กบฏ ร.ศ.130
จัดทำ โดย นางสาวปิยะนุช เรืองแก้ว 6512421001343 เลขที่ 1 นางสาวพัณณิตา ทองดี 6512421001348 เลขที่ 5 นางสาวภัทรธิรา แซ่อื้อ 6512421001351 เลขที่ 8 นางสาวมุทิตา ศรีใย 6512421001355 เลขที่ 11 นางสาวชนัดดา ทองเหลือ 6516209001013 เลขที่ 24 นายพชร หนูเนตร 6516209001111 เลขที่ 43 กลุ่มเรียน 65022.071 รปศ. รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การเมืองการปกครองและหลักรัฐธรรมนูญ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่2/2565 รายงาน เรื่อง กบฏ ร.ศ.130
คำ นำ รายงานเล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การเมืองการปกครองและหลัก รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษาหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกบฏ ร.ศ.130 และเพื่อให้ผู้ อ่านได้รู้ถึงประวัติความเป็นมา,สาเหตุและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น,แผนการปฏิวัติของคณะ ร.ศ.130,ผล สืบเนื่องจากการก่อกบฏ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงกบฏ ร.ศ.130 และเป็นประโยชน์กับการเรียนการ สอนและสามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย ผู้จัดทำ รายงานเล่มนี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านหรือผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องกบฏ ร.ศ.130 หากมีข้อแนะนำ หรือผิดพลาดประการใดผู้ทำ ขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ
สารบัญ เรื่อง หน้า ประวัติความเป็นมา 5 สาเหตุและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 6-7 แผนการปฏิวัติของคณะ ร.ศ.130 8 ผลสืบเนื่องจากการก่อกบฏ 9-10 ผลสรุปของ กบฏ ร.ศ.130 11-12 บรรณาณุกรม 13 ภาคผนวก 14
ประวัติความเป็นมา ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากพระองค์ขึ้นครอง ราชย์ได้ราวปีเศษ ทางการสืบทราบว่ามีคณะนายทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่งจัดตั้งสมาคม "อานาคิช" (ANARCHIST) หรือคณะ ร.ศ. 130 โดยมีเป้าหมายหลัก ในการที่จะต้องการ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดย ให้พระมหากษัตริย์พระราชทานรัฐธรรมนูญและให้อยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนพระมหากษัตริย์ ของประเทศอังกฤษหรือพระมหาจักรพรรดิของประเทศญี่ปุ่น แต่การลงมือกระทำ ไม่สำ เร็จ เนื่องจากทางการได้เข้าจับกุมผู้ร่วมก่อการสำ คัญในวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2454 (ร.ศ. 130) จำ นวนสองคนคือ ร้อยตรีเหรียญ ศรีจันทร์ กับร้อยตรีจรูญ ษตะเมษ ซึ่งเป็นนายทหาร กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์และได้จับกุมตัว ร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ (หมอเหล็ง ศรีจันทร์) ผู้บังคับกองพยาบาลโรงเรียนนายร้อยทหารบก ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ รวมทั้ง นายทหารผู้ร่วมขบวนการที่สำ คัญหลายคน เช่น ร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง สังกัดกรมพระ ธรรมนูญทหารบก ร้อยตรีเนตร พูนวิวัฒน์ สังกัดกองปืนกลที่ 1 และร้อยตรีเจือ ศิลาอาสน์ สังกัดกรมทหาร ปืนใหญ่ที่ 2 เป็นต้น ในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชวินิจฉัยและพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษ โดยละเว้นโทษประหาร ชีวิตแกผู้ก่อการด้วย ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์[1] และทรงเห็นว่า ปัจจัยที่เป็นเหตุให้นายทหารกลุ่มนี้คบคิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองคือ[2] สภาพการ เกิดปัญหาการอุดตันในตำ แหน่งที่มีอยู่อย่างจำ กัดภายในกองทัพ ประกอบกับการมีข้อได้ เปรียบของเชื้อพระวงศ์ ทำ ให้สามัญชนที่ได้รับการศึกษาและเป็นข้าราชการเกิดความรู้สึกว่า ถูกปิดกั้นอย่างไม่เป็นธรรม ประกอบกับการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี ความใกล้ชิดกับข้าราชการมากขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมาส่งผลทำ ให้พระราชอำ นาจลดน้อยลง เนื่องจากความใกล้ชิดมีผลทำ ให้ความรู้สึกที่ว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพหมดไป สาเหตุ อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ การเปิดเสรีทางความคิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ หัว โดยให้มีหนังสือพิมพ์ที่สามารถวิจารณ์ระบอบการปกครองได้อย่างเสรี ทำ ให้เกิดข้อ วิจารณ์และชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของระบอบการปกครองมากขึ้น ความไม่พอใจของทหารที่มี การจัดตั้งกองเสือป่าขึ้น และกรณีการวิวาทระหว่างทหารกับมหาดเล็ก ทำ ให้ทหารที่รับการ ลงโทษเกิดความไม่พอใจ ประกอบกับความคิดเรื่องประชาธิปไตยและการจำ กัดอำ นาจของ พระมหากษัตริย์เริ่มแพร่หลายในหมู่คนที่มีการศึกษาและนำ ไปสู่การรวมกลุ่มและการคบคิด ล้มล้างระบอบการปกครอง ในที่สุดสาเหตุต่างๆเหล่านี้ จึงเกิดเหตุการณ์ ร.ศ. 130 ขึ้น ต่อมา เมื่อรัชกาลที่ 6 ทรงหวั่นวิตกว่าอาจเกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก จึงได้มีกระแสพระ ราชดำ รัสเกี่ยวกับการเมืองการปกครองหลายประการ โดยพยายามชี้ให้เห็นว่าการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยนั้นยังไม่เหมาะสมที่จะนำ มาใช้ในประเทศไทย
สาเหตุและเหตุการณ์ที่เ ที่ กิดขึ้น ขึ้ เมื่อนายทหารหนุ่มหรือเรียกกันว่ายังเติร์กและพลเรือนกลุ่มหนึ่งได้วางแผนที่จะ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ให้เหมือนกับประเทศอังกฤษและประเทศญี่ปุ่น โดยการใช้ ลัทธิชาตินิยม หรืออุดมการณ์ชาตินิยม เป็นเครื่องมือในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ ประเทศ มีการเน้นถึงความรักชาติ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และยึดมั่นในคำ สอนของ ศาสนา[4] ซึ่งการใช้อุดมการณ์ชาตินิยม ก็เพื่อเป้าหมายในการสร้างความเจริญก้าวหน้าของ ชาติ แต่แนวทางดังกล่าว กลับไม่ได้รับผลสำ เร็จเท่าที่ควร สาเหตุเป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ มีคติความเชื่อที่ยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่หรือพอใจในสิ่งที่ตนเองกำ ลังประสบ ประกอบกับ ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำ นาจตะวันตก การปลุกเร้าให้รักชาติแบบ ชาตินิยมจึงไม่ได้ผลเท่าที่ควร จวบจนเกิดขบวนการ ร.ศ. 130[5] ที่มีการเคลื่อนไหวทางการ เมือง ซึ่งมาจากความคิดที่จะเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระ บอบประชาธิปไตย โดยมีความเชื่อว่าการปกครองระบอบใหม่จะนำ ความเจริญมาสู่ประเทศ ชาติ คณะนายทหารบก นายทหารเรือและพลเรือน (คณะ ร.ศ. 130) ได้รวมกลุ่มวางแผนเพื่อ เปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมือง สาเหตุของการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองคือในปลายปี พ.ศ. 2452 ได้มีการโบยหลังนายทหารสัญญาบัตรกลางสนามหญ้า ภายในกระทรวงกลาโหม ท่ามกลางวงล้อมของนายทหารกองทัพบก ด้วยการบัญชาการของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นดำ รงตำ แหน่งเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยาม มกุฎราชกุมาร ทั้งนี้เพราะนายร้อยเอกโสม ได้ตามไปตีมหาดเล็กของสมเด็จพระบรมโอรสาธิ ราช ที่เกิดการทะเลาะวิวาทกับทหารบกที่หน้ากรมทหาร การโบยหลังนายร้อยเอกโสม ทำ ให้ เกิดปฏิกิริยาในหมู่ทหารบกและโดยเฉพาะนักเรียนนายร้อยทหารบก ครั้นต่อมาในพ.