The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kirati.kpb, 2021-05-20 09:35:12

ebook

ebook

“ไม่มีความเป็นธรรมในความโศกเศร้า”

บางทีคนเราอาจจะคิดว่า ความเป็นธรรมนั้นมีอยู่ทุกที่ แต่
ในความจรงิ แล้วแทบจะไม่มีความเป็นธรรมอะไรเกีย่ วกับความรู้สึก
ของคนเลย ในชีวิตของฉันเคยคิดว่าความรู้สึกทุกอย่างมันคง
ยุติธรรมแล้วหล่ะที่มันเกิดขึ้นแต่เหมือนกับว่า ยิ่งคิดไปคิดว่าชีวิต
ของฉันเองมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย และมันไม่เคยเป็นธรรมใน
ความรู้สึกของฉันเลยสักครั้ง ทุกคนต้องเคยเรียนรู้เกี่ยวกับความ
โศกเศร้าที่เกิดขึ้นทั้งนั้น โศกเศร้าในที่นี้ก็แยกออกมาได้หลายแบบ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก เรื่องเรียน เรื่องความผิดหวังในการ
คาดหวัง เปน็ ตน้ จงึ อยากจะมาเลา่ เร่ืองราวเกีย่ วกับตวั ของฉันเองที่
เคยเกิดขน้ึ ในแตล่ ะช่วงชีวิตของฉนั

พอลองมองยอ้ นกลบั ไปในชว่ งประถม ช่วงน้นั ดูเหมอื นว่า
จะเกดิ สิง่ ที่ดไู ม่ยุติธรรมในชวี ิตของฉันตั้งแต่น้นั เลย ในช่วงเวลานัน้ ก็
ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกแต่พอโตมาก็ตั้งคาถามกับตัวเองทาไม
จะต้องโดนอะไรแบบนั้นด้วยนะ เลยอยากจะลองเล่าให้ฟัง
ความรสู้ กึ บางอย่างท่ีพอจะจาได้ ยอ้ นกลับไปชว่ งประมาณ ป.5 ฉัน
ดูเหมือนเป็นคนเรียนเก่งเกือบจะที่สุดในห้องเลยทีเดียว นั่นแหละ
ปัญหาของฉัน จาได้ว่ามีการบ้านงานหนึ่งประมาณสิบข้อเป็นวิชา

คณิตศาสตร์ ความไมเ่ ท่าเทยี มเกิดขึ้นกับฉันเม่ืออาจารย์ประจาวิชา
คือ ผอ. ของโรงเรียนเล็ก ๆ ของฉันนี่เอง ฉันเกิดความผิดพลาดใน
การทาการบ้านเพียง หนึง่ ถึงสองข้อเท่านนั้ เอง ถ้าเทียบกับคนอ่ืนที่
ผิดไปมากกว่าฉนั ต้ังมากมาย แต่ฉันกลับโดนว่า ถ้าแค่นี้ยังทาผิดจะ
มีปัญญาไปสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ได้ยังไง เป็นเรื่องที่รู้สึกฝังใจมาก
กับคาพูดของคุณครูคนนี้ ยังมีอีกในช่วงของ ป.6 ช่วงเวลาที่ทุกคน
กาลังสมัครสอบเข้าในการเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา ฉันนั้นมี
จุดมุ่งหมายเดียวในโรงเรียนที่ฉันเลือกเท่านั้น ฉันมั่นใจว่าฉันทาได้
แน่นอน แต่ก็ไม่วายที่จะโดนดูถูกอีกตามเคย คุณครูคนเดิมน่ัน
แหละค่ะ ที่เป็นคนบั่นทอน คุณแม่ฉันไม่อนุญาตให้ลูกตัวเองไป
เหน่อื ยอกี แลว้ แม่ใหเ้ หตุผลวา่ งานของโรงเรียนลูกของฉันทาให้ทุก
อยา่ งไม่ว่าจะเป็นการแข่งกีฬาสีหรือไปแข่งวาดรปู นอกสถานที่นอก
โรงเรียนเข้าร่วมหมดแม่ฉันต้องการเซฟตัวของลูกเพื่อไม่ให้เหนื่อย
เกินไปมากนัก อีกทั้งยังมีการบังคับให้เรียนพิเศษแต่แม่ฉันก็ไม่
อนุญาตให้ตอบรับฉันจึงเป็นแกะดาในหมู่เพื่อนไปเลยทีเดียว ฉัน
ไมไ่ ดร้ สู้ ึกเศรา้ อะไรขนาดนั้นแตย่ ิ่งเขาคนนนั้ บนั่ ทอนฉันมากเท่าไหร่
ฉนั ก็รู้สึกไปอกี ว่าฉนั ตอ้ งทาให้ได้ มนั อาจจะดไู มย่ ุตธิ รรมกบั เพ่ือน ๆ
คนอื่น แต่นั่นมันก็ทาให้ฉันประสบความสาเร็จเพื่อลบคาสบ
ประมาทคาดูถูกต่าง ๆ เล่านั้นมาได้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการเรียน

หรอกนะคะ แต่ก็ยังมีเรื่องของความรักวัยเด็กที่เป็นป๊อปปี้เลิฟซะ
ด้วย มีคนมาจีบฉันช่วงป.6 ดูน่ารักหล่ะสิ ถ้ามองจากตอนนี้มันก็
น่ารักนะคะ แต่ในช่วงเวลานั้นมันไม่ได้น่ารักอย่างที่ใคร ๆ คิดเลย
ค่ะ เปน็ จดหมายรักเล็ก ๆ มาส่งท่โี รงเรยี นผา่ นเพอ่ื นของฉันทุกเช้า
หรือไม่ก็ตอนเย็น ความแตกเพราะคุณครูเห็นเท่านั้นแหละค่ะฉัน
โดนประจานหน้าเสาธง อับอายเลยทีเดียว มองยอ้ นไปมันก็ตลกแต่
ตอนนั้นตลกไม่ออกมีแต่ความเสียใจ ทาไมฉันถึงต้องโดนแบบนั้น
ด้วยทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดอะไรขนาดนั้นเลย มันไม่ยุติธรรมกับ
ฉนั เลยสักนิด !!!!

