The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทความวิจัย งานวิชาการระดับชาติ 2567 (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by CCD Thailand, 2024-06-24 22:41:10

บทความวิจัย งานวิชาการระดับชาติ 2567_อภิญญา

บทความวิจัย งานวิชาการระดับชาติ 2567 (1)

1 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” ผลการใช้แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมเพื่อลดพฤติกรรมสะบัดมือ ของเด็กออทิสติกในระดับเตรียมความพร้อม The Effects on Using The Behavioral Intervention Plan To Reduce Finger – Flicking Behavior Of A Child With Autism At The Preparation Level อภิญญา ทองจะโปะ Apinya Thongjapo ศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดส านักบริหารงานการศึกษาพิเศษ E-mail: [email protected] บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมที่มีผลต่อการ ลดพฤติกรรมสะบัดมือของเด็กออทิสติกในระดับเตรียมความพร้อม ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นเด็กที ่ได้รับการ วินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก เพศชาย อายุ 4 ปี จ านวน 1 คน ก าลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นเตรียมความพร้อม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เป็นการวิจัยเชิง ทดลองแบบรายกรณี (Single Subject) ประเภท ABA Design ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ ระยะเส้นฐาน (Baseline) 1 สัปดาห์ ระยะทดลอง (Intervention) 4 สัปดาห์ และระยะถอดถอน (Withdrawal) 1 สัปดาห์ ท าการ ทดลองสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติการวิจัย ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ หน้าที่พฤติกรรม จ านวน 8 ประเภท 2) แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบบันทึกการแสดงพฤติกรรมสะบัดมือ 2) แบบบันทึกหลังการสอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้จ านวนค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า หลังการใช้แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม เด็กออทิสติกมีพฤติกรรมสะบัดมือลดลง โดยพบว่าระยะเส้นฐานมีพฤติกรรมเกิดขึ้นร้อยละ 52.76 ในระยะการทดลองซึ่งเป็นระยะที่ใช้แผน ให้ความช่วยเหลือด้าน พฤติกรรม มีพฤติกรรมเกิดขึ้นร้อยละ 28.17 และในระยะถอดถอนมีพฤติกรรมเกิดขึ้น ร้อยละ 12.12 ค าส าคัญ : เด็กออทิสติก, แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม, พฤติกรรมสะบัดมือ


2 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” Abstract The objective of this research is to study the effectiveness of an intervention plan aimed at assisting in reducing finger-flicking behavior in preschool-aged children diagnosed with autism spectrum disorder (ASD) at the pre-kindergarten readiness level. The participant was a 4 year old male diagnosed with ASD, currently enrolled in the second semester of the academic year 2023. This study employed a purposive sampling method and utilized a single-subject experimental design, specifically the ABA design. The ABA design consists of three phases: the baseline phase, lasting for one week, the intervention phase, lasting for four weeks, and the withdrawal phase, lasting for one week. The experimental sessions were conducted five times a week, with each session lasting 30 minutes. The instruments used inthis study were:1)Eight typesof tools foranalyzing behavioral functions. 2)Behavioral intervention plans with datacollectiontools, including: 1)Recording forms for finger-flicking behavior 2)Post - teaching records to collect data by observing finger-flicking behavior during developmental stimulation hours. Analyzing the datausing percentages. The research findings indicate that, following the implementation of the behavioral intervention plan, there was a reduction in finger-flicking behavior in children with autism. The baseline phase showed a prevalence of finger-flicking behavior at 52.76%, during the intervention phase, where the movement activity plan was employed, theoccurrence decreased to 28.17%. In the withdrawal phase, the fingerflicking behavior further reduced to 12.12%. Keywords: Autism Spectrum Disorder, Behavior Intervention Plan, Finger-Flicking Behavior


3 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” บทน า ภาวะออทิสติก (Autism Spectrum Disorder หรือ ASD) เกิดจากการท างานของระบบประสาทในสมองที่ ผิดปกติ ส ่งผลให้เกิดความบกพร ่องทางพัฒนาการ 2 ด้านหลัก ๆ ที ่ส าคัญคือ 1) ด้านการสื ่อสารทางสังคมและ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และ 2) ด้านพฤติกรรมที่แสดงออกซ ้า ๆ ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวนี้ จะแสดงให้เห็นตั้งแต่อายุ 3 ปี โดยพฤติกรรมซ ้า ๆ พบได้ในเด็กที่มีภาวะออทิสซึมสเปกตรัมมากถึงร้อยละ 80 ซึ่งเด็กกลุ่มนี้มากกว่าร้อยละ 50 มักมีความผิดปกติของระบบประสาทสัมผัสที่ช้าเกินกว่าปกติหรือเรียกว่า Hyposensitivity (Schulz & Stevenson, 2019) พฤติกรรมซ ้า ๆ ดังกล่าวข้างต้นเกิดจากความบกพร่องทางด้านประสาทสัมผัสการรับความรู้สึก (Sensory processing) (Goldberg, Mena & Miller 1999) ส ่งผลท าให้แสดงพฤติกรรมซ ้า ๆ (Stereotyped Behavior) ใน ลักษณะการกระตุ้นตัวเอง เช่น การโยกตัวไปมา เดินเขย่งปลายเท้า รวมถึงการเล่นนิ้วมือ (ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา, 2560) ซึ่งพฤติกรรมซ ้า ๆ เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมาโดยอัตโนมัติที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม อื่น ๆ มากระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมซ ้า ๆ แต่สาเหตุนั้นมาจากความต้องการด้านประสาทสัมผัส เด็กออทิสติกที่แสดงพฤติกรรมซ ้า ๆ (American Psychiatric Association, 2013) ออกมามากเกินไปนั้นจะ พลาดโอกาสหรือถูกขัดขวางโอกาสในการเรียนรู้ ท าให้มีส่วนร่วมท ากิจกรรมในชั้นเรียนน้อย มีความยากล าบากต่อการ ท ากิจกรรมที่มีเป้าหมาย (Purposeful Activity) ขาดทักษะในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จนไม่สามารถเรียนรู้ได้อย ่างเต็ม ศักยภาพทั้งทางด้านวิชาการและด้านทักษะทางสังคม นอกจากนี้หากพฤติกรรมซ ้า ๆ มีความถี่มากเกินไปอาจเป็น สาเหตุท าให้เด็กออทิสติกไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ที่อยู่รอบข้างรวมถึงยังท าให้การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างเด็ก ออทิสติกกับผู้อื่นลดลงด้วย จากการศึกษาเอกสารต าราวิชาการและงานวิจัยที ่เกี ่ยวข้องกับ โดยการใช้กระบวนการประเมินหน้าที่ พฤติกรรม (Functional Behavior Assessment : FBA) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมและระบุหน้าที่ของพฤติกรรม ที่เป็นปัญหาอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน รวมถึงเป็นกระบวนการที่ท าให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (Dunlap et al. 1991; Horner and Carr, 1997) ดังที่ สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต (2562) กล่าวว่า กระบวนการประเมินหน้าที่พฤติกรรมเพื่อ ช่วยหาสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลให้เป็นไปตาม เป้าหมายที่ต้องการได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ส าคัญเพื่อหาสาเหตุให้สอดคล้องกับหน้าที่ของพฤติกรรมและน าเอา หลักการมาประยุกต์ใช้เพื ่อเปลี ่ยนแปลงพฤติกรรมอย ่างเป็นระบบจึงสามารถแก้ไขปัญหาพฤติกรรมได้อย ่างมี ประสิทธิภาพ


