The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเล่มเล็ก เรื่อง ดินแดนชาติพันธุ์ บ้านป่า “ป่าเด็ง” นางสาวปัทมาพร สุริโย 64191009

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-11-28 08:07:37

หนังสือเล่มเล็ก เรื่อง ดินแดนชาติพันธุ์ บ้านป่า “ป่าเด็ง”

หนังสือเล่มเล็ก เรื่อง ดินแดนชาติพันธุ์ บ้านป่า “ป่าเด็ง” นางสาวปัทมาพร สุริโย 64191009

ช งาติพันธ์ุ บ“้านปป่าเ่าด็ ”



เสวนาพาทัวร์ ก

หนังสือเล่มเล็ก เร่ือง ดินแดนชาติพันธุ์ บ้านป่า “ป่าเด็ง”
จัดทาข้ึนเพื่อรวบรวมข้อมูลวิถีการดารงชีวิตของชาวไทยเชื้อสาย
กะเหร่ียง ท่ีอาศัยอยู่ในบ้านป่าเด็ง ตาบลป่าเด็ง อาเภอกระจาน
จังหวดั เพชรบรุ ี และถอื ได้ว่าเป็นการหาข้อมูลในพ้ืนที่อย่างจริงจังกับ
บุคคลสาคัญในพ้ืนท่ี ทาให้ทราบข้อมูลต่าง ๆ อย่างมากมาย จนทา
ให้เกดิ กระบวนการเรียนรู้ทหี่ ลากหลายมากข้ึน

ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มเล็ก เร่ืองดินแดนชาติ
พันธ์ุ บา้ นปา่ “ป่าเด็ง” เลม่ นี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านและผู้ท่ีสนใจ
ในข้อมูลเรื่องนี้ หากมีข้อแนะนาหรือข้อผิดพลาดประการใด
ทางผจู้ ัดทาขอน้อมรบั ไว้และขออภยั ไว้ ณ ทน่ี ีด้ ว้ ย

แผนที่ตำบลป่ ำเดง็

ท่ีมา : องค์การบรหิ ารสว่ นตาบลปา่ เดง็

ลกั ษณะภูมิประเทศ

ทางด้านทิศตะวันตกเป็นท่ีราบเชิงเขาแถบเทือกเขาตะนาวศรี และ
ทางทิศตะวันออกจดเทือกเขาสามร้อยยอด พ้ืนที่เป็นที่ราบลุ่มมีน้าท่วมขัง
และไหลลงสู่ทะเล ลักษณะเน้ือดินเป็นดิน ปนทราย ท้านาข้าวได้เป็น
บางส่วนและปลกู พชื ทนแลง้ ได้



บอกเล่าเข้าป่ า

เสวนาพาทัวร์ หนา้
บอกเลา่ เข้าป่า ก

ป่าเดง็ มเี รื่องราว 1
ความเปน็ อยู่ และวถิ ีชวี ติ
7
❖ การตั้งถน่ิ ฐานบ้านเรอื น 11
❖ การแตง่ กาย 19
❖ อาหาร 21
❖ ภาษา
25
ประเพณี และวฒั นธรรม 27
29
❖ ความเช่ือ 31
❖ ศาสนา 35
❖ ประเพณกี ารแต่งงาน 36

❖ การแสดง รากระทบไม้

❖ เครอื่ งดนตรี เตหนา่

ประวัตผิ ู้วิจยั



1

ป่ าเด็งมเี รื่องราว

จากการสอบถาม
น า ย บุ ญ ธ ร ร ม ชู ช า ติ
กล่าวว่า เม่ือประมาณ 200
กว่าปีมาแล้วอีกฝากหนึ่ง
ของเขาตะนาวศรี (ประเทศ
พม่า) ชาวกะเหรี่ยงได้มี
การรวมตัวกันตั้งหมู่บ้าน
ที่ต้นตะเคียนคู่ ซึ่งอยู่ห่าง
จา กไ กล ออ กไ ปร วมไ ด้
ประมาณ 80 ครอบครัว

ต่อมาไม่นานในหมู่บ้านเกิดโรคระบาดข้ึน คือ อหิวาตกโรค และฝีดาษ
อีกทั้งถูกรุกรานขับไล่จากประเทศพม่า และเกิดการรบกัน ซึ่งโดยนิสัยแล้ว
ชาวกะเหรี่ยงเป็นผู้ที่มีนิสัยรักความสงบสุขจึงทนอยู่ต่อไปไม่ได้ต้องอพยพ
ออกมาทางฝ่ังประเทศไทย ส่วนที่หมู่บ้านเกิดโรคระบาดน้ัน ก็เป็นเหตุที่ต้อง
ทําให้ชาวกะเหรี่ยง เสียชีวิตล้มตายกันเป็นจํานวนมาก และต้องหนีตายกัน
ออกมาแยกยา้ ยกันไปคนละทิศละทางชาวกะเหรี่ยงที่ แข่งตะคอ้ ปา่ เด็ง ป่าละอู่
ต่างก็หนีมาจากที่เดียวกัน และก็เป็นพี่น้องเป็นญาติกันทั้งหมด จึงมีความเก่ียว
ดองตดิ ตอ่ ไปมาหาสกู่ นั เปน็ ประจาํ จนทกุ วันนี้

ตน้ ไม้แดงคอื ตน้ ไม้ชนดิ หนึ่ง ซ่งึ เปน็ ไม้ยนื ตน้ ผลดั ใบ

ป่ าเด็งมเี รื่องราว 3

พ้ืนท่ีของตาบลป่าเด็ง เดิมเรียกว่า “ป่าแดง” เป็นภาษากะเหร่ียง
พ้ืนที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบมีภูเขา และต้นไม้สมบูรณ์ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก
โดยเฉพาะช้าง เป็นสัตว์ท่ีชาวบ้านในตาบลพบเห็นมากที่สุดจนกระทั่งปัจจุบัน
ซึ่งได้มีการอนุรักษ์ช้างไว้เป็นสัตว์คู่ตาบล หลังจากที่ได้มีคนไทยเข้ามาทากินใน
พ้ืนท่ีเพิ่มมากขึ้น การเรียกช่ือบ้านป่าแดง จึงผิดจากเดิมเป็น “บ้านป่าเด็ง”
และได้ขอแยกการปกครองออกจากตาบลสองพ่ีน้องเพ่ือไปเป็นตาบลป่า เด็ง
เม่อื เดือน ธนั วาคม พ.ศ. 2531 (ขอ้ มลู จากองค์การบริหารสว่ นตาบลปา่ เด็ง)

จา กกา รสอบ ถ า ม นา ย บุ ญ เ ป็ ง
ผัดแก้ว (น้าเด่น) กล่าวว่าชื่อว่าป่า
เด็ง มาจาก ในพ้ืนที่มี ป่าเต็งรัง
ขึ้นอยู่เป็นจานวนมาก คนพื้นที่
ดั้งเดิมส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขา
เผ่ากะหร่างและกะเหรี่ยง ออกเสียง
ภาษาไทยไม่ค่อยชัด เม่ือทาง
ราชการมาสอบถามข้อมูลจึงเพี้ยน
จาก ป่าเต็ง เป็น ป่าเด็ง มาจนถึง
ทกุ วันน้ี



