ผลิตภัณฑ์ผ้าไหม จากจังหวัดสุรินทร์ นายอชิตพลจันทร ม.6/8 เลขที่ 2 ภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ เสนอ คุณครูสุภัทรกุล มั่นหมาย
คำ นำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชางานประดิษฐ์ เพื่อการเรียนรู้ ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องการเลี้ยงไหม และ ทอผ้าไหม ผลิตภัณฑ์ของจังหวัดสุรินทร์ ทั้งนี้ ในรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาซึ่งประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของผ้าไหมจังหวัดสุรินทร์ ตลอดจนความเป็นมาของเส้นไหม ที่ใช้ในการทอผ้าไหม ผู้จัดทำ ได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำ รายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาชาวบ้าน และความเป็นมาของผลิตภัณฑ์ในจังหวัด ผู้จัดทำ ต้องขอขอบคุณ คุณครูสุภัทรกุล มั่นหมาย ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา หวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน หากมีข้อเสนอ แนะประการใด ผู้จัดทำ ขอรับไว้ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง นายอชิตพล จันทร ผู้จัดทำ
สารบัญ เรื่อง หน้า บทที่ 1 ประวัติความเป็นมา -ประวัติเมืองสุรินทร์ -ประวัติของผ้าไหมสุรินทร์ -ความเป็นมาของผ้าไหมสุรินทร์ บทที่ 2 ภูมิปัญญาผ้าทอพื้นเมืองสุรินทร์ บทที่ 3 การปลูกหม่อน เลี้ยงไหม -ประวัตการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม -หม่อน -ไหม บทที่ 4 ลวดลาย และลักษณะเด่นของผ้าไหมสุรินทร์ -ลายผ้าอัตลักษณ์ของผ้าไหมจังหวัดสุรินทร์ -ลักษณะเด่นของผ้าไหมจังหวัดสุรินทร์ บทที่ 5 ตัวอย่างลวดลายของผ้าไหมสุรินทร์ -1.ลายผ้าโฮล -2.ลายผ้าอัมปรม, อันปรม -3.ลายผ้าสะมอ, สมอ -4.ลายผ้าอันลูนซีม, อันลุยซีม, อันลูญซีม -5.ลายผ้าละเบิก -6.ลายผ้าสะคู, สาคู -7.ลายผ้ากระเนียว, หางกระรอก บรรณานุกรม 1-3 1 1 2-3 4-5 6-16 6 7-9 10-16 17 17 17 18-24 18-20 20-21 22-23 23 23-24 24 25 26
บทที่ 1 ประวัติความเป็นมา ประวัติเมืองสุรินทร์ สุรินทร์ เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน เชื่อกันว่าเมือง สุรินทร์ถูกสร้างขึ้นมากกว่า 2,000 ปี มาแล้ว ในสมัยที่พวกขอมมีอำ นาจอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่ง ไม่ปรากฎหลักฐานที่ชัดเจน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2306 จึงปรากฏหลักฐานว่าหลวงสุรินทร ภักดี (เชียงปุม) ซึ่งเดิมเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเมืองที ได้ขอให้เจ้าเมืองพิมายกราบบังคมทูลขอ พระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ย้ายหมู่บ้านจากบ้านเมืองที มาตั้งอยู่บริเวณบ้านคูประทาย บริเวณที่เป็นที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบันนี้ และในปี พ.ศ. 2329 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “เมืองประทายสมันต์” เป็น “เมืองสุรินทร์” วัฒนธรรม ของชาวสุรินทร์ที่สืบทอดกันมาอย่างช้านาน และเป็นที่น่าภาคภูมิเป็นอย่างยิ่งคือ ผ้าไหม และลูกประคำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะพื้นที่และมีชื่อเรียกตามภาษาพื้นที่ว่า ผ้าโฮล ผ้าโฮล เป็นผ้าไหมมัดหมี่ ผ้ามัดหมี่โฮลถือเป็นลายเอกลักษณ์ของลายผ้าไหมมัด หมี่จังหวัดสุรินทร์ “โฮล” เป็นคำ ในภาษาเขมรเป็นชื่อเรียก มาทอเป็นผืนผ้า กรรมวิธีการ ผลิตผ้าไหมประเภทหนึ่งที่สร้างลวดลายขึ้นมา จากกระบวนการมัดย้อมเส้นไหมให้เกิดสีสัน และลวดลายต่าง ๆ ก่อน แล้วนำ มาทอเป็นผืนผ้า ประวัติของผ้าไหมสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีวัฒนธรรมการทอผ้าไหมมานานและได้สืบทอด เป็นมรดกทางวัฒนธรรมมานานจนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่น่สนใจยิ่ง หากศึกษาอย่าง ลึกซึ่งแล้ว จะค้นพบเหตุผลหลายประการที่สนับสนุนว่า จังหวัดสุรินทร์มีเอกลักษณ์เฉพาะ ของตนเองในเรื่องผ้าไหม ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งส่งผลต่อการผลิตและ การทอ ไม่ว่าจะเป็นลวดลายของผ้าไหม การผลิตเส้นไหมน้อย และกรรมวิธีการทอ จังหวัดสุรินทร์นิยมนำ เส้นไหมขั้นหนึ่งหรือไหมน้อย (ภาษาเขมร เรียก “โซกซัก”) มาใช้ในการทอผ้า ไหมน้อยจะมีลักษณะเป็นผ้าไหมเส้นเล็ก เรียบ นิ่ม เวลาสวมใส่จะ รู้สึกเย็นสบาย นอกจากนี้การทอผ้าไหมของจังหวัดสุรินทร์ ยังมีกรรมวิธีการทอที่สลับซับ ซ้อน และเป็นกรรมวิธีที่ยาก ซึ่งต้องใช้ความสามารถและความชำ นาญจริง เช่น การทอ ผ้ามัดหมี่พร้อมยกดอกไปในตัว ซึ่งทำ ให้ผ้าไหมที่ได้เป็นผ้าเนื้อแน่นมีคุณค่า มีการทอที่ เดียวใบประเทศไทย จนเป็นที่สนพระทัยและเป็นที่ชื่นชอบของสมเด็จพระนางเจ้า พระบรม ราชินีนาถ ทรงรับสั่งว่า ใส่แล้วเย็นสบาย อีกทั้งยังใช้ฝีมือในการทออีกด้วย 01
ความเป็นมาของผ้าไหมสุรินทร์ ผ้าทอเมืองสุรินทร์” นับเป็นงานหัตถกรรมที่งดงามและสืบทอดมาหลายชั่วอายุ คน การทอผ้ามีอยู่ทั้งในวัฒนธรรมไทยและเขมรนับเนื่องกว่าศตวรรษ เสื้อผ้าไม่ใช่เพียง เครื่องนุ่งห่ม แต่แสดงสถานภาพทางสังคม ด้วยลวดลาย วัสดุที่ใช้ในการถักทอ ผ้าไหมทอมือเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหลายแห่งในสุรินทร์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ พิธีกรรมและเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น ในหลายขั้นตอนของการผลิตนั้นเกิดในครัวเรือน แต่ก็ เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายผ้าทอ จึงเรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมของการผลิตในครัวเรือนกับการ แบ่งงานกันทำ บางครัวเรือนเน้นการปลูกหม่อนและเลี้ยงไหม และผลิตเป็นเส้นไหม อีก ครอบครัวจะซื้อเส้นไหมดังกล่าวมามัดย้อมหรือที่เรียกว่า “มัดหมี่” จากนั้น จะขายไหมที่ พร้อมสำ หรับการทอให้กับอีกครอบครัวหนึ่ง เส้นไหมหลากสีสัน เกิดจากการนำ ปอยหมี่ที่มัดหมี่เรียบร้อยแล้วไปย้อมสีในน้ำ เดือด หากต้องการให้ผ้าไหมมีหลาย ๆ สีเพิ่มขึ้น นำ ไป “โอบหมี่” คือการใช้เชือกฟางเล็ก ๆ พันลำ หมี่ตรงส่วนที่ยังไม่ถูกมัดหมี่ ตามแบบลายมัดหมี่ การโอบ (พัน) ต้องโอบ (พัน) ให้ เชือกฟางแน่นที่สุดและหลาย ๆ รอบ นำ หมี่ที่โอบหมี่เรียบร้อย แล้วไปล้างสีออกในน้ำ เดือด หมี่ส่วนที่โอบหรือมัดไว้ จะคงสีตามเดิมส่วนที่ไม่ถูกโอบหรือมัดจะถูกล้างออกเป็นสีขาว นำ ไปย้อมเป็นสีอื่นอีกครั้งหนึ่งตามต้องการ ลายผ้าอาจแบ่งได้หลายลักษณะ เช่น “ท้องถิ่น” “ประเพณี” “สมัยใหม่” “เขมร” “ไทย” “เขมรสุรินทร์” “ประยุกต์” ฯลฯ แต่ใช่ว่าจะแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เพราะการ ออกแบบนั้นเกิดขึ้นได้อยู่เสมอขึ้นอยู่กับผู้ทอ แต่รูปแบบสำ คัญของผ้าไหมสุรินทร์นั่นคือ “มัด หมีี่” นั่นคือเทคนิคการมัดย้อมเส้นไหมก่อนการทอและกลายเป็นลวดลายที่งดงาม ต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างลวดลายเอกลักษณ์ของผ้าไหมทอมือ ผ้าไหมทอมือในสุรินทร์มีเอกลักษณ์คือสีแดงที่มาจากครั่ง ในภาษาเขมรเรียกว่า “เลียก” ครั่ง เป็นแมลงประเภทหนึ่งที่ขับสารมีลักษณะเป็นเหมือนยางหรือชันออกมาไว้ป้องกันตัวเองจาก ศัตรู สารนี้เรียกว่า "ครั่งดิบ" มีสีแดงม่วง ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งสีเหลืองแก่ หรือยางสีส้ม ความเชื่อและข้อห้ามจำ นวนไม่น้อยเกี่ยวข้องกับครั่งและกระบวนการย้อมสี ใน ภาษาเขมร “เลียก” หมายถึง “หลบซ่อน” ในช่วงพิธีขึ้นบ้านใหม่ ชุมชนเชื้อสายเขมรสุรินทร์ ใช้ครั่งเป็นส่วนประกอบพิธี เพื่อป้องกันบ้านจากภยันตราย ครั่งชิ้นเล็ก ๆ จะเก็บไว้ในตู้หรือ ลิ้นชัก ด้วยความเชื่อที่ว่าครั่งจะบังตาไม่ให้ขโมยเห็นสิ่งของมีค่าที่เก็บไว้ในเรือน 02