ศ. 2453 – 2454 นายทหารรุ่นที่จบจากโรงเรียนนายทหารบกในปลายปี ร.ศ.128(พ.ศ. 2452) ได้เข้า รับราชการประจำ กรมกองต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักรแล้ว มีหลายคนที่เกิดความรู้สึก สะเทือนใจอย่างแรงกล้าจากการตั้ง "กองเสือป่า" ด้วยคิดว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงสนับสนุน กิจการทหารบก และคิดต่อไปว่าการที่ประเทศไทยไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควรเป็นเพราะการ ปกครองด้วยคนคนเดียว นายทหารบกกลุ่มนี้คิดเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง เริ่มการปฏิรูปประเทศพร้อม ๆ กัน แต่เหตุใดประเทศญี่ปุ่นจึงเจริญเกินหน้าประเทศไทยไป ไกล คำ ตอบที่นายทหารบกกลุ่ม ร.ศ. 130 คิดได้คือประเทศญี่ปุ่นได้เปลี่ยนการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยภายใต้กฎหมาย ทั้งยังปลูกฝังให้ พลเมืองรู้จักรักชาติ รักวัฒนธรรม รัฐบาลรู้จักประหยัดการใช้จ่ายในไม่ช้าก็มีการค้า ไปทั่ว โลก มีผลิตผลจากโรงงานอุตสาหกรรมของตนเอง มีการคมนาคมทั้งทางน้ำ และทางบกภายใน ประเทศและนอกประเทศ และได้แผ่อิทธิพลทางการเมือง การทหาร การสังคมและวัฒนธรรม ไปทั่วโลกได้อีกด้วย แต่เหตุใดประเทศไทยจึงไม่สามารถเทียบเคียงกับประเทศญี่ปุ่นได้ เมื่อ คณะผู้ก่อการได้คำ นึงถึงความล้าหลังของประเทศ และคิดว่าอำ นาจการปกครองประเทศชาติ ไม่ควรที่จะอยู่ในมือของคนคนเดียว จึงทำ ให้นายทหารบกคิดปฏิวัติ โดยเริ่มประชุมหารือกัน ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2454 ตามศักราชเก่า) และประชุมต่อมาอีก 7 ครั้งรวมเป็น 8 ครั้งตามสถานที่ดังต่อไปนี้ สองครั้งแรก เมื่อวันที่ 13 มกราคม และ 21 มกราคม ร.ศ. 130 ที่บ้านนายร้อยเอก ขุนทวย หาญพิทักษ์ ตำ บลสาทร
ครั้งที่ 3 วันที่ 28 มกราคม ร.ศ. 130 ที่โบสถ์ร้างวัดช่องลม ช่องนนทรี ครั้งที่ 4 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 130 ที่ทุ่งนาห่างจากสถานีรถไฟคลองเตย ประมาณ 600 เมตร ครั้งที่ 5 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 130 ที่สวนผักของพระสุรทัณฑ์พิทักษ์ บิดาของ นายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ตำ บลศาลาแดง ส่วนอีกสามครั้งหลัง คือวันที่ 15 กุมภาพันธ์, วันที่ 28 กุมภาพันธ์ และวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 130 ประชุมที่อนุกูลคดีกิจสถาน แถววังบูรพาภิรมย์ ซึ่งเป็นสถานที่ว่าความของร้อยโท จรูญ ณ บางช้าง สำ นักงานอนุกูลคดีกิจสถานใช้เป็นที่สมาชิกพบปะกันและเป็นสถานที่รับ สมาชิกใหม่ด้วย[6] การประชุมครั้งแรกที่บ้านร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์นั้น สมาชิกผู้เริ่มก่อการมีอยู่ด้วยกันทั้ง สิ้น 7 คน กล่าวคือ 1. นายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ สังกัดกรมแพทย์ทหารบก เป็นหัวหน้า 2. นายร้อยตรีเหรียญ ศรีจันทร์ สังกัดกรมทหารราบที่ 12 มหาดเล็กรักษาพระองค์ 3. นายร้อยตรี ม.ร.ว. แช่ รัชนิกร สังกัดกองโรงเรียนนายสิบ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ 4. นายร้อยตรีเขียน อุทัยกุล สังกัดกองโรงเรียนนายสิบ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ 5. นายร้อยตรีปลั่ง ปูรณโชติ สังกัดกองปืนกลที่ 1 รักษาพระองค์ 6. นายร้อยตรีเนตร พูนวิวัฒน์ สังกัดกองปืนกลที่ 1 รักษาพระองค์ 7. นายร้อยตรีจรูญ ษตะเมษ สังกัดกองปืนกลที่ 1 รักษาพระองค์ คณะผู้ก่อการได้มอบหมายให้ ร.