The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานนำเสนอ1-ผสาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by BadGuYz, 2020-10-19 23:10:47

รายงานการอบรม

งานนำเสนอ1-ผสาน

รายงานสรุปผลการอบรม

โครงการพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา
เพอ่ื เตรียมความพร้อมและพฒั นาอย่างเข้ม ตาแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย

สังกดั สานกั งาน กศน. กลุ่มล่มุ นาเจา้ พระยา

โดย
นายศิวะ ปลงั่ กลาง
ตาแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย
สังกดั กศน.เขตลาดพรา้ ว

ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั กรงุ เทพมหานคร

บนั ทึกข้อความ

สว่ นราชการ งานบคุ ลากร กศน.เขตลาดพร้าว โทร.0-2538-8639

ท่ี ศธ 0210.12334/ วนั ที่ ตุลาคม 2563

เรอ่ื ง รายงานผลการเขา้ อบรมโครงการพัฒนาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาเพ่อื เตรยี มความพร้อม

และพัฒนาอยา่ งเข้ม ต้าแหนง่ ครูผู้ช่วย สังกดั สา้ นกั งาน กศน. กล่มุ ลมุ่ นา้ เจ้าพระยา

เรยี น ผูอ้ ้านวยการ กศน.เขตลาดพรา้ ว
ตามหนังสอื ส้านักงาน กศน. กทม. ที่ ศธ. 0210.123/3556 ลงวันท่ี 5 ตุลาคม 2563 เรื่องขอเชิญ

เข้าร่วมการอบรมโครงการพัฒนาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่าง
เขม้ ตา้ แหนง่ ครผู ้ชู ว่ ย สังกัด กศน. กล่มุ ลมุ่ นา้ เจ้าพระยา ในระหวา่ งวันที่ 7-13 ตลุ าคม 2563 ณ สถาบันพัฒนาครู
คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา อา้ เภอสามพราน จังหวดั นครปฐม นนั

ในการนี นายศิวะ ปลัง่ กลาง ตา้ แหน่ง ครูผูช้ ่วย กศน.เขตลาดพร้าว ได้ด้าเนินการเข้าร่วมการอบรม
โครงการพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา เพอ่ื เตรยี มความพรอ้ มและพฒั นาอยา่ งเข้ม ต้าแหน่ง
ครูผูช้ ว่ ย สังกดั กศน. ดังกล่าวเปน็ ที่เรยี บร้อยแล้ว จึงขอรายงานการเข้าอบรมฯ รายละเอยี ดดงั แนบ

จึงเรยี นมาเพื่อโปรดพิจารณา

(นางพัชรา สายนาค)
ผ้อู ้านวยการ กศน.เขตลาดพรา้ ว

แบบรายงานการเข้าอบรม/ สมั มนา/ ศกึ ษาดูงาน
 รายบุคคล  กลุ่มบคุ คล

ชื่อ – สกุ ล : นายศวิ ะ ปลั่งกลาง ตาแหนง่ : ครผู ู้ชว่ ย

งาน : พฒั นาบุคลากร

ช่อื หลักสูตร หลักสตู รการเตรยี มความพร้อมและพัฒนาอยา่ งเข้ม ตาแหนง่ ครูผู้ช่วย สังกัดสานักงาน กศน. กล่มุ ลุม่ นา้

เจ้าพระยา

วัน เดอื น ปี ระหวา่ งวันที่ 7 – 13 ตุลาคม 2563

สถานท่ีจัด ณ สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา อาเภอสามพราน จงั หวดั นครปฐม

หนว่ ยงานผจู้ ดั สานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกรุงเทพมหานคร

ใบเกยี รติบตั ร/  ไดร้ ับ  ไมไ่ ดร้ ับ เนอื่ งจาก.................................................................

วุฒบิ ตั ร  ไม่มี

สรุปสาระสาคญั

พธิ ีเปดิ การอบรม

วันที่ 7 ตุลาคม 2563 เวลา 13.00 น. – 15.00 น.

พธิ ีเปดิ การอบรมหลักสูตรการเตรยี มความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตาแหนง่ ครผู ชู้ ่วย สังกัดสานักงาน กศน.

กลมุ่ ลุ่มน้าเจ้าพระยา โดย ดร.วรัท พฤกษาทวกี ุล เลขาธิการ กศน. เปน็ ประธานในพธิ ีเปิดการอบรม โดยมี นายปรเมศวร์ ศิรริ ตั น์

ประธานกลมุ่ ลุม่ นา้ เจา้ พระยา กล่าวรายงาน

ดร.วรทั พฤกษาทวกี ุล เลขาธิการ กศน. เน้นย้าแก่ครผู ู้ชว่ ยใหม่กลมุ่ ลุ่มน้าเจา้ พระยา ในการอบรมพัฒนาตามหลักสูตร

การเตรียมความพร้อมและพัฒนาอยา่ งเข้มว่า การทางานใหป้ ระสบความสาเรจ็ ต้องมี 3P คือ

Professional มีความรู้ความสามารถเชีย่ วชาญในงานทีร่ ับผดิ ชอบ รูล้ ึกร้ลู ะเอียด ไมห่ ยุดนงิ่ ที่จะเรยี นรู้อยา่ งต่อเนื่อง

ProActive การทางานเชิงรุก เพราะงานของ กศน.คือความผาสกุ ของประชาชน เราต้องเดินเขา้ หาประชาชนไมใ่ ช่

ใหป้ ระชาชนเดินเข้าหาเรา

Public relation การใหค้ วามสาคญั กับงานประชาสัมพนั ธ์ เพราะในโลกยุคปจั จุบันเป็นยคุ โซเชยี ล ตอ้ งมกี ารสร้าง

การรับรใู้ นเนอ้ื งานขององค์กรสปู่ ระชาชนอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ โดยในการบริหารงานจะยึดหลกั คนสาราญงานสาเรจ็ สืบทอด

จาก ปลัด ศธ. ทา่ นเดมิ มีการจัดการเรยี นร้ทู หี่ ลากหลายดงั นี้

1. เทคนคิ การสอนโดยวิทยากรโดยมีเทคนิคทหี่ ลากหลาย โดยมีสอื่ จากคลิปวดี ีโอตา่ งๆ

2. เทคนคิ การสอนโดยวทิ ยากร

3. มีการจัดทาการทดสอบในเน้อื หาทเ่ี รียนทง้ั หมด

การปฐมนิเทศ เวลา 15.00 น. – 17.00

การปฐมนิเทศ ผู้เข้ารับการอบรมหลกั สูตรการเตรยี มความพร้อมและพฒั นาอยา่ งเข้ม ตาแหน่งครูผู้ช่วย สังกดั สานักงาน

กศน. กลุม่ ล่มุ นา้ เจา้ พระยา โดย นางสุพรพรรณ นาคปานเอี่ยม ผูอ้ านวยการ สานกั งาน กศน.จงั หวัดนนทบุรี กล่าวถงึ หลกั การ

