ้ สามารถทำให้
นักเรียนเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นมีผลต่อการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงและความพึงพอใจของนักเรียน ดังนั้น จาก
สภาพปัญหาที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนพิชัยดาบหกั 1 มีทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำต่ำ
กว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดขึ้น ผู้จิวัยในฐานะผูส้ อนในรายวิชาภาษาไทย จึงมีแนวคิดที่จะทำวิจัยเพ่ือ
พัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำของนักเรียนชั้นดังกล่าว โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในการจัดกิจกรรม
การเรียนรูข้ องนกั เรยี นช้นั ปะถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจยั จะนำมาใช้เปน็ แนวทางการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เร่ืองการ
อา่ นออกเสยี งอักษรนำในรายวิชาภาษาไทยดังกลา่ ว
ด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอน ตามพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา ที่ 22 มาตรา ที่ 24
วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากสภาพของปัญหาและความสำคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอ่านออก
เสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย ผู้สอนจึงมีแนวคิดที่จะทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี2 โดยใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ ผลการวจิ ยั จะทำให้นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 มีผลการเรียนรู้
เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับนวัตกรรมเดิมที่ครูพี่เล้ียงใช้จัดกิจกรรม
การเรียนร้ปู ีการศกึ ษากอ่ นหน้าทำการวิจยั
5
คำถามการวจิ ัย
1. การพฒั นาทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำวชิ าภาษาไทยของนักเรียนระดับช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 ทำ
อย่างไร
2. ผลการทดลองใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชา
ภาษาไทยกับนักเรยี นระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 2 เป็นอยา่ งไร
3. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการทดลองใช้หนังสือ
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้เรอ่ื ง การอ่านออกเสยี งอักษรนำวชิ าภาษาไทยเปน็ อย่างไร
วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย
1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยของ นักเรียน
ระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 2
2. เพอ่ื ทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้เร่ือง การอ่านออก
เสียง กบั นกั เรียนระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2
3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีต่อการ
ทดลองใช้หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ จัดกจิ กรรมการเรียนร้เู รอ่ื ง การอา่ นออกเสยี งอักษรนำวิชาภาษาไทย
ผลและประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะได้รบั
1. มีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับการจัดกิจกรรมเรียนรู้เรื่องการอ่านออกเสียงอักษรนำ วิชา
ภาษาไทยให้กับนกั เรยี นระดับช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 2
2. นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทั้งชั้นเรียน มีทักษะการอ่านเรื่องการอ่านออกเสียงอักษรนำวิชา
ภาษาไทยทค่ี ณุ ภาพระดับดีขึ้น เม่อื ใช้หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์จัดกิจกรรมการเรียนรแู้ ทนวธิ แี ละเทคนิคการสอนแบบ
DLTV
. 3. ความสำเร็จของงานวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของ กลุ่มสาระ
การเรยี นร้อู ่นื ๆ
6
ขอบเขตการวจิ ยั
1. ขอบเขตด้านแหล่งขอ้ มูล
1.1 ประชากร นกั เรียนระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 2
1.2 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 16
คน วิธีการคัดเลือก เทียบเคียงกับใช้วิธีการสุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็นอย่างง่าย (Simple Random
Sampling) เพราะถือว่านักเรียนแต่ละคนของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ของแต่ละปีการศึกษา เม่ือ
วิเคราะห์โดยภาพรวมแล้วพบว่า มาจากบริบทของชุมชนเดยี วกัน จึงสร้างขอ้ สรุปว่าไม่มีความแตกต่าง
กัน ประชากรของนักเรียนดังกล่าวจึงเป็นเอกพันธ์ (Homogeneous Population) สามารถคัดเลือกกลุ่ม
ตัวอยา่ งโดยองิ วิธกี ารสมุ่ แบบอาศัยความ น่าจะเป็นอยา่ งงา่ ย
2. ขอบเขตดา้ นตัวแปร
2.1 ตัวแปรอิสระ
1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียง กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
โดยทดลองใช้หนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส์
2.2 ตัวแปรตาม
1. ระดับผลการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย จากการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรู้กับนกั เรยี นระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยทดลองใช้หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์
2. ระดับความพึงพอใจของนกั เรียนระดบั ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ทม่ี ตี อ่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
เรอ่ื ง การอา่ นออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย โดยทดลองใช้หนงั สอื อิเล็กทรอนิกส์
3. ขอบเขตด้านเนอื้ หา
การจัดกจิ กรรมการเรียนรูเ้ รื่อง การอา่ นออกเสยี งอกั ษรนำวชิ าภาษาไทย ตามตวั ชีว้ ดั ท่ี ป.2/1 อ่าน
ออกเสยี งคำ คำคล้องจอง ขอ้ ความ และบทร้อยกรองงา่ ยๆได้ถกู ต้อง
มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาในการ
ดำเนนิ ชีวิตและมนี ิสัยรักการอ่าน และสาระ ที่ 1 การอ่าน
4. ขอบเขตด้านระยะเวลาและสถานที่
ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน มกราคม ถึง เดือน เมษายน พ.ศ. 2565 ทำวิจัยที่ โรงเรียนพิชัยดาบหกั
1 อำเภอเมอื ง จงั หวดั อุตรดติ ถ์
7
นิยามคำศพั ท์เฉพาะ
1. นักเรยี นระดับช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 หมายถึง นกั เรยี นระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนพิชัยดาบ
หกั 1 อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
2. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นจากโปรแกรม Powerpoint จัดทำ
โดยผู้ทำวิจัย มีเนื้อหาเกี่ยวกับความหมาย ความสำคัญ และตัวอย่างคำของอักษรนำ พร้อมทั้งมีวิธีการใช้งาน คือ
เมื่อคลิกปุ่มตามคำสั่งเสียง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ก็จะแสดงผลออกมาในรูปแบบของเสียง เพื่อให้นักเรียนได้ฝึก
ออกเสยี งตามหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ โดยมีตัวการ์ตูนอา่ นออกเสยี งก่อนจากนั้นใหน้ ักเรียนอ่านออกเสียงตาม
3. ผลการเรยี นรู้ หมายถงึ
2.1 ผลการเรียนรู้ออาจหมายถึงพฤติกรรมที่ผเู้ รียนสามารถแสดงออกเปน็ รูปธรรม และสามารถ
วดั และประเมินผลได้เป็นความสำเร็จของผเู้ รยี น หลังการจบการเรียนรขู้ องผู้เรียน ในแต่ละบทเรียน
2.2 คา่ คะแนนเฉล่ียรวมผลการเรยี นรขู้ องนักเรียนระดบั ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 จำนวน 16 คน
จากการวัดและประเมินผลภายหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย โดย
ทดลองใช้หนงั สอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์
4. ระดับผลการเรียนรู้ หมายถงึ ระดบั ผลการเรียนรู้ท่กี ำหนดตามเกณฑว์ ัดและประเมนิ ผลของสำนักงาน
คณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐานหรือ สพฐ.(2550) ดงั นี้
ดีเยี่ยม มคี า่ ร้อยละของคา่ คะแนนเฉล่ีย 80-100
ดี มคี ่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลยี่ 65-79
พอใช้ (ผ่าน) มีคา่ รอ้ ยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 50-64
ต้องปรบั ปรงุ (ต่ำกว่าเกณฑ)์ มีคา่ รอ้ ยละของคา่ คะแนนเฉลย่ี ต่ำกวา่ 50
5. การพัฒนาผลการเรียนรู้ หมายถึง ผลการเปรียบเทียบระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชา
ภาษาไทย โดยทดลองใช้หนังสอื อเิ ล็กทรอนิกส์ กับ ผลการเรยี นร้รู ะดับ ดี มรี อ้ ยละ ของค่าเฉล่ยี 65 - 79 เม่ือ
วิเคราะห์เปรียบเทียบด้วย One – Sample t Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (α 0.05) หรือที่ระดับความ
เชอื่ มัน่ 95%
8
6.ความพึงพอใจ หมายถงึ ความพงึ พอใจของนกั เรยี นระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ท่ีมตี อ่ การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย โดยทดลองใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วยด้าน
กิจกรรม ตัวครู บรรยากาศ และด้านความรคู้ วามเข้าใจเนื้อหาเรื่อง การอา่ นออกเสียงอกั ษรนำวชิ าภาษาไทย
7. ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดย
เรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึงน้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึง
พอใจมาก มีความพึงพอใจปานกลาง มีความพึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึง
พอใจน้อยท่สี ุด แตล่ ะระดับดงั กลา่ ว
กำหนดโดยเกณฑ์ตามชว่ งคา่ เฉล่ียของบญุ ชม ศรีสะอาด (2545) ดงั นี้
ระดบั คา่ เฉลย่ี ระดบั ความพึงพอใจ
คะแนนเฉลย่ี 4.51 – 5.00 หมายถงึ มีความพึงพอใจท่ีระดับมากสุด
คะแนนเฉลย่ี 3.51 – 4.50 หมายถงึ มีความพงึ พอใจทรี่ ะดบั มาก
คะแนนเฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพงึ พอใจที่ระดับปานกลาง
คะแนนเฉล่ยี 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจท่รี ะดับน้อย
คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจท่ีระดบั นอ้ ยสดุ
สมมติฐานการวจิ ัย
สมมติฐานการวจิ ัยท่ี 1
จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยของ
นักเรียนระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนคิ การสอนแบบ DLTV กับนกั เรียนระดับ ชนั้ ประถมศึกษา
ปีที่ 2 พบว่า เมื่อเทียบกับระดับผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์ของ สพฐ. นักเรียนจำนวนทั้งหมดมีผลการเรียนรู้ทีร่ ะดับ
พอใช้ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านคือต้องผ่านอย่างน้อยร้อยละ 70 สาเหตุเป็นเพราะ เด็กชายณภัทร กอกุล ที่
กล่าวว่า “เอา ห มาผสมกับตัวอื่นไม่ได้ ไม่รู้จะสะกดอย่างไร” ซึ่งสอดคล้องกับเด็กชายอนุพันธ์พงศ์ บุญทานันท์ที่
กล่าวว่า “มีพยัญชนะหลายตัวเลยทำให้อ่านออกเสียงไม่ถูก”และเด็กหญิงวิภาดา เพ็งถา “ไม่เข้าใจการประสม
พยัญชนะตัวทห่ี น่งึ กบั ท่ีสองของคำ”
จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ที่สร้างขึ้นตาม ทฤษฎี ของ
ครรชิต มาลยั วงศ์ (2540) มสี าระสำคัญคือ หนงั สอื ท่ีสรา้ งขนึ้ ดว้ ยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ มลี กั ษณะเป็นเอกสาร
อิเลก็ ทรอนกิ สโ์ ดยปกติมักจะเปน็ แฟ้มขอ้ มูลคอมพิวเตอร์ท่ี สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพวิ เตอร์ท้ังใน
ระบบออฟไลน์และออนไลน์คุณลักษณะ ของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่าง ๆ ของ
หนังสือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถ
9
แทรก ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวแบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ ได้
อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้ ตลอดเวลา ซ่ึง
คุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไปซึ่งสาระสำคัญดังกล่าวสัมพันธ์กับสาเหตุของปัญหาของนักเรียน
ดังกล่าวก่อนหนา้ คอื จะเห็นได้ว่าการนำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการจัดการเรยี นรู้มีปฏิสัมพันธแ์ ละตอบโต้กับ