4 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” การใช้กระบวนการประเมินหน้าที่พฤติกรรม (FBA) มีความส าคัญของการท าความเข้าใจถึงพฤติกรรมที่เป็น ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล เป็นระบบและเป็นขั้นตอน ซึ่งเป็นกระบวนการประเมิน และวิเคราะห์พฤติกรรม เบื้องต้นกับกระบวนการเก็บข้อมูล การสร้างสมมติฐาน จากการสังเกตการแสดงออกของพฤติกรรมที่เป็นปัญหากับ สภาพแวดล้อมในสถานการณ์นั้นให้มีความเข้าใจในการช่วยเหลือและเข้าใจถึงล าดับขั้นตอนที่มาของสาเหตุการเกิด พฤติกรรมอย่างแท้จริงในการลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาว่ามีสิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้น ที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมและผลของ พฤติกรรมที่ตามมา ที่จะส่งผลไปยังพฤติกรรมที่ต้องการหรือพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นอย่างถาวรและ มีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างและสนับสนุนพฤติกรรมที ่เหมาะสมเพื ่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์และทักษะทางสังคมอย ่างเหมาะสม (Manente et al., 2010) ดังนั้นก่อนที่จะด าเนินการปรับพฤติกรรมจึงต้องมี การประเมินหน้าที่พฤติกรรมเพื่อให้ได้ ข้อมูลส าคัญเกี่ยวกับพฤติกรรม ที่เป็นปัญหาและน าไปสู่การวางแผนการปรับพฤติกรรมโดยใช้แผนให้ความช่วยเหลือ ด้านพฤติกรรมต่อไป จึงเห็นความส าคัญของการใช้กระบวนการให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมส าหรับการปรับ พฤติกรรมซ ้า ๆ ของเด็กออทิสติก จากการวิเคราะห์พฤติกรรมการสะบัดมือของเด็กออทิสติกดังกล่าวข้างต้น พบว่า พฤติกรรมสะบัดมือของเด็ก ออทิสติกนั้น เกิดจากความต้องการด้านประสาทสัมผัส (Sensory) ที่ไม่สมดุลของข้อต่อทั้งนิ้วมือและข้อมือจัดเป็น Hyposensitivity เรียกว่า Proprioceptive จัดอยู่ในระบบการรับความรู้สึกกล้ามเนื้อ เอ็นและข้อต่อ ซึ่งเป็นระบบรับ ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและต าแหน่งต่าง ๆ ของร่างกายโดยจะเป็นระบบที่ท างานร่วมกับระบบการ สัมผัส เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายมีความบกพร่อง ในส่วนนี้จึงต้องการได้รับการกระตุ้นในส่วนของข้อต่อทั้งนิ้วมือและ ข้อมือ สอดคล้องกับ สรินยา ศรีเพชราวุธ (2555) ที่กล่าวว่า การที่เด็กที่มีภาวะออทิสซึมสเปกตรัมมีพฤติกรรมซ ้า ๆ นั้น เกิดจากกระบวนการท างานของสมองในการจัดการกับข้อมูลที่ได้รับมาจากการรับความรู้สึก (Sensory) ที่ตอบสนอง ต ่อสิ ่งเร้าทางความรู้สึกที ่ไม ่เพียงพอและไม ่เหมาะสม ถ้าได้รับการกระตุ้นที ่เหมาะสมจะสามารถ มีพฤติกรรมที่ พึงประสงค์ ส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและใช้ประโยชน์ในการท ากิจกรรมต่าง ๆ ใน ชีวิตประจ าวันได้ทั้งการเล่น การเรียนรู้ การเคลื่อนไหว การท างาน การแสดงออก การควบคุมพฤติกรรมอารมณ์ได้ การกระตุ้นการท างานของประสาทสัมผัสรับความรู้สึกนั้น สามารถท าได้โดยใช้วิธีการบูรณาการประสาท สัมผัสรับความรู้สึก (Sensory Integration : SI) ซึ่งเป็นการบูรณาการประสาทความรู้สึกจากอวัยวะรับสัมผัสต่าง ๆ เป็นกระบวนการบูรณาการประสาทความรู้สึกทางสมองให้ท าหน้าที ่ได้อย ่าง มีประสิทธิภาพ เกิดการสร้าง องค์ประกอบพื้นฐานในการท ากิจกรรมอย่างสมบูรณ์และมีความหมายเกิดการรับรู้ตนเอง สามารถก ากับตนเองรวมทั้ง