และเหตุผล วตั ถปุ ระสงค์ หลักเกณฑข์ องหลักสูตร รายละเอยี ดหลกั สตู รและวิธกี ารพฒั นาท่ี ก.ค.ศ. กาหนด กระบวนการพัฒนา

ตารางการอบรมและวทิ ยากร การประเมนิ ผลการพฒั นา กรอบการเตรยี มความพร้อมและพฒั นาอย่างเขม้ ตาแหนง่ ครผู ชู้ ่วย

โดยแบ่งเป็น 5 หมวด ดังนี้

หมวด 1 วินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชพี

หมวด 2 การจดั การเรยี นการสอน

หมวด 3 การบริหารจดั การชั้นเรยี น

หมวด 4 การมสี ว่ นรว่ มการพฒั นาในสถานศึกษาและชมุ ชนการเรยี นร้ทู างวชิ าชพี

หมวด 5 ทักษะการใช้ภาษาและเทคโนโลยีดิจทิ ัล
โดย นางสพุ รพรรณ นาคปานเอีย่ ม ผู้อานวยการ สานกั งาน กศน.จงั หวัดนนทบุรี ได้กลา่ วถึงผ้เู ข้ารับการอบรม ใหต้ ั้งใจ
เกบ็ เก่ยี วความรจู้ ากวทิ ยากร เพื่อนาไปใชไ้ นการปฏบิ ัตงิ านในถานศึกษา ชุมชน นักศึกษา และภาคเี ครือขา่ ย
พบวิทยากรประจากลุ่ม เวลา 18.00 น. – 20.00 น.
วิทยากรที่ปรกึ ษาประจากลุ่ม ได้แก่ นางศรีสงา่ โภคสมบตั ิ ผ้อู านวยการ กศน.เขตทงุ่ ครุ กทม. และ นางสาวพะยอม
ชาติสมบรู ณ์ ครูชานาญการ กศน.เขตพระโขนง กทม. พร้อมกับส่งผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
และปฏบิ ตั ิภารกิจกลุม่ ย่อย โดยการแนะนาประวัตสิ ว่ นตัว และการเตรยี มพร้อมการเข้ารับการอบรม กตกิ าการอย่รู ว่ มกนั
ความสามคั คีภายในกล่มุ การมสี ว่ นรว่ ม

วันท่ี 8 ตุลาคม 2563 เวลา 05.30 น. – 07.00 น.
การพัฒนากาย โดย ทมี งาน ครู กศน.อาเภอสามพราน จงั หวัดนครปฐม
การพฒั นาจติ /สวดมนต์ โดย รองเจา้ อาวาสวัดไร่ขงิ

วชิ าที่ 3.1 การจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศทเ่ี อ้ือต่อการเรียนรู้ เวลา 08.00 น. – 10.00 น.
การบรรยายในหัวข้อ การจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ โดย นางกรรณกร ชูเทพ ผู้อานวยการ

กศน.เขตมีนบุรี
องค์ความรู้ทไ่ี ด้รบั จากวทิ ยากร การตงั้ ความหวงั การตั้งเป้าหมายในการปฏบิ ตั ิงาน และการนอ้ มนาหลกั ปรัชญา

ของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และสง่ เสริมกรเรียนรขู้ องผเู้ รยี น โดยยึดหลัก 2 เง่ือนไข 3 หลักการ 4 มิติ
การสร้างและส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยการจูงใจผู้เรียน สิ่งแวดล้อมในการเรียนการสอน คุณลักษณะของครู
การมีน้าใจ อ่อนโยน พยายามเข้าใจผู้เรียน การจูงใจพาผู้เรียนออกนอกห้องเรียน ในรูปแบบ Active leaning ให้ผู้เรียนมีความ
กระตือรอื ร้นในการเรียนรู้ โดยครเู ป็นผบู้ รหิ ารจดั การการเรียนรู้ การสร้างมิตรภาพ ความมนี า้ ใจ การส่งเสริมสนบั สนนุ
เพ่ือพัฒนาผเู้ รียนใหม้ ีลักษณะตามท่หี ลกั สตู รไดก้ าหนดไว้
วิชาที่ 4.2 งานกิจกรรมตามภารกจิ บริหารงานของสถานศึกษา เวลา 10.00 น. – 12.00 น.

การบรรยายในหัวข้อ งานกิจกรรมตามภารกจิ บริหารงานของสถานศึกษา โดย นายวีรยุทธ์ แสงสริ วิ ัฒน์ ผอู้ านวยการ กศน.
อาเภอเมืองปทมุ ธานี

องคค์ วามรู้ที่ไดร้ บั จากวิทยากร การบรหิ ารงานในสถานศึกษาตามภารกิจ โดยแบ่งตามโครงสร้างของสถานศึกษา
ท่ีครผู ู้ชว่ ยต้องชว่ ยผูบ้ ริหารสถานศึกษาดแู ล กากบั ติดตาม การทางานในสถานศึกษา เพื่อใหก้ ารดาเนนิ งานของสถานศกึ ษา
เปน็ ไปด้วยความเรยี บร้อย บรรลุตามวัตถุประสงคข์ องการบรหิ ารงานของสถานศึกษา ได้แก่ งานบรหิ ารงานท่วั ไป งานบรหิ าร
งานวชิ าการ งานบริหารทรัพยากรบคุ คล งานกิจการนักศึกษา งานบรหิ ารงบประมาณ
วชิ าที่ 4.2 การดารงชวี ติ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง เวลา 13.00 น. – 15.00 น.

การบรรยายในหวั ขอ้ การดารงชีวิตตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดย ดร.สมบตั ิ สวุ รรณพทิ กั ษ์
องค์ความรู้ที่ได้รับจากวิทยากร การนาหลัก AIR ในการทางานของครูและเทคนิคการเรียนการสอนระหว่างครูและผู้เรียน
รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศ การเป็นกลั ยาณมิตรและการใชส้ ุนทรยี วาจา
A = (Attention) ความใส่ใจ วามใส่ใจแสดงออกมาได้หลายทาง เช่น ในขณะท่ีท่านอยู่กับใครบางคน ท่านตั้งใจฟังเขาพูด
ประสานสายตากบั เขาอย่างอ่อนโยน เพื่อรับรเู้ รอ่ื งราวต่าง ๆ ท่ีเขากาลงั สือ่ สารออกให้ท่าน ทา่ นจะไม่ละสายตาไปจากเขาโดย
ไม่จาเป็น อาจยิ้ม และพยักหน้าเล็กน้อยแสดงว่าท่านเข้าใจสิ่งท่ีเขากาลังพูด ท่านซักถาม หรือ พูดตอบโต้กับเขาตามท่ีเหมาะสม
ลกั ษณะเชน่ นี้เปน็ การแสดงความสนใจกับสง่ิ ทเี่ ขาพดู
I = (Interactive) ปฏิสัมพันธ์ คือ การมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้เรียนมีการโต้ตอบ
ปฏิสัมพันธ์กับคอมพิวเตอร์ และบทเรียนฯ มีโอกาสเลือก ตัดสินใจ และได้รับการเสริมแรง จากการได้รับข้อมูลย้อนกลับทันที
เป็นการเรยี นรใู้ นรปู แบบการส่ือสารสองทาง (Two-Way Communication) การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เนื้อหาจะถูก

