The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคําที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราโดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์

0


1 รายงานผลนวัตกรรม / วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) โครงการ Innovation For Thai Education(IFTE) นวัตกรรมการศึกษา เพื่อพัฒนาการศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2566 ................................................................ ชื่อนวัตกรรม การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ ชื่อผู้จัดทำนวัตกรรม ชื่อ นางสาวพรพิมล นามสกุล หมื่นกล้า ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง มือถือ 061-7734739 E-mail address [email protected] แนวทางการคิดค้นนวัตกรรม แสวงหานวัตกรรม/แบบอย่างที่ดีจากแหล่งต่างๆ ที่เคยมีผู้สร้างหรือ ทำไว้แล้วนำมาปรับปรุง หรือพัฒนาใหม่ การสร้างนวัตกรรมใหม่ ประเภทของนวัตกรรม ด้านการบริหารจัดการศึกษา ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการนิเทศติดตามและประเมินผล 1. ความเป็นมาและสภาพปัญหา ทักษะในภาษาไทยทุกทักษะ เป็นทักษะที่จะต้องฝึกฝนให้เกิดความชำนาญในการใช้ ภาษาไทยทั้งในด้าน การรับสาร อันได้แก่ การอ่านและการฟัง การส่งสาร อันได้แก่ การพูดและ การเขียนทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเลือกใช้คำ เรียบเรียงความคิด ความรู้ และใช้ภาษาได้ถูกต้องตาม กฎเกณฑ์ ตรงตามความหมายและถูกต้องตามกาลเทศะ บุคคล และมีประสิทธิภาพ และในบรรดา ทักษะการสื่อสารทั้ง 4 ทักษะนี้ ทักษะ การเขียน เป็นทักษะการสื่อสารที่มีวิธีการที่ซับซ้อนกว่าทักษะ อื่น เพราะผู้ที่จะเขียนได้นั้นต้องสามารถฟัง พูดและอ่านได้ดี จึงจะช่วยให้เกิดความสามารถ ในด้าน การเขียน อีกทั้งทักษะการเขียนจัดว่าเป็นทักษะทางภาษาที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากการเขียนเป็น เครื่องมือในการสื่อความหมายที่คงทนถาวรเป็นหลักฐานที่ดีกว่าทักษะอื่น เพราะการเขียนจะไม่


2 ลบเลือนเหมือนคำพูด การเขียนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อระหว่างอดีตถึงปัจจุบัน (จุไร วรศักดิ์โยธิน, 2523 : 3) ในปัจจุบันนี้ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อกระบวนการสื่อสาร เพื่อถ่ายทอดความรู้ความรู้สึก ความคิด และทัศนคติการเขียนจึงเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนให้เกิดความ ชำนาญ เพราะในสภาพสังคมปัจจุบันเรามีความจำเป็นที่ต้องใช้การเขียนมากขึ้นทั้งในการศึกษา การ ทำงาน การประกอบอาชีพ และการติดต่อสื่อสารทั่วไป ถ้าผู้เขียนส่งสารไม่ดีเช่น สะกดคำผิด ลายมือ ไม่สวย ใช้คำไม่เหมาะสม หรือเขียนไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ผู้รับสารอาจมีความรู้สึกไม่ดีต่อผู้เขียน อาจ เข้าใจผิดหรืออาจทำให้กิจธุระผิดพลาดเสียหายได้การเขียนจึงมีความสำคัญเป็นอันมากสำหรับการใช้ ชีวิต (จิรวัฒน์เพชรรัตน์และอัมพร ทองใบ. 2555 : 285) การเขียนสะกดคำให้ถูกต้องตามมาตราตัวสะกดต่าง ๆ นับว่าเป็นปัญหาอย่างยิ่ง เพราะใน ปัจจุบัน พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่เขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ส่งผลให้สื่อความหมายผิดพลาดไม่ตรงตาม ความต้องการ ซึ่งโดยปกติแล้วการสอนทักษะการเขียนจะต้องเน้นทักษะการเขียนสะกดคำให้ถูกต้อง เพราะการสะกดคำให้ถูกต้องจะทำให้อ่านหนังสือออกและเขียนหนังสือได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการ เรียนวิชาต่าง ๆ การเขียนสะกดคำจึงมีความจำเป็นและเป็นพื้นฐานที่สำคัญในทักษะการเขียน ดังที่ วรรณา แซ่ตั้ง (2541: 2-3) กล่าวว่า สำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษา การเขียนคำที่มี ตัวสะกดเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ เพราะการเรียนวิชาต่าง ๆ ทุกระดับต้องอาศัย ความสามารถทางการอ่านและการเขียนสะกดคำแทบทั้งสิ้น เมื่อมีทักษะทางการอ่านและการเขียน สะกดคำที่ดีแล้ว จะมีผลทำให้ทักษะทางด้านการฟัง การดู และการพูดดีขึ้น ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาอื่น ๆ ดีตามไปด้วย การเขียนคำที่มีตัวสะกดจึงเปรียบเสมือนกุญแจที่ไขไปสู่ความฉลาด รอบคอบและความเจริญงอกงามทางสติปัญญา การเรียนรู้และใช้วิธีเขียนคำที่มีตัวสะกดที่ถูกต้องจึง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน การรู้จักฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้ผู้เรียนมีพื้นฐานในการเขียนที่ดี ทั้งจะช่วยให้เกิดความชำนาญและมีความรู้กว้างขวางด้วย ผู้สอนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระนอง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 พบว่าทักษะทางด้านการเขียนสะกดคำของนักเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ น่าพึงพอใจ ซึ่งพบปัญหานี้ในการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย โดยครูผู้สอนให้นักเรียนเขียนตามคำ บอก ผลปรากฏว่านักเรียนเขียนตามคำบอกผิดเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากการ ฝึกฝน การปฏิบัติทางการเขียนน้อย ขาดรูปแบบการฝึกฝนที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทำให้ ความสามารถในการเขียนลดลง ตลอดจนส่งผลต่อการเรียนการสอนในกลุ่มสาระอื่นๆ ด้วย ครูผู้สอน จึงได้ศึกษาหาทางปรับปรุงแก้ไขการจัดการเรียนรู้ และสนใจพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรง ตามมาตราของนักเรียน โดยศึกษาเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ พบว่าสิ่งที่จะทำให้นักเรียนเขียนสะกด


3 คำได้ดียิ่งขึ้นนั้นคือแบบฝึกทักษะ เพราะเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพของเด็ก เป็นเครื่องมือ ที่มี ประสิทธิภาพ ในการอบรม สั่งสอน ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียน แบบฝึกทักษะจึงเป็นสื่อที่ช่วยให้ ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และเสริมทักษะให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน อย่างเต็มความสามารถ ตอบสนองต่อความต้องการในช่วงวัยและอายุของผู้เรียน ครูผู้สอนจึงสนใจที่ จะนำแบบฝึกทักษะมาใช้พัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราของนักเรียน 2. แนวทางการแก้ปัญหาและการพัฒนา 1. ศึกษาเทคนิควิธีการสอนต่างๆที่เหมาะสมกับวัยของนักเรียน 2. ใช้แบบฝึกทักษะพัฒนาการเขียนที่น่าสนใจและเหมาะสมกับวัยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3. จัดทำนวัตกรรม “แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา” มาใช้ ประกอบการเรียนการสอน เรื่องมาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงมาตรา 3. กรอบแนวคิดในการพัฒนา กรอบแนวคิดในการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้ แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ ดังนี้ 1. สำรวจนักเรียนที่มีปัญหาด้านการเขียนสะกดคำ 2. ศึกษาเอกสาร งานวิจัย ทฤษฎี หลักการ ที่เกี่ยวข้องกับการเขียน สะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด 3. สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ - แผนการจัดการเรียนรู้ - แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด - แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน สูงขึ้น พัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำไม่ ตรงตามมาตราตัวสะกด


4 4. ประโยชน์ของนวัตกรรม 1. แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สามารถพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดของนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น และนักเรียนสามารถเขียนคำได้ ถูกต้อง 5.วัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนา 5.1วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา 5.2 เป้าหมายการพัฒนา เป้าหมายเชิงปริมาณ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ ร้อยละ 80 ได้รับการพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา เป้าหมายเชิงคุณภาพ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ ร้อยละ 80 ได้รับการพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สูงขึ้นหลังการเรียนการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะ การเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา 6. หลักการทฤษฎีแนวคิดในการพัฒนา การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยในประเด็น ต่อไปนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2. เอกสารที่เกี่ยวกับการเขียนสะกดคำ 3. เอกสารที่เกี่ยวกับมาตราตัวสะกด 4. เอกสารที่เกี่ยวกับแบบฝึกทักษะ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น