5 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” พัฒนาความสามารถในการท าหน้าที ่ของร ่ายกาย การเคลื ่อนไหว จิตใจและอารมณ์ ซึ ่งส ่งผลต ่อการเรียนรู้และ พฤติกรรม สามารถเกิดการตอบสนองเพื่อการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้เหมาะสม รวมถึงการร่วมกิจกรรมทางสังคมได้ จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการปรับพฤติกรรมสะบัดมือในเด็กออทิสติก โดยใช้แผน ให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมที่ได้มาจากกระบวนการวิเคราะห์หน้าที่พฤติกรรม (Functional- Based Behavior Intervention) ซึ ่งหน้าที ่ของพฤติกรรม คือเกิดจากความต้องการ ด้านประสาทสัมผัส (Sensory) จึงมีแนวคิด พื้นฐานในการออกแบบกิจกรรมด้วยการบูรณาการประสาทสัมผัสรับความรู้สึก (Sensory Integration) เพื ่อลด พฤติกรรมสะบัดมือ และคาดหวังว่าจะส่งผลดีต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วมท ากิจกรรมในชั้นเรียนของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นเด็กออทิสติก วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมที่มีผลต่อการลดพฤติกรรมการสะบัด มือของเด็กออทิสติกในระดับเตรียมความพร้อม การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง 1. ขั้นตอนของกระบวนการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของการเกิดพฤติกรรม งานวิจัยครั้งได้สร้างเส้นทางแสดงรูปแบบของพฤติกรรม (Competing Behavior Pathway) ดังต่อไปนี้ แผนภาพแสดงรูปแบบของพฤติกรรม (Competing Behavior Pathway) ของเด็กออทิสติกกรณีศึกษา 4.ปัจจัยที่อาจมีผล ไม่มี 2.เหตุการณ์/สิ่งเร้า ครูให้นั่งรอทำ กิจกรรม 1.พฤติกรรมเป้าหมาย สะบัดมือ 3.ผลที่ตามมา ครูเรียกชื่อนักเรียน และบอกให้หยุด 6.พฤติกรรมที่ต้องการ -มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมในชั้นเรียน -ทำงานได้สำเร็จในเวลาที่กำหนด -พฤติกรรมการเล่นนิ้วมือลดลง 7.ผลที่ตามมา - มีทักษะการเรียนรู้ในการเรียนต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น - มีทักษะในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดีขึ้น - มีทักษะการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา ใช้มือปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างมีความหมาย 8.หน้าที่พฤติกรรม Function of behavior Sensory 5.พฤติกรรมทางเลือก ยกมือขออนุญาตหรือชูป้ายขึ้นหรือให้ แสดงพฤติกรรมบางอย่างให้ครูรู้


6 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” กล่าวโดยสรุป กระบวนการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมเป็นกระบวนการท าความเข้าใจ รูปแบบของการเกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาอย่างมีระบบ ผ่านกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลที่หลากหลายเพื ่อน า ข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมเป้าหมายที่ถูกต้องและแม่นย าและน าไปสู่การสร้างแผนการปรับ พฤติกรรมแบบองค์รวมทั้งการสร้างแผนป้องกัน แผนการสอนแผนการเสริมแรงและแผนการตอบสนองเมื ่อเกิด พฤติกรรมเป้าหมายที ่สอดคล้องกับสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมเป้าหมาย อย ่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของ กระบวนการหาสาเหตุของการเกิดพฤติกรรม และการวางแผนการปรับพฤติกรรมนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระบวนการเก็บ ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว แต่กระบวนการนี้จะมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้นยังขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และทักษะของผู้น าไปใช้ และความร่วมมือของบุคลากร ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กที่มีภาวะออทิสซึมสเปกตรัมด้วย การจะท ากระบวนการนี้ให้ส าเร็จได้นั้น มีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่ผู้น าไปใช้จะต้องฝึกฝนอย่างสม ่าเสมอเพื่อที่จะสามารถ น ากระบวนการดังกล่าวไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างครูการศึกษาพิเศษ ครู ประจ าชั้น ผู้ปกครอง ผู้ดูแลและบุคลากรอื่น ๆ ในโรงเรียนที่เกี่ยวข้องกับเด็กอีกด้วย 2. แผนผังสรุปขั้นตอนการช่วยเหลือด้านการปรับพฤติกรรม (Functional - Based Behavior Intervention)


7 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” กรอบแนวคิดการวิจัย วิธีการศึกษา 1. กลุ่มตัวอย่าง เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก เพศชาย อายุ4 ปีจ านวน 1 คน ก าลังศึกษาอยู่ ระดับชั้นเตรียมความพร้อมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ได้รับความยินยอม จากผู้ปกครองในการให้ความร่วมมือตลอดการวิจัย 2. ตัวแปรที่ศึกษา คือ พฤติกรรมสะบัดมือ 3. สิ่งทดลอง ได้แก่แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 2 ประเภท 4.1 เครื่องมือปฏิบัติการวิจัย ประกอบด้วย 4.1.1เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หน้าที่พฤติกรรม (Functional Behavior Assessments) จ านวน 8 ประเภท ประกอบด้วย 1) แบบสังเกตพฤติกรรม ABC Recording Form 2)แบบสังเกตตาราง (Scatterplots) 3)แบบประเมินแรงเสริม 4)แบบประเมินแรงจูงใจพฤติกรรมที่เป็นปัญหา (MAS I Motivation) 5)แบบประเมินพฤติกรรมการประมวลความรู้สึก 6)แบบตรวจสอบรายการพฤติกรรมการบูรณาการประสาทความรู้สึก 7)แผนภูมิสามเหลี่ยม Data Triangle Chat 8)แผนภาพแสดงรูปแบบของพฤติกรรม (Functional Behavior Assessment Competing Behavior Pathway: FBA) 4.2.2แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม พฤติกรรมสะบัดมือ