ส่งจากเครอ่ื งไปยังผูเ้ รียนเพอื่ ให้ผู้เรียนทาการตอบสนอง โดยส่งคาตอบหรือข้อมูลกลับไปยังเครื่องอีกคร้ังหน่ึง การเรียนการสอน
ในลักษณะนม้ี ีข้อดหี ลายประการ เช่น ความฉบั พลันของการให้คาตอบจากโปรแกรมบทเรียนทวี่ างไว้เพ่ือความเขา้ ใจท่ีถกู ต้อง
แกผ่ ู้เรียน เป็นการทาใหง้ ่ายตอ่ การเรียนรู้และทาใหก้ ารถ่ายทอดความรู้บรรลผุ ลดว้ ยดี

R = (Respect) การให้เกยี รตผิ ู้อื่น การใหเ้ กยี รติผู้อน่ื เปน็ การใหค้ วามเคารพนบั ถือและยอมรบั ในความสามารถของผู้อ่นื
ใชก้ ริยาวาจาสภุ าพ อ่อนนอ้ ม ท่แี สดงความเหน็ อกเหน็ ใจผู้อน่ื ไม่เหน็ แก่ตวั คานงึ ถงึ ผ้อู ่ืน และประพฤตปิ ฏบิ ัติต่อเขาด้วยความ
เคารพเชน่ เดียวกบั ที่เราต้องการให้เขากระทาต่อเรา

หลักการดาเนินชวี ิตตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง โดยใช้ Growth Mindset คอื ความคดิ ที่คิดอยเู่ สมอวา่
ทุกสง่ิ สามารถเปลย่ี นแปลงได้ สามารถดีขน้ึ ได้ แลว้ พยายามทาให้ดีข้นึ กวา่ เดิม เรียนร้ใู นสง่ิ ที่ยงั ไม่รเู้ พิม่ เติมเร่ือยๆ ครู กศน.
ต้องเป็นครูมอื อาชพี รู้จักตนเอง รกั องค์กร รักการสอน รักเพอื่ นร่วมงาน รักการเรียนรู้ ซ่ึงถือวา่ เป็นทักษะสาคัญสาหรบั ครู กศน.
วชิ าท่ี 1.1 – 1.3 วนิ ัยและการรักษาวนิ ัย คณุ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวชิ าชพี เวลา 18.00 น. – 20.00 น.

การบรรยายในหวั ข้อ วินยั และการรกั ษาวินัย คณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชพี
โดย นายวรวทิ ย์ สรุ ะโคตร

องค์ความรทู้ ่ไี ดร้ ับจากวทิ ยากร โทษทางวินัยของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา มี 5 สถาน
วนิ ัยไม่ร้ายแรง

1. ภาคทณั ฑ์ (ตาหนิตเิ ตียน)
2. ตดั เงนิ เดือน (ตัดผลประโยชน)์
3. ลดข้นั เงินเดอื น (ตัดผลประโยชน์)
วินัยร้ายแรง
4. ปลดออก (มสี ิทธ์ิรบั บาเหน็จบานาญ)
5. ไลอ่ อก (ไม่มีสิทธไิ ด้รบั บานาญ)
การใหอ้ อกจากราชการ กรณีตอ่ ไปน้ี
1. ขาดคณุ สมบัติ
2. หยอ่ นความสามารถ
3. ประพฤตติ นไม่เหมาะสม
4. มมี ลทนิ มัวหมอง
5. ไมผ่ ่านทดลองปฏบิ ตั ิราชการ
6. เจบ็ ปว่ ยทุพพลภาพ
7. ให้ออกจากราชการไว้ก่อนหรือสัง่ พกั ราชการ
ลกั ษณะทั่วไปของวินัยข้าราชการ
1. ไมม่ ีอายคุ วาม
2. ใชเ้ ฉพาะข้าราชการ
3. ผรู้ ้องเรยี นไม่จาเป็นต้องเป็นผู้เสยี หาย
4. ยอมความไม่ได้
5. ร้องเรยี นแล้วเพิกถอนไมม่ ผี ล
6. ไมอ่ าจชดใชไ้ ดด้ ว้ ยเงนิ
7. ตัง้ วินัยสอบสวนทางวินยั รา้ ยแรงไม่ต้องรอการเล่ือนขน้ั เงนิ เดือน
8. รับสารภาพ ไมเ่ ป็นเหตลุ ดหย่อนโทษ
9. แม้ออกจากราชการแล้วเรอ่ื งไม่ยุติ
10. ถกู สอบสวน ลาออกได้แต่เรื่องไมย่ ตุ ิ

11. จะอ้างวา่ ไม่รู้ระเบยี บกฎหมายไม่ได้
12. การอทุ ธรณ์ไม่เป็นผล
13. มาตรฐานโทษสงู กว่าข้าราชการอื่น
14. ไม่มีเจตนาก็เป็นการกระทาโดยประมาทได้
15. ไม่กระทาผิดวนิ ัย แต่ถูกให้ออกจากราชการได้
16. มที งั้ ระเบียบและกฎเกณฑ์เป็นลายลักษณ์อกั ษรและไมเ่ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร
17. เมอ่ื รับโทษทางวินัยแล้ว ยงั ต้องรบั ผิดทางกฎหมายอกี ด้วย
จดุ มุ่งหมายของวินัย
1. ประสิทธภิ าพ ประสทิ ธผิ ล
2. ความเจริญมัน่ คงของประเทศ
3. ความสขุ ของประชาชน
4. รกั ษาภาพพจน์ชื่อเสียงท่ีดีของทางราชการ
แนวคดิ ในการเสริมสร้างวนิ ยั ขา้ ราชการครู
1. วนิ ยั เป็นปัจจยั ทีส่ รา้ งความสาเรจ็ ความกา้ วหนา้
2. วนิ ยั เป็นผลทเ่ี กดิ จากภาวะความเป็นผู้นา
3. วนิ ัยเป็นมาตรการสง่ เสรมิ และป้องกัน
4. วนิ ยั ในตนเองน้นั เกดิ จากความศรทั ธา
การสร้างวนิ ัยจะต้องดาเนนิ การ
1. ใหค้ วามรู
2. การสรา้ งความร้สู กึ
3. การแสดงพฤติกรรม
การดาเนนิ การทางวนิ ยั
1. มผี รู้ ้องเรียน
2. ผบู้ ังคบั บัญชาพบเห็น
3. บตั รสนเท่ห์
4. ไดร้ บั รายงานหรือแจง้ จากบุคคลจากหนว่ ยงานที่เกย่ี วข้อง ปปช. สตง. ปปง.
วนั ที่ 9 ตุลาคม 2563 เวลา 05.30 น. – 07.00 น.
การพฒั นากาย โดย ทีมงาน ครู กศน.อาเภอสามพราน จงั หวัดนครปฐม
วชิ าท่ี 2.4 การเลือก หรอื สรา้ ง หรอื พฒั นาสื่อเทคโนโลยีและแหล่งเรยี นรู้ เวลา 08.00 น. –12.00 น.

