The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมุดดนตรีนาฏศิลปม1เทอม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by poolom.khampitak, 2021-09-30 09:29:15

สมุดดนตรีนาฏศิลปม1เทอม 1

สมุดดนตรีนาฏศิลปม1เทอม 1

ใบความรทู้ ี่๑
เรื่อง บทบาทและอิทธิพลของดนตรที ่ีมีตอ่ บุคคลและสงั คม

ดนตรีมบี ทบาทในชีวติ ของมนุษยแ์ ละมีอทิ ธิพลต่อจติ ใจของมนุษย์ มาตงั้ แต่อดตี สบื เนื่องมาถึงปัจจุบนั
เสมือนเป็นส่วนหนงึ่ ของชวี ติ และมีความจำเป็นต่อการดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์ เราจึงต้องใหค้ วามสำคญั กับ
ดนตรี และต้องเรียนรู้ที่จะเลอื กรปู แบบของดนตรีทีจ่ ะใหป้ ระโยชน์สงู สดุ ในทน่ี จี้ ะสรุปถึงบทบาทและ
อทิ ธพิ ลของดนตรีที่มตี ่อบคุ คลและสงั คมซึ่งนักเรียนสามารถให้รายละเอียดในหวั ข้อขา้ งล่างเพม่ิ เติมได้ตาม
ความคิดและประสบการณ์ของนกั เรยี น

บทบาทของดนตรี อิทธิพลของดนตรที ี่มีต่อบคุ คลและสังคม

๑. ดนตรใี ชบ้ รรเลงในพิธกี รรม เพราะมนุษยเ์ ชือ่ ว่า ๑. ดนตรีช่วยบรรเทาความทุกข์ ความเครยี ด

ดนตรีสามารถสื่อกบั สง่ิ ศักด์สิ ิทธ์ไิ ด้ ๒. ดนตรีช่วยสรา้ งความสุข ความร่ืนเรงิ บนั เทงิ ใจ

๒. ดนตรีเป็นเครอ่ื งแสดงถึงความเจรญิ ทาง ๓. ดนตรีก่อให้เกิดความรกั และความผูกพนั ในหมู่

สตปิ ัญญาและอารมณ์ของกลุ่มชน คณะ

๓. ดนตรสี ามารถใชบ้ ำบัดโรค ทำใหโ้ รคหายเร็วขึน้ ๔. ดนตรีชว่ ยให้เกดิ สมาธิ

๔. ดนตรีเปน็ เครอ่ื งมือในการฝกึ ความกล้าแสดงออก ๕. ดนตรีทำให้เกดิ ความกล้าหาญ ฮึกเหิม

ของเยาวชน ๖. ดนตรีทำให้ระลึกถึงคนทรี่ ู้สึกรักและผูกพัน

๕. ดนตรใี ชบ้ รรเลงในงานตา่ ง ๆ เพื่อสร้าง ๗. ดนตรีทำใหร้ ะลึกถึงสถานท่ที เ่ี คยอยู่เคยผูกพัน

บรรยากาศทเ่ี หมาะสมกับงานน้ัน ๆ ๘. ดนตรที ำให้เกดิ ความรสู้ ึกง่วง

๖. ดนตรใี ช้ในละครเพ่ือชว่ ยสร้างอารมณค์ วามรสู้ กึ ๘. ดนตรชี ่วยให้เขา้ ใจเรื่องราวตา่ งๆ ง่ายขน้ึ เช่น

ในละครใหช้ ัดเจนยิง่ ขึ้น เพลงนิยามคำวา่ พอ ชว่ ยให้เข้าใจ ปรชั ญาแหง่ ความ

๗.ดนตรีสรา้ งอาชพี เชน่ อาชีพนักดนตรี ครดู นตรี พอเพียงไดด้ ขี ้ึน

ช่างทำเครือ่ งดนตรี รา้ นจำหนา่ ยเคร่อื งดนตรี ๑๐. ดนตรที ไ่ี ม่ชอบทำใหเ้ กดิ ความรำคาญ

๘. คนเช่ือว่ามีขลยุ่ ไวใ้ นบ้านจะทำให้เกิดสิริมงคล ๑๑.ดนตรีบางประเภททำใหห้ ลงระเริง ขาดสติ

๙. ดนตรีใชเ้ พอื่ การขบั กล่อม

ฯลฯ ฯลฯ

ดนตรไี ทยกม็ ีบทบาทและอทิ ธิพลเช่นเดียวกบั ดนตรีทว่ั ไป แตเ่ พ่มิ เติมตรงท่ีมคี วามเก่ียวข้องกบั
พิธีกรรม และวัฒนธรรมเฉพาะของคนไทย เช่น งานพระราชพธิ ีใช้วง วงปพี่ าทยไ์ ม้แข็ง งานทำบญุ คล้ายวนั
เกดิ ใช้วงเครือ่ งสายผสม ในแนวเพลงท่ีขบั กลอ่ ม งานมงคลสมรสใช้วง วงเครอ่ื งสายผสม งานทำบุญขึ้นบ้าน
ใหม่ใชว้ ง วงปีพ่ าทย์ไมน้ วม วงเคร่ืองสายผสม งานบวชใช้วงปีพ่ าทย์ไม้แขง็ ประกอบการแหลล่ าบวช งานศพ
ใช้วงวงปพ่ี าทย์นางหงส์ วงปี่พาทยม์ อญ และมีความเชอ่ื เข้ามาเกย่ี วข้อง เช่น เช่อื วา่ มีขลุ่ยในบ้านจะทำให้
เกดิ สริ ิมงคล

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)

ใบความรู้ที่ ๒ เคร่ืองดนตรไี ทย

แบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท คือ ดีด สี ตี และเปา่
๑. เครื่องดีด ไดแ้ ก่ กระจับป่ี จะเข้ พณิ น้ำเต้า พิณเพยี ะ

๒. เคร่ืองสี ได้แก่ ซอสามสาย ซออู้ ซอดว้ งสะลอ้

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นที่ 2)

๓. เครื่องตีแบ่งออกเปน็ ๓ ชนดิ ไดแ้ ก่
๓.๑ เครอ่ื งตีทำด้วยไม้ ได้แก่ กรบั เสภา กรบั พวง โกรง่ ระนาดเอก ระนาดทุม้

๓.๒ เคร่อื งตที ำด้วยโลหะ ไดแ้ ก่ ฉ่ิง ฉาบเลก็ ฉาบใหญ่ โหมง่ เหม่ง ฆอ้ งคู่ ฆ้องราง
ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหลก็

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)

๓.๓ เครอื่ งตขี งึ หนงั ได้แก่ ตะโพน กลองทัด กลองแขก กลองมะลายู กลองชนะ
กลองยาว โทน - รำมะนา กลองสองหนา้ กลองตะโพน

๔. เครื่องเป่า ไดแ้ ก่ ขลุ่ย ขลุ่ยอู้ ขลยุ่ เพยี งออ ขลุ่ยหลบิ ปีใ่ น ปี่นอก ป่กี ลาง ปชี่ วา ปีไ่ ฉน
ปี่จมุ ปฮี่ อ้ ปมี่ อญ แตร สังข์

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)

ใบความรู้ท่ี ๓ วงดนตรไี ทย

วงดนตรีไทย แบง่ ออกเปน็ ๓ ประเภทใหญ่ คือ วงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย และวงมโหรี
วงป่ีพาทย์

วงปพ่ี าทย์อาจแบง่ ออกตามลกั ษณะบทบาทหนา้ ที่ได้ ดงั นี้
๑. วงปพ่ี าทยเ์ พื่อพธิ ีกรรม มี ๓ ขนาด

๑.๑ วงป่พี าทยเ์ ครื่องหา้ ประกอบดว้ ย ปใ่ี น ระนาดเอก ฆ้องวง ตะโพน กลองทดั ฉิง่

๑.๒ วงปพี่ าทย์เครอ่ื งคู่ เพม่ิ ปี่นอก ระนาดท้มุ ฆอ้ งวงเล็ก

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรียนที่ 2)

๑.๓ วงปี่พาทย์เครอ่ื งใหญ่ เพิ่มระนาดเอกเหล็ก ระนาดทมุ้ เหล็ก เข้าไปอกี

๒. วงปพ่ี าทย์เพ่ือการละคร
๒.๑ วงปพี่ าทย์ชาตรี ใช้บรรเลงประกอบละครชาตรหี รือละครเร่ ซึง่ เปน็ ละครชายล้วนแสดงเรื่อง

พระสุธน-มโนรา

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรียนท่ี 2)

๒.๒วงป่พี าทย์เสภา บรรเลงประกอบละครเสภา เหมือนวงปีพ่ าทยป์ กติ แต่ใชก้ ลองสองหน้าตีแทน
ตะโพนกลองทดั

๒.๓วงปี่พาทย์ดกึ ดำบรรพ์ บรรเลงประกอบละครดกึ ดำบรรพ์ ซงึ่ แสดงในโรงละคร ใช้กลอง
ตะโพน
ตแี ทนตะโพน กลองทดั ใช้ขลยุ่ เพยี งออแทนปใี่ น เพิ่มฆ้องหยุ่ (ฆ้องชัย) และซออู้ ไมต้ ีระนาดและไม้ ตี
ฆอ้ งใช้ไมน้ วม ไม่ใชฆ้ อ้ งวงเล็ก

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

๓. วงปี่พาทย์เฉพาะงานศพ
๓.๑ วงปพี่ าทยน์ างหงส์ ใช้ป่ีชวาแทนปใี่ น ใช้กลองแขกตีแทนตะโพนกลองทัด

๓.๒ วงป่ีพาทยม์ อญ ใช้เคร่ืองมอญบรรเลงเพลงมอญ

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

วงเครอ่ื งสาย

วงเครอ่ื งสายรวมวงบรรเลงเพื่อการพบปะสงั สรรค์
๑. วงเครอ่ื งสายแบบแผน มี ๒ ขนาด

๑.๑ วงเครอื่ งสายวงเล็ก (เคร่ืองเดี่ยว) ประกอบดว้ ย ซอด้วง ซออู้ จะเข้ และขลยุ่ หลิบ

๑.๒ วงเครื่องสายเครื่องคู่ เพิ่มซอดว้ ง ซออู้ จะเข้ และขลยุ่ หลิบ

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

๒. วงเครื่องสายป่ีชวา เปน็ ต้นกำเนดิ ของวงเครือ่ งสาย เดมิ เรียกวงกลองแขกเครื่องใหญ่ ใช้ปช่ี วา
แทนขลุ่ยเพยี งออ และตีกลองแขกแทนโทน – รำมะนา

๓. วงเคร่ืองสายผสม เหมือนวงเครือ่ งสายแบบแผน แต่มีเครื่องดนตรอี ่นื ๆ เข้าผสม เช่น วง
เครือ่ งสายผสมขิม วงเครื่องสายผสมไวโอลนิ วงเครอื่ งสายผสมเปยี โนวงเครื่องสายผสมออรแ์ กน

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรียนที่ 2)

วงมโหรี

วงมโหรี ใช้บรรเลงเพือ่ การขับกลอ่ มวงมโหรีปัจจุบันมี ๓ ขนาดดังนี้
๑ วงมโหรีเครือ่ งเล็กประกอบดว้ ย ซอสามสาย ซอดว้ ง ซออู้ จะเข้ ขล่ยุ เพียงออ ระนาดเอก
ฆ้องวงใหญ่ โทน-รำมะนา ฉ่ิง กรับพวง

๒. วงมโหรีเครอื่ งคู่เพ่ิม ซอสามสายหลบี ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ยเหลีบ ระนาดทมุ้ ฆ้องวงเลก็

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรียนท่ี 2)

๓. วงมโหรเี คร่ืองใหญ่ เพมิ่ ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทมุ้ เหล็กเขา้ ไปอีก
ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

ใบความรทู้ ี่ ๔ เรื่องโนต้ เพลงไทย

ระดบั เสยี งและสัญลักษณท์ ีใ่ ช้แทนเสียง
ดนตรไี ทยใชเ้ สียงท้ังหมด ๗ เสียง คอื เสียง โด เร มี ฟา ซอล ลา ที ในปจั จบุ นั การบันทกึ เสยี งเพลงไทย

เพอื่ ให้สื่อระดบั เสยี งตรงกนั นิยมใชอ้ ักษร ด ร ม ฟ ซ ล ท เปน็ ตวั โนต้ หรอื สัญลกั ษณแ์ ทนเสียงผฝู้ กึ หดั ดนตรคี วรฝึก
ใหม้ เี สียงในใจถูกต้องตามระดับเสียง

ลักษณะการบันทึกโน้ตเพลงไทย
โนต้ ไทยใน ๑ บรรทัดจะแบ่งออกเปน็ ๘ ห้อง ในแต่ละห้องจะแบง่ ออกเป็น ๔ ตำแหน่ง

จังหวะตกจะอยู่ท่ีตำแหนง่ ที่ ๔ และจงั หวะยกจะอยทู่ ่ีตำแหน่งที่ ๒ ดงั น้ี
- ด - ร - ม - ฟ - ซ - ล - ท - ดํ - ดํ - ท - ล - ซ - ฟ - ม - ร - ด

การฝึกอ่านโน้ต และการควบคมุ จังหวะ
การฝกึ อ่านโน้ต และการควบคุมจงั หวะมีขน้ั ตอน ดังนี้

1. ผฝู้ กึ ต้องเร่มิ จากการฝกึ เปล่งเสียงใหต้ รงตามระดบั เสียงท่ีได้ยิน จนกระทัง่ มี
เสยี งในใจทีถ่ ูกตอ้ ง

2. ในการฝึกหัดดนตรเี บอื้ งตน้ ผูเ้ รยี นต้องสามารถควบคุมจังหวะสามัญ หรือ
จงั หวะในใจได้อย่างสมำ่ เสมอจนกระทง่ั มีจังหวะในใจที่สามารถใชไ้ ด้โดยอัตโนมัติ โดยการฝกึ เคาะอย่างเดยี ว
และการฝึกเคาะพร้อมการเปลง่ เสยี งทำนองดนตรใี หส้ ัมพนั ธ์กับจงั หวะเคาะ

3. ฝึกอา่ นโนต้ ท่ีมรี ะดับเสียงไล่เรียงกนั
4. อ่านโนต้ ในทำนองเพลงทคี่ ุ้นเคย
5. ฝกึ อ่านโนต้ เพลงท่ีไม่คนุ้

แบบฝกึ การเปล่งเสยี งตามระดับเสยี งและจงั หวะในระบบโน้ตไทย
แบบฝกึ ที่ ๑

---ด -ด-ด ---ด -ร-ม ---ม -ม-ม ---ม -ร-ด
- - - ด - ด - ด - - - ด -ร ม ฟ - - - ฟ -ฟ - ฟ - - - ฟ -ม ร ด
- - - ด - ด - ด - - - ด รมฟ ซ - - -ซ - ซ - ซ - - - ซ ฟมรด
- - - ด - ด - ด - - ด ร ม ฟ ซ ล - - - ล - ล - ล - - ล ซ ฟมร ด
- - - ด - ด - ด - ดรม ฟซลท - - - ท - ท - ท - ท ลซ ฟมร ด
- - - ด - ด - ด ด ร มฟ ซ ล ท ดํ - - - ดํ - ดํ - ดํ ดํทลซ ฟมรด

- ด - ร - ม - ฟ - ซ - ล - ท - ดํ - ดํ -ท - ล - ซ - ฟ - ม - ร - ด
หมายเหตุเคาะจังหวะตกพร้อมกับโนต้ ตำแหน่งสดุ ทา้ ยในห้อง และให้จงั หวะยกตรงกับโน้ตตำแหนง่ ที่ ๒