มาต่อกันค่ะกับช่วงมัธยมที่หฤโหด การเรียนนี่หนักพอตัว
เลย ฉันต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่า อย่างเรื่องแรกตอน
เขา้ ไปเลย สอบคณติ ศาสตรค์ รั้งแรกบอกเลยคะ่ มนี ้าตาตก จากคนท่ี
ไดท้ อ็ ปอนั ดับของห้องกลบั ต้องมาเป็นคนที่ได้ 2/15 คะแนน ร้องไห้
โทรฟ้องพ่อฟ้องแม่ ตลกตัวเองดีนะคะ ใช้วิธีการปรับตัวไปเรื่อย ๆ
จนชินหน่ะค่ะ ทาไมเราต้องเรียนหนักขนาดนั้น เรียนเสร็จต้องไป
เรียนพเิ ศษตอ่ เหมือนกับว่ามนั เป็นเรื่องปกติ ฉนั กเ็ ป็นแค่เด็กบา้ น ๆ
คนนึงทีเ่ ขา้ มาอยู่ในสังคมทีอ่ อกจะไฮโซเสียมากกวา่ อะไรที่คนอื่นมี
ฉันก็ไม่มี ได้แต่ยับยั้งชั่งใจตัวเองว่าคนอื่นมีเราไม่มีก็ได้ เอาแค่พอ
จาเป็นดีกว่า เรียนไปเรียนมากว่าจะผ่านช่วงม.ต้นมาได้ก็ลาบากใช่

ย่อย มาต่อกันที่ช่วงมัธยมปลายเลยค่ะ เริ่มแตกสาว มีแฟนบ้าง
ประปราย ยังไม่วายโดนบูลลี่อีกนะคะ เรื่องมันเกิดขึ้นจากที่ว่า
โดนบูลลี่เพราะ ฉันมีแฟน ใช่ค่ะอ่านไม่ผิดหรอกค่ะแค่มีแฟน
ถ่ายรูปคู่กบั แฟนลงเฟสบุ๊ค ในสมยั น้นั มันดูแปลกหรอคะ ฉันก็ว่าไม่
นะเหมือนจะเป็นเรื่องส่วนตัวของฉันซะมากกว่า ขนาดพ่อแม่ยัง
ไม่ได้ว่าอะไรเลยสักนิด ก็นะคะเรามันคนละสังคมกันกับที่โรงเรียน
เหตุการณ์นั้นโดนหลายมากค่ะ ทั้งเฮดสปีดต่าง ๆ จากเพื่อนที่โณง
เรียน ถงึ กบั ขน้ั ท่วี ่าฉนั ลาออกดีมั้ยจะได้จบกับปญั หานี้ท่ีเกิดข้ึน แต่
ก็ทนได้ค่ะทนได้จนเรียนจบ ใช้ตัวเองนี่แหละค่ะเป็นเครื่องพิสูจน์
ทุกอย่าง รักตัวเองให้มาก อย่าแคร์คนอื่นจนตัวเองแย่ มองย้อนดู
ทาไมนะทาไมฉันถึงต้องมานั่งเสียใจกับคาพูดคนอื่นที่คิดกันไปต่าง
ๆ นา ๆ ทาไมนะทาไมเขาถึงไม่มาถามฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้ แต่ก็ไม่
เปน็ ไรค่ะเรื่องราวมนั ผ่านมาแลว้ แต่ก็แอบฝังใจนิดนึงกับเรื่องพวกน้ี
ผ่านมาจนช่วงมหาลัยปหี นึ่ง อันนี้เรียกว่าแบง่ ชนช้ันกันได้อย่างเต็ม
ปากเลยหล่ะค่ะ ระบบโซตัสเกิดขึ้นกับฉันเองในมหาลัยแห่งนี้ กับ
การที่ฉันไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรมที่รุ่นพี่จัดขึ้นมา โดนตีโพยตีพาย
ของความผิดว่าเห็นแก่ตัวนั่นแหละค่ะ แรก ๆกลัวไม่มีเพื่อนนะคะ
แต่กบ็ ังมนี ะ ก็มีคนทเ่ี ข้าใจและไมเ่ ขา้ ใจน่นั แหละ

ผ่านมาจนถึงเวลานี้ มองเห็นอะไรในช่วงชีวิตทกุ ช่วงท่ผี ่าน
มาบ้างคะ ใช่ค่ะ ความเหลื่อมล้า ระบบโครงสร้างของโรงเรียนและ
การศึกษา รวมไปถึงตวั บคุ คลนั่นแหละคะ่ คนทีม่ ีอานาจสามารถข่ม
เราได้ตลอดเวลาในการใช้ชีวิตอยู่ ความไม่เท่าเทียมก็มีอยู่ในทุก
ช่วงเวลาของชีวิต ขอพูดถึงเรื่องแรกก่อนแล้วกันนะคะ เด็กคนหน่ึง
ท่ีสามารถเก่งในด้านใดด้านหนึ่ง แต่เด็กบางคนก็ไม่เก่ง ทาไมถึง
ไม่ได้รับการดูแลที่เท่าเทียมกัน ทาไมคนที่ไม่เก่งวิชาคณิตศาสตร์
ต้องพยายามให้ตัวเองเก่งเท่าคนอื่นทั้งทีบ่ างทเี ขาอาจจะเก่งในการ
ใช้ชีวิตหรือในด้านอื่น ๆ เท่านั้นเอง ระบบการศึกษาที่ฝังหัวว่าคน
นน้ั คอื คนทเี่ กง่ ฉันเหน็ มากับตาเลยคะ่ เก่งด้านวิชาการแต่การใช้ชีวิต
กับติดลบ ไม่มีวิธีการเอาตัวรอดเพื่อให้ตัวเองใช้ชีวิตในสังคมได้
ปัญหาที่สองที่เกิดขึ้นระบบการศึกษา การศึกษาแบบทั้งหมด โณง
เรียนที่มสี ่ิงที่พร้อมมากกว่าก็คอยจะซัพพอตนักเรยี นตัวเอง แต่บาง
โรงเรียนที่มีไม่เท่ากัน ก็ไม่สามารถให้นักเรียนเรียนในวิชาที่ตัวเอง
ต้องการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปมองข้าม
กับสิ่งนี้ท่ีเกิดขึ้นคะ่ แล้วคนที่ไม่มีโอกาสหละ่ เขาจะต้องอยู่ในสังคม
คนละแบบกับที่เราอยู่อย่างนั้นหรอคะ ในใจบึก ๆ แล้วอยากจะพัง
โครงสร้างของระบบแบบนี้ออกมาทั้งหมดเลยค่ะ พังแม้แต่ระบบ
ของบุคลากรทางการศึกษาด้วยค่ะ อย่างที่เล่าไปตอนแรกน่ันแหละ