สอบประมวลความรู้ หมวดที่ 1
การบรรยายในหวั ข้อ การเลอื ก หรอื สร้าง หรอื พัฒนาสอ่ื เทคโนโลยีและแหลง่ เรียนรู้ โดย รศ.ดร.วีระเทพ
ปทุมเจริญวฒั นา
องค์ความรู้ที่ได้รับจากวิทยากร ส่ือการเรียนรู้ หมายถึง เครื่องมือ/ตัวกลางที่ทาให้การสื่อสารระหว่างผู้เรียน มีการบรรจุ
สาระและเน้อื หา ระหวา่ งครูและผู้เรียน
ประเภทของสอ่ื การเรียนรู้

1. สอ่ื สง่ิ พิมพ์ มีทัง้ พิมพ์ท่ีจัดทาข้ึนเพ่ือสนองการเรยี นรตู้ ามหลักสูตรโดยตรง เชน่ หนงั สือเรยี น คูม่ ือครู
แผนการเรียนรู้ หนงั สืออ้างอิง หนังสืออ่านเพิ่มเติม แบบฝึกกิจกรรม ใบงาน ใบความรู้ ฯลฯ และสงิ่ พมิ พ์ท่ัวไปทีส่ ามารถ
นามาใชใ้ นกระบวนการเรยี นรู้ เชน่ วารสาร นติ ยสาร จุลสาร หนังสอื พิมพ์ จดหมายขา่ วโปสเตอร์ แผ่นพับ แผ่นภาพ เปน็ ตน้

2. สือ่ บคุ คล หมายถงึ ตวั บคุ คลที่ทาหนา้ ที่ถ่ายทอดสาระความรู้ แนวคดิ และวิธีปฏิบตั ิตนไปสูบ่ ุคคลอน่ื นบั เป็นส่ือ
การเรียนรู้ที่มบี ทบาทสาคัญ โดยเฉพาะในดา้ นการโน้มนา้ วจิตใจของนักเรียน ส่อื บคุ คลอาจเป็นบคุ ลากรท่ีอยูใ่ นสถานศึกษา เชน่
ผ้บู รหิ าร ครู บุคลากรทางการศึกษา คนทาอาหาร หรอื ตัวนักเรียนเอง หรืออาจเปน็ บคุ ลากรภายนอกท่ีมีความเชี่ยวชาญในสาขา
ต่างๆ

3. ส่อื วัสดุ เปน็ ส่ือทีเ่ ก็บสาระความรู้อยใู่ นตวั เอง จาแนกออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ
3.1 วสั ดปุ ระเภทที่สามารถถา่ ยทอดความร้อู ยู่ได้ดว้ ยตัวเอง โดยไมจ่ าเป็นต้องอาศยั อปุ กรณช์ ่วย เช่น รปู ภาพ

หนุ่ จาลอง เป็นตน้
3.2 วัสดุประเภทท่ีไม่สามารถถา่ ยทอดความรู้ไดโ้ ดยตนเองจาเป็นตอ้ งอาศยั อปุ กรณอ์ ื่นช่วย เชน่

ฟลิ ม์ ภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง ซีดรี อม แผ่นดสิ ก์ เป็นตน้
4. สือ่ อุปกรณ์ หมายถงึ สิ่งที่เป็นตวั กลางหรอื ตัวผ่าน ทาใหข้ ้อมูลหรือความรู้ท่ีบนั ทกึ ในวสั ดสุ ามารถถ่ายทอด

ออกมาใหเ้ ห็นหรือไดย้ ิน เช่น เครือ่ งฉายแผ่นโปรง่ ใส เครือ่ งฉายสไลด์ เคร่ืองฉายภาพยนตร์ เคร่อื งคอมพิวเตอร์
เครือ่ งบนั ทกึ เสียง เป็นต้น

5. สือ่ สถานท่ี เปน็ สื่อทีส่ ่งเสริมหรือสนบั สนนุ การเรยี นการสอน ได้แก่ สภาพแวดลอ้ ม และสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น
หอ้ งเรียน ห้องปฏิบัตกิ าร แหล่งวทิ ยาการหรอื แหล่งเรียนรู้อ่นื ๆ เช่น หอ้ งสมุด หรือเปน็ สง่ิ ท่เี กดิ ขึน้ เองตามธรรมชาติในรูปของ
ส่ิงมชี ีวติ เช่น พชื ผกั ผลไม้ สัตวช์ นดิ ต่างๆ หรอื อยใู่ นรปู ของปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ทม่ี ีอยู่หรือเกิดขึน้ รอบตัว ตลอดจน
ขา่ วสารดา้ นตา่ งๆ เปน็ ตน้

6. สื่อกิจกรรม เปน็ กิจกรรมหรือกระบวนการทจี่ ดั ข้ึนเพื่อเสรมิ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหก้ ับนักเรียน ไดแ้ ก่
การแสดงละคร บทบาทสมมติ การสาธิต สถานการณจ์ าลอง การจดั นทิ รรศการ การไปทศั นศึกษานอกสถานที่
การทาโครงงาน

หลกั การเลือกส่ือการสอน ในการเลอื กส่อื การสอน ผ้สู อนจะต้องตัง้ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมในการเรียนใหแ้ นน่ อน
กอ่ น เพอ่ื ใชว้ ตั ถุประสงค์นั้นเปน็ ตัวชีน้ าในการเลอื กสื่อการสอนท่เี หมาะสม นอกจากนยี้ ังมีหลักการอน่ื ๆ ท่ีใชใ้ นการประกอบ
การพิจารณา เช่น