8 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” 4.2 เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 4.2.1 แบบบันทึกการแสดงพฤติกรรมสะบัดมือ 4.2.2 แบบบันทึกหลังการสอน 5. การด าเนินการทดลอง 5.1 ก่อนด าเนินการทดลอง ผู้วิจัยด าเนินเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ก าหนดระยะเวลาที่ใช้ในการสังเกต คือ คาบฝึกทักษะกระตุ้นพัฒนาการด้านร่างกาย (กล้ามเนื้อ เล็ก) เวลา 10.00 – 10.30 น. ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร 2. เชิญครูกิจกรรมบ าบัดและครูการศึกษาพิเศษ เป็นผู้ช่วยวิจัย จ านวน 2 คน คนที่ 1 ท าหน้าที่เป็น ผู้สังเกตร่วมกับผู้วิจัย ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นระหว่างผู้สังเกต ร้อยละ 80 ขึ้นไป คนที่ 2 ท าหน้าที่เป็นครูสอนกระตุ้น พัฒนาการด้านร่างกาย (กล้ามเนื้อเล็ก) ผู้วิจัยอธิบายจุดมุ่งหมายของการวิจัยและกระบวนการในการวิจัยให้ผู้ช่วยวิจัย เข้าใจ 5.2 วิธีการทดลอง แบบแผนการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบศึกษารายกรณี (Single Subject Design) แบบ ABA Design แบบแผนการวิจัย ดังนี้ ระยะเส้นฐาน ระยะทดลอง ระยะถอดถอน A1 B A2 การด าเนินการทดลองใช้ระยะเวลาในการทดลองทั้งสิ้น 30 วัน โดยท าการทดลอง 3 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะเส้นฐาน (A1 ) เป็นระยะเวลาที่มีการเก็บข้อมูลเส้นฐาน โดยน าข้อมูลจากการสังเกต และบันทึก พฤติกรรมสะบัดมือมาค านวณหาค่าร้อยละของการเกิดพฤติกรรมของเป้าหมาย โดยยังไม่มี การจัดกระท าใด ๆ เป็น เวลา 1 สัปดาห์ ด าเนินการสังเกตพฤติกรรมโดยผู้สังเกต 2 คน คือผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัย ท าการสังเกตพฤติกรรมสะบัดมือ ขณะที่เด็กออทิสติกเรียนวิชาทักษะกระตุ้นพัฒนาการด้านร่างกาย (กล้ามเนื้อเล็ก) เป็นเวลา 30 นาทีคือ ช่วงเวลา 10.00 น. ถึง 10.30 น. ท าการจับเวลาโดยนาฬิกาจับเวลาเพื่อท าการสังเกต


9 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” 2. ระยะทดลอง (B) ผู้วิจัยน าแผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมที่ก าหนดไว้ มาใช้กับเด็กออทิสติกเพื ่อลด พฤติกรรมสะบัดมือ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จ านวน 20 วัน ในวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ คาบวิชาทักษะกระตุ้นพัฒนาการด้าน ร่างกาย (กล้ามเนื้อเล็ก) ในช่วงเวลา 10.00 น. ถึง 10.30 น. รวมวันละ 30 นาที การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมสะบัดมือ โดยผู้สังเกต 2 คน มี ขั้นตอนดังนี้ 3. ระยะถอดถอน (A2 ) เป็นระยะที่หยุดใช้แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมกับเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาแต่ ยังคงสังเกตและบันทึกพฤติกรรม วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เป็นเวลา 5 วัน วันละ 30 นาที คือในช่วงเวลา 10.00 น. ถึง 10.30 น. เพื่อดูความคงที่ของพฤติกรรมที่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พึงประสงค์ 6. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยน าข้อมูลจากแบบบันทึกพฤติกรรมสะบัดมือ โดยการหาค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ของผู้สังเกต 2 คน และน ามาหาค่าร้อยละของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละระยะการทดลอง ทั้ง 3 ระยะ น าข้อมูลมา แสดงด้วยกราฟ ผลการศึกษา กราฟแสดงค่าร้อยละของพฤติกรรมสะบัดมือทั้ง 3 ระยะเส้นฐาน (A1 ) ระยะทดลอง (B) และระยะถอดถอน (A2 ) แผนภูมิที่ 1 แสดงร้อยละของพฤติกรรมการสะบัดมือในระยะเส้นฐาน (A1 )ระยะทดลอง (B) และระยะถอดถอน (A2 ) จากแผนภูมิที่ 1 พบว่าในระยะเส้นฐาน (A1 ) มีค่าร้อยละของพฤติกรรมสะบัดมือร้อยละ 48.13 ถึง ร้อยละ 57.50 ในระยะทดลอง (B) ร้อยละ 11.88 ถึง ร้อยละ 51.87 และในระยะถอดถอน (A2 ) ร้อยละ 10.63 ถึงร้อยละ 14.37 A1 B A2 0 20 40 60 80 5 10 15 20 25 30 (ร้อยละ %X จ านวนครั้ง A1 B A2