ป่ าเด็งมเี รื่องราว 5

จากการศึกษาจานวนประชากรในตาบลป่าเด็ง พบว่าชนชาว
กะเหรย่ี ง ได้ตง้ั ถิ่นฐานบา้ นเรือนอยู่ในตาบลป่าเด็ง โดยอาศัยอยู่ใน 10
หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านป่าเด็ง บ้านร่วมใจพัฒนา บ้านป่าแดง บ้านเสาร์
ห้า บ้านสวนใหญ่พัฒนา บ้านป่าเด็งใต้ บ้านห้วยสัตว์ใหญ่ บ้านเขา
แหลม บ้านปางไม้ และบา้ นป่าผาก - พุพรู มจี านวนครัวเรือนทั้งหมด
2,410 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 6,461 คน เป็นชาย 3,340 คน
เป็นหญิง 3,121 คน (ข้อมลู จากองคก์ ารบริหารส่วนตาบลปา่ เด็ง)

จากการสัมภาษณ์นายบุญธรรม ชูชาติ ผู้นาชาติ พันธ์ุ
ของตาบลป่าเด็งกล่าวว่า ประชากรส่วนใหญ่ในชุมชนป่าเด็งนั้นเป็น
ชนชาวกะเหรี่ยง และมีชาวไทยอาศัยอยู่บ้างแต่เป็นจานวนน้อย
จึงกล่าวได้ว่าชุมชนบ้านป่าเด็งนี้ เป็นชุมชนที่มีชนชาวกะเหรี่ยงอาศัย
อยเู่ ป็นจานวนมาก ต้งั แต่อดตี มาจนถึงปจั จบุ ัน

ลกั ษณะบ้านของชนชาวกะเหร่ยี งปา่ เด็ง

ความเป็ นอยู่ และวิถีชีวิต 7

การตั้งถนิ่ ฐานบา้ นเรอื น

บา้ นของชนชาวกะเหรี่ยง จ า ก ก า ร ล ง พื้ น ท่ี ศึ ก ษ า ห า
สร้ าง ด้ วย วั สดุ ท่ี ห าไ ด้ ง่ าย ใ น ข้อมูล ในชุมชนบ้านป่าเด็งพบว่า
ท้องถ่ินน้ัน ส่วนมาก จะใช้เสาไม้ ในปัจจุบันนี้บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย
จรงิ ซงึ่ เป็นไม้เนอ้ื แข็งท้าโครงของ ของชนชาวกะเหร่ียงในพื้นที่ได้รับ
บ้าน และใช้ไม้ไผ่ซ่ึงสับและตีแผ่ อิทธิพลจากคนไทย จึงได้มีการ
เป็นฟาก มาท้าพ้ืนบ้าน และ พั ฒ น า รู ป แ บ บ โ ค ร ง ส ร้ า ง
ฝาบ้าน หลังคามุงด้วยหญ้าคา บ้ า น เ รื อ น โ ด ย มี ก า ร น้ า ปู น
แห้งเย็บ เป็น ตับ หรื อมุงด้วย ซิเมนต์เข้ามาใช้ในการก่อสร้าง
ใบตองตึง บ้านกะเหรี่ยงสร้าง เพราะมีความแข็งแรงทนทานต่อ
แบบยกพื้นมีห้องเดี่ยวเป็นห้อง สภาพสิ่งแวดล้อม และภูมิอากาศ
อเนกประสงค์ ใช้เป็นห้องรับแขก มากกว่า แต่ยังคงความเรียบง่าย
ห้องครัว ห้องอาหาร และห้อง สมถะไม่หรหู รา ตามลักษณะนิสัย
ประกอบพิธกี รรม แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม ดั้ ง เ ดิ ม ข อ ง
ชนชาวกะเหรี่ยง



9

จากการศึกษาความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของชนชาวกะเหร่ียง
ในชุนชนบ้านป่าเด็ง พบว่าชนชาวกะเหร่ียงในพ้ืนที่น้ันนิยมต้ังถิ่น
ฐานอยู่ตามหุบเขาท่ีมีล้าธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน โดยบ้านของชาว
กะเหรีย่ งนั้นสร้างด้วยวัสดุท่ีหาได้ง่ายในท้องถิ่น โดยมากจะใช้เสาไม้
จรงิ ซึง่ เปน็ ไม้เนอื้ แข็งท้าโครงของบ้าน และใช้ไม้ไผ่มาท้าพื้นบ้านและ
ฝาบา้ น โดยบา้ นของชนชาวกะเหร่ียงบ้านป่าเด็งในปัจจุบันน้ัน ยังคง
ความเป็นอยู่ท่ีเรียบง่าย แต่เร่ิมมีการน้าปูนซีเมนต์มาใช้เป็นวัสดุ
เพิ่มเติม เพื่อให้บ้านมีความแข็งแรงมากข้ึน ส่วนอาชีพหลักของชน
ชาวกะเหร่ียงในชุมชนป่าเด็งนั้น คือการท้าเกษตรกรรม หาปลา
รองลงมาคือการรับจ้างทั่วไป และการค้าขาย จะเห็นได้ว่าชุมชน
ป่าเด็งน้ัน ได้มีการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดียิ่งข้ึน แต่ในการ
พัฒนาน้ันก็ยังคงรักษาวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี
ด้ังเดมิ ของตน ให้คงอยู่ตอ่ ไป

ผวู้ จิ ัยลงพนื้ ทห่ี าขอ้ มลู จากนางดา้
จนั ทรอ์ ปุ ถมั ภ์ ชาวกะเหร่ียงตา้ บลปา่ เด็ง

ท่มี าภาพ : นายเด่น จันทรอ์ ปุ ถมั ภ์
นกั เรียนโรงเรียนปา่ เด็งวทิ ยา

ความเป็ นอยู่ และวิถีชีวิต 11

การแตง่ กาย

การแต่งกายของชนชาวกะเหร่ียงสะกอนนั้ เปน็ เอกลักษณ์เฉพาะตัวประจา
กลมุ่ โดยจะมกี ารแบ่งลักษณะการแต่งกายของผู้ทีม่ คี รอบครวั และไมม่ คี รอบครัวไว้
อยา่ งชัดเจน ดงั นี้

การแต่งกายผู้ชายชนชาวกะเหรี่ยง

ในปจั จุบนั ผชู้ ายชาวกะเหรี่ยงจะนิยม
แตง่ กายเหมอื นคนไทยในทอ้ งถ่นิ ท่ัวไป
แตส่ ว่ นใหญ่ยงั คงมีเส้อื สีแดง ซงึ่ อาจมี
การทอสีอ่ืนผสมเพอ่ื ให้เกิดความสวยงาม สาหรบั ไว้ใส่ในโอกาสสาคัญ เสื้อสแี ดงนี้
เปน็ สัญลักษณข์ องความเป็นชาย นนั่ คือความอดทนแขง็ แรง สมัยกอ่ นเด็กผูช้ าย
กะเหรย่ี งจะใส่เสือ้ สแี ดงตวั เดียวยาวถงึ เขา่