1. สือ่ นนั้ ตอ้ งสมั พนั ธ์กับเนื้อหาบทเรยี นและจุดมุ่งหมายที่จะสอน
2. เลือกสื่อที่มเี น้ือหาถูกต้อง ทันสมยั น่าสนใจและเปน็ ส่ือท่ีจะให้ผลต่อการเรียนการสอนมากทีส่ ดุ ช่วยให้ผู้เรยี น
เขา้ ใจเนื้อหาวชิ านน้ั ไดด้ ี เปน็ ลาดับข้ันตอน
3. เป็นส่ือทเ่ี หมาะสมกับวยั ระดับชัน้ ความรู้และประสบการณ์ของผูเ้ รียน
4. สื่อนั้นควรสะดวกในการใช้ มีวิธีใช้ไม่ซบั ซอ้ นยุ่งยากจนเกินไป
5. ต้องเปน็ สอ่ื ที่มีคณุ ภาพเทคนิคการผลติ สื่อท่ดี ี มคี วามชัดเจนและเป็นจริง
6. มีราคาไม่แพงจนเกนิ ไป หรอื ถา้ จะผลิตเองต้องคุ้มกบั เวลาและการลงทนุ
แหลง่ เรียนรู้ชมุ ชน หมายถึง บุคคล สถานที่ตา่ งๆ ในชุมชนทีส่ ามารถมาใชก้ ับบคุ คล
แผนท่เี ดนิ ดนิ การเดินสารวจดว้ ยตา และจดบนั ทึกทางกายภาพ ส่งิ แวดล้อมของชมุ ชนและสิ่งตา่ งๆ ทพี่ บเหน็
ลงบนบนั ทกึ เพอ่ื ให้เข้าใจถึงความหมายทางสังคมและหน้าที่ทางสังคม ของพืน้ ที่ทางกายภาพ
แผนท่ีผู้ร/ู้ ครภู ูมปิ ญั ญา
1. เพอื่ ให้นกั ศึกษาไดร้ จู้ กั ผทู้ ี่มคี วามร้คู วามชานาญในดา้ นต่างๆ ท่มี ีอยู่ในชุมชนชน
2. เพอื่ ใหผ้ ้ศู กึ ษาได้รู้ว่าชุมชนมีภูมิปัญญาด้านใดบา้ ง
3. เพอื่ ใหผ้ ้ศู กึ ษาไดเ้ หน็ การเปลี่ยนแปลงทางทรพั ยากร
การพัฒนาแหลง่ เรียนรู้ PDCA กระบวนการบริหารคณุ ภาพ วงจร Deming PDCA
1. PLAN เป็นการวางแผนงาน ขนั้ ตอนนี้เราต้องนางานทงั้ หมดท่ีเรารับผดิ ชอบอยู่ มาจัดเรียงลาดับความสาคญั
กาหนดวตั ถุประสงค์ของงาน และเปา้ หมายในการทางาน ซึ่งควรจะจัดเตรียมเปน็ เอกสารไว้ มวี ิธีการและขั้นตอนการทางาน

ซึง่ อาจจะจัดทาเปน็ เอกสารข้ันตอนและวธิ ีการทางานเอาไว้ อาจจะมรี ะยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการทางาน ผู้รับผดิ ชอบ ผู้ตรวจสอบ
ถ้าการทางานนั้นมผี ูร้ ่วมทางานหลายคนแตใ่ นกรณีท่ีเราเตรียมแผนงานของตนเองสว่ นตวั ไว้สาหรับการทางานและพฒั นางานของ
ตนเองก็จาเปน็ ต้องมีการวางแผนด้วย ซ่งึ ควรจะมีเอกสารกากับ หรอื อาจจะใช้สมุดบนั ทกึ ไดอาร่ี ฯลฯ ทจี่ าเป็นในการวาง
แผนการทางาน มีการจดั ลาดับความสาคัญของงาน งานไหนทาก่อน งานไหนทาทหี ลงั และควรมแี ผนสารองสาหรับงานท่เี ข้ามา
แทรกตามทีไ่ ดว้ างแผนไว้ว่าจะจัดการอย่างไร เพ่ือใหก้ ารทางานไม่ติดขัด และทันต่อเวลา รวมไปถงึ งานทไี่ ด้มีคุณภาพตามเวลา
ทก่ี าหนดดว้ ย

2. DO เปน็ การทางานตามแผนงานที่ไดว้ างไว้ ข้ันตอน วธิ ีการ ลาดบั งานท่ีเรากาหนดไว้ใน PLAN กน็ ามาปฏิบตั ิ
โดยทาการศึกษาถึงวิธีการที่ดีท่ีสุดในการทางานน้ันๆ เอามาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ และทางานไดผ้ ลดที สี่ ดุ หรอื อาจจะมกี ารอบรม
งานเหล่าน้นั เพื่อความเข้าใจในการปฏิบัตแิ ล้วลงมือปฏิบัติตามข้นั ตอนและวธิ กี ารทางานทีไ่ ด้วางแผนไว้ ในระหว่างการทางาน
ควรจะมีเก็บข้อมูลทีจ่ าเปน็ ท่ีสาคญั ต่างๆ เอาไว้ เพ่ือประโยชนใ์ นการทางานครั้งต่อไปด้วย หรือเพ่อื จดบันทกึ ทีเ่ ป็นข้อบกพร่อง
ของงานเอาไว้ เพื่อนาไปแก้ไข ปรับปรงุ การทางานในครัง้ ต่อไป

3. CHECK ตรวจสอบการทางานท่ีได้ทาไปแล้ว (จาก DO) ว่าเปน็ ไปตามทีเ่ ราตอ้ งการหรอื ไม่ หรอื ตามมาตรฐาน
ที่เราได้กาหนดไว้ อาจจะใชเ้ ครื่องมือช่วยในการตรวจสอบ เชน่ เครื่องมือต่างๆ ผลการทางานเม่อื เทียบกับงานคร้งั กอ่ น เป็นต้น
ในการตรวจสอบโดยทั่วไปได้แก่ ระยะเวลาตามเป้าหมาย คุณภาพของงานท่ีออกมา วิธกี ารหรือขนั้ ตอนการทางาน ซ่ึงการ
ตรวจสอบการทางานควรจะมีการจดบนั ทกึ ในรปู แบบตา่ งๆ ไว้ เช่น สมุดบันทกึ เอกสารการตรวจสอบ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
เพือ่ ให้งา่ ยในการปรบั ปรงุ และแก้ไขในการทางานครงั้ ต่อไป