ผู้เรียนได้ดีกว่าการเรียนรู้แบบ DLTV เพราะการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรก ภาพ เสียง
ภาพเคลื่อนไหวแบบทดสอบตา่ งๆ ไดส้ ะดวกสบาย ทนั สมัย และจากการทบทวนเฉพาะงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง
ยังพบอีกวา่ นาฏอนงค์ จนั ทร์เขียว (2558) ทำการวจิ ยั เรือ่ ง การพัฒนาหนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ (E-Book) โดยใช้การ
เรียนรู้แบบ SQ4R เรื่อง การอ่านจับใจความ กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย สำหรบั นกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6
ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนจากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านจับใจความ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ 0.05 เช่นเดียวกับ จรัสสม ปานบุตร (2556) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)
เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองเค็ด
ผลการวิจัยพบว่า ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองเค็ด
หลัง เรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านออกเสียงภาษาไทย มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 25.16 อยู่ในเกณฑ์
ระดับ ดี และ ศิริพร บุญเรือง (2555) ทำการวจิ ัยเรอ่ื ง การพัฒนาหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการอ่านจับใจความ
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดดอนหวาย (นครรัฐประสาท) ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนกอ่ นเรียนและหลังเรยี นดว้ ยหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ เรื่องการอา่ นจับ ใจความของ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 4 โรงเรียนวัดดอนหวาย (นครรฐั ประสาท) มคี วามแตกตา่ งกัน โดยเฉลยี่ คะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการ
เรียนหลงั เรียนของนกั เรยี น ที่เรียนด้วยหนังสอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ( ̅= 24.82 , S.D = 2.23 ) สูงกว่าก่อนเรียนดว้ ย
หนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์ ( ̅ = 12.04 , S.D = 2.30 ) กล่าวคือ คะแนนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคญั
ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั 0.01
จากการอ้างองิ นวตั กรรมทีน่ ำมาใช้ทดลองจดั กิจกรรมการเรียนรขู้ องงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้องดังกลา่ ว
จึงกำหนดสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1 ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการทดลองใช้ หนังสือ
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ มีผลตอ่ การพัฒนาผลการเรียนรู้เร่ือง การอ่านออกเสียงอักษรนำ นกั เรียนระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปี
ที่ 2
10
สมมติฐานการวจิ ัยที่ 2
จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า นาฏอนงค์ จันทร์เขียว (2558) ทำการ
วิจัยเร่ือง การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) โดยใช้การเรียนรู้แบบ SQ4R เรื่อง การอ่านจบั
ใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความ
พึงพอใจต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.52 , S.D.=0.57) จรัสสม ปานบุตร
(2556) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เพื่อพฒั นาทักษะการอา่ นออกเสียงภาษาไทย
ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองเคด็ ผลการวจิ ัยพบวา่ นกั เรยี นมีความพึงพอใจต่อ
การเรียน ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านออกเสียงภาษาไทย ของ นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองเค็ด อยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.53 , S.D = 0.44) ศิริพร บุญเรือง
(2555) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการอ่านจับใจความ ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดดอนหวาย (นครรัฐประสาท) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมี
ความพงึ พอใจตอ่ หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ เรื่องการอา่ นจับใจความ อยใู่ นระดับมากทส่ี ดุ ( ̅ = 4.54 , S.D =
0.66)
จากการอา้ งอิงนวัตกรรมท่ีนำมาใช้ทดลองจัดกิจกรรมการเรยี นรขู้ องงานวจิ ัยที่เกีย่ วข้องดงั กล่าว
จึงกำหนดสมมติฐานการวจิ ยั ข้อที่ 2 ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ือง การอ่านออกเสียงอักษรนำ โดยทดลอง
ใช้ หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ มีผลต่อระดับความพงึ พอใจของนักเรียนระดับช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2
11
บทที่ 2
การทบทวนเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ยี วขอ้ ง
การทำวิจัยในชน้ั เรยี นเรือ่ งการพฒั นาทกั ษะการอา่ นออกเสียงอักษรนำวชิ าภาษาไทยของนกั เรียน
ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใชห้ นังสืออิเล็กทรอนิกส์ ผูว้ ิจัยขอเสนอผลการทบทวนเอกสารและงานวิจยั ท่ี
เก่ียวข้องประกอบดว้ ยหัวข้อหลกั ตามลำดบั ดงั นี้
1. การวจิ ัยในชัน้ เรียน
2. หนังสอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e-book)
3. เคร่ืองมอื การวิจัย
4. วิธกี ารสรา้ งและหาคณุ ภาพของนวัตกรรม
5. เคร่อื งมือ
6. ความพงึ พอใจ
7. ผลการเรยี นรู้
8. งานวิจัยทเี่ กยี่ วขอ้ ง
แต่ละหัวข้อหลักดงั กลา่ ว นำเสนอรายละเอียดตามลำดบั ข้ัน ดงั น้ี
การวิจัยในช้นั เรียน
1. ความหมายของการวจิ ัยในชัน้ เรยี น
สำหรับการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research : CAR) หรืออาจใช้คำว่า การ
วิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research : CR) ได้มีนักวิชาการหลายท่านให้นิยามความหมายไว้หลากหลาย ดัง
ตัวอย่างตอ่ ไปนี้
วาโร เพง็ สวสั ด์ิ (2546) กล่าววา่ การวิจยั ในชนั้ เรียน หมายถึงวธิ กี ารหรือกระบวนการทไี่ ด้มาซ่งึ ความรูห้ รอื คำตอบ
ทีค่ รเู ปน็ ผจู้ ดั ทำขน้ึ เอง โดยมีจุดมงุ่ หมายทจี่ ะนำผลการวิจยั ไปใชใ้ นการแก้ปัญหาการเรยี น การสอนในชนั้ เรียนของ
ตน
สุวิมล ว่องวานิช (2544) กล่าวว่า การวิจัยในชั้นเรียนคือการวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในชั้นเรียนเพ่ือ
แก้ปัญหาที่เกดิ ขึน้ ในชัน้ เรยี น และนำผลมาใช้ในการปรับปรงุ การเรียนการสอน หรือส่งเสรมิ พัฒนาการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว นำผลไปใ ช้ ทันที
และสะทอ้ นข้อมูลเกี่ยวกบั การปฏิบัติงานต่างๆในชวี ิตประจำวันของตนเอง ให้ทงั้ ตนเองและกลุ่มเพื่อน ร่วมงานใน
12
โรงเรียนได้มีโอกาสวิพากษ์วิจารณ์ อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแนวทางที่ได้ปฏิบัติและผลที่ เกิดขึ้น เพ่ือ
พัฒนาการเรยี นร้ทู ัง้ ของผู้สอนและผเู้ รยี น
สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม (2555) กล่าวว่า การวิจัยในช้ันเรยี น คือ กระบวนการแสวงหาความรูอ้ ัน เป็น
ความจรงิ ท่ีเช่ือถือได้ในเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของ นักเรียน
ในบริบทของชั้นเรียน การวิจัยในชั้นเรียนมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การพัฒนางานการจัดการเรียนการ สอนของครู
ลักษณะของ การวจิ ัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) คอื เปน็ การวจิ ัยควบคู่ไปกับ การปฏิบัติงาน
จริง โดยมีครูเปน็ ทัง้ ผู้ผลติ งานวิจัย และผู้บริโภคผลการวิจัย หรือกล่าวอีกนยั หนึ่งคือครเู ป็น นักวิจัยในชั้นเรยี นครู
นักวิจัยจะต้ังคำถามที่มีความหมายในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน แล้วจะวาง แผนการปฏิบัติงานและการ
วิจัย หลักจากนั้นครูจะดำเนินการการจัดการเรียนการสอนไปพร้อมๆ กับทำการ จัดเก็บข้อมูลตาม ระบบข้อมูลที่
ได้วางแผนการวิจยั ไว้ นำขอ้ มลู ที่ไดม้ าวิเคราะห์สรุปผลการวิจัย นำผลการวิจยั ไป ใชใ้ นการพัฒนาการจัดการเรียน
การสอนแล้วจะพัฒนาข้อความรู้ที่ได้นั้นต่อไปให้มีความถูกต้องเป็นสากลและ เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นต่อการ
พัฒนาการเรียนการสอนเพือ่ การพัฒนานักเรยี นของครใู ห้มีคุณภาพยิ่งๆ ขึ้นไป
2. ประเภทของการวิจัยในชนั้ เรียน
นพเก้า ณ พัทลุง (2550) การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนหรือ CAR สมารถแบ่งตามลักษณะของข้อมูล
การวจิ ยั ไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญๆ่ ได้แก่ การวิจยั เชิงปรมิ าณและการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ดงั รายละเอียดโดยสรปุ ดงั นี้
การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) หมายถึง การวิจัยที่มุ่งวัดและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็น
ตัวเลขเพื่อช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแบ่งการ
วิจยั ท่ไี มใ่ ช่ทดลอง และการวิจยั เชิงทดลอง ดังน้ี
1. การวิจัยที่ไม่ใช่การทดลอง (Non-experimental Research) จำแนกออกเป็น 3
ประเภทคือ
1.1 การวิจัยทศ่ี กึ ษาปรากฏการณท์ ี่เกดิ ขึน้ แลว้ (Ex-post Facto Research) เป็น
การศึกษาปรากฏการณท์ เ่ี กิดขนึ้ แล้วเพ่ือสืบคนั หาสาเหตทุ ี่ทาใหเ้ กิดปรากฏการณน์ ั้น มลี กั ษณะการวจิ ัย
เชิงทดลอง เพียงแตไ่ ม่ตอ้ งควบคุมตวั แปรอสิ ระทเ่ี กดิ ขึน้
1.2 การวิจัยเชิงหาความสัมพันธ์ (Core-relational Research) เป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่าง
ตวั แปร 2 ตัวขึ้นไป โดยวัดสงิ่ ทเี่ กดิ ข้นึ ในปัจจบุ นั หรอื ในอดีต
1.3 การวิจยั เชงิ สำรวจ (Survey Research) เปน็ การศกึ ษาเพือ่ รวบรวมข้อมูล
ในเรื่องหรือลักษณะต่างๆจากกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา โดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็น เจตคติ หรือบุคลิก
ของกลมุ่ เปา้ หมาย
13
2. การวิจยั เชิงทดลอง (Experimental Research) หมายถึงการวิจัยท่ีจดั กระทำโดยการสรา้ งเงอ่ื นไขหรือ
สถานการณท์ จ่ี ะทดลอง และควบคุมตัวแปรตา่ งๆท่ีไมเ่ ก่ียวข้อง หรืออาจเรยี กว่าเปน็ การศกึ ษาตวั แปรหน่งึ (สาเหตุ)
ที่เรียกว่าตัวแปรต้น และอีกตัวแปรหน่ึง (ผลลัพธ์ ซึ่งเรียกว่าตัวแปรตาม มีหลายลักษณะ เช่นPre-experimental
Research แบบ One-shot Case , แบบ One-group Pre-Post Design หรอื การวจิ ัยแบบ Quasi Experimental
Research ซง่ึ รปู แบบเหลา่ น้ผี ้วู จิ ยั สามารถศกึ ษารายละเอยี ดจากตำราวจิ ัยทางการศึกษาไดซ้ ่งึ มอี ยทู่ ั่วไป
การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการศึกษาที่มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมที่
เกิดขึ้นจากมุมมองของมนุษย์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะของการ
บรรยาย การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นมีหลายประเภท แต่ที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนได้แก่
การศกึ ษารายกรณี (Case Study) ซึง่ เป็นวิธกี ารศกึ ษาเชิงลกึ ของหนว่ ยหรือกลมุ่ เดียว องค์การเดียวโปรแกรมเดียว
ซงึ่ การศึกษารายกรณจี ะมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้
1) ข้นั การรวบรวมขอ้ มลู ท่จี ำเป็นเก่ยี วกับบคุ คล (Collecting of the Necessary Data)
ซึ่งจะชว่ ยใหร้ ู้จักนักเรยี นทถ่ี ูกทำการศกึ ษา ตลอดจนชว่ ยทราบภาวะความเปน็ ไปในปัจจบุ นั ของนักเรยี นนั้นอกี ดว้ ย
2) ข้ันวิเคราะหข์ ้อมลู (Analysis เปน็ การนำเอาข้อมลู ท่ีได้รวบรวมเอาไว้มาวิเคราะหห์ า
ขอ้ เทจ็ จรงิ ตา่ งๆและจำแนกออกเปน็ ด้านๆเพื่อสะดวกในการตีความหมาย
3) ขนั้ ตรวจวินิจฉยั ปัญหา (Diagnosis เป็นการนำเอาผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลขนั้ ที่