อ.ยุทธ คงอยู่ (หลวงสินาดโยธารักษ์) เป็นผู้ลงมือลอบปลง พระชนม์ แต่เกิดเกรงกลัวความผิด จึงนำ ความไปแจ้งหม่อมเจ้าพันธุ์ประวัติผู้บังคับการ กรม ทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ และพากันนำ ความไปแจ้ง สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้า จักรพงษ์ ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ความทราบไปถึงพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประทับอยู่ที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม คณะทั้งหมด จึงถูกจับกุมเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2454 และถูกส่งตัวไปคุมขังที่คุกกองมหันตโทษ และได้รับพระราชทานอภัยโทษในพระราชพิธีฉัตรมงคล ในเดือนพฤศจิกายน 2467 คณะ ร.ศ. 130 เป็นกลุ่มปัญญาชนในยุคใหม่ที่จบจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้สั่งสม ประสบการณ์และมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดความรู้จากเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวง พิษณุโลกประชานาถทำ ให้มีพื้นฐานการศึกษาดี มีโอกาสได้เรียนรู้จากตำ ราและประสบการณ์ จริง ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์ต่างๆในบ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำ ให้อุดมการณ์ชาตินิยม ของทหารมืออาชีพที่ปลูกฝังจากการศึกษาด้วยการสอนให้รักชาติบ้านเมืองทหารที่เข้า โรงเรียนนายร้อยทหารบก จึงมีมาตรฐานสูง นายทหารบางนายที่ถูกจับกุมยังอยู่ในระหว่าง ศึกษาเพิ่มเติม เช่น นายทหารบก 10 นาย กำ ลังศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ส่วนผู้ ไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกก็เป็นผู้มีพื้นฐานการศึกษาสูง เช่น ร.อ. ขุนทวยหาญ พิทักษ์ และ พ.ต. หลวงวิฆเนศร์ประสิทธิ์วิทย์ จบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์และเป็นแพทย์ ประจำ โรงเรียนนายร้อยทหารบก ร.ท. จรูญ ณ บางช้าง จบเนติบัณฑิตย์ รับราชการเป็นนาย ทหารประจำ กรมพระธรรมนูญ และเป็นครูสอนวิชาปืนกล ทั้งยังมีข้าราชการพลเรือนอีก หลายคนที่มีการศึกษาในระดับสูง เช่น นายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา นายเซี้ยง สุวงศ์ (พระยารามบัณฑิตสิทธิ์เศรณี) นายน่วม ทองอินทร์ (พระนิจพจนาตก์) นายเปล่ง ดิษยบุตร (หลวงนัยวิจารณ์) มาจากกระทรวงยุติธรรมและสำ เร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย
แผนการปฏิวัติของคณะ ร.ศ.130 เป้าหมายของแผนการปฏิวัติของคณะร.ศ.130นั้นเพื่อต้องการให้พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยอมอยู่ภายใต้กฎหมายสูงสุดคือ รัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับ ประเทศญี่ปุ่น โดยได้วางแผนกันอีกว่า หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงยินยอม ก็จะ ดำ เนินการทูลเชิญเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกแห่งสาธารณรัฐ ไทย บรรดานายทหารบกคิดจะทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเป็น ประธานาธิบดี พวกทหารเรือก็คิดว่าควรจะทูลเชิญพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรี ดิเรกฤทธิ์ เป็นต้น ทั้งนี้การดำ เนินงานตามแผนจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเพื่อจะได้มีเวลาปลูก ฝังทหารเกณฑ์ในแต่ละรุ่นในช่วงเวลานั้น เมื่อทหารเกณฑ์เหล่านั้นได้แยกย้ายกันไปประกอบ อาชีพตามภูมิลำ เนาทั่วและได้มีวัยวุฒิ และคุณวุฒิเพิ่มขึ้น มีตำ แหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น มี ความสามารถและความสุจริตซึ่งจะได้เป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติให้มหาชนเชื่อถือ ได้ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะ ร.