4. ACTION หากมขี ้อบกพรอ่ งท่ีเกดิ ขน้ึ จากการตรวจสอบ CHECK กค็ วรจะหาวธิ กี ารและข้นั ตอนในการแก้ไขทันที
หรอื ตามระยะเวลาที่กาหนดไว้ โดยทาการคน้ หาสาเหตุทีเ่ กิดขนึ้ และใช้วธิ ีการแก้ไขที่ดที ่ีสดุ ในการทาการแก้ไข เพ่ือไม่ให้ปญั หา
ที่เกิดขึ้นไมเ่ กดิ ขน้ึ ซา้ อีก และควรมีวิธีการพัฒนาปรับปรุงงาน หรือระบบงานน้ัน ถึงแม้ว่าการตรวจสอบจะไมเ่ กิดข้อบกพร่อง
เราก็ควรจะมวี ิธีการพฒั นาปรับปรุงอยเู่ สมอ เพ่ือให้งานนนั้ เกิดประสิทธภิ าพทด่ี กี วา่ เดิมเมื่อมขี ้อบกพร่อง หรอื ต้องการจะพัฒนา
ปรับปรงุ การทางานใหด้ ีข้นึ กว่าเดมิ เราก็ควรจะมีการวางแผนใหม่ (PLAN) โดยอาจจะปรับปรุงจากแผนการทางานเดิม เพ่อื ให้ได้
งานทดี่ ขี น้ึ และมีการพฒั นาต่อเนอื่ ง ซึ่งจะเปน็ ไปตามหลกั การของวงจรเดมง่ิ คือ มีการวางแผนงาน PLAN ปฏบิ ตั ิตามแผนทว่ี าง
ไว้ DO ตรวจสอบการทางานที่ปฏบิ ัติ CHECK ทาการแก้ไขข้อบกพร่องหรอื พฒั นาใหด้ ีขึ้น ACTION ก็จะมาทาการวางแผนใหม่
นาไปปฏิบตั ิ ตรวจสอบ เปน็ อย่างนี้ต่อเนื่องกันไปไม่มที ี่สิ้นสุด กจ็ ะทาให้งาน หรือระบบงานน้นั ดีข้นึ ซ่งึ จะทาให้ช่วยลดตน้ ทุน
ลดเวลาการทางาน คุณภาพงานท่ีดีขน้ึ ต่อเนอื่ ง และยงั ช่วยใหพ้ นกั งานมีขวัญกาลงั ใจท่ีดใี นการทางานอีกด้วย
วิชาท่ี 2.1 การวิเคราะห์หลกั สูตร มาตรฐานการเรยี นร้แู ละตวั ชี้วดั ผลการเรยี นรู้ เวลา 13.00 น. –15.00 น.

การบรรยายในหัวข้อ การวิเคราะห์หลกั สูตร มาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ชีว้ ัดผลการเรยี นรู้
โดย ดร.ชยั พฒั น์ พันธุ์วฒั นกลุ

องค์ความรูท้ ีไ่ ดร้ บั จากวทิ ยากร เพอ่ื ให้การจดั การศึกษาเปน็ ไปตามหลักการ จุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้
ท่ีกาหนดไว้ให้สถานศึกษาและภาคีเครือข่ายมีแนวปฏิบัติในการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา จึงได้กาหนดโครงสร้างของหลักสูตร
การศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ไว้ดังนี้

1. ระดับการศึกษา แบง่ ออกเปน็ ออกเป็น 3 ระดบั ดังนีค้ ือ
1.1 ระดบั ประถมศึกษา
1.2 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้
1.3 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย

2. สาระการเรียนรู้ประกอบด้วย 5 สาระ ดังนี้
1. สาระทกั ษะการเรียนรู้ เปน็ สาระเกี่ยวกบั การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง การใช้แหล่งเรยี นรู้ การจัดการความรู้

การคดิ เปน็ และการวิจัยอย่างง่าย

2. สาระความรู้พนื้ ฐาน เปน็ สาระเก่ียวกบั ภาษาและการส่อื สาร คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3. สาระการประกอบอาชีพ เปน็ สาระเกย่ี วกบั การมองเหน็ ช่องทางและการตัดสนิ ใจประกอบอาชพี
ทักษะในอาชีพ การจัดการอาชพี อย่างมคี ุณธรรมและการพัฒนาอาชีพใหม้ ัน่ คง
4. สาระทกั ษะการดาเนินชวี ิต เปน็ สาระเกยี่ วกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง สขุ ภาพอนามยั และความปลอดภัย
ในการดาเนนิ ชีวติ ศิลปะและสุนทรยี ภาพ
5. สาระการพัฒนาสงั คม เปน็ สาระทเ่ี กย่ี วกับภมู ิศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมอื ง การปกครอง
ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี หน้าทีพ่ ลเมือง และการพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม
3. กจิ กรรมพัฒนาคุณภาพชวี ติ
กจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชีวติ เปน็ กิจกรรมท่ีจดั ขนึ้ เพื่อให้ผเู้ รียนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม
4. มาตรฐานการเรียนรู้
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กาหนดมาตรฐาน การเรียนรู้
ตามสาระการเรียนรู้ท้งั 5 สาระ ท่ีเปน็ ข้อกาหนดคุณภาพของผเู้ รยี น ดังนี้

1. มาตรฐานการเรยี นรู้การศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน เปน็ มาตรฐานการเรยี นรู้ในแตล่ ะ
สาระการเรยี นรเู้ ม่ือผเู้ รียนเรยี นจบหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551

2. มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดับ เปน็ มาตรฐานการเรียนรูใ้ นแต่ละสาระการเรยี นรู้ เม่อื ผเู้ รยี นเรียนจบในแต่ละ
ระดับ ตามหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551

5. เวลาเรยี น
ในแต่ละระดับใชเ้ วลาเรียน 4 ภาคเรียน ยกเว้นกรณีท่ีมกี ารเทยี บโอนผลการเรียนท้งั น้ี ผเู้ รยี นตอ้ งลงทะเบยี น

เรยี นในสถานศึกษาอยา่ งน้อย 1 ภาคเรียน
6. หนว่ ยกิต
ใช้เวลาเรยี น 40 ชัว่ โมง มคี า่ เท่ากับ 1 หนว่ ยกิต
7. หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบดว้ ย
7.1. สาระการเรยี นรู้ 5 สาระคอื ทักษะการเรียนรู้ ความรพู้ ืน้ ฐาน การประกอบอาชีพ ทักษะการดาเนินชีวติ

และการพฒั นาสังคม
7.2 จานวนหนว่ ยกติ ในแต่ละระดบั ดงั นี้
1) ระดับประถมศกึ ษา ไม่นอ้ ยกวา่ 48 หน่วยกติ แบ่งเป็นวชิ าบงั คับ 36 หน่วยกติ และวชิ าเลอื ก

ไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกิต
2) ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ไมน่ อ้ ยกวา่ 56 หนว่ ยกติ แบ่งเปน็ วิชาบงั คบั 40 หนว่ ยกิต และวิชาเลอื ก

ไมน่ ้อยกว่า 16 หน่วยกติ
3) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ไม่น้อยกวา่ 76 หน่วยกติ แบง่ เป็นวิชาบงั คับ 44 หนว่ ยกติ และวชิ าเลือก

ไม่น้อยกวา่ 32 หน่วยกิต
4) ผู้เรยี นตอ้ งทากจิ กรรมพัฒนาคณุ ภาพชีวิตระดบั ละไมน่ ้อยกว่า 200 ชว่ั โมง

8. การจบหลักสูตร
ผูจ้ บการศึกษาตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ในแต่ละระดับ

การศกึ ษาต้องผ่านเกณฑ์การจบหลกั สตู ร ดงั น้ี
8.1 ผ่านการประเมนิ และได้รบั ผลการตดั สินการเรียนตามเกณฑท์ ส่ี ถานศึกษากาหนดท้ัง 5 สาระการเรยี นรู้

และไดต้ ามจานวนหน่วยกิตที่กาหนดตามโครงสร้างหลักสตู ร
8.2 ผา่ นกระบวนการประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชวี ติ ไมน่ อ้ ยกว่า 200 ชั่วโมง
8.3 ผา่ นกระบวนการประเมนิ คณุ ธรรม

8.4 เข้ารบั การประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ
วชิ าท่ี 2.2 การออกแบบการเรยี นร้ทู ่เี น้นผ้เู รยี นเปน็ สาคญั และส่งเสรมิ กระบวนการคดิ เวลา 15.00 น. –17.00 น.