การฝึกเขียนโนต้ เพลงไทย
กอ่ นการฝึกเขียน นักเรยี นตอ้ งสามรถอ่านโน้ตเพลงไทยไดอ้ ยา่ งชำนาญ ท่ีสำคญั ต้องสามารถเคาะจงั หวะตก

จังหวะยกได้อยา่ งถกู ต้อง จึงจะสามารถเขียนโน้ตได้อยา่ งถูกตอ้ ง
การฝึกรอ้ งโน้ตเพลงไทย การฝกึ รอ้ งโนต้ คือการอ่านโน้ตอย่างถกู ทำนองและจังหวะ ผ้ฝู กึ ควรฝกึ ไปพรอ้ ม ๆ กบั

การฝึกหัดดนตรหี รือฝึกหัดการขับรอ้ งโดยกระทำอยา่ งต่อเนือ่ ง
ใบความรทู้ ี่ ๕ เร่ือง

หลักการปฏบิ ตั ิขลุ่ยเพียงออ
ขลุย่ เพียงออเปน็ เคร่อื งเป่าท่ีใชใ้ นวงมโหรีเคร่ืองสใี่ นสมัยสุโขทยั ในวงมโหรีเครื่องหกสมัยกรงุ ศรีอยุธยา ใน
ปัจจุบันใช้สำหรบั การบรรเลงเดยี่ ว บรรเลงในวงเครอื่ งสาย วงมโหรี และวงปพี่ าทย์ไม้นวม นอกจากนยี้ ังใช้บรรเลง
เล่นตามลำพังเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ตลอดจนใชเ้ ป็นเครือ่ งประดบั บา้ นเพือ่ ความเป็นสิริมงคล

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นที่ 2)

ส่วนประกอบและหนา้ ท่ีของส่วนประกอบของขลยุ่

๑. เลาขลุ่ย
๒. ดากขลยุ่
๓. รปู ากเป่า(รสู ่งลม)
๔. รูปากนกแก้ว
๕. รูนิว้ คำ้
๖. รบู ังคับเสยี ง(รูปดิ -เปิดน้ิว)
๗. รูร้อยเชือก
๘. รูแตง่ เสยี ง
๙. รูเย่ือ (ปัจจบุ นั ไมม่ ีรูเย่ือ)

กลไกกำเนิดเสียง ขล่ยุ เพยี งออ เปน็ เครือ่ งเป่าที่ไม่มลี ้ิน เสยี งของขลุ่ยเกิดจากการลมท่ีเปา่ หักเหออกทางรูปากนกแก้ว
ระดับเสยี งสูงต่ำ เกดิ จากตำแหนง่ นิ้วเปิดปิดทรี่ บู ังคับเสียง

การดูแลรักษา เครื่องดนตรเี ปน็ อุปกรณ์สำคัญ ต้องรักษาให้อยู่ในสภาพดีเสมอจึงควรปฏิบตั ิ ดังต่อไปนี้
๑. อย่าให้ขลุย่ ถูกความร้อนจัดหรอื เย็นจัด
๒. หม่นั ทำความสะอาดทกุ ครั้งหลงั การปฏิบัติแล้ว สำหรับขลยุ่ พลาสติกใชน้ ำ้ อ่นุ ผสมสบอู่ ่อน ๆ ล้างตามด้วยการใช้นำ้
ล้างอีกครั้งหนงึ่ และเช็ดให้แห้ง ส่วนขล่ยุ ไม้ให้ใชผ้ ้าเช็ดไม่ควรใช้นำ้ ล้างเพราะจะทำใหเ้ ส่ือมสภาพ
๓. การหยบิ จบั ถือควรทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ทำให้ขลุ่ยกระทบถูกของแข็งท่ีอาจทำให้ขลยุ่ ชำรุดได้
๔. เก็บรกั ษาขลยุ่ ไว้ในท่ีสะอาด ปลอดภัยจากสิ่งสกปรก
๕. สำรวจเครอื่ งดนตรีก่อนการฝึกหัด หากชำรดุ ต้องซ่อมแซม มีรายละเอียด ดังน้ี

๕.๑ เลาขล่ยุ ไมแ่ ตก
๕.๑ รูบังคับเสยี งและรูรอ้ ยเชือกไม่อดุ ตนั
๕.๓ ถ้ามรี เู ย่ือต้องมีวัสดุปิดเรียบร้อย
๕.๔ ดากขลยุ่ ส่วนบนเสมอกับขอบส่วนบนของเลาขล่ยุ ส่วนล่างเสมอประมาณข่ือ (ด้านบนของ
ปากนกแก้ว)
๕.๕ ปากนกแกว้ อยู่ตรงกับรสู ่งลม
ไม่ชำรุด แตก หรอื บ่ิน ไม่อุดตนั หรือมสี ิ่งกีดขวาง
๕.๖ไมม่ ีลมรว่ั ตามแนวรอบของดากขลุ่ย

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นที่ 2)

ขน้ั ตอนการฝกึ หัด

๑. ศึกษาท่านั่ง การจบั และการวางทา่ ทาง
๑.๑ ท่าน่ังผูบ้ รรเลงนั่งพบั เพียบ ลำตัวตรง ไมก่ ้มหนา้
ภาพท่านง่ั และการวางท่าปฏิบตั ิขลยุ่

ท่มี า : ภาควิชาดุริยางคไ์ ทย วทิ ยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

๑.๒ ทา่ จับและการวางทา่
เสยี งและตำแหนง่ การวางนิว้

หมายเหตุ รทู บึ = ปดิ นว้ิ
รโู ปร่ง = เปิดนิ้ว

๑.๒.๑ มือบน โดยประเพณีนยิ มสำหรบั ขลยุ่ ไทย ใช้มือขวาอยขู่ ้างบน ใช้น้วิ หวั แม่มอื ปิดรู
นวิ้ ค้ำใช้นิ้วชีป้ ิดรูบนสุด ถัดลงมาใชน้ ิว้ กลางและนวิ้ นาง ไม่ใช้น้ิวกอ้ ย

1.2.2 มอื ล่าง ใช้นวิ้ ชี้ นิว้ กลาง นว้ิ นาง และนว้ิ ก้อยปดิ รทู ่ี
เหลือไล่เรียงลงมาตามลำดบั

๑.๒.๓ ลักษณะการจับ ใหแ้ ขนสว่ นปลายทง้ั ขวาและซ้ายได้ฉากกับเลาขล่ยุ
พอประมาณโดยไม่กางข้อศอก ลกั ษณะการวางน้ิวใหว้ างขวางกับเลาขล่ยุ โดยนิว้ อยู่เหนือรู

บงั คับเสยี งประมาณ ๑ ซ.ม. ลักษณะการใชน้ ิ้วให้ใชน้ ิ้วส่วนปลาย(ท้องปลายนิว้ )วางปิดรูใหก้ ระชับ
เพยี งเบา ๆ ไม่ใชจ้ มูกน้วิ จิกปิดรูเพราะไมง่ ามและมักปดิ รไู มม่ ดิ และไมป่ ิดแรงจนนิว้ เครียดเกร็งเพราะจะทำ
ให้ประสาทสัมผัสไมด่ ี จะไมร่ ู้สึกว่าปิดรูมิดหรือไม่มิดและทำให้เม่ือย

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นที่ 2)

๒. ศึกษาลักษณะการเป่า การจรดปาก การหายใจและการใชล้ มเพื่อการประดิษฐเ์ สียง
เบ้อื งต้น

ท่ีมา : ภาควิชาดรุ ยิ างค์ไทย วิทยาลัยนาฏศลิ ปนครศรธี รรมราช
๒.๑ การจรดปาก ที่ปากเปา่ ของขลุ่ยมเี พยี งรูเลก็ ๆ ผเู้ ปา่ ไมต่ อ้ งอมปากเปา่ เพยี งแคจ่ รดรมิ
ฝีปากเขา้ กับปากเป่าของขลยุ่ สงั เกตวา่ ลิน้ แตะบรเิ วณหลงั ฟันบนเล็กน้อย รปู ปากที่พร้อมเปา่ คล้าย
กับการเตรยี มจะพูดพูดคำวา่ “ทู” เม่ือตอ้ งการหยุดเสยี งกใ็ ช้ลนิ้ แตะบรเิ วณหลังฟนั บน เช่นกัน ทง้ิ
แขนตามลำตวั แล้วยกขลยุ่ ขึน้ ทำมมุ กบั ลำตัว ๔๕ องศา
๒.๒การหายใจ ทกุ ครงั้ ท่ีจะเริม่ เป่าขลยุ่ ตอ้ งหายใจเข้าทางจมูกกอ่ นเสมอ หายใจเข้า
พอประมาณและเกบ็ ลมไว้เล็กนอ้ ยก่อนทจี่ ะเป่าออกมา

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นที่ 2)

๓. หมั่นฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอจนเกดิ ทกั ษะและมพี ัฒนาการ

แบบฝกึ การประดิษฐเ์ สยี งเบือ้ งตน้ ขลุ่ยเพียงออ
แบบบฝึกท่ี ๑ เป่าเสยี ง ที --- ท --- ท --- ท --- ท

ใหท้ ง้ิ แขนตามลำตวั แล้วจับขลยุ่ ให้นิ้วอยตู่ รงตำแหนง่ เสยี งทุกนิ้วยกขลุ่ยขนึ้ ทำมุมกับลำตัว ๔๕ องศา
จรดรมิ ฝปี ากเขา้ กับปากเป่าของขลยุ่ สงั เกตวา่ ลนิ้ แตะบรเิ วณหลงั ฟันบนเล็กน้อย รูปปากท่ีพร้อมเปา่ คล้าย
กับการเตรยี มจะพดู คำวา่ “ท”ู เมอื่ ต้องการหยุดเสยี งกใ็ ชล้ ิ้นแตะบริเวณหลังฟนั บน

ในการฝกึ เป่าเสยี ง ที น้ิวทป่ี ิดรคู ือนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชมี้ ือบนเทา่ น้ัน สง่ิ ท่ตี อ้ งระวัง คือการวางทา่ ทาง
จับขลุ่ยใหถ้ กู ต้อง และรกั ษาตำแหนง่ นว้ิ อน่ื ๆ ให้ตรงตำแหน่งแม้วา่ ในขณะนน้ั ไมต่ ้องปิดรูนักเรยี นตอ้ งระลึก
เสมอวา่ นิ้วท่ดี ตี อ้ งไม่หนรี ูและท่ีถูกวธิ คี อื นิว้ อยู่เหนอื รู นักเรยี นต้องเปลง่ เสยี ง ที ให้ตรงระดับเสยี งสลบั กับ
การเปา่ และตอ้ งเป่าจนเสียงที ดังชัดเจนแจ่มใสดีแลว้ จึงปดิ นิว้ กลางเพม่ิ เพ่ือเปลย่ี นเสียงไปเป่าเสียง ลา

แบบฝึกที่ ๒ เป่าเสียง ลา --- ล --- ล --- ล --- ล

ในการฝกึ เปา่ เสยี ง ลา นิ้วทีป่ ิดรูคอื นว้ิ หวั แม่มือ นวิ้ ชีแ้ ละน้ิวกลางของมือบนเทา่ นนั้ และยงั ต้องระวงั
การวางทา่ ทางจบั ขลยุ่ ให้ถูกต้อง รวมทั้งรักษาตำแหนง่ น้วิ อ่ืนๆ ใหต้ รงตำแหน่งแมว้ า่ ในขณะนน้ั ไมต่ ้องปิดรู
นักเรียนตอ้ งระลกึ เสมอว่า น้ิวท่ีดีตอ้ งไม่หนีรู และท่ถี ูกวิธคี ืออย่เู หนือรู นักเรียนต้องเปล่งเสยี ง ลา ใหต้ รง
ระดับเสียงสลับกับการเปา่ และต้องเป่าจนเสยี งลา ดงั ชดั เจนแจม่ ใสดแี ลว้ จงึ ปิดน้ิวนางเพม่ิ เพ่อื เปล่ียนเสียงไป
เปา่ เสียง ซอล

แบบฝกึ ที่ ๓ เป่าเสียง ซอล --- ซ --- ซ --- ซ --- ซ

ในการฝึกเป่าเสียง ซอล น้ิวที่ปิดรูคือน้ิวหวั แมม่ ือ นิ้วชแ้ี ละนวิ้ กลางและนิ้วนางของมอื บนเท่านน้ั
และยงั ต้องระวงั การวางท่าทางจบั ขล่ยุ ให้ถูกต้อง พรอ้ มทัง้ รักษาตำแหน่งน้ิวในมือล่างให้ตรงตำแหน่งแมว้ ่าใน
ขณะนั้นไมต่ ้องปดิ รู นักเรยี นตอ้ งระลึกเสมอวา่ นิ้วท่ีดตี อ้ งไมห่ นรี ู และทถี่ ูกวธิ ีคอื อยเู่ หนือรู นกั เรยี นต้องเปล่ง
เสยี ง ซอล ใหต้ รงระดับเสยี งสลบั กับการเป่า และเม่ือเป่าจนเสยี งซอล ดงั ชัดเจนแจ่มใสดีแล้ว ควรฝึกเปา่
ทำนองแบบฝกึ ท่ีใช้เสยี ง ที ลาและซอลสรา้ งทำนอง ตอ่ ไปน้ี

ทำนองท่ี ๑(ที ลา ซอล)

- - - - - - - ท - - - ท - - -ท - - - - - - - ท - - - ท - - -ท
- - - - - - - ล - - - ล - - -ล - - - - - - - ล - - - ล - - -ล
- - - - - - - ซ - - - ซ - - -ซ - - - - - - - ซ - - - ซ - - -ซ
- - - - - - - ท - - - ล - - -ซ - - - - - - - ท - - - ล - - -ซ
- - - - - - - ซ - - - ซ - - -ล - - - ซ - - - ท - - - ล - - -ซ

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

แบบฝึกที่ ๔
เป่าเสยี ง โดสงู --- ดํ --- ดํ --- ดํ --- ดํ

ในการฝึกเป่าเสยี ง โดสงู นว้ิ ท่ีปิดรูคือน้วิ ชขี้ องมือบนเทา่ นัน้ จึงต้องระวังการวางทา่ ทางจับขลุย่ ใหถ้ ูกต้อง
และรักษาตำแหน่งน้ิวในมอื ล่างให้ตรงตำแหน่งแมว้ ่าในขณะนนั้ ไม่ต้องปิดรู นักเรยี นต้องระลึกเสมอวา่ นว้ิ ท่ีดี
ตอ้ งไมห่ นีรูและที่ถูกวิธีคอื อยูเ่ หนอื รู นกั เรยี นต้องเปลง่ เสียงโดสงู ใหต้ รงระดับเสียงสลบั กับการเปา่ และเมอื่
เปา่ จนเสยี งโดสูง ดังชัดเจนแจม่ ใสดีแลว้ ควรฝึกเป่าไล่เสียง ซ – ล – ท – ดํ และ ดํ – ท – ล – ซ
ต่อจากน้นั จงึ ฝึกเปา่ ทำนองแบบฝกึ ที่ใชเ้ สยี ง โดสูง ที ลาและซอลสรา้ งทำนอง และในทำนองฝกึ นีจ้ ะมีเสยี ง
ฟา มี เร โด มารว่ มอยู่ดว้ ย เพอื่ ผลกั ดนั ให้นกั เรียนเรยี นรู้เสียงครบทงั้ บันไดสยี ง ในระยะเวลาอันส้นั

ทำนองท่ี ๒(บันไดเสียงขาลง)
- - - ซ - - - ล - - -ท - - - ซ - - - ซ - - - ล - - -ท - - - ซ
- - - ซ - - - ล - - -ท - - - ดํ - - - ซ - - - ล - - -ท - - - ดํ
- - - ดํ - - - ท - - -ล - - - ซ - - - ดํ - - - ท - - -ล - - - ซ
- - - ฟ - - - ม - - -ร - - - ด - - - ฟ - - - ม - - -ร - - - ด