เส้อื สีแดงของชายชาวกะเหร่ียง เป็นเสื้อทรงกระสอบ คอเสื้อเป็นรูปตัววี
ตรงชายเส้ือจะตดิ พูห่ ้อยลงมา สมัยกอ่ นเสอ้ื สแี ดงของชายโสดจะมีพูห่ ้อยลงมาเลย
ชายเส้อื ส่วนเสื้อสีแดงของชายที่แต่งงานแล้วต้องทางานมากข้ึน การใส่เส้ือท่ีมีพู่
ยาวจะทาให้รุงรังไม่สะดวก ในการทางาน ผู้ชายกะเหรี่ยงจะสวมกางเกงแบบ
คนไทยภาคเหนอื หรือสวมโสรง่ แบบพมา่ แตใ่ นปจั จบุ นั สว่ นใหญ่ จะสวมกางเกง
ตามสมัยนยิ มและอาจสวมเส้ือสีแดงทบั เสอ้ื สีขาวข้างในอกี ทหี นึง่

นอกจากเสื้อสีแดงแล้ว ผู้ชายกะเหรี่ยงจะใช้ผ้าโพกศีรษะซ่ึงมีลวดลาย
ปักสแี ดงและมถี ุงย่ามซึ่งจะออกสีแดงเช่นเดียวกัน เน่ืองจากกะเหร่ียงสะกอนับถือ
บรรพบรุ ุษฝา่ ยแม่ แม่จะเป็นเจ้าของบ้าน และเป็นใหญ่ในบ้าน วันแต่งงานผู้หญิง
ทเี่ ป็นเจ้าสาวตอ้ งเตรยี มเสื้อผา้ ผ้าโพกศีรษะและถุงย่ามไว้ให้เจ้าบ่าว ย่ามน้ีจะต้อง
มีลายทีป่ ากถงุ เพราะเช่อื กันวา่ สามารถปอ้ งกันผไี ม่ใหท้ ารา้ ยเจา้ บ่าวได้

ท่มี าภาพ : นางสาวอัจราพร อรณุ ประสทิ ธชิ ยั
นักเรียนโรงเรยี นป่าเด็งวทิ ยา

การแต่งกายของผู้หญงิ ชนชาวกะเหรยี่ ง 13

กะ เ หรี่ ย ง มีค ว ามเ ค ร่ง ค รัด ใ นเร่ื อ งค ว ามสั มพันธ์ ร ะห ว่ าง ช าย
และหญิง มีข้อห้ามการไปไหนด้วยกันตามลาพัง และการถูกเนื้อต้องตัวกัน การได้
เสียก่อนแต่งงาน ถือว่าเป็นความผิดต้องลงโทษปรับใหม่ การมีชู้ โทษถึงไล่ออก
นอกหมบู่ ้าน มีการอยอู่ ย่างผวั เดยี วเมยี เดยี วตราบจนตายจากกนั ไม่ประพฤติผิดใน
ลูกเมียใคร กะเหร่ียงสะกอท่ีเป็นหม้าย น้อยมากท่ีจะแต่งงานใหม่ ด้วยความเช่ือ
ดังกล่าวข้างต้น จึงมีการแยกความแตกต่างของการแต่งกาย ระหว่าง สาวโสด
และหญงิ ที่แต่งงานแลว้

การแตง่ กายของผหู้ ญิงชนชาวกะเหรี่ยงท่ียงั ไม่แต่งงาน

ผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอท่ียังไม่แต่งงานจะใส่ชุดทอด้วยมือทรงกระสอบ
สีขาว ยาวกรอมเท้าในสมัยก่อน ถ้ากระโปรงมีความยาวแค่เข่า สาวก็จะอายมาก
จนมีนิทานเล่าว่า ถ้ามีชายมาเห็นเข่าสาวก็จะฆ่าตัวตาย ชุดขาวนี้เรียกว่า “เชว้า”
จะใส่ตั้งแตเ่ ด็กจนถงึ วนั แตง่ งานจึงจะเปล่ียนโดยการใส่ชุดขาวน้ันเพื่อแสดงความ
บริสุทธิ์ หญิงใดท่ีต้ังครรภ์โดยที่ยังไม่เข้าพิธีแต่งงานก็ถือว่ามีความผิดอย่าง
ร้ายแรง จนกระทั่งมีคาด่าที่ถือว่าหยาบคายมากในบรรดากะเหร่ียงด้วยกัน
คือ “เด้อเช้ว้า” แปลว่า “อุ้มท้องท้ังชุดขาว” สาวโสดมีผ้าโพกศีรษะเพื่อกันแดด
ในหน้าร้อน และให้ความอบอนุ่ ในหน้าหนาว และเพือ่ ไม่ใหผ้ มสกปรกเร็วจนเกินไป
ในวันแต่งงาน สาวกะเหร่ียงจะมีผู้ใหญ่ช่วยเปลี่ยนชุดจากชุดขาวเป็นชุดสาหรับ
หญิงท่ีแต่งงานแล้ว เจ้าสาวจะต้องมอบชุดขาวให้คนอ่ืนหมดแต่จะให้ น้อง
ซึง่ อาศยั อยใู่ นบ้านเดียวกนั ไม่ได้ เพราะเช่ือวา่ จะทาใหน้ ้องไมไ่ ดแ้ ต่งงาน

ท่มี าภาพ : นางสาวจริ าพร ชูชาติ
นกั เรยี นโรงเรียนปา่ เด็งวทิ ยา

15

การแตง่ กายของผหู้ ญิงชนชาวกะเหรย่ี งที่แต่งงานแล้ว

ผหู้ ญิงกะเหร่ียงที่แต่งงานแล้ว หรือมีครอบครัวแล้ว จะสวมเส้ือประดับ
ประดาด้วยลูกเดือยและฝ้ายสี การประดิษฐ์ลวดลาย และการใช้สีสันต่างๆ คิดค้น
ขึ้นมาแทนส่ิงท่ีเห็นอยู่รอบตัว เช่น นาเม็ดลูกเดือยมาเรียงกัน 2 เม็ด หมายถึง
รอยเท้าสุนัข หรือการปักไขว้ด้วยด้ายสีแดงเป็นรัศมีหมายถึงพระอาทิตย์ เป็นต้น
หญงิ กะเหรี่ยงจะใส่เส้ือดังกล่าวซึ่งเป็นทรงกระสอบตัวสั้นเลยเอว คอเป็นรูปตัววี
แขนในตัว สั้นเลยไหลม่ านดิ หน่อย เส้ือนเ้ี รียกวา่ “เช้ ชุ” และจะสวมผ้าซ่ิน ทั้งเสื้อ
และผา้ ซนิ่ เปน็ เครอ่ื งหมายแสดงว่ามีเจ้าของแล้ว และจะไม่มีชายอื่น มาข้องเกี่ยว
สาวโสดจะใส่ชุดของหญงิ ทแี่ ต่งงานแลว้ ไม่ได้เพราะเช่อื กันว่าจะทาให้ไม่ได้แต่งงาน
หรอื อาจทาให้เป็นบา้ ไปเลยกไ็ ด้ ผ้หู ญิงที่แตง่ งานแลว้ กจ็ ะกลบั ไปใส่ชุดขาวอกี ไม่ได้
เพราะจะเป็นการดูถกู ความบรสิ ุทธิ์