ช่างทอหยุดการเตรียมสีทันที เมื่อมีผู้หญิงเดินเข้ามาใกล้บริเวณที่ย้อมผ้า เนื่องจากไม่แน่ใจว่า ผู้หญิงที่เดินเข้ามาตั้งท้องหรือมีประจำ เดือนหรืือไม่ ซึ่งเป็นข้อห้าม เพราะอาจจะทำ ให้สีที่ได้ไม่ติดเส้นไหมที่ย้อม บางคนย้อมผ้าในช่วงเวลากลางคืนหรือกลางป่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครมารบกวนในระหว่างการย้อมสี ปัจจุบัน มีการใช้ “ด่างฟอกไหมขาว” เพื่อฟอกสีเหลืองตามธรรมชาติของเส้นไหม ดิบ และผสมสารส้มในสีย้อมสำ หรับให้สีติดทนนาน เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่าง สิ่งที่เป็นธรรมชาติและสารสังเคราะห์ “โฮล” ได้รับการกล่าวขานโดยคนท้องถิ่นว่าเป็น “ราชินีผ้าไหมสุรินทร์” ชื่อของ ลายมาจากคำ ภาษาเขมรว่า “โฮร” ที่หมายถึง ไหล เพราะลายผ้าเสมือนสายน้ำ ที่ไหล เดิมที ผู้หญิงจะใส่ซิ่นโฮลแต่ในปัจจุบันทั้งชายและหญิงประยุกต์ผ้าโฮลเป็นเครื่องแต่งกายในวาระ สำ คัญ เช่น งานแต่งงาน เทศกาล ตามลวดลายดั้งเดิมนั้น โฮลประกอบด้วยสี 3 สีที่ย้อม จากวัสดุธรรมชาติ แดงจากครั่ง เหลืองจากเขและขนุน และน้ำ เงินจากคราม “อัมปรม” เป็นลวดลายที่เกิดจากการมัดย้อมทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง เทคนิคการ มัดย้อมแบบนี้เดิมทีพบในจีน อินเดีย ญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย แต่กลายเป็นเทคนิคการทอใน สุรินทร์ไม่น้อยกว่า 2,000 ปี “อันลูยฃีม” หากแปลเป็นไทยคือ “คลานมาสยาม” นงเยาว์ ทรงวิชา กล่าวถึงชื่อ เรียกของลวดลายที่เกี่ยวข้องกับการสู้รบระหว่างราชสำ นักสยามกับเขมร และเมื่อคนเชื้อ สายเขมรได้รับอนุญาตให้ตั้งรกรากในสุรินทร์ จึงแสดงความภักดีด้วยการสร้างสรรค์ลวดลาย และสอนลูกหลานให้รู้จักความหมาย 03
04 บทที่ 2 ภูมิปัญญาผ้าทอพื้นเมืองสุรินทร์ การฟื้นภูมิปัญญาผ้าทอพื้นเมืองสุรินทร์ ที่มีรูปแบบเฉพาะถิ่นจากเทคนิคช่างทอ โบราณ ไม่เพียงพัฒนาอาชีพให้กับคนในหมู่บ้าน แต่ยังรักษาเอกลักษณ์ชุมชนเขมรถิ่นไทยที่ เคยปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในวิถีชีวิต โดย 10 ปีมานี้ยังถ่ายทอดองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่ด้วย ลวดลายตามขวางที่เกิดจากการใช้ไหมควบสองสี ทอให้เด่นอยู่บนสีพื้นผ้านุ่ง เป็น ลักษณะเฉพาะของลายอันลุยซีม 1 ใน 6 ลายพื้นฐานที่ชาวบ้านโพธิ์กอง จ.สุรินทร์ ร่วมกัน ฟื้นฟูเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ไม่เพียงรักษาเทคนิคช่างทอโบราณ แต่ยังนำ ลวดลายต่างๆ อย่าง อัมปรม ลายสมอ และลายโฮล ต้นแบบลายผ้าของชาวเขมรถิ่นไทย มาประยุกต์ลงบนผ้า ไหมมัดหมี่ในโครงการพัฒนาอาชีพกลุ่มสตรีทอผ้าบ้านโพธิ์กอง ที่นี่เป็นทั้งโรงทอ โรงเลี้ยง ไหม และศูนย์สาธิตภูมิปัญญาที่สืบทอดอยู่ในชุมชน ที่ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้น พร้อมรักษาเอกลักษณ์ผ้าทอพื้นเมือง จากเคยเหลือคนทอผ้าอยู่ไม่กี่ครอบครัว และใน หมู่บ้านเลิกปลูกหม่อนเลี้ยงไหมไปแล้ว คำ พอง เชื้อจันทร์ ครูภูมิปัญญาผ้าทอพื้นเมือง จ.สุรินทร์ เผยว่า "การทอผ้านี้ สืบทอดกันมานาน จากแต่ก่อนนี้ใช้มือทั้งหมด ไม่ต้องไปซื้อที่ไหน ทอผ้าเองแล้วเย็บเองด้วย เราต้องทำ เป็นหมดทุกลาย" บุญจันทร์ จำ นงเพียร รองประธานศูนย์กลางชุมชน กล่าวว่า "สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ ของผ้าทอสุรินทร์ คือลวดลายที่ไม่เคยเปลี่ยน ในผ้ารุ่นใหม่ๆ ที่ประยุกต์มาอาจมีการเพิ่ม สีสันและผสมลาย แต่ของเดิมยังอยู่ฟื้นขึ้นมา" เดิมมวนหรือต้นหม่อนสำ หรับเลี้ยงไหมนั้น ชาวบ้านเรียกว่าเป็นไม้มงคลเรียก ทรัพย์ ส่วนหนึ่งก็มาจากให้เส้นไหมสีเหลืองทอง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำ คัญในการทอผ้า การทำ ไหมและการทอผ้าที่ครบทุกขั้นตอนอยู่ในศูนย์กลางชุมชนแห่งนี้ นอกจากทำ ให้เด็ก ๆ ได้ เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้ว ก็ยังได้ฝึกฝนเรื่องของภาษาไปพร้อม ๆ กันด้วย โดยหนอนไหม เรียกว่า"โกนเนียง" และ ใบหม่อน เรียกว่า "สะเรอะมวน"
05 เพียงได้สัมผัสวงจรชีวิตของตัวไหม ตั้งแต่ระยะฟักตัวไปจนนำ ขึ้นจ่อหรือรังไม้ ที่ ทำ ไว้ให้ตัวไหมเกาะชักใยสร้างรัง ก่อนสาวเส้นไหมจากรังที่ได้เข้าสู่กระบวนการทอผ้า ทำ ให้ เด็กๆ พบคำ ตอบที่เคยสงสัยว่าผ้าไหมสีสันสวยงาม มาจากหนอนไหมได้อย่างไร ยิ่งเมื่อ ทดลองเลี้ยงไหมพร้อมซึมซับงานทอจากคนรุ่นก่อนผ่านภาษาถิ่น ยิ่งช่วยฝึกฝนทักษะภาษาที่ ชุมชนร่วมกันอนุรักษ์ จนมีหลักสูตรสอนในโรงเรียน ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรม ชุมชนเขมรถิ่นไทย สิทธิชัย สุวรรณดำ เยาวชนเชื้อสายเขมรถิ่นไทย จ.สุรินทร์ เล่าว่า "การที่ได้มา เรียนรู้จากศูนย์ก็ได้เห็นว่าผ้าไหมทำ มาจากอะไร และเราก้ได้พูดภาษาไทยบ้าง และภาษาถิ่น บ้างก็ได้ฝึกควบคู่กันไป" เขียว ชมหมื่น ครูภูมิปัญญาผ้าทอพื้นเมือง จ.สุรินทร์ กล่าวว่า "เราจะสอนเขา เป็นภาษาถิ่น เขาสงสัยว่าอันนั้นเรียกว่าอะไรอันนี้เรียกว่าอะไรเราก็จะบอก ส่วนใหญ่เด็กๆ เขาชอบก็มาขอช่วยเลี้ยง ก็ได้เห็นว่ากว่าจะได้ไหมมันมีขั้นตอนเช่นไร" ผ้าไหมพื้นเมืองสุรินทร์ เกิดจากองค์ความรู้ที่สั่งสมอยู่ในชาติพันธุ์เขมร ลาว กูย แต่แตกต่างที่เทคนิคการทอ สี และลาย ซึ่งผ้าไหมมัดหมี่ของเขมรถิ่นไทย เช่นผ้าไหมของ ชาวบ้านโพธิ์กอง ได้รับยกย่องว่าโดดเด่นสวยงาม จากความกลมกลืนของลวดลายสีสัน ที่มาจากสีย้อมที่มีในธรรมชาติ และการคงเทคนิคการทอแบบโบราณ ผ้าทอพื้นเมืองที่ฟื้นฟู มาสู่การพัฒนาอาชีพ โดยเปิดเป็นศูนย์กลางเรียนรู้ชุมชน นอกจากรักษามรดกภูมิปัญญาที่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ยังช่วยให้เยาวชนใกล้ชิดกับวัฒนธรรมถิ่นของตนมากขึ้น
บทที่ 3 การปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ประวัติการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม มนุษย์รู้จักการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาไม่ต่ำ กว่า ๔,๐๐๐ ปีแล้ว จีนเป็นชาติแรกที่นำ เส้นใย ไหมมาทอเป็นอาภรณ์เครื่องนุ่งห่ม และเป็นผู้ผูกขาดทำ สินค้าผ้าไหมส่งไปขายต่างประเทศ เป็นเวลานานกว่า ๑,๐๐๐ ปี ความลับเรื่องไหมจึงได้แพร่ไปถึงประเทศญี่ปุ่น ประมาณ พ.ศ. ๗๓๘ และที่ยุโรป เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี ประมาณ พ.