ใบความรทู้ ี่ ๖ การฝึกหัดขลุ่ยเพียงออเพ่มิ เตมิ

แบบฝกึ ท่ี ๕ เป่าเสียง ต้อ --- ด --- ร --- ม --- ฟ
--- ซ --- ล --- ท --- ดํ

เสียงตอ้ มี ๘ เสยี ง เสียงตอ้ ของขลุย่ เพยี งออตรงกับเสยี งทั้ง ๘ เสยี งในบนั ไดเสยี งโด คือจากเสียง โด ถึงเสียง
โด(สงู ) ซึ่งเกิดจากการใชล้ มจากปอดหรือลมธรรมดาทีอ่ อกจากปอดโดยตรง ไม่กระทบฐานคอ ล้นิ หรือริมฝปี ากคลา้ ย
กบั การหายใจทางปาก ลักษณะการเป่าบังคับลมคลา้ ยจะหดล้นิ ให้สัน้ ลงเล็กนอ้ ยเพือ่ ให้คอโลง่ ระดบั เสยี งเกิดจาก
การจดั ระเบยี บนว้ิ พน้ื ฐานและเป่าลมดว้ ยอัตราความแรงปรกติ เร่ิมจากการปดิ นว้ิ หมดทกุ รใู หส้ นิท เป่าประคองลมให้
ได้เสียง โดต่ำ แล้วค่อยๆ เปิดทีละนว้ิ จนเหลอื เพียงน้ิวช้ีบนเพียงนวิ้ เดียว ก็จะได้เสยี ง สูงขึน้ ๆ ตามลำดบั ดงั นี้
โด…เร…มี…ฟา…ซอล….ลา…..ที…..โดสูง

การประดิษฐเ์ สียงขลยุ่ ใหไ้ ดค้ ุณภาพนั้นเกย่ี วข้องกบั การใช้ลมเปน็ สำคญั เม่ือเปดิ น้วิ เปน็
ลำดับก็ตอ้ งบังคับกำลงั แรงของลมขนึ้ ทีละน้อยและต้องเปา่ ใหล้ มสัมพันธก์ ับการปิดเปิดน้ิว จากเสียง โด เร มี ฟา
ซอล ลา ที ทีค่ ่อยๆ สูงข้นึ เป็นลำดบั การเปา่ เสยี งโด นกั เรียนกต็ ้องประคองลมให้ลงตำ่ แล้วค่อย ๆ ผลักดันลมให้แรง
ขน้ึ สงู ข้ึนเปน็ ลำดบั เชน่ กัน โดยผู้เป่าจะต้องคอยระวงั สงั เกตด้วยความตงั้ ใจและความรู้สึกด้วยตนเอง และนอกจาก
แรงลมทีต่ ้องสมั พนั ธก์ นั กับระดับเสียงแล้วการใช้ลมยงั ต้องสมั พันธ์กบั การปิดเปดิ นิว้ ซ่ึงตอ้ งใช้ทักษะดา้ นจงั หวะ
รวมท้ังจะต้องเอาความรู้สึกบังคบั ให้ได้เสยี งตามที่ต้องการ ผู้ฝกึ จะต้องเอาใจใสก่ บั คุณภาพของเสียงที่เปา่ ในขณะ
ฝกึ ทกุ ครั้งจึงจะสามารถใชล้ มและนวิ้ สมั พันธ์กนั จนเป็นอตั โนมัติและได้เสียงตามความต้องการ

ทำนองต่อไปนเี้ ปน็ ทำนองสำหรับการฝกึ เป่ายำ้ เสยี ง โด ตำ่ เพื่อให้ได้เสยี ง โดต่ำ ท่ีชดั ฝึกการเป่าไล่เรยี งเสียง
เพอ่ื ความคล่องของนว้ิ ฝึกให้รจู้ กั กระสวนจังหวะตา่ งๆ ของเพลงไทยและฝึกให้สามารถเปา่ ไลบ่ นั ไดเสียงโดท้งั ขาขึ้น
และขาลง

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)

๑. - - - ด -ด-ด ---ด ทำนองท่ี ๓ - ม- ม ---ม -ร-ด
๒. - - - ด -ด-ด ---ด -ฟ - ฟ - - -ฟ -ม ร ด
๓. - - - ด -ด-ด ---ด - ร - ม - - -ม - ซ -ซ - - -ซ ฟม ร ด
๔. - - - ด - ด - ด - - ดร -ร ม ฟ - - -ฟ -ล -ล - - ลซ ฟม ร ด
๕. - - - ด - ด - ด - ดรม รมฟ ซ - - -ซ -ท - ท -ทลซ ฟมร ด
๖. - - - ด - ด - ด ดรมฟ มฟซล - - - ล - ดํ - ดํ ดํ ท ล ซ ฟมร ด
๗. - ด - ร - ม - ฟ - ซ -ล ฟซลท - - -ท -ล- ซ - ฟ–ม -ร–ด
ซ ล ท ดํ - - - ดํ
- ท - ดํ - ดํ - ท

แบบฝึกที่ ๖ เป่าเสยี ง แหบ --- รํ --- มํ --- ฟํ --- ซํ

เสยี งแหบ คือ เสยี งท่ีสูงข้นึ อีก ๑ ช่วงทบ (คู่แปด) ที่เสยี ง เร มี ฟา ซอล โดยทร่ี ะเบียบการใช้
นิว้ ยงั เหมอื นกบั การเป่าเสยี งต้อท่ีตำแหนง่ เสยี ง เร มี ฟา ซอล แต่ผ้เู ปา่ จะต้องใช้ปลายลิน้ บงั คับลมโดยวางปลาย
ลน้ิ ใหต้ รงกบั ปากเปา่ บรรจงเป่าลมใหผ้ า่ นปลายลน้ิ ลงไป และการเป่าจะเป่าไม่เต็มปากเปา่ เมื่อลมถูกบบี ให้ลงไป
ตามช่องเลก็ ๆ ก็มีความแรงพอท่ีจะทำให้เกิดเสยี งสงู โดยทีผ่ เู้ ป่าไม่ต้องออกแรงเป่าลมมาก การใช้ปลายลิน้ บังคบั
ลมนอกจากจะทำใหเ้ บาแรงแล้ว ยังทำให้ไดเ้ สยี งท่ีคมชดั อีกด้วย ลักษณะการใชล้ มปลายลิ้นในการเปา่ จะเร่ิมดว้ ย
การตอดลิ้นคลา้ ยกบั การออกเสียง “เธอะ” หรอื ทู ดว้ ยลำดบั เสียงตอ่ ไปน้ี เร…….ม…ี …ฟา……ซอลเมื่อนักเรยี น
หัดไล่เสียงปดิ -เปิดนิ้วในการเป่าเสยี งต้อและเสยี งแหบได้ชดั เจนจนคล่องดีแล้วจงึ หัดเปา่ เสียงแหบเปน็ คู่ ๆ กับเสยี ง
ต้อ ดังนี้

การฝึกเสยี งต้อคู่กบั เสียงแหบ
- ด - ดํ - ร - รํ -ม - มํ - ฟ -ฟํ - ซ - ซํ - ฟ -ฟํ -ม - มํ - ร - รํ

การฝึกเสียงแหบคกู่ บั เสยี งต้อ
- ดํ - ด - รํ - ร -มํ - ม - ฟํ -ฟ - ซํ - ซ - ฟํ -ฟ -มํ - ม - รํ - ร

เสยี งท่ตี รงกนั และการเลือกใช้
๑. เสยี งโดบน (นิว้ คำ้ )กบั เสยี งโดลา่ งแหบในการปฏบิ ัติไมน่ ิยมใชเ้ สยี งโดลา่ งแหบ
๒. เสยี งเรบนท่ีเกิดจากการเปิดนว้ิ ทุกน้ิว กบั เสียงเรลา่ งแหบเสยี งเรบนมักไมค่ ่อยใช้

ทำนองที่ ๔(ขอบเขตเสียง)
๑. - ด - ร - ม - ฟ - ม - ฟ - ม - ฟ - ซ - ล - ท – ดํ - ท - ดํ - ท - ดํ
๒. - รํ - มํ - ฟํ - ซํ - ฟํ - ซํ - ฟํ - ซํ - ซํ – ฟํ - มํ - รํ - มํ - รํ - มํ - รํ
๓. - ดํ - ท - ล - ซ - ล - ซ - ล - ซ - ฟ - ม - ร - ด - ร - ด - ร - ด
๔. - - - ด - - - ร - - - ม - - -ฟ - - - ซ - - - ล - - - ท - - -ดํ
๕. -- - รํ - - - มํ - - - ฟํ - - -ซํ - - - ซํ - - - ฟํ - - - มํ - - -รํ
๖. - - - ดํ - - - ท - - - ล - - -ซ - - - ฟ - - - ม - - - ร - - -ด

เสยี งขลุ่ยท้งั หมดที่นำมาใช้ มี ๑๒ เสยี ง คอื เสียงโด เร มี ฟา ซอล ลา ที โดสงู เรสงู มีสูง ฟาสงู และซอ
ลสูง

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

เพลงเพิ่มเตมิ เสริมเวลา เปา่ ไดม้ คี ะแนนพเิ ศษนะจ๊ะจะบอกให้ !!!!

เพลงไลเ่ รยี งเสยี ง

- - - - - - - ซ- - - ฟม ร ด ซ- - - ฟม ร ด ซ- - - ฟ ม ร ด ร

- - - - - - - ล - - - ร มฟ ซ ล - - - ร มฟ ซ ล - - - ซ ฟ ม ร ด

ซอล เรยี งลงมาล้วซอล เรียงลงมาแล้วซอล เรียงลงมาแลว้ เร

ลา เร เปิดทีละนิว้ เร เปิดทลี ะนิว้ เรียงลงมาแลว้ จบ

เพลงจันทรว์ ันเพญ็
- - - ซ - ซ - ซ - ดํ - ล - ล -ล - - - ร - ร - ร - ซ - ม - ม - ม
- - - ซ - - - ซ - ล - ซ - ม - ซ - - - ล - ดํ - ล - ซ - ดํ - ดํ - ดํ

จนั ทรว์ ันเพ็ญสวยเยน็ งามตา ชวนกันมาร้องเพลงเพลินใจ

ดซู ิดหู มู่เมฆลอยไป เพลนิ หวั ใจเม่ือวันจนั ทร์เพญ็

เพลงหนาวลมโชย
- - - ซ - ม - ม- - - ฟ- ร – ร - - - ด- ร - ม - ฟ - ซ- ซ - ซ
- - - ซ - ม - ม- - - ฟ- ร – ร - - - ด- ม - ซ- ฟ - ม- ร - ด

หนาวลมโชย พล้วิ โบยมา สุขอุราพาเราเพลินใจ
เหมันต์พา หนาวทรวงใน ให้สะท้านหนาวส่ัน

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

ใบความรทู้ ่ี ๗ การขับร้องเพลงไทย

การขบั ร้องเพลงไทย แบ่งออกเปน็ ๓ ประเภท ดังน้ี
๑. การขบั ร้องอิสระ เป็นการขับรอ้ งทมี่ ีแต่เสียงขบั รอ้ ง ผู้รอ้ งจะต้ังเสยี งในระดับเสยี งใดกไ็ ด้
๒. การขับร้องประกอบดนตรี การขบั รอ้ งมีความแตกต่างกันออกไป ๔ ลกั ษณะ ดงั น้ี

๒.๑ ร้องเคล้า การรอ้ งเคลา้ เปน็ การขบั ร้องพร้อมไปกบั การบรรเลงดนตรโี ดยนักรอ้ งจะขับร้องไป
ตามทำนองของการขบั ร้อง นกั ดนตรีกบ็ รรเลงตามทำนองการบรรเลง ทำนองของท้งั สองฝ่ายจะมีความ
แตกต่างกนั เม่ือฟงั แลว้ เหมอื นกบั เปน็ การคลกุ แคล้ากนั ไป

๒.๒ รอ้ งคลอ การรอ้ งคลอ นักรอ้ งจะขับร้องไปพร้อมกับการบรรเลงดนตรโี ดยท้ังสองฝา่ ยจะ
ดำเนินทำนอง ท่เี หมอื นกนั เสมอื นกบั คนสองคนท่เี ดินคลอเคียงกนั ไป

๒.๓ รอ้ งส่ง การรอ้ งส่ง หรอื รอ้ งรบั นักร้องจะต้องขับร้องเพลงขน้ึ ก่อนแลว้ ดนตรีจะบรรเลงรบั
ทอ่ นละ ๒ เทยี่ ว แต่เมื่อนักร้องขบั ร้องเนื้อเพลงใกล้จะจบท่อนนักดนตรกี ็จะบรรเลงสวมทับการขับ
ร้องเล็กน้อยใหก้ ารขับรอ้ งสืบเนอ่ื งกับการบรรเลงรบั ท้งั นเี้ พอื่ ใหเ้ กดิ ความกลมกลืนท้ังในด้านความชา้ เรว็
และระดับเสยี งของทั้งสองฝา่ ย

๒.๔ รอ้ งลำลองการรอ้ งลำลอง คลา้ ยกับการร้องเคล้า เป็นการขบั ร้องพร้อมกบั การบรรเลง นักรอ้ ง
จะขับร้องไปตามทำนองของตน นกั ดนตรกี ็จะบรรเลงไปตามทำนองของตน แตต่ า่ งกบั การร้องเคล้าตรงที่
เพลงทค่ี นร้องขับรอ้ งเป็นคนละเพลงกับเพลงทน่ี ำมาบรรเลงเชน่ เพลงเห่เชิดฉ่งิ คนรอ้ งร้องเพลงเห่ ดนตรี
บรรเลงเพลงเชดิ ฉ่ิง สิง่ ทตี่ ้องคำนึงถึงในการร้องแบบลำลอง คือ เพลงร้องกบั เพลงบรรเลงตอ้ งใชเ้ สยี งใน
ระดับเดียวกนั สั้นยาวเท่ากัน
๓. การขับรอ้ งประกอบการแสดงคลา้ ยกบั การขับรอ้ งประกอบดนตรี แต่ผู้ร้องจะต้องเน้นการแสดงอารมณ์
ทางลลี าและนำ้ เสยี งมากเปน็ พิเศษเพ่ือใหไ้ ด้อารมณ์เหมาะสมกับการแสดงน้นั ๆ

หลักการปฏบิ ตั ติ นในเพอ่ื การขบั ร้องเพลงไทย
๑. พกั ผ่อนให้เพยี งพอดว้ ยการนอนหลบั ใหร้ ่างกายมีพลงั งาน ซงึ่ ส่งผลถงึ กำลังในการเปลง่ เสยี งดว้ ย
๒. ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแขง็ แรง สง่ ผลให้ปอดมกี ำลังสามารถกักเกบ็ ลมได้มาก
๓. ดืม่ น้ำทม่ี ีอุณหภูมิในระดับปรกติ หรืออนุ่ เล็กน้อย
๔. งดเครือ่ งดม่ื แอลกอฮอล์ อาหารทมี่ ันและผลไมท้ ีม่ ยี าง เชน่ เงาะ ลำไย ระกำ
๕. ฝึกการเปล่งเสยี งให้ดังกงั วาน ยาวนานและตรงตามระดบั เสียงดนตรี
๖. ฝึกการหายใจให้สามารถเกบ็ ลมได้มากและสามารถกกั ลมไดใ้ นขณะเปล่งเสยี ง
๗. บริหารเสียงดว้ ยการเปลง่ เสียงร้องทนั ทที ่ตี ืน่ นอนในตอนเช้า