เส้อื ของหญิงที่แตง่ งานแลว้ นั้นจะตอ้ งมลี ายปัก เพราะถ้าหากไม่มีเช่ือกัน
ว่าจะทาให้ไม่มีลูก ชนชาวกะเหรี่ยงมีท้ังนับถือผี นับถือศาสนาพุทธ และนับถือ
ศาสนาคริสต์ เส้ือของหญิงที่แต่งงานแล้วจึงต้องมีการปักลูกเดือย เพราะเชื่อกัน
ว่าจะกันผีได้ กะเหร่ียงที่นับถือศาสนาคริสต์ จะไม่นับถือผี เส้ือจึงไม่จาเป็นต้อง
ปักลูกเดอื ย และมักจะทอลายลงไปเลย ไม่ใช้วธิ ีปกั ด้วยมือดงั เช่นเสอ้ื ของกะเหรีย่ ง
ที่นับถือผี ผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอท่ีแต่งงานแล้วและนับถือผี จะใส่ผ้าซิ่นที่มีลายกี่
ซงึ่ เปน็ ลายเฉพาะของชนชาวกะเหร่ียง ผ้าซ่ินของหญิงท่ีแต่งงานแล้ว และนับถือ
ศาสนาคริสต์จะไม่มีลายกี่ ส่วนลวดลายที่มีปรากฏบนผ้าซิ่นน้ันแสดงถึง
ความขยันหม่ันเพียร ยิ่งลวดลายมีมากก็ยิ่งแสดงถึงความขยันหมั่นเพียรมากข้ึน
เท่านนั้

การย้อมสีของผ้า จะใช้วัสดุธรรมชาติ วัสดุท่ีจะนามาย้อม ได้แก่ เปลือก
ไมส้ กั ไมแ้ ดง ไม้ประดู่ เปน็ ต้น ผู้ชายจะเป็นผหู้ ามาจากป่า หรือทหี่ ่างไกลจากที่อยู่
อาศัยสว่ นต้นไม้ท่ใี ช้ย้อมสีเปน็ ต้นเล็กๆ เช่น ต้นคราม ต้นแสดหรือเงาะป่า เป็นต้น
การย้อมสีของลายก่ีจะต้องไปเอาต้นไม้ชนิดหน่ึงในป่าซึ่งมีสีอย่างลายกี่ เวลาไป
เอาจะไมบ่ อกใคร เพราะจะทาใหย้ ้อมไม่ตดิ

ภาพผู้ชายใส่เส้ือสีน้าเงินใส่ผ้าพันหัวเป็นสีแดง
นุ่งโจงกระเบนส่วนผู้หญิงใส่ผ้าถุงใส่เส้ือสีน้าเงิน มีสร้อย
และผ้าพันหัวสีแดงเป็นการแต่งกายของกะเหร่ียงไม่ว่าจะ
เป็นหนุ่มสาวหรอื คนทแ่ี ต่งงานกนั แล้วก็สามารถใส่ได้

ทีม่ าภาพ : นายเด่นจนั ทรอ์ ปุ ถมั ภ์ และน.ส.ปรียานชุ เวนะ
นกั เรียนโรงเรยี นป่าเด็งวทิ ยา

17

จากการท่ีผู้วิจัยได้ลงพื้นที่ เสื้อผ้าของชนชาวกะเหรี่ยง โดยส่วน
ศึกษาหาข้อมูลพบว่า การแต่งกาย ใหญ่จะทอเองด้วยมือ การทอผ้า
ของชนชาวกะเหรย่ี งในพื้นท่ชี ุมชนปา่ นับเป็นวัฒนธรรมท่ีเก่าแก่ด้ังเดิม
เด็งในปจั จุบนั มกี ารแต่งตวั เหมือนคน อย่างหน่ึง ชนชาวกะเหรี่ยงทอผ้าใช้
ไทยโดยทัว่ ไป แต่จะมีการใส่ชุดประจา เองในครอบครัวมาเป็นเวลานานแล้ว
เผ่าคือผู้ชายจะใส่เสื้อผ้าทอสีแดง รปู แบบการทอผ้ามีลักษณะคล้ายกับ
ผู้หญิงท่ียังไม่ได้แต่งงานจะใส่เส้ือสี การทอผ้าของชาวเปรูในสมัยโบราณ
ขาวทรงกระสอบยาวกรอมเท้า หรือ และเหมือนของชนเผ่าหนึ่งในแถบ
ท่ีเรียกว่าชุดเชว้า และผู้หญิงที่ ป ร ะ เ ท ศ กั ว เ ต ม า ล า ป ร ะ เ ท ศ
แ ต่ ง ง า น แ ล้ ว จ ะ ใ ส่ เ ส้ื อ สี เ ข้ ม ท ร ง ฟิลิปปินส์ ปัจจุบันการทอผ้าแบบนี้
กระสอบ ตัวสน้ั เลยเอว คอเป็นรูปตัว ของกะเหร่ยี งเรม่ิ เปล่ยี นแปลงไป และ
วี หรือท่ีเรียกว่า เช้ ชุ ทุกวันอาทิตย์ มแี นวโนม้ วา่ จะสญู หายไปในท่ีสุด
ในการเขา้ พธิ ีกรรมทางศาสนา และใส่
ในงานประเพณีสาคญั ตา่ งๆ

เครอ่ื งทอผ้าหรือในภาษากะเหรยี่ ง
เรียกว่า “น้อต”ู

ที่มาภาพ : ศูนยพ์ ฒั นาราษฎรบน
พน้ื ทส่ี ูงปา่ เด็ง

น้าพรกิ กะเหรีย่ ง ภาษากะเหรยี่ งเรยี กว่า “ตา่ ซู”
แกงปา่ หมใู ส่มะเขอื พวง หรือเรียกว่ามะเขือชอ่