ศ. ๑๘๑๘ ในอินเดียไม่มีหลักฐานแน่ชัด ว่า ได้รับความรู้นี้ไปจากจีน หรือคิดค้นขึ้นเอง แต่เชื่อว่า อินเดียมีการเลี้ยงไหมมาตั้งแต่สมัย พุทธกาล คือ ไม่ต่ำ กว่า ๒,๕๐๐ ปี เพราะมีบันทึกในพุทธบัญญัติไว้ว่า ห้ามสาวกของ พระพุทธเจ้า บิณฑบาตผ้าที่ใช้ทำ ที่รองนั่ง (สันถัต) ที่ทำ จากไหม สำ หรับวิชาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในเมืองไทยสันนิษฐานว่า ได้รับมาจากจีน ในสมัยโบราณ ที่ไทยเสียดินแดนให้แก่จีน ก็อพยพถอยร่นลงมายังตอนใต้ของแหลมอินโดจีน ซึ่งคนไทยที่ อพยพสมัยนั้นคงจะนำ ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงไหมติดตัวมาด้วย และได้เลี้ยงไหมสืบต่อกัน มาจนถึงสมัยปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในเรื่องการ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงเกษตราธิการดำ เนินการส่งเสริมการ เลี้ยงไหม โดยว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น ซึ่งมี ดร. โทยาม่า เป็นหัวหน้าคณะ ให้มาสร้าง สถานีเลี้ยงไหมปลูกหม่อน ณ ตำ บลทุ่งศาลาแดง กรุงเทพฯ และได้ยกแผนกไหมขึ้นเป็น "กรมช่างไหม" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ แล้วขยายงานจัดตั้งสาขาขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗-๒๔๔๘ ได้ตั้งสาขาขึ้นอีกที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด กิจการก้าวหน้า เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๕๖ การส่งเสริมการเลี้ยงไหมจึงชะงัก และล้มเลิกไปเพราะมี อุปสรรคนานาประการ เช่น ไหมเป็นโรคตายเป็นจำ นวนมาก จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๗๘ ทาง ราชการได้กลับมาสนใจการเลี้ยงไหมอีกครั้งหนึ่ง โดยฟื้นฟูอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เป็นการใหญ่ จัดตั้งโรงสาวไหมกลางขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา 06
หม่อน การที่เราจะเลี้ยงไหมได้ สิ่งสำ คัญอันดับแรกคือ ต้องมี อาหารของไหม หนอนไหมที่เราเลี้ยง กันอยู่นี้กินอาหารเพียง อย่างเดียวคือ ใบหม่อน เท่านั้น เราจำ เป็นจะต้องปลูกหม่อน ให้ เจริญงอกงาม มีใบมากที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ ซึ่งก็ต้องอาศัยหลักวิชาการ ทางด้านพืชกรรมเข้า ช่วย เช่น การตัดแต่งกิ่ง การบำ รุงรักษา ใส่ปุ๋ย ปราบวัชพืช ฯลฯ ลักษณะของต้นหม่อน หม่อนเป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่ม เนื้ออ่อน เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน และเขตอบอุ่น ปลายใบแหลม ขอบใบอาจหยักเว้ามาก คล้ายใบมะละกอ หรือหยักน้อยคล้ายใบโพธิ์ บาง ชนิดมีขนเล็กใต้ใบ ลำ ต้นมีลักษณะกลม ผิวลำ ต้นเรียบ ไม่มีหนาม มียางสีขาวขุ่น คล้าย น้ำ นม บางพันธุ์ติดผลดกและโต รับประทานได้คล้ายผลสตรอเบอรี่ ซึ่งพันธุ์ที่กล่าวนี้ มักไม่ นิยมใช้ใบเลี้ยงไหม เพราะใบแข็งกระด้าง ไหมไม่ชอบกิน ต้นหม่อนที่ได้รับการบำ รุงรักษาโดย ถูกต้อง อาจมีอายุยืนให้ปริมาณใบมากถึง ๒๕ ปี ในสมัยโบราณหม่อนเป็นพืชที่ขึ้นได้เองตาม ธรรมชาติ แต่เมื่อเลี้ยงไหมกันมากขึ้น ต้องนำ มาปลูก เพื่อให้ได้ใบมากพอแก่ความต้องการ การเลือกที่ปลูกหม่อน หม่อนสามารถขึ้นได้ดีทั้งในสภาพดินดี และดินเลว โดยปกติชอบดินร่วมปนทราย มีการระบายน้ำ ดี ไม่ชอบที่ลุ่ม น้ำ ขัง เพราะจะทำ ให้ใบเหลืองร่วง และถ้าขังนาน อาจถึงตาย ได้ คุณสมบัติของดินควรเป็นดินกลาง ไม่เป็นกรดเป็นด่าง กล่าวคือ มีค่า PH ประมาณ ๖.๕-๖.๙ อนึ่งการเลือกที่ดินปลูกหม่อนควรพิจารณาถึงพืชที่ปลูกในบริเวณข้างเคียงด้วย ไม่ ควรอยู่ใกล้แปลงยาสูบ สวนผัก หรือสวนผลไม้ที่มีการใช้ยาฆ่าแมลง เพราะสารนิโคตินในใบ ยาสูบ หรือละอองยาที่ฉีดในสวนผัก สวนผลไม้ จะปลิวไปเกาะอยู่บนใบหม่อน จะเป็น อันตรายต่อหนอนไหม เมื่อเก็บใบหม่อนไปเลี้ยงได้ สภาพดินฟ้าอากาศ หม่อนเป็นพืชที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง โดยเฉพาะในระยะที่ปลูกใหม่ จึงควรเริ่มปลูกในต้นฤดู ฝน เมื่อหม่อนเจริญเติบโตดีแล้ว จะทนแล้งได้ดี เพราะมีระบบรากแข็งแรงหยั่งลึกลงไปในดิน ได้หลายเมตร สามารถดูดน้ำ ที่อยู่ในดินลึกๆ ได้ ในประเทศที่มีอากาศหนาว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี หม่อนจะทิ้งใบในฤดูหนาวแล้วพักตัวนิ่ง ข้ามฤดูหนาวไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ในปีต่อไป จึงจะแตกกิ่งแตกใบออกมาใหม่ แต่ที่มีอากาศร้อน เช่น ไทย อินโดนีเซีย อินเดียตอนใต้ หม่อนจะเจริญเติบโตได้ดีตลอดปี จะพักตัวบ้างในหน้าแล้งเท่านั้น หม่อนเจริญเติบโตได้ดีในที่ โล่งแจ้งที่มีแสงแดดตลอดวัน ถ้าได้รับแสงไม่เพียงพอ เช่น หม่อนที่ปลูกแซมระหว่างแถวไม้ ผล หรือในสวนมะพร้าวจะทำ ให้ใบบางลำ ต้นสูงชะลูด ไม่เป็นพุ่ม 07
ระยะปลูก การที่จะทำ สวนหม่อนให้ได้ดี ทั้งในด้านผลผลิตใบ และสะดวกต่อการเก็บแล้ว ควรปลูกเป็นแถวเดี่ยว ระยะปลูกที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับเครื่องมือการเกษตรที่ใช้ในสวน หม่อน เช่น ใช้แรงงานคน แรงงานสัตว์ และเครื่องมือทุ่นแรง ถ้าใช้แรงงานสัตว์ เช่น ใช้ความเข้าไปไถพรวน ควรใช้ระยะระหว่างต้น ๗๕ เซนติเมตร ระหว่างแถว ๑๕๐ เซนติเมตร แต่ถ้าใช้รถแทรกเตอร์ควรปลูกระยะระหว่างต้น ๗๕ เซนติเมตร ระหว่างแถว ๒๕๐ เซนติเมตร ซึ่งสามารถทำ สวนหม่อนนขนาดใหญ่ๆ ได้ ระยะปลูกดังกล่าวนี้ จะปลูก หม่อนได้ประมาณ ๑๕๐ ต้นต่อเนื้อที่ ๑ ไร่ วิธีปลูก ก่อนปลูกควรเตรียมดินโดยการไถพรวน และตากดินให้หญ้าตายสัก ๒-๓ วัน เป็นอย่างน้อย ตัดกิ่งที่มีอายุประมาณ ๑ ปี เป็นท่อนยาวประมาณ ๒๕-๓๐ เซนติเมตร มี ตาประมาณ ๕-๖ ตา ชำ ไว้ในทราย แกลบเผาหรือขี้เลื้อยล่วงหน้าสัก ๑ เดือน ปักลงในดินที่ เตรียมไว้ให้เอนประมาณ ๖๐ องศา เพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งแห้งตาย ควรปลูก ๒ กิ่ง ให้ไขว้กัน เป็นรูปกากบาท โดยฝังกิ่งให้ลึกลงไปในดินประมาณ ๒ ใน ๓ ของความยาวกิ่ง ให้มีตาโผล่ อยู่บนดิน ๒-๓ ตา เมื่อต้นโตดีแล้วประมาณ ๓-๖ เดือน วรตัดออกให้เหลือต้นเดียว ฤดูปลูก ในเมืองไทยเราสามารถปลูกหม่อนได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม แต่ละ ช่วงที่เหมาะที่สุดคือ ต้นฤดูฝน เพราะฝนจะช่วยให้หม่อนได้รับความชุ่มชื้นสูง ทำ ให้หม่อนตั้ง ตัวได้เร็ว ถ้าปลูกปลายฤดูฝนควรกะให้มีฝนอยู่ระยะหนึ่ง พอที่หม่อนจะตั้งตัวแตกรากกิ่งก้าน ได้พอสมควร ไม่ควรปลูกหม่อนในหน้าแล้งโดยเด็ดขาด แม้ว่าบางท้องที่อาจทำ ได้ เพราะมี การชลประทาน แต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงมากกว่าปลูกในฤดูฝน การดูแลรักษา การดูแลรักษาต้นหม่อนที่ปลูกในระยะเวลา ได้แก่ การปราบวัชพืช และใส่ปุ๋ย เพื่อให้หม่อนเจริญเติบโต ไม่ชะงักงันระยะ ๓ เดือนแรก หลังจากปลูกลงดิน หม่อนกำ ลัง แตกกิ่งแตกราก ถ้ามีหญ้าจะแย่งอาหาร และทำ ให้ต้นหม่อนตายได้ง่าย ในช่วง ๑ ปี หลัง จากปลูก ไม่ควรเก็บใบหม่อนไปเลี้ยงหนอนไหม แต่ควรใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ย วิทยาศาสตร์ เป็น ๓ ระยะคือ ระยะแรก หลังปลูก ๑ เดือน ระยะที่ ๒ ห่างจากระยะแรก ๒ เดือน ระยะที่ ๓ ห่างจากระยะที่ ๒ เป็นเวลา ๒ เดือน ตามลำ ดับ ถ้าเป็นหน้าแล้ง ไม่ควร ใส่ปุ๋ย ในเขตชลประทานที่มีน้ำ ตลอดปี ต้นหม่อนที่ปลูกในเขตนี้จะเจริญเติบโตเร็ว แต่น้ำ ก็ ไม่ใช่สิ่งจำ เป็นนัก เพราะโดยปกติแล้ว ต้นหม่อนที่โตแล้วสามารถทนแล้งได้ดี 08