ค่ะ ทาไมเราถึงต้องโดนประจานหน้าเสาธงในเรื่องส่วนตัวของเรา
ด้วย มันคือการไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคลในตัวของเด็กกเลย แถมจะ
ทาให้มีปมต่าง ๆ ให้เป็นอีกด้วยนะคะ โชคดีที่ตัวของฉันเองพ่อแม่
เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างเลยผ่านมันมาได้แบบไม่ได้มีปมอะไร
ติดค้าง แล้วคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่คอยใส่ใจหล่ะคะ เขาจะเป็นอย่างไร
อกี ปญั หาหนึ่ง คอื ความเหลอื่ มล้าทางการศึกษาและความเหลื่อมล้า
ในการใช้ชีวิตในระบบของโรงเรียนค่ะ อันนี้แก้ยากเพราะขึ้นอยู่กับ
ตัวบุคคลด้วยในส่วนหนึ่ง และความเหลื่อมล้าพวกนี้ถูกผลิตซ้าข้ึน
เรื่อย ๆ ไม่มีวันจบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดอันดับทางการศึกษา หรือ
การเปรียบตัวเองกับเด็กที่มีมากกว่าหรือกดคนที่มีน้อยกว่าให้อยู่
ข้างใต้สังคมที่ตนเองอยู่ มันส่งผลกระทบไปในการดาเนินชีวิตของ
เด็กเหล่าน้ันในอนาคตมาก ๆ เลยนะคะ

ทาไมจึงหยิบยกเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองมาเขียนใน
หัวข้อ ไม่มีความเป็นธรรมในความโศกเศร้า นี้หรอคะ ตัวฉันเอง
ตีความไปได้ว่าความอยุติธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนี่ยมันเป็นความ
โศกเศร้าทัง้ น้นั เลยค่ะ มันเป็นความทรงจาท่ีไม่อาจจะลืมไดเ้ ลย มัน
ยังอยู่กับตัวฉันมาตลอด มันแก้ไขอะไรไม่ได้ในอดีตแต่เราสามารถ
เอาเก็บไว้สอนตัวเองในการดาเนินชีวิตต่อไปได้หนิคะ ฉันเติมโตมา

ได้ในสังคมที่ไม่เคยยุติธรรมกับตัวของฉัน ฉันโตมากับน้าตาที่ได้ใช้
ชีวิตทัง้ น้นั นัน่ แหละคะ่ คอื ส่งิ ทท่ี าใหฉ้ ันได้เตบิ โต

“ความโศกเศรา้ ของต้นทนุ ชีวติ เงินและอานาจ”

ทุกคนเกิดมาล้วนมีความแตกต่างกันทั้งนั้น เริ่มต้น
จากเชื้อชาติพันธุกรรมต่าง ๆ สีผิว สีผม สีดวงตา เป็นต้น
ทั้งคนมีฐานะและไม่มีฐานะ คนรวยคนจน คนที่มีครอบครัว
เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ และคนที่ไม่มีแม้กระทั่งใครที่จะ
คอยดูว่าเราจะเติบโตมาอย่างไร ทุกอย่างล้วนเป็นต้นทุน
ชวี ติ ทัง้ นน้ั

“ ตน้ ทุนชวี ติ ”

ต้นทุนชีวติ พูดถึงเรือ่ งนีเ้ ม่ือไหร่เกิดเรื่องถกเถียงกัน
ไปตา่ ง ๆ นาๆ เกยี่ วถงึ ส่ิงทตี่ วั เองมกี ันทัง้ นน้ั บางคนมีอย่าง
ที่อีกคนนั้นไม่สามารถมี แต่ก็ยังมีคาพูดที่สวยหรูเกิดขึ้น
ท้งั นนั้ ในโลกของโซเซียล อย่างการทางานหนักและขยันเป็น
หนทางแห่งความสาเร็จกลับกันนั้น คนที่มีต้นทุนชีวิตที่มา

กว่าการทางานหนักในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น มันจริงแต่
คนทมี่ ีน้นั แทบไม่ตอ้ งตะเกยี กตะกายเพอ่ื ถามหาความสาเร็จ
เลยด้วยซ้า ถึงแม้ล้มยังที่สามารถเริ่มใหม่ได้อย่างง่ายดาย
ต่างจากคนที่ต้นทนุ ชีวิตนั้นต้อยต่า ทาไมกันนะความสาเร็จ
มันถึงยากที่จะทาเหลือเกิน หลายคนท้อก่อนที่จะถึงวันน้ัน
ดว้ ยซ้า สดุ ทา้ ยก็กลับมาโทษ “โชคชะตา”

“ โชคชะตา ”

เหมือนกับว่าเราถูกปลูกฝังในประเทศที่มีสิ่งที่ยึด
เหนี่ยวจิตใจในศาสนาแทรกซึมเข้ามาตั้งแต่เกิด โชคชะตา
ฟา้ ลิขติ เชอื่ กันวา่ ทุกอย่างน้นั เปน็ ส่ิงทลี่ ิขติ มาแล้ว มันถูกทา
ให้มันเกิดขึ้นและต้องเกิดขึ้นตามชะตาของแต่ละคน อะไร
จะเกิดก็ต้องเกิด ได้ยินคานี้บ่อยมากจนบางทีก็ใช้มันเพ่ือ
ปลอบโลมตัวเองว่ามันก็จริงนะว่าสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นใน
ข้างหน้านั่นก็คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในวันนี้แล้วส่งผลไป แล้ว
ทาไมหล่ะแล้วทาไมเราถงึ เชื่อว่ามันเป็นกรรม โดยสว่ นตัวไม่