5 พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษา ตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ได้เต็มตามศักยภาพ กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : ความนำ) ได้กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกำหนด จุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมาย และกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็น คนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก พร้อมกันนี้ สำนักนายกรัฐมนตรีได้ปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ที่มุ่งเน้น การกระจายอำนาจทางการศึกษาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนา หลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพ และความต้องการของท้องถิ่น สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาได้ทำการวิจัย และติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตร ในช่วงระยะ 6 ปีที่ผ่านมา พบว่า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 มีจุดดีหลาย ประการ เช่น ช่วยส่งเสริมการกระจายอำนาจทางการศึกษาทำให้ท้องถิ่นและสถานศึกษามีส่วนร่วม และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น และมีแนวคิด และหลักการในการส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษา ดังกล่าวยังได้สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นที่เป็นปัญหาและความไม่ชัดเจนของหลักสูตรหลายประการทั้ง ในส่วนของเอกสารหลักสูตร กระบวนการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ และผลผลิตที่เกิดจากการใช้ หลักสูตร ได้แก่ ปัญหาความสับสนของผู้ปฏิบัติในระดับสถานศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สถานศึกษาส่วนใหญ่กำหนดสาระและผลการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้มาก ทำให้เกิดปัญหาหลักสูตรแน่น การวัดและประเมินผลไม่สะท้อนมาตรฐาน ส่งผลต่อปัญหาการจัดทำเอกสารหลักฐานทางการศึกษา และการเทียบโอนผลการเรียน รวมทั้งปัญหาคุณภาพของผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์อันยังไม่เป็นที่น่าพอใจ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : ความนำ) ได้กล่าวว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2551 - 2554) ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนจุดเน้น ในการพัฒนาคุณภาพคนในสังคมไทยให้ มีคุณธรรม และมีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อม ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่สังคม ฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนาคนดังกล่าวมุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดี งามมีจิตสาธารณะ พร้อมทั้งมีสมรรถนะ ทักษะและความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ


6 กระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียนมี คุณธรรมรักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถ ทำงานร่วมกับผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติ 2. เอกสารที่เกี่ยวกับการเขียนสะกดคำ การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการการเขียนสะกดคำ ผู้วิจัยศึกษารายละเอียดต่าง ๆ เพื่อ ใช้เป็นข้อมูลในการสร้างเครื่องมือ และเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนการเขียนสะกดคำ ซึ่งผู้วิจัยศึกษาประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 ความหมายของการเขียนสะกดคำ การเขียนเป็นทักษะมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในวิชาภาษาไทย โดยเฉพาะการเขียนสะกดคำ จัดเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่นำไปสู่การพัฒนาการเขียนในระดับที่สูงขึ้น มีผู้ให้ความหมายของการ เขียนสะกดคำไว้ดังนี้ อรทัย นุตรดิษฐ (2540 : 10) สรุปการเขียนสะกดคำไว้ว่า “การเขียนสะกดคำ หมายถึง การเขียนคำใดคำหนึ่งอันประกอบด้วย พยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกดและตัวการันต์ ได้ถูกต้องตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525” ปทุม หนูมา (2542 : 11) ได้กล่าวถึง ความหมายของการเขียนสะกดคำว่า หมายถึง ความสามารถในการเขียนคำโดยเรียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดตัวการันต์ได้ถูกต้อง ตามหลักภาษา และตรงตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 บัณฑิตา แจ้งจบ (2545 : 8) ได้กล่าวไว้ว่า การเขียนสะกดคำ หมายถึง การนำพยัญชนะ ต้นมาประสมกับสระ และวรรณยุกต์ บางคำมีตัวสะกดที่ต่างตามมาตรา คือ มีพยัญชนะสะกดตัวเดียว และไม่ตามมาตรา คือ มีพยัญชนะสะกดใช้หลายตัวหรือบางคำมีทั้งตัวสะกดและตัวการันต์ จากข้อมูลข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การเขียนสะกดคำ หมายถึง การเขียนคำโดยการ เรียงลำดับของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด และตัวการันต์ ให้เป็นคำที่ถูกต้องตามอักขรวิธี เพื่อถ่ายทอดความคิดที่ต้องการสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายและติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.2 ความสำคัญของการเขียนสะกดคำ การเขียนเป็นทักษะที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตนเองให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย ถ้าหาก ผู้เขียนเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง จะทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจเนื้อความที่ตนเขียน ดังนั้น การเขียนสะกดคำ จึงมีความสำคัญในการเรียนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของการ เขียนสะกดคำไว้ดังนี้ ผอบ โปษะกฤษณะ (2508 : 38) ได้กล่าวว่า ขณะนี้คนไทยส่วนมากรู้สึกว่าภาษาไทยกำลัง อยู่ในอันตรายทั้งการออกเสียงคำ การใช้คำและการเขียนตัวอักษร วิธีหนึ่งที่จะรักษาความเป็นไทย


7 ของชาติคือ ศึกษาภาษาไทยของเราและการใช้ภาษาให้ถูกต้อง คนไทยส่วนมากเขียนหนังสือไม่ค่อย ถูก ไม่ระมัดระวังในการเขียนพยัญชนะ สระ ตลอดจนการวางรูปวรรณยุกต์ พรชนา พรหมหิตาทร (2542 : 12) ได้ให้ความสำคัญของการเขียนและด้านการใช้ตัว การันต์ให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ คือ ความรู้ความสำคัญของการเขียนสะกดคำ หรือการเขียนสะกดตัว การันต์เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะนอกจากจะสื่อความหมายได้ถูกต้องแล้วยังจะช่วยให้เกิดผลดีต่อ ผู้เขียนข้อความนั้นได้ถูกต้อง และผู้เขียนเองก็เกิดความมั่นใจในตนเอง สามารถอธิบายและถ่ายทอด แนวคิดให้ผู้อื่นเข้าใจได้รวดเร็วถูกต้อง ลาภรณ์ ธรรมวิเศษ (2546 : 25) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเขียนสะกดคำไว้ว่า การ เขียนเป็นทักษะจำเป็นยิ่งที่ครูผู้สอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา ควรจะต้องจัดกระบวนการเรียน การสอนในการฝึกฝนให้นักเรียนเขียนสะกดคำให้ถูกต้องและอ่านได้ นักเรียนก็สามารถนำประโยชน์ จากการเขียนไปใช้ในวิชาอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จิตรา สมพล (2547 : 26) กล่าวว่า การเขียนสะกดคำเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งของการใช้ ภาษา เพราะการเขียนสะกดคำผิดก็จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการสื่อความหมายและบ่งบอกถึง ความสามารถของผู้เขียนด้วย การเขียนสะกดคำที่ถูกต้องทำให้สื่อความหมายได้ถูกต้องและยังช่วย อนุรักษ์และรักษาวัฒนธรรมของชาติด้วย ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง (2551 : 31) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการสะกดคำไว้ว่า เรื่องของภาษา เขียนตัวสะกดเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องระมัดระวังเป็นที่สุด เพราะการเขียนสะกดผิด นอกจากผิดหลัก อักขรวิธีแล้วยังทำให้สื่อความหมายความหมาย หากที่เข้าใจกันไม่ได้อีกด้วย โอภส์ แก้วจำปา (2551 : 62) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการสะกดคำไว้ว่า การเขียน สะกดคำถือว่าเป็นการสื่อสารด้วยการเขียน ถ้าเขียนสะกดคำผิดพลาด การสื่อสารจะไม่ชัดเจน ผู้รับ สารจะไม่เข้าใจหรือทำให้เข้าใจผิด การเขียนคำถูกต้องตามอักขรวิธีจำเป็นต้องฝึกฝน และระมัดวัง อย่าละเลย จากการศึกษาความสำคัญของการเขียนสะกดคำสรุปได้ว่า การเขียนสะกดคำเป็นทักษะ พื้นฐานทางด้านการเขียนที่มีความสำคัญมาก ถ้าผู้เขียนสามารถสะกดคำต่าง ๆ ได้ถูกต้อง ก็จะทำให้ เกิดการสื่อความหมายระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียนเข้าใจกันได้ดี หากเขียนสะกดคำผิดจะทำให้การสื่อ ความไม่ชัดเจน และมีผลในการสื่อความหมายได้ 2.3 จุดมุ่งหมายของการเขียนสะกดคำ ผู้วิจัยได้ศึกษาจุดมุ่งหมายของการเขียนสะกดคำ มีนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง จุดประสงค์ของการเขียนสะกดคำ ไว้ดังนี้ สุปรียา มาลากาญจน์ (2526 : 75) กล่าวว่า การสอนเขียนสะกดคำในระดับประถมศึกษา มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้


