The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเขียนบทความ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ratchanee Wonglaohakun, 2021-05-02 01:47:53

การเขียนบทความ

การเขียนบทความ

Keywords: บทความ

การเขียนบทความ

วิชาการอา่ น ท 32202
ครอู นงค์ พลขันธ์

บทความ

บทความ คือ ความเรยี งท่ีเขียนขนึ้ โดยมีหลักฐานข้อเทจ็ จรงิ และในเน้อื หา
น้นั ผ้เู ขยี น ไดแ้ ทรกข้อเสนอแนะเชงิ วจิ ารณห์ รอื สร้างสรรค์เอาไว้ดว้ ย

เดมิ บทความเป็นงานเขยี นทป่ี รากฏคู่กับหนังสอื พิมพ์ เพราะบทความ
เผยแพรท่ างหนังสือพิมพเ์ ป็นสว่ นใหญ่ เริม่ นิยมกนั ในหมู่นกั อ่านและ
ผ้เู ขียน ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว แต่ก็แพร่หลาย
อยา่ งรวดเรว็ รปู แบบการเขยี นบทความคล้ายกบั เรยี งความมาก และ
ถึงแม้เน้ือหาสาระของบทความส่วนใหญ่จะได้จากขา่ วสด แต่วธิ เี ขยี น
บทความก็ตา่ งจากวิธเี ขยี นข่าวเชน่ เดียวกนั

ลักษณะเฉพาะของบทความ

1.ตอ้ งเป็นเรือ่ งท่ีผู้อา่ นส่วนมากกาลังสนใจอยู่ในขณะน้นั อาจเป็นปัญหาท่ีคน
กาลังอยากรู้ว่าจะดาเนนิ ต่อไปอยา่ งไร หรือมีผลอย่างไร หรือเป็นเรือ่ งท่เี ข้ายคุ
เข้าสมยั
2. ต้องมแี กน่ สาร มีสาระอ่านแลว้ ไดค้ วามรู้ หรอื ความคิดเพม่ิ เติมมิใชเ่ ร่อื งเล่อื น
ลอยไรส้ าระ
3. ตอ้ งมขี อ้ ทรรศนะ ขอ้ คดิ เห็น ตลอดจนขอ้ เสนอแนะของผเู้ ขยี นแทรกอยดู่ ว้ ย
4. มีวธิ ีเชิญชวนให้อา่ น อ่านแล้วทา้ ทายความคดิ และสนกุ เพลดิ เพลนิ จาก
ความคิดในเชิงถกเถยี งโต้แย้งนน้ั
5. เนอื้ หาสาระ และสานวนภาษาเหมาะสาหรับผ้อู า่ นทม่ี กี ารศึกษาอยใู่ นเกณฑ์
ดี เพราะผอู้ า่ นที่มีการศึกษาน้อย นยิ มอา่ นข่าวสดมากกว่าบทความ

ลกั ษณะที่แตกต่างและเหมือนกนั ของบทความ เรียงความ และข่าว

1. รปู แบบ เรยี งความและบทความ มรี ูปแบบการเขียนเหมอื นกัน คอื มี
โครงสรา้ ง อันประกอบดว้ ยสามส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ คานา เนื้อเร่อื ง และสรุป
หรือคาลงท้าย การตัง้ ช่อื เรอื่ งหรือหวั ข้อเร่ืองอาจจะเหมือนกันหรือ
คลา้ ยคลงึ กัน ส่วนข่าวเปน็ การเสนอเรอ่ื งราวหรอื เหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ข้นึ ตาม
ความเป็นจรงิ สาระสาคญั ของข่าวอยทู่ ี่ความนาอนั เปน็ ย่อหนา้ แรกของ
การเขียนข่าว ส่วนย่อหน้าต่อๆ มามีความสาคัญลดหล่นั กนั ลงมา
ตามลาดบั จนกระทงั่ ถงึ ยอ่ หน้าสุดท้ายอาจตัดทง้ิ ไปได้โดยไมเ่ สียความถา้
เน้ือท่กี ระดาษจากดั