10 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” แผนภูมิที่ 2แสดงร้อยละของพฤติกรรมสะบัดมือในระยะเส้นฐาน (A1 ) ระยะทดลอง (B) และระยะถอดถอน (A2 ) จากแผนภูมิที่ 2 พบว่า ในระยะเส้นฐาน (A1 ) เด็กีออทิสติกมีพฤติกรรมสะบัดมือ ร้อยละ 52.76 ในระยะ ทดลอง (B) มีพฤติกรรมสะบัดมือ 28.17 และในระยะถอดถอน (A2 ) มีพฤติกรรมสะบัดมือ 12.12 ตามล าดับ อภิปรายผล จากการศึกษาประสิทธิภาพของแผนปรับพฤติกรรม ที่มีผลต่อการลดพฤติกรรมสะบัดมือของเด็กออทิสติกใน ระดับเตรียมความพร้อม มีประเด็นส าคัญที่น ามาอภิปรายผล ดังนี้ ผลการวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงของค่าเฉลี่ยหลังการใช้แผนให้ความ ช่วยเหลือด้านพฤติกรรม สัปดาห์ที่ 2 3 4 และ 5 ของเด็กออทิสติก เป้าหมายมีพฤติกรรมสะบัดมือลดลงและมีส่วน ร่วมในการท ากิจกรรมในชั้นเรียนเพิ่มขึ้น ซึ่งผลจากการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ท าให้เป้าหมาย ท ากิจกรรมได้ตาม จ านวนที่ก าหนดและเสร็จทันเวลา กว่าก่อนการใช้แผนให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม สอดคล้องกับงานวิจัยของ Sugai et al. (1998) และปริศนา สันค า (2550) จากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าเมื่อเด็กออทิสติกได้รับการให้ความช่วยเหลือโดยใช้แผนให้ความช่วยเหลือด้าน พฤติกรรม ท าให้เด็กออทิสติกมีพฤติกรรมสะบัดมือลดลง สามารถใช้มือท ากิจกรรมได้อย่าง มีความหมายท ากิจกรรม ได้ส าเร็จและทันเวลาที่ก าหนด กระบวนการวิเคราะห์หน้าที่พฤติกรรม โดยการหาสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมจาก กระบวนการ FBA ที่พบว่าหน้าที่พฤติกรรมของเป้าหมายในครั้งนี้เกิดจากความต้องการด้านประสาทสัมผัส (Sensory) ท าให้การออกแบบการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นการใช้กระบวนการ (Sensory Integration) ซึ่งมีผลท าให้เป้าหมายใช้มือ ในการท ากิจกรรมทดแทนการสะบัดมือ สอดคล้องกับงานวิจัยของ Smith and Bryan (1999); สุนิสา เจือหนองแวง (2554); อรทัย สอนทะมาตร (2558) และภคอร ละอ าคา (2562) ที่น ากระบวนการบูรณาการกระตุ้นประสาทสัมผัส (SI) ช่วยให้สามารถลดพฤติกรรมสะบัดมือในเด็กออทิสติกได้ 0 10 20 30 40 50 60 (ร้อยละเฉลี่ย) ระยะศึกษา ระยะศึกษา A1 B A2