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นที่ 2)

หลกั การขบั ร้อง
๑. เปล่งเสียงได้ถกู ต้องตามระดบั เสียง
๒. กำหนดจงั หวะ และความสน้ั ยาวของเสียงได้
๓. ออกเสยี งได้ถกู ต้องตามอักขรวิธี
๔. แบง่ ถ้อยคำเน้ือรอ้ งได้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์
๕. กักลมหายใจได้ยาวนานและแบง่ วรรคตอนการหายใจไดถ้ ูกต้องเหมาะสม
๖. มีเทคนคิ หรอื ลลี าในการขบั ร้อง
๗. สามารถสอดแทรกอารมณใ์ นเพลงท่ขี บั ร้องอยา่ งเหมาะสม
การขับร้อง จะต้องออกเสียงใหช้ ดั ถ้อยชัดคำ ถกู ทำนองจงั หวะ มีเทคนิคลลี าทสี่ ามารถสื่ออารมณ์ในบทเพลง
ได้อย่างครบถ้วน สำหรบั การขบั ร้องเพลงไทยนนั้ มีเอกลักษณห์ รอื ลักษณะเฉพาะ กลา่ วคอื การทภ่ี าษาไทยเปน็
ภาษาท่มี ีเสียงวรรณยุกต์ ในพื้นเสียงเดียวกันแต่มรี ะดับเสยี งวรรณยกุ ต์ตา่ งกันความหมายก็จะต่างกัน ดังนัน้ การ
ออกเสียงภาษาไทยในบทเพลงจงึ ต้องมกี ารเออื้ นเพื่อใหค้ ำร้องนนั้ ตรงทำนองและได้ความหมายตามท่ตี ้องการ
การเอื้อน มี ๓ ลกั ษณะ ดังน้ี
๑. การเอื้อนบนคำ ใชใ้ นกรณที เ่ี มื่ออกเสียงคำร้องตรงระดบั เสียงแลว้ ความหมายเปลี่ยน เชน่ คำว่า
“สวย” ถ้าออกตรงระดับเสียง ซอล จะกลายเปน็ “ซวย” จำเป็นตอ้ งออกเสยี งคำวา่ สวยโดยใชร้ ะดับเสียง มี และ
ซอลด้วยกัน จึงจะได้คำวา่ ”สวย”ที่ถกู ทำนองและความหมาย
๒. การเออ้ื นปิดคำ ใชก้ รณีทเ่ี มอื่ ออกเสยี งคำรอ้ งตรงระดับเสยี งแล้วไมไ่ ด้ความหมาย ต้องผันเสยี งใหไ้ ด้ตาม
ความหมายแลว้ จึงค่อยปดิ คำด้วยเสียง“ออื ” ให้เสยี งอือนนั้ ตรงกบั ระดับเสยี งในทำนองเพลง เช่น คำว่า “สรวง” ท่ี
ระดบั เสียง เร ซึ่งต้องออกเสยี ง “สรวง” ให้ชัด แลว้ ปดิ ด้วยเสียง “ออื ” ในระดับเสียง เร
๓. การเอื้อนเป็นประโยค ใช้ในกรณที ี่ทำนองเพลงยาวแต่มีเนือ้ ร้องนอ้ ย จึงใช้ประโยคเอื้อนแทนการร้องด้วย
เนื้อร้องให้ครบทำนองท้ังเพลง การเอื้อนในกรณีนจี้ ะเป็นโอการสให้ผรู้ ้องได้อวดลลี าและแทรกอารมณ์ เสยี งทใ่ี ช้เป็น
ฐานในการเอื้อนทำนองเพลงไทย คอื เสียง เออ เฮอ อือ ฮอื เงอ งือ เองิ เอย และมกั ใช้เสียงเสยี งนาสิก เป็น
เสยี งเช่อื มคำ

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)

---- ---- เพลงสองชัน้ สำหรับการฝึกร้องร่วมกับการบรรเลง รรรร
- - - ซ - ซซซ เพลงลาวครวญ รด-ร

---- ---- -ซ -ม รดรม - - - - -ด -ร -ด -ม -สรวง-อือ
--จะโศก --ทรวง ล ซ ม ซ - ล - ดํ - - - - - - - - - ซ - ม -ฮื่อ -ถึงออื

เนือ้ รอ้ งเพลงลาวครวญ
จากบทละครเรื่องลิลิตพระลอ ตอนพระลอเสี่ยงนำ้

-โอ้ -พระ -ชน -นี - - - - -ชน -นี -ศร-ี แมน
-เสยี ว - - ร้สู กึ -ออื - - - - - - -รำ - ลกึ

โอ้พระชนนี ชนนีศรแี มนสรวง จะโศกทรวง เสยี วรู้สกึ รำลึกถึง
ไหนทุกขถ์ งึ บิตรุ งค์ บิตรุ งค์ ทรงรำพงึ ไหนโศกซ้ึง ถงึ ตู ค่หู ทัย
ร้อยชู้ หรอื จะสู้ เนอื้ เมยี ตน เมยี ร้อยคน หรือจะสู้ พระแม่ได้
พระแม่อยู่ เยือกย็น เยือกเย็น ไม่เห็นใคร หรอื กลับไป สู่นคร ก่อนจะดี
เหน็ ชอบชัด เชิญคนื บุรศี รี
พี่เลีย้ งตรอง พลางสนอง พระดำรสั ใหเ้ ปน็ ท่ี เกษมสุข สืบไป
เฉลิมกรงุ บำรงุ ประชาชี ครน้ั จะจร ก็ห่วง นครใหญ่
โอบ้ พิตร ยิ่งคดิ ยิ่งขัดข้อน วา่ ทา่ นไท้ คร้ามขลาด ประหลาดชาย
ครนั้ จะคนื กเ็ กรง คนไยไพ

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

ใบความร้ทู ี่ ๘ อารมณใ์ นเพลงไทย

๑.เสาวรสจนี เปน็ ลักษณะของอารมณท์ ี่ชมความงาม อาจเปน็ ความงามของตัวละคร สถานที่ หรอื ธรรมชาติ เชน่

เพลงกล่อมนารีช้ันเดยี ว

งามเนตรดังเนตรมฤคมาศ งามขนงวงวาดดงั คนั ศิลป์

อรชรอ้อนแอ้นดังกินริน หวงั ถวิลไมเ่ ว้นวายเอย

(จากบทพระราชนิพนธ์ รชั กาลท่ี ๒ เรื่อง อิเหนา)

๒.นารีปราโมทย์ เป็นอารมณ์ทแ่ี สดงความรักใคร่ หรือพดู จาโอโ้ ลมให้อกี ฝา่ ยเกิดความปฏิพัทธ์ เชน่

เพลงเขมรพวง ๒ ชัน้

พ่ผี ดิ พ่ีกม็ าลแุ กโ่ ทษ จงคลายโกรธแมอ่ ย่าถือว่าหยาบหยาม

พีโ่ ลมลบู จูบไปดว้ ยใจงาม ทราบสวาทดิ้นไปไม่ไยดี

(ขนุ ชา้ งขุนแผน)

๓.พโิ รธวาทงั เป็นบทแสดงความโกรธ ตดั พอ้ เหนบ็ แนม เสียดสี หรอื แสดงความเคียดแค้น เชน่
เพลงลงิ โลด

บัดนั้นหนุมาร หนุมาร ไมต่ อ้ ง ไม่ต้อง ศรศรเี อย
ยนื ทยาน ดานโกรธ ดานโกรธ ดงั อัคคี
ช้ีหน้าว่าเหวย วา่ เหวย สหสั สนยั เอย

(รามเกียรต์ติ อนศึกพรหมมาศ)

๔.สลั ลาปงั คพิสัย เปน็ รสท่ีแสดงการคร่ำครวญ โศกเศร้า เช่น

เพลงแขกลพบุรี ๓ ชั้น

ลำดวนเอย๋ พีจ่ ะดว่ นไปก่อนแลว้ ทัง้ เกดแก้วพิกลุ ย่สี ุน่ ศรี

จะโรยร้างห่างสิ้นกล่นิ มาลี จำปเี อย๋ สักก่ีปจี ะมาพบ

ทม่ี ีกล่ินก็จะคลายหายหอม จะพลอยตรอมเหือดส้นิ กลิ่นตลบ

ทม่ี ดี อกกจ็ ะวายระคายครบ จะเหีย่ วแหง้ เซาซบสลบไป

(ขุนช้างขนุ แผน)

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นที่ 2)

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนท่ี 2)

ใบความรทู้ ี่ ๙ การละครไทย

ละคร หมายถึง การแสดงประเภทหน่งึ ซึ่งแสดงเร่อื งราวความเป็นไปของชวี ติ ทป่ี รากฏในวรรณกรรม
มีศิลปะการแสดงและดนตรเี ปน็ ส่อื สำคัญ ละคร ตามความหมายนหี้ มายถงึ ละครรำ เพราะวา่ เปน็ การแสดงออก
ทางความคดิ โดยมุ่งเน้นถึงลกั ษณะท่าทางอิริยาบถในขณะเคลอ่ื นไหวตวั ในระหว่างการรำ

ละครไทยสามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ ๔ ประเภท ดังนี้
๑. ละครรำ คอื ละครท่ีใชศ้ ิลปะการร่ายรำในการดำเนนิ เรอื่ ง แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท

๑.๑ ละครรำแบบมาตรฐานดั้งเดมิ มี ๓ ชนิด คือ
- ละครชาตรี
- ละครนอก
- ละครใน

๑.๒ ละครทป่ี รับปรุงขึ้นใหม่ มี ๓ ชนิด คือ
- ละครดกึ ดำบรรพ์
- ละครพนั ทาง
- ละครเสภา

๒. ละครรอ้ ง คอื ละครที่ใช้ศิลปะการร้องดำเนินเรื่อง เป็นละครแบบใหม่ที่ไดร้ บั อิทธพิ ลมาจากตะวนั ตก
แบง่ ไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คือ

๒.๑ ละครรอ้ งล้วน ๆ
๒.๒ ละครรอ้ งสลับพูด
๓. ละครพดู คือละครท่ีใชศ้ ลิ ปะการพูดในการดำเนินเร่ือง เป็นละครแบบใหม่ท่ีได้รับอิทธพิ ลจากตะวนั ตก
แบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คือ
๓.๑ ละครพดู ลว้ น ๆ
๓.๒ ละครพูดสลบั รำ
๔. ละครสงั คีต เปน็ ละครท่ีใช้ศลิ ปะการพูดและการร้องดำเนินเรื่องเสมอกนั
การแสดงที่เกิดขน้ึ ใหม่ในสมัย รัชกาลท่ี ๕ อกี ๒ อยา่ งคือ ลเิ ก และห่นุ ( หนุ่ เล็ก , หุ่นกระบอก , หุ่นละครเล็ก)

ละครชาตรี
ละครชาตรี เปน็ รูปแบบละครรำที่เกา่ แก่ของไทยที่ได้รับการฟ้ืนฟจู นถงึ ทุกวันน้ี เรื่องของละครชาตรีมี
กำเนิดมาจากเร่อื งมโนราห์

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรียนที่ 2)

การแสดงโนราเปน็ ทนี่ ยิ มอยู่ทางภาคใต้ สว่ นละครชาตรมี ีความนยิ มทางภาคกลาง ซึง่ มักหาดูได้ใน
งานแก้บน

แบบแผนการแสดงโนราชาตรีคลา้ ยคลงึ กบั ละครของทางมลายูที่เรียกกันว่า “มะโย่ง” แต่ต่างกนั ท่ี
ภาษาและทำนองดนตรี

ละครโนราชาตรีอาจจะมีผนู้ ำมาแสดงในภาคกลางตัง้ แตส่ มัยกรงุ ศรีอยธุ ยา แต่ทมี่ ีหลักฐานแนช่ ดั คือใน
สมยั ทีส่ มเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรียกทพั ไปปราบกก๊ เจา้ นครคร้ังหนง่ึ และต่อมาในสมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ อีก ๒ คร้งั ใน
ครั้งหลังพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวโปรดใหช้ าวภาคใตท้ ่ีอพยพเขา้ มาในกรงุ เทพ ตง้ั ถ่ินฐานอยทู่ ตี่ ำบลสนามกระบือ
ไดจ้ ัดต้ังคณะละครแสดงกนั แพรห่ ลาย

ละครชาตรี แตเ่ ดมิ ผู้แสดงเป็นชายลว้ นมเี พียง ๓ คนเท่าน้ัน ไดแ้ ก่ นายโรง ซงึ่ แสดงเปน็ ตวั พระ อีก๒
คน คือ ตวั นาง และตัวจำอวด ซง่ึ แสดงตลก และเป็นตวั เบ็ดเตลด็ ต่าง ๆ เชน่ ฤาษี พราน สตั ว์ แตเ่ ดมิ นยิ มแสดง
เพียงไมก่ ี่เร่ือง เชน่ เร่อื งมโนราห์ นายโรงจะแสดงเป็นตัวพระสุธน ตัวนางเปน็ มโนราห์ และตวั จำอวดเป็นพรานบุญ
และอีกเรือ่ งหนงึ่ ทีน่ ิยมแสดงไม่แพ้กัน คอื เร่ืองพระรถเสน นายโรงเป็นตวั พระรถ ตวั นางเป็น เมรี และตัวจำอวด
เป็น ม้าพระรถเสน

ในสมยั หลังละครชาตรี เพม่ิ ผแู้ สดงให้มากข้นึ และใชผ้ ู้หญิงรว่ มแสดงดว้ ย
ละครนอก
ละครนอก มกี ารดำเนนิ ทอ้ งเรื่องทรี่ วดเร็ว กระชบั สนุก การแสดงมีชีวติ ชวี า ส่วนมากใชผ้ ู้ชาย

แสดง และมมี าตงั้ แต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เข้าใจว่าละครนอกมีวิวัฒนาการมาจากละครชาตรี เพราะมงุ่ ทจ่ี ะให้คนดูเกิด
ความขบขนั ผแู้ สดงละครนอกแตเ่ ดมิ มีผู้แสดงอยเู่ พยี ง ๒-๓ คน เชน่ เดยี วกับละครชาตรี ละครนอกไม่คำนงึ ถึง
ขนบธรรมเนยี มประเพณีเกี่ยวกับยศศักด์แิ ละฐานะของตัวละครแต่อยา่ งใด ตัวละครทเ่ี ป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ก็
สามารถโต้ตอบตลกกบั เสนากำนลั หรือไพร่พลได้ ละครนอกทีน่ ิยมเล่นไดแ้ ก่เรอื่ ง สงั ข์ทอง ไกรทอง สวุ รรณหงส์
พระอภยั มณี เปน็ ตน้