สองเป็นพื้นฐานประกอบการพิจารณาเพ่ือวนิ ิจฉัยว่าอะไรนำจะเปน็ สาเหตขุ องปัญหาเป็นพื้นฐานการ
สังเคราะหข์ อ้ เท็จจริงขนั้ ตอ่ ไป
4) ขั้นสังเคราะหข์ ้อมูลหรอื รวบรวมข้อมูลเพ่มิ เติม (Synthesis) คอื การศึกษาข้อเท็จจริง
เกี่ยวกับปัญหานั้นเพิ่มด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สังเกต สัมภาษณ์ ทดสอบ ฯลฯ แล้วนำข้อเท็จจริงที่ค้นพบมา
สังเคราะห์เข้าด้วยกันกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้ว ทำให้มองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่ละด้านเกิดเป็นภาพรวม
ทางบคุ ลกิ ของบุคคลน้ัน
5) ขั้นใหค้ วามชว่ ยเหลอื (Treatment! เม่ือผูศ้ กึ ษารายกรณีแน่ใจว่าการตรวจวนิ จิ ฉยั
ปัญหาของตนถกู ต้องแล้วกค็ วรคิดหามาตรการต่างๆทจ่ี ะนำมาชว่ ยเหลอื แนะแนวทางนักเรยี นในการแก้ปญั หา
6) ติดตามผล (Follow-up) เพ่ือให้ทราบว่าการศึกษากรณีประสบความสำเรจ็
มากน้อยเพยี งไร มีขอ้ บกพรอ่ งทคี่ วรปรับปรงุ แก้ไขอยา่ งไร และตอ้ งให้ความช่วยเหลือเพม่ิ เตมิ หรอื ไม่
14
3. ความจำเป็นที่ครตู ้องทำการวจิ ัยในชนั้ เรียน
ครรุ ักษ์ ภิรมย์รกั ษ์ (2544) กล่าวว่า การวิจัย (Research) เปน็ กระบวนการสากล ที่นำมาใช้
ในการสืบคันแสวงหาคำตอบอย่างมีเหตุผลทเี่ ชื่อถอื ได้จากข้อสงสัยหรือปัญหาต่างๆท่ีเกิดข้ึน ในบริบทของชั้นเรียน
ก็เชน่ เดยี วกัน ความเปน็ จริงทเี่ กิดขึน้ คือปัญหาต่างๆ มากมายทตี่ ้องแกไ้ ขใหห้ มดไปหรือทุเลาเบาบางลงไปให้เหลือ
น้อยท่ีสุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) จึงมีความจำเป็น
หลายประการเพ่อื การแก้ไขปญั หาในช้นั เรียน สรปุ ได้ดงั นี้
1. ผเู้ รียนแตล่ ะคนมีความแตกต่างกันในหลายๆด้าน เปน็ เหตใุ ห้พฤติกรรมผเู้ รียน แต่ละคนมี
ความแตกต่างกัน ดังนั้นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้จงึ จำเป็นต้องจัดใหส้ อดคล้อง กับความแตกต่างของ
ผเู้ รียนดว้ ย ซึง่ ปัญหาความแตกตา่ งของผเู้ รียนน้จี งึ มีความจำเปน็ อย่างย่ิง ตอ่ การทำวจิ ัยในชนั้ เรียน
2. สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคนทั้งในบ้านและชุมชนที่ผู้เรียน อาศัยอยู่ ก็
เปน็ สาเหตทุ ี่ทำให้ผเู้ รียนแตล่ ะคนมีพฤติกรรมและปัญหาแตกตา่ งกัน และสง่ ผลให้ผูเ้ รียน แตล่ ะคนมีพฤติกรรมที่
แตกต่างกันด้วย ถ้าครูไม่ทำการวิจัยเพื่อแสวงหานวัตกรรมมาใช้ให้เหมาะกับผู้เรียน ก็เป็นการยากที่ทั้งครูและ
ผ้เู รียนจะประสบความสำเร็จในการจัดกระบวนการเรียนการสอน
3. การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน เป็นกระบวนการทตี่ อ้ งดำเนนิ การ อย่างต่อเน่ือง
เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์เต็มศักยภาพ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการวิจัยในชั้นเรียนอย่าง
ตอ่ เนือ่ ง ท้ังในดา้ นการจดั กระบวนการเรียนการสอน ส่อื การเรียนการสอน หรือนวัตกรรมต่างๆให้เหมาะสม
กบั ศกั ยภาพของผู้เรียน
จากความจำเป็นของการวิจยั ในชั้นเรยี นนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2592 โดยเฉพาะหมวด 4 แนวการจดั การศึกษาในหลายมาตรา เช่น มาตรา 22 - 30 ทเ่ี นน้ กระบวนการ
จดั การเรียนรูท้ ี่ยึดผเู้ รียนเปน็ สำคัญ (Learner Center) ซึง่ กระบวนการวิจัยปฏิบตั ิการในช้ันเรียนจะ
เป็นปจั จยั สำคัญในการพัฒนาการเรยี นรตู้ ามแนวยุทธศาสตร์ของการปฏิรูปการศึกษาดังกล่าว
15
4. ประโยชน์/ความสำคญั ของการวจิ ยั ในช้ันเรียน
ความสำคญั ของการวจิ ยั ในช้นั เรยี น
สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม (2555) กล่าวว่า การทำวิจัยในชั้นเรียนนั้นจะช่วยให้ครู มีวิถี
ชีวติ ของการทำงานครูอย่างเป็นระบบเห็นภาพของงานตลอดแนว มีการตดั สนิ ใจท่มี ีคณุ ภาพ เพราะจะ
มองเห็นทางเลือกต่างๆ ได้กว้างขวางและสึกซึ้งขึ้น แล้วจะตัดสินใจเลือกทางเลือกต่างๆ อย่างมีเหตุผลและ
สร้างสรรค์ ครูนักวิจัยจะมีโอกาสมากขึ้นในการคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเหตุผล ของการปฏิบัติงานและครูจะ
สามารถบอกได้จัดการเรียนการสอนที่ปฏบิ ัติไปนั้นได้ผลหรือไม่เพราะอะไร นอกจากนี้ครูที่ใช้กระบวนการวิจัยใน
การพัฒนากระบวนการเรยี นการสอนนี้จะสามารถควบคมุ กำกับ และพฒั นาการปฏบิ ตั ิงานของตนเองได้อย่าง
ดี เพราะการทำงาน และผลของการทำงานน้ัน ลว้ นมคี วามหมาย และคณุ ค่าสำหรบั ครใู นการพัฒนานักเรยี น ผล
จากการทำวจิ ยั ในชัน้ เรียนจะช่วยใหค้ รไู ดต้ ัวบง่ ชท้ี ี่เป็นรปู ธรรมของผลสำเรจ็ ในการปฏิบัตงิ านของครูอันจะนำมาซึ่ง
ความรูใ้ นงานและ ความปติ ิสขุ ในการปฏิบตั ิงานที่ถกู ต้องของครู เปน็ ทค่ี าดหวังว่า เมอื่ ครผู ู้สอนไดท้ ำการวิจัยใน
ชน้ั เรยี นควบคูไ่ ปกับการปฏิบัตงิ านสอนอย่างเหมาะสมแลว้ จะก่อให้เกิดผลดีต่อวงการศึกษา และวชิ าชพี ครู อยา่ ง
น้อย 3 ประการ คือ
(1) นกั เรียนจะมกี ารเรียนรู้ที่มคี ุณภาพและประสทิ ธภิ าพยิ่งข้นึ
(2) วงวชิ าการการศึกษาจะมีข้อความรู้และ/หรือนวตั กรรมทาง การจดั การเรยี นการสอนท่ี เป็นจริง
เกดิ มากขึน้ อนั จะเป็นประโยชนต์ ่อครูและเพื่อนครูในการพฒั นาการจัดการเรยี นการสอน เปน็ อย่างมาก
(3) วิถีชีวิตของครู หรือวัฒนธรรมในการทำงานของครู จะพัฒนาไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพ
(Professional Teacher)มากยิ่งขึ้นทั้งนี้เพราะครูนักวิจัยจะมีคุณสมบัติของการเป็นผู้แสวงหาความรู้หรือผู้เรียน
(Learner) ในศาสตร์แห่งการสอนอย่างต่อเนื่องและมีชีวิตซีวา จนในที่สุดก็จะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจที่
กว้างขวาง และลึกซึ้งในศาสตร์และศิลป์แห่งการสอนเป็นครูที่มีวิทยายุทธ์แกร่งกล้าในการสอนสามารถที่จะสอน
นักเรียนให้พัฒนาก้าวหน้าในด้านต่างๆ ในหลายบริบทหรือที่เรียกว่า เป็นครูผู้รอบรู้ หรือครูปรมาจารย์
(Master Teacher) ซึ่งถ้ามีปริมาณครูนักวิจัยดังกล่าวมากขึ้น จะช่วยให้การพัฒนาวิชาชีพครูเป็นไปอย่าง
สรา้ งสรรค์และม่นั คง
ครรุ กั ษ์ ภิรมย์รกั ษ์ (2541) กลา่ วว่า การวจิ ัยปฏบิ ัติการในชัน้ เรยี น มคี วามสำคัญ
สรปุ ไดด้ งั นี้
1) เป็นเครื่องมือสำคัญของครูในการพัฒนาวถิ ีชีวิตความเป็นครูไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพ เพราะการ
วิจัยในชั้นเรียนจะช่วยให้ครูเป็นนักแสวงหาความรู้และใช้วิธีการใหม่ๆอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยให้ครูมีความรู้อย่าง
กว้างขวางและสุม่ สึก ทำงานอยา่ งมีเหตุผล สรา้ งสรรค์ และเปน็ ระบบ
16
2) เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทำให้งาน
ของครูมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวก้าวไปข้างหน้า ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
เกดิ นวัตกรรมท่ที ันสมยั นามาใชใ้ นการแก้ปญั หาการเรยี นการสอนได้ทันทว่ งที
3) เปน็ เครือ่ งมือสำคัญท่ีจะจรรโลงวชิ าชีพครูให้มีความเข้มแข็ง เพราะผลจากการวจิ ัย ในช้ันเรียน
จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จในการทำงานของครูได้เป็นอย่างเป็นรปู ธรรม นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงไปใน
ทศิ ทางที่พึงประสงค์ของผู้เรียนตามท่ีครูต้องการและเป็นไปตามความคาดหวังของสงั คมทั้งครูและผเู้ รยี น
ประโยชนข์ องการวจิ ยั ในชน้ั เรียน
รุรักษ์ ภิรมย์รักษ์ (2544) กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน จะมี
ประโยชน์ดงั นี้
1. ชว่ ยให้ครมู พี ลังอำนาจในการแก้ปัญหาในชน้ั เรยี นเพ่ิมมากขึน้ สามารถแก้ปญั หาในชั้นเรียนได้ทันท่วงที
และมปี ระสิทธิภาพ
2. ช่วยให้ครูมีความมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น และจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
3. ช่วยให้ครูทำงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ประสบความสำเร็จในการทำงาน มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ
และภาคภูมใิ จในวิธีการที่นำมาใช้
4. ช่วยใหโ้ รงเรียนสามารถกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆเกี่ยวกับการพัฒนาหลกั สตู ร และการเรียน
การสอนไดอ้ ย่างเหมาะสมโดยมีผลการวจิ ัยรองรบั
5. ช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้รบั การแกไ้ ขปัญหาและพฒั นาอยา่ งสมบรู ณ์เตม็ ศกั ยภาพท้งั ในดา้ นความรู้
ความสามารถ ทักษะ และคณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์
หนังสืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-book)
1. แนวคดิ การสรา้ งหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ (e-book)
ครรชิต มาลัยวงศ์ (2540) ให้นิยามของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง รูปแบบของ การจัดเก็บ
และนำเสนอข้อมูลหลากหลายรูปแบบทั้งที่เป็นข้อความตัวเลข ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงต่าง ๆ ข้อมูล
เหล่านี้มีวิธีเก็บในลักษณะพิเศษคือจากแฟ้มข้อมูลหนึ่งผู้อ่านสามารถเรียกดู ข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ทันทีโดย
ข้อมูลอาจจะอยู่ในแฟ้มเดียวกนั หรือไม่กไ็ ด้ขอ้ มูลท่กี ล่าว เป็น ข้อความท่ีเปน็ ตัวอกั ษรหรือตัวเลข เรยี กว่า
ไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext) และถ้าหากข้อมูลนั้นรวมถึง เสียงและภาพเคลื่อนไหวด้วยก็เรียกว่าสื่อประสมหรือ
ไฮเปอรม์ ีเดีย
17
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เป็นเอกสารดิจิตอลที่สร้างขึ้นโดยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ ท่ี มี
ประวัติความเป็นมา มีโครงสร้างลักษณะคล้ายกับหนังสือจริง มีรูปแบบ หลากหลายประเภท สามารถกระตุ้น
ความสนใจของผู้เรียนด้วยมัลติมีเดีย เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี และเสียงอื่นๆ ซึ่งการใช้งานมีท้ัง
ข้อดีและข้อจำกัด และหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์สามารถสร้างได้ด้วยโปรแกรมไมโครซอฟท์พาวเวอร์พอยต์ 2013
(Microsoft PowerPoint 2013) ทต่ี ดิ ต้งั ในเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ทว่ั ไป
2. โครงสร้างของหนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-book)
ลักษณะ โครงสร้างของหนังสืออเิ ล็กทรอนิกสจ์ ะมีความคล้ายคลึงกบั หนังสอื ท่วั ไป ท่ีพิมพ์ดว้ ยกระดาษ หากจะมี
ความแตกต่างที่เหน็ ไดช้ ดั เจนก็ คอื กระบวนการผลิตที่ใช้ คอมพวิ เตอรใ์ นการสรา้ ง รปู แบบการนำเสนอ การ
เชื่อมโยง และวิธกี ารเปดิ อา่ นหนังสอื โครงสร้างท่ัวไปของหนังสอื อเิ ล็กทรอนิกส์ ประกอบดว้ ย
1. หนา้ ปก หมายถงึ ปกดา้ นหนา้ ของหนงั สือซ่งึ จะอยสู่ ว่ นแรก เป็นตัวบง่ บอกวา่ หนงั สือ เล่มน้ีชอื่ อะไร มี
คำสงั่ กดเขา้ สู่หนา้ เมนู
2. หน้าหลัก หมายถึง เป็นถัดมาจากหนา้ ปกท่มี ีเมนูตา่ งๆ ประกอบดว้ ยอะไรบา้ งอยู่ที่หน้าใดของหนังสอื
สามารถเช่ือมโยงไปสู่หนา้ ตา่ งๆ
3. ปมุ่ เมนู หมายถึง เป็นปุ่มคำสง่ั เชอ่ื มโยงไปหนา้ ต่างๆภายในเลม่ ได้ ประกอบไปด้วย
3.1 หนา้ หลกั
3.2 เน้ือหา
3.3 ผจู้ ดั ทำ
3.4 วธิ ีใช้
3.5 อา้ งอิง
4. สาระของหนงั สือแตล่ ะหนา้ หมายถงึ สว่ นประกอบสำคัญในแต่ละหนา้ ที่ปรากฏภายในเล่ม
ประกอบด้วย
4.1 ขอ้ ความ (Texts)
4.2 ภาพประกอบ (Graphics) .jpg, .gif, .bmp, .png, .tiff
4.3 เสียง (Sounds) .mp3, .wav, .midi
4.4 ภาพเคล่ือนไหว (Video Clips, flash) .mpeg, .wav, .avi
4.5 จดุ เชอ่ื มโยง (Links)
5. การอ้างอิง หมายถึง แหลง่ ขอ้ มลู ทีใ่ ชน้ ำมาอา้ งอิงทีม่ าของ เนื้อหาภายในหนังสอื อาจเป็นเอกสาร ตำรา
หรือเว็บไซต์ก็ได้
4. ข้อดีและข้อจำกัดของหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book)
18
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรือ อีบุ๊ก (e-book) เป็นนวัตกรรมจากความก้าวหน้า ของ
เทคโนโลยดี ้านคอมพวิ เตอร์ ทำใหม้ นุษยไ์ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากการอ่านหนังสอื ซง่ึ มีข้อดี และข้อจำกดั จาก