2. ความม่งุ หมาย บทความ เขยี นข้นึ เพอ่ื เสนอข้อคิดเห็นเกย่ี วกบั เรื่อง
หรอื เหตกุ ารณ์นนั้ ๆ ส่วนเรียงความเป็นการเขยี นเพือ่ แสดงความรู้เกยี่ วกบั
หัวขอ้ เรือ่ งนัน้ แตเ่ พยี งอยา่ งเดียว (ข่าว นาเสนอเหตกุ ารณ์ที่เกดิ ข้ึนจริงใน
ขณะน้ัน)

3. เน้ือเรอื่ ง หัวข้อเร่อื งของบทความตอ้ งทนั สมยั ทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ อย่ใู น
ความสนใจของผู้อ่านขณะน้ัน เวลาผา่ นไปเพียงสัปดาหห์ น่งึ หรือมากกวา่

นน้ั ก็อาจล้าสมัยไป สว่ นเรยี งความ จะหยบิ ยกเอาเร่ืองใด ๆ ทง้ั ทเี่ ปน็
รปู ธรรมและนามธรรมมาเขียนกไ็ ด้ และหวั ขอ้ เรื่องเดียวกันน้ีจะเขยี นเมื่อไร

ก็ได้ไม่ถอื ว่าลา้ สมยั ในขณะที่ข่าวมอี ายุอยู่ 24 ช่วั โมงเทา่ นั้น ถา้ เสนอ
ข่าวชา้ ไปสักวนั หรอื สองวันกไ็ มน่ า่ สนใจ

4. วิธเี ขียน เรยี งความเขียนด้วยท่วงทานองการเขยี นแบบเรียบๆ ไมโ่ ลด
โผน ต่างจากวิธีเขยี นบทความทีต่ อ้ งการใชส้ านวนโวหารอนั ชวนให้อ่าน

ให้คดิ ตามเน้อื เร่ือง ในขณะท่ีการเขยี นข่าว ตอ้ งตอบคาถาม 5 ขอ้ คอื ใคร
ทาอะไร ท่ีไหน เมื่อไร และทาไม เป็นเรอื่ งท่ีเกิดขน้ึ จริงในขณะนัน้ เขียน
ส้นั ๆ ตรงไปตรงมา ไม่มคี วามคดิ เห็นของผู้เขียน ไม่มชี อื่ ผเู้ ขียนขา่ ว ใช้
ภาษาท่ีชนทุกชัน้ อ่านได้ ไมม่ ีขอ้ ความใดทบ่ี ่งอารมณ์และความโน้มเอียง
ของผู้เขียน

ประเภทของบทความ

บทความแบง่ ออกเปน็ ประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภท คือ บทความเชิงสาระ และ
บทความเชิงปกิณกะ (เบด็ เตล็ด เล็กๆนอ้ ยๆ คละกัน) บทความเชงิ สาระจะ
เน้นหนกั ไปทางวิชาการ ผูเ้ ขยี นต้องการอธิบายความรอู้ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เปน็
สาคัญ ไมค่ านึงถงึ การใชส้ านวนโวหารหรอื ความเพลิดเพลินของผู้อา่ น เพราะถอื
ว่าผูอ้ ่านตอ้ งการปญั ญาความคดิ มากกวา่ ความสนกุ ส่วนบทความเชงิ ปกิณกะ
ถึงแม้ผูเ้ ขยี นจะมุ่งหมายใหค้ วามรคู้ วามคดิ กับผู้อา่ นบา้ ง แต่ต้องถือว่าเปน็ ความ
มงุ่ หมายรอง เพราะผู้อ่านบทความเชิงปกิณกะจะตอ้ งได้ความเพลดิ เพลนิ เปน็
เบ้ืองตน้ ซงึ่ นักเขยี นบางคนก็อาจจะเขียนบทความเชงิ สาระพร้อม ๆ กับให้
ความรู้สกึ สนุกสนานเพลดิ เพลนิ แก่ผูอ้ า่ นดว้ ย
บทความสมยั น้ี ค่อนขา้ งจะมีลกั ษณะผสมผสานกนั ท้งั เชงิ สาระและปกิณกะ
ดงั ท่ีปรากฏอยู่ตามหนงั สอื พมิ พ์รายวนั และรายสปั ดาห์