ละครใน
จากรูปแบบของละครนอกที่ไดร้ บั การพัฒนาข้ึนมาเปน็ ตัวละครในวัง ผู้แสดงหญงิ ลว้ น แบบอย่าง
ละครในนี้ไดส้ งวนไวเ้ ฉพาะในวังหลวงเทา่ นนั้ เพราะว่าผู้ชายน้ันจะถูกหา้ มให้เข้าไปในพระราชฐานช้นั ใน บริเวณ
ตำหนักของพระมหากษตั ริย์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยดนตรีท่ีมีเสียงไพเราะอ่อนหวาน ใช้บทร้อยกรองได้อย่างวจิ ิตร
บรรจง ทัง้ ดนตรีท่นี ำมาผสมผสานอยา่ งไพเราะ รวมทั้งจะมีทา่ ทางสงา่ งาม ไม่มีการสอดแทรกหยาบโลนหรอื ตลก
และอนุรักษ์วัฒนธรรมและคุณลักษณะทเ่ี ปน็ ประเพณสี บื ทอดกันมา
เร่อื งท่ใี ชแ้ สดงละครในน้ันมีอยู่ ๔ เรือ่ ง ได้แก่ รามเกียรติ์ อณุ รุท อเิ หนา และดาหลัง เข้าใจกนั
วา่ ละครในสมัยเรมิ่ แรกเลน่ กันแตเ่ ร่ืองรามเกยี รต์ิ และอุณรุทเท่าน้นั เพราะถือวา่ เป็นเร่ืองเกียวกับนารายณ์อวตาร
ใช้สำหรับเฉลมิ พระเกยี รติพระมหากษัตริย์ ผูอ้ ่นื จึงไมส่ ามารถนำไปเลน่ ได้ ตอ่ มาละครในไม่คอ่ ยได้เลน่ ๒ เร่ืองนี้
เหลือแตโ่ ขนและหนังใหญ่ทเี่ ล่นเร่ืองรามเกียรต์ิ สว่ นเรื่องดาหลังไม่ค่อยนยิ มแสดงนัก เพราะช่ือตวั ละครเรยี กยาก
จำยาก เนอื้ เรื่องกส็ ับสนไมส่ นกุ สนานเท่าเร่ืองอเิ หนา ตอ่ มาพวกละครนอกและลิเกจงึ นำไปแสดงบ้าง ดังนั้นในสมัย
รตั นโกสินทร์ นบั ต้งั แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอเิ หนาขน้ึ ใหม่
ละครในจึงนยิ มแสดงอยเู่ พยี งเรอ่ื งเดียวนาน ๆ จงึ จะมีผจู้ ัดแสดงเร่ืองรามเกียรต์ิและอณุ รทุ สกั ครง้ั หน่งึ
บทละครในเปน็ กลอนบทละครทผ่ี ู้แตง่ ใช้ความประณตี บรรจงในการเลือกเฟน้ ถ้อยคำมารอ้ ยกรอง
อย่างไพเราะและมีความหมายดี เพื่ออวดฝมี ือในการแต่งแต่งด้วย ทง้ั นเี้ น่อื งจากละครในเล่นกันอยูไ่ ม่ก่ตี อน คนดูมัก
ร้เู รื่องดีอยู่แลว้ ผูแ้ ตง่ จงึ มงุ่ พรรณนาเน้อื ความในรายละเอียดอย่างถ่ีถ้วน ดงั จะเห็นไดจ้ ากบทชมธรรมชาติ ชม
พาหนะ ชมเครื่องแต่งตัว บทพรรณนาความรู้สึก ซ่งึ ปรากฏอยตู่ ลอดเร่ือง บทละครในท่ีแต่งได้ดเี ย่ียมได้แกเ่ ร่ือง
นามเกียรตแิ์ ละอิเหนา ซงึ่ เป็นบทพระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

การแสดงละครในมุ่งท่ีความประณีตสวยงามเป็นหลกั ท้ังศลิ ปะการรำท่ีมลี ลี าทา่ ทางงดงาม
นมุ่ นวล เคร่ืองแต่งกายสวยประณีต ดนตรีและเพลงท่ไี พเราะ ผูช้ มละครในไมม่ ุ่งความสนุกสนานตืน่ เต้นเหมือนดู
ละครนอก แต่จะมงุ่ ดูศลิ ปะการร่ายรำ ลลี าทา่ ทางที่ประณีตงดงามและเพลงทีไ่ พเราะมากกว่าละครในทน่ี ยิ มกนั มาก
ทส่ี ดุ คอื อิเหนา

ละครดกึ ดำบรรพ์
ละครดึกดำบรรพ์ เปน็ การแสดงละครแบบหนงึ่ ในประเภทละครรำเกิดขึน้ ในสมยั รัชกาลท่ี ๕
เนือ่ งมาจากในสมยั รชั กาลที่ ๕ มเี จา้ นายชาวต่างชาติเขา้ เข้าเฝา้ อย่หู ลายคร้ัง จึงโปรดใหม้ ีการละเลน่ ให้แขกบ้านแขก
เมืองได้รับชม โดยเจ้าพระยาเทเวศรวงศว์ วิ ฒั น์ (ม.ร.ว.หลาน กญุ ชร) ไดค้ ดิ การแสดงในรปู แบบคอนเสริ ต์ โดยเนื้อ
เร่อื งตัดตอนมาจากวรรณคดีไทย โดยมีสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอเจ้าฟา้ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเลอื กเพลง
และอำนวยการซ้อม จึงถือวา่ การแสดงในครั้งน้ันนับวา่ เปน็ จุดเร่มิ ตน้ ของละครดึกดำบรรพ์ ต่อมาภายหลัง
เจ้าพระยาเทเวศรวงศว์ วิ ัฒน์ได้มีโอกาสชมละครโอเปร่า จงึ เกดิ ความชอบใจและนำปรบั ปรงุ ให้เขา้ กับละครดึกดำบรรพ์
ของไทย ละครดกึ ดำบรรพท์ ี่นยิ มเลน่ ได้แก่เรือ่ ง สงั ข์ทอง คาวี ฯลฯ
การแสดงละครดกึ ดำบรรพ์แสดงในโรงปดิ ขนาดเลก็ ดนตรี ประกอบการแสดง ใช้วงปีพ่ าทย์ดึกดำ
บรรพ์ ดัดแปลงมาจากวงปี่พาทยไ์ มน้ วมเครอื่ งใหญ่ ประกอบด้วย ระนาดเอกไม้นวม ระนาดทุม้ (ไม้) ระนาดเหลก็
ท้มุ ฆอ้ งวงใหญ่ ฆอ้ งหยุ่ ขลยุ่ เพียงออ ขลยุ่ อู้ ซออู้ ตะโพน กลองตะโพน กลองแขก และฉง่ิ
ละครพนั ทาง
ละครพนั ทาง หมายถึงละครแบบผสม คือ การนำเอาลลี าท่าทีของชนต่างชาตเิ ขา้ มาปรับปรุงกบั ทา่
รำแบบไทย ๆ การแสดงละครชนิดนี้แต่เดิมเปน็ การริเร่ิมของเจ้าพระยามหินทรศักด์ธิ ำรง เป็นผู้คดิ ค้นนำเอาเรอื่ ง
ของพงศาวดารของชาตติ า่ ง ๆ มาแตง่ เปน็ บทละครสำหรบั แสดง
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้กำหนดชอื่ น้ีและทรงปรับปรุงใหม้ ฉี าก
ประกอบการแสดงเพ่ือให้แลเห็นสมจริงสมเนือ้ ร้องซ่งึ ยังปรับปรงุ ลีลาทา่ รำของชนชาตกิ ับทา่ ทางอริ ิยาบถของสามญั ชน
เข้ามาผสมกนั เพลงร้องประกอบการแสดงนน้ั สว่ นมากต้นเสยี งกับลกู คเู่ ปน็ ผู้ร้อง แต่ก็มีบ้างที่กำหนดใหต้ วั ละครเป็น
ผรู้ อ้ ง ป่ีพาทยป์ ระกอบการแสดงใชว้ งป่ีพาทย์ไมน้ วม บททใี่ ชม้ กั เปน็ บทท่กี ล่าวถึงตวั ละครท่ีมีเช้ือชาติตา่ ง ๆ เชน่
พมา่ มอญ จีน ลาว บทท่ีนยิ มนำมาเลน่ ในปจั จุบนั มีเร่ืองพระลอและราชาธริ าชตอนสมิงพระรามอาสา
ลักษณะการแต่งตวั ของละครพนั ทางจะแตง่ ตามเชอ้ื ชาติ และความเป็นจริงของตัวละครในบทน้นั ๆ
ละครเสภา
ละครเสภา คือละครที่มลี ักษณะการแสดงคล้ายละครนอก รวมท้ังเพลงรอ้ งนำ ทำนองดนตรี และ
การแต่งกายของตัวละคร แต่มขี อ้ บังคบั อยู่อย่างหน่งึ คือต้องมีขบั เสภาแทรกอยูด่ ้วยจึงจะเป็นละครเสภา
กอ่ นทจ่ี ะเกดิ ละครเสภาข้ึนนัน้ เข้าใจว่าจะมีการขับเสภาเป็นเรอ่ื งราวก่อน เรอื่ งท่ีนาขับเสภาและ
นิยมกันอย่างแพรห่ ลายคือ เร่ืองขนุ ช้างขนุ แผน การขบั เสภาต้งั แต่โบราณนนั้ ไม่มีเคร่ืองดนตรชี นดิ ใดประกอบ
นอกจากกรบั ที่ผู้ขบั ขยับประกอบแทรกในทำนองขับของตนเทา่ นน้ั ครั้นเวลาต่อมาในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระ
พุทธเลิศหลา้ นภาลยั ซ่ึงทรงโปรดสดับการขับเสภาได้โปรดเกล้าฯ ใหจ้ ดั วงปี่พาทย์เขา้ ประกอบเป็นอุปกรณ์ขับเสภา
โดยใหแ้ ทรกเพลงรอ้ งสง่ ใหป้ ่ีพาทยร์ ับและบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เหมอื นอยา่ งการแสดงละครนอก ตอนใดดำเนนิ
เรือ่ งก็ขบั เสภา ตอนใดเปน็ ถ้อยคำรำพันหรือขอ้ ความอ่ืนที่ควรแก่การร้องสง่ ก็รอ้ ง จะเป็นเพลงช้าป่ีหรือโอป้ ่ีอย่าง
ละครนอกก็ได้ ตอนใดเป็นบทไปมาหรือรบกนั ป่ีพาทย์ก็บรรเลงเพลงเชิดประกอบ ต่อมาได้ววิ ัฒนาการให้มีผูแ้ สดง
ออกมาแสดงตามบทเสภาและบทร้อง ครัง้ แรกก็อาจจะเป็นเพยี งตอนใดตอนหนึ่ง ครัน้ ตอ่ มากเ็ ลยปรบั ปรุงใหเ้ ปน็
การแสดงทัง้ หมด และเรยี กการแสดงนวี้ ่า “เสภา”
ละครเสภาท่นี ยิ มเลน่ กันมาก คือ ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอนพลายเพชรพลายบัวออกศึก ,พระวัยแตกทัพ ,
ขุนแผนเขา้ ห้องนางแกว้ กิรยิ า เปน็ ต้น

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)

ใบงานที่ ๗ การละครไทย
ชื่อ-นามสกลุ ...................................... เลขท่ี ............................................ ช้ัน ...................................
วนั ท่ี ...................... เดือน ................................... พ.ศ. .......................... ระดับคณุ ภาพที่ได้

……………………………………………………………………………………………………………………………………………
การละครไทย

ละครไทยท่นี ักเรยี นชอบ
เร่ือง..............................................ละครประเภท....................................................
อธบิ ายเหตุผลท่ีชอบ.....................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรียนท่ี 2)

ใบความร้ทู ่ี ๑๐ เร่ืองนาฏยศพั ท์
นาฏยศพั ท์ หมายถงึ ศัพท์ท่ีใช้เกีย่ วกบั ลกั ษณะท่ารำ ทีใ่ ชใ้ นการฝกึ หดั เพ่ือแสดงโขน ละคร เป็นคำทีใ่ ชใ้ นวงการ
นาฏศิลป์ไทย สามารถสอ่ื ความหมายกนั ไดท้ ุกฝ่ายในการแสดงตา่ ง ๆ"นาฏย" หมายถงึ เกีย่ วกับการฟอ้ นรำ เก่ียวกับ
การแสดงละคร "ศพั ท์" หมายถึง เสยี ง คำ คำยากท่ตี ้องแปล เรอ่ื ง เมอื่ นำคำสองคำมารวมกัน ทำให้ได้ความหมาย
ขน้ึ มา
การศกึ ษาทางด้านนาฏศลิ ป์ไทย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขน ละคร หรือระบำเบด็ เตล็ดตา่ ง ๆ กด็ ี ทา่ ทางที่ผู้แสดง
แสดงออกมาน้ันย่อมมีความหมายเฉพาะ ยิ่งหากได้ศึกษาอย่างดแี ล้ว อาจทำให้เข้าใจในเร่อื งการแสดงมากย่ิงข้ึนท้งั ใน
ตวั ผู้แสดงเอง และผู้ท่ชี มการแสดงน้ัน ๆ สง่ิ ทีเ่ ข้ามาประกอบเป็นทา่ ทางนาฏศิลป์ไทยน้ันกค็ ือ เรื่องของนาฏยศัพท์
นาฏยศัพทแ์ บ่งออกเป็น ๓ ประเภท คอื
๑. นามศัพท์
หมายถงึ ศัพท์ท่ีเรยี กชือ่ ทา่ รำ หรือช่ือทา่ ที่บอกอาการกระทำของผู้นน้ั เชน่ วง จบี สลัดมือ คลายมือ กรายมือ
ฉายมือ ปาดมอื กระทบ กระดก ยกเทา้ ก้าวเท้า ประเทา้ ตบเท้า กระท้งุ กะเทาะ จรดเทา้ แตะเทา้ ซอยเท้า ขย่นั เท้า
ฉายเทา้ สะดดุ เท้า รวมเท้า โยต้ ัว ยักตัว ตีไหล่ กลอ่ มไหล่
๒. กิริยาศัพท์
หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เรยี กในการปฏบิ ัตบิ อกอาการกิริยา ซึ่งแบง่ ออกเป็น
ศพั ทเ์ สรมิ หมายถงึ ศพั ท์ที่ใช้เรียกเพื่อปรบั ปรุงท่าทใี หถ้ ูกต้องสวยงาม เชน่ กันวง ลดวง ส่งมอื ดงึ มือ หักข้อ หลบ
ศอก เปิดคาง กดคาง ทรงตวั เผน่ ตวั ดงึ ไหล่ กดไหล่ ดงึ เอว กดเกลียวขา้ ง ทบั ตัว หลบเขา่ ถีบเข่า แข็งเข่า กันเขา่
เปดิ ส้น ชกั ส้น
ศพั ทเ์ ส่ือม หมายถงึ ศัพทท์ ่ีใช้เรียกช่ือท่ารำหรือท่วงทีของผรู้ ำท่ไี ม่ถกู ต้องตามมาตรฐาน เพอื่ ใหผ้ รู้ ำรตู้ วั และแก้ไข
ทา่ ทขี องตนใหด้ ีข้ึน เชน่ วงลา้ วงคว่ำ วงเหยยี ด วงหัก วงลน้ คอดม่ื คางไก่ ฟาดคอ เกร็งคอ หอบไหล่ ทรดุ ตวั ขย่ม
ตวั เหลีย่ มล้า รำแอ้ รำลน รำเล้อื ย รำล้ำจังหวะ รำหน่วงจังหวะ
๓. นาฏยศัพทเ์ บ็ดเตลด็
หมายถงึ ศัพทต์ ่าง ๆ ทใี่ ชเ้ รียกในภาษานาฏศิลป์นอกเหนือไปจากนามศัพทแ์ ละกริ ิยาศพั ท์ เช่น จบี ยาว จีบสนั้ ลกั
คอ เดนิ มือ เอยี งทางวง คืนตัว อ่อนเหลี่ยม เหลี่ยมล่าง แม่ทา ทา่ -ที ข้ึนท่า ยนื เขา่ ทลายทา่ นายโรง พระใหญ่ - พระ
นอ้ ย นางกษัตรยิ ์ นางตลาด ผู้เมยี ยนื เครือ่ ง

จีบสง่ หลงั จบี คว่ำ
ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

จบี หงายชายพก ตง้ั วงบน

ตั้งวงกลาง ประเทา้

ทา่ รกั ท่าโกรธ
ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

ใบงานท่ี ๘ เรือ่ ง นาฏยศัพท์
ชือ่ -นามสกลุ ...................................... เลขท่ี ............................................ ชน้ั ...................................
วนั ท่ี ...................... เดอื น ................................... พ.ศ. .......................... ระดับคุณภาพท่ีได้

……………………………………………………………………………………………………………………………………………

ตอนท่ี ๑ จงเขียนช่ือท่านาฏยศพั ท์ต่อไปน้ี

……………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………..