พันธุ์หม่อน ตามธรรมชาติหม่อนมีอยู่หลายพันธุ์ด้วยกัน บางพันธุ์มนุษย์ผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ได้พันธุ์ซึ่งมีใบใหญ่ และข้อถี่ พันธุ์หม่อนที่ปลูกกันมาก ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย มีไม่น้อยกว่า ๒๐ พันธุ์ เช่น หม่อนน้อย หม่อนตาดำ หม่อนจาก หม่อนมี่ หม่อนไผ่ หม่อนส้ม หม่อนส้มใหญ่ หม่อนสร้อย หม่อนใบโพธิ์ หม่อนแก้วชนบท หม่อนแก้ว อุบล หม่อนหยวก หม่อนแม่ลูกอ่อน หม่อนใบมน หม่อนจระเข้ หม่อนสา หม่อนใหญ่ บุรีรัมย์ หม่อนตาแดง หม่อนแก้วสตึก ฯลฯ ส่วนพันธุ์หม่อนที่ทางราชการส่งเสริมให้ปลูก ได้แก่ หม่อนน้อย และหม่อนตาดำ เพราะเป็นพันธุ์ที่มีใบใหญ่ ไม่มีแฉก หรือมีแฉกน้อยมาก ให้ผลผลิตสูง โตเร็ว สามารถนำ ไปปลูกได้ดีในท้องที่แทบทุกแห่ง บางพันธุ์มีลักษณะใบเป็น แฉกๆ มาก เนื้อใบน้อย ผลผลิตใบต่ำ แต่ก็สามารถทนทานต่อโรครากเน่าได้ดีกว่าพันธุ์หม่อน น้อย ซึ่งได้แก่ พันธุ์หม่อนไผ่ หม่อนส้ม และหม่อนส้มใหญ่ เป็นต้น ลักษณะประจำ พันธุ์ หม่อนน้อย เป็นหม่อนพันธุ์พื้นเมือง เจริญ เติบโตดี ลำ ต้นสีขาวนวล แตกกิ่งก้านมาก ใบใหญ่ค่อน ข้างบาง เรียบเป็นมันไม่มีขน และไม่มีแฉก ใบมีลักษณะ คล้ายใบโพธิ์ ปลายใบแหลมขอบหยักถี่ ดอกสีขาว มีด อกแต่ไม่ติดผล ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี แต่เป็น โรครากเน่าได้ง่าย หม่อนตาดำ เป็นหม่อนพันธุ์พื้นเมืองอีกพันธุ์หนึ่ง เจริญเติบโตเร็ว ท้องใบมีขนเล็กน้อย ลำ ต้นสีเขียวกว่า หม่อนน้อยใบไม่มีแฉก รูปไข่ สีเขียว ไม่เป็นมัน แต่หนา ใบจะร่วงง่ายในหน้าแล้ง 09
ไหม แหล่งเลี้ยงไหม แหล่งเลี้ยงไหมที่สำ คัญของประเทศไทย ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี หนองคาย ชัยภูมิ ศรีสะเกษ นครพนม มหาสารคาม สกลนคร และกาฬสินธุ์ ส่วนในภาคอื่นๆ ที่มีการเลี้ยง ไหมเหมือนกัน เช่น ภาคเหนือที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกที่จังหวัดระยอง ภาคตะวัน ตกที่จังหวัดกาญจนบุรี และภาคใต้ที่จังหวัดชุมพร แต่เพิ่งจะเริ่มเลี้ยงกันมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ โดยทั่วไปกสิกรมักจะเลี้ยงไหมเป็นอาชีพรอง เพราะมีการทำ นาทำ ไร่เป็นอาชีพหลัก มักจะ แบ่งเนื้อที่บางส่วนไว้ปลูกหม่อน เพื่อใช้เลี้ยงไหมในยามว่างงาน โดยเริ่มเลี้ยงกันมากในต้น ฤดูฝน แล้วหยุดพักระยะหนึ่ง เพื่อดำ นา หรือปลูกพืชไร่ หลังจากนั้น จะกลับมาเลี้ยงกันใหม่ จนถึงฤดูเก็บเกี่ยว ก็จะหยุดเลี้ยงไปเกี่ยวข้าว หลังจากนั้นก็จะหยุดเลี้ยง เพราะเข้าหน้าแล้ง ไม่มีใบหม่อน การเลี้ยงไหมตามแบบฉบับที่กล่าวนี้ กสิกรไม่ทำ กันจริงจังนัก ทำ ให้ขาดการ ดูแลเอาใจใส่ไหมที่ดีพอ จึงไม่สามารถทำ รายได้พอ ที่จะยึดเป็นอาชีพหลักได้ กสิกรที่เลี้ยงไหมอย่างเดียวนั้นแทบจะหาไม่ได้เลย แต่ในระยะหลังที่มีการส่งเสริมการเลี้ยง ไหมแผนใหม่ มีประชาชนที่มีเงินทุนพอได้หันไปสนใจกับกิจการการเลี้ยงไหม และได้ทำ กัน อย่างเป็นล่ำ เป็นสัน สามารถเลี้ยงไหมลูกผสมพันธุ์ต่างประเทศได้ดี นับว่าเป็นก้าวใหม่ของ วงการไหมของเมืองไทย ที่จะนำ ไปสู่การเลี้ยงไหมแบบอุตสาหกรรม ประกอบทั้งระยะ ๒-๓ ปีมานี้ สินค้าที่ทำ ด้วยไหมมีราคาแพงขึ้นมาก ราคารังไหม และเส้นใยก็แพงขึ้นตามไปด้วย พันธุ์ไหม ไหมที่เลี้ยงกันอยู่นี้มีอยู่หลายพันธุ์ด้วยกัน แต่ละพันธุ์มีลักษณะดังนี้ เช่น พันธุ์จีน ไข่ไหมพันธุ์นี้ฟักตัวปีละครั้ง และฟักได้หลายครั้งตลอดปี รังมีลักษณะกลม มีหลายสี เช่น สี เหลือง ขาว เส้นใยเล็กและเรียบ พันธุ์ยุโรป ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไข่ฟักได้ปีละครั้งพันธุ์นี้ทั้งไข่ หนอนและรังไหมมีขนาดใหญ่ วงชีวิตยาว สี รังเป็นสีขาว รังมีลักษณะรีคล้ายรูปไข่ พันธุ์ญี่ปุ่น ไข่ฟักออกเป็นตัวปีละครั้งหรือสองครั้งรังค่อนข้างใหญ่ ลักษณะคล้ายผักถั่วลิสง รังอาจมีสี ขาว เหลือง 10
พันธุ์ไทย ไข่ฟักตลอดปี รังเล็กบาง มีขี้ไหมมาก ลักษณะรังคล้ายรูปกระสวย สีเหลือง เมื่อประมาณ ๖๐ ปีเศษมานี้ ประเทศญี่ปุ่นเริ่มหันมานิยมเลี้ยงไหมลูกผสมชั่วแรกกัน เพราะ ได้รังโตเนื้อเส้นใยมาก วงชีวิตสั้น เลี้ยงง่ายกว่าพันธุ์แท้ ลูกผสมดังกล่าวอาจผสมกันระหว่าง พันธุ์ญี่ปุ่นกับพันธุ์จีน หรือพันธุ์ญี่ปุ่นด้วยกัน ดร. โทยาม่า บุคคลเดียวกับผู้ที่มาเริ่มการส่ง เสริมการเลี้ยงไหมในเมืองไทย สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นผู้ริเริ่มเรื่องการเลี้ยงไหมพันธุ์ลูกผสมนี้ ขึ้นเป็นคนแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พันธุ์ไหมที่เลี้ยงกันในเมืองไทย กสิกรทั่วๆ ไป เลี้ยงไหมพันธุ์พื้นเมืองไทย ซึ่งมีอยู่หลายพันธุ์ด้วยกัน เช่น พันธุ์ นางขาว พันธุ์นางน้ำ พันธุ์นางลาย ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์แท้ ผลลิตเส้นใยต่ำ แต่ทนทาน ต่อโรคต่างๆ ได้ดี ระยะ ๑๐ ปีเศษมานี้ ได้เริ่มนำ พันธุ์ลูกผสมระหว่างพันธุ์จีนและญี่ปุ่นมา เลี้ยงกัน ก็ปรากฏว่า เลี้ยงได้ผลดี สำ หรับกสิกรที่มีอุปกรณ์และโรงเลี้ยง ที่ทันสมัย ซึ่งได้ รับคำ แนะนำ จากกองการไหม กรมวิชาการเกษตร แต่กสิกรที่เลี้ยงตามแบบพื้นบ้านยังเลี้ยง ไม่ได้ผล เพราะเลี้ยงยากกว่าพันธุ์พื้นเมือง มักจะเป็นโรคตายมากก่อนที่หนอนไหมจะทำ รัง ยกเว้นแต่กสิกรที่ได้รับการอบรมวิชาการเลี้ยงไหมแผนใหม่ แล้วนำ ไปเลี้ยงตามกลุ่มผู้เลี้ยง ไหมในนิคมสร้างตนเอง ก็นับว่า เลี้ยงได้ผล แต่ก็ต้องฝึกฝนความชำ นาญให้มากขึ้น 11
เครื่องมือเครื่องใช้ในการเลี้ยงไหมแผนใหม่ ประกอบด้วย ๑. โรงเรือน มีห้องเลี้ยงไหมที่บุด้วยมุ้งลวดตาข่ายอย่างมิดชิด เพื่อป้องกันแมลงวันลายมา ทำ ลายหนอนไหม ๒. กระด้ง สำ หรับเลี้ยงหนอนไหม ทำ ด้วยเหล็กผืนผ้าก็ได้ แต่ต้องใช้กระดาษปูบนตะแกรง ก่อนเลี้ยงไหม ๓. ชั้นวางกระด้ง ทำ เป็นชั้นๆ ห่างกันประมาณ ๒๕ เซนติเมตร เพื่อสอดกระด้ง วางให้มี การถ่ายเทอากาศ และวางกระด้งได้สะดวก ๔. เขียงและมีดสำ หรับหั่นใบหม่อน ถ้าเลี้ยงมากๆ อาจจะต้องใช้เครื่องหั่นใบหม่อน ๕. ขนไก่ และตะเกียงสำ หรับย้ายตัวไหม ไม่ควรใช้มือสัมผัสโดยตรง ๖. กระบะเก็บใบหม่อน และห้องเก็บใบหม่อนควรมีความชุ่มชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใบหม่อนที่ เก็บมาแล้วเหี่ยวเร็วเกินไป ๗. แกลบเผาและแกลบสด ใช้ช่วยในการแยกไหมนอนและไหมตื่น และควบคุมความชื้นไม่ให้ สูงเกินไป ๘. ข่ายเชือกช่วยในการถ่ายกากใบหม่อนที่เหลือและไหมออกจากกระด้งเลี้ยง ๙. จ่อ อุปกรณ์ที่ให้ไหมทำ รัง อาจทำ ด้วยฟางข้าง พลาสติก ลวด หรือจะใช้กระดาษทำ เป็น ช่องๆ ขนาด ๓x๕ เซนติเมตร เป็นแผง ซึ่งเรียกว่า จ่อหมุน ก็ได้ ๑๐. น้ำ ยาฆ่าเชื้อโรค ได้แก่ ฟอร์มาลิน ๓ เปอร์เซ็นต์ ใช้อบฆ่าเชื้อโรคในห้องเลี้ยง และ อุปกรณ์ต่างๆ ก่อนทำ การเลี้ยงไหม ชีพจักรและวิธีการเลี้ยงไหม โดยปกติวงชีวิตของหนอนไหม ซึ่งเริ่มตั้งแต่ไข่จนเป็นผีเสื้อ ใช้เวลาประมาณ ๔๕-๕๒ วัน หลังจากแม่ผีเสื้อวางไข่แล้ว ไข่จะเจริญเติบโตเรื่อยๆ จนมีอายุได้ ๘ วัน จะเริ่ม มีจุดสีดำ เกิดขึ้นก่อน ต่อมาจุดดำ นี้จะขยายตัว จนทำ ให้ไข่เปลี่ยนเป็นสีดำ อมเทา ประมาณ วันที่ ๑๐ หนอนไหมก็จะฟักออกจากไข่ปกติหนอนไหมจะฟักออกตอนเช้า หลังจากฟักแล้ว ไม่ควรเกิน ๓ ชั่วโมง จะต้องให้อาหาร โดยหั่นใบหม่อนเป็นชิ้นเล็กๆ ให้กิน ไข่ที่ยังไม่ฟักจะ เก็บไว้โดยห่อกระดาษสีดำ เพื่อเปิดให้ฟักพร้อมๆ กันในวันรุ่นขึ้น และเมื่อฟักแล้วควรแยก เลี้ยงไว้ต่างหาก ไม่ควรนำ ไปเลี้ยงปนกับหนอนไหม ที่ฟักก่อนในกระด้งเดียวกัน การให้อาหาร แม้ว่าการให้อาหารบ่อยครั้งจะทำ ให้ไหมโตเร็วก็ตาม แต่ไม่สะดวกกับผู้เลี้ยง โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน จึงควรให้อาหารวันละ ๓ เวลา คือ ๐๖.๓๐น. ๑๑.๓๐น. และ ๑๗.๐๐น. ใบหม่อนซึ่งให้หนอนไหมในวัยอ่อน (วัย ๑-๓) ต้องหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนใบ หม่อนที่ให้หนอนไหมที่เจริญเติบโตเป็นวัยแก่ (วัย ๔-๕) นั้นให้ทั้งใบได้เลย 12
ตัวหนอนไหมเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าอากาศร้อน (๓๐ องศาเซลเซียส) ก็ยิ่ง โตเร็ว ถ้าอากาศหนาวเย็น หรือร้อนเกินไปจะโตช้า และไม่แข็งแรง เมื่อมีอายุ ๓-๔ วัน หนอนไหมจะหยุดกินอาหารอยู่เฉยๆ ประมาณ ๑ วันจึงลอกคราบใหม่ ระยะนี้เรียกว่า "ไหม นอน" เมื่อลอกคราบหมดแล้ว ก็จะเริ่มกินอาหารต่อไป ตัวและหัวใหญ่ขึ้น ระยะนี้เรียกว่า "ไหมตื่น" โดยทั่วๆ ไป หนอนไหมจะนอน (ลอกคราบ) ๔ ครั้ง ก็จะขึ้นวัย ๕ กินอาหารจุจน อายุได้ ๗-๘ วัน ก็จะเริ่มหยุดกินอาหาร ลำ ตัวมีสีขาวหรือเหลืองใสหดสั้นลง ซึ่งเป็นระยะที่ หนอนเติบโตเต็มที่แล้ว เรียกว่า "ไหมสุก" เริ่มพ่นใยออกมาจากปาก เพื่อทำ รังถ้าพบอาการ เช่นนี้ควรเก็บไหมใส่ในจ่อ เพื่อให้ไหมทำ รังต่อไป หนอนไหมจะเสียเวลาในการชักใยทำ รังอยู่ ๒ วัน ก็จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นดักแด้ และเมื่ออยู่ในรังได้ครบ ๑๐ วัน ก็จะเจาะรังออกมาเป็น ผีเสื้อ ไหมที่จะใช้ทำ พันธุ์จะต้องคัดรังที่ดีสมบูรณ์ขนาดใหญ่ไว้ ที่เหลือก็นำ ไปสาว หรือขายให้ โรงงานสาวไหมต่อไป รังที่ผีเสื้อไหมเจาะออกแล้วเส้นใยจะขาดใช้สาวเป็นเส้นไม่ได้ ผีเสื้อไหมบินไม่ได้ เพราะปีกเล็กไม่สมกับลำ ตัวที่ใหญ่จะไม่กินอาหารเลย ตัวผู้ มีหน้าที่ผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียเมื่อได้ผสมพันธุ์แล้ว ก็จะวางไข่ แล้วก็ตายไป เมื่ออายุได้ ประมาณ ๒-๓ วัน หนอนไหม หนอนไหมแต่ละตัว เมื่อโตเต็มที่แล้ว ก็จะขับของเหลวชนิดหนึ่ง ประกอบด้วย สารที่โปร่งแสง ไม่มีสี ๒ ชนิดด้วยกัน จากต่อมไหม ออกมาทางต่อมน้ำ ลาย ๒ ต่อม ที่อยู่ คนละด้านขนานกันทางส่วนหัวของหนอนไหม ต่อมน้ำ ลายแต่ละต่อมมีชื่อเฉพาะคือ "aqueduct" หรือ "collector" ต่อมหนึ่งและ"spining" อีกต่อมหนึ่ง สำ หรับต่อม aqueduct นั้นใหญ่กว่าต่อม spinning เมื่อหนอนจะชักใยมันจะขับสาของเหลวจากถุงในต่อม aqueduct ออกทาง spinning head หรือ spinneret ซึ่งเป็นช่องเล็กๆ ผ่านออกสู่ภายนอก ที่ช่องใช้ขากรรไกร ของเหลวดังกล่าว เมื่อถูกอากาศจะแข็งตัวทันทีกลายเป็นสายใย ซึ่งเรียก ว่า "สายไหม" เป็นที่น่าสังเกตว่า เส้นไหมที่ได้นั้นประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ สองเส้นรวมกัน เรียกว่า bave ซึ่งแต่ละเส้นเรียกว่า brin สามารถแยกออกจากกันได้ ในรังไหมแต่ละรัง ขนาดของสายไหมก็แตกต่างกันไป กล่าวคือ ชั้นนอกสุดของรัง เส้นไหมละเอียดกว่าชั้นกลาง ซึ่งค่อนข้างหยาบ แต่ชั้นในสุดกลับละเอียดยิ่งกว่าชั้นนอกเสียอีก เส้นไหมที่ได้จากไหมที่เลี้ยง ในประเทศจีน ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นไหมชั้นนอกวัดได้ประมาณ ๐.๐๐๐๕๒ นิ้ว ส่วนชั้นในสุดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๐.๐๐๐๑๗ นิ้ว แต่กระนั้นก็ดี เมื่อเปรียบเทียบ กับเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่นๆ เส้นไหมก็ยังมีขนาดใหญ่กว่า สำ หรับน้ำ หนักก็เช่นกัน ใยไหม หนักกว่าใยของโลหะ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากันเสียด้วย หนอนไหมแต่ละตัวชักใยได้ ยาวไม่เท่ากัน มันสามารถชักใยที่สาวออกแล้วได้ยาวตั้งแต่ ๓๕๐ เมตร ถึง ๑,๒๐๐ เมตร ซึ่งแล้วแต่พันธุ์ไหม 13
หลักปฏิบัติที่สำ คัญในการเลี้ยงไหม ๑. หมั่นรักษาความสะอาดในห้องเลี้ยงไหม และอุปกรณ์ เพราะไหมเป็นสัตว์ที่สะอาดมาก ๒. ห้ามสูบบุหรี่ในห้องเลี้ยงไหมโดยเด็ดขาด ๓. ไม่เผาสิ่งปฏิกูลหรือเศษขยะในบริเวณใกล้เคียงห้องเลี้ยงไหม ขณะที่มีไหมอยู่ในห้อง เพราะไหมไม่ชอบควันไฟหรือกลิ่นเหม็น ๔. ใบหม่อนต้องมีคุณภาพดี สะอาด และมีปริมาณเพียงพอ ๕. ให้อาหารตรงตามวัยของไหม หนอนไหมยิ่งโตก็ให้ใบหม่อนที่แก่ขึ้น ๖. ไม่ควรเลี้ยงไหมแน่นจนเกินไป เนื้อที่ ๘๕ x ๑๐๐ เซนติเมตร ควรเลี้ยงไหมวัยแก่ ประมาณ ๕๐๐ ตัว ๗. ถ่ายมูลหรือกากใบหม่อน ที่ตกค้างทับถมในกระด้งเลี้ยง อย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง โดย เฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่ไหมจะเข้านอนทุกครั้ง ๘. เมื่อไหมนอนควรเปิดหน้าต่างให้ลมโกรก อากาศแห้ง ไหมจะลอกคราบง่าย และไม่ควรให้ ตัวไหมได้รับการกระทบกระเทือน ๙. อย่าให้อาหารขณะที่ไหมนอน ๑๐. อุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงแล้วและยังไม่ใช้ ควรแยกไว้ต่างหาก ที่ใช้แล้วควรนำ ออกมาล้างแล้ว ผึ่งแดดเป็นระยะๆ แล้วจึงค่อยนำ เข้าไปใช้ใหม่ ๑๑. ควรเลี้ยงไหมเป็นรุ่นๆ เพื่อให้คนเลี้ยงมีเวลาพัก และทำ ความสะอาดโรงเลี้ยง และ อุปกรณ์ ซึ่งได้แก่ กล้องจุลทรรศน์ และน้ำ ยาเคมีต่างๆ เป็นต้น ๑๒. ไม่ควรผลิตไข่ไหมเอง เพราะเสียค่าใช้จ่ายสูง ในการตรวจโรคแพบริน (pebrin) ๑๓. ห้ามนำ สารเคมีฆ่าแมลง และสารมีกลิ่น เข้าห้องเลี้ยงไหมโดยเด็ดขาด วิธีการเลี้ยงไหมวัยอ่อน และวัยแก่ วัยอ่อน ไหมวัยอ่อน หมายถึง หนอนไหมนับตั้งแต่ออกจากไข่จน ถึงวันที่ ๓ การ เลี้ยงหนอนไหมวัยอ่อนนิยมเลี้ยงเป็นชั้น โดยใส่กล่องหรือกระด้ง ที่ทำ ด้วยตะแกรงเหล็กอาบ พลาสติก หรือ อะลูมิเนียม นำ ใบหม่อนที่หั่นแล้ว มาโรยให้หนอนไหมกินเป็นเวลา เช่นเดียว กับหนอนไหมวัยแก่ แต่ต้องหมั่นเกลี่ยหนอนให้กระจายสม่ำ เสมอ ก่อนให้อาหาร มิฉะนั้นจะ ทำ ให้หนอนเจริญเติบโตไม่สม่ำ เสมอ ควรรักษาความชื้น และอุณหภูมิให้สูงกว่าไหมวัยแก่ ใน ประเทศญี่ปุ่น นิยมเลี้ยงหนอนไหมในห้องควบคุมอุณหภูมิ และความชื้น เพราะจะทำ ให้ หนอนไหมแข็งแรง และเติบโต สม่ำ เสมอดีมาก ได้ผลคุ้มกับค่าใช้จ่าย ที่ต้องลงทุนเพิ่มเติม 14
วัยแก่หมายถึง หนอนไหมวัย ๔-๕ (อายุประมาณ ๑๒-๑๓ วัน) ซึ่งเป็นไหมที่โต แล้ว การเลี้ยงดูง่ายขึ้น ไม่บอบช้ำ ง่ายเหมือนไหมวัยอ่อน เลี้ยงได้ ๓ วิธีด้วยกัน คือ ๑. เลี้ยงเป็นกระด้ง วางบนชั้น ให้อาหารเป็นใบ ถ้าเลี้ยงมาก เสียเวลาในการให้อาหารมาก ๒. เลี้ยงเป็นโต๊ะ (๑.๒๐ x ๒.๕๐ เมตร) ให้อาหารเป็นกิ่งหม่อนทั้งกิ่งเลี้ยงได้รวดเร็ว แต่ ต้องมีสวนหม่อนที่ดีมีปริมาณใบเพียงพอ ๓. เลี้ยงเป็นชั้นเลื่อน ขนาดของชั้นพอๆ กับโต๊ะและสามารถเลื่อนขึ้นลงได้ ซึ่งจะทำ ให้ใช้ เนื้อที่ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะในเนื้อที่เท่ากันจะเลี้ยงไหมได้มากกว่าแบบโต๊ะ ในการเลี้ยง เป็นจำ นวนมากๆ มักนิยมแบบที่ ๒ และแบบที่ ๓ ลักษณะไหมนอน "ไหมนอน" หมายถึง หนอนไหมที่จะลอกคราบ เพื่อเปลี่ยนวัยเจริญเติบโตขึ้น ปกติจะใช้เวลาประมาณ ๒๔ ชั่วโมงไหมนอนมีลักษณะดังนี้ ๑. หนอนไหมจะหยุดกินอาหาร ยกหัวขึ้น ๒. จะมีรอยสามเหลี่ยมเกิดขึ้นด้านบน ระหว่างรอยต่อตัวกับส่วนอก ๓. มักจะหลบหนีแสงอยู่ในที่มืดกว่าหนอนไหมที่ยังไม่นอน ๔. หัวกะโหลกสีคล้ำ และยื่นออกไปเล็กน้อย ๕. เมื่อลอกคราบแล้ว (ไหมตื่น) จะมีลักษณะตรงกันข้าม ลักษณะไหมสุก "ไหมสุก" หมายถึง หนอนไหมที่เจริญเติบโตเต็มที่ และเริ่มจะชักใยทำ รัง ไหมสุก มีลักษณะดังนี้ ๑. เริ่มหยุดกินอาหารและไต่ขึ้นบนหรือออกนอกกลุ่ม ๒. ผนังลำ ตัวเริ่มบางใส ๓. มูลที่ถ่ายออกมาจะมีสีน้ำ ตาลมากกว่าสีเขียวคล้ำ ๔. ชูส่วนหัวส่ายไปมา และเคลื่อนไหวมาก เมื่อพบหนอนดังกล่าวมักจะเป็นวัย ๕ วันที่ ๘ ก็ต้องเก็บหนอนไหมเล่านี้ใส่ "จ่อ" (ที่ที่ให้หนอนไหมทำ รัง) ต่อไป จ่อที่ทำ ด้วยกระดาษแข็งเป็นตาราง ๓ x ๕ เซนติเมตร แผง ละ ๑๕๖ ช่อง (กว้าง ๑๒ ช่อง ยาว ๑๓ ช่อง) จะประกอบกันเป็น ๑ ชุด ชุดละ ๑๐ แผง แขวนในโครงไม้ สามารถหมุนได้รอบตัว หรือจะใช้จ่อลวดก็ได้ ไม่ควรใช้จ่อพื้นเมือง เพราะ จะทำ ให้รังเสียมาก 15