ค่อยเชื่อสิ่งที่มากับศาสนาสักเท่าไหร่บาปบุญอะไรทานอง
นั้น แต่ก็เชื่อเรื่องกรรม ที่หมายถึงการกระทา ทาอะไรก็ได้
อย่างนั้น ทาสิ่งดี ๆ ผลที่ได้รับมันก็จะดี อาจจะไม่ใช่ใครให้
อะไรดี ๆ กับเราหรอก แต่มันดีกับตัวเองก็พอ เหมือนกับ
การทาอะไรแย่ ๆ เรากจ็ ะไดร้ ับสิง่ แย่ ๆ ตอบแทน น่นั แหละ
ค่ะ คงเหมือนทุกวันนี้ชีวิตเราต้องขยัน ไม่ว่าจะขยันในทาง
ไหน ไม่วา่ จะเปน็ กาลังกายหรอื ว่ากาลังความคิด สกิลต่าง ๆ
ก็แล้วแต่ เราก็ยังต้องทาเพื่อสิ่งเดียวกันที่ทุกคนอยากมี คือ
เงิน ใครกันนะทคี่ ดิ คาวา่ เงินไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ แปลก
ใจจังนะคะทุกวันนี้ถ้าไม่มีเงินเราไม่ได้มีความสุขบนพื้นฐาน
ชวี ิตปกติแลว้ หละ่ คะ่ เงินนนั่ แหละค่ะที่มอี านาจเหนือทุกสิ่ง
ในโลกปัจจุบันนี้ ก็เห็นกันอยู่ในเหตุการณ์ต่าง ๆในปัจจุบัน
เงนิ ซอื้ แม้กระท่ังความถูกต้องได้

“เงนิ และอานาจ”

ทาไมเราถึงคิดว่าเงินมันมีอานาจขนาดนั้น ใน
ชีวิตประจาวันของเราเองต้องใช้ในการดารงอยู่ในทุกช่วง
ของชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย คนธรรมดา ๆ อย่างเราแค่มีกิน
พอใช้ไปวัน ๆ ก็หรูเท่าไหร่ได้กินกาแฟดี ๆ สักแก้วก็เกิน
พอแล้ว จะลองเล่าประสบการณ์ที่เคยเจอกับตัวเอง เงินมัน
มีอานาจมากแค่ไหนนั่นหรือ ก็แค่โปรยไปก็จ้างงานได้ทันที
ถ้าใครคิดว่าเงินแก้ปัญหาไม่ได้นั่นแปลว่าคุณไม่ได้มีเงินนั้น
มากพอ

กลับเข้าประเด็นนี้ก็อดพูดถึงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของ
การเมืองในปัจจุบัน เราก็เห็น ๆ กันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
สิทธิประโยชน์ของผู้ที่มีอานาจ หรือมีเงินแหนือกว่า คนจน
จะถูกฆ่าตายอย่างหมดสิ้นด้วยเงิน การแบ่งแยกชนชั้นเห็น
ได้อย่างชัดเจน คนรวย คนชนชั้นกลาง และคนจน ฐานะ
ทางสังคมเป็นตัวบ่งชี้ในการใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างมาก คน
รวย หรือผู้ที่มีเงินในกามือเป็นกอบเป็นกา การใช้ชีวิตของ
คนกลุ่มนี้จะมุ่งแต่หาตังและผลประโยชน์เพื่อตัวเองหรือ
อะไรก็แล้วแต่ แต่ที่เห็นกันชัดของคนใหญ่คนโตในประเทศ

แดนสยามของเราน้ัน ฆ่าคนตายไม่ผิด เปลี่ยนกฎหมายหรือ
ข้อหาให้ตัวเองพ้นคดีได้ง่าย ๆ ด้วยเงิน พวกพ้องที่ได้รับ
ผลประโยชน์ก็ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ทั้งนั้น ส่วนคนชน
ชั้นกลาง ทางานไปวัน ๆ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ทางานเพื่อหาค่า
รถค่าข้าวส่งเงินส่งน้าไปยังครอบครัวและหล่อเลี้ยงตัวเอง
ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่เราเรียกว่า คนจน ต้องยอมรับกันก่อนวา่
คนจนในประเทศน้กี ็มไี ม่น้อยเลย แคค่ นกลมุ่ น้ีถูกมองว่าเขา
ไม่มีอะไรเขาก็มีความสุขได้ด้วยตัวของเขาเอง เราคิดกัน
อย่างนั้นจริง ๆ หรือ เขาอยากเป็นแบบนั้นจรงิ ๆ ใช่หรือไม่
ที่เขาอยู่ได้และพยายามมีความสุขกับสิ่งที่พวกเขามีจนเขา
คิดว่าคงจะไม่มีใครมองถึงความเศร้าในโชคชะตาชีวิตของ
เขาขนาดน้ันแน่ ๆ

ยกตัวอย่างของเคสพิมรี่พาย ทาไมในประเทศท่ี
เหมือนกับว่าทุกคนมีความสุขในการใช้ชีวิต เกิดเรื่อง
ถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับการที่พิมรี่พายได้เข้าไปในที่
ทุรกันดาร ที่ไม่มีแม้แตไ่ ฟฟ้าเข้าไปถึง เรามองเห็นอะไรบ้าง
มีอีกหลายคนที่ไม่ได้รับโอกาสทางสังคม ทั้ง ๆ ที่มันเป็น

พื้นฐานนารดารงอยู่ด้วยซ้า เข้าไปพัฒนาด้วยเงินของตัวเอง
แตก่ ลบั ถูสงั คมบางกลุม่ มองวา่ เป็นการแทรกแซงการทางาน
ของภาครัฐ เกิดคาถามอีกว่าแล้วทาไมในเมืองถึงมีทุกอย่าง
คนบางคนมีโอกาสมากกว่ากลุ่มคนเหล่านี้หล่ะ กลุ่มคน
เหล่านี้กค็ นใชห่ รอื ไม่ ทาไมปฏิบตั กิ นั ได้ไม่เท่าเทียม

สุดท้ายแล้วความโศกเศร้าของต้นทุนชีวิต เงินและ
อานาจ มีบทบาทสาคัญอย่างไร ทกุ ๆ ท่ีไมไ่ ด้มโี อกาสเข้าถึง
สิ่งอานวยความสะดวกอย่างคนในเมือง เกิดความเหลื่อมล้า
อย่างชัดเจน ใช้ชีวิตกันแบบคนทีจ่ านนต่อชวี ิต มันเป็นเรื่อง
ทนี่ า่ เศร้ากับส่ิงที่เกดิ ขึ้น เราไม่รหู้ รอกวา่ เราจะกาหนดชะตา
ชีวิตเราไปจนมันแย่หรือดีขนาดไหน สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ท่ี
การเปล่ียนแปลงของระบบสงั คม และการเขา้ ถงึ โอกาสท่ีทุก
คนพึงมีเท่านน้ั เอง..