11 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1.1 แผนการให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมนี้ เหมาะสมกับเด็กออทิสติกกรณีศึกษาเท่านั้น หาก ต้องการน าแผนการให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมไปใช้กับเด็กออทิสติกรายอื่น ๆ ควรปรับเปลี่ยนกิจกรรมให้ สอดคล้องกับสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล 1..2 ควรให้เด็กออทิสติกออกก าลังกายก่อนเรียนโดยการใช้กิจกรรม Warm up - Cool down ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ตามวัย สมรรถภาพทางกายของเด็กออทิสติก 1.3 ผู้ที ่จะน าแผนการให้ความช ่วยเหลือด้านพฤติกรรมไปใช้ควรจะศึกษาและท าความเข้าใจ พฤติกรรม จุดมุ ่งหมายและล าดับขั้นตอนวิธีการต ่าง ๆ เพื ่อจะได้น าเทคนิคการปรับพฤติกรรมไปใช้ได้อย ่างมี ประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเด็กออทิสติกมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์และมีพัฒนาการที่ดีขึ้น 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรศึกษาการลดพฤติกรรมสะบัดมือที่มีสาเหตุเกิดจากความต้องการด้านประสาทสัมผัสในเด็ก ออทิสติกช่วงอายุอื่น ๆ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรม เอกสารอ้างอิง ทวีศักดิ์ ศิริรัตน์เลขา. (2560). การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2566. จาก http://www. happyhomeclinic.com/au22-autism-care-iep.html ปริศนา สันค า. (2550). การพัฒนาแผนการให้ความช่วยเหลือด้านพฤติกรรมของนักเรียนออทิสติก. (วิทยานิพนธ์ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน การศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร์). ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ภคอร ละอ าคา. (2562). ผลของการใช้กิจกรรมบูรณาการในการลดพฤติกรรมซ ้า ๆ ของเด็กที่มีภาวะออทิสซึม. (วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สรินยา ศรีเพชราวุธ. (2555). กรอบอ้างอิงการบูรณาการประสาทความรู้สึก: ทฤษฎีและการปฏิบัติการทางคลินิก กิจกรรมบ าบัด. เชียงใหม่: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. (2562). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. สุพัตรา วงศ์วิเศษ แอนดราดี. (2560). พฤติกรรมและอารมณ์ในเด็กออทิสติก. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.


12 โครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจ าปี พ.ศ.2567 เรื่อง “บูรณาการศาสตรเพื่อการดูแลบุคคลที่มีความตองการพิเศษ” สุนิศา เจือหนองแวง. (2554). การใช้ชุดกิจกรรมกระตุ้นระบบการรับความรู้สึกและการเคลื่อนไหวเพื่อลดพฤติกรรม การเล่นนิ้วมือในเด็กออทิสติก. (ปริญญานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ) เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. อรทัย สอนทะมาตร. (2558). การใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวแบบ Cyclic Model ตามทฤษฎี Sensory ntegration เพื่อลดพฤติกรรมซ ้า ๆ ของเด็กที่มีภาวะออทิสซึมในระดับเตรียมความพร้อม. (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอนการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร์). ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น. American Psychiatric Association. (2013). Diagnostic and statistical manual of mental disorders. (5th ed.). Washington, DC : American Psychiatric Publishing. Dunlap, G., Kern‐Dunlap, L., Clarke, S., & Robbins, F. R. (1991). Functional assessment, curricular revision, and severe behavior problems. Journal of Applied Behavior Analysis, 24(2), 387–397. Goldberg, M., Mena, I., & Miller, B. (1999). Frontal and temporal Lobe dysfunction in autism and other related disorders: ADHD and OCD. AlasbimnJournal, 1(4). 1 – 8. Horner, R. H., & Carr, E. G. (1997). Behavioral support for students with severe disabilities functional assessment and comprehensive intervention.The Journal of Special Education, 31(1), 84–104. Manente, J. C., Maraventano, C. J., Larue, H. R., Delmolino, L., & Sloan, D. (2010). Effective behavioral intervention for adults on the autism spectrum: Best practices in functional assessment and treatment development.The Behavior Analyst Today, 11(1), 36-48. Schulz and Stevenson. (2019). Sensory hypersensitivity predicts repetitive behaviours in autistic and typically-developing children. journals. sagepub.com/home/aut.Vol. 23(4) 1028–1041. Smith, J. C. and Bryan, T. (1999). The effects of occupational therapy with sensory integration emphasis on preschool-age children with autism. American Journal Occupational Therapy. 53(5), 489-497. Sugai, G., Lewis-Palmer, T., & Hagan, S. (1998). Using functional assessments to develop behavior support plans. Preventing School Failure: Alternative Education for Children and Youth, 43(1), 6–13.


Click to View FlipBook Version