การคัดรังไหม รังไหมที่เลี้ยงได้จะต้องเก็บออกจากจ่อในวันที่ ๕ นับตั้งแต่ไหมเริ่มทำ รัง แล้วนำ มาคัดรังที่เสียออก โดยเฉพาะเมื่อจะนำ ไปขายเป็นรังสด ลักษณะรังไหมที่ไม่ดี ต้องคัดออกมีลักษณะดังนี้ ๑. รังแฝด คือรังที่มีดักแด้อยู่ภายในมากกว่า ๑ ตัว รังจะใหญ่หนา ผิวหยาบแข็ง ๒. รังที่ถูกเจาะ เช่น ถูกหนอน แมลงวันลาย หรือ มดเจาะ ๓. รังเปื้อน ๔. รังบาง เพราะไหมไม่แข็งแรงชักใยได้น้อย ๕. รังที่เสียรูปเสียร่าง ๖. รังที่มีลักษณะไม่ตรงตามพันธุ์ ๗. รังที่มีเส้นใยนอก (ขี้ไหม) มากผิดปกติ ๘. รังที่มีเส้นใย ๒ ชั้น รังไหมที่ดี มีลักษณะดังนี้ ๑. รังโตมีเส้นใยมาก ๒. สาวง่าย ๓. มีความย่นของผิวรังมาก ๔. เปอร์เซ็นต์เส้นใยสูง ๕. เส้นเล็กและเรียบ รังไหมที่คัดแล้วจะนำ ไปขายให้โรงงานสาวไหม ซึ่งปัจจุบันรังไหมสดลูกผสมจีนกับ ญี่ปุ่นชั่วแรกกิโลกรัมละ ๑๐๐ บาท รังไหมไทยที่เป็นพันธุ์พื้นเมืองนำ ไปเข้ากรรมวิธีสาวด้วย มือออกเป็นเส้นใยขายก็ได้ 16
บทที่ 4 ลวดลาย และลักษณะเด่นของผ้าไหมสุรินทร์ ลายผ้าอัตลักษณ์ของผ้าไหมจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ประกาศลายผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ประจำ จังหวัด จำ นวน 7 ลาย ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยเมื่อ วันที่ 9 มิถุนายน 2563 โดยสนับสนุนให้หน่วยงานทุกภาคส่วน รวมทั้งประชาชนทั่วไป ใช้ และสวมใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำ วัน ให้เกิดความแพร่หลายเกิดการอนุรักษ์และสืบสานผ้าไทย อย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน เพื่อสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรม ราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และน้อมนำ ลึกในพระมหากรุณาที่คุณอันหาที่สุดไม่ ได้ ที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมเรื่องผ้าไทยและสิ่งทอท้อง ถิ่นที่เกือบสูญหายไปให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง พร้อมยกระดับผ้าไทยให้มีความโดด เด่นและมีชื่อเสียงในเวทีโลก เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้และนำ ไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น จังหวัดสุรินทร์จึงได้ประกาศลายผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ประจำ จังหวัดสุรินทร์ ที่แสดง ถึงความเป็นอัตลักษณ์พื้นถิ่นและสะท้อนให้เห็นมรดกภูมิปัญญาวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อันโดดเด่นของจังหวัดสุรินทร์ดังนี้ 1.ผ้าโฮล 2.ผ้าอัมปรม,อันปรม 3.ผ้าสมอ,ผ้าสะมอ,ซมอ 4.ผ้าอันลุยซีม,อันลูนซีม,อันลูญซีม 5.ผ้าละเบิก 6.ผ้าสาคู 7.ผ้าหางกระรอก,ผ้ากะเนียว ลักษณะเด่นของผ้าไหมจังหวัดสุรินทร์ 1. โดยส่วนใหญ่ใช้ไหมเส้นเล็กในการทอ หรือไหมน้อย คือไหมที่สาวมาจากเส้นใยภายในรัง ไหม มีลักษณะเรียบ นุ่ม และ เงางาม 2. มีลวดลายที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากกัมพูชา และลวดลายที่บรรจงประดิษฐ์ขึ้น ล้วนมีที่มาและมีความหมายอันเป็นมงคล 3. ใช้สีธรรมชาติในการทอ ทำ ให้มีสีไม่ฉูดฉาด มีสีสันที่มีลักษณะเฉพาะ คือ สีจะออกโทนสี ขรึม เช่น น้ำ ตาล แดง เขียว ดำ เหลือง อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมจากเปลือกไม้ 4. การทอ จะทอแน่นมีความละเอียดอ่อนในการทอ และประณีต 17
บทที่ 5 ตัวอย่างลวดลายของผ้าไหมสุรินทร์ 1.ลายผ้าโฮล คำ ว่า “โฮล” ในภาษาเขมรสุรินทร์สมัยหลังคำ จำ กัดความของคำ ว่า “โฮล” ได้มี ความหมายแคบลงมาอีก ใช้เรียกเฉพาะเจาะจงถึง ผ้านุ่งที่สร้างจากกระบวนการมัดย้อมเส้น พุ่ง แล้วนำ มาทอให้เกิดลวดลายต่างๆ แบบผ้าปูมของขุนนางใรราชสำ นักสยาม มีกรอบมีเชิง สำ หรับบุรุษให้นุ่ง เรียกว่า “โฮลเปราะห์” และสตรีใช้นุ่งทอเปลงเป็นลายริ้ว เรียกว่า “โฮลแสร็ย” หรือ “โฮลสะไรย์” ปัจจุบันนี้ โฮลเปราะห์ (โฮลสำ หรับผู้ชายนุ่ง) แทบหาตัวคนผลิตไม่ได้และไม่เป็น ที่รู้จักกันในวงกว้างอีกต่อไป คำ ว่า “โฮล” ในปัจจุบันแทบจะมีความหมายตกไปอยู่ที่ โฮลแสร็ย หรือ โฮลสะไรย์ (โฮลสตรี) เกือบทั้งหมดเพราะฉะนั้นคำ ว่า “โฮล” โดดๆ ในภาษา เขมรสุรินทร์ปัจจุบันจึงมีความหมายเจาะจงอยู่ในแค่ผ้าโฮลลายริ้วที่สตรีใช้นุ่งเท่านั้น คำ เรียก ผ้าโฮลสตรี ชนิดเดียวกันนี้ในภาษาเขมรสุรินทร์ได้เรียกปลีกย่อยออกไปอีกหลายอย่าง เช่น โฮลปันเตื๊อด (บรรทัด) โฮลปะนะ, โฮลอันลูย ผ้าโฮลเป็นผ้าที่มีคุณภาพดีมาก เพราะการทอผ้าชนิดนี้ใช้เส้นไหมน้อย(ส่วนในสุด ของเส้นไหม) ในการทอทำ ให้เป็นผ้าไหมมัดหมี่เนื้อแน่นเส้นไหมเล็กละเอียด เนื้อผ้าจะ บางเบา เนื้นแน่นเนียน อ่อนนุ่ม ลวดลายสีสันเป็นแบบฉบับของชาวสุรินทร์ ซึ่งได้รับ อิทธิพลวัฒนธรรมจากศิลปะของเขมร ผ้าโฮล เป็นคำ เรียกในภาษาเขมร หมายถึง มัดหมี่ เป็นการสร้างลวดลายจาก การมัดหมี่ที่เส้นพุ่ง การทอผ้าโฮลแบบดั้งเดิมของจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด จะ มัดหมี่และย้อมสีโดยใช้ลวดลายตต้นแบบ คือ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ก้านแย่งที่พบในผ้าปูม แล้ วนําไปแยกกรอเข้าหลอดเส้นพุ่ง เรียงกันเป็น ๒ ชุด เพื่อแยกลาย เมื่อเวลาทอจะดึงเส้นพุ่ง ให้ลายยักเยื้องเหลื่อมกันเล็กน้อย แล้วคั่นด้วยเส้นไหมสีพื้น ดังนั้น ลวดลายที่ปรากฏจึงไม่ ได้เกิดจากการมัดหมี่เพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดจากการดึงหมี่เส้นพุ่งให้ยักเยื้องเป็นการ ซ่อนลวดลายต้นแบบที่มัดไว้เดิม ได้เป็นผ้าลายใหม่ ในปัจจุบัน มีการทอผ้าที่มีลวดลายคล้ายผ้าโฮล เช่น ลายใบไผ่โดยการมัดหมี่ เป็นลายใบไผ่แล้วนํามาทอแบบไม่ต้องดึงหมี่เพื่อให้ลายตรงกันซึ่งทําได้ง่ายกว่า เรียกกันว่า โฮลประยุกต์หรือโฮลจับจอง หรือโฮลนังเปรย ซึ่งมิใช่ผ้าโฮลที่ทอแบบ ดั้งเดิม 18
ตัวอย่างลายผ้าโฮล ผ้าโฮลเปราะห์ (ลายโฮลผู้ชาย) เป็นผ้ามัดหมี่ของกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมร บริเวณอีสานใต้ มีลวดลายและสีสันต่าง ๆ กัน ใช้เป็นผ้านุ่งโจงกระเบนของผู้ชาย ในสมัย โบราณเรียก “ผ้าปูมเขมร” ราชสำ นักใช้เป็นผ้าพระราชทานให้ข้าราชบริพารตามตำ แหน่ง เป็นผ้าขนาดใหญ่ กว้างยาวมาก มักมีเชิง คล้ายผ้าปาโตลาของอินเดีย บางทีเรียก ผ้าสมปัก หรือ ผ้าสองปัก ภาษาเขมรหมายถึงผ้านุ่ง ซึ่งจะพระราชทานให้ตามยศ เช่น สมปักปูม สมปักกรวยเชิง สำ หรับข้าราชการชั้นสูง ผ้าสมปักริ้ว ผ้าสมปักลาย สำ หรับข้าราชการระดับ เจ้ากรมและปลัดกรม ผ้าสมปักล่องจวนที่มีพื้นสีขาวสำ หรับพราหมณ์นุ่ง ได้ยกเลิกไปในสมัย ราชการที่ 5 ผ้าโฮลสะไรย์ (ลายโฮลผู้หญิง) เป็นผ้ามัดหมี่ที่เกิดจากการมัดหมี่ลวดลาย เดียวกันกับ ผ้าโฮลเปราะห์ แต่เมื่อนำ มาทอจะใช้วิธีการดึงลายให้เกิดลวดลาย อีกแบบหนึ่ง และเพิ่มองค์ประกอบของลวดลายเพิ่มเข้าไป คือมีลายสายฝน หางกระรอกและคั่นด้วยเส้น พื้นสีแดงครั่งเป็นต้น ซึ่งแตกต่างจากลายโฮลเปราะห์ เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของผ้า คือบริเวณ ริมผ้าจะมีเส้นสันนูนขนานไปกันทั้งสองด้าน ในทิศของแนวเส้นพุ่งอันเนื่องจากการจัด ลวดลายแล้ว ม้วนเส้นไหม ที่เหลือสอดเข้าในช่องว่างของเส้นยืน จากนั้นทอทับ ทำ ให้ริมผ้า ของผ้ามัดหมี่สุรินทร์มีความหนาและแข็งแรง 19