การบทความแบง่ ตามเนื้อเรอื่ ง

1. บทความแสดงความคิดเหน็ เป็นบทความท่ีผเู้ ขยี นหยบิ ยกเอาปัญหาในสังคม
นัน้ ขนึ้ มาเขยี น มที ั้งปญั หาส่วนรวมและปัญหาสว่ นบคุ คล ปญั หาสว่ นรวมก็
เช่น ปัญหาเศรษฐกจิ การศกึ ษา การเมือง การปกครอง ฯลฯ ปัญหาสว่ นบุคคลกเ็ ช่น
การปอ้ งกนั อาชญากรรม การรักษาความปลอดภัยให้ตนเอง การประกนั ชวี ติ ฯลฯ บางครัง้
ผเู้ ขียนอาจจะเขยี นตอบโตบ้ ทความทผี่ ู้อ่นื เขียนขึน้ เพื่อแสดงความคดิ เหน็ ในแนวหน่งึ แนว
ใด ปัญหาทม่ี ีขอ้ ขดั แยง้ นี้มกั จะมีข้อคดิ แตกต่างกนั ออกไปสองแนว คือ ความคิดเห็นใน
แนวยอมรบั และโตแ้ ย้ง เชน่ หัวข้อบทความทีว่ ่า เพศศกึ ษาเหมาะสมกบั การศกึ ษาระดบั
มัธยมเพยี งไร บทความประเภทน้ีผู้เขยี นอาจจะเลือกแสดงความ คดิ เหน็ ในแนวใดแนว
หนึ่งกไ็ ด้ หรอื จะเสนอความคิดเห็นของคนทั่ว ๆ ไปทุกด้านก็ได้ เพื่อปล่อยให้ ผู้อ่าน
พจิ ารณาตัดสินเอาอง วิธเี ขยี นบทความแสดงความคิดเหน็ นี้ ผเู้ ขียนตอ้ งเริ่มต้นด้วย
การ แยกแยะปญั หาให้กระจา่ งชดั เสียก่อนว่า คืออะไร วธิ แี ก้ปัญหามอี ย่างไร ผู้เขียน
เหน็ ชอบดว้ ยวธิ ไี หน เหตุทเี่ หน็ ชอบและไม่เห็นชอบด้วย ในตอนลงท้ายควรจะย้าความ
คดิ เหน็ ของตนให้เด่นชดั อกี ทีหน่ึง