ความเป็ นอยู่ และวิถีชีวิต 19

อาหาร

จาการสอบถาม นายบญุ ธรรม ชูชาติ ชาวกะเหรี่ยงกินอยู่อย่างง่ายๆ
มคี วามสมถะ ไม่มคี วามโลภ และมคี วามเชือ่ ในเรอ่ื ง การไมส่ ะสม กบั ข้าวท่เี ปน็
อาหารหลกั ของกะเหร่ียงคือนา้ พรกิ และแกง นา้ พรกิ ในภาษากะเหรยี่ งเรยี กวา่
“มีส่าโต่ หรือ หมู่ฬิโต่” มีรสเผ็ดจัดและเค็มมาก มีกล่ินหอมเพราะใบผักหอม
ชนิดต่าง ๆ ที่ใส่นิยมกินกับผักนึ่ง และผักต้ม แกงภาษากะเหร่ียงเรียกว่า
“ต่าซู” มีหลายประเภท แกงกะเหร่ียง ไม่ว่าเป็นประเภทใดจะใส่น้าพริกแกงที่
เรียกว่า “ต่าอะโต่” ซึ่งแปลว่า “เครื่องตาในน้าพริกแกง” ส่วนประกอบของ
แกงอีกอยา่ งหน่ึงคือเนือ้ สตั ว์ ชนดิ ของเน้ือสัตว์จะเป็นเคร่ืองกาหนด ว่าควรใส่
เครื่องปรุงอะไรเป็นน้าพริกแกง น้าพริกและแกงประเภทต่างๆน้ัน จัดว่าเป็น
อาหารพ้ืนบ้านที่ทากินกันในแต่ละวัน จะไม่ทาอาหารประเภทน้าพริกในงาน
เล้ียง เพราะถือว่าเป็นอาหารธรรมดาพื้นๆ จึงไม่ควรจัดออกต้อนรับแขก
นอกจากน้าพริกและแกงแล้ว อาหารอ่ืนที่นิยมทากันก็มีประเภทผัด ต้มเค็ม
หมก หลาม และยา อาหารประเภทผัดชาวกะเหร่ยี งไมค่ อ่ ยนิยม เพราะไม่ชอบ
กนิ น้ามนั อาหาร ท่ีชนชาวกะเหร่ยี งในพน้ื ท่ีชมุ ชนบ้านปา่ เด็งนิยมรบั ประทาน
นั้นเป็นอาหารที่เรียบง่ายคือข้าวกับน้าพริก ชอบกินอาหารรสจัด นิยมกินผัก
และไม่ชอบกินน้ามัน

ปลาตะเพยี นขาวย่าง

น้าพริกกะเหรยี่ ง พร้อมผกั ลวก

น.ส.อจั ราพร อรณุ ประสทิ ธิชัย และน.ส.ปรียานชุ เวนะ
ผู้ให้ขอ้ มลู

ความเป็ นอยู่ และวิถีชีวิต 21

ภาษา

ภาษากะเหร่ียงไมม่ พี ยญั ชนะสะกด ด้วยเหตนุ ี้เมือ่ ชาวกะเหรย่ี งเรยี นพดู
ภาษาไทย จะพบวา่ มปี ญั หาในเรอ่ื งการออกเสียง และการได้ยินพยัญชนะสะกด
ของภาษาไทย จะเห็นได้ว่าภาษาของชนชาวกะเหร่ียงนั้น มีลักษณะเด่นที่
แตกตา่ งจากภาษาไทย ในส่วนของโครงสร้างพยางค์ เสียงพยัญชนะ สระบาง
เสยี ง และเสยี งวรรณยุกต์ ซง่ึ ภาษากะเหรยี่ งสะกอไม่มพี ยญั ชนะสะกด ด้วยเหตุ
นี้เมื่อชาวกะเหร่ียงสะกอพูดภาษาไทย จึงมักพบปัญหาในเร่ืองของการได้ยิน
พยญั ชนะสะกดของภาษาไทย

ทม่ี าภาพ : เพจคริสตจกั รป่าเด็ง

ท่มี าภาพ : เพจคริสตจกั รป่าเด็ง

ประเพณี และวัฒนธรรม 23

ของชนชาวกะเหร่ียงบา้ นป่ าเด็ง

จากการศกึ ษาพบว่า ประเพณีที่มีความสาคัญของชนชาวกะเหรี่ยงน้ัน
ได้แก่ ประเพณีการข้ึนบ้านใหม่ ซึ่งชนชาว กะเหรี่ยงถือว่าเป็นงานที่มี
ความสาคัญ อย่างย่ิง ประเพณีกินข้าวใหม่ เป็นประเพณีท่ีทาหลังจากได้
ผลผลิตมาจากไร่นาแล้ว ประเพณีข้ึนปีใหม่ เป็นงานที่จัดก่อนการทาไร่นา
ประเพณกี ารเกี้ยวสาว เปน็ ประเพณขี องหนมุ่ สาวชาวกะเหรยี่ ง ซึ่งเปิดโอกาสให้
หนุ่มสาวได้พบปะและสนทนากันในเวลากลางคืน หากหนุ่มสาวมีความชอบ
พอกัน จะมีการสู่ขอและเข้าสู่พิธีแต่งงานต่อไป ประเพณีการแต่งงาน เป็น
ประเพณีทสี่ ืบเน่อื งจากการ เกี้ยวสาว หากหนุ่มสาวคู่ใดรักใคร่ชอบพอกัน ฝ่าย
ชายก็จะมาสขู่ อและจัดพธิ ีแตง่ งานเพ่ือใชช้ วี ติ ร่วมกนั ต่อไป ประเพณงี านศพ ชน
ชาวกะเหร่ียงสะกอถือว่ามีความสาคัญยิ่ง ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องไปเข้า
ร่วมงาน ประเพณีการเกิด หญิงชาวกะเหรี่ยงสะกอจะทางานหนักในช่วง
ต้ังครรภ์ เพื่อสร้างฐานะไม่ให้ลูกลาบาก และเม่ือเด็กเกิดมาจะมีการใช้ด้ายของ
แมผ่ ูกข้อมอื และมกี ารรบั ขวญั เดก็ ด้วย และจากการลงพ้ืนท่ีในชุมชนป่าเด็งนั้น
ยังพบว่า ชนชาวกะเหรี่ยงสะกอในหมู่บ้านป่าเด็งได้มีการเพ่ิมประเพณีสาคัญท่ี
เกีย่ วขอ้ งกับศาสนาอีกประเพณหี นงึ่ คือประเพณีวันคริสตมาส ซึ่งจดั เปน็ ประจา
ทุกปีเป็นงานใหญ่ และมีการนาการแสดงต่างๆ ซ่ึงเป็นการแสดงท่ีเป็น
เอกลักษณ์ของกลมุ่ ชนมาแสดงในงาน

ท่ีมาภาพ : เพจคริสตจักรป่าเด็ง

ภาพ :พธิ กี รรมตามความเชือ่ ของชาวกะเหร่ียง ด้วยการจุดเทยี น
ขอพรจากสิ่งศกั ดิ์สิทธใ์ิ หช้ ่วยคุ้มครองนายพอละจี (บลิ ลี่)