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

ใบความรู้ที่ ๑๑ เรื่องหลักในการชมการแสดง
๑. ควรศึกษาเกยี่ วกบั ทา่ รำ "ท่ารำ" ของนาฏศลิ ป์ไทยจดั ไดว้ ่าเป็น "ภาษา" ชนดิ หนงึ่ ซ่งึ ใช้ส่อื ความหมายให้ผชู้ ม
เข้าใจถงึ กิรยิ า อาการ และความรสู้ กึ ตลอดจนอารมณ์ของผแู้ สดง มีทงั้ ทา่ รำตามธรรมชาติและท่าที่ประดษิ ฐ์ใหว้ จิ ิตร
สวยงามกว่าธรรมชาติ ผู้ชมทีด่ ีจะต้องเรยี นร้คู วามหมายและลีลาทา่ รำตา่ งๆ ของนาฏศิลปไ์ ทย ให้เช้าใจเปน็ พ้ืนฐาน
กอ่ น
๒. เขา้ ใจเกี่ยวกับภาษาหรือคำร้องของเพลงตา่ งๆ การแสดงนาฏศลิ ปจ์ ะต้องใชด้ นตรีและเพลงเขา้ ประกอบ ซึง่
อาจจะมที ง้ั เพลงขบั ร้องและเพลงบรรเลง ในเร่ืองเพลงร้องน้ันจะตอ้ งมี "คำร้อง" หรือ เน้ือรอ้ ง ประกอบดว้ ย บทรอ้ ง
เพลงไทยสว่ นมากจะเปน็ คำประพนั ธป์ ระเภทกลอนแปด หรือกลอนสุภาพ เป็นคำร้องท่ีแตง่ ข้นึ ใช้กับเพลงนัน้ ๆ
โดยเฉพาะ หรือนำมาจากวรรณคดไี ทยตอนใดตอนหน่ึงก็ได้ ผ้ชู มจะตอ้ งฟังภาษาท่ีใชร้ อ้ ง ใหเ้ ข้าใจควบคู่กบั การชม
การแสดงดว้ ย จงึ จะเขา้ ใจถึงเร่อื งราวนาฏศิลป์ทีแ่ สดงอยู่
๓. มีความเขา้ ใจเกีย่ วกับดนตรีและเพลงตา่ งๆ นาฏศลิ ป์จำเปน็ ตอ้ งมีดนตรบี รรเลงประกอบขณะแสดง ซึง่
อาจจะเป็นแบบพนื้ เมอื งหรอื แบบสมยั นยิ ม ผู้ชมจะต้องฟังเพลงใหเ้ ข้าใจทง้ั ลีลา ทำนอง สำเนยี งของเพลง ตลอดจน
จงั หวะอารมณ์ด้วย จงึ จะชมนาฏศิลป์ไดเ้ ข้าใจและได้รสของการแสดงอยา่ งสมบูรณ์ เชน่ เข้าใจว่าเพลงสำเนยี งมอญ
พมา่ ลาว ฯลฯ สามารถเข้าใจถงึ ประเพทของเพลงและอารมณข์ องเพลงแตล่ ะเพลง นอกจากนี้ จะต้องรจู้ ักถึงช่ือของ
เครื่อง ดนตรีและวงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงทุกชนิดดว้ ย
๔. เขา้ ใจเกย่ี วกับการแต่งกายและแตง่ หน้าของผูแ้ สดง การแสดงนั้นแบ่งออกหลายแบบ หลายประเภท ผชู้ ม
ควรดใู ห้เข้าใจวา่ การแตง่ กายเหมาะสมกบั บรรยากาศและประเภทของการแสดงหรอื ไม่ เสอื้ ผ้า เคร่ืองประดับ และ
อุปกรณ์ตา่ งๆ ที่ใช้ในการแสดง ตลอดท้งั การแตง่ หน้าด้วยวา่ เหมาะสมกลมกลืนกันเพยี งใด เชน่ เหมาะสมกับฐานะ
หรือบทของผูแ้ สดงหรือไม่
๕. เข้าใจถึงการออกแบบฉากและการใช้แสงและเสียง ผู้ชมท่ดี ีตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจเรอื่ งฉาก สถานที่ และ
สถานการณต์ ่างๆ ของการแสดง คอื ต้องดใู ห้เขา้ ใจว่าเหมาะสมกบั การแสดงหรือไม่ บรรยากาศ แสง หรือเสียงท่ีใช้นน้ั
เหมาะสมกับลักษณะของการแสดงเพียงใด
๖. เข้าใจเก่ยี วกบั บทบาทและฐานะของตัวแสดง คอื การแสดงทีเ่ ป็นเรอื่ งราว มตี ัวแสดงหลายบท ซ่ึงจะต้องแบ่ง
ออกตามฐานะในเร่ืองนน้ั ๆ เช่น พระเอก นางเอก ตัวเอก ตัวนายโรง พระรอง นางรอง ตัวตลก ฯลฯ
๗. เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของการแสดง ในกรณีทเ่ี ล่นเป็นเรอ่ื งราว เช่น โขน ละคร ผู้ชมต้องติดตามการแสดงให้
ตอ่ เนือ่ งกัน งึ จะเข้าใจถึงเร่ืองราวต่างๆ ว่าใคร ทำอะไร ทีไ่ หน อย่างไร
๘. ควรมอี ารมณร์ ่วมกับการแสดง การแสดงนาฏศลิ ป์ได้บรรจุเอาลีลาท่าทาง หรอื อารมณต์ า่ งๆ ของผู้แสดงไว้
มากมาย ผู้ชมท่ดี ีควรมีสว่ นร่วมกับผูแ้ สดงดว้ ย เชน่ สนุกสนาน เฮฮาไปดว้ ย จะทำให้ได้รสของการแสดงอย่างเต็มท่ี
และผ้แู สดงจะสนุกสนาน มอี ารมณ์และกำลงั ใจในการแสดงด้วย
๙. ควรมมี ารยาทในการชมการแสดง คือ ปรบมือให้เกียรติก่อนแสดงและหลังจาจบการแสดงแตล่ ะชุด ไม่ควร
สง่ เสยี งโหร่ ้องเป็นการลอ้ เลียน หรอื เยาะเย้ย ในขณะทกี่ ารแสดงนั้นไม่ถกู ใจหรืออาจจะผิดพลาด ตลก ขบขัน ซึง่ จะทำ
ให้ผแู้ สดงเสียกำลงั ใจ และถือวา่ ไม่มีมารยาทในการชมการแสดงอยา่ งมาก อกี ทงั้ เป็นการรบกวนสมาธแิ ละอารมณ์ของ
ผู้ชมคนอื่นๆ ดว้ ย
๑๐. ควรแตง่ กายสภุ าพเรียบรอ้ ย คือ ต้องให้เหมาะสมกบั สถานทีท่ ใ่ี ช้แสดง เช่นโรงละครแห่งชาติ หอประชุม
ขนาดใหญ่ ควรแต่งกายสภุ าพแบบสากลนยิ ม แต่ในกรณสี ถานทส่ี าธารณะหรืองานแบบสวนสนุก กอ็ นุโลมแตง่ กาย
ตามสบายได้

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

๑๑. ควรศกึ ษาเกีย่ วกับสจู บิ ัตร ใหเ้ ขา้ ใจก่อนเร่มิ ชมการแสดง เพื่อจะไดช้ มการแสดงได้เขา้ ใจตัง้ แตต่ น้ จนจบ
แตถ่ า้ ไมม่ ีสูจบิ ัตร ก็ควรจะต้ังใจฟงั พิธีการบรรยายถึงเรอ่ื งราวต่างๆ ทเี่ กีย่ วกบั การแสดงให้เข้าใจดว้ ย

๑๒. ควรไปถงึ สถานท่แี สดงก่อนเวลา เพ่อื จะได้เตรียมตัวใหพ้ รอ้ ม และได้ชมการแสดงต้ังแต่เร่มิ ต้น อีกทง้ั จะได้
ไม่เดินผา่ นผู้อ่ืนซ่งึ ชมการแสดงอยู่ก่อนแลว้ จะทำใหเ้ กดิ ความวุน่ วายเป็นการทำลายสมาธดิ ว้ ย

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

ใบความรู้ที่ ๑๒ รำวงมาตรฐาน
"รำวงมาตรฐาน" เป็นการแสดงท่มี ีววิ ัฒนาการมาจาก "รำโทน" (กรมศลิ ปากร, ๒๕๕๐ : ๑๓๖-๑๔๓) เป็นการรำ
และการร้องของชาวบ้านซึง่ มีผู้รำทงั้ ชายและหญงิ รำกันเป็นคู่ ๆ รอบ ๆ ครกตำขา้ วท่ีวางคว่ำไว้ หรอื ไม่ก็รำกนั เป็น
วงกลม โดยมโี ทนเป็นเครอ่ื งดนตรีประกอบจังหวะ ลกั ษณะการรำและร้องเป็นไปตามความถนดั ไมม่ ีแบบแผนกำหนด
ไว้ คงเป็นการรำและร้องง่าย ๆ ม่งุ เน้นที่ความสนุกสนานร่ืนเริงเป็นสำคัญ เชน่ เพลงชอ่ มาลี เพลงยวนยาเหล เพลง
หลอ่ จริงนะดารา เพลงตามองตา เพลงใกลเ้ ข้าไปอีกนดิ เป็นต้น ด้วยเหตทุ ี่การรำชนดิ น้ีมีโทนเปน็ เครอื่ งดนตรี
ประกอบจังหวะ จึงเรยี กการแสดงชดุ นว้ี ่า รำโทน ตอ่ มา เม่ือปี พ.ศ.๒๔๘๗ ในสมัยจอมพล ป.พบิ ูลสงครามเป็น
นายกรฐั มนตรี รฐั บาลตระหนักถงึ ความสำคัญของการละเล่นร่ืนเริงประจำชาตแิ ละเหน็ วา่ คนไทยนิยมเล่นรำโทนกนั
อยา่ งแพรห่ ลาย ถา้ ปรบั ปรุงการเล่นรำโทนให้เป็นระเบียบท้ังเพลงรอ้ ง ลีลาทา่ รำ และการแต่งกายจะทำให้การเล่นรำ
โทนเป็นท่นี ่านิยมมากยง่ิ ขึ้น จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรปรับปรงุ รำโทนเสยี ใหมใ่ ห้เป็นมาตรฐาน มกี ารแตง่ เนอ้ื
ร้องทำนองเพลง และนำทา่ รำจากเพลงแมบ่ ทมากำหนดเป็นทา่ รำเฉพาะ แต่ละเพลงอย่างเป็นแบบแผน

เพลงงามแสงเดอื น
คำร้อง : จม่ืนมานติ ยน์ เรศ (นายเฉลมิ เศวตนนั ท์) หัวหนา้ กองการสงั คีต กรมศิลปากร (ประพันธใ์ นนามกรม
ศิลปากร)
ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท
ท่ารำ : สอดสร้อยมาลา
ความหมายเพลง : ยามท่แี สงจันทร์สอ่ งมายงั โลกทำใหโ้ ลกนี้ ดสู วยงาม ผคู้ นทีม่ าเล่นรำวงยามทแี่ สงจันทร์สอ่ งก็มี
ความงดงามดว้ ย การรำวงนีเ้ พื่อให้มีความสนุกสนาน มคี วามสามคั คกี นั และละทิ้งความทกุ ขใ์ หห้ มดสน้ิ ไป

เนือ้ เพลง

งามแสงเดือนมาเยอื นส่องหลา้ งามใบหนา้ เมอ่ื อยู่วงรำ (ซ้ำ)

เราเล่นกันเพ่ือสนุก เปล้ืองทุกข์วายระกำ

ขอใหเ้ ล่นฟ้อนรำ เพื่อสามคั คเี อย

เพลงชาวไทย

คำรอ้ ง : จมน่ื มานติ ย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนนั ท์) หวั หน้ากองการสงั คีต กรมศิลปากร (ประพนั ธ์ในนามกรม

ศิลปากร)

ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท

ท่ารำ : ชักแปง้ ผัดหนา้

ความหมายเพลง : หน้าท่ที ี่ชาวไทยพึงมตี ่อประเทศชาตินน้ั เปน็ ส่งิ ทที่ ุกคนควรกระทำ อย่าได้ละเลยไปเสยี ในการ

ท่เี ราได้มาเล่นรำวงกันอยา่ งสนุกสนาน ปราศจากทุกขโ์ ศกทงั้ ปวงนกี้ ็เพราะวา่ ประเทศไทยเรามีเอกราช ประชาชนมี

เสรใี นการคดิ จะทำส่งิ ใด ๆ ดังนั้นเราจึงควรช่วยกันเชดิ ชูชาติไทยใหเ้ จรญิ รงุ่ เรืองต่อไป เพ่ือความสขุ ยงิ่ ๆ ขน้ึ ของไทย

เราตลอดไป

เนือ้ เพลง

ชาวไทยเจ้าเอ๋ย ขออย่าละเลยในการทำหน้าท่ี

การทีเ่ ราได้เล่นสนุก เปลอื้ งทกุ ข์สบายอยา่ งน้ี

เพราะชาตเิ ราไดเ้ สรี มเี อกราชสมบูรณ์

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

เราจงึ ควรชว่ ยชชู าติ ให้เกง่ กาจเจดิ จำรูญ
เพ่อื ความสุขเพ่มิ พูน ของชาวไทยเราเอย

ใบความร้ทู ่ี ๑๓ เร่ืองการพิจารณาคณุ ภาพการแสดง
๑. ต้องมีความรอบรู้ กล่าวคือ ตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจในเรอื่ งทีจ่ ะวจิ ารณ์เปน็ อยา่ งดี เชน่ จะวจิ ารณด์ นตรกี ็
ควรมีพ้ืนฐานความร้ดู นตรี จะวจิ ารณ์ละครเวทีก็ตอ้ งเข้าใจลักษณะของละครเวที มิใช่เอาละครโทรทศั น์ไปเปรยี บกบั
ละครเวทแี ลว้ วจิ ารณว์ า่ ผู้แสดงละครเวทีแสดงเกินจริง เป็นตน้ ดงั น้ันผวู้ จิ ารณ์ควรศกึ ษาเพือ่ ให้เกดความรู้ ความเข้าใจ
อย่างถ่องแทเ้ สยี ก่อนรวมท้งั ศึกษาถึงหลักการวจิ ารณ์งานประเภทตา่ ง ๆ ด้วยจึงจะทำให้บทวจิ ารณน์ ่าเช่ือถือ
๒. ตอ้ งตดิ ตามความเคลอ่ื นไหวของวงการที่จะวจิ ารณ์ การอา่ น การฟัง การดู การชม อย่างสมำ่ เสมอ ทำให้
เปน็ ผู้มีความรรู้ อบ ทำให้มีมุมมองกวา้ งขวางขึ้น เกิดความเขา้ ใจ เหน็ ใจ หาเหตุผลมาแสดงทัศนะไมค่ ่อนข้างต่าง
ประเดน็ เช่น การวจิ ารณ์ภาพยนตร์ไทยเปรยี บเทียบกับ ภาพยนตรต์ า่ งประเทศถ้าผ้วู ิจารยเ์ ขา้ ใจกระบวนการสร้าง
และปจั จัยที่เปน็ ปญั หาในการสร้าง ภาพยนตรไ์ ทย กจ็ ะไมโ่ จมตหี รอื ติเตยี นแต่ด้านเดยี ว ความเป็นธรรมจึงเกดิ ข้นึ
ผอู้ า่ นกจ็ ะเข้าใจ เหน็ ใจวงการภาพยนตร์ไทย เป็นต้น