การบรรยายในหัวข้อ การออกแบบการเรยี นรู้ทเี่ น้นผเู้ รยี นเปน็ สาคัญและสง่ เสริมกระบวนการคดิ
โดย ดร.ชยั พัฒน์ พนั ธว์ุ ฒั นกลุ

องค์ความร้ทู ่ีไดจ้ ากวทิ ยากร การจดั กระบวนการเรยี นรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พทุ ธศักราช 2551 มงุ่ พัฒนาให้ผู้เรียนสู่ความเป็นคน “คดิ เป็น” โดยเนน้ พัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้ ประยุกต์ใช้ความรู้
และสร้างองค์กรความร้สู าหรับตนเอง และชมุ ชน สงั คม ซึ่งกาหนดการจัดกระบวนการเรียนรู้ กศน. หรอื ONIE MODEL ซง่ึ เปน็
กระบวนการเรยี นรู้ทจ่ี ดั ข้นึ อย่างเป็นระบบตามปรัชญา “คิดเปน็ ” ประกอบดว้ ย 4 ข้นั ตอน ดงั นี้

ขน้ั ท่ี 1 กาหนดสภาพ ปญั หา ความต้องการในการเรียนรู้ (O: Orientation)
ข้ันท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N: New ways of learning)
ขั้นที่ 3 ปฏบิ ตั ิและนาไปประยุกต์ใช้ (I: Implementation)
ขน้ั ที่ 4 ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E: Evaluation)
ข้นั ที่ 1 กาหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ (O: Orientation) เปน็ การเรยี นรจู้ ากสภาพ ปญั หา
หรอื ความต้องการของผ้เู รยี น และชมุ ชน สงั คม โดยให้เชื่อมโยงกบั ประสบการณ์เดมิ และสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้
ของหลักสตู ร
ขน้ั ตอนการเรยี นรู้

1. ครแู ละผู้เรยี นรว่ มกนั กาหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ ซึ่งอาจจะไดม้ าจากสถานการณ์ใน
ขณะนนั้ หรือเป็นเร่ืองทเี่ กดิ ข้ึนในชีวติ จรงิ หรือเปน็ ประเด็นทีก่ าลงั ขดั แย้ง และกาลงั อยู่ในความสนใจของชมุ ชน ซึง่ จะชว่ ย
กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รียนกระตือรือร้นที่คดิ จะหาทางออกของปญั หา หรือความต้องการนัน้ ๆ

2. ทาความเข้าใจกับสภาพ ปัญหา ความต้องการในสงิ่ ทต่ี ้องการเรียนรู้ โดยดึงความร้แู ละประสบการณ์เดิมของ
ผู้เรียน เน้นการมีส่วนรว่ ม มีการแลกเปลยี่ นเรยี นรสู้ ะท้อนความคิดและอภิปรายโดยให้เชอื่ มโยงกับความรู้ใหม่

3. วางแผนการเรียนรทู้ เ่ี หมาะสม โดยกิจกรรมการเรียนรู้ทก่ี าหนดสามารถมองเหน็ แนวทางในการคน้ พบความรู้
หรือคาตอบได้ดว้ ยตนเอง

ขั้นที่ 2 ขั้นแสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ (N: New ways of learning) การแสวงหาขอ้ มลู และจดั การเรียนรู้
โดยศกึ ษา ค้นคว้าหาความรู้ และรวบรวมขอ้ มูลของตนเอง ข้อมลู ของชุมชน สังคม และข้อมูลทางวชิ าการ จากส่ือและแหล่ง
เรียนรู้ทห่ี ลากหลายมกี ารระดมความคดิ เหน็ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ข้อมูล และสรุปเปน็ ความรู้

ข้นั ตอนการเรยี นรู้
1. ผู้เรียนแสวงหาความรู้ตามแผนการเรยี นรูท้ กี่ าหนดไว้ โดยเน้นการเรียนรดู้ ้วยตนเอง การเรียนรผู้ ่าน

ประสบการณ์ กระบวนการกลุ่ม ศึกษาจากผู้รู้ /ภมู ปิ ัญญาและวธิ ีอ่นื ๆ ท่ีเหมาะสม
2. ครูและผ้เู รียนร่วมกันแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ และสรปุ ความรูเ้ บ้อื งตน้ โดยใชค้ าถามปลายเปิดในการชวนคดิ

ชวนคุย เป็นเครอ่ื งมือ ดว้ ยกระบวนการการระดมสมอง สะท้อนความคดิ และอภิปราย
3. ผเู้ รียนนาความร้ทู ไี่ ดไ้ ปตรวจสอบความถูกต้อง เพอื่ ประเมนิ ความเป็นไปได้โดยวธิ ตี ่างๆ เช่น การทดลอง

การทดสอบ การตรวจสอบกับผรู้ ู้
ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ัติแลละนาไปประยกุ ต์ใช้ ( I: Implementation) นาความร้ทู ่ไี ด้ไปปฏบิ ตั ิ และประยกุ ต์ใชใ้ ห้

สอดคล้องกับสถานการณ์ เหมาะสมกับวัฒนธรรมและสังคม
ขน้ั ตอนการเรยี นรู้
ผู้เรียนปฏบิ ตั ิตามขนั้ ตอน โดยสงั เกตปรากฏการณ์ จดบันทึก และสรุปผล เกบ็ รวบรวมไวใ้ นแฟ้มสะสมงาน

ระหว่างดาเนินการต้องมีการตรวจสอบหาขอ้ บกพร่อง และรวบรวมไว้ในแฟม้ สะสมงาน

ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E: Evaluation) ประเมนิ ทบทวน แก้ไขข้อบกพรอ่ ง ผลจากการนาความรู้ไป
ประยุกต์ใช้แล้วสรุปเปน็ ความรู้ใหม่ พร้อมกบั เผยแพรผ่ ลงาน

ขั้นตอนการเรยี นรู้ ครู และผูเ้ รยี นนาแฟ้มสะสมงาน และผลงานที่ได้จากกการปฏบิ ัตมิ าใชเ้ ป็นสารสนเทศในการ
ประเมินคุณภาพการเรยี นรู้