2. บทความประเภทสมั ภาษณ์ เปน็ บทความทีแ่ สดงความคิดของบคุ คลเกี่ยวกบั เร่อื งใด
เร่ืองหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้เขียนบทความควรรจู้ ักเลอื กบุคคลที่จะสมั ภาษณ์ เชน่ เป็นคนเดน่ มี
ชือ่ เสยี ง มีความเช่ียวชาญ หรอื มีความเข้าใจอย่างดใี นเร่ืองทีเ่ ราจะเขียน ไดแ้ ก่ การ
สมั ภาษณ์นายกรฐั มนตรีถงึ มาตรการผลกั ดันผู้อพยพจากเวียดนามและกมั พชู า / สมั ภาษณ์
รัฐมนตรีกระทรวงการคลงั เกย่ี วกับนโยบายการเกบ็ ภาษมี ูลค่าเพม่ิ / สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ
ทางแฟช่นั สตรเี ร่ืองแนวโน้มในการแต่งกายของสตรไี ทยในปจั จุบัน ฯลฯ
การเลือกสัมภาษณผ์ ทู้ ี่มคี วามรู้เชย่ี วชาญในเรอื่ งท่เี ราตอ้ งการ เป็นสง่ิ ท่ีจาเปน็ เพราะบคุ คล
เหลา่ นี้จะสามารถให้ขอ้ เท็จจรงิ ตลอดจนขอ้ คดิ เหน็ ต่าง ๆ ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง และ
นา่ เชือ่ ถอื บางคร้ังผู้เขียนอาจเลอื กสัมภาษณ์บุคคลอกี ประเภทหนึ่งซึง่ ไมใ่ ช่ ผูส้ ันทัดจดั
เจนในเร่อื งนนั้ แต่เป็นผูท้ ี่เด่นอยใู่ นความสนใจของสังคม เช่น สัมภาษณ์ดารา
ภาพยนตร์ เกี่ยวกับทรรศนะในการเลือกค่คู รองและการหย่าร้าง ท้ังนี้เพราะความเด่น
ของตวั บคุ คลอาจดงึ เรื่องข้นึ สคู่ วามสนใจของผู้อา่ นได้ ในการนี้ผเู้ ขียนอาจแทรกเรอ่ื งราว
อ่ืน ๆ ลงไปด้วยเปน็ ตน้ วา่ ชีวประวตั ยิ อ่ ๆ และเร่ืองทเี่ ก่ียวพันกับบุคคลเหล่านน้ั

3. บทความกงึ่ ชวี ประวตั ิ มีลักษณะคลา้ ยกบั บทความประเภทสมั ภาษณ์ต่างกนั
ในแงท่ บี่ ทความประเภทสัมภาษณ์ต้องการแสดงขอ้ คิดเหน็ ของบคุ คลใดบุคคล
หน่งึ เกี่ยวกบั เรอื่ งใด เร่อื งหน่ึง ส่วนบทความกงึ่ ชีวประวตั นิ นั้ ต้องการแสดง
เร่อื งราวเก่ียวกับตวั บคุ คลท่ใี ห้สัมภาษณ์ แตไ่ มไ่ ด้เนน้ ทีอ่ ตั ชวี ประวัติกลับไป
เน้นท่คี วามสามารถและคณุ สมบัติพเิ ศษทที่ าใหเ้ ขาประสบความสาเรจ็ ย่ิงใหญ่
กว่าบุคคลทั่วไป เขามีวธิ กี ารและหลักการในการดารงชีวติ ตลอดจนการปฏิบัติ
ตนอยา่ งไร เรือ่ งชีวประวัตเิ ป็นสง่ิ สาคัญรองลงมา ขอ้ มลู ทเ่ี ราเก็บเอามาเขยี นนน้ั
นอกจากจะได้จากการสัมภาษณ์บคุ คลนนั้ เองแลว้ อาจได้มาจากการสอบถาม
บุคคลแวดลอ้ ม ซ่ึงมีท้งั ญาตมิ ิตร และศตั รู ตลอดจนจากเอกสารหรือผลงานตา่ งๆ
ทเ่ี ขาไดเ้ คยสรา้ งไว้ รวมกันเข้าเป็นขอ้ มลู สาหรบั ประกอบการเขียนบทความ

4. บทความประเภทใหค้ วามรู้ เป็นบทความทใ่ี ห้ความรูเ้ ก่ยี วกับเร่ืองใด
เร่ืองหนงึ่ หรอื อธบิ ายวิธที าส่ิงใดสง่ิ หนึ่ง ในการเขียนควรเลือกเรอื่ งทดี่ งึ ดูด

ความสนใจ และผ้อู ่านสามารถ ทาความเขา้ ใจตลอดจนปฏิบัตติ ามไดไ้ ม่
ยาก หวั ขอ้ ท่จี ะเลอื กมาเขยี นมีอยกู่ วา้ งขวาง เช่น เปน็ เรื่องทเี่ กยี่ วข้องกบั