โฮลเกียด โฮลคชเกียรติ โฮลเกียรติ เป็นการทอคล้ายกันกับผ้าโฮลอื่นๆ แต่เป็นการใช้ กระสวยเดียวให้เป็นลายฟันปลา เชื่อกันว่าผู้สวมใส่จะได้มีเกียรติยศ ชื่อเสียง ผ้าโฮลเป็นผ้าที่มีคุณภาพดีมาก เพราะการทอผ้าชนิดนี้ใช้เส้นไหมน้อย(ส่วนในสุดของเส้น ไหม) ในการทอทำ ให้เป็นผ้าไหมมัดหมี่เนื้อแน่นเส้นไหมเล็กละเอียด เนื้อผ้าจะบางเบา เนื้น แน่นเนียน อ่อนนุ่ม ลวดลายสีสันเป็นแบบฉบับของชาวสุรินทร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลวัฒนธรรม จากศิลปะของเขมร 2.ลายผ้าอัมปรม, อันปรม อัมปรม เป็นผ้ามัดหมี่สองทางคือ โดยมีการมัดย้อมทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน ซึ่งแตกต่างจากผ้า มัดหมี่ทั่วไปของประเทศไทย ที่ส่วนใหญ่เป็นมัดหมี่เฉพาะเส้นพุ่ง อัมปรม เป็นผ้ามัดหมี่ของกลุ่มชาวไทยเชื้อสายเขมรใน บริเวณอิสานใต้ ได้แก่ บริเวณจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ การทอผ้าแบบนี้มีเพียงแห่งเดียวใน ประเทศไทย ตามปกติผ้าไหมมัดหมี่ในประเทศไทย จะเป็นการมัดเฉพาะเส้นพุ่ง ส่วนประเทศที่มี การมัดหมี่ทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืนมีอยู่เพียง 4 ประเทศเท่านั้น คือ แกรซังของประเทศจีน ป โตลาของประเทศ อินเดียตอนเหนือ บาหลีของประเทศอินโดนีเซีย และประเทศญี่ปุ่น แต่ใน จังหวัดสุรินทร์ มีการมัดหมี่ทั้งเส้นพุ่ง และเส้นยืน คือ อัมปรม ทำ ให้เชื่อว่า ศิลปะการทอผ้า ไหมมัดหมี่ชนิดแรกที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นอัมปรมนี้เอง จึงน่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกพร้อมๆกับ การ แผ่ขยายทางศาสนาฮินดู เมื่อสมัย 2,000 ปี มาแล้ว อัมปรม นับเป็นผ้าที่ชาวสุรินทร์ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งและเป็นเอกลักษณ์ของผ้ามัด หมี่สุรินทร์โดยแท้ อีกทั้งยังเป็นลายผ้าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นมรดกตกทอดมา หลายชั่วอายุคน 20
ผ้าอัมปรม เป็นผ้าทอพื้นเมืองของชาวไทยเชื้อสายเขมร ในแถบอีสานใต้พบมาก ในแถบจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ และอาจพบในจังหวัดศรีษะเกษอยู่บ้าง ผ้าอัมปรมนิยมใช้ เป็นผ้าซิ่นสําหรับสตรีเท่านั้น จึงเรียกกันว่าผ้าซิ่นอัมปรม อัมปรม เป็นลายมัดหมี่โบราณของชาวไทยเชื้อสายเขมร ที่มีการสืบทอดมาอย่าง ยาวนาน ความพิเศษของผ้าอัมปรม คือ เป็นผ้าที่มีกรรมวิธีการมัดหมี่แบบสองทาง คือมัด ทั้งเส้นพุ่ง และเส้นยืน ซึ่งแตกต่างจากกรรมวิธีการมัดหมี่ทั่วไปในภาคอีสานของประเทศไทย ที่นิยมมัดหมี่เฉพาะเส้นพุ่งเท่านั้น เอกลักษณ์และลักษณะพิเศษของผ้าอัมปรม คือ จะ ปรากฏลวดลายที่เป็นลายตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ ประมาณหัวเข็มหมุดที่เกิดจากการมัด ย้อมเส้นไหมทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน ให้มีลักษณะเป็นขีดเล็กๆ สั้นๆ สีขาว เมื่อนํามาทอเป็น ผืนผ้าแล้ว ลายขีดสีขาวนี้จะลอยเด่นขึ้นมาจากสีพื้น ในลักษณะเป็นเหมือนเครื่องหมาย กากบาท หรือเครื่องหมายบวก ในช่องตารางสีเหลี่ยมเล็กเหล่านั้นทุกช่องเต็มทั้งผืนผ้า ส่วน ของเส้นมัดหมี่สีขาว ทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่งที่ตัดกันเป็นเครื่องหมายบวกหรือกากบาท นั้นจะ เรียกว่า “ลายกราประ” โครงสร้างของผ้าซิ่นอัมปรม จึงเป็นการตกแต่งด้วยลายกราประ เต็มทั้งผืนผ้า โดยไม่นิยมทําลวดลายมัดหมี่อื่นใดมาประกอบด้วยเลย ความสามารถของช่าง ทอผ้าอัมปรม จึงอยู่ที่การมัดหมี่ และการทอให้เส้นขีดขาวทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่งนั้นขัดกัน เป็นรูปกากบาทแบบเครื่องหมายบวกให้จงได้แต่ก็อาจจะพบเห็นผ้าอัมปรมที่มีลวดลายที่ เขย่งกันไปมาไม่มีลักษณะเป็นเครื่องหมายบวกหรือกากบาทอยู่บ้างเป็นส่วนใหญ่ซึ่งก็ถือเป็น สน่ห์ของผ้าอัมปรมไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งลักษณะโครงสร้างและลวดลายผ้าอัมปรมเช่นนี้สืบทอด มาจากประเทศกัมพูชา และนิยมทอและใช้เป็นผ้าซิ่นในชีวิตประจําวันของชาวไทยเชื้อสาย เขมร ในแถบอีสานใต้เท่านั้น 21
สะมอเป็นลายโบราณของผ้าอีสานใต้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ที่น่าทึ่ง มาก ลายสะมอมักถูกทอขึ้นบนผ้าอีสานใต้และมักมีลักษณะเป็นตารางสีเขียวอมเหลือง ทำ ให้เกิดความเหมือนคล้ายกับสีของเปลือกผลสมอไทย (Terminalia chebula Retz.) และ ส่งผลให้ลายสะมอได้รับชื่อว่า "ผ้าสะมอหัวซิ่น" เนื่องจากมีตัวซิ่นเปิดชายผ้าและแถบริ้วคู่สี แดงที่อยู่ตรงกลาง ลวดลายสะมอจึงเห็นความสวยงามและมีความมีมิติ โดยในตัวเส้นยืน และเส้นพุ่งของสะมอยังมีเส้นไหมสีดำ ปรากฎอยู่ตรงกลางของตาราง ทำ ให้เกิดความน่าสนใจ และเป็นที่น่าประทับใจอย่างมาก ลายสะมอเป็นรูปตารางขนาดเล็กๆ ซึ่งประกอบด้วยสีเขียวผลสมอไทยเข้าไปข้าง ใน โดยสลับกันอย่างเรียงสวยงามระหว่างเส้นยืนสีเหลืองและสีเขียว และเส้นพุ่งสีเหลือง ใน ตัวเส้นยืนและเส้นพุ่งก็มีเส้นไหมสีดำ ปรากฎอยู่ตรงกลางของตาราง ทำ ให้ลายสะมอและแถบ กะเนียวมีมิติและเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น ผ้าสะมอมีความเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงความ สวยงามและวัฒนธรรมของชาวอีสานใต้อย่างล้ำ ค่า การสร้างสรรค์และเรียงลำ ดับเส้น ลวดลายของสะมอนี้กลายเป็นงานศิลปะที่น่าทึ่งและน่าประทับใจอย่างมาก สะมอเป็นสิ่งที่ ควรที่จะถูกส่งต่อและส่งเสริมให้ดังกล่าวเพื่อให้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ทราบถึง เสน่ห์และความน่าทึ่งของลายนี้ อย่างไรก็ตามการที่สะมอและลายสะมอยังคงคงอยู่และ ตกแต่งเสื้อผ้าในชุดคู่กันแบบเรียบๆ ทำ ให้สะมอยังคงความเป็นสิ่งที่สำ คัญและมีความ คล้ายคลึงกับการครองครอาชนประจำ เมืองที่สุด ดังนั้นความสำ คัญและความเป็นเอกลักษณ์ ของสะมอยังคงมีความท้าทายในการสืบสานและพัฒนาให้ยังคงอยู่ในวัฒนธรรมอีสานใต้อย่าง ยาวนาน 3.ลายผ้าสะมอ, สมอ 22
4.ลายผ้าอันลูนซีม, อันลุยซีม, อันลูญซีม ผ้าอันลูนซีม ลวดลายเกิดจากการนำ เส้นใยไหมมาควบตีเกลียว เรียกว่า “ไหม ควบ” เป็นการนำ เส้นไหม 2 สี จำ นวน 2-5 เส้น มาควบตีเกลียวให้เป็นเส้นเดียว นิยมใช้ เส้นใยไหมน้อย เพราะเมื่อร่วมตัวกันจะเป็นไหมเส้นใหญ่ ผ้าอันลูนซีน เมื่อทอเสร็จแล้วผ้าจะ มีความเหลือบของเส้นหมี่ เมื่อหมี่เรียงขัดสานตัวจะเห็นลวดลายบนพื้นผ้าเป็นลายตรง ใช้สี ในการทอเพียง 4 สี ได้แก่ สีเหลืองทอง เขียว แดง และ ขาว ผ้าอันลูนซีม เป็นผ้าในกลุ่ม ผ้าลายอันลูนหรือผ้าลายตาราง เป็นผ้าของกลุ่มชาว ไทยเชื้อสายเขมรในบริเวณอิสานใต้ ได้แก่ บริเวณจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ซึ่งใช้ไหมพุ่งและ ไหมยืนหลายสีแบบเดียวกันทอขัดกัน เกิดเป็นตาราง ถ้ามีขนาดใหญ่เรียกว่า อันลูนธม ถ้า ขนาดเล็กเรียกว่า ผ้าดังกล่าวนิยมใช้ในกลุ่มหญิงสูงวัยใช้นุ่งอยู่บ้าน 5.ลายผ้าละเบิก ละเบิก เป็นคําเรียกในภาษาท้องถิ่น หมายถึงเปิด ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของ ผ้าชนิดนี้เกิดจากการเรียงสีเส้นยืนเป็นลายริ้วหลากสีแล้วทอตัดให้เป็นลาย ตาราง โดยใช้สี เดียวกันกับเส้นยืน มีสีหลักคือสีขาว และสีรอง ได้แก่ สีน้ําเงินหรือ สีม่วง สีเขียว สีเหลือง ในผ้าลายดั้งเดิมซึ่งใช้เป็นผ้านุ่งในชีวิตประจําวันจะมีสีแดง เฉพาะส่วนที่เป็น “เจือย” เท่านั้น แต่ปัจจุบันมักมีสีแดงทออยู่ในตัวลายด้วย (นางเฉือน แม่นจิตร ผู้ให้ข้อมูล) และการให้สีเข้ม ทึบ มักจะพบในกลุ่มชาติพันธุ์ เขมร (๑) ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์กูย (๒) ใช้สีสันสดใสกว่า 23