ศลิ ปะและอานาจ

เมื่อเอ่ยถึงศิลปะ บางคนก็รู้ว่ามันทางานอย่างไร หรือบาง
คนก็อาจจะยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วศิลปะมันทาหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่าง
ในชีวิตประจาวัน แล้วทาไมมันถึงมีอานาจ ? นั่นเป็นสิ่งจาเป็นจริง
ๆ ใช่ไหม หลายคนก็ตั้งคาถามกับมัน หรือบางทีศิลปะก็เป็นตัวตั้ง
คาถามกบั ตัวของมันเอง

ศลิ ปะคอื อะไร ?

ศิลปะ เป็นเหมือนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ในความเป็นจริง
ก็เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสรา้ งขึ้นได้เหมอื นกัน แต่สิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขน้ึ
เกี่ยวกับศิลปะนั้น มันคือการแสดงออกมาจากความรู้สึกนึกคิด
อารมณ์จากสิ่งที่เห็นประสบการณ์ที่เจอ หรือจินตนาการที่สร้างขึ้น
โดยใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างบุคคล ถ้าย้อนกลับ
ไปในช่วงยุคก่อน ๆ ศิลปะไม่ได้ถูกใช้แค่สิ่งที่แสดงออกเหมือนใน
ปัจจุบัน แต่ศิลปะเป็นการสื่อสารแรกที่มาก่อนภาษาที่เป็นตัวลาย
ลักษณ์อักษร แม้แต่ท่าทางการแสดงออกนั่นก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง
และในปัจจุบัน ศิลปะถูกใช้เป็นเคร่ืองมือของมนุษย์มากมาย มีการ
สร้างสรรค์ผลงานเพื่อสื่อถึงอารมณ์ของตัวบุคคล สื่อถึงสังคม ส่ือ

ถึงสถาพแวดล้อม มากมายเป็นต้น ศิลปะไม่ใช่แค่ความงามเมื่อถูก
ตีความออกมาจรงิ ๆ แล้วศลิ ปะสามารถใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมือเพื่อต่อสู้ใน
โลกแห่งความเปน็ จริงดว้ ย

ในปัจจุบันมีการนาเทคโนโลยี สารสนเทศต่าง ๆ เข้ามาใช้
มากมาย เห็นได้ชัดคือโซเชียลมเี ดยี ที่ทุกคนสามารถเขา้ ถึงได้ง่าย มี
แอพพลิเคชั่นมากมายจนเลือกไม่ถูกว่าจะใช้อย่างไร ศิลปะไม่ได้
หยุดอยู่แค่การวาดรูปหรอื การสือ่ สารแลว้ แต่ศิลปะเข้ามามีอานาจ
ในโลกปัจจบุ ันอยา่ งชัดเจน

อานาจคืออะไร ?

อานาจ เป็นสิง่ ทีเ่ หมอื นโอกาสในสังคมที่มากกว่าบุคคลอื่น
หรือคลา้ ย ๆ คาวา่ อทิ ธพิ ล เหมือนเป็นศักยภาพในการเปล่ียนแปลง
อะไรบางอย่าง การใช้อานาจจะมีแค่ มนุษย์ ที่ใช้มันในสังคมที่ต้อง
อยู่ร่วมกัน และก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า การต่อต้านอานาจขึ้นมาด้วย
เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่เกิดขึ้นใน
ประเทศต่าง ๆ อาจจะเกิดจากการที่เห็นต่างหรือไม่ยอมรับอานาจ
ที่เกิดขึ้นมาโดยมิชอบของรัฐบาล แต่ถ้ายกตัวอย่างเกี่ยวกับการ
ต่อต้านขึ้นมาแล้ว ก็จะอดพูดถึงศิลปะที่แฝงอยู่ในกลุ่มนี้ไม่ได้เลย

เหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คือการรวมตัวของ
นักเรยี นนักศึกษาเพื่อต่อต้านรัฐบาลในตอนน้ี จะมีการใช้กระดาษท่ี
เขียนเป็นคาพูดต่าง ๆ หรือจะมีการสาดสีเพื่อเป็นนัยยะในการ
แสดงออก หรอื แมก้ ระท่ังการวาดรูปเพอื่ ส่อื ถงึ การตอ่ ต้านในครงั้ นี้

อานาจของศิลปะ

ศิลปะเป็นสิ่งที่มีอานาจต่อจิตใจมนุษย์อย่างมากมายเลย
ทีเดียว บางทีเรามองภาพ ๆ นึง มันก็สามารถสะท้อนความรู้สึก
กลับมาไม่ว่าจะเศร้า จะดีใจ จะอึดอัด ซึ่งจะสะท้อนกลับมาตาม
ประสบการณ์ของผู้ที่เข้ามาดู บางทีอาจจะรู้สึกคนละแบบกับผู้ที่
สร้างสรรค์งานมาก็ได้เพราะประสบการณ์ หรือจินตนาการ
ความรู้สึกนกึ คิดของแต่ละคนน้นั ตา่ งกัน

ถ้าพูดถึงในแง่ของ อานาจของเงินที่อยู่บนงานศิลปะ งาน
ศิลปะมีตั้งแต่ความสวยงาน จินตนาการ รวมไปถึงการที่ไม่มีอะไร
เลย ทาไมหล่ะ แล้วทาไมมันถึงมีราคาและคุณค่าขึ้นมาได้ แน่นอน
ค่ะว่ามันอยู่ที่ บริบทและกระบวนการทางานของศิลปิน รวมไปถึง
แนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน อีกทั้งยังมีบริบทของเวลาเข้ามา
เกี่ยวข้องในการสร้างสรรค์ผลงานด้วย เวลาเกี่ยวข้องอย่างไร การ
สร้างสรรคผ์ ลงานขึ้นมาทกุ ชน้ิ ล้วนใชเ้ วลาเป็นตวั แปรของงานทั้งน้ัน

แม้กระทั่งงานที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ใดก็ตาม เกิดก่อนหรือเกิดหลัง มี
คนเคยทามาแล้วรึยัง ถ้ายังมันก็จะเพิ่มมูลค่าและคุณค่าในตัวของ
มันไปอีกแบบ เวลาเลยเป็นตัวแปรที่ทาให้ส่งผลต่องานศิลปะอย่าง
มาก แล้วทาไมราคาของผลงานบางอย่างมันถึงแพงนัก ก็นั่นแหละ
คะ่ เปน็ อานาจของมนั ทามผี ลต่อความคดิ ของคน เมอ่ื คนอยากจะได้
มนั มากขนึ้ ในตลาดงานศิลปก์ ย็ ่งิ ที่ใหง้ านมมี ลู คา่ เพมิ่ มากขนึ้