ปัจจัย 4 เปน็ ต้นว่า วิธีปรงุ อาหารคาวหวาน วธิ ตี ัดเย็บเสือ้ ผ้า การทาสวน
ครวั ฯลฯ

5. บทความประเภทใหแ้ งค่ ดิ โน้มนา้ วใจ หรอื กระตนุ้ ใหก้ ระทาอยา่ งใด
อยา่ งหนง่ึ ผเู้ ขยี นอาจเขียนอยา่ งตรงไปตรงมา หรอื เขียนในเชงิ อปุ มาอปุ มยั ก็
ได้ การเขียนเชงิ อุปมาอปุ มยั นนั้ จะพดู ถงึ สงิ่ อื่น ผกู เปน็ เรื่องราวต่อเนื่องกนั
โดยตลอด ขอ้ ความท้ังเร่ืองจะแทนความคดิ ทต่ี อ้ งการใหผ้ ้อู า่ นทราบ เชน่
กลา่ วถึงสัตวฝ์ งู หน่ึง แตเ่ ดมิ เคยอยเู่ ปน็ สุขรกั ใครส่ ามัคคกี ัน ตอ่ มาทะเลาะ
กันวิวาทกนั แยกตวั ไปอยทู่ อ่ี นื่ เป็นจานวนมากไม่ช้านักสตั ว์ฝงู นนั้ ก็ถกู สตั ว์
ฝูงอน่ื รงั แกล้มตายไปหมดสิน้ เร่ืองทัง้ หมดนี้เป็นการแทนความคดิ ของ
ผเู้ ขยี นทีจ่ ะชี้ใหเ้ ห็นโทษของการแตกสามคั คี เรอื่ งที่นามาเขียนอาจเป็นการ
ใหแ้ งค่ ดิ ทั่ว ๆ ไป เช่น เรือ่ งการประหยัด ความรกั ชาติ ความเป็นพลเมอื งดี
ฯลฯ

6. บทความประเภทรายงานผลการทอ่ งเทย่ี ว

ถา้ เป็นการไปเทยี่ วสถานทแี่ ปลกใหม่ ไมเ่ คยมใี ครไปมาก่อน จะเร้าความ
สนใจของผู้อ่านดขี น้ึ เนือ้ เรื่องนอกจากจะกลา่ วถึงเรือ่ งราว การเดินทาง
ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ และความสวยงามของสถานทีน่ ้ัน ๆ แลว้ ยังอาจแทรก
เกร็ดความรู้ตา่ ง ๆ เชน่ ขอ้ ผดิ พลาด ข้อเสนอแนะเพ่อื ความสะดวกสบาย
สถานท่ที ี่ไมค่ วรพลาด ขอ้ คิดเหน็ บางประการเกยี่ วกับสถานท่ีนน้ั ซงึ่
ผู้เขยี นเห็นวา่ ควรจะมีควรจะเป็น ฯลฯ เกร็ดเหลา่ น้ีจะช่วยเสริมเรื่องราวให้
นา่ อา่ นยง่ิ ขึ้น

