The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงร่างการวิจัยในชั้นเรียน ข้าวหลาม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suktanut2543203, 2022-05-16 04:21:27

โครงร่างการวิจัยในชั้นเรียน ข้าวหลาม

โครงร่างการวิจัยในชั้นเรียน ข้าวหลาม

1

โครงรา่ งวจิ ยั ในช้ันเรียน

เร่อื ง
การศกึ ษาคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 1

โรงเรียนวดั สาลวัน จงั หวดั นครปฐม

โดย
นางสาวศกุ ทนุช เกษมไพโรจน์
สาขาวชิ าการสอนสงั คมศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์

เสนอ
อาจารย์ณทิพรดา ไชยศิลป์

ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564
รายงานน้ีเปน็ สว่ นหนง่ึ ของวชิ าการวิจยั ในวิชาสงั คมศึกษา (ED1148)

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย



คานา

งานวิจัยในช้ันเรียนฉบับนี้ผู้วิจัยได้แรงจูงใจจากการไปฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา
พบว่าสถานการณ์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิค 19 ทาให้ส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาและ
นักเรียน ทาให้สถานศึกษามีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ On Line หรือการเรียนในรูปแบบ
ออนไลน์อื่นๆ และพบว่านักเรียนไม่สามารถทาใบงานท่ีได้รับมอบหมายได้ ทาให้เกิดภาวะอาการ
เครียด และเครอ่ื งมือในการสื่อสารนักเรยี นบางคนไมม่ ี จึงทาใหผ้ ู้บริหารสถานศึกษาและคุณครูอยาก
ทราบการวดั คุณลักษณะอันพึงประสงค์ระหว่างการเรียนออนไลน์หรอื ออนไซส์ มีคุณลักษณะอันพีง
ประสงค์ทดี่ กี วา่ กัน

หวังวา่ งานวิจยั เรอ่ื งนี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านเพื่อเป็นแนวทางในการทาวจิ ยั ในช้นั เรียน
ไดบ้ า้ งตามสมควร การดาเนินการวิจัยในชัน้ เรยี นในครงั้ นี้

ผ้วู ิจัยขอขอบพระคุณ อาจารย์ณทิพรดา ไชยศิลป์ ทีก่ รุณาให้คาแนะนาการทาวิจัยครั้งน้ี
ใหส้ าเรจ็ ลงด้วยดี

นางสาวศกุ ทนชุ เกษมไพโรจน์
นกั ศึกษา สาขาการสอนสังคมศึกษา
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลัย

สารบญั ข

เรอ่ื ง หน้า
คานา ก
สารบัญ ข
1
ชอ่ื เรือ่ งวจิ ยั 1
ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา 3
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 3
สมมุติฐานการวจิ ัย 3
ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ 4
ขอบเขตการวจิ ัย 4
เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้อง 34
วิธดี าเนนิ การวิจัย 35
แบบแผนการวจิ ยั (ระยะเวลา) 36
เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัย 36
การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครอื่ งมือการวิจัย 37
สถิตทิ ี่ใช้ในการวจิ ัย 38
บรรณานกุ รม 39
ภาคผนวก

1

โครงร่างวิจัยในชั้นเรียน

1. ช่อื เรื่องวจิ ยั

การศึกษาคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ของนักเรียน ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนวัดสาล
วัน จังหวดั นครปฐม

2. ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา

รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 54 (2560 : 14) กาหนดให้รัฐต้อง
ดาเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา เพ่ือพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย
อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสรมิ และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น
และภาคเอกชนเขา้ มามีสว่ นร่วมในการดาเนินการด้วย และดาเนินการให้ประชาชนได้รบั การศึกษา
ตามความต้องการในระบบตา่ งๆ รวมท้งั ส่งเสริมใหม้ ีการเรียนรู้ตลอดชีวติ และจัดให้มี การร่วมมือกัน
ระหวา่ งรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทกุ ระดับ โดยรัฐมหี น้าท่ี
ดาเนินการ กากับ ส่งเสริมและสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพได้ มาตรฐานสากล
และดาเนินการให้เป็นไปตามแผนการศกึ ษาแห่งชาติด้วย โดยระบวุ ่าการศึกษาท้ัง ปวงตอ้ งม่งุ พัฒนา
ผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเช่ียวชาญได้ตามความถนัดของ ตน และมีความ
รบั ผิดชอบต่อครอบครวั ชมุ ชน สังคม และประเทศชาติ

พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทแ่ี กไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545
(สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2545 : 13-16) ได้กล่าวไว้ใน มาตราท่ี 23 24 และ 26
เก่ียวกับการจัดการศึกษาสรุปได้ว่า ต้องเน้นความสาคัญท้ังด้านความรู้และคุณธรรม การจัด
กระบวนการเรียนรู้ต้องบูรณาการความรู้ด้านต่าง ๆ เช่น ความรู้ท่ีเก่ียวข้องกับตนเอง ทักษะทาง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย ทักษะในการประกอบ
อาชีพและการดารงชีวิตอย่างมีความสุข โดยผสมผสานสาระความรู้เหล่าน้ันให้ได้สัดส่วนสมดุลกัน
รวมทัง้ ตอ้ งปลูกฝงั คณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ มท่ีดีงาม และคณุ ลักษณะที่พงึ ประสงคไ์ วใ้ นทกุ วิชา และ
ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียน โดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การ
สงั เกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบ ควบคู่ไปกบั กระบวนการเรียนการ สอน
ตามความเหมาะสมในแตล่ ะระดบั และรปู แบบการศกึ ษา

2

ดังน้ัน กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 53) จึงมีนโยบายปฏิรูปการศึกษา โดยยึดหลัก
คุณธรรมนาความรู้ มุ่งม่ันขยายโอกาสทางการศึกษา ให้เยาวชนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่าง
กว้างขวางและทั่วถึง โดยคานึงถึงการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน ครอบคลุมท้ังด้านพฤติกรรม จิตใจ
และปัญญา นอกเหนือจากการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา นอกจากน้ียังส่งเสริม และ
สรา้ งความตระหนกั ให้ผเู้ รียนมีจิตสานึกในคุณค่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ความสมานฉันทส์ ันติ
วธิ ี และวถิ ีประชาธิปไตย

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ( พ.ศ.2560 - 2564) (2559 : 4-5)
ไดช้ ใี้ ห้เห็นถึงความจาเป็นในการปรบั เปลยี่ นจุดเนน้ ในการพฒั นาคณุ ภาพคนในสงั คมไทยโดยยึด “คน
เปน็ ศูนย์กลางการพัฒนา ” มุ่งสรา้ งคณุ ภาพชีวติ และสุขภาวะท่ีดีสาหรับคนไทย พฒั นาคน ให้เปน็ คน
ท่ีสมบูรณ์ มีวินัย ใฝ่รู้ มีความรู้ มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ มีทัศนคติที่ดี รับผิดชอบ ต่อสังคม มี
จริยธรรมและคุณธรรม มีความพร้อมท้ังด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และศีลธรรม สามารถก้าว
ทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อนาไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนาคน ดังกล่าว คือ มุ่ง
เตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพ้ืนฐานจิตใจที่ดีงาม มีทักษะและทัศนคติที่เป็นค่านิยมท่ี ดี มีสุขภาพ
รา่ งกายและจิตใจท่ีสมบูรณ์ มีความเจริญเติบโตทางจิตวญิ ญาณ มีจิตสาธารณะและ ทาประโยชน์ต่อ
สว่ นรวม พรอ้ มทั้งมีสมรรถนะ ทักษะและความรู้พน้ื ฐานที่จาเปน็ ในการดารงชีวติ อันจะส่งผลตอ่ การ
พัฒ นาประเทศอย่างมั่น คงและยั่งยืน ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบาย ของ
กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 2) ในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่ง
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ มีทักษะด้าน
เทคโนโลยี สามารถทางานรว่ มกับผู้อน่ื และสามารถอยรู่ ว่ มกบั ผู้อนื่ ในสังคมโลกได้ อยา่ งสนั ติ

คุณ ลักษณ ะอันพึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับ ผู้เรียนอันเป็นคุณ ลักษณ ะท่ีสั งคม
ต้องการ ในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสานึก สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมี
ความสุข มีคุณภาพด้านความรู้และทักษะทจี่ าเปน็ สาหรับการดารงชีวิตในสังคมที่มีการ เปลย่ี นแปลง
และแสวงหาความรู้เพ่ือพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ัน
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ 8 ประการ ได้แก่ รักชาติ ศาสน์
กษัตริย์ ซ่ือสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรยี นรู้ อยู่อย่างพอเพียง ม่งุ ม่นั ในการทางาน รกั ความ เป็นไทย มีจิต
สาธารณะ เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุล ทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกใน ความเป็น
พลเมืองไทยและพลโลกยึดมัน่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษตั ริย์ทรงเป็น
ประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและ
การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และ
พัฒนาตนเองไดเ้ ต็มศักยภาพ

3

ซ่ึงในการพัฒนาให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ต้องอาศัยองค์ประกอบด้วยกันหลาย
ด้านทง้ั หน่วยงานภาครัฐที่เก่ียวข้องสถานศึกษาบุคลากรท้ังในและนอกสถานศึกษาท่ีจะมีส่วนร่วมใน
การปลกู ฝังคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคใ์ ห้เกดิ แกผ่ ู้เรยี นอย่างตอ่ เนอ่ื ง จงึ ต้องพิจารณาถงึ กจิ กรรมต่างๆ
ทส่ี ถานศึกษากาหนดให้จดั ขึน้ แล้วส่งผล ต่อการพัฒนานกั เรยี นให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์

จากความเป็นมาและความสาคญั ดังกลา่ วจะเหน็ ไดว้ ่า คุณลักษณะอันพึงประสงคเ์ ป็นส่งิ ที่
ควรปลูกฝังให้กับผู้เรียน ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความต้องการที่จะศึกษาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ
นกั เรียนในระดับช้ันประถมศึกษา เน่อื งจากนักเรียนในวยั นีจ้ ะใช้เวลาเตม็ วันอยู่ทโ่ี รงเรยี นจึงเป็นการ
ออกสู่สังคมภายนอกอย่างจริงจังเด็กจะได้เรียนรู้ในทุกๆดา้ น โดยเฉพาะการปรบั ตัวที่โรงเรียน 1 ท้ัง
เรื่องการเรียนการอยู่ในกฎระเบียบความสัมพันธ์กับเพ่ือนจะมีพัฒนาการที่รวดเร็วทั้งร่างกายจิตใจ
ความคดิ การใช้ภาษามีพฒั นาการของตนเอง ซงึ่ อาจสง่ ผลตอ่ การเกิดพฤติกรรมท้ังทพ่ี ึงประสงค์ และ
ไม่พึงประสงค์ โดยผู้วจิ ัยจะศึกษาคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ของนักเรียนในสภาพความเป็นจรงิ เพื่อ
จะนาข้อมูลที่ได้จากการวิจัยมาใช้เป็นแนวทางในการปลูกฝังอบรมคุณธรรมจริยธรรม และ
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และแกป้ ัญหาให้กบั ผเู้ รียนรวมทง้ั เปน็ การพัฒนาผเู้ รียนให้เป็นคนเกง่ คนดี
และเป็นทย่ี อมรบั ของสังคมตอ่ ไปในอนาคต

3. วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย

1. เพ่ือศึกษาระดับความคิดเห็นของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวดั สาลวัน
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์

2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่1/1โรงเรียนวัดสาลวนั ที่มเี พศตา่ งกนั

4. สมมติฐานการวิจยั

ความคดิ เห็นของนักเรยี นต่อคุณลกั ษณะอันพึงประสงคข์ องนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่
1/1 โรงเรยี นวดั สาลวนั จังหวัดนครปฐม ทม่ี เี พศ แตกต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน

5. ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะไดร้ ับ

5.1 ได้สารสนเทศของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในสภาพความเป็นจริงของนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีท่ี 1/1 โรงเรยี นวดั สาลวัน

5.2 ได้สารสนเทศของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1/1
โรงเรยี นวัดสาลวัน ท่มี เี พศตา่ งกัน

4

5.3 ผทู้ ่ีเก่ียวข้องสามารถนาผลการศกึ ษาไปเป็นสารสนเทศในการจดั กิจกรรมเพื่อส่งเสริม
และ ปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้กับนักเรียน เพอื่ ให้นักเรียนเกดิ คณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ได้
อย่างเหมาะสม

6. ขอบเขตการวจิ ยั

กลมุ่ ประชากร นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 ห้องประถมศกึ ษาปที ่ี 1 ของโรงเรียนวัด
สาลวัน

6.1 ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง
ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 ท่ีเรียนรายวิชาสังคมศึกษา

ศาสนา และวัฒนธรรม รหสั ส11101 ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 21 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนวัดสาลวัน ระดับประถมศึกษาช้ันปีท่ี 1 ปี

การศกึ ษา 2564 จานวน 21 คน ไดม้ าโดยการส่มุ แบบเจาะจง
6.2 ตัวแปรท่ีใช้ในการวจิ ัย
ตวั แปรต้น ได้แก่ เพศ คอื เพศชายและเพศหญงิ
ตัวแปรตาม ได้แก่ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลาง

การศึกษา ขั้นพ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551 ประการ ดังน้ี 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซ่ือสตั ยส์ ุจริต 3.
มวี นิ ัย 4. ใฝ่เรยี นรู้ 5.อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทางาน 7. รกั ความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ

7. เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้อง

7.1 ความหมายของคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
7.2 ความสาคัญของคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
7.3 แนวคิดท่ีเกย่ี วกบั คุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์

1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซือ่ สัตยส์ จุ รติ
3. มีวินยั
4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มุ่งม่นั ในการทางาน
7. รกั ความเป็นไทย
8. มจี ติ สาธารณะ

5

7.4 แนวทางการพัฒนานักเรยี นใหม้ คี ณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
7.5 ทฤษฎที ี่เกยี่ วกบั คุณลักษณะอันพึงประสงค์
7.6 หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551
7.7 งานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้อง

7.1 ความหมายของคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
พรพรรณ สูทธานนท์ (2538 : 25) กล่าวว่า คุณลักษณะ หมายถึง แบบอย่างแห่ง
พฤตกิ รรม หรอื ส่ิงทปี่ รากฏใหเ้ หน็ ช้หี รือแสดงถงึ ความดหี รอื ลักษณะประจาของบุคคล
ภาณุภัทร ลิ้มจารูญ (2551 : 9) ได้ให้ความหมายของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ว่า
หมายถึง ส่ิงท่ีบุคคลยึดถือปฏิบัติ โดยบุคคลส่วนใหญ่เห็นว่าดีงาม ถูกต้อง และเกิดประโยชน์ต่อ
ตนเองและ สังคม ตามทสี่ ถานศกึ ษาและสงั คมตอ้ งการ
นาดยา รัศมี (2552 : 10) ไดให้ความหมายของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ว่า หมายถึง
สิ่งท่ี ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน โดยเฉพาะต้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม เพ่ือนามาเป็น
ตัวกาหนดทศิ ทางและจุดเนน้ ในการดาเนินงานของสถานศึกษา
กุหลาบ พงษ์เททิน (2553 : 18) ได้ให้ความหมายของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ว่า
หมายถึง พฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียน ที่บ่งบอกให้เห็นอุปนิสัยที่ดี มคี ุณธรรม จริยธรรม และ
ค่านิยมท่ีดีงาม ความลูกต้อง ท่ีมีอยู่ภายในจิตใจของผู้เรียน ท่ีสถานศึกษากาหนดข้ึนเพ่ือพัฒนา
ผู้เรียน พฤติกรรมนั้นแสดงออกในส่ิงที่ดีงามจนเคยชิน เป็นกิจนิสัย และลักษณะนิสัย สามารถ
นาไปใชไ้ นชวี ติ ประจาวนั และอยู่ร่วมกับผอู้ นื่ ในสงั คมได้อยา่ งมคี วามสุข
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 :253)ได้ให้ความหมายของ
คุณลกั ษณะไวว้ า่ หมายถึง เครื่องหมายหรอื สง่ิ ทีช่ ใี้ หเ้ ห็นความดหี รือลกั ษณะประจาตัวชัดเจน
จากความหมายของคุณลักษณะข้างต้นสรุปได้ว่า คุณลักษณะอันพึงประสงค์หมายถึง
พฤติกรรมทค่ี าดหวังใหเ้ กิดกบั บคุ คล ซึ่งจะตอ้ งเปน็ พฤติกรรมทดี่ ีทสี่ งั คมต้องการ
7.2 ความสาคัญของคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ความสาคัญของคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
จากสถานการณ์และสภาพบ้านเมืองประเทศไทยในปัจจุบันเป็นหลักฐานท่ีประจักษ์โดย
ทั่ว กนั แลว้ วา่ การทีป่ ระเทศนุ่งพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอยา่ งมาก แมจ้ ะกอ่ ให้เกิดการพฒั นาทางดา้ น
เศรษฐกจิ และความเจริญทางด้านวตั ถุอย่างเหน็ ไดช้ ัด แต่ความเจริญและการพัฒนาน้ันก็มิได้เป็นไป
อยา่ งย่ังยืน นอกจากน้ันการพัฒนาประเทศโดยนุ่งความพัฒนาเจริญทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้า
ทางเทคโนโลยอี ยา่ งรวดเร็ว โดยขาดความสมดลุ กบั การพัฒนาทางด้านจิตใจ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และ

6

ค่านิยม ยังได้ก่อให้เกิดปัญหาท่ีส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนในประเทศจานวน
มาก ผลของความเจริญทางด้านวัตถุทขี่ าดการพัฒนาทางจิตใจเป็นท่ีมาของปัญหาสังคมทดี่ ูเหมือนจะ
ทวี ความรุนแรงข้ึนเรื่อยๆ อาทิ เช่น ปัญหาเสพติดอาชญากรรม ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและ
ทรัพย์สิน ปัญหาการทุจริต ปัญหาแหล่งอบายมุข การใช้แรงงานและละเมิดสิทธิเด็ก ปัญหาแหล่ง
เสือ่ มโทรม มลภาวะเปน็ พิษ ปัญหาการจราจรและอบุ ตั ิเหตุ รวมท้งั ปัญหาสขุ ภาพ ท้ังทางกายและทาง
จิตเหล่านี้ ล้วนเป็นปัญหาที่เป็นผลพวงของการพัฒนาทางวัตถุอย่างขาดความสมดุลกับการพัฒนา
ทางดา้ น จิตใจทง้ั สิ้น ปัญหาเหล่านี้สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ ความเสื่อมโทรมของสังคม

เน่ืองจากการศึกษาบทบาทสาคญั ต่อการแกป้ ัญหาสังคมและการพัฒนาประเทศจึงควรมี
การพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนของ
ประเทศอันจะช่วยให้เกิดการพัฒนาจิตใจ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปในทางที่เหมาะสม ซึ่ง
จะก่อให้เกิดสันตสิ ขุ ในสงั คมได้อย่างแทจ้ รงิ

ในแต่ละภาคเรียนหรือปีการศึกษา ครูผู้สอนต้องจัดให้มีการวัดและประเมินผลรวมด้าน
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผเู้ รียน โดยเป็นการประเมินเชิงวินิจฉัยเพ่ือการปรบั ปรุงพฒั นาและการ
ส่งต่อในแต่ละช่วงช้ันสถานศึกษาต้องจัดให้มีการวัดและประเมินผลรวมด้านคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ของผูเ้ รยี น เพอื่ ทราบความก้าวหน้าและพัฒนาการของผู้เรียนสถานศึกษาจะได้นาไปกาหนด
แผนกลยุทธ์ในการปรับปรุงพัฒนา คุณลักษณะของผู้เรียนให้เป็นไปตามเป็นหมายที่กาหนด การ
ประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์เป็นเงื่อนไขหน่ึงท่ีผู้เรยี นทกุ คนต้องผ่านการ ประเมินตามเกณฑ์ท่ี
สถานศึกษากาหนด จึงจะได้รับการตัดสินให้ผ่านช่วงชั้นการประเมินดังกล่าว เป็นการพัฒนาผู้เรยี น
เพ่ิมเติมจากคุณลักษณะที่กาหนดไว้ในกลุ่มสาระการเรียนรุ้ทุกกลุ่ม เพ่ือเป็น การสร้างเอกลักษณ์
เกี่ยวกับคุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมในการดารงชวี ิตของผเู้ รยี นให้ สอดคลอ้ งกบั สภาพท้องถ่ินและ
ทางานรว่ มกบั ผู้อ่นื ไดอ้ ย่างมคี วามสุข

สรุป ได้ว่าต้องเน้นความสาคัญทั้งความรู้และคุณธรรม การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้อง
บูรณาการความรู้ด้านต่าง ๆ เช่น ความรู้เกี่ยวกับตนเอง ทักษะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย ทักษะในการประกอบอาชีพและการดารงชีวิตอย่างมี
ความสุข โดยต้องผสมผสานสาระความรู้เหล่านั้นให้ได้ลัดส่วนสมดุลกัน รวมท้ังปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรม คา่ นิยมทดี่ งี าม

7.3 แนวคิดท่ีเก่ยี วกบั คณุ ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์
1. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
สมหวัง พิธียานุวัฒน์ และคณะ (2541 : 9-10) เสนอแนา แนวคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะ
ของคน ไทยในอนาคตไวว้ ่า คนไทยจะมีพัฒนาการสมวัย มีสุขภาพดี มีสมรรถภาพทางกายสมบูรณ์มี
สุขนิสัยที่ดี มีมนุษย์ สัมพันธ์อันดี มีความเป็นประชาธิปไตย มีความรู้ทักษะทางเทคนิคสามารถใช้

7

เครือ่ งมอื และวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยไี ด้อยา่ งคล่องแคล่ว ท่ีสาคญั ควรต้องมคี วามสามารถ
ใน การปรับตัวได้อย่างผสมผสานในลักษณะต่างข้ัวมิติต่างๆ เพ่ือหาจุดท่ีสมดุลระหว่างคุณลักษณะ
ดังต่อไปน้ี เพอื่ จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย และสังคมโลกในอนาคต คอื

1. การเป็นผู้นาท่ดี แี ละการเปน็ ผตู้ ามทีด่ ี
2. การรกั ธรรมชาติ ศิลปะและการรักวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี
3. การมชี วี ติ รจู้ ักพอและการมีชวี ติ แข่งขันกนั เอาตวั รอดเพอื่ ประโยชน์สงู สดุ
4. การร่วมมอื กัน และการแข่งขันกัน
5. คา่ นยิ มความเสมอภาค และค่านยิ มเก็งกาไร มุง่ ประโยชนส์ ว่ นตน
6. การเหน็ คุณคา่ ภูมิปัญญาท้องถ่นิ และคุณค่าของวทิ ยาการสมัยใหม่
7. การอยากเรยี นเพ่ือรู้ และการอยากเรยี นเพอื่ ปริญญา เพอ่ื อาชีพ
8. การเรยี นรูล้ กึ ซ้งึ และการเรียนรู้กวา้ งขวางหลายสาขา รรู้ อบตัว
9. การหวงแหนวัฒนธรรมไทยและการรับวฒั นธรรมต่างชาติ
10.ความสามารถในการทางานเปน็ ทมี และความเป็นปจั เจกชน
พิชัย บุญมาหนองคู ศิริ ถือาสนาและวุฒิกร สายแก้ว (2557 : 52) ได้กล่าวไว้ว่า
นักเรียนและเยาวชนเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างย่ิงต่อการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต
จาเป็นต้องมีการปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้เกิดขึ้นภายในตัวนักเรียนทั้งความรู้ และ
คุณธรรม การปลูกฝังบ่มเพาะให้นักเรียนมีความรู้คู่คุณธรรม จาเป็นต้องกระทาต้ังแต่วัยเด็ก และ
เป็นไปตามธรรมชาติ การหล่อหลอมต้องอาศัยระยะเวลา มีความอดทน และต้องอาศัยความร่วมมือ
จากหลายฝ่าย โดยเนน้ ให้เด็กไดเ้ รียนรู้ ได้ปฏบิ ัติ และพัฒนาตนเองผา่ นกระบวนการทางวัฒนธรรม ท่ี
เสรมิ สรา้ งปัญญาโดยใชห้ ลกั เมตตาธรรมในการดารงชีวติ
อัจศรา ประเสริฐสิน (2558 : 57) ได้กล่าวไวว้ ่า นโยบายการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน
ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่าน้ัน หากแต่ยังมุ่งเน้นด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ของผู้เรียนทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วย จิตใจดว้ ย ดังพระราชบญั ญัตกิ ารจดั การศึกษามาตรา 8 และ
มาตรา 25 ได้กล่าวถึงแนวทางการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสาหรับผู้เรียน และในมาตรา 66 ได้
กลา่ วถึงการ พฒั นาผเู้ รียนเพ่ือการศกึ ษาอย่างต่อเน่ืองดว้ ยตนเองตลอดชีวติ มุง่ พัฒนาให้คนเปน็ คนที่
สมบูรณ์ และสมดุลท้ังด้านจิตใจ ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้
ผู้เรยี นมี ความรู้ ความสามารถ ท้งั ทางดา้ งด้านวิชาการและวิชาชวี ิต
จาเนียร แสงเสนา และวิทยา จันทร์ศิลา (2561 : 26) ได้กล่าวไว้ว่า การขาด
คณุ ลักษณะ อนั พึงประสงคจ์ ะสง่ ผลกระทบต่อบคุ คลคือสรา้ งความเดอื ดร้อนใหก้ ับตนเองและผอู้ ่ืน ก่อ
ปัญหา ด้านอาชญากรรม การทะเลาะวิวาท การขโมย ส่ิงเสพติด การประทุษร้ายต่อชีวิต และ
ทรัพย์สิน ชุมชนอ่อนแอ การสร้างเด็กและเยาวชนซ่ึงเป็นวัยท่ีต้องให้ความสาคัญกับการปลูกฝังให้มี

8

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้วยวิธีการต่างๆ จะทาให้เด็กมีจิตใจท่ีเห็นแก่ประโยชน์
ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน รู้จักแบ่งปัน มีจติ ใจโอบอ้อมอารี มีจิตสาธารณะ มีความรักชาติ
ดาเนิน ชีวิตตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ซง่ึ การพฒั นาและเสริมสรา้ งคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ควร เร่มิ จากเดก็ ในวัยเรยี นเพราะเปน็ วัยท่จี ะเรียนร้แู ละจดจาไดง้ า่ ย

สรุปความว่า คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของคนไทยไว้ว่า คนไทยจะมีพัฒนาการสมวัย มี
สุขภาพดี มสี มรรถภาพทางกายสมบูรณม์ ีสขุ นิสัยท่ีดี มีมนุษยส์ ัมพันธ์อันดี มีความเป็น ประชาธิปไตย
มีความรู้ทักษะทางเทคนิค สามารถใช้เคร่ืองมือและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีไค้อย่าง คล่องแคล่ว ที่
สาคัญควรต้องมีความสามารถในการปรับตัวไค้อย่างผสมผสานในลักษณะต่างข้ัวมิติ ต่างๆ มีความ
สมบูรณ์พร้อมท้ังค้านร่างกาย จิตใจ ปัญญา อารมณ์ สังคม และทักษะความสามารถ ตลอดจน
พฤตกิ รรมที่แสดงออกตอ้ งสามารถเป็นแบบอยา่ งที่ดีแกผ่ อู้ น่ื ได้

2. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
หมายถึง คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ท่ีแสดงออกถงึ การเป็นพลเมอื งดขี องชาติ ธารงไว้ 'ชง
ความเป็นชาติ ศรัทธายึดม่ันในศาสนา และเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้ที่มีลักษณะ ซึ่ง
แสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดีของชาติ มีความสามัคคีปรองดอง ภูมิใจ เชิดชูความเป็นชาติไทย
ปฏบิ ตั ิตนตามหลักศาสนาทีต่ นนับถอื และแสดงความจงรักภกั ดตี อ่ สถาบันพระมหากษตั รยิ ์
สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2530 : 9-10) ได้วางแนวทางปฏิบัติ ตาม
คา่ นยิ มพน้ื ฐาน ไว้ตงั นค้ี ือ มีความรกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ประกอบดว้ ยลักษณะย่อยตังน้ี
1. สถาบนั ชาติ

- ศกึ ษาใหเ้ ข้าใจประวัติและการดารงอย่ขู องชาติ
- สอดลอ่ งปองกนั ภยั และแกไ้ ขความเสียหายที่กระทบกระเทือนความมั่นคง ของชาติ
- ปองกนั และรกั ษาผลประโยชนข์ องชาติ
- สง่ เสริมและรกั ษาเกยี รติของชาติ ภาคภูมิใจในความเปน็ ไทย และนิยมไทย
- สร้างเสริมความสามคั คแี ห่งชาติ
- เสยี สละประโยชน์สขุ แห่งตนและแม้ชวี ิตเพื่อประเทศชาติปฏิบัตหิ น้าที่ ของพลเมือง
ดีโดยการรับราชการทหารประกอบอาชีพสจุ รติ และเสียภาษี อากรเพือ่ พัฒนาประเทศ
- ยกย่องให้เกียรตผิ ู้ทาหนา้ ที่ปองกนั และเสียสละเพ่ือประเทศชาติปฏิบตั ิตาม คติพจน์
ทว่ี ่า “การรักษาวฒั นธรรมคอื การรักษาชาติ”
2. สถาบนั ศาสนา
- ศกึ ษาศาสนาใหม้ ีความรูค้ วามเข้าใจถูกตอ้ ง
- ปลูกฝงั ความเช่ือ ความเล่อื มใสในศาสนาดว้ ยปัญญา
- ปฏิบัตติ ามคาสงั่ สอนของศาสนาในชีวิตประจาวนั

9

- สอดล่องปองกันภัยและแก้ไขความเสียหายท่ีกระทบกระเทือนความมั่นคงของ
สถาบันศาสนา

- ชว่ ยส่งเสรมิ ทะนุบารงุ ศาสนา
- ไม่ทาลายปชู นียสถาน ปชู นียวัตถแุ ละศลิ ปกรรมทางศาสนา
- เผยแพรค่ วามรู้และการบญั ญตั ติ ามหลกั ศาสนา
- เคารพเทดิ ทนู ศาสนาและไม่กระทาการใด ๆ ในทางดหู มนิ่
- สร้างความเขา้ ใจอนั ดีระหวา่ งผู้นบั ถือศาสนาต่าง ๆ
3. สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์
- ศกึ ษาความรู้ความเขา้ ใจอนั ดีเก่ยี วกับสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์
- รกั ษาและส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์เปน็ ประมุข
- สอดส่องป้องกันภัยและแก้ไขความเสียหายที่กระทบกระเทือนความ มั่นคงของ
สถาบันพระมหากษัตริย์
- แสดงความจงรกั ภักดีเทดิ ทนู พระเกียรติและเผยแพร่พระราชกรณียกจิ
- รว่ มกนั ประกอบความดี เพ่ือถวายเปน็ พระราชกศุ ล โดยเฉพาะในวนั สาคญั
มัย สุขเอ่ียม (2547 : 102) ได้ให้ความหมายของความรักชาติว่า หมายถึง ความรู้สึก
ภาคภูมิใจในชาติกาเนิดของตน และความรู้สึกผูกพันหวงแหนในมาตุภูมิของตน อันก่อให้เกิด
ความคดิ ทจ่ี ะยอมเสียสละประโยชนแ์ ละความสขุ ของตนเพอ่ื ทานบุ ารุงและปกปอ้ งคมุ้ ครองและ รกั ษา
ประเทศชาติของตน ให้มคี วามมน่ั คง ให้มีความเจริญรุ่งเรือง และความรักชาตนิ น้ั มีองค์ประกอบดังน้ี
1. ความรกั เอกลกั ษณข์ องชาติ เชน่ มารยาทไทย คอื การกราบ การไหวเ้ ป็นตน้
2. ความรักอดุ มการณข์ องชาติ คอื ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์
3. ความรกั สิทธแิ ละหนา้ ทข่ี องตน
4. ความรกั ความสามคั คขี องชนในชาติ
มัย สุขเอ่ียม (2547 : 103) ยังได้กล่าวถึงความสาคัญของศาสนาว่า เป็นเรื่องเก่ียวกับ
ศลี ธรรม และสภาพของจิตใจ คือความดแี ละความชว่ั ในบุคคล คนเราจะเว้นศาสนาเสียมิไดเ้ ราทุก คน
จาเป็นจะต้องมีศาสนาเป็นหลักประพฤติปฏบิ ัติประจาใจ คนที่ไม่เชื่อในศาสนาอะไรเลยน้ัน ย่อมเป็น
คนหลักลอย เปน็ คนท่ีไม่ควรคบหาสมาคมด้วย ไม่ควรเช่ือถือ และเมื่อตัวเราเองไม่ยอม เชื่อถืออะไร
แลว้ จะหวังใหค้ นอ่นื เขาเช่ือถือตัวเองไดอ้ ย่างไร ทงั้ นเี้ พราะศาสนาใหป้ ระโยชน์แก่ คนเรา ดงั นี้
1. มีความเทา่ ทันสภาวะของโลก
2. ย่อมไมห่ ลงไปตามกระแสโลก
3. ยอ่ มมีความประพฤติปฏบิ ัติ เว้นส่ิงท่คี วรเว้น บาเพ็ญในสง่ิ ทีค่ วรบาเพ็ญ
4. ย่อมไดร้ บั ประโยชนเ์ ปน็ สาระแห่งชีวติ

10

ยนต์ ช่มุ จิต (2550 : 87-89) ไตก้ ลา่ วถงึ พฤตกิ รรมความรักในสถาบันพระมหากษัตรยิ ์
1. ศกึ ษาและใหค้ วามรูเ้ กี่ยวกบั สถาบนั พระมหากษตั ริยอ์ ยา่ งถกู ต้อง
2. ไม่นาเร่ืองราวเกี่ยวกบั สถาบนั พระมหากษัตริยม์ าวิพากษว์ ิจารณ์
3. ถา้ มีข่าวลืออันใดซงึ่ อาจนาความเสียหายมาสสู่ ถาบนั กษตั รยิ ์ต้องรบี แก้ขอ้ กลา่ วหา
4. ตกแตง่ อาคารบ้านเรอื น ตงั้ โตะ๊ หมู่บูชาหรอื ประดบั ธงใหส้ วยงาม เมือ่ พระองคเ์ สด็จ

ผ่าน หรือในวนั สาคัญ เชน่ วันเฉลมิ พระชนมพรรษา
5. จัดนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของทุกพระองค์ในวันสาคัญท่ีเก่ียวกับ

สถาบนั กษัตรยิ ์
6. ร่วมประกอบความดีหรอื พฒั นาสังคมเพ่ือถวายเป็นพระราชกศุ ล
7. รักษาและล่งเสริมการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตย คันมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รง

เปน็ พระประมุข
ช่อ สัดดา ติย ะบุตร (2550 : 52) ไต้ไห้ความหมายของความรักชาติ ศาสน า

พระมหากษัตริย์ว่า หมายถึง ชาติ คือ แผ่นดินท่ีเราอยู่อาศัยเพ่ือดารงชีวิตและลืบทอดประเพณี
วัฒนธรรมทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ ศาสนา คอื คาสอนของพระพุทธเจ้าในพุทธศาสนาและ องค์พระศาสดา
ของศาสนาอนื่ ท่ีสอนให้เราเป็นคนดี ประพฤติปฏิบัติอยใู่ นศีลธรรมท่ดี ีงาม นาความสงบ สันติสขุ มาสู่
ชมุ ชนและ สังคมนั้น ๆ พระมหากษตั รยิ ์คือ ผู้ปกครองบ้านเมอื ง โดยธรรม เพอื่ ความสงบสุขของพสก
นิกร ชาวไทย เราต้องธารงรักษาไว้ซึ่งการรักชาติ รักศาสนา รกั พระมหากษัตริย์ด้วยใจคันบริสุทธ์ิ จะ
ไต้อยรู่ ่วมกนั อยา่ งร่มเยน็ เปน็ สขุ ตลอดไป

สรุปได้ว่า รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์หมายถึง มีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย นิยม
ไทย ปฏิบตั ิตนตามคาส่ังสอนของศาสนา เคารพเทิดทุนศาสนา และแสดงความจงรักภักดี เคารพเทิด
ทนุ ตอ่ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ค์ ันมีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ พระประมขุ

3. ซ่อื สตั ย์สุจริต
หมายถึง คุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการมีความซื่อตรง มั่นคงอยู่ในศีลธรรม มีความ
ซื่อสัตย์ตอ่ ตนเองและผู้อ่ืน มีความสจุ รติ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ผทู้ ่ีมคี วามซ่อื สัตย์สุจริต คือ ผู้
ท่ีประพฤติตรงตามความเป็นจริงท้ังกาย วาจา ใจ และยึดหลักความจริง ความถูกต้องในการดาเนิน
ชวี ิต มคี วามละอายและเกรงกลวั ต่อการกระทาผดิ
ประเสริฐศรี เอ้ือนครินทร์ (2524 : 24) ให้ความหมายของความซ่ือสัตย์ว่าหมายถึง การ
กระทาหรือความรู้สึกเก่ียวกับเรื่องการไม่ทุจริต และประพฤตมิ ิชอบ การปฏิบัติตามกฎ ท่ีกาหนดไว้
การไม่หลอกลวง การพูดแต่ความจริง การไม่หาประโยชน์ในทางมิชอบ การมีความ ยุติธรรมและมี
ความละอายต่อบาป

11

ทวี บุณยเกตุ (2542 : 12) ให้ความหมายของ ความซื่อสัตยท์ ี่มีลักษณะเป็นรูปธรรม และ
เป็นความหมายในเชิงพฤติกรรมนั้น ได้ให้ความหมายไวล้ ังน้ี คือ ความซ่ือสัตย์สุจริต หมายถึง ความ
ภักดี ความซื่อตรง การประพฤติตรง คือ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง โดยมากผู้ซื่อสัตย์สุจริต จะเป็นผู้มี
กาลังใจเข้มแขง็ มีใจบริสทุ ธ์ิหนกั แนน่ อดทน รักเกียรติยศชื่อเสียง ไมเ่ ห็นแก่ตัว และได้ จาแนก ความ
ซือ่ สัตยอ์ อกเปน็ 3 ด้าน คอื

1. ซือ่ สตั ยต์ ่อตนเอง เป็นเร่ืองของความมี'หิริโอตตปั ปะ ไม่กลา้ กระทาในสิ่งทไี่ ม่ สุจริต
แมก้ ารกระทานัน้ ๆ จะ ไมม่ ีใครเห็นกต็ าม ทาตามคาพดู โดยไม่เหลวไหล

2. ซื่อสัตย์ต่องานท่ีทา ได้แก่ ความซ่ือตรงเท่ียงตรง ไม่แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน
ในทางท่ีชอบ

3. ซ่ือสัตย์ตอ่ เพื่อนฝูง ได้แก่ การไม่คด ไม่โกง ไม่เอารดั เอาเปรียบเพือ่ นและต้องการ
ความรักความหวงั ดี ความสงสารและซื่อตรงต่อกัน

ชูวงศ์ ฉายะจินดา และมุ่งหมาย ซื่อตรง (2548 : 7) ได้ให้ความหมายความซ่ือสัตย์ว่า
หมายถึง การปฏิบัติตนทางกาย ทางวาจา และทางใจท่ีตรงไปตรงมา ไม่แสดงความคดโกง ไม่
หลอกลวง ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ลั่นวาจาว่าจะทางานส่ิงใดก็ต้องทาให้สาเร็จเป็นอย่างดี ไม่กลับ
กลอก มีความจริงใจต่อทุกคน จนเปน็ ท่ไี ว้วางใจของทุกคน

ผ่องศรี สามศรีทอง (2548 : 34) ได้ให้ความหมายความซ่ือสัตย์ว่า หมายถึง การ
ประพฤติ ปฏิบตั ิอยา่ งเหมาะสม มีความจรงิ ใจ ท้ังกาย วาจา ใจ ทงั้ ตอ่ ตนเองและผู้อ่ืน

กรุง ม่วงนาครอง (2553 : 33) ได้ให้ความหมายความซื่อสัตย์ว่า เป็นความประพฤติ
อย่างตรงไปตรงมา มีความบริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา และใจต่อตนเองและผู้อ่ืน ทั้งต่อหน้าและสับหลัง
สรุปได้ว่า ซ่ือสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมและตรงตาม ความเป็นจริง
ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยา่ งตรงไปตรงมา ทง้ั ทางกาย วาจา ใจ ตอ่ ตนเองและผ้อู น่ื

รวมตลอดท้ังต่อหน้าท่ีการงาน และคาม่ันสัญญาความประพฤติท่ีตรงไปตรงมา และ
จริงใจในสิ่ง ท่ีถูกต้อง ตามทานองคลองธรรมรวมไปถึงการไม่คิดทรยศ ไม่คดโกง และไม่หลอกลวง
นอกจากนี้ ซ่ือสัตยส์ ุจริตยงั รวมไปถึง การรกั ษาคาพูดหรือคามัน่ สัญญา และการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีการงาน
ของ ตนเองด้วยความรบั ผิดชอบ และด้วยความซอ่ื สัตย์ไม่แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและ พวก
พ้องด้วยการใช้อานาจโดยมิชอบ ซ่ึงความซ่ือสัตย์สุจริตนี้จะดาเนินไปด้วยความต้ังใจจริง เพื่อทา
หนา้ ท่ขี องตนเองให้สาเร็จลลุ ่วงและเกิดผลดตี ่อตนเองและสังคม

4. มวี นิ ยั
หมายถึง แบบแผน กฎเกณฑ์ ที่กาหนดไว้เป็นแนวปฏิบัติ คนที่มีระเบียบวินัยเป็นคน ท่ี
สามารถควบคุมตนเองใหป้ ระพฤติปฏิบตั ิตนได้ตามแบบแผนกฎเกณฑ์ และข้อบังคับของสังคม นั้นได้
โดยอาจจะใช้กฎเกณฑ์ ข้อบังคับเป็นเคร่อื งกาหนดให้ทาตาม ซึง่ เรียกว่า ระเบียบวินยั ภายนอกหรือ

12

อาจจะปฏิบัติเพราะตระหนักถึงความถูกต้องเหมาะสมดีงามด้วยตวั ของตัวเองแม้ บางอย่างจะไม่ได้มี
การกาหนดไวเ้ ปน็ กฎเกณฑ์ขอ้ บังคบั กต็ าม ซ่ึงเรยี กว่ามรี ะเบยี บวนิ ยั ในตนเอง

วสนั ต์ ปุน่ ผล (2542 : 6) ได้ให้ความหมายของความมวี ินยั ว่า ความมวี ินัย หมายถึง การ
รับรู้ รู้จักปฏิบัติตามระเบยี บและข้อกาหนด กฎเกณฑ์ซึ่งกลมุ่ ได้ตกลงกันตั้งข้ึนสาหรับสมาชิก ปฏิบัติ
เพื่อช่วยเหลือสังคมนนั้ ให้อยู่ดว้ ยกันอย่างราบร่ืน มีความสุขและความสาเรจ็ โดยอาศัย การฝกึ อบรม
ให้รู้จักปฏิบตั ติ น ร้จู กั ควบคมุ ตนเอง

อุมาพร ตรังคสมบัติ (2544 : 26-28)กลา่ วถึงความหมายของวินัยไว้ดังนี้ การแกว้ ินยั คือ
การสอนเด็ก ให้รู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนเองเม่ือเด็กยังเล็ก ผใู้ หญ่โดยเฉพาะพ่อแม่จะต้อง เป็น
ผู้ช่วยเด็ก ควบคมุ พฤตกิ รรมของเขา และด้วยการอบรมอย่างเสมอต้นเสมอปลายตั้งแตเ่ ล็ก เมอ่ื โตขึ้น
เดก็ จะควบคุมตนเองได้ในท่ีสุด และนัน่ คือเป้าหมายสงู สุดของการแก้วนิ ัย คือ การท่ีบุคคลจะดารงตน
อยู่ในความถกู ต้องจะรู้ดว้ ยตนเองว่าสง่ิ ใดควรทาและสงิ่ ใดไมค่ วรทา มีความสามารถที่จะบังคับตนเอง
และควบคมุ ตนเองได้โดยไม่ต้องมีผู้อ่ืนหรือกฎเกณฑอ์ ืน่ ๆ มาคอยควบคมุ อ

ปรีชา ริโยธา (2546 : 23) ได้ให้ความหมายของวินัยไว้ว่าวินัยหมายถึง คุณสมบัติที่ ดี
งามที่มีอยู่ในแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถแสดงออกมาได้ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก เจตคติและพฤติกรรม ที่
เกิดข้ึนจากสามัญสานกึ ภายในจิตใจที่ได้รบั การอบรม ปลูกฝัง ของมนุษย์ในสังคมด้วย ความสมัครใจ
และมีความมุ่งมั่นที่จะทาในสิ่งท่ีดี ประกอบด้วยความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ซ่ือตรง มีเมตตา ใจ
กว้าง มีเหตุผล มีความกล้า เชื่อม่ันในตนเอง มีความอดทนโดยท่ีส่ิงต่างๆ เหล่านี้ จะติดตัวใน แต่ละ
บคุ คลอย่างถาวร

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (2546 : 25) ได้ให้ความหมาย
ของการมีวินัยว่า วินัย คือ ข้อบังคับให้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน ท่ีสถาบันและองค์กรต่างๆ ได้
กาหนดไว้ ผูท้ ่จี ะมวี นิ ัยได้นัน้ ต้องมีคณุ ธรรมประจากาย วาจา ใจ ต้องปฏิบตั ิตามคาสอนของพระผู้มี มี
พระภาคเจ้า คือ สุจริต 3 ดังน้ี

1.ประพฤติชอบทางกาย เรยี กว่า กายสจุ ริต
2.ประพฤติชอบทางวาจา เรยี กว่า วจีสุจริต
3.ประพฤตชิ อบทางใจ เรยี กว่า มโนสจุ ริต
ผู้ท่ีมีคุณธรรมท้ัง 3 อย่างน้ี เป็นคุณธรรมที่สร้างให้ผู้นั้นมีนิสัยที่ดี มีระเบียบวินัยประจา
กาย วาจา ใจ เขาจะไม่ประพฤติผิดทางกาย ทางวาจา ทางใจ เรยี กว่าเปน็ ผู้ทม่ี ีกายวาจาใจอันบริสุทธิ์
เม่ือมคี วามบริสทุ ธ์แิ ล้วเขาจะไปอยู่ ณ ที่ใดสถานศกึ ษาสถาบนั องค์กรสังคม และประเทศใดๆในโลกน้ี

13

เขาสามารถปฏิบัติตามขอบเขต กฎระเบียบแบบแผน ข้อบังคับอย่าง เต็มใจ และตั้งใจปฏิบัติอย่าง
จรงิ ใจ จริงจงั และต่อเน่อื งได้อยา่ งสมบรู ณ์

จรรยา กุลสุทธิชัย (2547 : 12) ได้ให้ความหมายของวินัยไว้ว่าวินัย หมายถึงการปฏิบัติ
ตนอยู่ในกฎระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติของหน่วยงานต้ังแต่หน่วยงานย่อยไปจนถึง
หน่วยงานใหญ่ หรือสถาบันย่อยไปสู่สถาบันใหญ่เพ่ือให้มีการปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันและ ก่อให้เกิด
ประโยชนค์ วามเป็นระเบียบเรียบร้อยของคนในสังคม

เบญจมาศ ณรงค์กูล (2548 : 19) ได้ให้ความหมายของความมีวินัยว่า ความมีวินัย
หมายถงึ การปฏิบัติตนตามกฎ ขอ้ บงั คบั และกติกาของสังคม โดยมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความ มี
ระเบียบวินัยของหน่วยงาน การตรงต่อเวลา การควบคุมตนเองทั้งกาย วาจา ใจ การปฏิบัติตาม
ระเบียบด้วยความสมัครใจ การยอมรับและปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง 1

นาตยา รัศมี (2552 : 14) ได้ให้ความหมายของความมีวินัยว่า ความมีวินัย หมายถึง
ระเบียบข้อบังคับท่ีวางไว้เพื่อเปน็ แนวทางปฏิบัติ ให้บุคคลใช้ควบคุมความประพฤติของตน ให้เป็นไป
ตามที่สังคมคาดหวัง เพื่อ เพ่ือให้เกิดการอยูร่ ่วมกันอย่างสงบสุขในสังคม ตัดสนิ ใจ และ เลอื กกระทา
ในสิ่งท่ีตนเหน็ ว่าเหมาะสม ไมข่ ดั ต่อกฎระเบียบของสังคมและไมข่ ัดต่อผูอ้ ่ืน

สรปุ ไดว้ า่ มวี ินัย หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลทเี่ กิดเป็นนสิ ัย ที่แสดงออกถงึ การเป็นผู้
ยึดมัน่ และประพฤติปฏบิ ัตติ นตามข้อตกลงระเบยี บ กฎเกณฑ์ กฎหมายที่กาหนดไว้ ของประเทศชาติ
ขอ้ บังคับของครอบครัว ของโรงเรียนและของสงั คมทเ่ี ป็นปกติวิสัย ย่อมนามาซึ่ง ความสงบสุขในชวี ิต
ของตน ความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อยของสงั คมและประเทศชาติ

5. ใฝเ่ รียนรู้
หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน แสวงหา

ความรู้ จากแหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ผู้ท่ีใฝ่เรียนรู้ คือ ผูท้ ี่มีลักษณะแสดงออกถึง
ความต้ังใจ เพียรพยายามในการเรียนและเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ แสวงหาความรู้จากแหล่ง
เรยี นรทู้ ง้ั ภายในและภายนอกโรงเรียนอยา่ งสม่าเสมอ ด้วยการเลอื กใช้ ใชส้ ือ่ อย่างเหมาะสม

เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2543 : 71) ได้กล่าวไว้ว่า คุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็น
ลักษณะนิสัยอย่างหนึ่ง ที่สร้างศักยภาพในการนาชีวิตไปสู่ความสาเร็จ เป็นคุณลักษณะท่ี พบเห็น
โดยทั่วไปในแถบประเทศทีพ่ ฒั นาแลว้ ทั่วโลก แตแ่ ทบจะไม่มใี นสังคมไทย รากฐานความรู้ ของคนไทย
จงึ ออ่ นแอไม่สามารถแขง่ ขันกับผ้อู นื่ ได้ ความไมใ่ ฝ่รใู้ ฝเ่ รียนของคนในสงั คม นอกจาก จะนาความพา่ ย
แพ้มาสชู่ วี ิตแตล่ ะคนแล้วยังส่งผลเสียต่อชาติบ้านเมืองอีกดว้ ย

14

อารี พันธ์มณี (2545 : 15) ได้กล่าวไว้ว่า คณุ ลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นคุณลักษณะ ที่
สาคัญต่อผู้เรียน ที่ควรส่งเสริมผู้เรียน ให้รักการเรียนรู้ ชอบศึกษาหาความรู้และตื่นตัวกับ สิ่งแปลก
ใหม่รอบตัว อยากรู้อยากเห็น เสาะแสวงหาความรู้ มีวิจารณญาณ เลือกตัดสินใจ คิดวิเคราะห์ คิด
สังเคราะห์ คิดหาเหตุผล คดิ จินตนาการ ประเมินสถานการณต์ ่าง ๆ เกาะติดสถานการณ์ รู้จักซกั ถาม
ค้นหาคาตอบ กระตือรือร้นต่อการเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนด้วยการ ติดตามข่าวสาร อ่านหนังสือ ดู
โทรทัศน์ เรียนรู้ในรปู แบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและมีทัศนคติท่ีดีต่อ การศึกษาตลอดชีวิต เพ่ือทาให้
ชีวิตของผู้เรียนมีความหมายมีชีวิตชีวาตลอดจนสาเร็จการศึกษา รับผิดชอบงาน รับผิดชอบชีวิตของ
ตนเอง สามารถปรับตัวให้ทันยุค ทันสมัย ทันเหตกุ ารณ์ ทันโลก และทันตอ่ ความเปลย่ี นแปลง เพ่อื ให้
สามารถอยู่ในสงั คมการเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ข ท่ี ข ข dd y

กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์ (2552:17) ได้ให้ความหมาย ใฝ่เรียนรู้ว่าหมายถึง ธรรมชาติที่
เกย่ี วข้องกับความปรารถนาของผเู้ รยี น ทจี่ ะมีส่วนร่วมของกระบวนการของการเรียนรู้ เพือ่ บรรลุ หรอื
สมั ฤทธ์ผิ ลตามความปรารถนา บคุ คล กม็ เี หตผุ ลของความปรารถนาอยภู่ ายใต้
การให้ความสนใจ และการ ไม่ให้ความสนใจกับกระบวนการของการเรียนรู้ และเหตุผลน้ันเป็น มูล
ฐานของแรงจูงใจใฝ่เรียนรู้ของผู้เรียน สิ่งที่ควรใหค้ วามสาคัญอีกประการหน่ึง คือ แรงจูงใจ ใฝ่เรยี นรู้
น้ันจะแสดงออกมาให้เห็นได้จากความตั้งใจ ความมุ่งมั่น ความอดทน ท่ีจะมีส่วนร่ วมของ
กระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองและมีระยะยาวนาน มิใช่เกดิ ขึน้ เพียงช่วั ครชู่ ั่วยามเท่านั้น การ
เรียนรู้จะเกิดข้นึ เมอื่ อาจารยท์ ่ีเป็นผู้สอน คาดหวังวา่ จะให้ผเู้ รยี นเปน็ ผเู้ รียนทไี่ ด้เกิดการเรียนรู้ ผู้เรียน
กจ็ ะเกิดการเรียนรู้ได้เช่นกัน และผู้เรียนก็จะมแี รงจูงใจในการเรยี นรู้ ถ้าพวกเขามีความ ศรัทธาในตัว
อาจารยผ์ ู้สอน

สุรัสวดี อินทร์ชัย (2554 : 4) ได้ให้ความหมาย ใฝ่เรียนรู้ว่าหมายถึง แรงจูงใจหรือ
แรงผลักดัน แรงกระตุ้น ท่ีเกิดจากความต้องการท่ีจะได้รบั การตอบสนองต่อสง่ิ กระตนุ้ ท่ีโรงเรียน จัด
ให้ ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมในการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยแห่งความต้องการพื้นฐาน ได้แก่
ความสาเร็จในการเรียน แรงเสริมจากการเรียน ในความสาเร็จ ปัจจัยสุขภาพอนามัย สภาพ
สง่ิ แวดลอ้ มทางการเรียนรู้ ความสมั พันธ์กับครผู สู้ อน ความเชือ่ มัน่ ในการเรยี นทสี่ าเร็จ เม่ือวเิ คราะห์ดู
แล้วก็จะพบวา่ แรงจูงใจใฝเ่ รยี นรู้เหล่าน้ี เกิดขึน้ จากปฏกิ ิริยาพน้ื ฐานส่วนลึก ของจิตใจภายใน ซ่งึ ตาม
จิตศาสตร์นั้นถือได้ว่าเป็นสภาวะจติ ใจที่ไม่อยู่ในความควบคุมของตัวเรา เป็นที่รวมความคิดเพื่อการ
แสดงออก โดยเราไม่รู้ตัวหรือที่เรียกว่า จิตใต้สานึกน่ันเอง ซ่ึงจิตใต้สานึกน้ีบุคคลย่อมมีแรงจูงใจใฝ่
เรียนรดู้ ว้ ยกันทุกคน กล่าวโดยสรุปแลว้ แรงจงู ใจ หมายถึง ภาวะอินทรยี ภ์ ายในรา่ งกายของบคุ คลถูก
กระตุ้นจากส่ิงเร้าเรียกว่า ส่ิงจูงใจ ก่อให้เกิดความต้องการ ตรงตามเจตนารมณ์ของคุณลักษณะท่ี
โรงเรยี น ครู ผ้ปู กครองต้องการ

15

สรุปได้ว่า ใฝ่เรียนรู้ หมายถึง ความกระตือรือร้นต้ังใจมุ่งม่ันในการเรียน ใช้เวลาว่าง ให้
เกิดประโยชน์โดยการแสวงหาความรู้ การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ท้ังภายในและภายนอก
โรงเรียน การจดบันทกึ สรุปความรู้ ประสบการณ์และถ่ายทอดเผยแพรอ่ งค์ความรู้ทไี่ ดจ้ าก การศึกษา
คน้ คว้าใหแ้ กผ่ ูอ้ นื่

6. อยอู่ ย่างพอเพยี ง
หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการดาเนินชวี ิตอย่างพอประมาณ มเี หตผุ ล รอบคอบ
มคี ณุ ธรรม มภี มู คิ มุ้ กันในตัวทีด่ ี และปรับตัวเพ่ืออยู่ในสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสุข
สมพร เทพสิทธา (2548 : 13-14) ได้กล่าวถึงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนว
พระราชดารเิ ป็นปรัชญานาทางการพัฒนาของประเทศ โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับท่ี 9 พ.ศ. 2545-2549 ได้ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดาริเป็นปรัชญา นา
ทางการพัฒนาของประเทศ โดยมแี นวทางดงั นี้

1. ทางสายกลาง ไม่พัฒนาไปในทางทศิ ใดทศิ หน่ึงจนเกนิ ไป เช่น ปดิ หรอื เปิดเสรีเตม็ ท่ี
2. ความสมดลุ และความยงั่ ยนื เนน้ การพฒั นาในลักษณะองค์รวม
3. ความพอประมาณอยา่ งมีเหตุผล มคี วามพอดที ้งั ในการผลิตและการบรโิ ภค
4. ภูมิคุ้มกันและรู้เท่าทันโลก รู้เท่าทันการเปล่ียนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่าง
รวดเร็ว
5. การเสริมสร้างคุณภาพคน เนน้ ให้มีความซอื่ สัตยส์ ุจรติ มติ รไมตรี เอ้อื อาทร มีความ
เพยี ร มีวินยั มีสติ ไมป่ ระมาท พัฒนาปญั ญาและความรู้อย่างตอ่ เนอ่ื ง
สุเมธ ตนั ติเวชกุล (2549 : 13) ได้ให้ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพียงไว้ดังน้ี เศรษฐกิจ
พอเพียง หมายถึง เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มชูตัวเอง (Relative self-sufficiency) อยู่ได้ โดยไม่
เดือดร้อน โดยต้องสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจของตนเองให้ดีเสียก่อน คือตั้งตัวให้มีความพอกิน พอใช้
ไม่ใชม่ ุ่งหวังแตจ่ ะทมุ่ เทความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่เพียงอย่างเดียว เพราะผู้ที่มี อาชีพและ
ฐานะเพียงพอท่ีจะพ่ึงตนเองยอ่ มสามารถสรา้ งความเจริญก้าวหน้าและฐานะทางเศรษฐกิจ ที่สูงขึ้นไป
ตามลาดบั ตอ่ ไปได้
รงค์ ประพันธ์พงศ์ (2550 : 34) ได้ให้คานิยามเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย 3
คุณลักษณะทเ่ี ป็นห่วงสอดรอ้ ยประสานกนั เพือ่ นาไปสกู่ ารปฏิบัติ ไดแ้ ก่
1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่
เบียดเบียนตนเองและผอู้ นื่ เชน่ การผลติ และการบรโิ ภคทอ่ี ย่ใู นระดับพอประมาณ
2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกับระดับของความพอเพียงน้ันจะต้อง
เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึน
จากการทาน้ันๆ อย่างรอบคอบ

16

3. การมภี มู ิคุ้มกันท่ีดใี นตัว หมายถึง หมายถึงการเตรยี มตัวใหพ้ ร้อมรบั ผลกระทบและ
การเปล่ียนแปลงด้านต่าง ๆ ท่ีจะเกิดขึ้นโดยคานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่า
จะเกิดข้ึนในอนาคตทง้ั ใกล้และไกล

นอกจากคณุ ลกั ษณะ 3 ห่วงดังกล่าวแล้ว ส่ิงสาคัญอีกอย่างหน่ึง คือการกาหนด เงื่อนไข
ไว้ 2 ประการ เพื่อการตัดสินใจดาเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงน้ันต้อ ทั้ง ความรู้และ
คณุ ธรรมเปน็ พืน้ ฐาน นน่ั คอื เงื่อนไขตอ่ ไปนี้ เงนิ ต้องอาศยั

1. เง่ือนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกยี่ วกับวิชาต่าง ๆ ท่ีเก ท่ีเกย่ี วข้องอย่าง
รอบ ด้าน ความรอบคอบที่จะนาความรู้เหลา่ นน้ั มาพิจารณาใหเ้ ช่ือมโยงกนั เพื่อประกอบการวางแผน
และ ความระมดั ระวังในข้ันปฏบิ ัติ

2. เง่ือนไขคุณธรรม ท่ีจะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มี
ความซื่อสัตยส์ ุจรติ และมีความอดทน มีความเพียร ใชส้ ตปิ ญั ญาในการดาเนนิ ชีวติ

สรุปได้ว่า อยู่อย่างพอเพียง หมายถึง การมีความพอดีในการบริโภค ใช้ทรัพยากรและ
เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ คานึงถึงฐานะและเศรษฐกิจ คิดก่อนใช้จ่ายตามความเหมาะสม รู้จักการ
เพิ่มพูนทรัพย์ด้วยการเก็บและนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ดแู ลรักษาบูรณทรัพย์ของตนเอง มีการ เก็บ
ออมเงินไวต้ ามสมควร

7. มุ่งมั่นในการทางาน
หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจและรับผิดชอบในการทาหน้าที่ การงาน
ดว้ ยความเพียรพยายาม อดทน เพอื่ งานให้สาเร็จตามเปา้ หมาย
โครงการการศึกษาศักยภาพของเด็กไทย ของกองวิจัยการศึกษา (2542 : 4-5) ได้ให้
ความหมายของคาว่า มุ่งม่ันในการทางาน หมายถึง ความต้ังใจและกระตือรือร้น โดยไม่
ผัดวันประกันพรุ่ง โดยมีพฤตกิ รรมท่ีแสดงออกไดแ้ ก่ ตอบรับการทางาน พูดหรอื แสดงกิริยาทา่ ทาง ว่า
ยอมรับหรือเต็มใจ พึงพอใจที่จะทางานตามที่ได้รับมอบหมาย อาสาทางาน พูดหรือแสดงกิริยา
ท่าทางว่าต้องการจะทางานหนึ่งงานใด แม้ว่าจะไม่ใช่งานที่ได้รับมอบหมายโดยตรง ไม่
ผัดวันประกันพรุ่ง ลงมือทาทันที โดยไม่ปล่อยให้วันเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่าไร้ประโยชน์ ทางานท่ีได้
เริ่มตน้ ไว้แลว้ อย่างต่อเนือ่ งและสาเรจ็ ตามเปา้ หมาย
Maslow นักจิตวิทยากลุ่มมนุษย์นิยม (อนิวัช แก้วจานงค์ 2552 : 66-68) ได้กล่าวถึง
ความต้องการข้ันพื้นฐานของมนุษย์ในขั้นท่ี 4 คือ ความต้องการท่ีจะรู้สึกว่าตนเองมีค่า ซ่ึงความ
ตอ้ งการนจี้ ะประกอบด้วยความต้องการท่จี ะประสบความสาเร็จ มีความสามารถตอ้ งการที่ จะใหผ้ อู้ ื่น
เห็นวา่ ตนมคี วามสามารถ มีคณุ คา่ และมีเกียรตติ ้องการได้รบั ความยกยอ่ งนับถอื จากผู้อื่น ผู้ท่ีมคี วาม
ปรารถนาในความต้องการน้ีจะเปน็ ผทู้ ีม่ ีความม่ันใจในตนเอง เป็นคนมปี ระโยชน์และ มีค่า ตรงข้ามกับ
ผู้ท่ีขาดความต้องการประเภทน้ี จะรู้สึกว่าตนไม่มีความสามารถและมีปมด้อย มองโลกในแง่ร้าย

17

ความต้องการในข้ันน้ีเมื่อได้รับการส่งเสริม ก็จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรม กระตือรือร้น มีความมุ่งม่ัน
ตงั้ ใจทางาน เอาใจใส่ในงานมากข้นึ เพ่ือตอบสนองความตอ้ งการในขั้น น้ี

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2553 : 23) ได้ให้ความหมายของ ความ
มุ่งม่ันในการทางาน หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความต้ังใจและรับผิดชอบในการทา หน้าที่
การงานด้วย ความเพยี รพยายาม อดทน เพื่อให้งานสาเร็จตามเป้าหมาย

พีรเดช ฉิมนิล (2554 : 13) ได้ให้ความหมายของความมุ่งม่ันในการทางานไว้ว่า ความ
มุ่งมั่นในการทางาน หมายถึง คุณลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลท่ีแสดงออกถึงความต้ังใจ มุ่งม่ัน
พยายามในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมาย หรืองานท่ีปฏิบัติเป็นประจา ด้วยการทุ่มเท
กาลงั กาย กาลังใจและกาลังสตปิ ัญญา โดยมีสมาธแิ ละสติตัง้ มน่ั ปฏิบตั กิ ิจกรรมนนั้ ให้เกดิ ความสาเร็จ
ลุลว่ งไปได้ดว้ ยดี ถูกตอ้ งตรงตามเป้าหมายทวี่ างไว้ ด้วยความรบั ผิดชอบและ มคี วามชื่นชม ภาคภมู ใิ จ
ในผลงานทีเ่ กิดข้ึน

สรุปความว่า มุ่งมั่นในการทางาน หมายถึง การปฏิบัติหน้าที่การงานท่ีได้รบั มอบหมาย
อย่างกระตือรือร้น และต้ังใจจริงให้สาเร็จด้วยความมานะอดทน เพียรพยายาม ไม่ย่อท้อ ต่อความ
ยากลาบากและอปุ สรรคทเ่ี กิดขึน้

8. รักความเปน็ ไทย
หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความภูมิใจ เห็นคุณค่าในขนบธรรมเนียม ประเพณี
รว่ มอนุรักษ์ สืบทอดศิลปะและวัฒนธรรมไทย ใช้ภาษาไทยในการสอ่ื สารได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม มี
สัมมาคารวะ มารยาทงดงามและมีความกตญั ญูกตเวที
ศุภวัลย์ นอ้ ยประดิษฐ์ (2553 : 18) ได้อธิบายความหมายของการรกั ความเป็นไทยไว้ ว่า
การรักความเปน็ ไทยเป็นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ของคนไทยทตี่ ้องแสดงออกเปน็ พฤติกรรม ในด้าน
คุณธรรมจริยธรรม ซงึ่ สถานศกึ ษาตอ้ งดาเนินการปลกู ฝังใหก้ ับนกั เรียน ผา่ นการจัดกิจกรรม การเรียน
การสอน โดยนาศิลปะนาฏศิลปพ์ ้ืนบ้านของไทยมาสอดแทรกในการดาเนินการจัด กิจกรรมการเรียน
การสอน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างจิตใต้สานึกนึกให้นักเรียนเป็นคนท่ี รักความเป็นไทย ซ่ึงนับว่า
นาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนหนึ่งท่ีบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของคนไทย อันเป็น มรดกทางวัฒนธรรม ทาให้
นักเรียนรู้คุณค่าและเกิดความรักหวงแหนและซาบซึ้งท่ีจะสืบทอดมรดก อันล้าค่าให้ยั่งยืนสืบไปใน
สังคมไทยและชาตไิ ทยตลอดไป
สุพาพร เทพยสุวรรณ (2553 : 13) ได้กล่าวไว้ว่า “เราจะสอนให้ลูกรู้จักความเป็นไทย
ได้อย่างไร” เนื่องจากในภาวะปัจจุบัน โลกมีความเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรม ที่
หลากหลายเข้ามามีบทบาทสาคัญและเขา้ มามีอทิ ธิพลต่อสถาบนั ครอบครัว โรงเรยี น และ สิ่งแวดลอ้ ม
ท่ีเด็กอาศัยอยู่ เราจะทาอย่างไรท่ีจะสร้างความทรงจาที่ดีให้แก่เด็ก เราจะทาอย่างไรให้ เด็กรู้และ
เข้าใจถงึ ความเป็นคนไทยได้อย่างถอ่ งแท้และมีประโยชน์ ดังนี้

18

1. เป็นตัวอย่างท่ีดีให้ลูกดู มีขนบธรรมเนียมของไทยหลายอย่างท่ีน่าจะมีการส่งต่อ
หรือถ่ายทอดสู่ลูกหลาน เช่น การมีสมั มาคารวะผู้ใหญ่ การเคารพเชื่อฟังบิดามารดา ความกตัญญูต่อ
ผู้มีพระคุณ ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีบางคร้ังต่างชาติไม่มี ดังน้ันคุณพ่อคุณแม่ควรทาให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง การ
กราบไหว้แบบไทยๆ รอยยิ้มแบบไทย จนเราได้ช่ือว่า สยามเมืองยิ้ม The Land of Smile ความ
กตญั ญูในการดูแลบุพการเี ม่ือมอี ายุท่ีมากข้ึน การวางตวั ดี มคี วามสุภาพเรียบรอ้ ย ท่ี ที่ มคี วามเกรงใจ
ผูอ้ ืน่ ซงึ่ เดก็ ๆ จะเลยี นแบบจากผู้ใหญน่ ัน่ เอง

2. นิยมบริโภคของท่ีทาในประเทศ พยายามหลีกเล่ียงของนาเข้าหรือของมียี่ห้อ ท่ี
นามาจากต่างประเทศ อย่าคิดว่าของนาเข้าดีกว่าของไทย ข้อน้ีคุณพ่อคุณแม่อาจคิดในใจว่าก็ของท่ี
ทาในประเทศมันด้อยคุณภาพจึงทาให้ยากต่อการบริโภค เลยเลือกบริโภคสินค้านาเข้าของแบรนด์
ดงั ๆ จนเป็นนิสัย แตก่ ารกระทาดงั กล่าวเป็นการสรา้ งค่านยิ มทผ่ี ิดๆว่าของต่างประเทศดีกว่า ของไทย
จนหารไู้ ม่วา่ ของแบรนดเ์ นมมากมายหลายอย่างทาโดยคนไทย สนิ ค้าของไทย บางประเภทดมี าก แต่
ไม่มีใครสนใจ ดังนั้นการสอนลูกให้รู้จักสินค้าที่ดีของแต่ละจังหวัด หรือ สินค้า 1 ผลิตภัณฑ์ต่อ 1
ตาบล อาหารพ้นื เมือง อาหารประจาภาค ผ้าไหมไทยจะทาให้ลกู นยิ ม บริโภคของไทย และเกดิ ความ
ภาคภมู ิในความเปน็ ไทยอีกด้วย

3. แต่งกายแบบไทยๆในวันเทศกาลหรือประเพณีสาคัญต่างๆ เพอ่ื ใหเ้ ด็กๆ ไดร้ ูจ้ ัก ชุด
เคร่อื งแตง่ กายของคนไทยในแต่ละภาค

4. ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง พูด ร เรือ ล ลิงให้ชัดเจน อย่าพูดไทยคาฝร่ังคา อ่าน
หนังสือภาษาไทยให้ลูกฟังอย่างถูกอักขระ คาประพันธ์ บทกวีของไทย เพลงพื้นบ้านของ แต่ละภาค
เล่าประวตั ิความเปน็ มาของผู้ประดิษฐ์คดิ ค้นอักษรไทย เปน็ ตน้

5. ถ่ายทอดงานศิลปะ สืบสานประเพณีและวัฒนธรรมของไทย เพื่ออนุรักษ์ไว้ถึง รุ่น
ลกู รุน่ หลาน ส่ิงน้ีรวมไปถึง การทาตาราอาหารฝีมือตารับคุณตา คุณยาย คุณทวด การทาขนม ไทยๆ
การราไทย ลูกจะซาบซึ้งในความเป็นไทยและเป็นการปลูกฝังความรักและความภาคภมู ิใจ ในชาติขึ้น
อยา่ งไมร่ ู้ตัว

6. เล่านิทานท่ีถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษ และเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ
ซาตไิ ทยในแต่ละยุคแตล่ ะสมัยให้เด็กๆฟัง ปี 24

7. สอนเด็กๆ ให้ร้องเพลงชาติไทยให้ถูกต้อง บอกความหมายของเน้ือเพลง และ
อธิบายถึงเหตุผลของการยืนตรงเคารพธงชาติ ความหมายของธงชาติไทย สัญลักษณ์ของดอกไม้
ประจาชาติ สัตว์ประจาชาติ

8. พาลูกไปดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทยๆ พาไปพิพิธภัณฑ์ของไทย เล่าประวัติ
ความเป็นมาวิถีชีวิตความเป็นอยู่อาชีพหลักของคนไทย ลองฝึกให้ลูกปฏิบัติจริง เช่น ลองให้ลูกไปดู
แปลงปลกู ข้าวในนา สอนข้นั ตอนและวิธกี ารปลกู ข้าว ลูกจะได้เรียนร้จู ากประสบการณ์จรงิ ได้รู้สึกถึง

19

ความยากลาบาก เพ่ือให้เกิดความรักเกิดความภาคภูมิใจต่อชาวนา ชาวสวน มีความอดทน ไม่ดูถูก
อาชีพและผูอ้ น่ื

9. สอนให้ลูกรู้จักประวัติต้นกาเนิดของชาติไทย ความเป็นชาติไทยและ พระราช
ประวตั ิ ของพระมหากษตั รยิ ไ์ ทยในแตล่ ะพระองค์

10. ปลูกฝังให้ลูกเกิดความสนใจและรักในศิลปวัฒนธรรมไทย โดยการพาลูกไปชม
ดนตรี มโหรสพของไทย สอนการเล่นเครือ่ งดนตรีไทย

11. พาลูกไปชมความสวยงามของธรรมชาติตามจังหวัดต่างๆ ในแต่ละภาคของไทย
ความสวยงามของบ้านเรือน ผู้คนในท้องถ่ินท่ีอาศัยอย่แู บบดั้งเดิม ส่ิงน้ีเป็นสงิ่ ที่สาคญั เพราะเปน็ การ
ยากสาหรับเด็กที่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่ตอ้ งอยู่แต่ในโลกของคอนกรตี ทา่ มกลางมลพษิ ต่างๆ การท่ีเด็กได้
เห็นความสวยงามของธรรมชาติ วัดวาอารามต่างๆ จะทาให้เด็กๆ เกิดความรัก อยากช่วยกันธารง
รกั ษาสงิ่ แวดล้อมและธรรมชาตทิ ่สี วยงามเหลา่ นเ้ี อาไว้

12. สอนลกู เล่นการละเลน่ ของไทย เช่น รรี ีข้าวสาร ขม่ี ้าก้านกลว้ ย ฯลฯ นอกจากจะ
ทาใหเ้ กิดความสนุกสนาน ในเวลาเดยี วกนั ลกู กจ็ ะซมึ ซบั เกดิ ความรักในความไทยไปดว้ ย

ปฏิพัตร สุขแยง (2554 : 26) ได้อธิบายความหมายของการรกั ความเป็นไทยไว้ว่า การรัก
ความเป็นไทย เป็นคุณลักษณะและพฤติกรรมดา้ นคุณธรรมจริยธรรม ท่ีจะต้องสอดแทรกไว้ ในแผน
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนเกิดความหยั่งรู้ คิดวิเคราะห์ได้ว่า แก่นแท้ของความเป็น ไทย คือ
พฤติกรรมและคุณลักษณะที่บ่งช้ีแบบใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักในความเป็นไทย การรักแผ่นดิน
บ้านเกิด การรักความเป็นเอกราชของชาติไทย การรักในสถาบันศาสนาและสถาบนั พระมหากษัตริย์
และหมายรวมถงึ การรรู้ กั ษใ์ นขนบธรรมเนียมประเพณีอนั ดีงามของความเปน็ ไทย เหล่าน้ี เปน็ ต้น

สรุปได้ว่ารักความเป็นไทย หมายถึง ความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและเกิด ความ
ตระหนกั ว่าตนเองเปน็ ส่วนหนึ่งของสังคมไทย มีความเข้าใจและเห็นคุณค่าเอกลกั ษณท์ ด่ี ีของไทย เช่น
ภูมิปัญญาพ้ืนบ้านไทย วัฒนธรรมท่ีดีของไทยท้ังท่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรม อาทิ การแต่งกาย
อาหาร สมุนไพร ยารักษาโรค ความเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ การมีกริยามารยาทงดงาม การมีรอยย้ิมท่ีเป็น
เอกลักษณ์ในการสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน โดยสามารถที่จะดารงไว้ ซ่ึงความเป็นไทย
พร้อมกับการปฏิรูปความเป็นไทยท่ีสอดคล้องกับบริบทของโลกปัจจุบันและ การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
ท่เี กดิ ขนึ้ อย่างรวดเรว็ ในโลกยคุ โลกาภิวตั น์

9. มีจติ สาธารณะ
หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือสถานการณ์ท่ีเป็น
ประโยชน์ต่อโรงเรียน สังคม และชุมชน หรือการเป็นผู้ให้คอยให้ความช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งปัน
ความสุขส่วนตนเพื่อทาประโยชน์ให้แก่สว่ นรวม อาสาช่วยเหลือและร่วมสร้างสรรค์ส่ิงที่ดีงามให้ เกิด
แก่สว่ นรวม ด้วยความเต็มใจโดยไมห่ วงั ผลตอบแทน

20

อัญชลี ย่ิงรักพันธ์ (2550 : 12) ให้ความหมายไว้ว่า จิตสาธารณะ หมายถึง ความเป็น
พลเมอื งท่ีตน่ื รู้ ตระหนักในสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะสร้างสรรค์สังคมส่วนรวม พลเมือง ท่ี
เรียกร้องการมีส่วนรว่ มและต้องการท่ีจะจัดการดแู ลกาหนด เดชะตากรรมของตนและชมุ ชน การมีจิต
ที่คานึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม มีความรับผิดชอบต่อเร่ืองของส่วนรวม มีการใช้สิ่งของ ส่วนรวม
อย่างรับผิดชอบ ถือเป็นหน้าท่ีในการดูแลรักษาสมบัติของส่วนรวม มีการแบ่งปันและ เปิดโอกาสให้
ผู้อ่นื ได้ใช้สมบัติของสว่ นรวมนน้ั และการไม่ยึดเอาสมบตั ขิ องสว่ นรวมมา เปน็ ของตนเองหรือของกลมุ่

พริ ิยา นิลมาตร (2550 : 11)ใหค้ วามหมายวา่ จติ สาธารณะ หมายถึงความตระหนัก ของ
บุคคลถึงปัญหาท่ีเกิดข้ึนในสังคม ทาให้เกิดความปรารถนาท่ีจะเข้าไป จะเข้าไปช่วยเหลือสังคม
ต้องการ เข้าไปแก้ไขปัญหาหรือวิกฤตการณ์ รวมถึงความผิดปกติที่เกิดขึน้ ในสังคม โดยรบั รู้สิทธิและ
หน้าที่ ท่ีจะต้องรับผิดชอบ สานึกถึงพลังของตนว่าสามารถร่วมแก้ปัญหาได้และลงมือกระทาเพ่ือให้
เกดิ การแก้ปญั หาดว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ โดยการเรยี นรู้และแก้ไขปัญหารว่ มกับคนในสังคมรวมทั้งองค์กร
ในสังคม ง

เสาวนีย์ ฉัตรแก้ว (2551 : 20) ให้ความหมาย จิตสาธารณะว่า เป็นสิ่งท่ีเกิดจาก
กระบวนการเรยี นรู้ และตอ้ งมีแรงจงู ใจภายในเพ่ือผลักดันให้เกิดการกระทาหรอื พฤติกรรมที่ได้ ต้ังใจ
ไว้ ซ่ึงกระบวนการเรียนรู้ เริ่มต้นจากการรับรู้เหตุการณ์หรือบุคคลแล้วแปลความหมายเข้าสู่ ระดับ
จิตสานึกใช้แรงผลักดัน และแรงจูงใจให้กระทา หลังจากคิดวิเคราะห์จนซาบซึ้งและ หาแนวทางใน
การแก้ปัญหาสาธารณะเหลา่ น้ัน บุคคลท่มี ีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองและ แรงจูงใจภายใน
เปิดกว้างต่อประสบการณ์ จึงเป็นคุณลักษณะท่ีทาให้เกิดการมีจิตสาธารณะซ่ึงไม่ได้อยู่เพียงระดับ
จติ สานกึ เท่านน้ั แต่กอ่ ใหเ้ กิดพฤติกรรม จึงทาให้ปญั หา ตา่ ง ๆ ได้รบั การแกไ้ ข สงั คมก็จะมคี ณุ ภาพ

จิรพันธ์ อรรถจินดา (2551 : 1) ได้ให้ความหมายของจิตสาธารณะไว้ว่า หมายถึง การ
รู้จักเอาใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องของส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มีความ สานึก
และยดึ ม่ันในระบบคณุ ธรรม และจริยธรรมที่ดงี าม ละอายตอ่ สงิ่ ผิด เนน้ ความเรียบรอ้ ย ประหยัดและ
มีความสมดุลระหวา่ งมนษุ ย์กับธรรมชาติ

กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 54) ได้ให้ความหมายของจิตสาธารณะว่า หมายถึง
คุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่ืน
ชุมชน และสังคม ดว้ ยความเตม็ ใจ กระตอื รือรน้ โดยไม่หวังผลตอบแทน

สรุปได้ว่า มีจิตสาธารณะ หมายถึง หมายถึง คุณลักษณะทางจิตใจของบุคคลเก่ียวกับ
การมองเห็นคุณค่า หรือการให้คณุ ค่าแกก่ ารมีปฏสิ ัมพันธท์ างสงั คมและสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นสิ่ง สาธารณะ
ที่ไม่มีผใู้ ดผู้หน่ึงเป็นเจ้าของ หรือเป็นส่ิงที่คน ในสังคมเป็นเจ้าของร่วมกัน เป็นสิ่งท่ี สามารถสังเกตได้
จากความรู้สึกนึกคิด หรือการกระทาท่ีแสดงออกมา ได้แก่ การหลีกเลี่ยงการใช้ หรือการกระทาท่ีจะ
ทาให้เกิดความชารุดเสียหายต่อส่วนรวมที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันของกลุ่ม ถอื เป็นหนา้ ที่ที่จะมีสว่ นร่วม

21

ในการดแู ลรกั ษาของสว่ นรวมในวิสัยที่ตนสามารถทาได้ และการ เคารพสิทธิในการใชข้ องส่วนรวมที่
เปน็ ประโยชน์รว่ มกนั ของกล่มุ

7.4 แนวทางการพฒั นานกั เรยี นให้มีคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
กรมวิชาการ (2541 : 11-12) ได้เสนอแนวทางแก้ไขและเสริมสร้างลักษณะนิสัยให้มี
จรยิ ธรรมด้านความซ่อื สัตยพ์ อสรุปได้ใจความสาคัญกวา้ งๆดังนี้
1. ให้เด็กอยู่ใกล้ชดิ กับตัวอย่างที่ดี ได้ปฏิบัตจิ รงิ ในชีวิตประจาวันจนเหน็ คณุ คา่
2. เสนอปัญหาให้คิด เมื่อเด็กเห็นปัญหาของคนอื่นหรือสังคมท่ีตนเป็นส่วนหน่ึง มากๆก็
จะนาไปเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของตนเอง ทาให้เกิดความสานึกมากข้ึนและจะ เปล่ียนแปลง
ค่านยิ มและพฤตกิ รรมของตนเองโดยไมร่ ู้ตัว
3. จัดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาหาประสบการณ์จากวิชาการบางอย่างซึ่งสามารถพัฒนา
ค่านยิ มได้ เชน่ ศิลปะ ช่วยขัดเกลาจิตใจใหล้ ะเอียดออ่ น เปน็ ต้น
4. สนทนาวิสาสะในชีวิตประจาวัน เมื่อได้พบเห็นหรือสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ท้ังใน โรงเรียน
และนอกโรงเรยี น ในบา้ นและนอกบ้าน กน็ ามาวเิ คราะห์วจิ ารณ์กับเด็กได้
5. สร้างคาขวัญ ที่คนส่วนใหญจ่ ะยอมรับนับถือร่วมกนั ทัง้ น้ตี อ้ งอยูใ่ นขอบเขตทเ่ี หมาะสม
6. จัดกิจกรรมแนะแนวโดยใช้กระบวนการกลุ่มเพอื่ ให้เด็กได้แลกเปลีย่ น ประสบการณ์ซึ่ง
กันและกนั เรยี นรู้จากประสบการณท์ ี่เกิดข้ึน ให้เดก็ เกิดการเรียนรู้ และส่งผล ให้เกิดความงอกงามใน
ทกุ ๆ ดา้ น
มานะ ร้อยดาพันธ์ (2543 : 16) กล่าวว่า พัฒนาการทางสังคมและจริยธรรมของเด็ก จะ
เร่ิมขึ้นอย่างจริงจัง เม่ืออายุประมาณ 6 ขวบ โดยมีพื้นฐานของความคิดความเชื่อ ทัศนคติ และ
พฤติกรรมทางสังคมมาจากความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆภายในครอบครัว และจะพัฒนาเด่นชัดข้ึน
ภายใต้บรรยากาศของโรงเรียน ดังนั้น การจัดสถานการณ์การเรียนการสอน ท่ี ที่ไม่เน้นให้ เด็กยึด
ค่านิยมเกี่ยวกับความสาเร็จเด่นเฉพาะตัวเกินไป ไม่จัดช้ันเรียนให้เด็กตกอยู่ในบรรยากาศของ การ
แข่งขันเอาเป็นเอาตาย ฝกึ ใหเ้ ด็กเลกิ ยึดเอาตัวเองเปน็ ศูนยก์ ลางแบบตัวใครตัวมัน รู้จักคิด รสู้ ึก และ
ทาอะไรดว้ ยเหตุผลของคนหมู่มาก มีความผกู พันต่อตนเองและคนอ่ืน มีความสุข ความพอใจท่ี จะใช้
ความร้คู วามสามารถของตน เพ่อื ประโยชน์ของหมู่คณะ
กรมวิชาการ (2545 : 4) ได้กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3 ประการที่ควรพัฒนา
ให้เกิดขึน้ ในเยาวชนไทย คอื
1. ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

1) การรู้จกั และเขา้ ใจตนเองและผอู้ ่ืน
2) ความตรงต่อเวลา
3) ความซ่อื สตั ย์

22

4) ความขยนั หมน่ั เพียรและใฝร่ ู้
5) ความรบั ผิดชอบ
6) ความประหยดั
7) ความอดทน
8) ความมคี วามสามคั คีการทางานเปน็ กลุม่
9) การมีสัมมาคารวะ
10) ความสามารถในการวิเคราะห์
11) ไมพ่ วั พันสิ่งมอมเมาและสิ่งเสพติดให้โทษ
2. ด้านความสามารถในการทางานอยา่ งมีคุณภาพ
1) ความรู้ความเขา้ ใจในกิจกรรม
2) ลกั ษณะพนื้ ฐานของการมีทักษะการทางาน
3. ดา้ นคุณค่าทใ่ี หต้ อ่ สังคม
1) ความตน่ื ตัวตอ่ ปญั หา
2) ความกล้าหาญจรยิ ธรรมทจ่ี ะจรรโลงความถูกตอ้ งในสงั คม
3) อุดมการณ์ปณิธานในการทาประโยชนเ์ พ่ือสร้างสรรค์
กรมวิชาการ (2546 : 12) ได้ให้ความเห็นว่า การจัดการศึกษาตามหลักสูตร การศึกษา
ขั้นพื้นฐานสาหรับโรงเรียนกีฬาต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และคุณธรรมตาม
มาตรฐาน ดงั น้ี
1. ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน มีวินัย มีจรรยาบรรณ มีน้าใจนักกีฬา มีความรับผิดชอบ
คานงึ ถึงประโยชน์ส่วนรวม
2. ปฏิบตั ิตามหลักธรรมของศาสนาทตี่ นนับถอื
3. เห็นคุณค่าของตนเองและผอู้ ืน่ มีความมัน่ คงทางอารมณ์
4. ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รู้วิธีการเรียนรู้รักการอ่าน มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ รักการเรียนรู้
ทางกีฬา
5. มีทักษะในการใช้ภาษาไทย และภาษาสากล
6. ทักษะในการทางาน การจัดการ รักการทางานและมีเจตคติท่ีดีต่องานการกีฬา
และอาชพี สจุ ริต
7. มคี วามรู้และทกั ษะด้านการกีฬาเพ่อื พัฒนาสคู่ วามเป็นเลิศ เตม็ ศักยภาพ
8. มคี วามร้แู ละทกั ษะด้านคณติ ศาสตร์วทิ ยาศาสตร์เทคโนโลยแี ละวทิ ยาการดา้ นอ่นื ๆ
9. มีความคดิ เชิงระบบ คิดอย่างมีวจิ ารณญาณ และคดิ อย่างสรา้ งสรรค์
10. มีความรักในการเล่นกีฬา รกั การออกกาลังกาย และออกกาลังกายอย่างสมา่ เสมอ

23

11. มีสุขภาพและสมรรถภาพทางกายและทางจิตที่สมบูรณ์ มีบุคลิกภาพและ
ลกั ษณะนสิ ยั ของนกั กฬี าท่ดี ีทีเ่ ปน็ แบบอย่างของสงั คม

12. มีความภาคภูมใิ จในความเป็นนักกีฬาของทอ้ งถน่ิ และประเทศชาติ
13. ดแู ลรกั ษาสุขภาพตนเอง ครอบครัวและชมุ ชน ปอ้ งกนั ตนเองจากสารเสพติดและ
อบายมุข
14. มีลักษณะนิสัยที่ดี ในการบริโภคเลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสม
15. เห็นคุณค่าของศลิ ปะและธรรมชาติ
16. มจี ิตสานึกในการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน และสง่ิ แวดลอ้ ม
17.รักท้องถ่ิน ประเทศชาติ และความเป็นไทย สืบสานมรดกทางศิลปะ วัฒนธรรม
และภูมปิ ญั ญาไทย
18. มีจติ สานกึ และปฏิบัตติ ามวถิ ที างประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษัตรยิ เ์ ป็น ประมุข
รกั ษาสิทธิเสรภี าพของตนเอง และเคารพสิทธิเสรีภาพของผูอ้ น่ื
การพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ใหญ่ จะ
สอดคล้องกับคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งได้แก่ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีวินัย ความรับผิดชอบ ความ
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีสัมมาคารวะ ความมีไมตรีจิตมิตรภาพ ดังนั้น การพัฒนาคุณธรรมและ
จริยธรรมในสถาบันการศึกษา นับได้วา่ เป็นหลักการทชี่ อบด้วยเหตุผล เป็นพลงั ทปี่ ลุกเร้าบารุงคน ให้
มีคุณภาพในการเป็นสมาชิกของสงั คมท่ีดี มีจิตสานึกรับผดิ ชอบต่อหนา้ ที่ของมนุษยชน ธรรมเป็นแห่ง
ความจริงทีม่ ีอยู่แล้วในธรรมชาติ ไม่ว่าในสถาบันการศึกษาใดก็ตามการเปลี่ยนแปลง ท้ังหลายท่ีชอบ
ดว้ ยเหตุและผล ยอ่ มอยู่ภายในห่วงและเกณฑ์แห่งธรรมท้ังส้นิ สิ่งทั้งหลายอัน เป็นองค์ประกอบของ
กระบวนการชวี ิตจึงอย่อู ย่างสมั พนั ธ์กันและสมดลุ กนั
Berkowitz (2006 อ้างถึงใน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2551 : 26)
เสนอว่า คุณลักษณะศึกษาเพ่ือพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ไม่ควรใช้การเพิ่มโปรแกรมหรือ
กจิ กรรมเข้าไปในโรงเรียน หากแต่ควรเปล่ียนวฒั นธรรมของโรงเรียนและการดาเนินชีวิต ในขณะ ท่ี
Michigan State University Extension (2005 อ้างถึงใน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2551 : 26) ได้เสนอแนวทางการจัดคุณลักษณะศึกษาเพื่อพัฒนาจริยธรรมของเด็กและเยาวชนของ
มูลนิธิจริยธรรมโจเซฟิน (Josephine institute of ethics) โดยจัดเป็นโครงการต่างๆ ที่พัฒนา
จริยธรรมต่างๆ ให้แก่เด็กและเยาวชนตามโรงเรียนและองค์กรต่างๆท่ัวประเทศ โดยมีชุดกิจกรรมที่
เรียกว่า “Character counts” ที่ใช้ในการพัฒนาคุณลักษณะท่ีดีของเด็กในช่วงอายุต่างๆ 5 ช่วง
ไดแ้ ก่ 4-6 ปี 6-9 ปี 9-11 ปี และ 11-13 ปี และวยั รุ่น

24

โดยมีคุณลักษณะท่ีสาคัญ 6 ประการ (Six pilars of character) ท่ีมุ่งส่งเสริมให้เกิดกับ
นักเรียน ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความเคารพผู้อ่ืน ความรับผิดชอบ ความยุติธรรม การดูแลเอาใจใส่
เก้อื กูล และความเป็นพลเมอื งทด่ี ี

Gholar (2006 อ้างถึงใน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2551 : 25) ได้
เสนอรูปแบบการพัฒนาคณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ให้กับ
เด็ก โดยจัดเป็นศูนย์คุณลักษณะศึกษา เพ่ือการศึกษาและสร้างกจิ กรรมตา่ งๆ ทพี่ ัฒนา คุณลกั ษณะท่ี
พงึ ประสงค์ของนักเรียน นอกจากนน้ั ยังเน้นการเสริมสร้างการยอมรับตอนเอง (Self-esteem) ใหแ้ ก่
เดก็ แนวคดิ ดงั กล่าวเน้นการพัฒนาการเรียนรู้คุณธรรมจริยธรรมทั้ง ทางสติปญั ญา (Cognitive area)
ในด้านความรู้ความเข้าใจในคุณลักษณะที่ดี ตลอดจนการพัฒนา ด้านจิตใจ (Affective area) ของ
นักเรียน ซ่ึงจะสง่ ผลตอ่ การประพฤติการปฏิบัติตนของเด็ก แนวทางนห้ี มายรวมถงึ การบูรณาการการ
สอนและการสอดยอดแทรกเรื่องคุณลักษณะ ที่ดีใน การสอนวิชาต่างๆ ให้กับเด็กด้วยกิจกรรมที่
บูรณาการและสอดแทรกเข้ากับหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนปกติเพื่อพัฒนาคุณลักษณะของ
เด็ก มีลักษณะท่ีให้นักเรียนได้เรียนรู้และ พัฒนาตนเองจากกิจกรรมการเรียนรู้หรือประสบการณ์ท่ี
หลากหลาย ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ (Cooperative learning) การแสดงบทบาท
สมมติ (Role playing) กิจกรรมท่ีเน้นการคิด สร้างสรรค์ (Creative thinking) และกลยุทธ์ต่างๆใน
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ท่เี กิดระหว่างบุคคล

สรุปความว่า คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรม ซึ่ง
สถานศึกษาต้องดาเนินการปลูกฝังให้กับนักเรียน ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัด
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตลอดจนสอดแทรกในกิจวัตรประจาวันของนักเรียน ซ่ึงการพัฒนาต้องอาศัย
ความรว่ มมอื จากหลายฝ่ายทงั้ ผูเ้ รียน ผู้สอน ผปู้ กครอง และชมุ ชน

7.5 ทฤษฎที เี่ กย่ี วกับคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณลักษณะ อันพึง
ประสงค์ได้มีนักวิชาการและนกั จิตวทิ ยาพบวา่
Piaget (1974 : 34) กล่าวว่า ความเชื่อท่วี ่า จรยิ ธรรมเปน็ เร่ืองของลักษณะ บางประการ
ของบคุ ลกิ ภาพ ฉะนั้นการพฒั นาจรยิ ธรรมเปน็ เร่อื งของจติ ใตส้ านึกซง่ึ เดก็ จะไดเ้ รยี นรู้ มาต้ังแต่อายุ 2-
3 ขวบ พัฒนาการทางจรยิ ธรรมเป็นผลมาจากการทต่ี ัวเด็กได้ร่วมคบหาสมาคมกับ ผู้อื่นมากกว่าที่จะ
เป็นผลโดยตรงจากการพัฒนาการทางร่างกายและทางประสาทหรือเป็นผลมาจาก การอบรมสั่งสอน
ของพ่อ แม่ ครู และผู้ใหญ่ ในทฤษฎีพฒั นาการทางจรยิ ธรรมของ Piaget อธบิ าย ว่า การฝกึ หัดอบรม
และระเบียบวินัยจากทางบ้านเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมของเด็กท่ีเขา ไดร้ ับรู้ เด็กจะยอมรับ
เอาความเชอ่ื ค่านิยมต่างๆเหล่าน้ีได้ก็ต่อเม่ือเขาได้เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ได้ใช้ กฎเกณฑ์เหลา่ น้ันซ่ึงเป็น
ผลที่เขาได้มีส่วนร่วมทางสังคมและไดแ้ สดงบทบาทเด็กจะตอ้ งสวม บทบาทของผู้อ่ืนทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ตน

25

จึงจะทาให้เข้าใจผู้อ่ืนอย่างชนิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา เด็กจะต้อง ฝึกหัดคิดพิจารณา
ไตร่ตรองสถานการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิหน้าที่ และการแลกเปลี่ยนกัน และกัน หย่ังถึงจิตใจ
ความรสู้ กึ นึกคิดของผ้อู นื่ Piaget ยงั กลา่ วอกี ว่า พฒั นาการรับรู้เก่ยี วกับ กฎเกณฑ์ของเดก็ ที่ได้ศกึ ษามี
4 ระยะ คือ

1) ระยะที่ 1 คือ ระยะเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 2 ขวบ เป็นระยะท่ีเด็กเรียนรู้จากการ
สัมผัส เคล่ือนไหวอย่างไม่มีจดุ หมาย ไมม่ ีความสนใจ ตั้งใจในระยะเวลานาน การเคล่ือนไหว ร่างกาย
เปล่ียนแปลง จนกระท่ังมาถึงการเคลอ่ื นไหวอย่างมีจุดหมาย ซึ่งในระยะนี้เด็กไมม่ ีระเบียบ กฎเกณฑ์
ใดๆ ในการเลน่ แตเ่ ริ่มแสดงความพอใจในกิจกรรมที่ทาเสมอ ทาซา้ กัน

2) ระยะท่ี 2 คือ ระหว่างอายุ 2-5 ขวบ ระยะน้ีเดก็ ถือตนเองเป็นศนู ย์กลาง เด็กชอบ เล่น
ตามลาพังและอย่ใู นระยะกาลังเลียนแบบและหดั พูด แมว้ ่าจะเลน่ กับเพื่อน แตก่ ็อยใู่ นลักษณะ ต่างคน
ต่างเล่น ไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์ร่วมกัน เด็กยังไม่สามารถแยกความคิดของตนจากผู้อื่นไม่สามารถ นา
ความคิดของผู้อ่ืนมาพิจารณาเปรียบเทียบของตน เด็กถูกบังคับให้ยอมรับกฎเกณฑ์ระเบียบจาก
ภายนอกจากผู้ใหญ่และเด็กรู้สึกว่าตนไม่เท่าเทียมกับผู้ใหญ่ อ่อนแอกว่าและไม่รู้ว่าตนมีความคิด
แตกตา่ งจากผอู้ ่นื อยา่ งไร บ

3) ระยะที่ 3 คือ ชว่ งอายรุ ะหว่าง 6-8 ปี เปน็ ระยะที่เด็กมีความร่วมมือกัน เดก็ วัยนี้ ชอบ
เล่นกับผู้อ่ืน ความพอใจในการเล่น ไม่ใช่เพื่อความต้องการท่ีจะออกกาลังกล้ามเน้ือ การเคลื่อนไหว
อย่างเดียวหรือไม่ใช่เพื่อการอยู่ในโลกแห่งจินตนาการของตนเองตามลาพังแต่ เพ่ือความพอใจทาง
สังคม การตกลงแบ่งปันกันระหว่างเพ่ือน ความจงรักภักดีต่อพวกพ้องและไม่ใช่ เป็นการเล่นที่ต้อง
เอาชนะเพยี งอย่างเดยี ว ระยะนี้เด็กมองเห็นแล้ววา่ กฎเปน็ เพยี งข้อตกลง

4) ระยะที่ 4 คือ ชว่ งอายุระหว่าง 10-12 ปี เป็นระยะที่เด็กมีความเข้าใจในกฎดขี ึ้น ชอบ
อภิปรายเพื่อหาข้อตกลงในหลกั เกณฑ์ การเล่นเพื่อจะให้เกมสนุกสนาน มีความสลับซับซ้อน กฎเป็น
สง่ิ ท่ีเปลีย่ นไดแ้ ละเห็นคณุ ค่าในการพิสูจน์

ฉะนั้นตามทัศนะของ Piaget การพัฒนาความเข้าใจท่ีแท้จริงเก่ียวกับกฎน้ี เด็กในช่วง
ระยะที่ 3 เรียนอยู่ในระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 พัฒนาการอายุระหว่าง 6-8 ปี ต้องมา จากการ
ติดต่อสมาคมร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับเพ่ือนฝูงกับบุคคลภายนอกในสังคมท่ีกว้างออกไป ซึ่ง จะทาให้
เด็กต้องคิดถึงเหตุผล ไม่เข้าข้างตนเอง เม่ือเข้าใจหลักการเปลี่ยนแปลงตอบแทนกัน จะทา ให้เข้าใจ
หลักสัมพันธ์กับผู้อื่น และเด็กวัยน้ีชอบทดลองพิสูจน์และชอบคบหาเป็นระยะท่ีเขากาลัง พัฒนา
สติปัญญา สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มท่ี จึงจาเป็นต้องใช้กิจกรรมเพ่ือกระตุ้นให้ปฏิบัติ ตาม
กฎระเบยี บของสงั คม

26

Kohlberg (2000 : 35) เป็นนักจิตวิทยาปัญญานิยมตามทฤษฎีของเขากล่าวว่า ความ
เจริญทางจิตใจของบุคคลน้ันมีส่วนสัมพันธ์อยู่มากกับความเจริญทางสติปัญญา เหตุผลและ อารมณ์
ฉะน้ันการศึกษาให้เข้าใจถึงเหตุผลที่บุคคลใช้เป็นหลักในการตัดสินพิจารณาที่จะเลือก แสดง
พฤติกรรมอย่างใดอย่างหน่ึงในสถานการณ์ต่างๆ ย่อมทาให้เราทราบระดับความเจริญ ทางจริยธรรม
ของบุคคลนั้น อาจทาให้ทราบและสามารถทานายพฤติกรรมของบุคคลน้ัน และอาจ ทาให้ทราบและ
สามารถทานายพฤติกรรมเชิงจริยธรรมในสถานการณ์แต่ละชนิดได้ Kohlberg เช่ือวา่ จริยธรรมมิใช่
สร้างเพียงภายใน 1 วัน คนจะดีได้ด้วยการสร้างเสริมและสะสมความรู้จาก ส่ิงแวดล้อมด้วย
กระบวนการอันยาวนานตามความสามารถของวุฒิภาวะ เขาได้ศึกษาจริยธรรมด้วย วิธีการศึกษา
ระยะยาว คือ การศึกษาท่ีใช้ช่วงเวลาเป็นระยะยาวในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการ ของมนุษย์
และการศึกษาด้วยวิธีภาคตัดขวาง คือ เปรยี บเทียบข้ามกลุ่มอายุกลมุ่ ตัวอย่าง Kohlberg ได้สรุปโดย
จัดระดับของพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ แต่ละระดับจะมี 2 ขั้น คือ รวม เป็น 6 ข้ัน
ดังนี้

1. ระดับกอ่ นเกณฑ์ (อายปุ ระมาณ 2-12 ปี)
1) ขน้ั ท่ี 1 ใชก้ ารลงโทษเปน็ เหตผุ ลในการตดั สิน
2) ขัน้ ท่ี 2 ใช้การตอบสนองความต้องการของตนเองเป็นเหตผุ ลในการตัดสิน

2. ระดบั เกณฑส์ งั คม (อายุตง้ั แต่ 12 ปขี ึน้ ไปโดยประมาณ)
1) ขั้นที่ 3 ใชก้ ารเป็นทยี่ อมรบั ของสังคมเป็นเหตผุ ลในการตดั สนิ
2) ข้ันท่ี 4 ใชร้ ะเบยี บแบบแผนและกฎเกณฑ์ของสงั คมเป็นเหตผุ ลในการตดั สิน

3. ระดับเลยกฎเกณฑ์สังคม (อายุประมาณ 20 ปขี ้นึ ไป)
1) ขน้ั ท่ี 5 ใชส้ ญั ญาสงั คมเป็นเหตุผลในการตัดสิน

4. ข้ันท่ี 6 ใช้หลักการจรยิ ธรรมสากลเป็นเหตผุ ลในการตดั สิน
Kohlberg มีความเชื่อว่า กฎเกณฑ์ที่คนเราใช้ตัดสินความถูกผิดของการกระทา จะ
พฒั นาเป็นขั้นๆ จากตา่ ไปสู่ข้นั สูงกว่าทีละ 1 ขั้นไมม่ ีการย้อน ไม่มีการขา้ มขน้ั และไมม่ ีการเร่ง ขน้ั ตาม
ทรรศนะของ Kohlberg จริยธรรมแต่ละข้ันจะเป็นผลของการคิดไตร่ตรอง ในการคิด ไตร่ตรอง
จาเปน็ ต้องอาศัยข้อมลู ท่ีนามาพจิ ารณา ส่วนหนง่ึ เป็นความเขา้ ใจของตนเองเก่ียวกับส่ิง ต่างๆและอีก
ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์ทางสังคมที่ได้รับใหม่ โดยเฉพาะข้อมูลท่ีได้จากการฟัง ทรรศนะของ
ผู้อื่น ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับพัฒนาการของตน 1 ขัน้ หากข้อมูลต่างๆเหลา่ น้ีมีความขัดแย้ง ไม่ลงรอยกัน
ความร้สู ึกไม่สมดลุ ก็จะเกิดขึน้ ทาใหผ้ ูต้ กอยใู่ นสภาพที่ไม่สมดุลตอ้ งปรับตัวเองโดย การสารวจและจัด
ระเบยี บตามความคดิ เปน็ โครงสร้างทางความคิดใหม่

27

ซ่ึงแตกต่างจากเดิมกระบวนการจาแนกและการบูรณาการจึงเป็นกลไกของการพัฒนา
จริยธรรมผลของกระบวนการน้ี ทาให้เกดิ ความเขา้ ใจใหม่ซึ่งมาแทนทีค่ วามเข้าใจเก่า จรยิ ธรรมใหม่นี้
อยู่ในขั้นสงู กว่าจรยิ ธรรมเกา่ ในเชงิ คณุ ภาพอย่างสน้ิ เชงิ

Peak and Havighurst (2004 : 23) ทฤษฎีแรงจูงใจทางจริยธรรมหรือความมีวินัย
ของตนเอง เช่อื ว่าการควบคมุ ของอโี ก้และการควบคมุ ของซุปเปอร์ฮีโก้รว่ มกันทาใหเ้ กิด ความตอ้ งการ
แสดงพฤตกิ รรมเพือ่ ผูอ้ ืน่ อยา่ งสมเหตุสมผล บคุ คลแต่ละบคุ คลจะมีพลังควบคมุ อีโก้ และซุปเปอร์อโี ก้
ในระดับท่ีไม่เท่ากันอันเน่ืองมาจากการไดร้ ับความรทู้ างจริยศึกษาท่ีทาให้ทราบถึง ที่ ผลที่จะเกิดจาก
การแสดงพฤติกรรมต่างๆ ในระดับไม่เท่ากัน ทาใหค้ วบคุมตนเองแตกต่างกันจะเห็น ไดว้ ่าการพฒั นา
ความมีวินัยของตนเองของ Peak and Havighurst ใช้ความรู้สึกทางจริยธรรมมาช่วย ในการสร้าง
พลังควบคุมอีโก้และซุปเปอร์อีโก้ ต้ังแต่เด็กจนกระทั่งสามารถพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ท่ีมี วุฒิภาวะทาง
จิตสานึกท่ีสมบูรณ์และมีการควบคุมตนเองจนสามารถสร้างคุณธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นในตนเอง
อยา่ งเหมาะสม

7.6 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐานพุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 :
3-7) มงุ่ พฒั นาผู้เรยี นทกุ คน ซ่ึงเป็นกาลังของชาติใหเ้ ป็นมนุษยท์ ่ีมคี วามสมดุลท้ังดา้ น ร่างกาย ความรู้
คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดม่ันในการปกครอง ตามระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมทั้ง เจตคติที่
จาเปน็ ตอ่ การศกึ ษาตอ่ การประกอบอาชีพและการศกึ ษาตลอดชีวติ โดยมุ่งเน้นผู้เรยี นเป็น สาคญั บน
พื้นฐานความเช่อื ว่า ทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพัฒนาตนเองไดเ้ ตม็ ศกั ยภาพ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็น คนดี
มีปัญญา มีความสุข มศี ักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชพี จึงกาหนดเปน็ จดุ ม่งุ หมาย เพ่ือให้
เกดิ กบั ผ้เู รียน เมอ่ื จบการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน ดังนี้

1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ
ปฏบิ ตั ิตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาทต่ี นนับถือ ยดึ หลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพยี ง

2. มีความรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ เทคโนโลยี
และมที กั ษะชีวติ

3. มสี ุขภาพกายและสุขภาพจติ ท่ดี ี มีสุขนิสยั และรักการออกกาลงั กาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นใน วิถีชีวิต
และการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมขุ

28

5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และ พัฒนา
สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างส่ิงท่ีดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันใน สังคม
อยา่ งมีความสขุ ที่

สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
มุ่งเนน้ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด ซ่ึงจะช่วยให้ผ้เู รยี นเกดิ สมรรถนะสาคญั และ
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ดงั นี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี วัฒนธรรมใน
การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือ แลกเปลี่ยน
ข้อมูลข่าวสารและประสบการณอ์ ันจะเป็นประโยชน์ตอ่ การพฒั นาตนเองและสงั คม รวมทง้ั การเจรจา
ต่อรองเพอ่ื ขจัดและลดปญั หาความขดั แยง้ ต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูล ข่าวสารด้วยหลักเหตุผล
และความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้วิธีการส่ือสาร ท่ีมีประสิทธิภาพโดย คานึงถึงผลกระทบที่มีต่อ
ตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคดิ เป็นความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การคิด สังเคราะห์ การ
คดิ อย่างสร้างสรรค์ การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การ สร้างองคค์ วามรู้
หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสนิ ใจเกีย่ วกบั ตนเองและสังคมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปญั หาและ อุปสรรคต่างๆท่ี
เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณต์ ่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกตค์ วามรู้มาใช้
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดย คานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
ทบท่ีเกิดขนึ้ ตอ่ ตนเอง สงั คมและสงิ่ แวดล้อม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนา กระบวนการตา่ งๆ ไป
ใชใ้ นการดาเนนิ ชีวิตประจาวนั การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งตอ่ เนอื่ ง การทางาน และการอยู่
ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความ
ขดั แย้งตา่ งๆอยา่ งเหมาะสม การปรับตัวให้ทนั กบั การเปลย่ี นแปลงของ สังคมและสภาพแวดล้อม และ
การรู้จักหลกี เลยี่ งพฤติกรรมไม่พงึ ประสงค์ที่สง่ ผลกระทบตอ่ ตนเอง และผ้อู ืน่
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยี
ด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนา เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม
ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสารการทางาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และ มี
คุณธรรม

29

7.7 งานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วข้อง
มานะ ร้อยดาพันธ์ (2543 : 62) ได้ศึกษาคุณลักษณะท่ีเป็นจริงและลักษณะที่พึง
ประสงคข์ องนักเรียนในโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา สังกดั กรมสามัญศึกษา จงั หวัดขอนแกน่ กลมุ่ ตัวอย่าง ที่
ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียน จานวน 809 คน ผลการวิจัยพบว่า
คุณลกั ษณะที่เป็นจรงิ ๆ ของนักเรียนตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาแห่งชาติอยใู่ นระดับดี นักเรียนมี
สุขนิสัย สุขภาพกาย และสุขภาพจิตท่ีดี ผลการวิจัยในระดับพอใช้ปรากฏ 3 ด้าน คือ 1)การมี
วิจารณญาณและความคิดสร้างสรรค์ 2)การมีความรู้และทักษะในการเรียนรู้ 3)การแสวงหาความรู้
และพัฒนาตนเอง
ประภัสสร เผือกคเชนทร์ (2548 : 55) ได้ทาการศึกษาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของ
นักเรียนระดับประถมศึกษาตามความคิดเห็นของชุมชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการศึกษา
พบว่าชุมชนมีความคิดเห็นเกีย่ วกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนในระดับ ประถมศึกษาใน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยชุมชนมีความคิดเห็นว่า คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ของนักเรียนด้านคุณธรรมจริยธรรมท่ีจาเป็นต่อการดาเนินชีวิต มีความต้องการเป็นอันดับ
แรก รองลงมาคือด้านสุขภาพ และสมรรถภาพทางกายตามเกณฑ์ อันดับ 3 ได้แก่ ด้านเห็นคุณค่า
อนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรมและภูมิใจในความเป็นไทย ท้ังนี้กลุ่มผู้นาชุมชน คณะกรรมการ
สถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานและประชาชน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน
แตกต่างกันในด้านความสามารถในการใช้ภาษา และ ความสามารถทางคณิตศาสตร์ ด้าน
ความสามารถในการคิดและแก้ปัญหา ความสามารถในการ ปฏิบัติงานในชีวิตประจาวัน/งานอาชีพ
และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการดาเนินชีวิต ด้านการอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ตามวิถี
ประชาธิปไตย ด้านเห็นคุณค่าอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และภูมิใจในความเป็นไทย
นอกจากน้ันในด้านอื่นๆ ไม่พบความต่าง สาหรับความคิดเห็นของชุมชนเก่ียวกับคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ของนักเรียนในด้านความสามารถในการใช้ภาษา ความสามารถทางคณิตศาสตร์ และ
ความสามารถในด้านการคิดและแก้ปัญหา คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความต้องการ
มากกว่าประชาชน ส่วนด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน ในชีวิตประจาวัน/งานอาชีพ และ
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการดารงชีวิต ผู้นาชุมชนมี ความต้องการมากกว่าประชาชน
สาหรับด้านอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ตามวิถีประชาธิปไตย และด้านเห็น คุณค่าอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม
ศิลปวัฒนธรรมและภูมิใจในความเป็นไทย ผู้นาชุมชนและ คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานมี
ความตอ้ งการมากกว่าประชาชน
ธิดา เลิศพรประสพโชค (2547 : 81-82) ได้ศึกษาเรื่องคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของ
นกั เรียนโรงเรียนวัดดอนเมือง (ทหารอากาศอทุ ิศ) สังกัดกรุงเทพมหานคร และ และเพื่อเปรียบเทียบ
คุณลักษณะท่ีพึงประสงคข์ องนักเรยี น โรงเรียนวัดดอนเมือง (ทหารอากาศอุทศิ )

30

โดยจาแนกตามเพศ และ ระดับช้ันท่ีศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนท่ีกาลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนวัด
ดอนเมือง (ทหาร อากาศอุทิศ) เครื่องมือท่ีใช้เป็นแบบสอบถาม ผลวิจัยพบว่า คุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ของนกั เรียนมี 5 องค์ประกอบ คือ ความรับผดิ ชอบ มีวนิ ัย ความกตญั ญู ความมีเหตุผล และ
มีจิตใจเป็น ประชาธิปไตย เม่ือเปรียบเทียบคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักเรียนด้านคุณธรรม
จริยธรรม และ ค่านิยมของนักเรียนชายและนักเรียนหญิง ผลวิจัยพบว่า คุณลักษณะด้านความ
รบั ผิดชอบมีวนิ ัย ความกตัญญู และมีจิตใจเป็นประชาธิปไตยมีความแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคญั ส่วน
ด้านความมีเหตุผล ไม่แตกต่างกนั

สุวมิ ล วอ่ งวาณิช (2549 อา้ งถงึ ใน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 2551 : 30
) พบว่าแนวคิดและหลักการสาหรับการพัฒนาคุณลักษณะที่ดีของนักเรียน แบบผู้นา การพัฒนา
คุณลักษณะต้องมีการสร้างตัวแบบที่ดี ทั้งผู้ปกครอง ครู หรือบุคคลตัวอย่างใน สังคม มีการพัฒนา
คุณธรรมและคุณลักษณะอื่นๆ โดยมีกระบวนการพัฒนาที่เป็นการบูรณาการ สอดแทรกอยู่ในชีวิต
การเรียน การปฏิบัติงาน ตอกย้าให้เกิดการพัฒนาตนอย่างต่อเน่ือง มีความ สอดคล้องกับธรรมชาติ
เช่อื มโยงความสัมพันธร์ ะหว่างคนกับสง่ิ แวดลอ้ ม และคนกับธรรมชาติ โยงความสัมพันธ์ระหวา่ งสงั คม
วฒั นธรรมกบั การเรยี นการสอน นอกจากนี้การพฒั นาตวั ตนของ นักเรียน ด้วยการจดั พ้ืนท่ีสร้างสรรค์
เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ และเยาวชนไดแ้ สดงออกถงึ ความสามารถ ศักยภาพ และการปฏิบัติตนตามความเช่ือ
ตามแนวทางท่ีตนเองคดิ สร้างสรรค์และอยู่ในบรบิ ทของ การทาความดี มีส่วนร่วมในการทากิจกรรม
เพื่อพัฒนาสังคม ให้เด็กได้มีการปฏิบัติและ เละพัฒนา ตนเองอย่างเข้าใจความหมาย เห็นบทบาท
และคุณค่าของคนเองมากขึ้น โดยการสร้างค่านิยมให้เด็ก และเยาวชนได้เห็นชัดเจนว่าแก่นของ
เดก็ ไทยคืออะไร ตอ้ งประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร กาหนด เปา้ หมายของการพัฒนาทชี่ ดั เจนและดึงสง่ิ ที่
อยู่ใกล้ตัวมาทาให้เด็กมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ปรับเปลี่ยนจริยธรรม เช่น การสารวจพฤติกรรมของ
ตนเองในแต่ละวัน และต้องยอมรับว่าค่านิยม ต้องมาจากตัวแบบที่ดี นอกจากนี้ยังอาศัยการสร้าง
ความร่วมมือรวมพลังทั้งจากผู้บริหาร ครูใน โรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน สังคม ในการพัฒนาเด็กและ
เยาวชนไทย กาหนดคุณธรรมท่ีเปน็ เปา้ หมาย ให้ครอบครวั ชุมชนมีการทากิจกรรมร่วมกนั มีการจัด
กิจกรรมเพอ่ื พัฒนาคณุ ลักษณะของ เดก็ และเยาวชนต้องสอดคล้องกับลักษณะของโรงเรียน ธรรมชาติ
บริบท และช่วงวัยของเด็ก เพ่อื ใหเ้ กดิ การเรียนรู้รว่ มกัน ซึมซบั วิธคี ดิ และการปฏบิ ตั ิด้วยการอยู่ร่วมกัน
เป็นสรา้ งความเข้มแข็ง ของครอบครวั และชมุ ชน

นอกจากนี้โรงเรียนต้องมีการจัดการเรียนการสอนท่ีไม่เน้นแต่ด้าน วิชาการเพียงอย่าง
เดยี ว จัดให้ครูเป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลง และดึงชุมชนเขา้ มาสร้างชมุ ชนท่ี สร้างสรรค ช้ีใหเ้ ห็นปญั หา
ของชุมชนท่สี ่งผลกระทบต่อบุตรหลาน อาศัยการสรา้ งแนวร่วม มีเครือข่ายท่ีช่วยเสริมกาลงั ใจให้เด็ก
ทาความดี เด็กที่ได้รับการพัฒนาทาให้เขาเปน็ คนดีไปแล้วก็ สรา้ งเครอื ข่ายเด็กรนุ่ ใหมๆ่ เข้ามา การให้
รางวลั ไมจ่ าเปน็ ต้องเป็นสงิ่ ของเงนิ ทอง อาจเปน็ การยกยอ่ งชมเชยก็ได้

31

รัชนี โภชนาธาร (2548 : 52-54) ได้ทาการศึกษากระบวนการบริหารจัดการกับการ
พัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน กรณีศึกษาแห่งหน่ึงในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาภูเก็ต ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการบริหารจัดการ ท่ีผู้บริหารนามาใช้เพื่อพัฒนา
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนด้านความมีสัมมาคารวะและความมีอัธยาศัยไมตรี มี 4
กระบวนการด้วยกัน คือ 1) การทางานอย่างต่อเน่ือง 2) การอบรมส่ังสอนของโรงเรียนควบคู่ กับ
ผู้ปกครอง 3) การร่วมกนั ให้การสนบั สนุนของโรงเรยี น บ้าน วัดและชมุ ชน และ 4) การกากับ ติดตาม
และประเมินผลและเง่ือนไขท่ีมีผลต่อการบริหารจัดการ เพ่ือพัฒนาคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ของ
ผ้เู รียน ดา้ นความมสี ัมมาคารวะและความมีอธั ยาศัยไมตรี ซึ่งทาให้โรงเรยี นประสบ ความสาเรจ็ ในการ
บริหารมี 5 เง่ือนไข ด้วยกัน คือ 1) เง่ือนไขจากนโยบาย มี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ความชัดเจนเป็น
รูปธรรมและความต้องการของชุมชน 2) เงื่อนไขจากตัวบุคคล มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ผู้บริหาร
โรงเรียน ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 3) เงื่อนไขจากการให้รางวัล มี 2
องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ การให้รางวลั เกลด็ ปลาเมื่อนักเรียนไหวค้ รู ครบตามจานวนที่กาหนด และการให้
รางวัลหรือเกียรติบัตรกับนักเรียนท่ีทาความดี และมีผู้ปกครอง ลงช่ือรับรองได้มากที่สุด 4) เงื่อนไข
จากสิ่งแวดล้อม มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ โรงเรียน บ้าน วดั และชุมชน 5) เง่ือนไขจากค่านิยมดงั้ เดิม
ของสังคมไทย มี 2 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ การสวสั ดีด้วยการ ไหว้และการแสดงความเคารพต่อผู้อาวโุ ส
ส่วนยทุ ธศาสตร์การบริหารจัดการเพื่อพฒั นา คณุ ลักษณะอันพึงประสงคข์ องผู้เรยี นด้านความมสี ัมมา
คารวะและความมีอัธยาศัยไมตรี ที่ผู้บริหาร นามาใช้ในการบริหารงานจนประสบความสาเร็จมี 4
ยุทธศาสตร์ด้วยกัน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ การบูรณาการทุนทางสังคม ยุทธศาสตร์การตอกย้า
พฤติกรรมด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย ยทุ ธศาสตร์การเป็นโรงเรยี นนาร่องและยุทธศาสตร์การคิดใหม่
ทาใหม่

อนงค์ จันใด (2550 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนใน
โรงเรยี นสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพอ่ื สารวจคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ของ นักเรยี น
ท่ีกาหนดโดยโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร และเปรียบเทียบคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน
เหตุผลความรับผิดชอบ ซ่ึงเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ท่ีโรงเรียนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 71) กาหนด
เพื่อเน้นและปลูกฝังให้กับนักเรียน ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างนักเรียนในโรงเรียน นาร่องและโรงเรียน
เครือข่ายการใช้หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานกับโรงเรียนทั่วไปในสังกัด กรุงเทพมหานคร ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 กับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 การสารวจ คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ศึกษาจากข้าราชการครูในสังกัดกรุงเทพมหานครท่ีปฏิบัติงาน ด้านการวัดและประเมินผล
จานวน 431 คน ส่วนกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการเปรียบเทียบคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้านเหตุผล
ความรบั ผิดชอบ เปน็ นกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนนารอ่ งและ โรงเรียนเครอื ข่ายฯ จานวน
96 คน นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นท่วั ไปจานวน 114 คน