การใชห้ นังสอื อิเลก็ ทรอนกิ สใ์ ห้เราไดค้ ำนึงถงึ ดงั นี้
ข้อดี ทตี่ อ้ งการ
1. อา่ นทีไ่ หน เม่ือไหร่ ได้ตลอดเวลา เนอ่ื งจากพกไปได้ตลอด และไดจ้ ำนวนมาก
2. ประหยัดการตัดไม้ทำลายป่า เพราะไมต่ ้องตดั ไมม้ าทำกระดาษ
3. เก็บรกั ษาได้งา่ ย ประหยดั เนือ้ ทใ่ี นการจัดเก็บ ประหยดั ค่าเก็บรกั ษา
4. คน้ หาขอ้ ความได้ ยกเว้นว่าอยู่ในลกั ษณะของภาพ
5. ใชพ้ ื้นท่นี ้อยในการจดั เกบ็
6. อ่านไดใ้ นท่มี ดื หรอื แสงน้อย
7. ทำสำเนาไดง้ ่าย
8. จำหน่ายไดใ้ นราคาถูกกว่าในรูปแบบหนังสือ
9. อ่านได้ไมจ่ ำกดั จำนวนครั้ง เพราะไมย่ บั หรือเสียหายเหมือนกระดาษ
10. สะดวกสบาย ไม่ตอ้ งเดนิ ทาง แค่คลกิ เดียวก็สามารถเลือกอ่านหนงั สอื
ไดท้ ันที
11. เป็นสว่ นหนึง่ ในการรักษาธรรมชาติ โดยลดการใช้กระดาษกับ True e-book
ข้อจำกดั
1. ตอ้ งอาศยั พลงั งานในการอ่านตลอดเวลา ไมว่ ่าจะเป็นไฟฟ้าหรอื แบตเตอรี่
2. เสียสขุ ภาพสายตา จากการไดร้ บั แสงจากอุปกรณอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์
3. ขาดความรูส้ ึก หรืออรรถรส หรอื ความคลาสสิค
4. อาจเกิดปญั หากับการลง hardware หรอื software ใหม่หรอื แทนทอี่ นั เกา่
5. ตอ้ งมีการดแู ลไฟล์ใหด้ ี ไม่ใหเ้ สยี หรือสญู หาย
6. การอา่ นอาจเกดิ อันตรายต่อสายตา
7. เกิดการละเมิดลขิ สิทธไิ์ ด้ง่าย
8. ไมเ่ หมาะกับบาง format เช่น รปู วาด รปู ถ่าย แผนทใ่ี หญ่ เปน็ ต้น
5. วิธกี ารใช้
1. การเข้าสบู่ ทเรยี น เม่ืออยู่ที่หนา้ แรก ใหค้ ลิกปุ่มเข้าสโู่ ปรแกรม เพ่ือไปยงั หนา้ หลัก
2. สามารถเลือกใชง้ านปมุ่ ตา่ งๆ หรือเข้าส่เู น้ือหาโดยคลกิ ปุ่มนั้นๆไดเ้ ลย
19
วธิ กี ารสร้างและหาคุณภาพของนวตั กรรม
1. วธิ กี ารสร้าง
ครรชิต มาลัยวงศ์ (2540) กล่าวว่า การพฒั นาและออกแบบหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ มขี ้ันตอน
การพัฒนาบทเรยี น 5 ขั้นตอนหลกั ขน้ั แรก การวิเคราะห์เนื้อหา (Analysis) ข้นั ท่สี อง การออกแบบหน่วยการ
เรยี น (Design) ข้นั ท่ีสาม การพฒั นาหนว่ ยการเรยี น (Development) ขนั้ ทีส่ ี่ การพฒั นาเน้อื หาสู่โปรแกรม
(Implementation) ข้นั ท่ีห้าการประเมนิ ผลบทเรียน (Evaluation)
2. การหาคุณภาพ
2.1 การหาคุณภาพเชิงเหตุผล
2.1.1 ความหมาย
(เผชญิ กจิ ระการ, 2544) การหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล (Rational Approach) กระบวนการ
นีเ้ ปน็ การ หาประสิทธิภาพโดยใช้หลักของความรู้และเหตผุ ลในการตัดสินคุณค่าของส่ือการเรยี นการสอน โดย
อาศัยผู้เช่ียวชาญ (Panel of Experts) เป็นผู้พิจารณาตัดสินคุณค่า ซึ่งเป็นการหาความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
(Content Validity) และความเหมาะสมในดา้ นความถกู ต้องของการนำไปใช้ (Usability)
2.1.2 วธิ กี าร
(เผชญิ กิจระการ, 2544) วธิ กี ารหาประสิทธภิ าพเชงิ เหตุผล (Rational Approach) มวี ิธีการหา
คา่ ประสิทธภิ าพโดยใชส้ ูตรดังนี้
CRV = 2 − 1
เมอ่ื CRV แทน ประสิทธิภาพเชงิ เหตผุ ล (Rational Approach)
แทน จำนวนผ้เู ชย่ี วชาญทีย่ อมรับ(Number of panelists who had agreement)
แทน จำนวนผ้เู ชย่ี วชาญท้ังหมด (Total number of panelists)
2.2การหาคุณภาพเชงิ ประจักษ์
2.2.1 ความหมาย
20
(เผชิญ กิจระการ, 2544) การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์(Empirical Approach)
ประสิทธิภาพ ของ ส่อื การเรียนการสอน ท่ีวัดออกมาจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ในการทำแบบฝึกหัดหรือ
กระบวนการปฏิสัมพันธ์กับเปอร์เซ็นตก์ ารทำแบบทดสอบเมื่อจบบทเรยี นแสดงค่าตวั เลข 2 ตวั E1/ E2 เช่น
80/80, 85/85, 90/90 โดยตัวแรกคือเปอร์เซ็นต์ของการทำแบบฝึกหัดหรือ แบบทดสอบย่อยถูกต้อง โดยถือ
เป็นประสิทธภิ าพของกระบวนการ และตัวเลขตัวหลังคือ เปอรเ์ ซ็นต์ของการทำแบบทดสอบถูกต้อง
2.2.2 วิธีการ (Empirical
(เผชิญ กิจระการ, 2544) วิธีการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์
Approach)มีวธิ ีการหาคุณภาพเชิงประจักษ์ โดยใช้สูตรดงั นี้
1 = ∑ 100
เมอ่ื 1 แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ
แทน คะแนนของแบบฝกึ หัดหรอื ของแบบทดสอบย่อยทุกชดุ รวมกัน
แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทุกชุดรวมกัน
แทน จำนวนนกั เรียนทัง้ หมด
เครอ่ื งมอื การวิจยั
1. ความหมาย
(บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ : 2553) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ และมี
บทบาทอย่างมากในการวิจัย การเลือกใช้เครื่องมือใดนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และลักษณะ
พฤติกรรมที่ต้องการจะวัด ซึ่งหมายความว่าจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยด้วย เช่นกัน ในการวิจัย
พบว่าเครื่องมือที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 5 ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์
แบบสอบถาม และแบบประเมินการปฏิบัติ เครื่องมือแต่ละประเภทจะมีลักษณะที่สำคัญและความสามารถในการ
เก็บรวบรวมข้อมูลได้แตกต่างกันออกไป เพื่อให้ผู้วิจัยสามารถเลือกใช้เครื่องมือได้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การ
วิจัย
21
2. การจำแนกประเภท
(บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ : 2553) เครื่องมือที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 5 ประเภท
ไดแ้ ก่
1. แบบทดสอบ (test) คือ ชุดของคำถาม งานหรือสถานการณท์ ี่กำหนดขึน้ เพื่อใช้เป็น
สิง่ เร้าให้บุคคลแสดง พฤตกิ รรมตอบสนองออกมา ซง่ึ พฤติกรรมดังกลา่ วน้ีมีความหมายครอบคลมุ ทั้งด้านพุทธิพิสัย
จิตพิสัยและทักษะพิสัย แบบทดสอบ (ข้อสอบ) เป็นเครื่องมือหลักที่ครู ต้องใช้วัดผลการเรียนของผู้เรียนมาโดย
ตลอด
2. แบบสังเกต (observation form) คือ เครื่องมือที่ใช้ประกอบการสังเกตเป็นชุดของพฤติกรรม
ที่ผู้วิจัยต้องการ ศึกษา แบบสังเกตมีหลายชนิด เช่น ระเบียนพฤติกรรม แบบตรวจสอบ
รายการ (checklist) และแบบจัดอันดับคุณภาพ (rating scale) การสังเกตเป็นวิธีการ ซึ่งใช้ประสาทสัมผัสของผู้
สงั เกต โดยเฉพาะตา และหู เพอื่ ตดิ ตามศกึ ษาพฤติกรรมทบ่ี คุ คลแสดงออก ไดท้ ุกด้าน แบบสังเกตเป็นเคร่ืองมือท่ี
ใชใ้ นการวิจยั ทผี่ ู้วิจยั สามารถใช้ได้ตลอดเวลา
3. แบบสัมภาษณ์(Interview form) คือ เคร่อื งมอื ท่ีใชป้ ระกอบการสัมภาษณ์ จะเป็นแบบบันทึก
คำใหส้ ัมภาษณ์ซงึ่ ผู้สัมภาษณส์ รา้ งข้นึ มาเพ่ืออำนวยความสะดวกในการรวบรวมข้อมูล ลักษณะของแบบสัมภาษณ์
อาจจะคล้ายกับแบบสอบถาม นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือที่ใช้ประกอบในการสัมภาษณ์เป็นสื่อประเภทเครื่อง
บันทึกเสียง ซึ่งใช้อำนวยความสะดวกในการ บันทึกรายละเอียด ของข้อมูล ช่วยให้ผู้สมั ภาษณ์พิจารณาย้อน
ทวนขอ้ มูลได้ และสามารถสรปุ ข้อมลู ได้อย่างถกู ตอ้ งชดั เจน
4. แบบสอบถาม (questionnaire) คือ เครื่องมือที่ใช้วัดพฤติกรรมภายในของบุคคลเกี่ยวกับ
ความรู้สึก ความคิดเห็น เจตคติ ความสนใจ ฯลฯ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นพฤติกรรมด้านจิตพิสัยนั่นเอง นอกจากนี้ยัง
เหมาะสำหรับศึกษาข้อมูลส่วนตัวของ บุคคลด้วย แบบสอบถามมีลักษณะเป็นชุดของคำถามที่สร้างขึ้น เพื่อให้
ศึกษาหาขอ้ มูลตามจดุ ประสงค์ หลกั ในการสรา้ งแบบสอบถาม
5. แบบประเมินการปฏิบัติ (performance assessment form) คือ เครื่องมือที่ใช้ประกอบการ
ประเมินการให้ปฏิบัติจริง มักเป็นแบบบันทึกผลการปฏิบัติตลอดกระบวนการโดยการให้ปฏิบัติเป็นรูปแบบ หรือ
วิธีการที่กำหนดขึ้นเพื่อวัดความสามารถ ในการปฏิบัติงานหรือปฏิบัติกิจกรรมที่จัดเป็นพฤติกรรมด้านทักษะพิสยั
เชน่ เรม่ิ วดั ตงั้ แต่ความสามารถในการเตรียมงานวดั การลงมอื ปฏบิ ัติ ในแตล่ ะข้นั ตอน วดั ผลงานและวดั พฤติกรรม
ด้านจิตพิสยั บางประการ
3. ข้นั ตอนการหาคณุ ภาพ
3.1 การหาคา่ ความเทย่ี งตรงเชงิ เน้อื หา (Content Validity)
3.1.1 ความหมาย
22
( มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร : 2015 ) เปน็ คุณลักษณะของเคร่ืองมอื ที่ทำให้ได้ผลการวัด
ตรงตามจดุ มุ่งหมายในการวัด หมายความว่า เครื่องมือน้ันวัดลักษณะที่ต้องการได้จริง ถ้าเป็นคุณลักษณะของ
แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ธรรมดา ก็ต้องการเพียงว่า แบบทดสอบนั้นสามารถวัดได้ครอบคลุม
เนื้อหา ที่เรียนวัดได้ตรงจุดประสงค์ของการเรียนรู้ ที่สำคัญ วัดเนื้อหาทุกเรื่องโดยมีสัดส่วนจำนวนข้อทดสอบ
มาก-น้อยเหมาะสมกับเนื้อหาทเ่ี น้นตา่ งกัน
3.1.2 วิธกี ารหาคา่ ความเท่ยี งตรง
(คณะรฐั ศาสตร์และนติ ศิ าสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา : 2558 )การหาค่า ความเทย่ี งตรง
ของเนอื้ หา (Content Validity) เปน็ การวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้คา่ ดชั นี ความสอดคล้องระหว่างข้อ
คำถามกับวตั ถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index: IOC) จากการ ประเมินของผเู้ ชยี่ วชาญจำนวน
3 ท่าน หรือ 5 ทา่ น แล้วแต่ความเหมาะสมของแตล่ ะงาน โดยให้ผ้เู ชี่ยวชาญช่วย ประเมินวา่ ขอ้ คำถามแต่ละข้อ
ในแบบสอบถาม สามารถวัดได้ตรงกับเนื้อหา ที่กำหนดหรือไม่ โดยให้คะแนนตาม เกณฑ์ แล้วนำผลมา
พิจารณาคะแนนของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละข้อ มาวิเคราะห์หาค่าดชั นีความสอดคล้อง (Index of Item Objective
Congruence : IOC) ดงั นี้
1. แนใ่ จว่ามคี วามสอดคลอ้ งหรอื วัดได้ มีระดบั คะแนนเทา่ กบั 1
2. ไม่แน่ใจว่ามคี วามสอดคลอ้ งหรือวดั ได้ มีระดบั คะแนนเทา่ กับ 0
3. แน่ใจวา่ ไมม่ ีความสอดคล้องหรือวดั ได้ มีระดับคะแนนเท่ากับ -1
หลังจากนั้นนำแบบประเมนิ โมเดลให้ผทู้ รงคุณวฒุ ิประเมินความสอดคล้องของข้อคำถาม กับ
วตั ถุประสงค์ และนำมาหาค่าความสอดคลอ้ งโดยใช้สตู ร
IOC =
เมอื่ R แทน ผลคณู ของคะแนนกับจำนวนผู้เชยี วชาญ
n แทน จำนวนผ้เู ชย่ี วชาญ
ในการพิจารณาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ จากการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ในทุกข้อค าถาม
นั้น มีค่าเท่ากับ 1.00 หากข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 - 1.00 จะคัดเลือกไว้ ส่วนข้อคำถามที่มีค่า
IOC ต่ำ กว่า 0.50 จะนำมาพิจารณาปรับปรุงข้อคำถามใหม่ หรือจะตัดทิง้ กไ็ ด้ตามความเหมาะสม
23
วิธีการนี้เป็นวิธีการที่นิยมใช้กัน และเป็นวิธีการที่ทำได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคหรือสถิติขั้นสูง ในการ
ประมวลผล ซึ่งนอกจากจะใช้วิธีการดังกล่าวในการคัดเลือกคำถามในแบบสอบถามแล้ว ยังต้องผ่าน
กระบวนการใน การหาค่าความเชื่อมั่นหรือความเที่ยงของเครื่องมือ โดยการหา ค่าความเชื่อมั่นของ
เคร่อื งมอื นน้ั มีหลายวิธี คอื
1. การสอบซำ้
2. การทำคู่ขนาน
3. การหาค่าคงที่ภายใน
3.2 การหาคา่ ความเช่อื มน่ั (Reliability)
3.2.1 ความหมาย
( มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร : 2015 ) เป็นคุณลักษณะของเครื่องมือที่ทำให้ได้ผลการวดั
คงที่แน่นอนหรือ คงเส้นคงวา กล่าวได้ว่า ถ้านำเครื่องมือนั้นไปวัดซ้ำอีกกี่ครั้งก็ตาม ก็จะให้ผลการวัด
เหมอื นเดิม หรอื คลาดเคลอ่ื น จากเดิมนอ้ ยมากถ้าไม่มี ตัวแปรแทรกซอ้ น การควบคุมการสร้างเคร่ืองมือศึกษาให้
มีความเชอื่ ม่ัน
3.2.2 วธิ กี ารหาค่าความเช่อื มน่ั
(ผศ.ดร.ไพศาล วรคำ : 2019) หาคา่ สมั ประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาคดว้ ย Excel โปรแกรม
พ้ืนฐานอย่าง excel สามารถนำมาหาคา่ สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟาครอนบาคไดง้ ่าย โดยใช้ฟงั ก์ชนั ตา่ งๆ ทเี่ กี่ยวกบั สูตร
ที่ให้ไว้ด้านบนนะครับ เราจะใช้แค่ 2 ฟังก์ชันสำคัญคือ =sum เอาไว้หาผลรวม และ =var.p เอาไว้หาความ
แปรปรวน ผมมีไฟล์ Excel ที่เอามากรอกข้อมูลไว้แล้ว สำคัญคือ ข้อคำถามของผมเป็นแนวเดียวกันทั้งฉบับ หาก