ไม่ใช่แค่มูลค่าที่ตีเป็นเงินได้เท่านั้น คุณค่าของศิลปะยังมี
อานาจไปครอบครุมถึงเรื่องของศาสนาและความเชื่ออีกด้วย
อย่างเช่นศาสนาพุทธ ก็จะมีรูปเคารพที่เราเห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบัน
กราบไหวบ้ ูชากันไมว่ ่าจะเป็นในรูปแบบรปู ภาพ หรอื ประติมากรรม
และยังรวมถึงสถาปัตยกรรมที่ทุกคนนับถือและเชื่อกันมาอย่าง
ยาวนาน

ศลิ ปะและอานาจ

อานาจของศิลปะแทบจะครอบคลุมทุกสิ่งในจิตใจมนุษย์
ทาให้เกิดอารมณ์ จิตนาการต่าง ๆ มากมาย เมื่อบนโลกมนุษย์มี
ความคิดที่แตกต่างกันออกไป ร้อยพ่อพันแม่ หมื่นแสนล้านที่อยู่
อาศยั ความเชอ่ื มากมายท่ตี ่างกนั ท่ัวโลก ศิลปะทเี่ กดิ มีอานาจข้ึนมา

ก็เป็นเหมือนความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน แต่การสื่อสารออกมา
ของศิลปะแต่ละแบบก็ให้มุมมองและอารมณ์กับผู้ท่ีเห็นและรับสาร
ได้แตกต่างกันออกไปอีกอย่างที่กล่าวไว้ในย่อหน้าแรก เราไม่
สามารถที่จะจากัดหรือนิยามให้เพียงพอต่อความหมายของคาว่า
อานาจที่มีในศิลปะได้เลย และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของมนุษย์ทุกคน
ว่าศิลปะที่เราเห็นนั้นมันมีอานาจกับเรามากแค่ไหน หรือบางทีมัน
อาจจะไม่ได้มีเลย แต่มันอาจจะเป็นอานาจของตัวมันเองที่สื่อ
ออกมาและทาใหเ้ รารู้สกึ ไม่วา่ จะมากหรือน้อยก็ตาม

บทบาททางศลิ ปะ

เรื่องก่อนหน้าที่เราพูดถึงเป็นเรื่องของอานาจและศิลปะ
เกี่ยวกับศิลปะนั้นมีอานาจอย่างไร ตัวมันเองทางานอย่างไร ทาไม
มันถึงมีบทบาทและถึงเข้ามามีอานาจบนโลกนี้ พวกเราคุ้นชินกับ
การไปเดินดูนทิ รรศการศิลปะ ถงึ แมจ้ ะมไี มม่ ากและกระจายอยู่ตาม
แหล่งของความเจริญ ศิลปะพวกนี้ทุกคนมองมันเป็นเรื่องธรรมดา
และไมแ่ ปลกใหม่ ท้งั ๆท่ใี นปัจจุบนั ศิลปะถูกนาสงิ่ รอบตัวมาใช้เป็น
การสร้างสรรค์ผลงานได้ และศิลปะก็เริ่มเข้าไปแทรกแซงแม้กระท่ัง
การเมือง สิ่งแวดล้อม สังคม และเริ่มแทรกซึมเข้าไปใน

ชีวิตประจาวัน และอิสรภาพที่ศิลปะนั้นมี ทาให้ไม่มีการจากัด
แนวทางความคดิ ของคา่ นยิ มศลิ ปะ

พูดถึงอย่างแรกที่เราน่าจะรู้กันดี บทบาทของงานที่
เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปิน บทบาทของพื้นที่การ
แสดงงาน ต้องมองก่อนว่าศิลปะปรับเปลี่ยนไปตามรูปแบบของ
พื้นที่ เพราะศิลปะเข้ามามีบทบาทต่อการสื่อสารทางสังคมมาก
ย่ิงขึน้ ทกุ วนั ดงั นน้ั การสอ่ื สารสมยั ใหมม่ ันไมจ่ าเป็นทจี่ ะต้องใช้พ้ืนที่
อย่างแกลอรี่ในการแสดงงานอีกต่อไป มันมีพื้นที่สาธารณะที่
สามารถสร้างสรรค์งานให้เข้ากับแนวคิดสังคม เพราะงั้นพื้นที่จึงมี
บทบาทสาคัญมากที่จะสื่อถึงให้เห็นแนวคิดของการสร้างสรรค์งาน
ศิลปะ

บทบาทต่อไปที่จะพูดถึงจะเป็นบทบาทที่เกี่ยวกับสถาบัน
การหล่อหลอมสังคม ภาพของสงั คมในแง่มุมต่าง ๆ ศลิ ปะทาหน้าท่ี
หล่อหลอมสังคม ซึ่งเกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ผลงานและเน้ือหา
ของนิทรรศการศิลปะ มันจะนาไปสู่อารมณ์ร่วมที่ผู้คนจะมี
ความรู้สึกตอบสนองด้านอารมณ์ให้คล้อยตามผู้ที่จัด มันรวมไปถึง

วิธีการนาเสนอในแนวทางต่าง ๆ จริง ๆ แล้วศิลปะกาลังขับเคลื่อน
ตัวเองไปกับสังคมและวัฒนธรรมที่มีมาอยู่ก่อนแล้วหรือว่า
วัฒนธรรมที่เกดขึ้นใหม่ในปัจจุบัน และเราจะเห็นว่าคนรุ่นใหม่มี
พื้นที่การแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่มันสามารถเชื่อมโยงกันอยู่ใน
แนวความคิดของพื้นที่หรืองานศิลปะ มันเชื่อมตั้งแต่โลกของ
จินตนาการไปจนถึงโลกแห่งความเป็นจริง อย่างที่เห็นกันอยู่
ในตอนนี้ ศิลปะกาลังใช้เพื่อขับเคลื่อนสังคมอย่างเช่น กลุ่มม็อบ
นักศกึ ษาท่ีมใี หเ้ หน็ อยูใ่ นปัจจบุ ัน รวมไปถงึ ม็อบของนักเรยี นท่ีมีการ
ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในรูปแบบของศิลปะต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกอย่างการใช้สีชอร์คเขียนลงบนพื้น หรือ
การทาเป็นรูปภาพสต๊ิกเกอร์ต่าง ๆ การวาดรูปลงบนกระดาษ หรือ
แม้แต่ Text เป็นข้อความก็เป็นอีกบทบาทนึงทางศิลปะเหมือนกัน
มันเป็นเหมือนการพัฒนารูปแบบนิทรรศการศิลปะในมุมมองของ
คนรุ่นใหม่ มีพื้นที่แสดงออกทางความคิดอย่างมากมาย ที่สามารถ
สื่อออกมาสู้สาธารณะชนได้อย่างง่ายดาย และอีกทั้งยังเหมือนเป็น
การสนับสนุนแนวทางใหม่ในการสร้างสรรค์ผลงานและเป็นกระแส
ตื่นตวั ให้กบั ผลงานทางศิลปะหลาย ๆ ทางเลือกด้วย