ประเพณีและวัฒนธรรม 25

ของชนชาวกะเหรี่ยงบา้ นป่ าเด็ง

ความเชอื่

การศึกษาความเช่ือของชาว ผีป่าน้า คือผีท่ีสิงสถิตอยู่ตามลาห้วย
กะเหรี่ยงพบว่า ก่อนท่ีชาวกะเหร่ียง ลาธาร บึง หนองน้าเม่ือเวลาชาว
จะมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนา กะเหร่ียงไปหาปลาหรือล่าสัตว์ เม่ือ
คริสต์น้ัน ส่วนมากนับถือผีและเชื่อถือ กลับมาถึงบ้านของตนแล้วไม่สบายจะ
โ ช ค ล า ง แ บ บ ไ ส ย ศ า ส ต ร์ ผี ที่ ช า ว มีการทาพิธีปักกระดูกไก่ เส่ียงทาย
กะเหรี่ยงนับถือคือ ผีบ้านผีเรือน และผี อาหารท่ีใช้ในการเลี้ยงผีน้า หรือผีป่า
ประจาไร่นา ส่วน ผีท่ีกลัวมากกว่ า คือ ปลายเท้าไก่ ปลายปีกไก่ หัวใจ
การนับถือคือผีป่า ผีบ้าน ผีเรือน หรือ ตั บ ไ ส้ น า ม า ต้ ม เ มื่ อ สุ ก
ผีเทพารักษ์รักษาหมู่บ้าน บางทีเรียกว่า จึงนาไปวางบนร้านเคร่ืองสังเวย
เป็นผีเจ้าเมืองหรือผีเจ้าที่ หรือเจ้า ส่วนหมอผีหรือผู้ประกอบพิธี จะเป็น
ประจาบ้านเรือน คือ ดวงวิญญาณ ผู้ที่มีความรู้ทางไสยศาสตร์ บางคน
ของบรรพบุรุษในหมู่บ้าน จะมีการเลี้ยง ฟันแทงไม่เข้า และยังเป็นหมอรักษา
ผีเรือนอย่างน้อยปีละ 2 คร้ัง หากมีการ ค น ป่ ว ย ด้ ว ย ส า ห รั บ
เจ็บป่วยจะทาพิธี การปักกระดูกไก่เสี่ยง วาระการเสี่ยงผี จะมีหลายวาระ เช่น
ท า ย ห รื อ จั บ ข้ า ว ส า ร เ สี่ ย ง ท า ย ดู เล้ียงผีเพื่อฉลองโชคชัย เล้ียงผีเพ่ือ
ผปี ระจาไร่หรือผนี า กอ่ นที่จะทาการปลกู เป็นการขอขมาลาโทษต่อเจ้าบ้านเจ้า
ข้าวหรือพืชไร่ และหลังฤดูเก็บเก่ียวจะมี เมืองซ่ึงเป็นผีป่า ผีหลวง และเส่ียงผี
การฆ่าไก่เป็นเคร่ืองเซ่นบูชา ผีป่าจะถือ เพ่อื บาบดั โรคภยั ไข้เจ็บ
ว่ า เ ป็ น ผี ท่ี ทา ร้า ย ค น ม า กก ว่ า กา ร
คมุ้ ครอง

ทมี่ าภาพ :ชาวเขาเผ่ากะเหรย่ี ง
ประกอบพิธีเรียกขวญั จาก

https://www.chiangmainews.co.th
/page/archives/508613/

พธิ รี บั เขา้ เปน็ คริสต์ศาสนิกชน พธิ บี พั ติศมา หรอื ศลี ลา้ งบาป เปน็
พิธีศกั ด์สิ ทิ ธ์ิในศาสนาคริสต์ ทาข้นึ เพอ่ื รับ

"ผ้ทู ีเ่ พิง่ รบั เชอื่ " เข้าเปน็ สมาชิกใหมข่ องคริสตจกั ร

ประเพณีและวัฒนธรรม 27

ของชนชาวกะเหร่ียงบา้ นป่ าเด็ง

ศาสนา

จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ข้ อ มู ล แ ล ะ จากการสัมภาษณ์(แซมซั่น
วิเคราะห์เก่ียวกับการนับถือศาสนา ศรีประเสริฐ ครูสอนศาสนา เก่ียวกับ
ของชาวกะเหรี่ยงสามมารถสรุปได้ว่า ก า ร นั บ ถื อ ศ า ส น า ข อ ง ช น
ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย ง ส ะ ก อ น้ั น ใ น ปั จ จุ บั น ช า ว ก ะ เ ห รี่ ย ง บ้ า น ป่ า เ ด็ ง
ส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ อาจมี ได้กล่าวว่าปัจจุบันชนชาวกะเหรี่ยง
ศาสนาพุทธบา้ งแตม่ ีจานวนน้อยกว่า ในชุมชนบ้านป่าเด็งส่วนใหญ่ นับถือ
เหตผุ ลที่ชนชาวกะเหร่ียงเลือกนับถือ ศาสนาคริสต์ รองลงมาคือศาสนา
ศาสนาคริสต์นั้น จากการสัมภาษณ์ พุทธ จึงทาให้ความเช่ือในเร่ืองของ
นายบุญธรรม ชูชาติ ได้กล่าวว่า การเลี้ยงผีน้ันลดน้อยลง แต่ก็ยังคง
เน่ืองจากศาสนาคริสต์เป็นศาสนาท่ี มีให้เห็นบ้างในบางครอบครัว และ
ส า ม า ร ถ ร ว บ ร ว ม พ่ี น้ อ ง เ ชื้ อ ส า ย เหตุที่ชนชาวกะเหร่ียงเลือกนับถือ
เดียวกันให้อยู่เป็นกลุ่มได้มากท่ีสุด ศาสนาคริสต์ เพราะต้องการรวมกลมุ่
ชนชาวกะเหร่ียงจึงได้หันมานับถือ ช น ข อ ง ต น ใ ห้ อ ยู่ เ ป็ น ก ลุ่ ม มี ค ว า ม
ศ า ส น า ค ริ ส ต์ แ ท น ก า ร นั บ ถื อ ผี สามัคคีกัน จึงได้นาศาสนาคริสต์มา
(บุญธรรม ชูชาติ : สัมภาษณ์ 5 เป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจ และเป็น
สิงหาคม 2564 ) ศนู ย์รวมของกลมุ่ ชนชาวกะเหร่ียง

ท่มี าภาพ : ไดข้ อ้ มลู จาก นางสาวอัจราพร อรุณประสทิ ธชิ ยั
นกั เรียนโรงเรียนปา่ เด็งวทิ ยา