จังหวัดสุรินทร์ประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย แต่ที่มีความเกี่ยวข้อง กับลวดลายผ้านั้นมีสำ คัญอยู่ 3 ชาติพันธุ์ คือชาติพันธุ์เขมร, กูยและลาว ซึ่งแต่ละชาติพันธุ์ จะมีเอกลักษณ์ของลวดลายบนพื้นผ้าแตกต่างกันออกไป ซึ่งผ้าไหมในจังหวัดสุรินทร์มีทั้งผ้า ไหมลายมัดหมี่,ลายยกดอก,ลายขิด,ลายโครงสร้าง,ลายพื้น หรือเทคนิคการสร้างลวดลาย แบบผสมโดยนำ เทคนิคของผ้าลายมัดหมี่มาทอยกดอก คนไทยเชื้อสายเขมรนิยมใช้ผ้าไหมซึ่งเป็นลายที่มีเอกลักษณ์ของกลุ่มชน มีรูปแบบ ลายผ้าที่เรียบง่ายสีสันสวยงาม มีการทอสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ ผ้าละเบิก เป็นผ้านุ่งพื้นเมืองประเภทยกดอกลายตารางสี่เหลี่ยม ใช้เส้นยืน หลายๆสี สีละ 2-4 เส้นเรียงสลับกันไปตามหน้ากว้างฃองผืนผ้า ทอ 4 ตะกอ โดยยกทีละ 2ตะกอ ลักษณะผ้าเหมือนมีช่องสี่เหลี่ยมเป็นช่วงๆ ดูเผินๆ จะเห็นเป็นลายตาราง ดูใกล้ๆ จะเห็นเป็นลายยกในเนื้อผ้า 6.ลายผ้าสาคู ผ้าสะคูเป็นองค์ประกอบที่สำ คัญในประเพณีและการสร้างศิลปะในชนบทของชุมชนในพื้นที่ สุรินทร์ ลักษณะของลวดลายผ้าสะคูที่มีลักษณะคล้ายคูคลองและเรียงอยู่เป็นคู่ๆ มีความ สัมพันธ์กับหลักการสร้างปราสาทหินโบราณ โดยมักมีสีเขียวที่เป็นเส้นตัดในลวดลายผ้าสะคู เป็นคู่ๆ รายรอบปราสาทหิน นอกจากนี้ยังเชื่อว่าผ้าสะคูเป็นตัวแทนของสระน้ำ หรือแหล่งน้ำ ที่อยู่เป็นคู่กัน ทำ ให้ผ้าสะคูมีความหมายทางศาสนาและเชื่อมโยงกับความเชื่อและวัฒนธรรม ของชุมชนในอดีตโบราณของพื้นที่นี้ ผ้าสะคูแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ: ผ้าสะคูใหญ่: ประกอบด้วย 5 สี คือ สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีน้ำ เงินหรือสีกรมท่า และสีขาว 1. 2.ผ้าสะคูเล็ก: ประกอบด้วย 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีเขียว แต่ละแบบของผ้าสะคูมีความสำ คัญและใช้ในพิธีกรรมและงานศิลปะที่แตกต่างกันของชุมชน ท้องถิ่นในพื้นที่สุรินทร์ 24
"ผ้าหางกระรอก" เป็นผ้าทอโบราณที่มีลักษณะลวดลายเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความประณีต และงดงาม โดยใช้เทคนิคการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าไทคือ "การควบเส้น" หรือคน ไทยเรียกว่า "ผ้าหางกระรอก" ผ้าหางกระรอกถือเป็นผ้าโบราณที่พบมากในแถบอีสานใต้คือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และพบในภาคใต้ที่นครศรีธรรมราช ตรัง “โฮลเปราะห์” และสตรีใช้นุ่งทอเปลงเป็นลายริ้ว เรียกว่า “โฮลแสร็ย” จังหวัดนครราชสีมา ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งทอผ้าหางกระรอก ที่สามารถทอผ้าได้งดงาม ที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะสำ คัญของผ้าหางกระรอกคือ เป็นผ้าพื้นเรียบที่ใช้เทคนิคการทอ พิเศษ ที่นำ เส้นพุ่งพิเศษโดยใช้เส้นไหม หรือเส้นฝ้าย 2 เส้น 2 สี มาตีเกลียวควบเข้าด้วย กันให้เป็นเส้นเดียว ที่เรียกว่า เส้นลูกลาย หรือ ไหมลูกลาย หรือ เส้นหางกระรอก ใช้ อุปกรณ์ในการตีคือ ไน และโบก ซึ่งต้องอาศัยทักษะความชำ นาญของผู้ตีเกลียวที่จะทำ ให้ได้ เกลียวถี่ หรือเกลียวห่างตามต้องการ ส่วนเส้นไหมที่จะนำ มาตีเกลียวนั้นควรเป็น เส้นไหม น้อยที่คัดเป็นพิเศษให้ได้เส้นไหมที่สม่ำ เสมอกัน จากนั้นจึงนำ ไปเป็นเส้นพุ่งทอผ้า และผ้าที่ได้ จะมีลักษณะลวดลายเล็กๆ ในตัวมีสีเหลือบมันวาวระยับดูคล้ายเส้นขนของหางกระรอก ครั้ง หนึ่งผ้าหางกระรอกเคยเป็นผ้าประจำ จังหวัดนครราชสีมา ตามคำ ขวัญเดิมของจังหวัดที่ว่า "นกเขาคารม อ้อยคันร่ม ส้มขี้ม้า ผ้าหางกระรอก ดอกสายทอง แมวสีสวาท" เพราะโคราชมี การทอผ้าหางกระรอกมานานกว่าร้อยปี จังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ชาวกูยนิยมใช้และทอผ้าไหมควบ สตรีชาวกูยมีความ ชำ นาญในการตีเกลียวเส้นไหม เรียกว่า ละวี หรือ ระวี ตามความเชื่อ เรื่องความกลม เกลียวสามัคคีกันในครอบครัวและสายตระกูลที่นับถือผีด้วยกัน การนำ ไหมสองสีมาควบกัน เรียกว่า “กะนีว” หรือ “ผ้าหางกระรอก” เมื่อนำ มาใช้เป็นเส้นพุ่งทอกับเส้นยืน สีพื้นจะทำ ให้ เกิดลายเหลื่อมกันเป็นสีเหลืองคล้ายหางกระรอก ลักษณะของผ้ากะนีวนี้ผิวสัมผัสจะมีความ มันระยิบระยับ เมื่อนำ ไปส่องกับแดดจะแยกสีได้ชัดเจน ผู้ชายไทยกูย นิยมนุ่งผ้าไหมควบ (หะจิกกะน้อบ) สำ หรับนุ่งโจงกระเบน ชื่อที่เรียกว่า "ผ้าหางกระรอก" อาจเป็นเพราะลวดลายของผ้าทอที่มีลักษณะเนื้อผ้า ที่มีความเหลือบสี เห็นเป็นลายเส้นเล็กๆ ในตัว ซึ่งมองดูแล้วคล้ายกับขนของหางกระรอก จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกดังกล่าว นอกจากนี้ ชื่อเรียกผ้าชนิดนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละท้อง ถิ่น ตามรูปลักษณ์ที่มุ่งเน้นเช่น บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าวา ผ้ายาว ซึ่งเป็นการเรียกตามลักษณะ ความยาวของผืนผ้าที่ยาวกว่าผ้าถุงเท่าตัว บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าควบ เพราะถือเอาวิธีการทอ แบบตีเกลียวควบมาใช้เป็นชื่อเรียก แต่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกว่าผ้าหางกระรอกมากกว่า 7.ลายผ้ากระเนียว, หางกระรอก 25
บรรณานุกรม ชัย. (2558). ผ้าไหมสุรินทร์. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2566, จาก http://www.xn--o3cdiukc9bg6dya6bxjrcvc.com/ ชีวสิทธิ์ บุญยเกียรติ. (2564). ผ้าทอสุรินทร์. สืบค้นเมื่อ31 ธันวาคม 2566, จาก https://www.sac.or.th/databases/traditional-objects/th/equipmentdetail.php?ob_id=293 ภาภรณ์ หอมยี่สุ่น. (2554). ผ้าไหมสุรินทร์. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2566, จาก https://homyeesun.wordpress.com/ ไทยพีบีเอส. (2556). "ภูมิปัญญา" ผ้าทอพื้นเมืองสุรินทร์. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2566, จาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/156556 เนื่องพณิช สินชัยศรี. (2525). การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2566, จาก https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php? book=7&chap=3&page=chap3.htm สำ นักอนุรักษ์และตรวจสอบมาตรฐานหม่อนไหม. (2566). ผ้าโฮล. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2566, จาก https://qsds.go.th/silkcotton/k_2.php ร้านชอบไหม. (2566). ผ้าโฮล ลายผ้าอัตลักษณ์ประจำ จังหวัดสุรินทร์. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2566, จาก https://www.chobmai.com/category/256/ สำ นักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์. (2565). จังหวัดสุรินทร์ประกาศลายผ้าที่เป็นอัต ลักษณ์ประจำ จังหวัด จำ นวน 7 ลาย. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2566, จาก https://surin.prd.go.th/th/content/page/index/id/75885 26