8 1. ให้นักเรียนเขียนสะกดคำต่างๆได้ถูกต้องตามแบบแผนที่นิยมใช้กัน และตรงตาม ความหมายของคำ 2. ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคำต่างๆได้กว้างขวาง 3. ให้นักเรียนค้นคว้าและหาคำใหม่ๆได้ตามต้องการ 4. ให้นักเรียนรู้จักคำต่างๆที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน 5. ให้นักเรียนออกเสียงคำต่างๆได้ถูกต้อง วรรณี โสมประยูร (2553 : 175) ได้กำหนดความมุ่งหมายในการสอนเขียนสะกดคำ ไว้ ดังนี้ 1. ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 เพื่อให้มีทักษะในการเขียน เขียนได้ถูกต้อง สวยงามสื่อความได้ สามารถจัดลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน มีนิสัยที่ดีในการเขียน รักการ เขียน และนำการเขียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ คัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขียน บรรยายบันทึกประจำวัน เขียนจดหมายลาครู เขียนเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ เขียนเรื่องตาม จินตนาการและมีมารยาทในการเขียน 2. ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 เพื่อให้มีทักษะในการเขียนตัวเต็มบรรทัดและครึ่ง บรรทัด เขียนได้ถูกต้อง รวดเร็ว เป็นระเบียบสวยงาม และสื่อความได้ เขียนอย่างมีรูปแบบได้ สามารถคิดลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน เขียนแสดงความนึกคิดอย่างเสรี และเขียนเชิง สร้างสรรค์ได้ มีนิสัยที่ดีในการเขียน รักการเขียน ลำนำการเขียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เพิ่มจากประถมศึกษาปีที่ 3 ได้แก่ เขียนเรียงความ ย่อความ กรอกแบบรายการต่าง ๆ ใช้แผนภาพ โครงเรื่องและแผนภาพความคิดเขียนสื่อสารต่าง ๆ และแสดงความรู้สึกโดยใช้ถ้อยคำเหมาะสม 3. ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 เพื่อให้มีทักษะในการเขียนครึ่งบรรทัด เขียนได้ ถูกต้อง รวดเร็วเป็นระเบียบสวยงามและสื่อความได้ เขียนอย่างมีรูปแบบได้ สามารถจัดลำดับ เหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน เขียนแสดงความนึกคิดอย่างมีเสรีและเขียนเชิงสร้างสรรค์ได้ มีนิสัยที่ดี ในการเขียน รักการเขียน ลำนำการเขียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ และเพิ่มจาก ประถมศึกษาปีที่ 6 ได้แก่ เขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความรู้สึก โต้แย้งอย่างมีเหตุผล เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า และ เขียนโครงงาน การใช่ข้อมูลสารสนเทศในการอ้างอิงและผลิตผลงานของตนทั้งสารคดีและบันเทิง จากจุดมุ่งหมายการเขียนสะกดคำ สามารถสรุปได้ว่า การสอนเขียนสะกดคำมี จุดมุ่งหมายเพื่อปลูกฝังให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการเขียนสะกดคำ เพื่อให้มีทักษะในการเขียน เขียน ได้ถูกต้อง รวดเร็ว สื่อความ และนำการเขียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ สามารถจดจำรูปคำ และวิธีเขียนที่ถูกต้องไปใช้ในชีวิตประจำวันได้


9 2.4 ปัญหาและสาเหตุของการเขียนสะกดคำผิด ในปัจจุบัน พบว่า นักเรียนมักเขียนสะกดคำผิดพลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งสาเหตุของการ เขียนสะกดคำผิดมีหลายประการ ดังที่นักการศึกษาได้กล่าวถึงสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้ แบลร์ (Blair, 1968, อ้างถึงใน จุติตา คงด้วง, 2549: 11) ได้เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับ สาเหตุของการเขียน สะกดคำผิด สรุปได้ว่า สาเหตุต่าง ๆ อาจเนื่องมาจากความไม่พร้อมหรือ ข้อบกพร่องในด้านสุขภาพ ร่างกายและอารมณ์ การออกเสียงและการรับฟังเสียง ไม่ถูกต้อง การจำคำไปใช้อย่างผิด ๆ จาการ เรียงลำดับอักษรไม่ได้ ได้รับการฝึกหรือการออกเสียงผิดมาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก และไม่ได้รับแรงจูงใจ หรือฝึกให้เขียนสะกดคำ นพดล จันทร์เพ็ญ และคนอื่น ๆ (2519: 547-548) กล่าวถึงสาเหตุที่เด็กเขียนสะกดคำผิด มีดังนี้ 1. ครูมีความรู้ไม่ดีพอ เขียนหนังสือไม่ถูกต้อง 2. สิ่งตีพิมพ์ ตำรับตำรา โฆษณา ป้ายประกาศ ชื่อห้างร้าน แม้กระทั่งตัวหนังสือใน รถโดยสาร ยังมีการสะกดตัวหนังสือผิด 3. โทรทัศน์สะกดตัวหนังสือผิด เด็กคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็เลยเอาอย่าง 4. ผู้ปกครองและคนในบ้านของเด็กเขียนหนังสือผิด 5. โรงเรียนจัดครูภาษาไทยไม่เหมาะสมเอาคนที่ไม่ถนัดในวิชาภาษาไทยมาสอน 6. ครูอื่น ๆ ในโรงเรียนไม่สนใจว่าจะสะกดคำผิดหรือถูก ไม่มีการแก้ไข ปล่อยให้คำผิด ปรากฏในสายตาเด็กเสมอ 7. เด็กไม่สนใจ เรียนมาไม่ดีพอ เด็กไม่มีความรู้เรื่องหลักภาษา รัชนี ศรีไพวรรณ (2539 : 1033-1034) สรุปสาเหตุของการเขียนสะกดคำผิดว่า คำที่มี ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด จะเป็นคำที่นักเรียนมักสะกดผิด การใช้แนวเทียบผิด ใช้คำผิด ความหมาย เช่น คำพ้องเสียง การออกเสียงคำผิดจนติดปากแล้วนำมาเขียน การประวิสรรชนีย์ผิด คำที่ใช้ไม้หันอากาศ คำที่ใช้การันต์ คำที่ใช้ไอไม้ม้วนหรือไม้มลาย ไม่รู้เกณฑ์ของการใช้ ศ, ษ, ส การใช้ ณ น และคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ วรรณี โสมประยูร (2544 : 157-159) กล่าวถึงสาเหตุของการเขียนสะกดคำผิดว่า นักเรียนเห็นแบบอย่างการสะกดคำที่ผิดอยู่เสมอ อีกทั้งไม่รู้ความหมายของคำคำนั้น โดยเฉพาะ คำไทยมี คำพ้องเสียงทำให้ความหมายสับสน ไม่เข้าใจหลักภาษาที่ถูกต้อง การฟังและออกเสียง คำควบกล้ำ ร ล ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถถ่ายทอดคำตามเสียงคำที่มาจากภาษาอังกฤษ ออกเป็น ภาษา เขียนของคำภาษาไทยที่ถูกต้องได้ จะเห็นได้ว่า สาเหตุการเขียนสะกดคำผิดนั้นมีหลายประการ ส่วน ใหญ่เกิดจากผู้เขียน เป็นสำคัญที่ขาดการระมัดระวัง ขาดประสบการณ์ทางภาษา ขาดความแม่นยำ และขาดการฝึกฝน อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนั้น ครูต้องกระตุ้นให้นักเรียนเขียนสะกดคำให้ถูกต้อง


10 และต้องอาศัย วิธีการและกระบวนการที่หลากหลายในการทำกิจกรรมเกี่ยวกับการฝึกทักษะการเขียน สะกดคำ ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีความสามารถและมีทักษะในการเขียนสะกดคำได้ดียิ่งขึ้น 3. เอกสารที่เกี่ยวกับมาตราตัวสะกด การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับมาตราตัวสะกด ผู้วิจัยศึกษารายละเอียดต่าง ๆ เพื่อใช้เป็น ข้อมูลในการสร้างเครื่องมือ และเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนการเขียนสะกดคำที่ไม่ ตรงตามมาตรา ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ความหมาย ความสำคัญและประเภทของ ตัวสะกด มีรายละเอียด ดังนี้ 3.1 ความหมายของมาตราตัวสะกด การศึกษาความหมายของตัวสะกด พบว่า กระทรวงศึกษาธิการ (2546 : 157-160) ได้ กล่าวถึง ความหมายของตัวสะกด ไว้ว่า ตัวสะกด หมายถึง พยัญชนะที่ประกอบอยู่ท้ายสระและมี เสียงประสมเข้ากับสระทำให้เสียงของคำแตกต่างกันตามตัวพยัญชนะที่นำมาประกอบ ซึ่งมาตรา ตัวสะกดของไทยมี8 มาตรา ดังนี้ 1. มาตราตัวสะกด แม่ กง คือ คำหรือพยางค์ที่มีเสียง ง สะกด ใช้เป็น ง สะกด เช่น งง ปัง ช้าง จริง กุ้ง โกง โรง หญิง ลิง ลง แรง ขลัง กาง กอง เสียง จูง เป็นต้น 2. มาตราตัวสะกด แม่ กน คือ คำหรือพยางค์ที่มีเสียง น สะกด ใช้ น ญ ณ ร ล ฬ เช่น น สะกด กิน ตูน ปีน ขาน นอน ฉัน ริน ร สะกด การ ควร จร อาจารย์ ลำธาร อาหาร ญ สะกด บุญ ชาญ ขวัญ สูญ สัญญา สามัญ ล สะกด พล กล ขาล ตาล เพล มูล กาล ศัลย์ ชล ณ สะกด คุณ คูณ คำนวณ ประมาณ ปฏิภาณ พรรณ ฬ สะกด กาฬ พาฬ วิรุฬห์ ทมิฬ 3. มาตราตัวสะกดแม่ กม คือ คำหรือพยางค์ที่มีเสียง ม สะกด ใช้ ม เป็นตัวสะกด เช่น ชม นม ขม โคม ตาม กล้าม ถาม คุม ลม ปราม ริม พราหมณ์ 4. มาตราตัวสะกด แม่ เกย คือ คำหรือพยางค์ที่มีเสียง ย สะกด ใช้ ย เป็นตัวสะกด เช่น ยาย เฉย เชย คุณ กรุยกราย อร่อย สวย พาย เคย น้อย กรวย 5. มาตราตัวสะกด แม่ เกอว คือ คำหรือพยางค์ที่มีเสียง ว สะกด ใช้ ว เป็นตัวสะกด เช่น ปิ๋ว กาว เดียว พราว สาว แมว เปรี้ยว สาว หิว เขียว แก้ว 6. มาตราตัวสะกด แม่ กก คือ คำหรือพยางค์ที่มีเสียง ก สะกด จะใช้ ก ข ค ฆ และพยัญชนะ สระควบ กร คร เป็นตัวสะกด เช่น ก สะกด ลูก นก จิก ผัก ยาก หมอก ข สะกด เชข สุนัข สุข มุข