ประเพณีการแตง่ งาน 29

ประเพณีการแต่งงาน ของชาว ถ้ า ทั้ ง คู่ มี ค ว า ม ช อ บ พ อ กั น
กะเหร่ียงน้ันจะแต่งงานอายุยังน้อย ทางฝ่ายหญิงจะยอมให้ฝ่ายชายมา
อายุ ประมาณ 15 ปี กแ็ ตง่ งานไดแ้ ล้ว นอนค้างท่ีบ้านแต่มิได้ล่วง ละเมิด
การเลอื กคู่ครองนั้นคู่บ่าวสาวจะเป็นผู้ อย่างใดและจะต้องเป็นท่ีรับรู้ของพ่อ
ท่ีทาการตัดสินใจเอง โดยพ่อ แม่และ แม่ญาติผู้ใหญ่ท้ัง 2 ฝ่ายให้ทราบ
ญาติทั้ง 2 ฝ่ายรับรู้ซ่ึงกันและกัน ใน เมอ่ื แต่งงานแลว้ ฝ่ายชาย จะต้องไปอยู่
การแต่งงานนี้จะมีประเพณีอย่างหน่ึง บ้านของฝ่ายหญิงในวันแต่งงานแม่
ซ่ึงเรียกว่า การย่องสาว ซึ่งทางญาติ ข อ ง ผู้ ห ญิ ง จ ะ ใ ห้ ผู้ ห ญิ ง ท อ ผ้ า ไ ว้ ใ ห้
ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้เปิดโอกาสให้ฝ่าย ผู้ชายใส่ และเล้ยี งหมูเพือ่ จะได้มีไว้ขาย
ชายมาที่บ้านฝ่ายหญิง เพ่ือพบปะ ไว้กิน ส่วนผู้ชายจะไม่ใส่เส้ือ นุ่งโสร่ง
พูดคุยทาความรู้จัก คุ้นเคยกันในการ ถอื เสอ่ื และย่ามใส่เงินมาในวันแต่งงาน
ตัดสินใจเป็นคู่ครอง โดยจะมิได้มีการ วันแต่งงาน ผู้หญิงยังต้องใส่ชุดสีขาว
ล่วงละเมิดทางเพศแต่อย่างใด เพราะ เพ่ือแสดงถึงความบริสุทธิ์ เมื่อแต่งไป
ถอื ว่าจะ เป็นการผดิ ผี แ ล้ ว จ ะ ไ ม่ ส า ม า ร ถ ใ ส่ สี ข า ว
ได้ เปล่ียนเป็น ใส่สี่อื่นแทนเช่น สีฟ้า
สดี า สีแดง

สมั ภาษณ์ นางสาวกมลชนก ศรปี ระเสริฐ
การแสดงรากระทบไม้

ผู้วจิ ัยลงพน้ื ท่ี ดูการซอ้ มการแสดงรากระทบไม้

การแสดง รากระทบไม้ 31

ของชนชาวกะเหรี่ยงบา้ นป่ าเด็ง

จากการสัมภาษณ์ นางสาว การรากระทบไม้ไผ่เป็นการรา
กมลชนก ศรีประเสริฐ พ่ีท่ีดูแล
หอพักนักเรียนชาติพันธ์ุ และพี่ ต้อนรับแขกผู้มาเยือนภายในหมู่บ้าน
ฝึกส อนน้ อง ๆ ในการแสด งรา การขออนุญาตและขอบคุณเจ้าที่เจ้า
กระทบไม้ไผ่ หรือในภาษากะเหรี่ยง ทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ก่อนท่ีจะลงมือ
เรียกว่า จ๊ิวะ เป็นการราที่ถือเป็น ทามาหากินเพื่อประกอบอาชีพ เพ่ือ
การละเล่น เพ่ือความสนุกสนาน แสดงความเคารพและสักการะส่ิงศัก
รื่ น เ ริ ง ส า ห รั บ ที่ ม า ข อ ง ก า ร สิทธิ์ ซงึ่ ชาวกะเหร่ียงมีความเช่ือว่าจะ
รากระทบไม้ไผ่น้ี ไม่มีใครทราบว่า มีผปี ระจาพชื ไรใ่ นปา่ ในนา ภเู ขา ตน้ ไม้
เกิดข้ึนต้ังแต่เมื่อไหร่ หรือมีบุคคลใด ส่ิงเหล่าน้ีย่อมมีผีประจาอยู่จึงต้องขอ
เปน็ ผ้ใู หก้ าเนดิ ทราบแตเ่ พียงว่าการ อนุญาตและแสดงความขอบคณุ ซึง่ ใน
ราชุดนี้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน อดีตรากระทบไม้ไผ่นั้น จะใช้แสดง
แล้ว และได้มีการสืบทอดต่อกันมา เก่ียวกับพิธีกรรมต่างๆ ต่อมาได้
จนกลายเป็นวัฒนธรรมของกลุ่ม ปรับปรุงให้เป็นการแสดงเพ่ือความ
ชนชาวกะเหรี่ยง ท่ีอยู่บ้านป่าเด็ง ส นุ ก ส น า น ร่ื น เ ริ ง แ ล ะ ส ร้ า ง
ตาบลป่าเด็ง อาเภอแก่งกระจาน ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ห นุ่ ม ส า ว ใ น
จังหวัดเพชรบุรี หมบู่ า้ น

ผู้ วิ จั ย พ บ ว่ า ปั จ จุ บั น ใ น
หมู่บ้านเหลือเพียงเด็กๆ ที่อาศัยอยู่
ภายในหมู่บ้านที่ได้รับการถ่ายทอด
การแสดงรากระทบไม้ไผ่ จากสาเหตุ
ข้างต้นแล้วน้ัน เด็กนั้นยังมีความ
คล่องตัว และมีทักษะความว่องไว
ที่มากกว่าผู้ใหญ่ และการแสดงน้ี
ต้ อ ง ก า ร แ ส ด ง อ อ ก ม า ถึ ง อ า ร ม ณ์
ร่าเริงแจ่มใส ซึ่งเด็กๆ จะมีความสดใส
อยู่ในตวั เอง ดังนน้ั การแสดงรากระทบ
ไม้ไผ่ในปัจจุบัน ผู้ที่สามารถแสดงได้
นน้ั จงึ เปน็ เด็กๆ ที่อาศัยอย่ใู นหมู่บ้าน

การแสดงรากระทบไม้ งานต้อนรับคณะกรรมการประเมนิ นักเรียน
พระราชทาน วันที่ 18 พฤศจกิ ายน 2564 ณ โรงเรียนปา่ เด็งวทิ ยา