7. บทความประเภทวิจารณ์ ผ้เู ขยี นจะตอ้ งพิจารณาข้อเทจ็ จริง ลกั ษณะและคณุ สมบตั ิ
ตา่ ง ๆ ของเรื่องที่จะวิจารณ์อย่างถ่ีถ้วน โดยอาศัยหลกั วิชา เหตุผลหรือข้อเทจ็ จรงิ ตัดสนิ วา่
ดีหรอื ไม่ ควรหรอื ไมค่ วรอยา่ งไร บทความประเภทวิจารณ์น้ีแบ่งออกเปน็ ประเภทย่อย ๆ
ได้ 3 ประเภท
7.1 บทวิจารณห์ นงั สอื ผู้เขยี นจะตอ้ งมคี วามรู้กวา้ งขวางในวชิ าการหลายแขนง เพอ่ื
เปน็ แนวในการพิจารณาคุณคา่ ของหนงั สือเรอ่ื งนน้ั ผเู้ ขียนจะวจิ ารณโ์ ดยใชค้ วามรูส้ กึ
สว่ นตัวมไิ ด้ ต้องอาศัยหลกั วชิ า หยิบยกประเดน็ ตา่ ง ๆ ของหนังสอื มากล่าวว่าดี
หรือไม่ เหมาะหรอื ไมเ่ หมาะอย่างไร เช่น การวจิ ารณ์นวนิยายเรอื่ งหน่งึ ประเดน็ ทจี่ ะต้อง
พจิ ารณากค็ อื การใช้ภาษา เคา้ โครงเร่ือง การจดั ฉาก ลกั ษณะตัวละคร ความสมจรงิ การ
ดาเนนิ เรือ่ ง การคลี่คลายเรอ่ื ง ผวู้ จิ ารณต์ อ้ งกลา่ วทัง้ แงด่ ีและแง่ไม่ดี ท้ายสดุ ผูว้ ิจารณ์ตอ้ ง
สรปุ ข้อคิดเห็นของตนเองว่าหนงั สือ เรอ่ื งน้ันมคี ุณค่าควรแก่การอา่ นหรือไม่เพยี งใด

7.2 บทความวิจารณ์ขา่ ว มมี ูลเหตโุ ดยตรงมาจากขา่ ว และเปน็ ขา่ วที่
ก่อให้เกดิ ปัญหาในกลุ่มชน อาจเปน็ ปญั หาสว่ นรวมหรอื ปญั หาส่วนบุคคลก็
ได้ ผ้เู ขยี นจะตอ้ งศกึ ษาทมี่ าของขา่ ว ตลอดจนผลอันจะเกิดขน้ึ เน่อื งจากข่าว
นนั้ แล้วนามาเขียนวิจารณแ์ สดงข้อคดิ เหน็ ของตนวา่ ควรหรอื ไม่ควร
อย่างไรตามเน้ือหาของข่าว และอาจแสดงข้อคดิ เหน็ เพ่มิ เตมิ เป็นการ

เสนอแนะดว้ ย

7.3 บทความวิจารณก์ ารเมอื ง ผเู้ ชย่ี วชาญหยิบยกเอาเรื่องราวตา่ งๆ

ทางการเมืองทเี่ ป็นปญั หาขึ้นมากล่าวในเชิงวิพากษ์วจิ ารณ์ การกระทาใดๆ
ก็ตามยอ่ มมที ้ังดแี ละเสีย ฉะน้ันผูเ้ ขยี นต้องคอยจบั เอาเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ทมี่ ีผล
ดังกลา่ วมาแยกแยะ แสดงความคดิ เห็นและ อาจแนะแนวทางปฏบิ ตั ิ
นอกเหนือจากท่ีไดเ้ ปน็ ไปแลว้ ผู้เขยี นบทความวิจารณก์ ารเมอื ง จะตอ้ งเปน็
ผ้ตู ิดตามข่าวคราวใหท้ นั เหตกุ ารณ์ มีความรอบรู้ทั้งการเมอื งภายใน และ
ภายนอกประเทศ การเมอื งในอดตี และปจั จบุ นั ซ่ึงจะช่วยทานายเหตกุ ารณ์ท่ี
อาจเกดิ ขนึ้ ในอนาคตได้