จริง ๆ แล้วนั้นบทบาทของศิลปะยังให้คุณค่าหลาย ๆ
อย่างอีกด้วย มันเหมือนเป็นการถ่ายทอดคตินิยมทางความคิดของ

ความเชื่อทางศิลปะ เพื่อให้ผู้คนที่ศึกษาได้เข้าใจ ให้ยอมรับกันใน
หมู่มาก แตจ่ ริง ๆ แลว้ ศลิ ปะมันมีคุณค่าในตัวมันเองอยูแ่ ล้ว อยู่ทีว่ า่
คนที่เสพงานพวกนี้จะมีความเข้าใจมันมากน้อยขนาดไหน ศิลปะมี
มาอย่างยาวนาน ยาวนานพอที่จะทาให้มันเป็นความเชื่อของสิ่งที่
นิยมชมเชื่อกันมาเรื่อย ๆ ในสังคมต่าง ๆ และศิลปะยังสามารถ
สะท้อนสภาพสังคม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ได้ดี การถ่ายทอด
สื่อสารออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นแนวความคิดที่ตัวเองพึงรับรู้และ
สามรถสื่อให้เหน็ แนวความคิดตัวเองออกสูส่ งั คมหนึ่งไปถงึ อีกสังคม
หนงึ่

อีกเรื่องหนึ่งที่พูดถึงไม่ได้ คือบทบาทของศิลปะทาง
แนวความคิดสร้างสรรค์ อาจจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่บางคน
มองดูว่ามันสวยงาม แต่ก็จะมีงานที่ความสวยงามมันแทนที่ของ
ความเจ็บปวดของตัวบุคคล ตัวผู้เขียนกาลังจะสื่อถึงในทางที่ว่า
ศิลปะทาให้ผู้คนที่เหมือนไม่มีตัวตนกาลังจะมีตัวตนในโลกของ
ตนเอง อย่างตัวผู้เขียนเองก็เคยระบายความเจ็บปวดออกมาเป็น
ภาพวาด มันไม่ไดส้ ะทอ้ นอารมณข์ องใคร แตใ่ นสะทอ้ นอารมณ์ของ
ตัวผู้เขียนเอง อย่างความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนสมควรได้รับการ
มองเห็นในสิ่งที่พวกเขาเป็น แนวทางความคิดของแต่ละคนต่างกัน

เราไม่สามารถรับรู้ถึงความสุข ความเจ็บปวด ความโศกเศร้าของ
บุคคลอื่นได้อย่างแท้จริงหรอก ส่วนตัวของผู้เขียนเอง บางอย่างที่
ถ่ายทอดออกมาทางผลงานศิลปะบางทีมันคือตัวผู้เขียนเองแต่บาง
คนก็ยังไม่เข้า ผู้เขียนมองว่า บทบาททางศิลปะมันไร้ขีดจากัด
เกินไปกว่าจะนิยามมันว่าสิง่ ที่เป็นอยู่น้ัน บทบาทจริง ๆ ของมันคือ
อะไร แล้วหน้าที่จริง ๆ ของมันเป็นอย่างไร เหมือนกับว่าเรา
พยายามเข้าใจมัน แต่สุดท้ายเราก็ยังต้ังคาถามกับตัวของศลิ ปะอยู่ดี

งานศลิ ปะในรูปแบบท่ตี ัวเองเข้าใจ

ศิลปะมีหลากหลายรูปแบบ ยากที่จะนิยามว่ามันคือสิ่งใด
ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่ จริง ๆ เราสามารถพูดได้เลยว่า
นิยามหรอื รปู แบบของศิลปะของแตล่ ะคนน้ันต่างกันรูปแบบท่ีมองก็
ยังต่างกัน ดังนั้นผู้เขียนจึงจะมาเล่าเกี่ยวกับความเข้าใจของงาน
ศิลปะในรูปแบบของผเู้ ขียนเอง

เริ่มเล่าที่ผู้เขียนเคยรู้จักแค่ศิลปะที่มาในรูปแบบของ
ภาพวาดและงานประติมากรรมเท่าน้นั แตก่ ไ็ ดเ้ พียงมองมันอย่างผิว

เผินตามนิทรรศการศิลปะทัว่ ไป ภาพวาดที่สื่อถึงอารมณ์ต่าง ๆ แต่
ก่อนรู้สึกว่าตัวเองโลกแคบไปหน่อย แต่ก่อนก็คิดแต่ศิลปะมันคือ
ภาพวาดที่วาดเสร็จแล้วนาไปขายเท่านัน้ มีคุณค่าแค่แสดงในแกลอ
รแ่ี ละเป็นแคภ่ าพวาด แต่ ณ ตอนนี้เรมิ่ เข้าใจมันมากขน้ึ เนือ่ งจากได้
เรมิ่ ศึกษามาเป็นเวลาหนง่ึ

ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจาก
อารมณ์ ความรู้สึกของผู้สร้างสรรค์งาน เกี่ยวกับความงาม แต่มันก็
ไม่ใช่แค่ความงาม มันคือจิตสานึกด้านในอาจจะเป็นอีกด้านที่ไม่ดี
แล้วนาเสนอออกมาเป็นศิลปะก็ได้ รวมไปรสนิยมต่าง ๆที่ผู้ผลิตจะ
ผลติ ออกมา สัญญะทางความคิดตามหลักสนุ ทรียภาพ การมองเห็น
การได้ยิน ก็ล้วนสามารถนาออกมาแสดเป็นผลงานศิลปะได้ ศิลปะ
ไม่ได้มีแค่แขนงเดียวคือการวาดภาพ แต่มันรวมไปถึงดนตรี
สถาปัตยกรรม ส่ิงของท่ีถกู ออกแบบมาในรูปทรงต่าง ๆ