รูปแบบการแสดงรากระทบไมไ้ ผ่ 33

การแสดงรากระทบไม้ไผ่นั้น จากการศึกษารูปแบบการ
ก่อนการเริ่มทาการแสดงผู้กระทบไม้ แสดงรากระทบไม้ไผ่ของชาวไทยเชื้อ
ไผ่หรือผู้เคาะไม้ไผ่จานวน 12 คน สายกะเหรี่ยง บ้านป่าเด็ง พบว่า
จะนาไม้ไผ่มาจัดวางตามตาแหน่ง จะต้อง มีผู้แสดงท่ีประกอบไปด้วย
ที่กาหนดไว้ และน่ังตรงตามตาแหน่ง ผู้รา ผู้กระทบหรือผู้เคาะไม้ไผ่ ผู้ขับ
ไม้ไผ่ ผู้ขับร้อง และบรรเลงดนตรีจะ ร้อง และผู้บรรเลงดนตรี โดยแต่เดิม
นง่ั ประจาตาแหนง่ ทีเ่ หมาะสม ผรู้ าจะ น้ันผู้ราจะถือผ้าประกอบการแสดง
ยืนรอในลักษณะแถวตอนเรียงหน่ึง แต่ด้วยผ้าน้ันเป็นสิ่งที่สร้างอุปสรรค
โดยท่ีผู้แสดงฝ่ายหญิงจะอยู่ข้างหน้า ให้แก่ผู้รา จึงได้เปล่ียนเป็นท่าทาง
ฝา่ ยชาย โดยจะยนื กันเป็นคู่ ๆ โดยจะ การยกมือข้ึนแทน มีรูปแบบการ
อ ยู่ ใ น ลั ก ษ ณ ะ ส ลั บ ห ญิ ง ช า ย แ ส ด ง ท้ั ง ห ม ด 6 ก ร ะ บ ว น
ทา่ คอื ทา่ เตรียมท่าเขา้ ไม้ไผ่ ท่าจับคู่
ก า ร แ ส ด ง ร า ก ร ะ ท บ ไ ม้ ไ ผ่ ท่าเข้าคู่จับมือและแตะเท้าลงในช่อง
บ้านป่าเด็ง แต่เดิมฝ่ายหญิงจะนิยม ไม้ไผ่ ท่าจับมือเข้าวง และท่าเข้า
ถือผ้า ป ระ กอบ กั บกา ร แส ดง แต่ จะเป็นการแสดงที่ประกอบกับดนตรี
เ นื่ อง จ า กผ้ า เ ป็ น สิ่ ง ท่ีทา ใ ห้ เ กิ ด ที่ บ รรเ ลง จั ง หว ะ เ ดี ย ว ท้ั ง เ พ ล ง
อุปสรรค ในการแสดงเป็นอย่างมาก โดยตอนจบน้นั จะราเข้าทางเดียวกบั
ต่อมาจึง ไม่นิยมถือผ้าและจึงได้ ทางทอี่ อก
เ พ่ิ ม ท่ า ท า ง ใ น ก า ร ย ก มื อ ขึ้ น ไ ป
เพ่อื เพิ่มเอกลักษณ์ที่เป็นรูปแบบของ ซ่ึงการแสดงรากระทบไม้ไผ่
การรากระทบไม้ไผ่ และผู้ชายแต่เดิม บ้านป่าเด็งนี้ จะประกอบไปด้วยการ
จ ะ นุ่ ง ผ้ า โ ส ร่ ง เ พื่ อ ค ว า ม ค ล่ อ ง ตั ว แสดงสองชุดคือ ชุดเล็กและชุดใหญ่
และทะมัดทะแมง จึงได้นุ่งกางเกง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับโอกาสท่ีสามารถทา
ทรงกระบอกสีดา โดยจะบรรเลง การแสดง ซึ่งส่ิงเหล่าน้ีบ่งบอกได้ถึง
เพลงจังหวะเดียวท้ังเพลง โดยเมื่อ เอกลักษณ์ และลักษณะเฉพาะตัว
ราเสร็จกระบวนท่ารา จะราเข้าเป็นคู่ ของการแสดงรากระทบไม้ไผ่บ้าน
ในทางเดิมกบั ทา่ ทอ่ี อกมา โดยในการ ป่ า เ ด็ ง ต า บ ล ป่ า เ ด็ ง อ า เ ภ อ
แ ส ด ง ร า ก ร ะ ท บ ไ ม้ ไ ผ่ นี้ ปั จ จุ บั น ไ ด้ แก่งกระจาน จังหวดั เพชรบรุ ี
มี ก า ร ป รั บ ป รุ ง เ พื่ อ ส ะ ด ว ก ต่ อ ก า ร
นาไปแสดงแตล่ ะสถานที่

สัมภาษณ์ นางยุพา เอน็ ทู
เกี่ยวกบั เครือ่ งดนตรี เตหนา่

เคร่ืองดนตรี เตหน่า 35

ของชนชาวกะเหรี่ยงบา้ นป่ าเด็ง

เตหน่า เป็นเคร่ืองดนตรีของชาวกะเหร่ียงที่นิยมเล่นกันมาแต่โบราณ
วัสดุท่ีใช้ทามาจากไม้ เน้ืออ่อน เช่น ไม้ขนุน รูปร่างมีลักษณะคล้ายพิณพม่า
ตัวฐานมีการเกะสลักเป็นรูปหัวสัตว์ตามที่ เจ้าของต้องการ เช่น รูปหัวกวาง
เป็นต้น สายนั้นทามาจากเสน้ เอ็น มที ง้ั หมด 7 สาย และมีลูกบิดไว้ ปรบั เสียง 7
ลูกบิด เสียงของสายล่างสุดจะเป็นเสียง ( ช ม ร ท ล ซ ม ) ระดับเสียงของ
เตหน่านัน้ จะปรบั เสยี งได้ตามเสียงรอ้ งของผู้บรรเลง มีการนาเตหน่า
มาบรรเลงในงานพิธีต่าง ๆ มากมายหลายเพลง เช่น ในงานพิธีศพงานไหว้
พระจันทร์ ในบทรอ้ งเพลงเกี่ยวสาว และมีเพลงนิทานเร่ืองเล่ามากมายท่ีจะใช้
เตหน่าบรรเลงประกอบ

ท่ีมาภาพ : บรรเลงเตหน่า (https://siamrath.co.th/n/36391)

36

ประวตั ผิ ู้วิจัย

ชอ่ื นางสาวปทั มาพร สุรโิ ย
วนั เดอื นปีเกิด 7 ธนั วาคม 2535
ศาสนา พทุ ธ เชือ้ ชาติ ไทย สญั ชาติ ไทย
ทอ่ี ยู่ 191/1 หมู่ 2 ตาบลปา่ เด็ง อาเภอแก่งกระจาน

จงั หวัดเพชรบุรี 76170 เบอรโ์ ทร 062-4030504
E-mail [email protected]
ทที่ างาน โรงเรียนปา่ เด็งวิทยา ตาบลปา่ เด็ง

อาเภอแก่งกระจาน จงั หวดั เพชรบุรี
สอนรายวชิ า คณิตศาสตร์

ประวตั กิ ารศกึ ษา ปรญิ ญาตรี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ
เพชรบุรี สาขาคณติ ศาสตร์ และคอมพิวเตอร์

ผู้วจิ ยั พามาเท่ียวชม เมอื งเพชรบรุ ี ถน่ิ น้ี แกง่ กระจานเขามี
ของดมี ากมาย ตาบลป่าเด็ง บา้ นเรา อยใู่ นถิ่นป่าเขา ลาเนา
ไพร มากมายด้วยธรรมชาติ สงิ่ สาราสตั ว์ อนั น้อยใหญ่ สวน
ทุเรยี นเมด็ บาง ชมชา้ งปา่ พืชพรรณนานา สัตวป์ า่ มากมาย
น้าตกงามลน้ ธรรมชาตหิ ลากสี นกเงือก ลิงชะนี มีมากมาย
ผู้คนกม็ ากมี อยกู่ ันอย่างพอมี และก็พอใช้ มที งั้ ไทย
กะเหรีย่ งเหลา่ ชาตพิ ันธุ์


Click to View FlipBook Version