๓. ตอ้ งมีญาณทศั น์ คือ ความคิดเฉยี บแหลม หยง่ั รู้ถงึ แกน่ เรอ่ื งไม่พจิ ารณาแต่เพยี ง ผวิ เผิน และด่วนสรุปเอา
งา่ ย ๆ การจะฝึกฝนตนเองให้เปน็ ผู้มีญาณทัศน์ทำได้โดยการสังเกต การลองต้ังคำถาม ตัง้ สมมติฐาน และตดิ ตามหา
คำตอบดว้ ยความตัง้ ใจ

๔. มคี วามเที่ยงธรรม การเป็นผู้วิจารณ์ทดี่ ตี ้องตั้งตัวเป็นกลางไม่ชมเพราะเป็นเพอ่ื นหรอื เพราะมีแนวคดิ
เหมือนกนั หรือเป็นพวกเดยี วกัน ไมต่ เิ พราะไม่ชอบ ไมถ่ กู รสนิยมผ้เู ขยี น ต้องตัดอคตอิ อกไปเอาเหตผุ ลและหลักการ
มาเป็นทีต่ งั้

ความเปน็ กลางและจริยธรรมของผ้วู ิจารณ์ เป็นหัวใจสำคัญของงานวจิ ารณ์ ในปจั จบุ นั วงการหนังสอื ดนตรี
ละครหรอื ส่ือบันเทงิ ต่าง ๆ มีคณุ คา่ ทัง้ ทางดา้ นศลิ ปะและเพอ่ื การค้า บทวจิ ารณ์จงึ เป็นช่องทาง (Channel) หน่งึ ทจี่ ะ
ชว่ ยช้ีแนะใหผ้ ูอ้ ่านเลอื กสรรของดมี ีคุณค่าประดับสติปัญญา หากผวู้ จิ ารณข์ าดความรับผิดชอบขาดคุณธรรมข้อนี้
วงการวิเคราะห์คงไมไ่ ด้รับความเช่ือถือ ผู้เขียนบทวิจารณจ์ ึงควรตระหนกั ในเร่ืองจรยิ ธรรม ซงึ่ เกย่ี วเนอื่ งกบั คุณธรรม
และมโนธรรม ซงึ่ อริสโตเตลิ (Aristotle) ไดก้ ล่าวถึงคณุ ธรรม ๔ ประการ ท่ีมนุษยพ์ ึงปฏิบัตติ อ่ มนุษย์ดว้ ยกนั ดงั น้ี

ความรอบคอบ (Prudence)
ความรจู้ ักประมาณ (Temperance)
ความกล้าหาญ (Courage)
ความยตุ ธิ รรม (Justice)

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรียนท่ี 2)

เกณฑ์การประเมินการ การรำวงมาตรฐาน

ประเดน็ การ ๕ ๔ ระดับคุณภาพ ๒ ๑
ประเมิน ทา่ รำสวยงาม รำผิด ๒ ครัง้ ๓ รำผดิ ๔ ครงั้ รำผิด ๕ ครัง้
ท่ารำ ไมผ่ ิดเพีย้ น ถกู บา้ งผิดบ้าง ผิดมากกวา่ ถูก
ถกู ต้อง ถกู ต้องแต่ รำผิด ๓ คร้ัง
จังหวะ ม่นั คง ผดิ พลาด ไมค่ ่อยแมน่ ยำ ไมแ่ ม่นยำ
เล็กน้อย ถูกต้องแต่ไม่
ความแมน่ ยำ มั่นใจ ถกู ต้องแม่นยำ คอ่ ย
ถกู ต้องแมน่ ยำ แตผ่ ดิ พลาด มน่ั คง
สมำ่ เสมอ เลก็ น้อย ถูกต้องแมน่ ยำ
พอประมาณ

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

ตาราง และเกณฑ์การประเมิน

๕ ดีมาก ๔ ดี ๓ ปานกลาง ๒ พอใช้ ๑ ปรับปรงุ

เลขที่ เพลงงามแสดงเดือน รวม เพลงชาวไทย รวม
๔๓๒ ๑
๕๔๓๒๑ ๕

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

เอกสารประกอบการเรยี น (ใบงานและกิจกรรม)
วชิ าศลิ ปะ (ดนตรี-นาฏศลิ ป์) รหัสวิชา ศ ๒๒๑๐๑

ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑ ภาคเรียนท่ี ๑

ช่ือ .................................................เลขท.ี่ ..................

วา่ ทร่ี อ้ ยตรที กั ษ์วงศ์ ขามพิทักษ์
ครผู สู้ อน

โรงเรยี นเทศบาลบา้ นหนองบวั
กองการศึกษา เทศบาลเมอื งประจวบครี ีขนั ธ์
กรมส่งเสรมิ การปกครองท้องถ่นิ กระทรวงมหาดไทย

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

ข้อปฏบิ ตั ิตนในการเรียนวชิ าศลิ ปะ(ดนตรไี ทย)

……………………………………………………………………………………

๑. วางรองเท้าใหเ้ ปน็ ระเบยี บ
๒. ไม่ส่งเสียงดงั ขณะเดนิ เข้าห้อง
๓. น่งั พับเพยี บแถวตอน เรยี งตามเลขที่เร่ิมต้นจากขวา ไปซา้ ย ตามลำดับดังนี้

แถวที๑่ เลขท่ี ๑ – เลขท่ี ๗
แถวท่๒ี เลขที่ ๘ – เลขท่ี ๑๔
แถวที่๓ เลขที่ ๑๕ – เลขที่ ๒๑
แถวที๔่ เลขที่ ๒๒ – เลขท่ี ๒๘
แถวท่๕ี เลขท่ี ๒๙ – เลขท่ี ๓๕
๔. แสดงความเคารพกอ่ นเร่มิ เรียนด้วยประโยคทว่ี ่า “เยาวชนไทย รักษาวัฒนธรรมไทย พรอ้ มใจกราบ”
กราบลงท่ีพ้ืนโดยไม่แบมือ เพื่อแสดงความเคารพต่อครผู สู้ อน
๕. ไมส่ ่งเสยี งดงั ในขณะทคี่ รสู อน อนญุ าตให้นง่ั ขดั สมาธิ หรือเปลยี่ นอริยบทไดต้ ามสมควร
๖. แสดงความเคารพหลังเลิกเรยี นด้วยประโยคที่ว่า “เยาวชนไทย รกั ษาวัฒนธรรมไทย พรอ้ มใจกราบ”
กราบลงท่ีพ้ืนโดยไมแ่ บมือ เพ่ือแสดงความเคารพตอ่ ครผู ู้สอน
๗. ออกจากห้องเรียนทลี ะแถวตามลำดับเลขทีด่ ว้ ยความเป็นระเบียบเรียบรอ้ ย

บันทกึ คะแนนพเิ ศษ
(นักเรยี นที่ทำงานเรยี บร้อย ส่งงานตรงเวลา มคี วามรบั ผิดชอบ ตามคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 8 ประการ)

……………../……………../…………….. ……………../……………../…………… ……………../……………../……………

รวม

……………../……………../…………… ……………./……………../……………

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

ข้อมูลนกั เรยี น

ชื่อ-สกลุ ………………………………………….…………………......ชื่อเลน่ ………………. ชนั้ …………เลขท่ี…………...

คตปิ ระจำใจ…………………………………………………………………………….………………………………………………

ประวตั สิ ่วนตัว

- เกดิ วัน…………………….…วันที่…………เดอื น………………………...............พ.ศ. ………………..…..
ศาสนา……………..……….

- อยูบ่ า้ นเลขท่ี…………หมทู่ …่ี ……….ตำบล…………………………………อำเภอ…………………………...
จังหวัด……………………………….…………..….รหสั ไปรษณีย…์ ……………… โทรศพั ท…์ ………….……………......

- อปุ นิสัย……………………………………………………......................................................................
- กจิ กรรมยามว่าง…………………………………………………………………..………………………………….
- มีความสขุ เม่ือ………………………………………………………………………………………………………….
- เบือ่ หน่ายเม่ือ………………………………………………………………………………………………………….
- ความทกุ ขท์ ่ีอยากบอก……………………………………………………………………………………………..
- วชิ าท่ชี อบเรยี นมากทีส่ ุด คือ ………………………………......................................................

เพราะ……..………………...….………………………………………………………....................................
- วชิ าทไ่ี ม่ชอบเรยี น คอื ………………………………..................................................................

เพราะ……..………………...….………………………………………………………....................................
- ความสามารถพเิ ศษคือ…………………………………………………………………...............................
- อาชีพทตี่ ้องการ ๑. …………………. ๒. ……………….… ๓. ……………….…
- เพ่ือนท่รี กั และสนิทท่สี ุด คือ…………………………………………………………..………………………….
- สว่ นสงู ..................เซนติเมตร นำ้ หนกั ....................กิโลกรัม
- สายตา(กา/) ............ปรกติ ..............สน้ั ..............ยาว
- โรคประจำตวั (กา/) …….ไมม่ ี …….มี คือ…………………………………

ขอ้ มลู เกี่ยวกับครอบครวั
- บิดาช่ือ…………………………………..………อาชีพ…………………รายได…้ ……………..บาท/เดือน
- มารดาชือ่ ………………………………………..…อาชีพ……………….รายได…้ ……………บาท/เดอื น
- บดิ า มารดา อยู่ด้วยกนั แยกกันอยู่ บิดาเสยี ชีวติ มารดาเสียชวี ิต
- นักเรยี นเปน็ บตุ รคนที่……………………..มพี ่ี………………คน มีน้อง……………คน
- ปัจจบุ ันนกั เรียนอาศัยอยู่กับ…………………..ชือ่ ………………………………………………………………
- ทอ่ี ยู่ บ้านตนเอง บา้ นญาติ หอพกั /บ้านเช่า
- ปัญหาที่ตอ้ งการให้ชว่ ยเหลอื ……………………………………………….…………………………………….

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

ข้อมูลการเรยี นดนตรี

ไม่เคยเรียนมาก่อน เคยเรียนมาก่อน เครือ่ งมือท่ีเรียน……………….……………

- นักเรียนตอ้ งการให้ครดู นตรไี ทยมีลกั ษณะอย่างไร

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………

- ข้าพเจา้ สัญญาว่าขา้ พเจ้าจะต้ังใจเรียน ฝึกหัดอยา่ งจริงจังด้วยความพยายาม ขยัน

อดทน เพ่ือความสุข เพื่อการสร้างนิสัยที่ดีให้ติดตวั ไปเบื้องหนา้ และเพื่อใหส้ ามารถฝึกหัดขลยุ่ เพยี งออให้

ไดจ้ ะไดเ้ ปน็ ประสบการณ์แหง่ ความสำเร็จทีจ่ ะกอ่ เกดิ เป็นพลงั จติ ใตส้ ำนกึ ทเี่ ขม้ แข็ง

ลงช่อื ………………………………………………..…ผู้บนั ทึกขอ้ มูล

บนั ทึกของครู

ขอ้ สังเกต
- การแต่งกาย ……………………………………………………………………………………………………………….
- บุคลิกภาพ …………………………………………………………………..……………………………………………
- สขุ ภาพ/อนามัย …………………………………………………………………..…………………………..………
- อารมณ/์ สุขภาพจิต…………………………………………………………………………………………..…………

การให้ความช่วยเหลือ
- …………………………………………………………………………………..……………………

พฒั นาการของนกั เรียน

- ด้านการเรยี น…………………………………………………………………..……………………
- บคุ ลิกภาพ …………………………………………………………………..………………….…
- สุขภาพ/อนามยั …………………………………………………………………..…………………
- อารมณ์/สุขภาพจติ …………………………………………………………………………………

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)

แบบทดสอบความรูพ้ ืน้ ฐานด้านดนตรีไทยก่อนเรียน

วชิ า ศ ๒๑๑๐๑ ศิลปะ (ดนตรี-นาฏศิลป์) ภาคเรยี นท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๑

……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

ชอ่ื -สกุล……………………………………………..……….………….ชน้ั ……………….………..เลขท…่ี ……..…………….

คำส่งั : จงเลือกกากบาท (๐) ข้อท่ีถูกทีส่ ดุ เพียงข้อเดียว

บทบาทและอทิ ธิพลของดนตรีที่มีตอ่ บุคคลและ ๔. ขอ้ ใดกลา่ วเกยี่ วกับอิทธิพลของดนตรีไทยท่ีมตี ่อ

สงั คม ๖ ข้อ บคุ คลและสงั คมไทยได้ถูกตอ้ งทีส่ ดุ

๑. สาเหตใุ ดทท่ี ำให้ดนตรมี ีความสำคญั ต่อชวี ิตมนุษย์ ก. ดนตรีไทยใชใ้ นละครเพ่ือช่วยสร้างอารมณ์

วเิ คราะห์ ความรูส้ กึ ในละครใหช้ ดั เจนยิ่งข้ึน

ก.ดนตรีมบี ทบาทและมีอิทธพิ ลตอ่ จิตใจของมนุษย์ ข. ดนตรีไทยใชบ้ รรเลงในงานต่าง ๆ เพ่ือสรา้ ง

ต้งั แต่เกิด จนตาย บรรยากาศทเ่ี หมาะสมกับงานนัน้ ๆ

ข. ดนตรสี รา้ งความสนกุ สนาน ค. ดนตรีไทยเป็นเคร่ืองแสดงถงึ ความเจรญิ ทาง

ค. ดนตรแี สดงใหเ้ ห็นถึงความรงุ่ เรอื ง สตปิ ญั ญา

ง. ดนตรสี ร้างความเปน็ เอกลักษณ์ของกลุม่ ชาติพันธุ์ ง. ดนตรีไทยก่อใหเ้ กิดความรักและความผกู พันในหมู่

คณะ บรรเทาความทุกข์ ความเครียด

๒. ข้อใดกล่าวเก่ียวกับบทบาทของดนตรไี ทยทมี่ ีต่อ ๕. เพลง “นิยามคำวา่ พอ” จัดเปน็ อิทธพิ ลทางดนตรี
สังคมและวัฒนธรรมไทยได้ถูกตอ้ งทีส่ ดุ ทถ่ี ่ายทอดเร่ืองราวตา่ งๆ ผา่ นบทเพลง ให้ข้อคิด
ก. ดนตรไี ทยทำใหเ้ กดิ ความรู้สึกง่วง สำคัญในเรื่องใด
ข. ดนตรที ำใหร้ ะลึกถึงสถานทีท่ ีเ่ คยอยู่เคยผูกพนั ก. ใหห้ ยดุ ฝนั เพราะจะทำให้ผิดหวงั
ค. ดนตรีไทยใชบ้ รรเลงในพธิ ีกรรมเพราะคนไทยเชื่อ ข. ความสขุ ที่แท้จริงเกดิ จากการพอใจในส่ิงทตี่ นมอี ยู่
วา่ ดนตรีสามารถส่อื กับสงิ่ ศักดส์ิ ิทธ์ไิ ด้ ค. อยา่ เอาตัวเราไปเปรยี บเทียบกบั คนอน่ื
ง. ดนตรชี ่วยใหเ้ กดิ สมาธิ ง. การด้นิ รนทำให้ไม่รูจ้ ักพอ