แบบสอบถามมหี ลายแนว หรอื จดั เปน็ กล่มุ ๆ กส็ ามารถแยกหาไป ทลี ะดา้ นกไ็ ด้เช่นกัน
ระดบั ความพงึ พอใจ
1. ความหมาย
5 หมายถงึ มีความพึงพอใจมากที่สดุ
4 หมายถงึ มีความพึงพอใจค่อนขา้ งมาก
3 หมายถงึ มีความพึงพอใจปานกลาง
2 หมายถงึ มีความพึงพอใจค่อนขา้ งนอ้ ย
1 หมายถงึ มีความพึงพอใจน้อยท่สี ุด
2. เครื่องมือวัดระดบั ความพึงพอใจ
24
แบบวัดระดับความพึงพอใจความพึงพอใจแต่ละด้านที่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียนพิชัยดาบหัก 1 อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีต่อการทดลองใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จัดกิจกรรมเพื่อ
พัฒนาผลการเรยี นรูด้ า้ นการพัฒนาทกั ษะการอา่ นอกั ษรนำวชิ าภาษาไทย
3. วิธีการสรา้ งเครื่องมือวดั ระดับความพึงพอใจ
1. ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวข้องกับการสรา้ งแบบสอบถาม และแนวทางใน การสร้างข้อ
คำถามความพึงพอใจอการทดลองใช้หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์
2. ดำเนินการสร้างแบบสอบถาม ตามแนวคิดที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้า เพื่อให้ได้เนื้อหาเพียงพอ
และครอบคลมุ ส่งิ ทตี่ ้องการวดั
3. นำแบบสอบถามไปตรวจสอบความเหมาะสมสอดคลอ้ งโดยผเู้ ชีย่ วชาญจำนวน 3 คน แลว้ นำผลมา
หาคา่ ความสอดคล้อง (IOC) โดยมีค่าอย่รู ะหว่าง 0.50 - 1
4. นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ นำไปทดลองใช้ (Try Out)
กับผู้สูงอายุที่ไม่ใช่กลุม่ เปา้ หมาย เพื่อหาค่าอำนาจจำแนก (r) โดยมีค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.2-1.00
และคา่ ความเชือ่ ม่นั โดยใชว้ ิธกี ารคำนวณสัมประสทิ ธ์ิแอลฟาของครอนบาคไดค้ ่า ความเช่ือมัน่ เทา่ กบั 0.95
4. การประเมินระดับความพึงพอใจดว้ ยค่าเฉลี่ย
บุญชม ศรีสะอาด (2545) ดังนี้
ระดับค่าเฉลยี่ ระดับความพงึ พอใจ
คะแนนเฉลีย่ 4.51 – 5.00 หมายถงึ มีความพงึ พอใจที่ระดบั มากสดุ
คะแนนเฉลย่ี 3.51 – 4.50 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจทีร่ ะดับมาก
คะแนนเฉล่ยี 2.51 – 3.50 หมายถงึ มีความพงึ พอใจทรี่ ะดับปานกลาง
คะแนนเฉลย่ี 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจทรี่ ะดับน้อย
คะแนนเฉลย่ี 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจทีร่ ะดับนอ้ ยสดุ
ผลการเรยี นรู้
1. ความหมาย
1. ผลการเรยี นร้อู อาจหมายถงึ พฤตกิ รรมทผี่ เู้ รียนสามารถแสดงออกเปน็ รูปธรรม และสามารถ
วดั และประเมินผลไดเ้ ป็นความสำเร็จของผู้เรียน หลังการจบการเรยี นรู้ของผ้เู รยี น ในแต่ละบทเรียน
25
2. ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 16 คน
จากการวัดและประเมินผลภายหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย โดย
ทดลองใช้หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์
2. ระดบั ผลการเรียนรู้
หมายถึง ระดับผลการเรียนรู้ท่ีกำหนดตามเกณฑว์ ัดและประเมินผลของสำนกั งานคณะกรรมการ
การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานหรือ สพฐ.(2550) ดงั นี้
ดีเยีย่ ม มคี า่ ร้อยละของค่าคะแนนเฉลย่ี 80-100
ดี มคี า่ ร้อยละของคา่ คะแนนเฉลยี่ 65-79
พอใช้ (ผ่าน) มคี า่ ร้อยละของคา่ คะแนนเฉล่ีย 50-64
ต้องปรบั ปรุง(ตำ่ กวา่ เกณฑ์) มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลยี่ ตำ่ กวา่ 50
3. เครอื่ งมือวิธีการวัดและประเมนิ ผล
(รศ.สมชายรัตน ทองคํา : 2554 )ในการวัดและประเมนิ ผลดานการศึกษานั้น จะใชเครื่องมือใดย
อมขึ้นอยูกับลักษณะ จุดประสงคการศึกษา และแนวทางการจัดประสบการณการเรียนรูเครื่องมือที่ใชวัดและ
ประเมนิ ผลการเรียนรูมหี ลายลกั ษณะ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (achievement test) เปนแบบทดสอบที่ใชวัดความรู
ทักษะ และ ความสามารถสมอง ดานตางๆ เชน ความรูความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห
สงั เคราะหและการประมาณคา ซ่งึ แบบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นรูอาจเปนประเภท ท่ีผูสอนสรางข้ึนเอง เชน
ขอสอบปลายภาค หรอื เปนแบบทดสอบมาตรฐาน ทม่ี ผี ูสรางไวแลว เชน ขอสอบ TOFEL รปู แบบและวิธีการ
ใชแบบทดสอบแบงเปน 3 ลักษณะคอื
(1)แบบสอบปากเปลา (oral test)เปนการทดสอบที่อาศัยการซักถามเปนรายบุคคล เหมาะ
สําหรับผูสอบจาํ นวนนอย ขอดีคือ สามารถถามไดละเอยี ด และสามารถโตตอบได
(2)แบบเขยี นตอบ (paper-pencil test) เปน การทดสอบทีม่ กี ารเขียนตอบ แบงออกเป
น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบอัตนัย หมายถึงแบบทสอบที่ถามใหตอบ ยาวๆ สามารถแสดงความคิดเห็นไดอย
างกวางขวาง เหมาะสาํ หรบั การวดั ความสามารถในการใชภาษาและ แสดงความคิดเหน็ ทห่ี ลากหลาย
และแบบทดสอบปรนยั หมายถึงแบบทดสอบประเภท ถูก-ผิด จับคู เติมคํา และ เลือกตอบ เหมาะสําหรบั
สอบผูสอบจาํ นวนมากๆมีเวลาตรวจขอสอบนอย
26
(3)แบบปฏิบัติ (performance test) เปน การทดสอบที่ผูสอบไดแสดงพฤติกรรมออกมาโดยการ
กระทาํ หรอื ลงมือปฏบิ ตั ิจริง เชน การสอบนวด การสอบ ปฏิบัติทางกายภาพบําบัด
งานวิจัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง
1. งานวจิ ยั ทที่ ำการทบทวน
การทำวจิ ยั ในช้นั เรยี นเรอ่ื ง การพฒั นาทกั ษะการอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย
ผูว้ จิ ยั ทำการทบทวนงานเฉพาะวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งหรือสอดคล้องกบั การใชห้ นังสอื อิเล็กทรอนิกส์พัฒนาทักษะการอ่าน
เรอื่ งการอ่านออกเสียงอักษรนำ ของนักเรียนระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่2 โรงเรียนพิชยั ดาบหัก 1 ผลการ
ทบทวนดังกลา่ วนำเสนอตามลำดบั ดังนี้
1.1 นาฏอนงค์ จันทร์เขียว (2558) ทำการวิจยั เรอื่ งการพัฒนาหนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ (E-Book) โดยใช้
การเรยี นรแู้ บบ SQ4R เร่ือง การอ่านจบั ใจความ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย กับนกั เรียนระดบั ช้ันประถมศึกษา
ปีท่ี 6 โดยมวี ัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั เพ่อื
1) เพ่ือสร้างและหาประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยใชก้ ารเรียนร้แู บบ SQ4R เรอ่ื ง
การอา่ รจบั ใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 ตามเกณฑ์ 80/80
2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้
การเรยี นร้แู บบ SQ4R เรื่อง การอา่ รจบั ใจความ กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย สำหรับนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี
ท่ี 6
3)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส์โดยใช้การเรียนรูแ้ บบ SQ4R
เรื่อง การอ่ารจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี
6
ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนจากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การ
อ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมี
นยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ 0.05 และมผี ลการประเมินความพงึ พอใจของนกั เรยี นทม่ี ีต่อหนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ โดย
ใช้การเรียนรู้แบบ SQ4R เรื่อง การอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 6 พบวา่ นักเรยี นมคี วามพงึ พอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสดุ ( ̅ = 4.52 , S.D.=0.57)
1.2 จรัสสม ปานบุตร (2556) ทำการวิจัยเรือ่ ง การพัฒนาหนังสอื อิเลก็ ทรอนิกส์(E-Book) เพื่อพัฒนา
ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองเคด็
โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์การวิจัยเพ่ือ
1)เพ่ือพัฒนาหนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ เรือ่ งการอ่านออกเสยี งภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ใหม้ ี
ประสทิ ธิภาพ
27
2)เพื่อเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านออกเสยี งภาษาไทยของนักเรียน
ประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นบ้านหนองเค็ด กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นด้วยหนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์
3)เพื่อวัดทักษะการอ่านออกเสียงภาษาไทยของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้าน
หนองเค็ด
ผลการวิจัยพบว่าทักษะการอ่านออกเสยี งภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบา้ น
หนองเคด็ หลงั เรียนด้วยหนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์ เร่อื ง การอ่านออกเสยี งภาษาไทย มคี ะแนนเฉล่ียเท่ากับ 25.16 อยู่
ในเกณฑ์ระดับ ดี และมีความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านออกเสียง
ภาษาไทย ของ นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรยี นบ้านหนองเค็ด อยู่ในระดับมากทีส่ ุด ( ( ̅ = 4.53 , S.D =
0.44)
1.3 ศิริพร บุญเรือง (2555) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการอ่านจับ
ใจความ ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นวดั ดอนหวาย (นครรัฐประสาท)
โดยมีวตั ถุประสงค์การวิจัยเพื่อ
1) เพื่อพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการอ่านจับใจความ ของนักเรียน ชั้น
ประถมศึกษาปี ท่ี 4 โรงเรียนวดั ดอนหวาย (นครรัฐประสาท)
2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนจากการเรียนด้วยหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์
เรอ่ื งการอา่ นจบั ใจความ ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวดั ดอนหวาย (นครรฐั ประสาท)
3)เพอ่ื ศึกษาความพึงพอใจของนกั เรยี นท่ีมตี ่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรอื่ งการอ่าน จบั ใจความ
ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียนวดั ดอนหวาย (นครรฐั ประสภาท)
ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง
การอา่ นจับ ใจความของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนวัดดอนหวาย (นครรัฐประสาท) มีความแตกตา่ ง
กัน โดยเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียน ที่เรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( ̅=
24.82 , S.D = 2.23 ) สงู กวา่ กอ่ นเรยี นดว้ ยหนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ( ( ̅ = 12.04 , S.D = 2.30 ) กล่าวคือ คะแนน
หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ 0.01 และมคี วามพึงพอใจของนักเรียนที่มี
ต่อหนังสอื อิเล็กทรอนิกส์เรื่องการอ่านจับใจความของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นวดั ดอนหวาย (นคร
รัฐประสาท) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของแบบสอบถามความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
เร่อื งการอา่ นจบั ใจความ มคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดับมากที่สดุ ( ( ̅ = 4.54 , S.D = 0.66)
2. การสรุปประเด็น
28
จากงานวิจยั ทผี่ ู้วจิ ยั ทำการทบทวนท้ังส้นิ จำนวน 3 เรอื่ ง ขอสรปุ ประเด็นความรู้เกย่ี วกับผลการทบทวน
ดงั กลา่ วเป็นรายข้อ ดงั น้ี
1. จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า นาฏอนงค์ จันทร์เขียว (2558) ทำการวิจัยเรื่องการ
พัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) โดยใช้การเรียนรู้แบบ SQ4R เรื่อง การอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ นักเรียนมีความพึงพอใจ ต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดย
ภาพรวมอยใู่ นระดับมากท่ีสุด ( ̅ = 4.52 , S.D.=0.57)
2. จากการทบทวนงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้องพบว่า จรัสสม ปานบุตร (2556) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนา
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book) เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาไทย ของนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรยี นบ้านหนองเค็ดทักษะการอา่ นออกเสยี งภาษาไทย ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษา
ปีที่ 6มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 25.16 อยู่ในเกณฑ์ระดับ ดี และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ
เรียน ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การอ่านออกเสียงภาษาไทย อยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.53 , S.D =
0.44)
3. จากการทบทวนงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้องพบว่าศิรพิ ร บุญเรือง (2555) ทำการวิจัยเรือ่ ง การพัฒนา
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดดอนหวาย
(นครรฐั ประสาท) ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียนดว้ ย หนงั สอื อิเล็กทรอนกิ ส์ มีความแตกต่าง
กัน โดยเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ของนักเรียน ที่เรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
( ̅= 24.82 , S.D = 2.23 ) สูงกว่าก่อนเรียน ด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( ̅ = 12.04 , S.D = 2.30 )
กล่าวคือ คะแนนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และนักเรียนมีความพึงพอใจ
ต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการอ่านจบั ใจความ อยู่ในระดับมากท่ีสุด ( ̅ = 4.54 , S.D = 0.66)
3. ประเด็นทที่ ำการวจิ ัยต่อยอด
จากการสรุปประเด็นความรเู้ กี่ยวกบั ผลการทบทวนงานวิจยั ท่เี กีย่ วข้องดงั กลา่ วเป็นรายข้อก่อน
หน้าแลว้ พบวา่ การทำวจิ ยั ในชัน้ เรยี นเรื่องการพฒั นาทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยของนักเรียน
ระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้หนงั สอื อิเล็กทรอนิกส์มีประเดน็ ความรู้ที่แตกตา่ งจากการสรปุ ประเดน็ ดัง
กลา่ วคอื
1. จากการสรุปประเด็นจากงานวิจยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง เร่ืองการพัฒนาหนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ (E-Book)
โดยใชก้ ารเรียนร้แู บบ SQ4R เรื่อง การอ่านจับใจความ กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย สำหรบั นกั เรยี นชัน้
ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 กับวจิ ัยทผ่ี ูว้ จิ ยั กำลงั ศึกษา มีความแตกต่างของตัวแปรตามคือผวู้ ิจยั มงุ่ พฒั นาระดับผลการ
เรยี นรู้เรอ่ื ง การอา่ นออกเสยี งอกั ษรนำวชิ าภาษาไทย
29
2. จากการสรุปประเด็นจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เรื่องการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book)
เพอื่ พัฒนาทักษะการอ่านออกเสยี งภาษาไทย ของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นบา้ นหนองเค็ด มีความ
แตกต่างของการพัฒนานวัตกรรมที่จะนำไปใช้ในการจัดกิจกรรม โดยผู้วิจัยมุ่งพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านเดยี ว แต่มี
การประเมนิ นวตั กรรมกอ่ นนำไปใช้จากผเู้ ช่ยี วชาญ
3.จากการสรปุ ประเด็นจากงานวิจัยท่ีเกยี่ วขอ้ ง เร่อื งการพัฒนาหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เรอื่ งการอา่ นจบั
ใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนวดั ดอนหวาย (นครรฐั ประสาท)มีความแตกตา่ งคอื
ผวู้ ิจยั พัฒนาทักษะการอ่านออกเสยี ง งานวิจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งมุ่งพฒั นานวตั กรรม
30
บทที่ 3
วิธดี ำเนินการวจิ ยั
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยของนักเรียนระดับช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยใช้หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ผู้วจิ ัยดำเนินการวิจยั ตามกรอบของหัวข้อตา่ ง ๆ ดังนี้
ระเบียบวธิ วี จิ ัย
ดำเนินการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) ร่วมกับวิจัยเชิง
ปฏิบัติการ (Action Research) วิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ร่วมกับข้อมูลเชิงคุณภาพ
(Quantitative Data)
แหล่งข้อมลู การวิจยั
1. ประชากร
นกั เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนพชิ ัยดาบหัก 1 อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์เทียบเคียง
ประชากรทีม่ ีจำนวนไมจ่ ำกดั (Infinite Population)
2. กลมุ่ ตวั อย่าง
นักเรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นพชิ ยั ดาบหกั 1 อำเภอเมือง จงั หวัดอตุ รดิตถ์ภาคเรียนท่ี
2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 16 คน วธิ กี ารคดั เลือก เทยี บเคยี งกบั ใช้วิธีการสุม่ แบบ อาศัยความน่าจะเปน็ อย่าง
ง่าย (Simple Random Sampling) เพราะถือว่านักเรียนแต่ละคนของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ของแต่ละปี
การศึกษาเมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมแล้วพบว่า มาจากบริบทของชุมชนเดียวกันจึงสร้างข้อสรุปว่าไม่มีความ
แตกตา่ งกัน ประชากรของนักเรยี นดงั กล่าวจึงเป็น เอกพนั ธ์ (Homogeneous Population) สามารถคัดเลือก
กลมุ่ ตวั อยา่ งโดยใชว้ ิธีการสุ่มแบบอาศยั ความนา่ จะเปน็ อย่างงา่ ย
31
เครอ่ื งมอื การวจิ ัย
1. นวตั กรรม
1.1 เครื่องมอื ท่เี ป็นนวตั กรรม นวัตกรรมท่ีสร้างหรือพัฒนาต่อยอดเพื่อทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้
เรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 คือ หนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์
1.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพ ทั้งเชิง
เหตุผล(Rational Approach) และเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) ตามแนวคิดของ เผชิญ กิจระการ
(2544) ดังนี้
การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงเหตผุ ล ให้ดำเนินการตามลำดบั ขน้ั
1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการท่ี
เกีย่ วข้องกบั การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการวจิ ยั น้ีจะสร้างหรือพัฒนาโดยอ้างอิงตามแนวคดิ ทฤษฎี หลักการ
วิธีการของ เผชญิ กิจระการ (2544)
2. สร้างฉบับร่าง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่
เกยี่ วขอ้ งดังกล่าวขอ้ 1 ก่อนหน้า
3. สร้างแบบประเมินความเหมาะสมของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้เชียวชาญประเมิน
ประสทิ ธิภาพเชิงเหตุผล แบบประเมนิ ความเหมาะสมท่สี รา้ งแสดงแล้วในภาคผนวกท่ี ก
4. สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item –Objective Congruence:
IOC) ของแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content
Validity) ของแตล่ ะขอ้ คำถาม(Item) ของแต่ละประเดน็ แบบประเมินคา่ IOC กลา่ วแล้วในภาคผนวกท่ี ข
5. นำแบบประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสม หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ให้
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน (จำนวน
ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านอาจใช้มากกว่า 1 คน แต่เมื่อรวมกันแล้วจำนวนควรเป็นเลขคี่ ดังนั้น อาจใช้มากกว่า 3
คน) ทำการประเมนิ ความเท่ยี งตรงเชิงเนือ้ หาของแตล่ ะข้อคำถามของแตล่ ะประเดน็ แตล่ ะข้อคำถามท่ปี ระเมินต้อง
มีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมี
ความเที่ยงตรง
ผลการประเมินพบวา่ แตล่ ะข้อคำถามของแบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวตั กรรม
มีค่า IOC เท่ากับ 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แบบสอบถามเพื่อวัด
ความเหมาะสมของนวัตกรรมมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเทีย่ งตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบสอบถาม
วัดความเหมาะสมของนวัตกรรมแสดงแลว้ ดังภาคผนวกที่ ก
32
6. นำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา ด้าน
ภาษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมินความ
เหมาะสมดว้ ยแบบประเมนิ แต่ละขอ้ คำถามของแต่ละประเดน็ ที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จงึ จะตัดสินว่า
ข้อคำถามทีป่ ระเมิน มคี วามเหมาะสม
7. นำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ 6 มาแก้ไขปรับปรุงตามคำแนะนำของ
ผู้เชย่ี วชาญ
8. จดั ทำรูปเล่มหนังสอื อิเลก็ ทรอนิกส์ ทผ่ี ่านการสร้างและหาคณุ ภาพเชิงเหตผุ ลแลว้
การสร้างและหาประสิทธิภาพเชงิ ประจักษ์ ดำเนนิ การต่อจากผลการหาประสทิ ธภิ าพเชงิ เหตุผล
1. นำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์
กับนกั เรยี นระดับชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 ซง่ึ เปน็ คนละกลมุ่ กับกลุ่มเป้าหมายการวจิ ยั
การหาประสิทธิภาพจะใชว้ ธิ ีการเทยี บกบั เกณฑ์ประสิทธิภาพ E /E = 80/80เมื่อ
12
E หมายถงึ ร้อยละของคะแนนรวมทงั้ หมดจากการทำกิจกรรม และการทดสอบย่อย
1
ระหวา่ งการทดลองใช้ หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ ซ่งึ เกณฑ์ประเมนิ ผ่านคอื รอ้ ยละ 80
E หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิน้ สุดการทดลอง
2
ใช้ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ซง่ึ เกณฑป์ ระเมินผ่านคือ ร้อยละ 80
การตัดสินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบกับเกณฑ์
ประสิทธิภาพที่กำหนดขึ้นว่า ถ้าค่าร้อยละของคะแนนที่คำนวณของ E = 80 ±2.55 แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E
11
เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละที่ตั้ง แต่ถ้ามากกว่า หรือน้อยกว่า 80 ±2.5 แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E สูงกว่า หรือ
1
นอ้ ยกวา่ เกณฑท์ ต่ี ง้ั ตอ้ งปรบั นวัตกรรมให้เท่ากับเกณฑ์ท่ตี ้งั คือ 80
ส่วนการตัดสินประสิทธิภาพของ E ทำเช่นเดียวกับ E และถ้าร้อยละของคะแนนระหว่าง E และ E ต่างกัน
21 12
มากกวา่ รอ้ ยละ 5 แสดงวา่ ประสิทธภิ าพของ หนังสอื อเิ ล็กทรอนิกส์ มีประสิทธิภาพไม่เป็น ไปตามเกณฑ์ ต้อง
ทำการปรับปรุงใหม่
2. จัดทำรูปเล่ม หนังสืออิเล็กทรอนิกส์พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับช้ัน
ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ซ่งึ เปน็ กลุ่มที่เปา้ หมายการวจิ ัย
ข้อตกลง เน่ืองด้วยปัจจัยจำกัดบางประการคือ โรงเรยี นพชิ ยั ดาบหัก 1 เป็นโรงเรยี น ขนาดกลาง
ซึ่งสำหรับนักเรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 แล้วเปิดการเรียนการสอนเพียงชั้นเรียนเดียวและมีนักเรยี นจำนวน
33
ทั้งสิ้น 16 คน ดังนั้น ด้วยปัจจัยจำกัดดังกล่าว จึงสร้างข้อตกลงว่า การทำวิจัยครั้งนี้จะขอละเว้นการหา
ประสทิ ธิภาพเชิงประจักษ์ของ หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์
2. เครอ่ื งมอื รวบรวมข้อมูล
2.1 ชนดิ ของเครอื่ งมือ เครื่องมือทใ่ี ช้รวบรวมข้อมูลประกอบดว้ ย แบบสอบถาม ความพึงพอใจ
แบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ และแบบ
ประเมนิ ความเหมาะของแบบทดสอบ
2.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผลและเชิง
ประจักษด์ ังนี้
การสรา้ งและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล ดำเนนิ การตามลำดับขั้น
1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการท่ี
เก่ียวขอ้ งกบั การสรา้ ง แบบประเมนิ ความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาของนวัตกรรม แบบประเมินความเทยี่ งตรงเชิงเนื้อหา
ของแผนการจัดการเรยี นรู้ และแบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนือ้ หาของแบบทดสอบ เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่