11 ค สะกด ยุค โรค นาค บริจาค สามัคคี ภาค ฆ สะกด เมฆ กร สะกด จักร ศุกร์ คร สะกด อัคร สมัคร 7. มาตราตัวสะกด แม่ กด คือ คำหรือพยางค์ที่มีเสียง ด สะกด ใช้ ด จ ช ซ ฏ ฎ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส และยัญชนะสระควบ ชร ตร ทร ศร เป็นตัวสะกด เช่น ด สะกด ชุด ขาด เปิด ปูด มอด อุจาด ถ สะกด รถ นาถ อรรถ สามารถ จ สะกด นิจ กิจ เท็จ สัจ อาจ สำเร็จ ท สะกด นาท บาท ประเภท แพทย์ ช สะกด คช นุช กช ชัช ราช บวช ธ สะกด พุธ พิรุธ โกรธ ปฏิเสธ อาพาธ ซ สะกด กรีซ ก๊าซ ศ สะกด โกศ เลิศ อากาศ เพศ พิศ ฎ สะกด กฎ มงกุฎ ษ สะกด กระดาษ เศษ ฏ สะกด ชัฏ นาฏ ปรากฏ กุฏ ส สะกด รส ทาส โอกาส ฝั่งเศส ฐ สะกด รัฐ อูฐ อิฐ อัฐ โกศ ฑ สะกด ครุฑ ฒ สะกด วุฒิ วัฒนา อัฒภาค พัฒน์ ต สะกด ญาติ อนุญาต ชาติ สาเหตุ ทูต ชร สะกด เพชร ตร สะกด มิตร จิตร บุตร บาตร มาตร ทร สะกด ภัทร ศร สะกด นิริศร 8. มาตราตัวสะกด แม่ กบ คือ คำหรือพยางค์ที่มีเสียง บ สะกด ใช้ บ ป พ ฟ ภ เป็นตัวสะกด เช่น บ สะกด ขบ กับ คาบ แบบ รับ คราบ ครบ ทะเลสาบ ป สะกด กัป รูป ธูป บาป สาป พ สะกด เทพ ภาพ เคารพ อาภัพ สรรพ


12 ฟ สะกด กราฟ ยีราฟ แอฟริกา ปรู๊ป ภ สะกด ลาภ โลภ ปรารภ จากที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ตัวสะกด หมายถึง พยัญชนะที่ประกอบอยู่ท้ายสระ และมีเสียงประสมเข้ากับสระทำให้เสียงของคำแตกต่างกันตามตัวพยัญชนะที่นำมาประกอบ ซึ่ง มาตราตัวสะกดมีทั้งหมด 8 แม่ 9 มาตรา แบ่งเป็นมาตราตัวสะกดตรงตามมาตรา ได้แก่ แม่กง แม่กม แม่เกย และแม่เกอว มาตราตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ได้แก่ แม่กบ แม่กน แม่กก และแม่กด และแม่ ก กา ที่ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทใด เพราะเป็นมาตราที่ไม่มีตัวสะกด ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษา เฉพาะมาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตราเท่านั้น 3.2 ความสำคัญของมาตราตัวสะกด คำในภาษาไทยมีทั้งประเภทที่เป็นคำไทยแท้ มีตัวสะกดตรงมาตราและคำที่รับมาจาก ภาษาอื่น อันได้แก่ ภาษาบาลี สันสกฤต และภาษาทางยุโรปตะวันตก จะมีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะเช่นนี้นับว่าเป็นปัญหาอีกประการหนึ่งสำหรับผู้เรียนภาษาไทย นอกจากนี้ คำไทยยังมีลักษณะที่เรียกว่า “คำพ้อง” คือ อ่านออกเสียงเหมือนกันแต่เขียนไม่เหมือนกัน และ ความหมายก็แตกต่างกัน เช่น คำว่า กาน การ กาล การณ์ เป็นต้น คำลักษณะเช่นนี้ หากผู้เขียน ใช้ตัวสะกดไม่ถูกต้องจะทำให้สื่อความหมายผิดพลาดไม่ตรงตามความต้องการ ตัวสะกดในภาษาไทย มีบทบาทสำคัญในการกำหนดเสียง และความหมายของคำให้ แตกต่างกัน เช่น สา + ง สาง สา + น สาน นอกจากนี้ตัวสะกดในมาตราเดียวกัน ออกเสียงสะกดเหมือนกัน แต่ก็มีความหมาย แตกต่างกัน เช่น การ (งาน) กาล (เวลา) อาจ หาญ สะ อาด ดังนั้น การสอนเรื่องมาตราตัวสะกด ครูควรจัดกิจกรรมให้นักเรียนตระหนักถึงความจำเป็น ในการเขียนและการอ่านคำให้ตรงตามมาตราตัวสะกด เพื่อสื่อความหมายให้ถูกต้อง ตรงตาม ความหมาย และมีประสิทธิภาพ 3.3 ประเภทของมาตราตัวสะกด การศึกษาประเภทของตัวสะกด พบว่าประพนธ์ เรืองณรงค์ และคณะ (2545 : 192) ได้ กล่าวถึง ประเภทของตัวสะกดไว้ ดังนี้ 1. มาตราตัวสะกดตรงแม่ ใช้ตัวสะกดตัวเดียว มี 4 มาตรา คือ แม่กง ใช้ ง สะกด เช่น หาง ปลิง สอง งง แรง ฯลฯ


13 แม่กม ใช้ ม สะกด เช่น ลม แต้ม โสม มุม งอม สนาม ฯลฯ แม่เกย ใช้ ย สะกด เช่น สาย ลอย โปรย เฉย ปุ๋ย ฯลฯ แม่เกอว ใช้ ว สะกด เช่น แห้ว กาว เปรี้ยว เปลว ฯลฯ 2. มาตราตัวสะกดไม่ตรงแม่ มีตัวสะกดหลายตัวในมาตราเดียวกัน เพราะออกเสียง เหมือนตัวสะกดเดียวกัน มี 4 มาตรา คือ แม่กน ใช้ น ญ ณ ร ล ฬ สะกด เช่น นาน วิญญาณ วานร กาลเวลา แม่กก ใช้ ก ข ค ฆ สะกด เช่น ปัก เลข วิหค เมฆ ฯลฯ แม่กด ใช้ ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ เช่น แปด ตรวจ ก๊าซ บงกชกฎหมาย ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ปรากฏ อิฐ ครุฑวัฒนา เปรต โอสถ ษ ส สะกด บาท โกรธ กระดาษ รส เลิศ ฯลฯ แม่กบ ใช้ บ ป ภ พ ฟ สะกด เช่น กลับ บาป ลาภ นพรัตน์ กราฟ จะเห็นได้ว่าตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อนสำหรับ นักเรียนมาก เด็กจะมีปัญหาด้านการเขียน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงพยายามที่จะแก้ไขโดยการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทยที่ไม่ตรงตามมาตรา ตัวสะกดขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้สังเกต จดจำ และฝึกทักษะจนเกิดความชำนาญ เกิดการเรียนรู้ที่ถาวร โดยหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง 4. เอกสารที่เกี่ยวกับแบบฝึกทักษะ การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ ผู้วิจัยศึกษารายละเอียดต่าง ๆ เพื่อใช้เป็น ข้อมูลในการสร้างเครื่องมือ และเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนการเขียนสะกดคำที่ไม่ ตรงตามมาตรา ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ความหมาย ความสำคัญ หลักการ ประโยชน์ และลักษณะของแบบฝึก ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 4.1 ความหมายของแบบฝึกทักษะ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกทำซ้ำบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญ ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้จึงเน้นในเรื่องการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติซ้ำ สื่อการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่มีส่วนสำคัญ ในการพัฒนาการเรียนรู้ คือ แบบฝึกทักษะ จากการศึกษาความหมายของแบบฝึกทักษะพบว่า มี นักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ ดังนี้ สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2541: 116) และ สุกิจ ศรีพรหม (2541: 68) กล่าวว่า แบบฝึก หมายถึง การจัดประสบการณ์ฝึกหัดเพื่อให้ผู้เรียนศึกษาและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและสามารถแก้ปัญหาได้ถูกต้อง อย่างหลากหลายและแปลกใหม่