ศ. 130 มีการวางสายบังคับบัญชามีหัวหน้า 3 คน คือนายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ หัวหน้าคนที่ 1 นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง หัวหน้าคนที่ 2 และนายร้อยโทเจือ ควกุล หัวหน้าคนที่ 3 ได้ประชุมปรึกษาหารือและแบ่ง แยกหน้าที่ให้กับสมาชิกต่างๆ ตามสายงานดังนี้ 1. หน้าที่ปกครอง : นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง 2. หน้าที่เสนาธิการ : นายร้อยโทเจือ ควกุล โดยมีนายร้อยโททองดำ คล้ายโอภาส เป็นผู้ช่วย 3. หน้าที่การเงิน : นายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ โดยมีนายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง เป็นผู้ ช่วย 4. หน้าที่กฎหมาย : นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง โดยมีนายร้อยโททองดำ คล้ายโอภาส เป็นผู้ ช่วย 5. หน้าที่ต่างประเทศ : นายพันตรีหลวงวิฆเนศร์ประสิทธิ์วิทย์ 6. หน้าที่บัญชีพล : นายร้อยตรีเขียน อุทัยกุล นายร้อยตรีโกย วรรณกุลและนายร้อยตรีปลั่ง ปูรณโชติ 7. หน้าที่จัดการเลี้ยงดู : นายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ 8. หน้าที่สืบข่าวส่งข่าว : นายร้อยตรี ม.ร.ว. แช่ รัชนิกร นายร้อยตรีบ๋วย บุณยรัตพันธุ์นาย ร้อยตรีเนตร พูนวิวัฒน์และนายร้อยตรีสอน วงษ์โต 9. หน้าที่แพทย์ : นายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ 10. ที่ปรึกษาทั่วไป : นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง มีการวางแนวทางการเปลี่ยนแปลงการปกครองออกเป็น 2 แบบคือ 1. "ลิมิเตดมอนากี" (LIMITED MONARCHY) การปกครองประเทศตามวิธีนี้กษัตริย์ต้องอยู่ ภายใต้กฎหมาย โดยจะมีการดำ เนินการ 2 อย่าง คือ[7] 1.1 ทำ หนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาโดยละม่อม 1.2 ยกกำ ลังเข้าล้อมวัง แล้วบังคับให้ทรงสละพระราชอำ นาจมาอยู่ใต้กฎหมาย หรือเปลี่ยน พระเจ้าแผ่นดินโดยจะทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต หรือสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ใต้กฎหมาย 2. "รีปับลิค" (REPUBLIC) การปกครองประเทศตามวิธีนี้เป็นแบบประธานาธิบดี โดยจะทูล เชิญเสด็จพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี
ผลสืบเนื่องจากการก่อกบฏ การก่อกบฏดังกล่าว ได้มีหนังสือพิมพ์ที่ออกในต่างประเทศ เช่น อังกฤษและอเมริกา เสนอข่าวทหารก่อการปฏิวัติ ได้พาดหัวข่าวและเนื้อหาของข่าวแต่เพียงว่ามีนายทหารกลุ่ม หนึ่งพร้อมด้วยพลเรือนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองในเมืองสยาม แต่ถูกทางการจับกุมตัวไว้ ได้หมด หนังสือพิมพ์ต่างประเทศที่ลงข่าว เช่น หนังสือพิมพ์ เดอะนิวยอร์ค เฮรัลด์ (THE NEW YORK HERALD) เดอะอีฟนิงก์ สตาร์ (THE EVENING STAR) เดอะวอชิงตัน ไทม์ (THE WASHINGTON TIME) เดอะนิวยอร์ค ซัน (THE NEW YORK SUN) เดอะวอชิงตัน โพสต์ (THE WASHINGTON POST) และเดอะไทมส์ (THE TIMES) ทั้งนี้กระทรวงการต่าง ประเทศของสยามดูไม่ค่อยสบายใจนัก ที่ปรากฏข่าวเรื่องกบฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ในต่าง ประเทศ สมเด็จกรมพระเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ จึงทรงมีคำ สั่ง ไปยังสถานทูตในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่กรุงวอชิงตันสหรัฐอเมริกาว่า