ละชนดิ จะสรา้ งตามแนวคิด ทฤษฎี หลกั การ วธิ ีการตา่ ง ๆ ดงั นี้
1.1 แบบสอบถามความพึงพอใจ สร้างตามแนวคิดของ มารุดิศ วชิรโกเมน และมณฑล วชิร
โกเมน (2561)
1.2แบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวัตกรรมสร้างตามแนวคิดของ พดั ชา อนิ ทรศั มี (2555)
1.3 แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ สร้างตามแนวคิดของ แวววิไล
จำปาศักดิ์ (2560)
1.4 แบบประเมินความเหมาะของแบบทดสอบ สร้างตามแนวคิดของ กาญจนา ชลเกริก
เกยี รติ (2561)
2. สร้างฉบับร่าง แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม แบบ
ประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรู้ และแบบประเมินความเหมาะของแบบทดสอบ
โดยอา้ งอิงผลการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้องดังกลา่ วข้อยอ่ ยข้อ1 ก่อนหน้า
3. สร้างแบบประเมินค่า IOC เพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แต่ละข้อ
คำถามของแต่ละประเดน็ ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแตล่ ะชนิด แบบประเมินคา่ IOC ของเครื่องมอื รวบรวมข้อมูล
แตล่ ะชนดิ กล่าวแล้วในภาคผนวกที่ ก
34
4. นำแบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้างฉบับร่างไปให้
ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นภาษา ดา้ นเทคโนโลยกี ารศึกษา และดา้ นการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมิน
ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นด้วยแบบประเมิน IOC แต่ละข้อคำถามของแต่ละ
ประเด็นที่ประเมนิ ต้องมคี ่าเฉลย่ี อย่างน้อย 0.5 หรอื ผูเ้ ช่ียวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เหน็ ว่ามคี วามตรง จึงจะตดั สิน
ว่า ข้อคำถามน้ันมคี วามเท่ียงตรง ผลการประเมินพบว่า
4.1 แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมีค่าดรรชนีความสอดคล้อง
เทา่ กับ 1 หรือผ้เู ชยี่ วชาญจำนวน 2 ใน 3 คนจงึ ลงข้อสรุปว่า แบบสอบถามวัดระดับความพงึ พอใจมีความเที่ยงตรง
ผลการประเมินความเทีย่ งตรงของแตล่ ะข้อคำถามของแบบถามวดั ระดบั ความพึงพอใจแสดงแลว้ ดังภาคผนวกที่ ข
4.2 แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรมมีค่าดรรชนีความ
สอดคล้องเท่ากับ 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แต่ละข้อของ
แบบทดสอบสอบมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบแสดงแล้วดัง
ภาคผนวกที่ ข
4.3 แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้มีค่าดรรชนี
ความสอดคล้องเท่ากับ 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แต่ละข้อของ
แบบทดสอบสอบมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบแสดงแล้วดัง
ภาคผนวกท่ี ข
4.4 แต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบมีค่าดรรชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1 หรือผู้เชี่ยวชาญ
จำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แต่ละข้อของแบบทดสอบสอบมีความเที่ยงตรง ผลการ
ประเมินความเท่ียงตรงของแตล่ ะข้อคำถามของแบบทดสอบแสดงแล้วดังภาคผนวกท่ี ข
5. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดท่ีผา่ นการประเมนิ ดังกล่าวข้อ 4 มาแก้ไขปรบั ปรงุ
ตามคำแนะนำของผูเ้ ช่ยี วชาญ
6. จดั ทำรูปเลม่ เครือ่ งมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ทำการแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของผู้เช่ยี วชาญ
การสร้างและหาประสิทธภิ าพเชิงประจกั ษ์ ดำเนินการต่อจากผลการหาประสทิ ธภิ าพเชิงเหตผุ ล
1. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาหาค่าความเชื่อมั่น
(Reliability) โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มที่เป็นเป้าหมายการ
วิจัย การหาค่าความเชื่อมั่นใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient)
โดยมีเกณฑป์ ระเมินผ่านทง้ั ฉบับท่ี 0.7 ถ้าน้อยกวา่ ต้องทำการปรบั ปรุง เคร่ืองมือใหม่
2. ปรบั ปรุงเครือ่ งมอื รวบรวมขอ้ มลู แตล่ ะชนดิ หากพบว่า คา่ สมั ประสิทธแ์ิ อลฟา ตำ่ กว่า 0.7
3. ยกเว้นแบบทดสอบ จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด พร้อมสำหรับการนำไป
ทดลองใช้กบั นักเรยี นระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ซง่ึ เปน็ กลมุ่ เป้าหมายการวิจัย
35
สำหรับแบบทดสอบนั้น เมื่อทำการประเมินความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นแล้ว ก่อนนำไป
ทดลองใช้กบั นกั เรยี นระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ซ่ึงเปน็ กลุม่ ทเ่ี ป้าหมายการวจิ ัย ตอ้ งดำเนินการต่อจาก
ขอ้ 3 เพอ่ื หาคา่ ความยากง่าย และค่าอำนาจ การจำแนกตอ่ ดังน้ี
4. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ความยากง่ายด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ข้อ
คำถามที่ดีของแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลือกจะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 (สุมาลี จันทร์
ชะลอ. 2542)
5. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวเิ คราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
6. จัดทำรูปเล่มของแบบทดสอบ พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับ ชั้น
ประถมศึกษาปที ่ี 2 ซ่ึงเป็นกลุ่มเปา้ หมายการวจิ ัย
ข้อตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการเช่นเดียวกับดังกล่าวแล้วในหัวข้อ “วิธีการสร้าง
และหาคุณภาพของนวัตกรรม” จึงสร้างข้อตกลงว่า การวิจัยครั้งนี้จะละเว้นการหาประสิทธิภาพ เชิงประจักษ์ซึ่ง
ประกอบด้วย การหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลทุกชนิด การหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจ
การจำแนกซึง่ เฉพาะสำหรบั แบบทดสอบ
การดำเนินการรวบรวมข้อมูล
1. ทำหนังสือถึงคณบดคี ณะครุศาสตร์เพื่อร้องขอให้ออกหนังสือราชการถึงผู้อำนวยการโรงเรยี นพชิ ัยดาบหัก
1 อำเภอ เมอื ง จังหวัด อตุ รดิตถ์ เพ่ือขออนุญาตทจ่ี ะทดลองใช้ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้
เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรเู้ ร่ือง การอ่านออกเสียงอักษรนำ ของนักเรยี นระดับชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2
2. ประชุม ชี้แจง และสร้างข้อตกลงกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เกี่ยวการทดลองใช้หนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเรื่อง การอ่านออกเสยี งอักษรนำ กับนักเรียนระดับช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 2
3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำ กับ
นักเรียนระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2โดยทดลองใช้หนงั สอื อิเล็กทรอนกิ ส์
4. ทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภายหลัง การจัด
กจิ กรรมการเรยี นรเู้ พอื่ พฒั นาทกั ษะการอ่านเรื่อง การอ่านออกเสยี งอักษรนำ โดยทดลองใชห้ นังสอื อิเล็กทรอนิกส์
36
5. ให้นักเรยี นระดับชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 ตอบแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ จากการจัด
กิจกรรมการเรยี นรเู้ พ่อื พฒั นาทักษะการอ่านเร่ือง การอา่ นออกเสียง โดยทดลองใช้ หนังสอื อเิ ล็กทรอนิกส์
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
1. การวเิ คราะหข์ ้อมูลเพื่อหาคณุ ภาพและประสิทธิภาพของเคร่ืองมอื การวิจัย
1.1 ความเหมาะสมของนวัตกรรมทส่ี รา้ งหรือพฒั นาต่อยอด วเิ คราะห์ด้วยคา่ เฉล่ยี และ ส่วนเบยี่ งเบน
มาตรฐาน วิธกี ารวิเคราะห์ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอรส์ ำเร็จรูป
1.2 ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของนวัตกรรมที่สร้างหรือพัฒนาต่อยอด วิเคราะห์ด้วยเกณฑ์
ประสิทธิภาพ E /E วธิ ีการวิเคราะหใ์ ชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอรส์ ำเรจ็ รูป
12
1.3 ความเที่ยงตรงเชงิ เนื้อหาของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแตล่ ะชนิด วิเคราะห์ดว้ ยค่าดรรชนี
ความสอดคลอ้ งหรือ IOC วิธกี ารวเิ คราะห์ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป
1.4 ความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอ
นบาค วิธีการวเิ คราะห์ใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเร็จรปู
1.5 ความยากง่ายของแบบทดสอบแตล่ ะข้อ วธิ ีการวเิ คราะหใ์ ช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรปู
1.6 ค่าอำนาจการจำแนกของแบบทดสอบแตล่ ะข้อ วธิ ีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
สำเร็จรูป
2. การวเิ คราะห์ข้อมูลการวจิ ัย
2.1 ผลการเรียนรขู้ องนักเรยี น วิเคราะห์ดว้ ยค่าคะแนนเฉลี่ย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน
2.2 ระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ยกับ
ระดับผลการเรยี นรูต้ ามเกณฑข์ อง สพฐ.
2.3 ผลการทดลองใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ One -Sample t Test ที่
ระดับนัยสำคัญทางสถติ ทิ ี่ α 0.05 หรอื ทีร่ ะดับความเช่อื มั่น 95% วิธีการวเิ คราะหใ์ ช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป
2.4 ระดบั ความพงึ พอใจ วเิ คราะห์ดว้ ยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วธิ กี ารวิเคราะหใ์ ชโ้ ปรแกรม
คอมพวิ เตอร์สำเร็จรปู
2.5 เกณฑ์ประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ด้วยช่วงระดับค่าเฉลี่ยตามเกณฑ์ของ
บุญชม ศรสี ะอาด (2545)
37
บทที่ 4
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
การวิจัยเร่อื ง การพฒั นาทักษะการอา่ นออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยของนักเรยี นระดับช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยใชห้ นังสอื อิเล็กทรอนิกส์ ผูว้ จิ ยั เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามประเด็นของวตั ถุประสงค์
การวจิ ยั ดงั น้ี
1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทยของนักเรียน
ระดับชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 2
2. เพื่อทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การ
อา่ นออกเสยี ง กับนกั เรยี นระดบั ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2
3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีต่อการ
ทดลองใช้หนังสอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรอื่ ง การอ่านออกเสียงอักษรนำ วชิ าภาษาไทย
ผลการพัฒนา หนังสอื อิเลก็ ทรอนิกส์
1. นวัตกรรมทสี่ ร้าง
นวตั กรรมหนังสอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ มีทั้งหมด 57 หนา้ โดยมเี น้อื หาคือ อกั ษร ห นำ มที ้ังหมด 8 หมวด ไดแ้ ก่
ห นำ ง / ห นำ ญ / ห นำ น / ห นำ ม / ห นำ ย / ห นำ ร / ห นำ ล / ห นำ ว และมแี ผนการจัดการเรียนรู้
ท้ังหมด 4 แผน โดยแต่ละแผนใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ BBL ท้งั หมด 4แผน และท้งั 4 แผน ใชเ้ วลาในการ
จัดกิจกรรมแผนละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งสนิ้ ใชเ้ วลา 4 ชัว่ โมง
รายละเอยี ดของ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ แสดงแล้วดงั ภาคผนวกท่ี ก
2. การหาประสิทธภิ าพของนวัตกรรม
38
2.1 การหาประสิทธภิ าพเชิงเหตผุ ล (Rational Approach) เมื่อประเมนิ ความเหมาะสมของ หนังสอื
อเิ ล็กทรอนิกส์ ด้วยแบบประเมนิ ความเหมาะสมจากผเู้ ชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ผลการประเมินแสดงดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1: แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของ หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ จากผ้เู ช่ยี วชาญจำนวน
3 คน
ประเดน็ ท่ปี ระเมนิ รายการประเมนิ ̅ .
คำศัพท์ 0.00
1.มีความสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์การเรียนรู้ 5.00 0.58
การนำเสนอ 0.00
2.มีความครบถว้ น 4.67 0.00
กราฟิกและเทคนิค 0.00
3.เหมาะสมกับผูเ้ รยี น 5.00 0.00
0.00
4.กระชับ เหมาะสมกับระยะเวลาเรยี น 5.00 0.00
0.00
5.มีความต่อเนื่อง เขา้ ใจง่าย 5.00 0.00
0.58
6.ยกตวั อย่างคำเหมาะสมกบั หวั ข้อทเ่ี รียน 5.00 0.58
0.00
7.ความถูกต้องของคำศัพท์ 5.00 0.00
0.00
8.ปริมาณเนื้อหาเพียงพอทจ่ี ะทำให้เกิดการเรียนรู้ 5.00 0.00
0.00
1.ความพร้อมของครูผู้สอน 5.00 0.00
2.จดั เนื้อหาเหมาะสม 5.00 0.00
0.00
3.นำเสนอไปตามลำดับเนื้อหา 4.33
4.ใช้ภาษาสอื่ ความหมายได้ถูกต้องชดั เจน 4.67
5.ใชภ้ าพประกอบและภาพเคลอื่ นไหวมคี วามน่าสนใจ 5.00
6.ระดับเสียงดังเหมาะสม 5.00
1.การออกแบบส่ือการสอนมีความเหมาะสมดงึ ดูดใจ 5.00
2.ขนาดตวั อักษรเหมาะสมและงา่ ยต่อการอ่าน 5.00
3.สตี วั อักษร มีความชัดเจนและง่ายตอ่ การอา่ น 5.00
4.ความเหมาะสมของการจดั วางตำแหน่งภาพและ 5.00
ภาพเคลอ่ื นไหว
5.ความเหมาะสมของสพี นื้ ของหลังบทเรยี น 5.00
6.เสียงประกอบบทเรยี นชัดเจน นา่ สนใจ 5.00
39
ตารางที่ 1: แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของหนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ จากผเู้ ช่ยี วชาญจำนวน 3 คน (ต่อ)
ปฏิสัมพันธ์ 1.ช่วยเช่ือมโยงความรูเ้ ดมิ กับความร้ใู หม่ 5.00 0.00
2.ให้ผลป้อนกลับ และเสรมิ แรงนักเรยี น 5.00 0.00
3.บทเรียนมปี ุ่มเมนูให้นักเรยี นควบคมุ บทเรียนได้ 5.00 0.00
สะดวก
4.ป่มุ เมนมู คี วามชัดเจน ใช้งานไดต้ ามความต้องการ 5.00 0.00
5.สามารถยอ้ นกลบั ไปยงั จุดต่างๆของหนังสอื ได้ 4.67 0.58
อย่างสะดวก
6.การโต้ตอบระหว่างบทเรียนกบั ผู้เรยี น 5.00 0.00
จากตารางที่ 1 พบว่า แตล่ ะรายการท่ีประเมินของแต่ละประเด็นมีคา่ เฉล่ียตงั้ แต่....ซ่ึงผา่ นเกณฑ์ประเมนิ
ข้ันตำ่ คือ 3.50 ดังนั้น จึงสรุปว่า หนงั สอื อิเล็กทรอนกิ ส์ มีความเหมาะสม
2.2 การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ (Empirical Approach)วิธีการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์
ของ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ จะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 = 80/80 โดยนำหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์
ที่หาประสิทธิภาพเชิงเหตุผลแล้วไปทดลองกับกลุ่มนักเรียนที่เป็นคนละกลุ่มกับเป้าหมายการวิจัย แต่ตามข้อตกลง
ดังระบุในบทท่ี 3 ว่า เนอื่ งด้วยปจั จัยจำกดั บางประการคือ โรงเรยี นพชิ ัยดาบหัก 1 ขนาดกลางซ่ึงสำหรับ
นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เปิดการเรียนการสอนเพียงชั้นเรียนเดียวและมีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 16 คน
การทำวิจัยคร้งั น้ผี วู้ จิ ยั ขอละเว้นการหาประสทิ ธภิ าพเชงิ ประจักษข์ อง หนังสอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ดังขอ้ ตกลงแล้วในบท
ที่ 3
การพัฒนาผลสมั ฤทธิก์ ารเรยี นรู้
40
1. คะแนนผลสัมฤทธก์ิ ารเรยี นรู้
จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย โดยทดลองใช้
หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์กบั นักเรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 16 คน คะแนนผลสมั ฤทธิ์
การเรยี นรู้ของนักเรยี นจากการจดั กจิ กรรมการเรียนรดู้ งั กล่าวแสดงดังตารางท่ี 2
ตารางที่ 2: แสดงคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย จากการจัด
กิจกรรม การเรียนร้โู ดยทดลองใช้ หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ กบั กลุม่ ตัวอย่าง เม่อื คะแนนเต็มเทา่ กบั 30 คะแนน
ที่ คะแนน
1 20
2 24
3 19
4 21
5 22
6 19
7 20
8 26
9 26
10 21
11 25
12 23
13 20
14 25
15 22
16 22
รวม 16
คน รวมคะแนน ค่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 73.9
41
จากตารางท่ี 2 พบวา่ ภายหลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ รอื่ ง การอ่านออกเสียงอกั ษรนำ วชิ า
ภาษาไทย โดยทดลองใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ กับกลุม่ ตัวอยา่ ง คา่ คะแนนเฉลย่ี ของผลสมั ฤทธิ์การเรียนรูเ้ ทา่ กบั
22.19 คะแนนคดิ เป็นร้อยละ 73.9 และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 2.401
2. การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้
เม่ือใชว้ ธิ ีการทางสถติ ิ One Sample t-Test วเิ คราะห์เปรียบเทียบระดบั ผลสมั ฤทธ์ิ การเรยี นรู้
เรือ่ ง การอ่านออกเสียงอักษรนำ ของกลุ่มตวั อยา่ งท่เี กดิ จากการทดลองใช้ หนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ กบั ผลการเรยี นรู้
ตง้ั แตร่ ะดับ ดี ตามเกณฑ์ สพฐ. (คะแนนรอ้ ยละ 65 – 100) ผลการเปรยี บเทยี บแสดงดังตารางท่ี 3
ตารางที่ 3: แสดงผลการเปรยี บเทยี บระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เร่ือง การอา่ นออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย ของ
กลุ่มตัวอย่างซึ่งถูกจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องโดยทดลองใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ กับผลการเรียนรู้ตั้งแต่ ระดับ ดี
ตามเกณฑข์ อง สพฐ. (ค่าคะแนนรอ้ ยละ 65 –100) เม่ือ α = 0.05 หรือทรี่ ะดบั ความเชอ่ื มน่ั 95%
One –Sample Statistics
จำนว คา่ คะแนน ส่วนเบ่ียงเบน เกณฑ์ระดบั ผลการเรียนรู้ของ สพฐ.
น คะแนนเต็ม เฉลย่ี (̅ ) มาตรฐาน ทกี ำหนด และระดบั ผลการเรยี นรู้ที่
(คน) ( ) เทียบ
เกณฑ์ สพฐ. ตง้ั แตร่ ะดับดี (65-100
16 30 22.19 2.401 %)
ผลการเรียนรู้ท่ีเทยี บ ดี (73.9%)
42
One –Sample Statistics Sig. (2-tailed) Confidence Level
t df .000 (%)
95
36.971 15
จากตารางที่ 3 เมื่อทำการวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบระดับผลสมั ฤทธ์กิ ารเรยี นร้เู รื่อง การอา่ นออกเสียง
อักษรนำวชิ าภาษาไทย กับการจดั กิจกรรมโดยทดลองใช้ หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ กบั ผลการเรียนรู้ตงั้ แต่ระดบั ดี ตาม
เกณฑ์ ของ สพฐ. (ร้อยละค่าคะแนนเฉล่ีย 65-100) ด้วยวธิ ีการทางสถติ ิ One-Sample t-Test แบบ 2 ทาง พบวา่
t มคี า่ เท่ากบั 36.971 df มีคา่ เท่ากับ 15 ค่า p-value เท่ากับ .000 ซงึ่ นอ้ ยกวา่ ค่า α ท่ี 0.05 ดังนั้นจงึ สรปุ วา่
1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย โดยทดลองใช้
หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์มีผลต่อระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของกล่มุ ตวั อย่าง แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี
α =0.05 หรอื ทรี่ ะดบั ความเช่ือมัน่ 95%
2. เมื่อเปรียบเทียบระดบั ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้กับผลการเรียนรูต้ ั้งแต่ระดับ ดี ตามเกณฑ์ของ สพฐ.พบวา่
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย โดยทดลองใช้ หนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีค่าคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 73.9 ซึ่ง สูงกว่า เกณฑ์ร้อยละ 65 ดังนั้น การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้เรือ่ ง การอา่ นออกเสยี งอกั ษรนำวิชาภาษาไทย
โดยการทดลองใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่าง สูงกว่า ผลการเรียนรู้
ต้งั แตร่ ะดับ ดี ตามเกณฑ์ ของ สพฐ. อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ิที่ α = 0.05 หรือทร่ี ะดับความเชอ่ื มั่น 95%
จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังตารางที่ 3 จึงสรุปว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียง
อักษรนำวิชาภาษาไทย โดยทดลองใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีผล ต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียน
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่ง สอดคล้อง กับสมมติฐานการวิจัยท่ีกำหนดว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการ
ทดลองใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำ นักเรียนระดับ
ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2
43
จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงอักษรนำวิชาภาษาไทย โดยทดลองใช้
หนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์กบั นกั เรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 ภาคเรยี นท่ี 2 จำนวน16 คน เม่อื
วเิ คราะห์ระดบั ความพงึ พอใจ ผลการวิเคราะห์แสดงดังตารางท่ี 4
ตารางท่ี 4: แสดงระดับความพงึ พอใจของนักเรยี นระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 ภาคเรียนที่ 2
จำนวน 16 คนที่มตี ่อการทดลองใช้ หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง การอ่านออกเสยี งอักษรนำ
วิชาภาษาไทย
ประเด็นและรายการท่ีประเมิน ̅ . ระดับความพงึ
พอใจ
กิจกรรม
มากที่สุด
1. มคี วามน่าสนใจ 5.00 0.00 มากที่สุด
มากทส่ี ดุ
2. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มีความ สนุกสนาน 5.00 0.00 มากทส่ี ดุ
มากทส่ี ดุ
3. การจัดลำดบั เนื้อหาของหนงั สืออิเล็กทรอนิกสเ์ ข้าใจงา่ ย 4.94 0.25 มากที่สุด
4. มีความเหมาะสมกับวัยผ้เู รียน 5.00 0.00 มากที่สุด
5. สามารถกระตุ้นความคดิ ของนักเรียน 4.94 0.25 มากที่สุด
มากที่สดุ
6.ช่วยใหผ้ เู้ รยี นสามารถพัฒนาด้านความรู้และทกั ษะการ 5.00 0.00 มากทส่ี ดุ
มากทส่ี ุด
อา่ น มากทส่ี ุด
รวม 4.98 0.13 มากท่ีสุด
ผู้สอน
1.มีบุคลกิ ภาพ การแต่งกายและการพูดจาเหมาะสม 5.00 0.00
2.เคลอื่ นไหวและแสดงท่าทางในการสอนสมั พันธ์ในการสอน 5.00 0.00
3.ชี้แจงกิจกรรมการเรยี นรู้ให้นักเรยี นเขา้ ใจอย่างชัดเจน 4.88 0.34
4.ให้ความความสนใจแก่ผ้เู รียนอยา่ งทวั่ ถึง 4.94 0.25
5.ให้คำแนะนำ ช่วยเหลอื อำนวยความสะดวกแก่ผเู้ รยี นใน 5.00 0.00
การทำกจิ กรรม
6.เปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนซกั ถามปัญหา 4.88 0.34