วธิ ีหาเนือ้ หา

กอ่ นทเ่ี ขียนบทความ ผเู้ ขียนจาตอ้ งสืบเสาะหาความรู้และเรื่องราวอันเปน็ สาระมาเพ่อื เปน็ เนอื้ หาแหง่
การเขียน เพราะมิใช่เป็นการเขยี นประเภททแ่ี ต่ง หรอื สมมติขน้ึ เองได้ เราอาจหาเนือ้ หาได้จากแหลง่
ตา่ งๆ ดังน้ี
๑. จากการสัมภาษณ์ การซักถามสอบถามผ้รู ู้
๒. จากการสืบเสาะวา่ ท่ใี ดมีอะไรบ้าง ไปดสู ถานท่ี ไปพบบุคคล ไปดเู หตกุ ารณ์การกระทา
๓. จากข่าวในหนา้ หนังสอื พิมพ์รายวนั ซงึ่ เปน็ ขา่ วสดใหม่ มีทุก ๆ ชนดิ ตง้ั แต่ โจรกรรม ฆาตกรรม
ฉ้อโกง การเมอื ง ตั้งแตเ่ รอ่ื งใหญจ่ นถึงเร่อื งสามญั นักเขียนบทความจะหยิบยกเร่ืองจากข่าวสดมา
เขียนไดเ้ สมอ
๔. จากหนังสอื ต่างๆ
๕. จากบุคคลต่างๆ เรม่ิ จากบุคคลที่อย่ใู กล้ตัวเรา
๖. จากการเดินทางทอ่ งเทยี่ ว
๗. จากปฏทิ นิ ในรอบปีซงึ่ มถี ึง ๑๒ เดอื นนั้น มีเทศกาลมากมายหลายอยา่ ง ตงั้ แตพ่ ระราชพิธจี นถงึ
งานตา่ งๆ
๘. จากวงการและสถานบนั ต่างๆ

วธิ ีเขียนบทความ

การเขียนบทความใหไ้ ดด้ นี น้ั ถา้ ผ้เู ขียนรจู้ กั วางโครงเร่ืองให้ดกี ็จะ
ช่วยการเขยี นได้มาก เพราะโครงเรื่องจะชว่ ยควบคุมการเขยี น ให้เปน็ ไป
ตามแนวคดิ ท่ี กาหนดไว้ ทั้งยังเปน็ การป้องกันมใิ ห้เขียนวกวน ซา้ กลบั ไป
กลับมาอีกด้วย โครงเรื่องของบทความแบง่ เปน็ ๓ ตอน คือ คานา เนอ้ื เรื่อง
และสรปุ

๑. คานา เปน็ การเกรนิ่ บอกกล่าวให้รวู้ า่ จะเขยี นเรื่องอะไร การขึ้นคานามอี ยู่
๒ แบบ คอื การกล่าวทัว่ ไปกอ่ นท่จี ะวกเข้าเรื่องทจ่ี ะเขยี น และการกลา่ ว
เจาะจงลงไปตรงกับหัวเร่อื งทจ่ี ะเขยี นเลยทีเดียวการเขียนคานา ตอ้ งใหน้ า่
อา่ นชวนติดตาม เพราะผอู้ า่ นนิยมอ่านยอ่ หน้าแรกก่อน ถ้าเขยี นคานา ตอ้ ง

ให้นา่ อา่ นชวนติดตาม

วิธีเขยี นคานา

การเขยี นคานาเปน็ ตอนทย่ี ากทสี่ ดุ ถา้ เริ่มไดแ้ ลว้ กจ็ ะชว่ ยใหเ้ รอ่ื งดาเนนิ ไป การเขยี นคา
นาจงึ ต้องการความประณตี มาก เพอ่ื เปน็ เครอื่ งจูงใจผู้อา่ น ใหต้ ิดตามเร่อื งตอ่ ไปจนจบ
การเขียนคานามีหลายแบบดังนี้
๑. นาดว้ ยขา่ ว
๒. นาด้วยการอธบิ าย
๓. นาดว้ ยการเสนอความคิดเหน็
๔. นาดว้ ยการใช้คาทที่ าใหผ้ ้อู ่านเกดิ ความสนใจ
๕. นาด้วยการบอกความสาคัญ
๖. นาดว้ ยการประชดประชนั หรอื เสยี ดสี
๗. นาดว้ ยคาถาม
๘. นาด้วยการสรุปใจความสาคัญของเร่ือง
๙. นาดว้ ยสภุ าษิต คาคม บทกวี