ถ้ามีผู้สอบถามเรื่อง ทหารก่อการกบฏในกรุงเทพฯ ก็ให้ชี้แจงว่า ได้มีผู้วางแผนจะปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อจะสถาปนาระบอบการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐขึ้นมา แต่ กลุ่มผู้ก่อการถูกจับกุมเสียก่อน มีผู้ถูกจับกุมประมาณ 60 คน ส่วนใหญ่เป็นพวกนายทหาร หนุ่ม แต่ขณะนี้เหตุการณ์สงบเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรน่าหวั่นวิตก อนึ่งขอให้ทำ ความเข้าใจ ด้วยว่า การจับกุมครั้งนี้ไม่ใช่เพราะนายทหารหนุ่มมีความผิดเรื่องเรียกร้องรัฐธรรมนูญ องค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้มีน้ำ พระหทัยกว้างและทรงรักเสรีภาพดีพอ ทรงเข้า พระหทัยในเรื่องประชาธิปไตย แต่ที่ต้องจับกุมเพราะนายทหารกลุ่มนี้จะใช้วิธีการรุนแรงถึง ขั้นทำ ลายสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะผู้ก่อการ ร.ศ. 130 เริ่มประชุมกันกลางเดือนมกราคม และหลังจากนั้นเพียง 6 สัปดาห์ก็ถูกจับกุม แม้สมาชิกแทบทุกคนลงความเห็นว่าเป็นเพราะ นายร้อยเอกยุทธ หรือ ร.อ. หลวงสินาดโยธารักษ์ (แต้ม คงอยู่) ซึ่งกำ ลังจะไปรับตำ แหน่งผู้ บังคับกรมทหารปืนใหญ่ที่ 7 พิษณุโลก เข้ามาเป็นสมาชิกในการประชุม 2 ครั้งหลัง และนำ เรื่องทั้งหมดไปทูลหม่อมเจ้าพันธุ์ประวัติเกษมสันต์ ผู้บังคับการกรมทหารช่างที่ 1 รักษา พระองค์ เพื่อนำ ความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลก ประชานาถ นายร้อยเอกยุทธ ยังเป็นคนเดียวในคณะที่ไม่ถูกลงโทษ และทางราชการยังได้ปูน บำ เหน็จด้วยการส่งไปศึกษาต่อต่างประเทศ ที่กรุงปารีส เพื่อหลีกหนีภัยที่อาจเกิดขึ้นจากนาย ทหารที่ถูกจับกุม ซึ่งอาจจะเจ็บแค้นและสั่งให้พรรคพวกที่อยู่นอกคุกตาม "เก็บ" อย่างไร ก็ตาม คณะ ร.ศ. 130 ก็ยังมีข้อบกพร่องในการดำ เนินการอีกหลายประการจนทำ ให้ถูกจับกุม ดังต่อไปนี้ 1. ขาดแผนการ ไม่ว่าจะเป็นแผนเล็กหรือแผนใหญ่ การประชุมขาดระเบียบ ไม่มีวาระการ ประชุม มีการพูดจาทุ่มเถียงอึกทึก ดูแล้วเหมือนวงเหล้าเสวนานินทาเจ้านาย นอกจากนี้ยัง ไม่มีการกำ หนดตัวว่าใครเป็นหัวหน้ากลุ่มชัดเจน เมื่อมีการจับกุมทางการยังหาหลักฐานไม่ได้ ว่าหัวหน้าขบวนการคือใคร ในที่สุดก็ต้องสรุปเอาว่า นายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ และ นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง เป็นหัวหน้ากลุ่ม เพราะเป็นผู้ที่พูดมากที่สุดในการประชุมแต่ละ ครั้ง 2. ตั้งอยู่ในความประมาท การจับกลุ่มชุมนุมแต่ละครั้ง มีการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงาน ของราชการ ตลอดจนตำ หนิติเตียนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมิได้ระมัดระวังและ ไม่สนใจว่าเป็นการกระทำ ที่มีโทษมหันต์ไม่มีการระแวดระวังสอดแนมติดตามดูการเคลื่อนไหว ของทางการ เช่น นายร้อยเอกยุทธ เข้าร่วมประชุมในคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์
แล้ววันรุ่งขึ้นก็เข้าเฝ้าถวายรายงานต่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลก ประชานาถ และในคืนนั้นเองก็ยังกลับเข้าร่วมการประชุม เพื่อแสวงหาความลับอีก นอกจาก นี้นายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ ยังขาดความระมัดระวังพกรายชื่อสมาชิกผู้เข้าร่วมก่อการ ติดตัวไว้โดยไม่จำ เป็น เมื่อถูกจับกุมเจ้าหน้าที่สามารถค้นรายชื่อสมาชิกจากรายชื่อดังกล่าวได้ ถึง 58 ชื่อ ไม่รวมรายชื่อที่ถูกรายงานโดยนายร้อยเอกยุทธอีก 26 ชื่อ 3. การซัดทอดกันเองในกลุ่ม เมื่อแรกถูกจับกุมทางการไม่มีหลักฐานใดมากไปกว่ารายชื่อ ของนายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ และรายงานราชการลับของนายร้อยเอกยุทธ แต่ภาย หลังเมื่อมีการไต่สวน บุคคลที่ถูกจับต่างซัดทอดกันเองบานปลายไปเกี่ยวข้องกับคนอีกจำ นวน มากแต่ก็เป็นไปได้ว่าการไต่สวนนั้นอาจมีการข่มขู่หรือผู้ถูกสอบสวนขาดปฏิภาณไหวพริบและ การต่อสู้กับวิธีการสอบสวน นอกจากผู้เป็นทนายและนักเรียนกฎหมายบางคน เช่น นายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งพอมีชั้นเชิงตอบโต้กับการไต่สวนได้บ้าง 4. การดำ เนินการ โดยเฉพาะการเสาะแสวงหาสมาชิกเป็นไปอย่างหละหลวม ไม่รัดกุม ไม่มี การกลั่นกรองว่าให้ผู้ใดชักชวนใครเข้าร่วมไม่มีมาตรการกำ หนดคุณสมบัติผู้เข้าร่วมเป็น สมาชิก โดยสมาชิกแต่ละคนต่างใช้ดุลยพินิจส่วนตัวในการชักชวนสมาชิก พอเห็นหน้าใครที่ พอรู้จักและเป็นทหาร ก็ชักชวนกันง่ายๆ ด้วยคำ ถามทำ นองเช่น "อยากเป็นคนหัวเก่าหรือหัว ใหม่" "อยากเป็นคนโง่หรือคนฉลาด" ถ้าอยากเป็นคนหัวใหม่ หรือเป็นคนฉลาดก็ให้ไปประชุม ที่นั่น ที่นี่ มีเรื่องสำ คัญจะเล่าให้ฟัง นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการดื่มน้ำ ร่วมสาบานจะเป็นเครื่อง ผูกมัดให้คนซื่อสัตย์และมีความภักดีต่อการก่อการประชุมขาดความจริงจังราวกับเป็นการ ชุมนุมสังสรรค์เพื่อนมากกว่าจะเป็นการประชุมเพื่อการก่อการปฏิวัติล้มล้างอำ นาจทาง ปกครอง
ผลสรุปของ กบฏ ร.ศ.130 กล่าวโดยสรุปคณะ ร.ศ. 130 ถูกจับกุมเนื่องจากขาดการวางแผน ตั้งอยู่ในความประมาท รู้เท่า ไม่ถึงการณ์ ตลอดจนมีการทรยศและซัดทอดผู้ร่วมก่อการ นายร้อยโทกินสุน แพทย์ทหาร ซึ่งเคย เข้าร่วมประชุมและให้การเป็นพยานโจทก์ก็ให้ความเห็นว่า "พวกที่คิดๆ โดยมากเป็นเด็ก ๆ มุทะลุ ตึงตัง ทำ อะไรเห็นเป็นการสำ เร็จทั้งนั้น" แต่ในความเป็นจริง ทางการได้ลงความเห็นมาตั้งแต่ราว กลางเดือนเมษายนแล้วว่า พวกก่อการกำ เริบมีความผิดฐานพยายามจะประทุษร้ายต่อองค์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 97 และฐาน พยายามกบฏตามมาตรา 102 ต่างมีโทษประหารชีวิตทุกคน ในที่สุดคณะพิจารณาคดีก็ตัดสินโทษ โดยพิจารณาถึงการมีส่วนร่วมกระทำ ความผิดมากน้อยเพียงใด โดยมีโทษหนักที่สุดคือประหารชีวิต จนมาถึงเบาที่สุดคือจำ คุก 12 ปี มีผู้ถูกตัดสินประหารชีวิต 3 นายคือ นายร้อยเอกขุนทวยหาญ พิทักษ์ ในฐานะ "เป็นคนต้นคิดและหัวหน้าคณะแห่งคนพวกนี้ที่ปรากฏว่าคิดเปลี่ยนแปลงการ ปกครองบ้านเมืองและคิดกระทำ การถึงประทุษร้ายต่อประชาชนและพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว" , นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่า "คงเกี่ยวกับการจัดหาอาวุธ" และ นายร้อยตรีเจือ ศิลาอาสน์ "ซึ่งเข้าร่วมประชุมสามครั้ง ภายหลังคิดเกลี้ยกล่อมคนจะเข้าแย่ง พรรคพวกที่ถูกขังในเวลาใดเวลาหนึ่ง สุดแต่จะมีโอกาสกับพยายามประทุษร้ายพระเจ้าแผ่นดิน" [8] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยความว่า "เห็นว่า กรรมการพิพากษาลงโทษพวกเหล่านี้ ชอบด้วยพระราชกำ หนดกฎหมายทุกประการแล้ว แต่ว่า ความผิดของพวกเหล่านี้มีข้อสำ คัญที่จะกระทำ ร้ายต่อตัวเรา เราไม่ได้มีจิตพยาบาทอาฆาต มาด ร้ายต่อพวกนี้ เห็นควรที่จะลดหย่อนผ่อนโทษโดยฐานกรุณา ซึ่งเป็นอำ นาจของพระเจ้าแผ่นดินจะ ยกให้ได้ เพราะฉะนั้นบรรดาผู้ที่มีชื่อ 3 คน ซึ่งวางโทษไว้ในคดีพิพากษาของกรรมการว่าเป็นโทษ ชั้นที่ 1 ให้ประหารชีวิตนั้น ให้ลดลงเป็นโทษชั้นที่ 2 ให้จำ คุกตลอดชีวิต แลบรรดาผู้มีชื่อ 20 คน ซึ่งวางโทษไว้เป็นชั้นที่ 2 ให้จำ คุกตลอดชีวิตนั้น ให้ลดลงเป็นโทษชั้นที่ 3 คือ ให้จำ คุกมีกำ หนด 20 ปี ตั้งแต่วันนี้สืบไป แต่บรรดาผู้ที่มีชื่ออีก 68 คน ซึ่งวางโทษไว้ชั้นที่ 3 ให้จำ คุก 20 ปี 32 คน และ วางโทษชั้นที่ 4 ให้จำ คุก 15 ปี 6 คน และวางโทษชั้นที่ 5 ให้จำ คุก 12 ปี 30 คนนั้น ให้รอการ ลงอาญาไว้ ทำ นองอย่างเช่นได้กล่าวในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 41 และ 42 ซึ่งว่าด้วยการ รอลงอาญาในโทษอย่างน้อยนั้น และอย่าเพ่อให้ออกจากตำ แหน่งยศก่อน แต่ฝ่ายผู้มีชื่อ 3 คน ที่ได้ ลงโทษชั้นที่ 2 กับผู้ที่มีชื่อ 20 คน ที่ได้ลงโทษชั้นที่ 3 รวม 23 คน