14 ศศิธร ธัญลักษณานันท์ (2542 : 375) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ คือ แบบที่ใช้ฝึกความเข้าใจ ฝึกทักษะต่าง ๆ และทดสอบความสามารถของนักเรียนตามบทเรียนที่ครูสอนว่านักเรียนเข้าใจและ สามารถนำไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้น นอกจากจะตอบสนองใน ด้านความรู้แล้ว ในด้านจิตใจ แบบฝึกหัดก็มีส่วนช่วยให้เด็กเกิดความสำเร็จ ภาคภูมิใจที่ทำได้และเกิด ความสนุกสนานเพลิดเพลินในการทำ ถวัลย์ มาศจรัล (2546: 18) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง กิจกรรมพัฒนา ทักษะเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม มีความหลากหลาย และปริมาณเพียงพอที่ สามารถตรวจสอบและพัฒนาทักษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ สอดคล้องกับ นิลาภรณ์ ธรรมวิเศษ (2546 : 11) ว่าความหมายของแบบฝึกเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมทักษะเกี่ยวกับการเขียนทุก รูปแบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนสะกดคำครูสามารถใช้แบบฝึกช่วยพัฒนาการเขียนแบบฝึกยังเป็น สิ่งเร้าใจให้ผู้เรียนสนใจและอยากฝึกทักษะการเขียนให้เกิดความชำนาญมากขึ้น นริสรา สุนนทราช (2554 : 30) กล่าวว่า แบบฝึกหัด หมายถึง สื่อการเรียนประเภทหนึ่ง สำหรับให้นักเรียนฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และทักษะเพิ่มมากขึ้น ช่วยในการฝึกหรือ เสริมทักษะทางภาษาและการใช้ภาษาของผู้เรียนสามารถนำมาฝึกซ้ำได้ นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถ นำไปทบทวนด้วยตัวเองได้ ทำให้จดจำเนื้อหาได้คงทน จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อ ฝึกฝนและพัฒนาทักษะต่าง ๆ ให้แก่นักเรียนจนเกิดความเข้าใจ และช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และมีทักษะในการเขียนเพิ่มมากขึ้น 4.2 ความสำคัญของแบบฝึกทักษะ แบบฝึกทักษะนับว่ามีความสำคัญต่อการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็น เครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้นักเรียนสามารถทบทวนความรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งจากการศึกษาความสำคัญของ แบบฝึกทักษะ พบว่า มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ความสำคัญของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ชาญชัย อาจิณสมาจาร (2541 : 98) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของแบบฝึกทักษะไว้คล้ายกันว่า เป็นส่วนหนึ่งของบทเรียน ที่จะทำให้นักเรียนทำให้สำเร็จผลที่ได้เป็นอย่างไรในอดีตแบบฝึกถูกมองว่า เป็นการบ้านปัจจุบันเป็นงานที่ทำในชั้นเรียนหรือที่บ้านเป็นบทเรียนที่ต้องฝึกและเรียนรู้เป็นโครงการ ที่ต้องทำให้เสร็จ เป็นคำถามที่ต้องตอบหรือทบทวนการเรียนที่ผ่านมากิจกรรมเหล่านี้เป็นหนึ่งวงจร ของการเรียนการสอน กันต์ดนัย วรจิตติพล (2542 : 43) ได้ให้ความสำคัญของแบบฝึกทักษะว่า เป็นเครื่องมือ ทางการเรียนอย่างหนึ่งที่มุ่งให้นักเรียนฝึกกระทำด้วยตนเอง เพื่อจะได้มีทักษะหรือความชำนาญ เพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้เรียนรู้ในภาคทฤษฎีหรือด้านเนื้อหาแล้ว


15 จิตรา สมพล (2547 : 11) ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะมีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง ในการใช้เป็นสื่อและอุปกรณ์ประกอบในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้อง กับปริศนา พลหาญ (2549 : 49) ที่กล่าวว่าแบบฝึกภาษาไทยจะทำให้นักเรียนมีทักษะในด้านภาษา ช่วยเสริมทักษะด้านภาษา และให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร และสื่อความหมาย ได้ตรงกัน จากข้อมูลข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาการ เรียนการสอนทุกวิชา โดยเฉพาะการฝึกทักษะทางภาษาในทุก ๆ ด้าน เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการ เรียนรู้ เกิดแรงจูงใจ และสามารถตรวจสอบผลการเรียน ทำให้ทราบความก้าวหน้าและข้อบกพร่อง อันส่งผลต่อทัศนคติและประสิทธิภาพในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี 4.3 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ การสร้างแบบฝึกทักษะที่ดี และสามารถใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั้น ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง หลักการสร้างแบบ ฝึกที่ดี เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกสำหรับครูผู้สอนไว้หลายท่าน ดังนี้ ฉวีวรรณ กีรติกร (2537 : 11) ได้กล่าวถึงหลักในการสร้างชุดฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. ชุดฝึกทักษะที่สร้างขึ้นสอดคล้องกับหลักจิตวิทยาพัฒนาการและลำดับขั้นตอน การเรียนรู้ของผู้เรียน เด็กที่เริ่มเรียนมีประสบการณ์น้อยจะต้องสร้างชุดฝึกหัดที่น่าสนใจและจูงใจ ผู้เรียนด้วยการเริ่มจากข้อที่ง่ายไปหาข้อที่ยากเพื่อให้ผู้เรียนมีกำลังใจทำชุดฝึกหัด 2. ให้ชุดฝึกทักษะที่ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการฝึกและต้องมีเวลาเตรียมการไว้ ล่วงหน้าเสมอ 3. ชุดฝึกทักษะควรมุ่งส่งเสริมนักเรียนแต่ละกลุ่ม ตามความสามารถที่แตกต่างกัน ของผู้เรียน 4. ชุดฝึกทักษะแต่ละชุดควรมีคำชี้แจงง่าย ๆ สั้น ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจหรือมี ตัวอย่างแสดงวิธีทำจะช่วยให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น 5. ชุดฝึกทักษะจะต้องถูกต้อง ครูจะต้องพิจารณาให้มีข้อผิดพลาดได้ 6. ชุดฝึกทักษะควรมีหลาย ๆ แบบเพื่อให้ผู้เรียนได้แนวคิดที่กว้างไกล วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 45) ได้สรุปหลักการสร้างแบบฝึกทักษะดังนี้ 1. ความใกล้ชิด คือ ถ้าใช้สิ่งเร้าและการตอบสนองเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันจะ สร้างความพอใจให้กับผู้เรียน 2. การฝึก คือ การให้นักเรียนได้ทำซ้ำ ๆ เพื่อช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจที่แม่นยำ


16 3. กฎแห่งผล คือ การที่ผู้เรียนได้ทราบผลการทำงานของตนด้วยการเฉลยคำตอบจะ ช่วยให้ผู้เรียนทราบข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไขและเป็นการสร้างความพอใจแก่ผู้เรียน 4. การจูงใจ คือ การสร้างแบบฝึกเรียงลำดับ จากแบบฝึกง่ายและสั้นไปสู่แบบฝึก เรื่องที่ยากและยาวขึ้น ควรมีภาพประกอบและมีหลายรส หลายรูปแบบ ดาวเรือง เมืองพิล (2552 : 42) ได้กล่าวว่า ในการสร้างแบบฝึกนั้นจะต้องใช้หลักจิตวิทยาใน การสร้างเพื่อที่จะทำให้ได้เนื้อหาที่ถูกต้องเหมาะสมกับผู้เรียน ซึ่งจะต้องมีคำอธิบายชี้แจงข้อมูลวิธีการ ทำกิจกรรมอย่างละเอียดชัดเจนเข้าใจง่าย และคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดสูงสุดกับผู้เรียน จากข้อมูลข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะ จะต้องกำหนดจุดประสงค์ใน การสร้างแต่ละแบบฝึกให้ชัดเจน และสร้างให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ แบบฝึกแต่ละชุด ควรมีคำชี้แจงง่ายๆ สั้นๆ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ หากคำชี้แจงนั้นนักเรียนไม่คุ้นเคยอาจมีตัวอย่างแสดง วิธีทำ จะช่วยให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น 4.4 ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี การจัดทำแบบฝึกเพื่อฝึกทักษะทางภาษา ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์นั้นต้องเหมาะสม สอดคล้องกับทักษะที่จะฝึกด้วย ซึ่งมีนักวิชาการกล่าวถึง ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดีไว้หลายท่าน ดังนี้ ไพรัตน์ สุวรรณแสน (อ้างถึงใน จิรพร จันทะเวียง, 2542 : 43) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึก ทักษะที่ดี ไว้ดังนี้ 1. เกี่ยวกับบทเรียนที่ได้เรียนมาแล้ว 2. เหมาะสมกับระดับวัยและความสามารถของเด็ก 3. มีคำชี้แจงสั้น ๆ ที่จะทำให้เด็กเข้าใจ คำชี้แจงหรือคำสั่งต้องกะทัดรัด 4. ใช้เวลาเหมาะสม คือ ไม่ให้เวลานานหรือเร็วเกินไป 5. เป็นที่น่าสนใจและท้าทายความสามารถ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60-61) ได้สรุปไว้ว่า ลักษณะของแบบ ฝึกที่ดีควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความ สอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน และได้สรุปลักษณะของแบบฝึกไว้ ดังนี้ 1. ใช้หลักจิตวิทยา 2. สำนวนภาษาไทย 3. ให้ความหมายต่อชีวิต 4. คิดได้เร็วและสนุก 5. ปลุกความน่าสนใจ