แต่ในปัจจุบันนั้นศิลปะไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็น
แบบในแบบหนึง่ ในปัจจุบันมกี ารผสมผสานในการทาศิลปะเกิดขึ้น
แล้ว แต่ถึงอยา่ งน้ันการสร้างสรรคแ์ บบผสมผสานก็ยงั ต้องมีตัวหลัก

ของงานอยู่ดีเพื่อให้มีสิ่งที่สาคัญที่สุดในผลงานที่ไม่ได้ดูเฟ้อมาก
เกินไป เราเรียกมันว่าศิลปะสื่อผสม จริง ๆ แลวในศิลปะสร้างมัน
มองถึงเจตนาของศิลปิน ในความคิดของเราสามารถจาแนกออกมา
ไดห้ ลายแขนงและหลายรูปแบบ ดังน้ี

1. ภาพพิมพ์ เป็นแขนงที่น่าสนใจ คล้าย ๆ งานของด้าน
จิตกรรมแต่มันต้องมีแม่พิมพ์ในการพิมพ์ภาพต่าง ๆ
ออกมา แม่พิมพ์ที่ว่าก็เป็นตัวศิลปินเองนั่นแหละที่
สร้างมันขึ้นมาด้วยเส้นสีหรือแม้แต่การขูดหรือการตดั
สามารถน าของจากธรรมชาติมาพิมให้มันมี
ความหมายได้มากมายอีกด้วย

2. ภาพถ่าย ปัจจุบันนิยมนาภาพถ่ายในมุมมองของ
ศลิ ปินมาแสดงออกเพ่ือถ่ายทอดเรอ่ื งราว ไม่ว่าจะเป็น
ภาพสีหรือขาวดาก็ล้วนแต่มีความหมายโดยนัยกัน
ทั้งนั้น ภาพถ่ายดูจะเป็นสิ่งน่าจะเข้าใจและสื่อสาร
ออกมาไดง้ านท่ีสดุ แล้วและมันสามารถสะทอ้ นอารมณ์
ความคิดออกมาไดอ้ กี ดว้ ย

3. การออกแบบ การออกแบบสิ่งของเครื่องใช้หรือ
แมแ้ ตก่ ารออกแบบโครงสรา้ งท่เี ป็นสถาปัตยกรรมต่าง

ๆ มันแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจาวันของเราอย่างทุกที่
จริง ๆ เราสามารถออกแบบใหม้ นั เกดิ คณุ ค่าได้ดว้ ย ไม่
ว่าจะเป็นคุณค่าทางเงินทองหรือแม้กระทั่งคุณค่าทาง
จติ ใจ
4. ประตมิ ากรรม เราเห็นอบทู่ ่วั ไปเลย พระพุทธรูปก็เป็น
งานประติมากรรมที่ซึ่งทาออกมาเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว
ทางจิตใจของชาวพุทธ มันมีมิติความกว้างความยาว
ให้เรามองมนั ไดร้ อบด้าน

ทงั้ 4 รูปแบบทีก่ ลา่ วมานเ้ี ปน็ เพียงตัวงานที่อยากนาเสนอเท่าน้ัน ที่
ทุกคนกร็ ้จู ักกนั ดี เปน็ ต้น

รูปแบบของศิลปะของตัวผู้เขียนก็จะมองไปเพียงแค่
รูปแบบตามความรู้สึก ผู้เขียนชอบใช้ความรู้สึกที่ตัวเองได้เห็นและ
ได้ยินเพื่อตีความอารมณ์ของศิลปิน ถึงมันจะไม่ได้ถูกต้องตาม
เจตนาท่ีศิลปินบางคนอยากจะส่อื ออกมา การที่เราไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปอยู่ใน
งานเข้าอยา่ งสมบรู ณแ์ ต่เราสามารถคิดต่อยอดจากผลงานที่สะท้อน
ออกมาได้ นั่นมันก็คือสิ่งที่สมบูรณ์ของศิลปินแล้ว ทาไมหล่ะทาไม
ถึงไม่อ่านให้เข้าใจในสิ่งที่คนสร้างสรรค์งานอยากจะสื่อ ส่วนตัว

ผู้เขียนเองแล้วการได้รู้สึกอะไรกับงานพวกนี้มันล้วนเป็นความสนุก
มากกว่า กี่ล้านพันคนร้อยล้านความรู้สึก เราไม่เคยเข้าไปอยู่ในจุด
เดียวกัน ประสบการณ์ของแต่ละคนต่างกัน รูปแบบแนวความคิด
ความเชื่อก็อาจจะคนละแนวทางกัน นั่นแหละสิ่งที่ตอบได้ว่าทาไม
รูปแบบของงานศิลปะที่ตัวเองเข้าใจมันไม่เหมือนกัน บางคนดูงาน
ชิ้นเดียวกัน ก็นึกไปได้ต่าง ๆ นานา อย่างภาพที่สวยงามมาก ๆ
อาจจะแสดงออกมาถึงความโศกเศร้าก็ได้ แม้แต่งานที่ดาทะมึน
แทบจะมองไม่เห็นแสงสว่าง มันอาจจะสะท้อนถึงอนาคตก็ใครจะรู้
ไดห้ ล่ะ

ผเู้ ขยี นอยากให้ทุกคนได้ลองสมั ผัสรูปแบบของศิลปะหลาย
ๆ แบบแล้วทุกคนจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่ทุกคนนั้นได้เห็นได้ยินและได้
สัมผัสมันความรู้สึกมันแตกต่างกันออกมาจรงิ ๆแล้วเราจะได้เข้าใจ
วา่ รปู แบบของานศลิ ปะนน้ั มันไม่มตี ายตัว ยกตัวอย่างได้ง่าย ๆ งาน
จิตกรรมที่เป็นจิตรกรรมเหมือนกัน รูปแบบเทคนิคการใช้สีหรือ
แม้แต่สิ่งที่ใช้วาดก็ยังแตกต่างกันได้ เป็นต้น ทุกสิ่งที่อยากในงาน
ศิลปะลว้ นเปน็ สง่ิ ทีน่ ่าค้นหามากมาย การเข้าใจกบั สงิ่ ทม่ี นั เป็น สิ่งที่
ตัวเองสร้างสรรค์ขึ้นมาหรือความรู้สกที่ได้รับเท่านั้นมันก็ถือว่าเป็น
รปู แบบศิลปะตามความรูส้ ึกของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไปได้อีก
ไม่มที ่ีสิน้ สุด


Click to View FlipBook Version