๓. ข้อใดเปน็ ความหมายของคำวา่ “Music ๖. ขอ้ ใดคือการนำความรทู้ างดนตรีไปใชใ้ น
Therapy” ชีวติ ประจำวนั ไดอ้ ย่างเหมาะสมทส่ี ดุ
ก. ดนตรีเพอื่ การสะกดจิต ก. ปลาเลน่ ดนตรีเพราะได้อวดความสามารถต่อผู้อื่น
ข. ดนตรีบำบดั โรค ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ ข. หมเู ล่นดนตรีเพราะต้องการแข่งขันกบั เพ่ือน
ค. ดนตรเี พื่อการสอนภาษา ค. หมึกเลน่ ดนตรแี ละนำรายได้มาเรยี นหนงั สอื จนจบ
ง. ดนตรีสำหรบั กายบริหาร ง. กงุ้ เลน่ ดนตรีเพราะขี้เกียจชว่ ยแม่ทำงานบา้ น

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรยี นที่ 2)

การจดั ประเภทของวงดนตรีไทย ๔ ข้อ การฝกึ อ่าน เขียน และร้องโน้ตไทย เพอื่ ใชใ้ นการ

๗. เครอื่ งดนตรีในข้อใดท่ีไม่อยู่ ในวงปพี่ าทยเ์ ครื่องห้า ฝกึ บรรเลงดนตรีไทย ๓ ข้อ

ก.ระนาดทุ้ม ๑๒. ข้อใดเป็นทกั ษะพ้นื ฐานท่สี ำคญั ทีส่ ดุ ต่อการ

ข. ระนาดเอก ฝึกหดั ดนตรเี บ้ืองตน้

ค. ปี่ใน ก.ทกั ษะการน่ัง การจบั การวางท่าทาง

ง. ฆอ้ งวงใหญ่ ข.ทกั ษะการปรบั เทียบเสยี งเครือ่ งดนตรี

ค.ทักษะการประดิษฐเ์ สยี งสงู ตำ่

ง.ทักษะการอ่านโนต้

๘. เครอ่ื งดนตรีข้อใดไม่อยู่ในวงเครือ่ งสายผสม ๑๓. การบันทกึ โน้ตไทย ๑ บรรทัด มีกห่ี ้อง
ก. ขมิ ก. ๔ หอ้ ง ข. ๖ ห้อง
ข. ปี่ชวา ค. ๘ หอ้ ง ง. ๑๐ ห้อง
ค. ซอสามสาย
ง. ระนาด

๙.วงป่พี าทย์ชนิดใดที่มีซออบู้ รรเลงประสมวง ๑๔. ตำแหนง่ บันทกึ โนต้ โดยปรกติใน ๑ ห้อง มีกี่
ก. วงป่พี าทย์ดึกดำบรรพ์ ตำแหน่ง
ข. วงปี่พาทยเ์ สภา ก. ๔ ตำแหนง่ ข. ๖ ตำแหน่ง
ค. วงปพ่ี าทย์นางหงส์ ค. ๘ ตำแหนง่ ง. ๑๐ ตำแหน่ง
ง. วงปี่พาทย์เครื่องหา้

๑๐.วงป่พี าทยช์ นิดใดทใี่ ชบ้ รรเลงในงานศพเท่านัน้ การใช้แบบประเมนิ การบรรเลงและการขับร้องเพ่ือ

ก. วงป่ีพาทยด์ กึ ดำบรรพ์ ประเมนิ และแสดงความคดิ เหน็ ๒ขอ้

ข. วงปี่พาทยเ์ สภา ๑๕. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้องท่สี ุดเกย่ี วกับประเมนิ การ

ค. วงป่ีพาทย์นางหงส์ บรรเลงและการขับร้อง

ง. วงปพ่ี าทย์เครื่องห้า ก. เพราะเป็นส่วนหนึง่ ของการเรยี นการสอน

ข. เพอ่ื นำข้อบกพร่องท่ีไดร้ บั จากการประเมนิ ไป

การใช้และการบำรงุ รกั ษาเครอ่ื งดนตรไี ทย ๑ ข้อ ปรบั ปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์

๑๑. ข้อใด ไมใ่ ช่ ประโยชน์ทเี่ กดิ จากการดแู ลรักษา ค. เพราะการประเมินเหมือนการทดสอบ

เคร่อื งดนตรี ง. เพราะการประเมนิ ทำใหเ้ ราไดจ้ บั ผิดผูอ้ ืน่

ก. ทำใหเ้ คร่ืองดนตรมี ีอายใุ ช้งานนานข้ึน

ข. ทำให้เครอ่ื งดนตรีอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอย่เู สมอ

ค. เปน็ เครอื่ งบง่ ช้ีถึงความเป็นระเบียบเรยี บร้อยของผู้

บรรเลง

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนท่ี 2)

ง. ทำให้คูณภาพเสยี งเคร่ืองดนตรดี ีขึน้

๑๖. ข้อใดคือหลักและวิธกี ารสรา้ งเกณฑ์การประเมิน ๒๐. ขอ้ ใดคือความหมายของละครใน

การบรรเลงและการขบั ร้อง ก. ใช้ผชู้ ายแสดง แสดงได้เฉพาะในวังหลวงเทา่ นั้น

ก. คิดเอาเองตามหลกั ความน่าจะเป็น ข. ใชผ้ ชู้ ายแสดง มีการดำเนนิ เรือ่ งที่กระชับสนกุ

ข. สรา้ งแบบประเมินตามคนท่ีบรรเลงและขับร้องไดด้ ี ค. ใช้ผู้หญงิ แสดง แสดงได้เฉพาะในวังหลวงเทา่ นน้ั

เป็นหลัก ง. ใชผ้ ู้หญิงแสดง มีการดำเนินเรอ่ื งที่กระชบั สนกุ

ค. สร้างแบบประเมินโดยใชเ้ ครือ่ งดนตรเี ปน็ หลัก

ง. ศึกษาหวั ข้อทใี่ ช้ในการประเมินและนำมากำหนด

เกณฑ์เพ่ือสร้างแบบประเมิน

ประเภทการละครไทยในแตล่ ะยุคสมัย ๔ ข้อ นาฏยศพั ทเ์ บ้ืองต้น ๖ ข้อ
๑๗. ละครไทยแบง่ ออกเปน็ ก่ีประเภท จงบอกชื่อของท่านาฏยศัพท์ต่อไปนี้(ข้อ๒๑-๒๖)
ก. ๒ ประเภท ๒๑.
ข. ๓ ประเภท
ค. ๔ ประเภท
ง. ๕ ประเภท

๑๘. ข้อใดเปน็ ละครรำแบบมาตรฐานด่งั เดมิ ก. จบี ข. จีบควำ่ คู่
ก. ละครพันทาง ค. จีบคู่ ง. จีบคว่ำ
ข. ละครชาตรี
ค. ละครเสภา ๒๒.
ง. ละครดึกดำบรรพ์

๑๙. ขอ้ ใดคือความหมายของละครนอก ก. จีบข้างหลงั ข. จีบสง่ หลัง
ก. ใชผ้ ชู้ ายแสดง มกี ารดำเนินเร่อื งที่กระชบั สนกุ ค. จีบขา้ งหลงั คู่ ง. จบี สง่ หลังคู่
ข. ใช้ผชู้ ายแสดง แสดงไดเ้ ฉพาะในวงั หลวงเท่าน้นั
ค. ใช้ผู้หญิงแสดง มกี ารดำเนินเรือ่ งที่กระชับสนกุ
ง. ใช้ผ้หู ญิงแสดง แสดงได้เฉพาะในวงั หลวงเทา่ น้นั

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นท่ี 2)

๒๓. หลักในการชมการแสดง ๒ข้อ
๒๗. ข้อใดตอ่ ไปนก้ี ลา่ วถูกต้องเกยี่ วกบั หลักการชม
ก. ตัง้ วงบน ข. ตง้ั วงคู่ นาฏศลิ ป์
ค. ตงั้ วงกลาง ง. ตั้งวงหงาย ก. หมชู วนเพ่อื คุยและวจิ ารณ์การแสดง
ข. หมกึ คยุ โทรศัพท์และสรา้ งความรำคาญให้กับผู้อนื่
๒๔. ขณะชมการแสดง
ค. กงุ้ ศึกษาความหมายเกยี่ วกับภาษาทา่ ตลอดจน
ก. จบี ข. จบี คู่ เน้อื เรอ่ื งทีแ่ สดง
ค. จีบหงาย ง. จบี หงายคู่ ง. ไกล่ กุ ขน้ึ บ่อยๆขณะชมการแสดง
๒๕.
๒๘. ขอ้ ใดเปน็ มรรยาททด่ี ใี นการชมการแสดง
ก. จบี ทสี่ ะดอื ข. จีบชายพก ก. หมูตะโกนชอื่ เพ่ือนท่ีกำลังแสดงอยเู่ พอ่ื ใหก้ ำลงั ใจ
ค. จบี หงายวงลา่ ง ง. จีบตรงกลาง ข. หมึกส่งเสียงโหร่ อ้ งในลักษณะล้อเลียนผูแ้ สดง
๒๖. ค. ก้งุ นำอาหารทมี่ ีกล่ินแรงมารบั ประทานระหว่างชม
การแสดง
ก. ประเท้า ข. กระดกเท้า ง. ไกป่ รบมือให้เกียรติก่อนแสดงและจบการแสดงแต่
ค. ยกเท้า ง. กา้ วเท้า ละชุด

พจิ ารณาคณุ ภาพการแสดงท่ชี ม แลกเปลีย่ นแสดง
ความคดิ เห็น ๒ ข้อ
๒๙. ขอ้ ใดไม่ใชค่ ณุ สมบัติของผู้ที่วจิ ารณ์งานนาฏศลิ ป์
ก. แต่งกายดีสุภาพเรยี บรอ้ ย
ข. มีความรูท้ างนาฏศิลป์
ค. มคี วามยุติธรรม
ง. ชมการแสดงทางนาฏศิลป์อย่เู สมอ

๓๐. ข้อใดไมใ่ ช่คุณธรรม ๔ ประการ ในการเป็นผู้
วจิ ารย์งานนาฏศลิ ป์ ตามแนวคดิ ของ อริสโตเติล
(Aristotle)
ก. ความรอบคอบ
ข. ความเป็นกนั เอง
ค. ความกลา้ หาญ
ง. ความยตุ ธิ รรม

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศลิ ป์ ภาคเรยี นที่ 2)

ขอให้ทกุ คนโชคดีครับ

แบบสำรวจและประเมนิ ผลตนเอง

ช่อื -นามสกลุ .................................................................. เลขท่.ี .................... ชน้ั ...................................
วันที่ ....................... เดอื น ................................... พ.ศ. ..........................

…………………………………………………………………………………………………………………………………………

คำชีแ้ จง : แบบสำรวจตนเองฉบับน้ี ให้นกั เรียนใชส้ ำรวจตนเองเพอ่ื เป็นแนวทางในการปรับปรงุ พฤติกรรม
ความรูค้ วามสามารถในการเรียนและฝกึ ปฏิบัติดนตรีไทย

ใหน้ ักเรยี นกรอกขอ้ มูลแล้วประเมินตนเองตามความเป็นจรงิ

1.

๔ หมายถงึ ดีมาก ๓ หมายถึง ดี ๒ หมายถึง พอใช้ ๑ หมายถึง ปรับปรุง

ท่ี ว/ด/ป รายการฝึกปฏิบัติ จำนวนเท่ียวที่ฝกึ ผลการฝกึ หมาย
๔ ๓ ๒ ๑ เหตุ
๑ ในเวลา นอกเวลา








๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนท่ี 2)

แบบบนั ทึกและประเมนิ ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรมตนเอง

ชอื่ -นามสกลุ .................................................................. เลขท่.ี .................... ชนั้ ...................................
วนั ที่ ....................... เดือน ................................... พ.ศ. ..........................

…………………………………………………………………………………………………………………………………………

คำชี้แจง : แบบบันทึกและประเมินผลการปฏิบัตฉิ บับนี้ ให้นักเรียนเปน็ ผบู้ นั ทึกและประเมินผลการปฏิบัติ
กจิ กรรมที่ไดร้ บั มอบหมายในแต่ละครง้ั และเพื่อให้ ผปู้ กครองและอาจารย์ผู้สอนรบั ทราบ ไดร้ ว่ มชืน่ ชมในกจิ กรรม
ของนักเรยี น

ให้นักเรียนกรอกขอ้ มูลแล้วประเมินตนเองตามความเปน็ จรงิ
๔ หมายถึง ดีมาก ๓ หมายถงึ ดี ๒ หมายถงึ พอใช้ ๑ หมายถึง ปรับปรุง

ท่ี ว/ด/ป กิจกรรมท่ีไดร้ ับมอบหมาย ผลการปฏบิ ตั ิ ผู้ ผูป้ กค อาจา
๔ ๓ ๒ ๑ประเมนิ รอง รย์

๒ ผสู้ อ

๔ น





๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)

แบบสำรวจความพงึ พอใจและความเชอื่ มน่ั ของนักเรยี น

ตอ่ กระบวนการจัดการเรียนการสอนในวชิ า ศ ๒๑๑๐๑ ศิลปะ (ดนตร-ี นาฏศลิ ป)์

…………………………………………………………………………………………………………………………………………

คำชี้แจง : ขอความรว่ มมอื นักเรียนให้ข้อมูลต่อไปนีต้ ามความจรงิ

หลงั จากผ่านกจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้วิชา ศ๐๒๑๐๑ ศลิ ปะพน้ื (ดนตรไี ทย) ท้ังการเรียนและการ
ปฏบิ ัตโิ ดยใช้ใบความรแู้ ละแบบฝกึ ดนตรีไทยแลว้ นักเรยี นมคี วามรู้ ทกั ษะ และความพงึ พอใจความเช่ือมน่ั ใน
กระบวนการจดั การเรยี นการสอนระดับใด

ประเดน็ ประเมิน ระดบั

๔๓๒๑
๑ เรียนแลว้ มีความรูพ้ ื้นฐานดนตรี-นาฏศลิ ป์ในระดับ
๒ เรยี นแล้วมคี วามรใู้ นหลกั การใชเ้ คร่ืองดนตรีไทยในระดบั
๓ เรยี นแล้วมีความร้ใู นวิธีฝึกบรรเลงดนตรไี ทยในระดับ
๔ เรยี นแลว้ มีทักษะในการอ่านโน้ตในระดบั
๕ เรียนแลว้ มีทักษะพ้นื ฐานการบรรเลงดนตรีไทยในระดบั
๖ เรยี นแล้วมคี วามรู้และทกั ษะพน้ื ฐานการขับร้องเพลงไทย
๗ เรยี นแลว้ ชนื่ ชมในภูมปิ ัญญาดนตรี-นาฏศลิ ป์ในระดบั
๘ นกั เรยี นเขา้ ใจปรัชญาความพอเพยี งในระดับ
๙ นกั เรียนพึงพอใจการจดั การเรียนการสอนในระดบั
๑๑ นกั เรียนพึงพอใจบทบาทหน้าท่แี ละวางตวั ของครูในระดบั

ความประทบั ใจหรือความในใจที่อยากบอก

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………

สรปุ ผล

ประเมนิ ระดบั ๓,๔ ตั้งแตร่ อ้ ยละ ๘๐ ขนึ้ ไป สรุปผลในระดบั ดมี าก

ประเมินระดบั ๓,๔ ต้งั แต่ร้อยละ ๗๐-๗๙ ข้ึนไป สรปุ ผลในระดับ ดี

ประเมนิ ระดบั ๓,๔ ต้งั แตร่ อ้ ยละ ๖๐ – ๖๙ สรปุ ผลในระดับ พอใช้

ระเมนิ ระดับ ๓,๔ ต่ำกวา่ รอ้ ยละ ๖๐ สรปุ ผลในระดบั ตอ้ งปรับปรุง

ศ 21102 (ดนตรี – นาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2)


Click to View FlipBook Version