17 6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ได้แนะนำให้ผู้สร้างแบบฝึกให้ยึดลักษณะของแบบฝึกไว้ ดังนี้ 1. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความชัดเจนทั้งคำสั่งและวิธีทำคำสั่งหรือตัวอย่างวิธีทำที่ใช้ไม่ ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถ ศึกษาด้วยตนเองได้ถ้าต้องการ 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึก ลงทุนน้อยใช้ได้นาน ๆ และทันสมัยอยู่เสมอ 3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของ ผู้เรียน 4. แบบฝึกหัดที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมี กิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ และเพื่อฝึก ทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ 5. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความหรือ รูปภาพในแบบฝึกหัดควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพื่อว่าแบบฝึกหัด ที่สร้างขึ้นจะได้ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ได้เร็วในการ กระทำที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ 6. แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้ารวบรวม สิ่งที่พบเห็นบ่อยๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะทำให้นักเรียนสนใจเรื่องนั้นๆ มากยิ่งขึ้นและจะรู้จักความรู้ใน ชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนนั้นมีความหมายต่อเขา ตลอดไป 7. แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมี ความแตกต่างกันหลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและ ประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทำได้ตาม ความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กทุกคนประสบความสำเร็จในการทำแบบฝึกหัด 8. แบบฝึกหัดที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึง หน้าสุดท้าย 9. แบบฝึกหัดที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอและควร ใช้ได้ดีทั้งในและนอกบทเรียน


18 10. แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบที่สามารถประเมิน และจำแนกความเจริญงอกงาม ของเด็กได้ด้วย จากข้อมูลข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ลักษณะของแบบฝึกที่ดี ต้องคำนึงถึงการใช้หลัก จิตวิทยาและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับวัยและความสามารถ ของผู้เรียน ไม่น่าเบื่อ และที่สำคัญต้องกระตุ้นให้นักเรียนสนใจใคร่รู้ มีคำชี้แจงสั้น ๆ ใช้เวลาที่ เหมาะสมและมีความหลากหลาย นักเรียนสามารถฝึกฝนด้วยตนเองได้ อีกทั้งใช้เป็นสื่อพัฒนาทักษะ ความสามารถด้านการเขียนได้เป็นอย่างดี 4.5 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ แบบฝึกทักษะ เป็นสื่อการเรียนรู้ที่อำนวยประโยชน์ต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจาก การศึกษาประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ พบว่า มีนักวิชาการกล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ หลายท่าน ดังนี้ ศศิธร ธัญลักษณานันท์ (2542 : 378) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ 1. เป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วย ลดภาระของครูได้มาก เพราะแบบฝึกเป็นสิ่งที่จัดทำขึ้นอย่างเป็นระบบระเบียบ 2. ช่วยเสริมทักษะทางการใช้ภาษา แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กฝึกทักษะการ ใช้ภาษาให้ดีขึ้น แต่จะต้องอาศัยการส่งเสริมและความเอาใจใส่จากครูผู้สอนด้วย 3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากเด็กมีความสามารถทางภาษา แตกต่างกัน การให้เด็กทำแบบฝึกที่เหมาะสมกับความสามารถของเขาจะช่วยให้เด็กประสบ ความสำเร็จในด้านจิตใจมากขึ้น 4. แบบฝึกช่วยเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทน 5. แบบฝึกที่ใช้จะเป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง 6. แบบฝึกที่จัดทำขึ้นเป็นรูปเล่ม เด็กสามารถเก็บรักษาไว้ใช้เป็นแนวทางเพื่อ ทบทวนด้วยตนเองต่อไป 7. การให้เด็กทำแบบฝึก ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่น หรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ครูดำเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้ทันท่วงที 8. แบบฝึกที่จัดขึ้นนอกเหนือจากที่มีอยู่ในหนังสือแบบเรียน จะช่วยให้เด็กได้ฝึกฝน อย่างเต็มที่ 9. แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยจะช่วยให้ครูประหยัดทั้งแรงงานและเวลาที่จะต้อง เตรียมสร้างแบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนก็ไม่ต้องเสียเวลาลอกแบบฝึกจากตำราเรียน ทำให้มีโอกาส ได้ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ มากขึ้น


19 10. แบบฝึกช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มที่แน่นอนย่อม ลงทุนต่ำกว่าที่จะพิมพ์ลงในกระดาษทุกครั้ง และผู้เรียนสามารถบันทึกและมองเห็นความก้าวหน้าของ ตนเองได้อย่างมีระบบและเป็นระเบียบ นริสรา สุนนทราช (2554 : 35) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดไว้ดังนี้ 1. นักเรียนสามารถฝึกทักษะได้ด้วยตนเอง 2. ช่วยลดภาระการสอนของครู 3. เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ ทำให้นักเรียนสามารถทราบความก้าวหน้าของตนเอง 4. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้หลังจากจบบทเรียน 5. ครูสามารถทราบความก้าวหน้าของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ จนนำไปเป็น แนวทางในการปรับปรุงการสอน จากข้อมูลข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มเติมการใช้ ทักษะทางภาษาให้ดีขึ้น ใช้ภาษาได้ถูกต้อง ช่วยให้ครูมองเห็นความบกพร่องของนักเรียนได้ชัดเจน เห็นความก้าวหน้าของนักเรียนและช่วยให้นักเรียนฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ และเป็นเครื่องมือวัดผลการ เรียนหลักจากเรียนบทเรียนแล้ว นักเรียนสามารถนำไปฝึกฝนนอกเวลาเรียนได้อย่างเต็มที่ มีทัศนคติที่ ดีต่อการเรียนและช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ซึ่งสามารถนำมาเป็นตัวอย่าง และเป็นแนวทางในการศึกษาได้ ดังนี้ ไพบูลย์ มูลดี (2549) ได้วิจัยค้นคว้าเรื่องการพัฒนาแผนจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะการ เขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่าแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 93.11/87.62 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึก ทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยหลังเรียน เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มะลิ อาจวิชัย (2550) ได้สร้างแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง การเขียนสะกดคำไม่ตรงตาม มาตราตัวสะกดแม่กน แม่กด และแม่กบ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านตงยาง กลุ่มโรงเรียนหนองแซง สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเลิงนกทา สำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดยโสธร ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 84.02/84.62ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของนักเรียนซึ่งได้รับการฝึกโดยใช้


20 แบบฝึกการเขียนสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดแม่กด แม่กน และแม่กบ หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ศุภมาส ด่านพานิช(2550) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกด ไม่ตรงมาตราตัวสะกดนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งใช้กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรจำนวน 56 คน ผล ปรากฏว่าประสิทธิภาพของแบบฝึกการเขียนสะกดคำ เรื่องตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา มีประสิทธิภาพ สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 คือ แบบฝึกมาตราแม่กน 96.84/85.20 แบบฝึกมาตราแม่กก 98.54/91.00 แบบฝึกมาตราแม่กด 94.53/88/80 และแบบฝึกมาตราแม่กบ 96.06/88.60 และ นักเรียนร้อยละ 92 ของนักเรียนทั้งหมดทำคะแนนสอบได้ถึงร้อยละ 80 สมพงษ์ ศรีพยาต (2553) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดแบบฝึกการเขียนสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งใช้กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน บ้านห้วยไคร้ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 20 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกการเขียนสะกดคำสำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพสูงกว่า เกณฑ์ และแบบฝึกการเขียนสะกดคำส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องการ เขียนสะกดคำสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คำขวัญ ชูเอียด (2554) ได้พัฒนาแบบฝึกการเขียนตัวสะกดมาตรากก กด กบ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โครงการหลักสูตรภาษาอังกฤษ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายประถม) จำนวน 20 คน ผลการวิจัยพบว่า ได้แบบฝึกทักษะการเขียนตัวสะกดที่มีประสิทธิภาพ 87.13/89.25สูงกว่าเกณฑ์ มาตรฐาน และผู้เรียนกลุ่มตัวอย่างมีทักษะและความสามารถในการเขียนตัวสะกดมาตรา กก กด กบ หลังการใช้แบบฝึกสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงว่า แบบฝึก ทักษะการเขียนตัวสะกดมาตรา กก กด กบ สามารถนำไปใช้จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จิตตพัฒน์ มังกรพันธุ์ (2558) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาหนังสือนิทาน ชุดอีสปกลอนสี่ เพื่อส่งเสริมทักษะการ เขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยเป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนาคประสิทธิ์ อำเภอสามพราน จังหวัด นครปฐม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 43 คนโดยใช้วิธีสุ่ม ตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) กำหนดระยะเวลาในการทดลอง 2 สัปดาห์ สัปดาห์ ละ 4 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ หนังสือนิทานชุดอีสปกลอนสี่ แผนการ จัดการเรียนรู้ แบบวัดทักษะ การเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา และแบบสอบถามความ คิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ โดยใช้หนังสือนิทานชุดอีสปกลอนสี่ ผลการวิจัยพบว่า หนังสือนิทาน ชุดอีสปกลอนสี่ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรง ตามมาตรา


21 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.25/85.90 2. ทักษะการ เขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้ สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และความคิดเห็นของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือ นิทานชุดอีสปกลอนสี่ ในภาพรวมอยู่ใน ระดับเห็นด้วยมาก จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า ภาษาไทยเป็นวิชาทักษะที่ต้อง มีการฝึกฝนบ่อย ๆ การฝึกจากการเรียนรู้ตามปกติไม่เพียงพอ ครูจึงควรใช้สื่อและเทคนิคการสอน ที่เหมาะสมกับเนื้อหาวิชา ซึ่งสื่อสำหรับการเรียนรู้ภาษาไทยที่เหมาะสม คือ แบบฝึกทักษะ จากผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกปรากฏไปในแนวเดียวกันว่า แบบฝึกทักษะสามารถพัฒนาให้ นักเรียนมีพัฒนาการด้านทักษะภาษาไทยได้อย่างดี ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเลือกสร้างแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคำ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราของนักเรียนให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้น 7.การออกแบบแนวทางการพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ มีวิธีการออกแบบนวัตกรรม ดังนี้ 1. ศึกษาปัญหาของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลที่พบในการจัดการเรียนการสอน 2. ศึกษาหลักสูตร เนื้อหาสาระ และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเลือกนวัตกรรมการสอน มาใช้แก้ปัญหามาให้ตรงกับหลักสูตร 3. ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับนวัตกรรมที่นำมาแก้ปัญหาเพื่อเลือกนวัตกรรมให้เหมาะสม 4. ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพการเรียน การ สอน สาระการเรียนรู้ภาษาไทยให้ถูกต้องตามลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ดี 5. ศึกษาและจัดทำแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 6. สร้างแบบประเมินผลการอ่านก่อนเรียน -หลังเรียน 7. ประเมินผลการเขียนก่อนใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 8. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มี ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 9. ประเมินผลการเขียนหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5


22 7.1 ขั้นตอนการออกแบบแบบทดสอบ การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบการเขียนสะกด คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ก่อน - หลังเรียน จำนวน 1 ชุด มีกระบวนการ ดังนี้ 1. ศึกษาคู่มือและแนวทางการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลในชั้นเรียนกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย 2. กำหนดลักษณะของแบบทดสอบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด 3. สร้างแบบทดสอบการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา เป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 30 คะแนน ซึ่งวัดและและประเมินผล โดยใช้เกณฑ์ตอบถูกได้1 คะแนน ตอบผิดได้0 คะแนน 4. นำแบบทดสอบไปให้หัวหน้าวิชาการ พิจารณาตรวจสอบเพื่อความถูกต้องเหมาะสม ทำ การพิจารณาแบบทดสอบที่มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 5. นำแบบทดสอบที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของหัวหน้าวิชาการ ไปใช้กับ นักเรียน 7.2 ขั้นตอนการออกแบบแบบฝึกทักษะ การสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการเขียน สะกดคำ ซึ่งมีลำดับขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาปัญหาการเขียนสะกดคำของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจากผลงานของนักเรียน เช่น สมุด ใบงานในรายวิชาภาษาไทย 2. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะ 3. ศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 4. ออกแบบชุดแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงตามมาตรา เพื่อให้มีเนื้อหา เหมาะสมกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 5. สร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงตามมาตราสำหรับเป็นเครื่องมือให้ นักเรียนทำขณะจัดการเรียนการสอน จำนวน 4 ชุด 12 แบบฝึก ชุดฝึกที่ 1 มาตราตัวสะกดแม่กก ชุดฝึกที่ 2 มาตราตัวสะกดแม่กด ชุดฝึกที่ 3 มาตราตัวสะกดแม่กบ ชุดฝึกที่ 4 มาตราตัวสะกดแม่กน


23 6. นำแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงตามมาตราที่สร้างขึ้น เสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญตรวจแก้ไข 7. ปรับปรุงแก้ไขแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ 8. นำแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดไม่ตรงตามมาตราไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูผู้สอนได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนการเขียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ ตรงตามมาตรา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 10 ชั่วโมง ดังนี้ ชั่วโมงที่ 1 ทำแบบทดสอบก่อนเรียนเรื่องมาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา จำนวน 30 ข้อ ชั่วโมงที่ 2 อธิบายมาตราตัวสะกดแม่กกจากใบความรู้ ชั่วโมงที่ 3 ทำแบบฝึกทักษะมาตราตัวสะกดแม่กก ชั่วโมงที่ 4 อธิบายมาตราตัวสะกดแม่กดจากใบความรู้ ชั่วโมงที่ 5 ทำแบบฝึกทักษะมาตราตัวสะกดแม่กด ชั่วโมงที่ 6 อธิบายมาตราตัวสะกดแม่กบจากใบความรู้ ชั่วโมงที่ 7 ทำแบบฝึกทักษะมาตราตัวสะกดแม่กบ ชั่วโมงที่ 8 อธิบายมาตราตัวสะกดแม่กนจากใบความรู้ ชั่วโมงที่ 9 ทำแบบฝึกทักษะมาตราตัวสะกดแม่กน ชั่วโมงที่ 10 ทำแบบทดสอบหลังเรียนเรื่องมาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา จำนวน 30 ข้อ 9. ผลสำเร็จของการดำเนินงาน 9.1 ผลสำเร็จเชิงปริมาณ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ ร้อยละ 80 ได้รับการพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา 9.2 ผลสำเร็จเชิงคุณภาพ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ ร้อยละ 80 ได้รับการพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สูงขึ้นหลังการเรียนการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะ การทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา


24 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ตารางที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 13 คน การทดสอบ N คะแนนเต็ม − x ก่อนเรียน 13 30 10.00 หลังเรียน 13 30 28.15 ตารางที่ 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รายบุคคล ที่ เลขประจำตัว ชื่อ-สกุล ก่อนเรียน หลังเรียน 1 1014 ด.ญ. เยเม่ไท - 11 29 2 1018 ด.ช. ยะยะพิว - 12 29 3 1025 ด.ช. เซมิ - 12 28 4 1035 ด.ช. ปิปิ - 2 25 5 1040 ด.ญ. มิสุไข - 18 30 6 1044 ด.ญ. สุภาวดี มีบุญ 8 27 7 1052 ด.ญ. แตะแตะทวย - 7 27 8 941 ด.ญ. จาพิว - 5 29 9 944 ด.ญ. แต๊ดมาโช - 21 29 10 966 ด.ช. เยตูยะ - 7 24 11 983 ด.ญ. ธิดา - 9 30 12 984 ด.ช. เชาวนะ - 8 29 13 991 ด.ช. มิวเว พม่า 10 30 ผลรวมคะแนนทั้งหมด 130 366 ค่าเฉลี่ย 10 28.15 จากตารางที่ 1 และตารางที่ 2 พบว่า การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนสะกดคำที่มี ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์ มีคะแนนเฉลี่ย ( X ) ก่อนเรียนเท่ากับ 10.00 และมี ค่าเฉลี่ย ( X ) หลังเรียนเท่ากับ 28.15 พบว่าคะแนนหลังใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าก่อนใช้แบบฝึกทักษะ


25 แสดงให้เห็นว่าการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ทำให้นักเรียนมี ความรู้ ความเข้าใจ และมีผลสมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเพิ่มมากขึ้น 10. สรุปผลการดำเนินงาน การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์” พบว่า การเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงมาตรา ทำให้นักเรียนมีระดับทักษะการเขียนสะกดคำหลัง ใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าก่อนใช้แบบฝึกทักษะ จะเห็นได้ว่าการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา ทำให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเขียนสะกดคำของนักเรียนสูงขึ้น นับได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มี ความเข้าใจ และเขียนสะกดคำได้ดีกว่าการสอนแบบปกติ ดังนั้น แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำจึง เหมาะสำหรับนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเฉพาะการเรียนการสอนเกี่ยวกับ ทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝน จำเป็นจะต้องมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ จริง ได้ฝึกทำซ้ำ ๆ จนเกิดความ เคยชิน และเกิดผลที่ดีตามมา การทำให้ผู้เรียนได้รับผลที่น่าพึงพอใจ ย่อมจะช่วยให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ และนอกจากนี้ยังเห็นสมควรให้นำไปพัฒนาใช้กับ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ต่อไป 11. แนวทางการพัฒนาต่อยอด จัดทำแนวทางการดำเนินงาน การปรับปรุงพัฒนา และการนำนวัตกรรมไปใช้มีการชี้แจง ทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องที่นำนวัตกรรมไปใช้ ให้ความช่วยเหลือระหว่างการนำนวัตกรรมไปใช้ และมีการจัดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในโรงเรียน ส่งผล ให้เกิดการพัฒนาผู้เรียนตามวัตถุประสงค์และมาตรฐานตัวชี้วัด หลังจากการดำเนินงานตามกรอบการ ทำงานที่เสร็จสิ้นแล้ว ผู้พัฒนานวัตกรรมจึงนำเสนอ ผลการใช้นวัตกรรมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อสำรวจถึงความคิดเห็นต่อผลการใช้นวัตกรรมและความเป็นไปได้ในการนำแนวคิดของการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธีสอนโดยการใช้แบบฝึกทักษะในการแก้ปัญหาและพัฒนานักเรียน ให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และเป็นประโยชน์ในการเรียนวิชาอื่นต่อไป 12. การเผยแพร่นวัตกรรม 1. ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ของโรงเรียนบ้านเขานางหงส์


26 ภาคผนวก (หลักฐาน/ร่องรอยการดำเนินการพัฒนานวัตกรรม และการนำนวัตกรรมไปใช้)


27 แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน คำชี้แจง แบบทดสอบนี้มี ๓ ตอน ตอนที่ ๑ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ จำนวน ๒๐ ข้อ ตอนที่ ๒ แบบทดสอบคำที่มีตัวสะกดต่างจากมาตราอื่น จำนวน ๕ ข้อ ตอนที่ ๓ แบบทดสอบเลือกคำตอบตรงกับความหมาย จำนวน ๕ ข้อ ตอนที่ ๑ ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. คำในข้อใดมีตัวสะกดมาตราแม่กก ก. กัมปนาท ข. ลิขสิทธิ์ ค. ปรารถนา ง. ประโยค ๒. คำในข้อใดมีตัวสะกดมาตราแม่กบ ก. วิทยาศาสตร์ ข. ไวรัส ค. รูปภาพ ง. กล้าหาญ ๓. คำในข้อใดมีตัวสะกดมาตราแม่กดและมาตราแม่กน ก. เศรษฐกิจ ข. ภัยพิบัติ ค. ตักบาตร ง. ทศกัณฑ์ ๔. คำในข้อใดมีตัวสะกดมาตราแม่กด ก. สัมภาษณ์ ข. สร้างสรรค์ ค. สามัคคี ง. สหกรณ์ ๕. คำในข้อใดมีตัวสะกดในมาตราแม่กดและแม่กน ก. คำนวณ ข. สัญลักษณ์ ค. กฎเกณฑ์ ง. ประสูติ ๖. คำในข้อใดสะกดในมาตราแม่กดทั้ง ๒ คำ ก. ประมุข ข. ผลิตภัณฑ์ ค. เพชฌฆาต ง. ลิขสิทธิ์ ๗. คำในข้อใดเขียนผิด ก. สาธารณสุก ข. สมานมิตร ค. จินตนาการ ง. ทัศนาจร ๘. คำในข้อใดเขียนผิด ก. ปฏิเสธ ข. อุทาหรณ์ ค. นมัสกาล ง. ปรัชญา แบบทดสอบเรื่องการเขียนสะกดคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเขานางหงส์


28 ๙. คำในข้อใดเขียนผิด ก. นงคราญ ข. ฆราวาส ค. โทรศัพย์ ง. บันดาล ๑๐. คำในข้อใดเขียนผิด ก. นมัสการ ข. วิญญาณ ค. วัชพืช ง. สูจิบัตร ๑๑. กองขยะเป็นแหล่งรวม............................ ควรเติมคำใดลงในช่องว่างให้ถูกต้อง ก. เชื้อโรก ข. เชื้อโรค ค. เชื้อโลก ง. เชื้อโลค ๑๒. แม่................................สิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ควรเติมคำใดลงในช่องว่าง ให้ถูกต้อง ก. บอริจาก ข. บริจาก ค. บริจาค ง. บลิจาค ๑๓. เมื่อคืนฉันฝันว่าเทวดามา.........................................ร่างให้ฉันเห็นในห้องนอน ควรเติม คำใดลงช่องว่างให้ถูกต้อง ก. ปรากด ข. ปรากฎ ค. ปรากฏ ง. ปรากส ๑๔. คุณยายชอบใส่........................................ในตอนเช้าทุกวัน ควรเติมคำใดลงในช่องว่างจึง จะถูกต้อง ก. ใส่บาท ข. ใส่บาด ค. ใส่บาต ง. ใส่บาตร ๑๕. คนเราแต่ละคนนั้นจะมี....................................... วาสนาต่างกัน ควรเติมคำใดลงใน ช่องว่างจึงจะถูกต้อง ก. โชกลาบ ข. โชคลาป ค. โชคลาภ ง. โชกลาภ ๑๖. .........................................เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ใช้พูดถึงกันได้ในระยะไกล ควรเติมคำ ใดลงในช่องว่างจึงจะถูกต้อง ก. โทรสับ ข. โทรศัพท์ ค. โทรศัพย์ ง. โทรศัพษ์


29 ๑๗. กองทัพทหารไทยโจมตีค่ายพม่าแตก............................... ควรเติมคำใดลงในช่องว่างจึง จะถูกต้อง ก. แหลกลาณ ข. แหลกราณ ค. แหลกลาญ ง. แหลกลาน ๑๘. ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นพื้นที่แห้งแล้ง..................................มาก ควรเติมคำใดลงในช่องว่างจึง จะถูกต้อง ก. กันดาร ข. กันดาล ค. กันดาน ง. กันดาณ ๑๙. พยัญชนะใดเป็นมาตราตัวสะกดเดียวกันทั้งหมด ก. ก จ ด ข. ญ ณ ฬ ค. ฒ ฆ ฑ ง. ภ ฟ ม ๒๐. พยัญชนะใดเป็นมาตราตัวสะกดเดียวกันทั้งหมด ก. ซ ช ล ข. ศ จ ฒ ค. ฐ ฆ ศ ง. น ญ ร ตอนที่ ๒ วงกลมคำที่มีตัวสะกดต่างจากพวก ๑. สุภาษิต ฤดูกาล เทศบาล สำราญ ทารุณ ๒. อุปสรรค ยุโรป อนุรักษ์ บริจาค วิพากษ์ ๓. ผนวช อัปลักษณ์ ประยุกต์ ฤกษ์ โชค ๔. มิ่งขวัญ ใจทมิฬ อาวุธ สุขสันต์ อัญเชิญ ๕. ประสูติ ฝรั่งเศส ฝีดาษ จลาจล สัมผัส ตอนที่ ๓ เลือกคำที่กำหนดให้เติมลงในช่องว่างให้ตรงกับความหมาย เอกราช ศัลยแพทย์ วรรณยุกต์ พิพิธภัณฑ์ ธนบัตร ๑.............................................. เครื่องหมายแสดงเสียงสูง ต่ำ ของคำในภาษาไทย ๒..............................................แพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ผ่าตัด ๓...............................................สถานที่รวบรวมหรือแสดงสิ่งต่างๆ ที่มีความสำคัญด้าน วัฒนธรรมหรือวิทยาศาสตร์ ๔..............................................ความเป็นอิสรภาพ ไม่ขึ้นกับใคร ๕..............................................สิ่งที่ใช้แทนเงินตรา ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ออกให้ใช้ชำระหนี้ได้ตาม กฎหมาย


แบบฝึกทักษะ มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา 30


31 แบบฝึกทักษะ มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา


32 แบบฝึกทักษะ มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา


33 แบบฝึกทักษะ มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา


แบบฝึกทักษะ มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา 34


แบบฝึกทักษะ มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา 35


36 แบบฝึกทักษะ มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา


37 แบบฝึกทักษะ มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา


38 ภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา


39 ภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา


40 ภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา


41 ภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา


42 ภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา


43


Click to View FlipBook Version