ดังกล่าวมาข้างต้นนั้น ให้ถอดจากยศบรรดาศักดิ์ตามอย่างธรรมเนียม ซึ่งเคยมีกับโทษเช่นนั้น คณะ ร.ศ. 130 จึงถูกจำ คุกจริงๆ 25 คน โดยถูกคุมขังในคุกมหันตโทษ (คุกต่างประเทศ) 23 คน และเรือนจำ นครสวรรค์ 2 คน ทั้งหมดต้องโทษถูกคุกขังอยู่ 12 ปี 6 เดือน 6 วัน จึงได้รับ พระราชทานอภัยโทษ ในพระราชพิธีฉัตรมงคล เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2467 ในวโรกาสครบรอบ ปีที่ 15 ของการครองราชย์ ระหว่างต้องโทษมีผู้เสียชีวิต 2 คนคือ นายร้อยตรีวาส วาสนา หลังจาก ต้องโทษ 4 ปี ถึงแก่กรรมด้วยวัณโรค และ หลังจากนั้นอีก 2 ปี นายร้อยตรี ม.ร.ว. แช่ รัชนิกร ถึงแก่กรรมด้วยโรคลำ ไส้ ทั้งนี้เหตุการณ์ ร.ศ. 130 เป็นแรงผลักดันให้คณะราษฎร ก่อการปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยภายหลังการยึดอำ นาจแล้ว พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เชิญผู้นำ การ กบฏ ร.ศ. 130 ไปพบและกล่าวกับ ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) ว่า "ถ้าไม่มีคณะคุณ ก็ เห็นจะไม่มีคณะผม" และหลวงประดิษฐ์มนูธรรมก็ได้กล่าวในโอกาสเดียวกันว่า "พวกผมถือว่าการ ปฏิวัติครั้งนี้เป็นการกระทำ ต่อเนื่องจากการกระทำ เมื่อ ร.ศ. 130"[10] ซึ่งวีรกรรมของคณะปฏิวัติ ร.ศ. 130 จะต้องเป็นเครื่องเตือนใจให้อนุชนคนไทย ทั้งในวันนี้และวันหน้าได้รำ ลึกว่า สิทธิของการ เป็นพลเมืองเจ้าของชาติ เป็นสิทธิที่เราจะต้องหวงแหนและรักษาไว้ด้วยชีวิต
บรรณานุกรม 14:20, 24 สิงหาคม 2553 Apirom (พูดคุย | เรื่องที่เขียน) . . (164 ไบต์) (+164) . . (สร้างหน้าใหม่: {{introcat|ชื่อหมวดหมู่=กบฏ}} [[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำ คัญทางการ เมือง สืบค้นเมื่อ วันที่ 22 มกราคม 2566 http://wiki.kpi.ac.th/index.php? title=%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB %E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81
ภาคผนวก นางสาวปิยะนุช เรืองแก้ว 6512421001343 ชื่อเล่น แอ๋ม นักศึกษาชั้นปีที่1 ปีการศึกษา2565 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี นางสาวพัณณิตา ทองดี 6512421001348 ชื่อเล่น หวาน นักศึกษาชั้นปีที่1 ปีการศึกษา2565 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี นางสาวภัทรธิรา แซ่อื้อ 6512421001351 ชื่อเล่น วา นักศึกษาชั้นปีที่1 ปีการศึกษา2565 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
นางสาวมุทิตา ศรีใย 6512421001355 ชื่อเล่น น้ำ ฝน นักศึกษาชั้นปีที่1 ปีการศึกษา2565 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี นางสาวชนัดดา ทองเหลือ 6516209001013 ชื่อเล่น แพง นักศึกษาชั้นปีที่1 ปีการศึกษา2565 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี นายพชร หนูเนตร 6516209001111 ชื่อเล่น เพชร นักศึกษาชั้นปีที่1 ปีการศึกษา2565 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
นายอนุชา แก้วกันรัตน์ 6507000001014 ชื่อเล่น สาม นักศึกษาชั้นปีที่1 ปีการศึกษา2565 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี