คุณจรูญ ทรัพยศิริ รองประธานกลุมเกษตรกร
ทําการประมงพัฒนาเกษตรพอเพียง 49 ตําบลโรงเข
จงั หวดั สมทุ รสาคร เปน เกษตรกรผเู ลย้ี งกงุ ทมี่ ปี ระสบการณ
มากกวา 20 ป เดิมคุณจรูญประกอบอาชีพทําสวนและ
เร่ิมเห็นวาอาชีพการเล้ียงกุงเปนอาชีพท่ีทํารายไดและ
เปน อาชพี ทม่ี น่ั คง เรมิ่ เลย้ี งกงุ กลุ าดาํ มาตงั้ แตป พ.ศ. 2543
แตการเลี้ยงกุงกุลาดําชวงหลังประสบปญหาโรคระบาด
อยางรุนแรง จึงเปลี่ยนมาเล้ียงกุงขาวแวนนาไม ต้ังแตป
พ.ศ. 2550 เรม่ิ แรกเดมิ ทสี ง่ิ แวดลอ มดี นาํ้ ดี แรธ าตใุ นดนิ สงู
เล้ียงกุงในบอดิน นํ้าไมไดถายเลนไมไดดูด เพราะเปน
พ้ืนที่ใหม พอหลังจากนั้นอีก 2 ป การเล้ียงกุงก็จะเร่ิม
ถดถอย คุณจรูญไดทดลองนําระบบน้ําหมุนเวียนมาใช
ภายในฟารม เนื่องจากระบบน้ําหมุนเวียนเปนระบบที่มี
ความปลอดภยั ทางชวี ภาพ และเรยี นรทู าํ จนเกดิ ความมน่ั ใจ
ปรับระบบการเลี้ยงแบบพัฒนาเต็มรูปแบบ จนสามารถ
แกปญหาการระบาดของโรคจากภายนอกและสามารถ
เลย้ี งกงุ ขาวแวนนาไมไดป ระสบความสาํ เรจ็ อยา งตอ เนอื่ ง
อีกทั้งฟารมเล้ียงกุงของคุณจรูญเปนฟารมพัฒนาและ
ทันสมัย นําพลังงานแสงอาทิตยมาชวยในดานการ
ลดตนทุนการเล้ียง โดยการนําแผงโซลาเซลลมาใชกับ
เครอื่ งตีน้ํา ทาํ ใหตนทนุ พลังงานลดลง
1
ดังน้ัน การนํารูปแบบการเล้ียงกุงขาวแวนนาไม
ระบบน้ําหมุนเวียนท่ีมีความปลอดภัยทางชีวภาพ
เนนการเตรียมนํ้าใหมีคุณภาพเพ่ือใชภายในฟารม
มีระบบควบคุมการดูดของเสีย ท้ังตะกอนหนักและ
ตะกอนเบาออกจากบอ ระบบนาํ้ หมนุ เวยี นประกอบดว ย
(1) บอ เลยี้ ง (2) บอ ตกตะกอนหนกั (3) บอ ตกตะกอนเบา
(4) บอ ฆา เชอ้ื นาํ้ และ (5) บอพรอ มใช
มีการนําหัวเช้ือจุลินทรีย ปม.1 (กรมประมง)
ทปี่ ระกอบดว ย Bacillus subtilis, B. licheniformis และ
B. megaterium ซ่ึงเปนจุลินทรียที่ใชบําบัดคุณภาพ
ดิน นา้ํ และการใชนาํ้ หมกั สบั ปะรดเปน แหลง จลุ ินทรยี
ทม่ี ปี ระโยชน นาํ มาใชเ พอื่ ทดแทนการใชย าและสารเคมี
ในการควบคมุ เชอื้ กอ โรค ในชว งของการเตรยี มบอ จนถงึ
วนั จับ
พื้นท่ฟี ารมท้ังหมด 126 ไร แบงเปนบอ เล้ยี งขนาด
ประมาณ 2–3 ไร จํานวน 18 บอ ผลผลิตอยูระหวาง
3–5 ตันตอไร ตนทุน 120 บาทตอกิโลกรัม ไดกุงขาว
ขนาด 25–35 ตัวตอกิโลกรัม อัตรารอดอยูระหวาง
รอยละ 90–100 และอัตราแลกเนื้อ (FCR) อยูระหวาง
1.2–1.3 นบั ไดว า คณุ จรญู เปน เกษตรกรสมยั ใหมและเปน
ผปู ระสบความสาํ เรจ็ ในการเลยี้ งกงุ ขาวแวนนาไมในพ้ืนที่
อาํ เภอบา นแพว จังหวดั สมุทรสาคร จนถงึ ปจ จุบนั
3
ทเ่ี ลยี้ งแบงเปน บอ ตา งๆ
บอฆาเชอ้ื
บอ พรอ มใช บเบอาตกตะกอน
หลตมุ ะดกดูอน
บอ เลย้ี ง
บอตกตะกอน
หนัก
ใบตแี บบส้ัน ตีกลางวัน
ใบตีแบบยาว ตรี วมตะกอนกลางคนื
4
ของโรคทพ่ี บในพื้นท่ี
ปญหาวิกฤตท่ีพบเจอในการเล้ียงกุงขาวแวนนาไมในพ้ืนท่ีอําเภอ
บา นแพว จงั หวดั สมทุ รสาคร ทส่ี าํ คญั คอื โรคขขี้ าว โรคหวั เหลอื ง และ
โรคตายดว น (EMS)
1 โรคข้ีขาวในกุงขาวแวนนาไม
โรคข้ีขาวในกุงขาวแวนนาไม อาการขี้ขาวในกุงกลายเปนโรค
ประจําถิ่น ซ่ึงจะเปนท้ังปในพ้ืนที่อําเภอบานแพว จังหวัดสมุทรสาคร
โดยโรคขข้ี าวถา เปน แลว กงุ จะไมโ ต โตชา และทยอยตาย ถา พบในชว งกงุ
อายุ 60–70 วัน กย็ ังสามารถจบั ขายไดก าํ ไร แตถ ามาพบในชวงกุง อายุ
30–40 วัน โอกาสในการขาดทุนจะมีสูง วิธีแกไขตามแนวความคิดของ
คุณจรูญคือตองเตรียมน้ําใหสะอาด ซ่ึงน้ําเล้ียงสะอาดสําคัญมาก
ในการเลี้ยงกงุ ขาวใหผา นโรคขีข้ าว
5
2 โรคหวั เหลือง (Yellow head disease)
โรคหัวเหลือง (Yellow head disease) หมายถึง โรคในกุงทะเล
ที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสหัวเหลือง (Yellow Head Virus; YHV)
เกดิ จากการใหอ าหารมากเกินไปในชวงเดอื นแรก ทาํ ใหพ น้ื บอมีของเสยี
สะสมมาก จะมาเปน บางฤดูกาล อยา งเชน ชวงอากาศรอนจัด ๆ แลว มี
ฝนตกลงมา แตกุงท่ีเลี้ยงในฟารมของคุณจรูญไมเปนโรคหัวเหลือง
เพราะใชว ธิ ีกางมงุ คลมุ ท้งั บอไมใ หพาหะนาํ เชอื้ YHV พวกนกหรอื แมลง
เขา ไปในบอ ควบคุมปริมาณอาหารกุงใหเหมาะสม เลอื กลูกกุงท่แี ข็งแรง
และมรี ะบบการเลย้ี งทสี่ ามารถลดปรมิ าณสารอนิ ทรยี ส ว นเกนิ ในบอ เลย้ี ง
ใหอ ยใู นระดบั ทเี่ หมาะสม มรี ะบบควบคมุ การดดู ของเสยี ทงั้ ตะกอนหนกั
และตะกอนเบาออกจากบอ ทําใหสารอนิ ทรยี ถูกกาํ จดั ออกจากบอกอน
ที่น้าํ จะเนา เสีย
3 โรคตายดวน (EMS)
โรคตายดวน (EMS) หรือ Acute Hepatopancreatic Necrosis
Disease; VVpibAHriPoND หมายถึง โรคในกุงทะเลท่ีมีสาเหตุจากการติดเชื้อ
แบคทีเรีย parahaemolyticus สายพันธุกอโรค กุงทะเลท่ีปวย
มักพบตับและตับออนลีบฝอ ภายในมีปริมาณเม็ดไขมันนอยผิดปกติ
โดยฟารม เลยี้ งรอบขา งมกั จะพบปญ หาการตายจากโรค EMS เพราะไมม ี
ทกา่ีเจรรปิญอ งดกีในันนแํ้าลทะะตเรลวจใสนอเขบตคเณุ ล้ียภงากพุงลอกู ํากเงุภไอมบด าพี นอแเพชวอ้ื เลVp้ียAงHทPN่ีคDวซาง่ึ มเปเคน ็มเชตอื้ํ่า
จงึ ไมเจอโรค EMS แตพ บบางในชวง 2 ปหลงั ที่ผา นมา
6
การเตรียมนํ้า
เพื่อใชเ ลยี้ งกุงขาว ในระบบนาํ้ หมุนเวียน
ที่มคี วามปลอดภยั ทางชวี ภาพ จากคลองธรรมชาติ
ข้ันตอนท่ี 1
สูบนํ้าจากคลองธรรมชาติใกลกับบริเวณของฟารมเขาไปเก็บไวใน
บอตกตะกอนท่ีปูดวย PE บริเวณขอบบอ นํ้าในคลองธรรมชาติจะมี
ความเคม็ ประมาณ 0–3 ppt โดยเฉพาะชวงหนารอ น ความเค็มจะเพม่ิ
สงู ขนึ้ แตไมเกิน 3 ppt
ข้นั ตอนท่ี 2
สูบนํ้าจากบอตกตะกอนท่ีใสแลวมายังฆาเชื้อ (บอทรีต) โดยจะ
ฆา เชอ้ื นาํ้ ดว ยคลอรนี ในอตั ราสว น 25 กโิ ลกรมั ตอ ไร และจะเรม่ิ ฆา เชอ้ื นาํ้
ชว งเวลากลางคืนในชว ง pH ตํา่ และตีนาํ้ ไว 2 วนั 2 คืน น้ําจะใสและ
คลอรีนหมดไป จากน้ันจะสูบน้ํามายังบอพรอ มใชตอไป ซึ่งบอพรอมใช
ยงั ไมใ ชบ อ เลย้ี ง โดยจะเตมิ สนี า้ํ วทิ ยาศาสตรห รอื สนี า้ํ เทยี มลงไปเพอ่ื ปรบั
สนี า้ํ ในกรณที น่ี า้ํ ใสเกนิ ไป ซง่ึ ถา หากบอ เลยี้ งตากบอ จนแหง แลว กส็ ามารถ
นาํ นาํ้ จากบอ พรอ มใชม าลงไดเ ลย สาํ หรบั การตากบอ นนั้ จะตากประมาณ
2 เดือน ชว งเดอื นพฤศจิกายน–ธนั วาคม โดยจะฉีดลา งบอ ดวยโซดาไฟ
(Sodium Hydroxide) เนื่องจากเปน บอ PE แบบไมไ ดซ ีนทัง้ บอ จงึ ตอ ง
ตากบอเปนระยะเวลานาน ซึ่งบอ PE ท่ีไมไดซีนน้ันอาจจะมีรอยร่ัว
เกิดข้ึนภายในบอ ได
7
แนวคิดของการจัดการ
เลีย้ งกุงขาวในระบบนํา้ หมนุ เวยี นท่ีใชภ ายในฟารม
บอ ฆาเชอื้ บอฆาเชื้อ บอ พรอ มใช
บอตกตะกอน บอตกตะกอน บอ ตกตะกอน
เบา หนัก เบา
บอ เล้ยี ง บอเล้ียง บอ เลย้ี ง บอ เล้ยี ง
8
1. บอเล้ียง มีขนาด 2–3 ไร เปนบอที่มีลักษณะลาดเอียงลงสู
จุดศูนยกลาง มีการขุดหลุมลึกที่มีความลาดชันของหลุมประมาณ
45 องศา พรอ มวางทอ ขนาด 3 นวิ้ เพ่อื ดดู ของเสยี และสิง่ ตกคา งตาง ๆ
ท่อี ยูในบอเลีย้ งออกไปสบู อตกตะกอน ทัง้ บอ ตกตะกอนหนักและบอตก
ตะกอนเบา
2. บอ ตกตะกอนหนัก มีขนาด 1 งาน เปน บอ ทรี่ องรบั ของเสีย
จากหลุมกลางบอของบอเล้ียง ซึ่งในบอจะมีปลาดุกเพื่อชวยกําจัดซาก
ของเปลือกกุง คอยคุยตะกอนกนบอและกินเศษอาหารท่ีเหลือ โดยนํ้า
จากบอ เลีย้ งจะมีการดูดตะกอนจากหลมุ ผานทอ PVC ขนาด 3 น้ิว
3. บอตกตะกอนเบา มีขนาด 1 งาน เปนบอที่ดูดน้ําบริเวณ
กลางหลุมกลางบอของบอเลยี้ ง ลกึ จากผวิ นํา้ ประมาณ 120 เซนติเมตร
เพื่อเปนการถายน้ําในบอเลี้ยง โดยการนํานํ้าในสวนน้ีไปตกตะกอน
ในบอตกตะกอนเบา ซง่ึ ในบอ น้ีจะมีปลานลิ ปลาตะเพียน ปลายส่ี ก และ
ปลาดกุ คยุ ตะกอนกน บอ และกนิ เศษอาหารทเี่ หลอื เปน การบาํ บดั นาํ้ ดว ย
วิธีธรรมชาติ เพ่ือใหสารแขวนลอย ของเสีย และตะกอนส่ิงตกคาง
ถูกกําจัดออก มีระบบเติมอากาศเพ่ือชวยในการเพิ่มออกซิเจนและ
บาํ บดั น้ํา กอ นจะถูกหมนุ เวยี นน้ําไปยังบอ ฆา เชอื้ น้ําตอ ไป
4. บอฆาเชือ้ นํา้ (บอ ทรตี นา้ํ ) มีขนาด 2 ไร เปน บอ ที่รบั นาํ้ เสีย
จากบอตกตะกอนเบา และฆาเช้อื นาํ้ ดว ยคลอรนี 65% ชนิดผง (Calcium
Hypochloride) ในอัตราสวน 25 กิโลกรัมตอไร โดยจะเร่ิมฆาเช้ือน้ํา
ชวงเวลากลางคืนในชว ง pH ตา่ํ และตนี ํ้าไว 2 วัน 2 คนื น้ําจะใสและ
คลอรนี หมดไป จึงจะเริ่มสูบนาํ้ มายังบอพรอ มใชต อไป
9
5. บอพรอ มใช มขี นาด 3 ไร เปนบอ ท่ีรบั นํา้ มาจากบอฆา เช้อื นํา้
พรอมท่ีจะเติมใสบอเลี้ยง ซ่ึงบอพรอมใชยังไมใชบอเล้ียง มีการเติม
สีนํ้าเทียมลงไปเพ่ือปรับสีนํ้าในกรณีท่ีนํ้าใสเกินไป และจะใสปูนมารล
ในอตั ราสว น 7 ตนั ตอ บอ 3 ไร ซง่ึ ในหนงึ่ ปจ ะใสเ พยี งครงั้ เดยี วเพอื่ เปน การ
สรา งแรธ าตใุ นบอ พรอ มใช นาํ้ พรอ มใชจ ะมคี วามเคม็ อยรู ะหวา ง 0–5 ppt
บอเลย้ี งที่ตากบอจนแหง แลวกจ็ ะนาํ นํ้าจากบอ พรอ มใชมาเติมไดเ ลย
บอเลย้ี ง
10
บอ ตกตะกอนหนกั
บอ ตกตะกอนเบา
11
บอฆาเชอ้ื
บอ พรอมใช
12
ของการเลี้ยงกงุ ขาว
1. การเตรียมบอ เล้ยี งกงุ ขาว
1.1 กรณที เ่ี ตรยี มบอ ใหม
ควรวางแผนผังบอใหเหมาะสม โดยตองคํานึงถึงขนาดบอเล้ียง
บอพกั นา้ํ ใหเ หมาะสม ในอัตราสว น บอ เลีย้ ง : บออน่ื ๆ คือ 30 : 70
หลังจากจับกุงเสร็จแลวใชเคร่ืองขัดคราบของบอหรือในทอ ฉีดลางดวย
โซดาไฟ อุปกรณทุกอยางในบอฆาเชื้อโรคดวยไอโอดีนกอนจะลงลูกกุง
ชดุ ใหม และตากบอทงิ้ ไวน าน 15–60 วนั
13
1.2 กรณที เี่ ลย้ี งกงุ ไมผ า น (มกี งุ ตายระหวา งการเลย้ี ง) เสยี หาย
จากโรคระบาด
ในกรณีท่ีกุงในบอเปนโรคหัวเหลือง จะทําการลงยาฆาเชื้อหมด
ท้ังบอ รวมไปถงึ กุงทอ่ี ยใู นบอ ดวย เพื่อไมใ หเช้อื กระจายไปสูบอ อ่ืนหรือ
ในแหลงนํ้า ระยะเวลาในการฆาเช้ือและพักไวประมาณ 21–22 วัน
หลังจากน้ันจะใสคลอรีน หลังจากคลอรีนสลายแลว ใชจุลินทรีย ปม.1
(กรมประมง) นําน้าํ ในบอ ไปฆาเชือ้ ในบอ ฆาเชอื้ นํา้ อีกครง้ั
ในสวนของอาการโรคขี้ขาวและโรค EMS น้ันสามารถเลี้ยงตอได
หลังจากเก็บเก่ียวผลผลิต โดยจะตากบอใหนานข้ึน อาจใชเวลานานถึง
3 เดอื น เพราะมโี อกาสทเ่ี ชอ้ื โรคจะฝง อยใู นดนิ จงึ ทาํ ใหต อ งมกี ารตากบอ
และทาํ ความสะอาดฆา เชอื้ นานกวาปกติ
2. การเตรียมนาํ้
ในตอนทสี่ บู นา้ํ จะใชก ารกรองทงั้ หมดโดยใชม งุ ขาวและมงุ ฟา 2 ชนั้
เติมน้ําจากบอพรอมใชลงในบอเล้ียงใหไดระดับนํ้า 150 เซนติเมตร
สําหรับระบบใหอากาศภายในบอเล้ียงจะมีแบบใบพัดตีนํ้า และแบบ
เคร่อื งพนอากาศใตนํา้
ในสวนของใบพัดตีนํ้าจะมีอยู 2 ชุด ชุดท่ีเปนใบพัดตีน้ําแบบ
แขนยาว จะเปด ใชง านในชว งเวลากลางคนื เพอ่ื รวมตะกอน ขก้ี งุ คราบกงุ
ใหรวมอยใู นหลมุ บริเวณกลางบอ สวนทเ่ี ปน ใบพดั ตีนํา้ แบบแขนสั้น และ
ระบบใหอ ากาศแบบเครอ่ื งพน อากาศใตน าํ้ จะไมเ ปด ใชใ นชว ง 1–30 วนั แรก
จะเริม่ เปด ใชงานในชว งท่ีกงุ มีขนาดใหญจนถงึ จับ
14
หลังจากเติมนํ้าจากบอพรอมใชลงในบอเลี้ยงใหไดระดับน้ํา 150
เซนตเิ มตร ปรบั นา้ํ เคม็ ใหไ ด 5 ppt ทาํ การฆา เชอื้ ดว ยคลอรนี ในอตั ราสว น
25 กิโลกรัมตอไร จากนั้นใชดางทับทิมในอัตราสวน 10 กิโลกรัมตอไร
เปดใบพัดตีนํ้าจนน้ําใส ใชเวลาประมาณ 3–5 วัน เติมจุลินทรีย ปม.1
(กรมประมง) และนาํ นา้ํ ไปตรวจการปนเปอ นของเชอ้ื โรคในนาํ้ ซง่ึ จะตอ งไมม ี
เช้อื กอโรค ตรวจวัดคุณภาพนํา้ ใหไดตามเกณฑท่ีกําหนดจึงจะสามารถ
ปลอยลูกกุงได โดยในการเลี้ยงชวงเดือนแรกจะไมมีการถายน้ํา แตจะมี
การเติมน้ําแทนนา้ํ ท่ดี ดู ออกไปไวใ นบอตกตะกอน
3. การปลอยลูกกงุ
สําหรับวิธีการทดสอบลูกกุงกอนปลอยลงเลี้ยงในบอ จะใชวิธีการ
ตกั นาํ้ จากบอ ทเ่ี ตรยี มไวม าทดสอบกบั กงุ ทน่ี าํ มาสง ทดสอบความแขง็ แรง
จากพฤติกรรมโดยการสังเกตหรือการเคล่ือนไหวดวยการกวนนํ้าให
หมุนวนอยูในกะละมัง ใชเวลาประมาณ 5 นาที ลูกกุงท่ีดีและแข็งแรง
จะวา ยทวนนาํ้ และดดี ตวั วา ยตามขอบขา ง ๆ กะละมงั สว นลกู กงุ ทอ่ี อ นแอ
จะไปรวมตัวกนั เปนกองตรงกลาง ตองเช็กลกู กุงทกุ ถังดว ยวิธนี ้ี ถาลูกกุง
ไมแขง็ แรงจะตีกลบั และจะไมย อมปลอยลงเลี้ยง
ลูกกุงตองเปนลูกกุงจากฟารมท่ีไดรับมาตรฐาน GAP ของ
กรมประมง หรือมาตรฐานสินคา เกษตร มกษ. 7422 โดยลูกกงุ ตอ งผา น
การตรวจหาเช้ือกอโรคในกุงทะเล คือ WSSV, IHHHNV, YHV, TSV,
IMNSV, DIV1 (SHIV), EHP และ Vibrio parahaemolyticus (VpAHPND)
จากหนว ยงานท่ีเชือ่ ถือได เชน ศนู ยฯ ภายใตส ังกัดกรมประมง เปนตน
15
4. การตรวจวดั คุณภาพนาํ้
ทาํ การตรวจวดั คณุ ภาพนาํ้ ของนาํ้ ในบอ เลย้ี งกงุ เปน ประจาํ อยา งนอ ย
สัปดาหละคร้ัง ในชวงทาย ๆ ของการเล้ียงจะทําการวัดคุณภาพนํ้า
บอยคร้ังขึ้น เน่ืองจากการใหอาหารกุงมีปริมาณมากขึ้น จึงตองมีการ
ตรวจสอบเพอื่ ทําการควบคมุ คณุ สมบัตินา้ํ ใหเ หมาะสม
สาํ หรบั เกณฑค ณุ ภาพนาํ้ ภายในบอ เลย้ี งของฟารม คา DO ไมต าํ่ กวา
5 มิลลิกรัมตอ ลติ ร ปกติคา DO จะวัดได 7 มลิ ลิกรมั ตอ ลติ ร คาความ
เปน กรดเปนดาง (pH) อยูระหวา ง 7.5–8.2 โดยวดั ทัง้ ตอนเชา และบาย
คาแอมโมเนีย 0 มิลลิกรัมตอลิตร และคาไนไตรท 0 มิลลิกรัมตอลิตร
คาแคลเซียมไมต่ํากวา 200 มิลลิกรัมตอลิตร คาแมกนีเซียมสูงกวา
200 มิลลกิ รัมตอ ลิตร คา โพแทสเซียมไมต ่าํ กวา 30 มิลลิกรัมตอ ลิตร และ
คา อัลคาไลน 150–170 มลิ ลกิ รัมตอลติ รขนึ้ ไป
เมอ่ื พบปรมิ าณแอมโมเนยี หรอื ไนไตรทใ นนา้ํ สงู เกนิ คา ทเี่ หมาะสม
แสดงวามีการตกคางของสารอินทรียในบอเลี้ยง เชน อาหารเหลือจาก
การใหก งุ กนิ สง่ิ ขบั ถา ยในรปู ทลี่ ะลายอยใู นนาํ้ ซากสง่ิ มชี วี ติ เลก็ ๆ ภายใน
บอเลี้ยง จะตองดําเนินการถายน้ําจากบอเลี้ยงและเติมจุลินทรีย ปม.1
(กรมประมง) เพ่ือชว ยยอยสารอินทรยี ในนาํ้
5. การตรวจเชก็ ปรมิ าณอาหารใหเ หมาะสมกบั ความตองการ
ของกงุ ขาว
การใหอ าหารจะเปน ระบบการใหอ าหารแบบอตั โนมตั ิ หยดุ 5 นาที
หวานอาหาร 1 นาที เฉพาะในชวงเวลา 06.00–18.00 น. ยอเช็กอาหาร
จะต้ังหางจากจุดหวานอาหาร 2 เมตร ถาอาหารในยอเหลือ ใหเพ่ิม
ระยะหางในการหวานอาหารรอบใหม ถาอาหารหมดสามารถกดหวาน
16
เพ่ิมขึ้นไดอีกคร้ังหลังจากเช็กยอ โดยใหความสําคัญกับการเช็กยอ
เพราะการใหอ าหารในปรมิ าณทพ่ี อดแี ละแมน ยาํ สามารถปอ งกนั การเกดิ
โรคขข้ี าวและโรคในกงุ ทะเลได
6. การใชจ ุลินทรยี ปม.1 (กรมประมง)
โดยกอ นปลอ ยกงุ ลงในบอเลยี้ งจะใสจ ลุ นิ ทรยี ปม.1 (กรมประมง)
ลงในบอกอน สําหรับความถี่ในการใสจุลินทรีย ปม.1 (กรมประมง)
นัน้ จะใชสัปดาหละ 3 คร้งั ในชว งทก่ี งุ มีขนาดเล็ก และใชทกุ วนั ในกรณที ่ี
กงุ มีอายุ 60 วันข้นึ ไป จนจบั ได โดยขยายจุลนิ ทรยี ปม.1 (กรมประมง)
จาํ นวน 1 ซอง นา้ํ สะอาด 250 ลติ ร ตอบอ เลยี้ งขนาด 2–3 ไร ใชอ าหาร
กงุ เบอร 0 จํานวน 0.5 กโิ ลกรมั และกากน้าํ ตาล 0.5 ลติ ร เปนระยะเวลา
36 ชวั่ โมง และใหอ ากาศผานหัวทราย
7. การเตรยี มนาํ้ หมักสับปะรด และการนาํ ไปใช
สับปะรดลางจนสะอาด ปนท้ังเปลือก 30 กิโลกรัม กากนํ้าตาล
10 กิโลกรัม นมเปรี้ยว 1 ลิตร ปดถังหมักดวยฝาถังเพื่อไมใหน้ําเขา
และไมใ หอ ากาศลงไปสมั ผสั หลงั จาก 30 วนั จะไดห วั เชอ้ื นา้ํ หมกั สบั ปะรด
นาํ หวั เชอ้ื นาํ้ หมกั สบั ปะรดท่ีไดม าขยายตอ โดยใชหวั เชอ้ื 10 ลิตร
กากนา้ํ ตาล 10 ลติ ร นมเปร้ยี ว 830 มิลลิลติ ร อาหารกุงเบอร 0 จํานวน
100 กรัม เตมิ นํา้ ใหเ ต็ม 500 ลิตร ตง้ั ในที่รม ปด ฝา ไมตองใหอ ากาศ
หลังจากนั้น 30 วัน สามารถนําน้ําหมักไปใชได ใสลงไปในนํ้าสาดให
ทวั่ ๆ บอ เชน อาหารกงุ ท่ีให 1 กิโลกรมั ใชนา้ํ หมักสับปะรด 100 ลิตร
ในกรณีท่ีจุลินทรีย ปม.1 (กรมประมง) ไมพอ จะใชน้ําหมักสับปะรด
สลับกบั จลุ นิ ทรีย ปม.1 (กรมประมง)
17
การเตรียมนํา้ หมัก
สบั ปะรด
18
8. การใชกระเทยี มสดผสมในอาหารสาํ เรจ็ รูป
กระเทยี มสดปอกเปลอื ก ลา งนาํ้ จนสะอาด 0.5 กโิ ลกรมั นาํ้ สม สายชู
350 มิลลลิ ติ ร ผสมในอาหารสาํ เร็จรปู 25 กิโลกรัม คลกุ เคลาใหท ั่วและ
ผ่ึงใหแ หงประมาณ 15 นาที ใหกุง กนิ วันละ 1 มอ้ื โดยเรมิ่ ใหตงั้ แตก ุง อายุ
1 วัน ถงึ 60 วัน
9. การกําจดั ตะกอน คราบกงุ ระหวางการเล้ียง
ของเสยี จะโดนดดู จากหลมุ กลางบอ โดยเรม่ิ ดดู เมอ่ื กงุ อายุ 4–5 วนั
วนั ละ 2 คร้ัง เชา –เย็น หลังจากใหอ าหารดว ยเคร่ืองใหอ าหารอตั โนมัติ
1 ชว่ั โมง ดดู จนกวา นา้ํ ท่ีออกมาจากปลายทอ ลงบอ ตกตะกอนหนกั จะใส
ในสว นของตะกอนเบาบรเิ วณกลางหลมุ กลางนา้ํ จะโดนดดู ไปบาํ บดั นา้ํ ใน
บอ ตกตะกอนเบา หลงั จากนนั้ นา้ํ จะเขา ไปสใู นกระบวนการหมนุ เวยี นนาํ้
ตลอดระยะเวลาการเล้ียง และจะเปน แบบนีต้ ลอดระยะเวลาการเลย้ี ง
19
ลดตนทุนพลังงาน
ในการเลย้ี งกุงดว ย
โซลาเซลล
20
จุดเริ่มตนมาจากโครงการระบบสงเสริม
เกษตรแบบแปลงใหญ ตองการใหมีการลด
ตนทุน กรมประมง โดยศูนยวิจัยและพัฒนา
การเพาะเลยี้ งสตั วน าํ้ ชายฝง เขต 2 (สมทุ รสาคร)
ไดด าํ เนนิ การในหวั ขอ ของการลดการใชพ ลงั งาน
และมีการคดั เลอื กเกษตรกรตนแบบ
การใชง านโซลาเซลลข องฟารม คณุ จรญู นน้ั
จะใชต อกบั เครอ่ื งตนี า้ํ สามารถรองรบั แขนตนี าํ้
ทม่ี ใี บพดั ตนี าํ้ ไดถ งึ 10–12 ใบ สามารถลดการใช
ไฟฟาไดตั้งแต 09.00–16.00 น. เฉล่ียวันละ
7 ชั่วโมง หลังจากน้ันจะเปนระบบไฟฟาปกติ
ในการเลยี้ งกุง 3 เดือน หรอื 1 รอบการเลีย้ ง
สามารถประหยัดไฟไดถึง 630 ช่ัวโมง หรือ
คิดเปน 26 วัน คิดเปนสัดสวนตนทุนพลังงาน
ลดลง 30% (ในกรณีท่ีมีแสงแดดปกติ) โดยมี
อุปกรณท่ีใชดงั น้ี
1. แผงโซลาเซลล ขนาด 330 วัตต
จาํ นวน 5 แผง
2. มอเตอรเ กียร DC ขนาด 1.5 แรงมา
3. ชดุ ควบคุม ตอวงจรแบบอนกุ รม
4. เบรกเกอรเปด–ปดใบพดั ตนี าํ้
21
คุณจรูญ ทรพั ยศริ ิ
1. ไดรับมาตรฐาน Good Aquaculture Practice (GAP) จากกรมประมง
2. ไดรับการคัดเลือกเปนเกษตรกรดีเดนของอําเภอบานแพว จังหวัด
สมทุ รสาคร ประจาํ ป 2562
3. ไดรับการคัดเลือกจากสํานักงานประมงจังหวัดสมุทรสาคร ใหเปน
เกษตรกรดีเดนแหงชาติ สาขาอาชีพการเพาะเล้ียงสัตวน้ํากรอย
ประจาํ ป 2563
4. ไดรับการแตงตั้งเปนรองประธานกลุมเกษตรกรทําการประมงพัฒนา
เกษตรพอเพียง 49 ตําบลโรงเข จังหวดั สมุทรสาคร
5. ไดร ับการแตง ต้ังเปน คณะกรรมการประมงจงั หวัด 2 สมัย
6. ไดรับเชิญเปนวิทยากรบรรยาย เรื่อง การเลี้ยงกุง และเทคโนโลยี
การเลย้ี งกงุ ใหก บั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร เกษตรกรผเู พาะเลย้ี งกงุ
ในเขตอําเภอบานแพว จังหวัดสมทุ รสาคร และพนื้ ทใ่ี กลเคยี ง รวมถงึ
ตอ นรับคณะผูมาเยยี่ มชมจากตา งประเทศ
7. ไดร บั เชญิ เปน วทิ ยากรบรรยาย เรอื่ ง การลดตน ทนุ โดยการใชพ ลงั งาน
ทดแทน
8. ใหส ัมภาษณน ิตยสาร Aqua biz (Issue 141) เรือ่ ง ลดตนทนุ พลังงาน
ในการเลยี้ งกงุ ดวยโซลาเซลล
22
การใชย าและสารเคมี
1. ยาตานจุลชพี ทอ่ี นุญาตใหใชในสตั วน้ํา
1.1 ยาตํารบั เด่ียว
• อะม็อกซซี ิลลิน (Amoxicillin)
• เอนโรฟล็อกซาซิน (Enrofloxacin)
• ออกซิเตตราไซคลีน (Oxytetracycline)
• ซาราฟล็อกซาซนิ (Sarafloxacin)
• ออกโซลนิ ิก แอซดิ (Oxolinic acid)
• โทลทราซูริล (Toltrazuril)
• ซลั ฟาโมโนเมททอกซนี โซเดียม (Sulfamonomethoxine sodium)
1.2 ยาตาํ รบั ผสม
• ซลั ฟาไดอาซีน + ไตรเมโทพริม
(Sulfadiazine + Trimethoprim)
• ซัลฟาไดเมททอกซนี โซเดยี ม + ไตรเมทโธพรมิ
(Sulfadimethoxine sodium + Trimethoprim)
• ซัลฟาไดเมททอกซีน โซเดยี ม + ออรเ มทโธพรมิ
(Sulfadimethoxine sodium + Ormethoprim)
• ซัลฟาโมโนเมททอกซนี + ไตรเมทโธพริม
(Sulfamonomethoxine + Trimethoprim)
• ซลั ฟาไดมดิ นี + ไตรเมทโธพริม
(Sulfadimidine + Trimethoprim)
23
2. ยาตานจุลชีพและเคมีภัณฑท ห่ี า มใชในสตั วน ํ้า
2.1 ยาตอ งหา ม
• คลอแรมฟนิคอล (Chloramphenicol)
• ไนโตรฟรู าโซน (Nitrofurazone)
• ไนโตรฟรู านโทอิน (Nitrofurantoin)
• ฟรู าโซลโิ ดน (Furazolidone)
• ฟูรัลทาโดน (Furaltadone)
• กลมุ เซฟาโลสปอรนิ (Cephalosporins)
• กลมุ ไนโตรอิมดิ าโซล (Nitroimidazoles)
2.2 เคมภี ณั ฑตอ งหาม
• มาลาไคทกรนี (Malachite green)
ทป่ี รึกษา ผูอาํ นวยการกองวจิ ัยและพัฒนา
ดร. สทุ ธินี ล้ิมธรรมมหศิ ร การเพาะเล้ียงสตั วน ้ําชายฝง
นางสาวมนทกานติ ทา มติ้น ผอู ํานวยการศนู ยว จิ ยั และพฒั นา
ผูจ ัดทาํ การเพาะเล้ยี งสัตวน ้ําชายฝง เขต 2 (สมทุ รสาคร)
นางชมพูนทุ สามหว ย นกั วิชาการประมงชํานาญการ
ศูนยว จิ ัยและพฒั นาการเพาะเล้ยี งสัตวน ้าํ ชายฝง
นายธนพล ปนดี เขต 2 (สมุทรสาคร)
ขอขอบคุณ นกั วิชาการประมง ศูนยว ิจยั และพัฒนา
คณุ จรูญ ทรพั ยศิริ การเพาะเล้ียงสัตวนํา้ ชายฝง เขต 2 (สมุทรสาคร)
รองประธานกลุมเกษตรกรทาํ การประมง
พฒั นาเกษตรพอเพยี ง 49
ตาํ บลโรงเข จังหวดั สมทุ รสาคร