๒. เนอ้ื เร่อื ง แบง่ เป็น ๒ ตอน คือ สว่ นแรกเป็นการขยายความ เม่ือเกริน่ ใน
คานาแล้วผอู้ ่านยงั ติดตามความคิดได้ไม่ดพี อ กต็ อ้ งขยายความออกไป
เพือ่ ช่วยให้เข้าใจได้มากขึน้ สว่ นที่สองเป็นรายละเอยี ด มกี ารให้สถิติ
รวบรวมขอ้ มลู การเปรยี บเทียบหรือยกตวั อยา่ งประกอบ แต่ต้องระวัง อย่า
ใหม้ ากเกนิ ไปจนน่าเกลียด

๓. สรุป เปน็ ส่วนที่แสดงทัศนะขอ้ คดิ เหน็ ของผอู้ ่นื รวมทัง้ ให้ข้อเสนอแนะ
ในการแก้ปัญหาทีม่ ดี ว้ ย

วิธเี ขยี นเน้อื เรอ่ื ง

เนือ้ เร่อื งเป็นสว่ นท่ีสาคัญและเปน็ ส่วนท่ยี าวทีส่ ดุ รวมความคดิ และข้อมูลทง้ั หมด
ยอ่ หน้าแตล่ ะย่อหน้าในเน้อื เรอ่ื งจะต้องสัมพันธเ์ ปน็ เรือ่ งเดยี วกนั มลี าดบั ข้นั ตอนไมว่ กวน
ไปมา กอ่ นท่ีจะเขียนบทความผู้เขยี นจึงต้องหาข้อมลู หาความรู้ทจ่ี ะนามาเขียนเสยี กอ่ น
การหาข้อมลู นน้ั อาจได้จากการสัมภาษณ์ การสอบถามผู้รู้ การเดนิ ทางทอ่ งเที่ยว การ
อ่านหนังสอื่ พมิ พ์หรอื หนังสอื่ ตา่ งๆ ในการเขยี นเนอ้ื เร่ืองควรคานึงสง่ิ ตา่ งๆ ดังนี้
๑. ใช้ถอ้ ยคาท่ีถูกตอ้ งตามความหมาย ใช้ตัวสะกดถูกต้องตามพจนานกุ รม
๒. ใชส้ านวนโวหารใหเ้ หมาะกบั เรอ่ื ง เช่น ใช้ถ้อยคาที่เปน็ ทางการ ใช้ศัพทเ์ ฉพาะในการ
เขยี นบทความทางวชิ าการ ใชถ้ อ้ ยคาทดี่ งึ เปน็ ภาษาปาก คาแสลง ในการเขียนบทความ
ทว่ั ไป
๓. มขี อ้ มลู เหตผุ ล สถติ แิ ละการอ้างอิงประกอบเรอ่ื ง เพื่อใหเ้ ข้าใจง่ายและนา่ เชื่อถอื

วิธเี ขียนสรปุ

การเขียนบทความในสว่ นสรุปหรอื คาลงทา้ ย เปน็ ส่วนทผ่ี ู้เขียนตอ้ งการบอกให้
ผูอ้ ่ืนทราบว่า ข้อมูลทั้งหมดที่เสนอมาได้จบลงแล้ว ผเู้ ขยี นควรมกี ลวิธี ทีจ่ ะทาให้
ผอู้ า่ น พอใจ ประทบั ใจ ส่วนสรุปนเี้ ป็นสว่ นที่ฝากความคดิ และปญั หาไวก้ ับ
ผอู้ ่านหลงั จากทีอ่ า่ นแลว้ การเขยี นสรปุ หรอื คาลงท้ายมีหลายแบบดังนี้
๑. สรปุ ด้วยคาถามท่ีชวนให้ผูอ้ ืน่ คดิ หาคาตอบ
๒. สรุปดว้ ยการแสดงความประสงค์ของผูเ้ ขียน
๓. สรปุ ด้วยใจความสาคญั
๔. สรุปดว้ ยการใชค้ ากล่าว คาคม บทกวี
๕. สรปุ ด้วยการเลน่ คา


Click to View FlipBook Version