32

นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทั่วไปจานวน 109 คน เคร่ืองมือที่ใช้คือ แบบสารวจ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร และแบบวัดเหตุผลด้านความ
รับผิดชอบ ซึ่งเป็นแบบวัดที่ข้อคาถามใช้สถานการณ์ย่อยๆ แล้วเขียนตัวเลือกให้ตอบ ซ่ึงมีความ
เช่ือม่ันเท่ากับ 0.7816 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน และ t-test แบบกลุม่ ตวั อย่างเป็นอสิ ระตอ่ กัน (Independent samples)

ทองพูล ภูสิม (2553 : บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมและ
คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ 8 ประการ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551
กรณีศึกษาโรงเรยี นแกดาวิทยาคาร สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามหาสารคามเขต 1 การวิจัย คร้ังน้ีมี
วตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ศึกษาระคับพฤติกรรมและพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์
8 ประการ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วย
ผู้วิจัย ครูโรงเรียนแกดาวิทยาคาร จานวน 23 คน นักเรียน โรงเรียนแกดา วิทยาคาร 341 คน
ผู้ปกครองนักเรียน 319 คน ในปีการศึกษา 2552 มีข้ันตอนการวิจยั แบ่งเป็น 3 ระยะ ดังน้ี ระยะท่ี 1
สารวจสภาพปัจจุบันระดับพฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ 8 ประการ
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พ.ศ. 2551 ของนกั เรยี น โรงเรียนแกดาวทิ ยาคาร ระยะ
ท่ี 2 พัฒนาคุณธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2 3 ประการ ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 ของนักเรียนโรงเรียนแกดา วิทยาคาร โดยใช้กระบวนการวงจร
คุณภาพของเดมม่ิง (PDCA) และการวิจัยปฏิบัติการแบบ มีส่วนร่วม ระยะท่ี 3 สารวจระดับ
พฤติกรรมดา้ นคุณธรรมจริยธรรมและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ.2551 เพื่อเปรยี บเทยี บ กอ่ น-หลัง การพัฒนา

ผลการวิจัยพบว่าสภาพก่อนการดาเนินการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมและ คุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ท้ัง 8 ประการ ของนักเรียนโรงเรียนแกดาวิทยาคาร พบว่า พฤติกรรม โดยรวมของ
นักเรียนจากการประเมินพฤติกรรมท้ังจากครู ผู้ปกครองนักเรียน และตัวนักเรียนเอง อยู่ในระดับ
ปฏิบัติการปานกลาง จากการสอบถาม การสัมภาษณ์คณะครู ผู้ปกครองนักเรียน และ นักเรียน
โรงเรียนแกดาวิทยาคาร เกี่ยวกับเร่ืองคุณธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.2551 ของนักเรียน พบว่า ระดับ พฤติกรรมยังไม่
เป็นไปตามความต้องการของคณะครูและผู้ปกครอง หลังจากได้พัฒนา โดยใช้ กระบวนการวงจร
คุณภาพของเดมมิ่ง (PDCA) และการปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ระดับพฤติกรรม ด้านคุณธรรม
จรยิ ธรรมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทั้ง 8 ประการ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พ.ศ.2551 เปรยี บเทยี บกอ่ นและหลงั การพัฒนานั้นเพ่ิมข้ึนในทกุ ด้าน

33

โดยรวม มีค่าเฉล่ียระดับพฤติกรรมในแต่ละด้าน ก่อนการพัฒนา มีค่าเฉล่ีย จากครู 3.50
ผู้ปกครอง 3.49 และ นักเรียน 3.69 หลังจากการพัฒนา พบว่า พฤติกรรมของนักเรียนมีการ
พฒั นาขน้ึ ในทกุ ด้าน โดยมี ค่าเฉลยี่ จากครู 4.49 ผู้ปกครอง 4.48 และนักเรยี น 4.49

งานวิจยั ในตา่ งประเทศ
Enciso (2001:961) ได้ศึกษาการรบั ร้วู ินัยของนักเรยี น ทรรศนะของผูเ้ รยี น ครู ผู้บรหิ าร
งานวจิ ัยน้ีเกิดขึ้นที่โรงเรียนมัธยมแห่งหน่ึง พฤตกิ รรมการมีวินยั ของนักเรียน นักเรียนมี พฤติกรรมท่ี
ประกอบดว้ ย พฤติกรรมคาพูดทไ่ี มเ่ หมาะสมท่ีนักเรยี นแสดงออกมา ท่ีส่งผลเสียต่อ สง่ิ แวดล้อมในการ
เรียนของโรงเรียนแห่งนี้ ในการเรียนรู้สาหรับนักเรียนทั่วไป ผลการศึกษาพบว่า บิดา มารดา หรือ
ผูป้ กครองเปน็ ส่วนที่สาคญั ทส่ี ุดของกระบวนการแกไ้ ขพฤตกิ รรมทางวินัยของ นักเรยี นในโรงเรยี น
Lewis (2001:89) ได้ศึกษาเกย่ี วกับวนิ ัยในชั้นเรียนและความรบั ผดิ ชอบของนักเรียนโดย
ศึกษาจากโรงเรียนประถมศึกษา 21 โรงเรียน และโรงเรียนมัธยมศึกษา 21 โรงเรียน โดย ศึกษา
บทบาทของวินัยในชั้นเรียนที่ส่งเสริมความรับผิดชอบของนักเรียนเพ่ือส่งเสริมสนับสนุนการ เรียนรู้
และความเรียบรอ้ ยในชั้นเรยี น ผลการศกึ ษาบ่งชว้ี ่า นกั เรียนมีความคิดเห็นว่าครมู ปี ฏิกิรยิ า โต้ตอบต่อ
พฤติกรรมที่ไมพ่ ึงประสงค์ในช้ันเรียน โดยใช้วนิ ยั ในการลงโทษเพิม่ ข้ึน ซ่งึ เปน็ อุปสรรค ตอ่ การพฒั นา
ความรับผิดชอบและส่งผลรบกวนการทากิจกรรมของนักเรียน ดังน้ันครูควรใช้ เทคนิคเก่ียวกับการ
ส่งเสริมสนับสนุน การเสริมแรงเพมิ่ ข้นึ เช่น การให้นักเรียนได้มโี อกาสอภปิ ราย การให้รางวัลสาหรับ
นักเรยี นท่มี ีพฤติกรรมที่ดี และการให้มสี ่วนรว่ มในการตัดสินใจ
Caroline Koh (2012:1) ได้พฒั นาคุณธรรมจริยธรรมและเพมิ่ ความสนใจในนักเรียน ใน
การศึกษาคุณธรรม ศกึ ษาในประเทศสิงคโปร์ ที่กล่าวว่า โลกเราในปัจจุบันถกู คุกคามจาก พวกก่อการ
ร้าย และวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจโลก ทาให้หลายคนสนใจท่ีจะศึกษาคุณธรรม จริยธรรม และ
คา่ นิยมมากข้ึน งานวิจยั ช้ินนี้ได้ทดลองกบั นักเรยี นในประเทศสิงคโปร์ โดยใช้ หลักการ Kohlbergian
เพ่อื ประเมนิ คณุ ธรรมจริยธรรมของนักเรยี น เปน็ ทฤษฎที ี่มุ่งให้นักเรียนเลือก ตัดสินใจด้วยตนเอง โดย
ประเมินจากการสร้างแรงจูงใจในการเป็นพลเมืองท่ีดีของวัยรุ่น และการมี คุณธรรมในการศึกษา
(CME) ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนได้พัฒนาเหตุผลในเชิงจริยธรรมท้ังกลุ่ม อายุท่ีกล่าวไว้ในทฤษฎี
โคลเบิร์ก นักเรียนมีแรงจูงใจในการเป็นพลเมืองที่ดี และมคี ุณธรรมใน การศึกษา (CME) ผลการวิจัย
ยังแสดงความสัมพันธ์ถึงคุณธรรมซึ่งไดร้ ับการพัฒนาข้ึน แต่แรงจูงใจ ในตนเองของนกั เรียนอยู่ระดับ
ปานกลาง

34

8. วิธดี าเนนิ การวจิ ัย

การวิจัย เรื่องการศึกษาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนโรงเรียนวัดสาลวัน
ระดับชนั้ ประถมศึกษาชั้นปที ่ี 1 ไดด้ าเนินการวิจัยตามลาดบั ดังต่อไปนี้

1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
2. เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย
3. การเกบ็ รวบรวม
4. การวเิ คราะหข์ อ้ มูล
8.1 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง

1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้งั นไี้ ดแ้ ก่ นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนวัด

สาลวัน ป2ี 564 จานวน 21 คน

เลขท่ี ชือ่ - นามสกลุ เลขที่ ชือ่ - นามสกลุ
1 ด.ช. นาพล - 12 ด.ญ. พิญาดา น่าชม
2 ด.ช. อรรถพนั ธ์ อ๋มู าก 13 ด.ช. อดิศักดิ์ สนวงค์เวช
3 ด.ช. วษิ รุฬ โรมเมอื ง 14 ด.ช. เลิศพิสิฐ จันอินทรยี ์
4 ด.ช. กิตตินนั ท์ หวงั แอบกลาง 15 ด.ช. นธิ พิ ร กนั อุ่น
5 ด.ช. พรศักด์ิ แซ่จาว 16 ด.ช. ณัฐวัฒน์ เทพทับทมิ ทอง
6 ด.ช. ภูมภิ ัทร หริ ัญวิริยะ 17 ด.ช. ณฐั พล ตีระพงษ์
7 ด.ช. ธนวรรธน์ แจงงาม 18 ด.ญ. กณั ฐมณี วุฒชิ ยั ประเสรฐิ
8 ด.ช. ณัฐกานต์ รจุ ิฉาย 19 ด.ญ.วรรณา บรรจงวภิ ารตั น์
9 ด.ช. วรรณวีศิษย์ บางพลอย 20 ด.ญ. พูไพลิน พลิ า
10 ด.ช. ณฐั กิตต์ วัชวงษ์ 21 ด.ญ. วราภรณ์ กลนิ่ สบุ รรณ
11 ด.ช. คมกรชิ เกษม

2. กล่มุ ตัวอยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจยั คร้งั นี้ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1/1 โรงเรียน

วัดสาลวัน ปี2564 จานวน 21 คน ซึง่ ไดม้ าโดยการสุ่มแบบเจาะจง มีรายละเอียดการเลอื กดงั น้ี

35

9. แบบแผนการวจิ ัย หรือระยะเวลา

การดาเนนิ การวิจยั ในครัง้ น้ี ผู้วจิ ัยได้กาหนดแผนการวจิ ัย ไวด้ ังนี้

เดอื น ปี กจิ กรรม หมายเหตุ

สปั ดาห์ที่ 1 ศึกษาปญั หาในชนั้ เรียน

สัปดาห์ท่ี 2 ออกแบบคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์

สปั ดาห์ท่ี 3 แบบวดั คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ “กอ่ นเรียน”

สปั ดาห์ที่ 4 แบบวดั คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ “หลงั เรยี น”

สัปดาห์ที่ 5 วเิ คราะหข์ ้อมูล

สปั ดาห์ท่ี 6 สรปุ

10. เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจัย

เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัยจาแนกได้ 2 ประเภท ดงั น้ี
10.1 เครื่องมือท่ใี ช้สาหรับการทดลอง (Treatment) เปน็ เครอ่ื งมอื ท่ีผู้วจิ ัยสรา้ งขึ้นเพื่อ
นาไปใช้ในการวจิ ยั คือ แบบวัดคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ของนักเรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปที ี่ 1
10.2 เคร่ืองมือสาหรับรวบรวมข้อมูล เป็นเครื่องมือท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นเพ่ือเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู ซึ่งมหี ลายชนดิ แต่ท่ีนิยมใช้ คอื
แบบสังเกต (Observation)
เครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู เปน็ แบบวัดคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องนกั เรียน
มี 21 ชดุ
1. ประสานกับผู้อานวยการโรงเรียน ท่ีมีนักเรียนเป็นกลุ่มตัวอย่างเพื่อขออนุญาต เก็บ
ขอ้ มลู จากนกั เรยี นชัน้ ประถามศึกษาปีที่ 1
2. จัดเตรียมแบบแบบวัดคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ด้านการมีวินัย ที่เป็นแบบวัดเชิง
สถานการณ์ ใหเ้ พยี งพอตามจานวนนกั เรียน ตามวันเวลาท่ีกาหนด
3. ผู้วิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ด้วยตัวเองตามวันเวลาที่กาหนดโดยช้ีแจงให้กลุ่ม
ตวั อย่างเข้าใจวัตถุประสงค์ และประโยชน์ ที่จะได้รับจากการทดสอบ พร้อมบอกขั้นตอนดาเนินการ
สอบ และวธิ ีการตอบแบบวดั คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ดา้ นการมวี นิ ยั
4. นากระดาษคาตอบมาตรวจให้คะแนน ตามเกณฑ์ของเคร่ืองมือวัด แล้วนามาคานวณ
เป็นคะแนนรอ้ ยละ และสรา้ งเกณฑ์การประเมนิ โดยการสนทนากลุม่

36

11. การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครือ่ งมอื การวจิ ยั

1. กาหนดจุดมุ่งหมายของการสร้างแบบวัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อสร้างและหา
คณุ ภาพ ของแบบวัดคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ดา้ นการมวี ินยั สาหรับนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 1

2. ศึกษาแนวคิดทีเ่ กยี่ วขอ้ งในเรอ่ื งคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์และพฤติรรมของนักเรียนท่ี
เปน็ ลกั ษณะของการมวี ินัย และสร้างนิยามศพั ท์

3. สร้างข้อคาถามตามนิยามศัพท์โดยกาหนดรูปแบบของแบบวัดคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์

4. ตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยตรวจสอบความถูกต้อง
และความเหมาะสมของภาษา และความสอดคล้องว่าวดั ได้ตรงกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดา้ นการ
มีวินยั หรอื ไม่

5. นาแบบวดั คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 30 ข้อ ไปทดสอบกับนกั เรยี น จานวน 21 คน
6. นาแบบวดั คณุ ลักษณะอันพึงประสงคไ์ ปวเิ คราะหข์ ้อมูล
7. สรุป

37

12. สถิตทิ ี่ใช้ในการวจิ ยั

1. วิเคราะห์ความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ทดสอบโดยผ้เู ช่ยี วชาญ 5
ท่าน เพ่ือหาค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (IOC)

2. วเิ คราะห์อานาจจาแนกของแบบวดั (Discrimination) โดยใช้สูตรสมั ประสิทธิ์
สหสมั พนั ธ์ ของเพยี รส์ นั

3. ความเทย่ี งตรงเชิงโครงสรา้ ง (Construct Validity) ตรวจสอบโดยการวิเคราะห์
องค์ประกอบ เชงิ ยนื ยนั (Confimatory Factor Analysis)

4.วิเคราะหห์ าคา่ ความเชือ่ มั่น (Reliability) โดยใชส้ ตู รสัมประสทิ ธ์ิแอลฟา (Alpha
Coefficient) ของครอนบาค

5. หาค่าสถติ พิ น้ื ฐาน ประกอบด้วย คา่ ร้อยละ และคา่ เฉล่ีย

38

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐานพทุ ธศักราช 2551 แนว
ปฏบิ ัตกิ ารวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551). หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย

คณะศึกษาศาสตร์มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. (2551).คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ของนกั เรยี น วารสาร
ศึกษาศาสตรฉ์ บับวจิ ัยบณั ฑิตศกึ ษา, 2(1), 25-33.

จรรยา กลุ สุทธิชยั . (2547). “การดาเนินงานเสริมสรา้ งความมีวนิ ยั ในตนเองของนกั เรยี นโรงเรยี น
บา้ นสาโรงภิญโญอนุสรณ์ อาเภอกระสัง จังหวัดสรุ นิ ทร์” การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ
ปริญญา มหาบณั ฑิต, มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม

ฉันทา อุดมสิน. (2537) “การศึกษาคุณลกั ษณะท่เี ปน็ จรงิ และทีพ่ งึ ประสงคข์ องนักเรียนโรงเรยี น
สาธติ ประถมศึกษา มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ตามความคดิ เหน็ ของอาจารย์และผปู้ กครอง”
วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่

นาตยา รัศม.ี (2552). “การสร้างแบบวดั คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ดา้ น ความมีวินยั สาหรับ นกั เรียน
ชว่ งช้ันที่ 3 สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาเพชรบรู ณ์ เขต 1” วทิ ยานิพนธ์ ครุศาสตรมหา
บัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์

เบญจมาศ ณรงค์กลุ . (2548). “การพัฒนาเครื่องมือวดั คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคข์ องนักเรยี น ชว่ ง
ชน้ั ท่ี 3 ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา จงั หวดั ยะลา” วทิ ยานิพนธ์การศึกษา
มหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ

ผ่องศรี สามศรที อง. (2548). “การสร้างแบบวัดคุณธรรม จริยธรรมพื้นฐานสาหรับมัธยมศกึ ษา
ตอนตน้ ” วิทยานพิ นธ์ การศึกษามหาบณั ฑติ , มหาวิทยาลยั บรู พา

พรพรรณ สทุ ธานนท.์ (2538).” คุณลักษณะและวิธีการเขา้ สตู่ าแหน่งของผบู้ รหิ ารโรงเรยี นเทศบาล
เมอื งในเขตการศึกษา 12” วทิ ยานพิ นธ์การศกึ ษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยบูรพา

ภานุภัทร ล้ิมจารูญ. (2551). “แนวทางการพัฒนาการดาเนินงานเสรมิ สรา้ งคณุ ลกั ษณะอนั พงึ
ประสงค์ : กรณศี ึกษา โรงเรยี นบ้านนามาลา ลังกัดสานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาเลย เขต
1”

39

ภาคผนวก

40


Click to View FlipBook Version