1 ครูและผู้เรียนร่วมกันสรา้ งเกณฑก์ ารประเมนิ คุณภาพการเรียนรู้
2 ครู ผเู้ รียนและผูเ้ กีย่ วข้องรว่ มกนั ประเมิน พัฒนาการเรียนรู้ใหเ้ ปน็ ไปตามเกณฑ์คุณภาพการเรียนรู้ การจดั
กระบวนการเรียนรู้ ท้ัง 4 ขน้ั ตอนเป็นวงจรของกระบวนการเรียนรู้ ตามปรัชญาคดิ เปน็ ซง่ึ สถานศึกษาสามารถปรับใช้ ขัน้ ตอน
การเรียนรูไ้ ด้อยา่ งเหมาะสมตามสภาพของรายวชิ า หรือเงื่อนไขอนื่ ๆ ตามความต้องการของผเู้ รียน
วิชาที่ 2.3 การจัดกิจกรรมท่ีเนน้ ผู้เรียนเป็นสาคัญและส่งเสริมกระบวนการคดิ เวลา 18.00 น. –20.00 น.
การบรรยายในหัวข้อ การจดั กิจกรรมที่เน้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั และส่งเสริมกระบวนการคิด
โดย ดร.ชยั พัฒน์ พนั ธว์ุ ัฒนกลุ
องค์ความรทู้ ี่ได้จากวทิ ยากร การจดั การเรยี นรู้ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช
2551 มุง่ เนน้ การจัดการเรียนรตู้ ามปรชั ญา “คิดเปน็ ” และยึดหลกั วา่ ผเู้ รียนทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองได้ ผเู้ รียน
แตล่ ะคนมธี รรมชาติที่แตกตา่ งกนั ทั้งดา้ นวยั วุฒิภาวะ ความถนัด ความสนใจ วธิ กี ารเรียนรู้ ตลอดจนมกี ารดาเนนิ ชวี ติ และ
ส่ิงแวดลอ้ มทแี่ ตกตา่ งกนั ซ่งึ ส่งผลต่อการเรยี นรูข้ องผ้เู รยี น ดังนนั้ การจัดการเรียนร้จู งึ ตอ้ งยดึ ผู้เรยี นเป็นสาคญั เพ่ือส่งเสรมิ
ใหผ้ ู้เรยี นไดพ้ ฒั นาความสามารถของตนเอง ตามธรรมชาติ เต็มตามศักยภาพท่มี ีอยู่ และเรียนรอู้ ยา่ งมีความสขุ
ขน้ั ตอนการจดั การเรียนรู้ ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551
มี 4 ขนั้ ตอน ดงั นี้
ขั้นตอนท่ี 1 การแนะแนว
การแนะแนวเปน็ ขน้ั ตอนแรกท่มี ีความสาคญั สถานศึกษาต้องจัดบริการแนะแนว เกยี่ วกบั หลักสตู รการศกึ ษา
นอกระบบระดับการศึกข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เพราะเป็นข้อมลู เบื้องตน้ ที่ประชาชนหรือกลุม่ เป้าหมายควรจะได้มคี วาม
เข้าใจเกี่ยวกับ วิธีเรยี น กศน. ซ่ึงมกี ารจดั การเรียนร้ทู ี่หลากหลาย ทกี่ ลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกเรยี นได้ และจะต้องให้ขอ้ มลู
เกี่ยวกบั การจบหลักสตู รการศึกษา การเทียบโอนความรแู้ ละประสบการณ์ การเทยี บโอนผลการเรยี น ที่ผเู้ รียนสามารถนา
ผลการเรียน หรอื นาประสบการณ์ มาขอเทียบโอนความรตู้ ามหลักสตู ร และเรียนเพ่มิ เติมบางสาระทีไ่ มส่ ามารถเทียบโอน
ได้ สถานศึกษาจะต้องจดั บรกิ ารแนะแนวให้กบั กลุม่ เป้าหมายได้เขา้ ใจแต่เริม่ ต้น เพอื่ เขาจะได้ตัดสนิ ใจเลอื กเรียนได้อย่าง
เหมาะสมสอดคล้องกบั ความตอ้ งการและวิถชี วี ิตของตนเอง
ขน้ั ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์ผูเ้ รยี นเปน็ รายบุคคล
เน่ืองจากผเู้ รยี นแต่ละคนมีธรรมชาติท่แี ตกต่างกัน ท้งั ด้านวยั วุฒภิ าวะ ความถนัด ความสนใจ วธิ กี ารเรียนรู้
ตลอดจนมกี ารดาเนนิ ชีวติ และส่ิงแวดล้อมทแี่ ตกตา่ งกนั ซึง่ ส่งผลต่อการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน ดังน้ันการจัดการเรียนรจู้ งึ ต้องยดึ ผเู้ รียน
เปน็ สาคัญ จึงต้องมกี ารวิเคราะหผ์ เู้ รยี นเปน็ รายบุคคล เพื่อสง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นได้พฒั นาความสามารถของตนเอง ตามธรรมชาติ
เตม็ ตามศักยภาพทมี่ ีอยู่ และเรยี นร้อู ย่างมีความสุข
ข้นั ตอนที่ 3 การปฐมนเิ ทศ และการวางแผนการเรียน
การปฐมนเิ ทศและการวางแผนการเรยี น เปน็ ขั้นตอนทม่ี คี วามสาคญั มากสาหรบั ผเู้ รียน สถานศึกษาต้องช้ีแจง
ให้ผู้เรยี นเขา้ ใจเกย่ี วกับวธิ ีเรียน กศน. การวัดผลและประเมินผล ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขั้นพื้นฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551ท่เี ปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นทล่ี งทะเบยี นเรยี นไดเ้ ลือกรูปแบบการเรยี นรทู้ ่ีเหมาะสม ตามความต้องการ สอดคล้อง
กับวถิ ีชีวติ และการทางานของผู้เรยี น เช่น การเรยี นแบบพบกล่มุ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง การเรยี นรแู้ บบทางไกล การเรียนรู้
แบบช้ันเรยี น และการเรยี นรู้รูปแบบอื่น ๆ ซง่ึ การเรียนรตู้ ามรูปแบบต่าง ๆ ดังกลา่ ว ในแตล่ ะรายวชิ าผ้เู รยี นสามารถเลือกเรียน
รปู แบบใดรูปแบบหน่งึ หรืออาจเลอื กการเรียนหลาย ๆ รปู แบบ ไดต้ ามความต้องการและความเหมาะสมของผู้เรยี น ท่ีผู้เรียน
คดิ วา่ จะทาใหป้ ระสบความสาเร็จในการเรียน ทงั้ น้ีขึน้ อยู่กบั ความพร้อมของสถานศึกษา สถานศึกษาจะต้องช้ีแจงใหผ้ ูเ้ รียน

เข้าใจถึงวิธีการเรียนรูร้ ูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าว
ขนั้ ตอนที่ 4 การวัดและประเมินผล
การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นตามหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

มเี ป้าหมายสาคัญเพื่อนาผลการประเมนิ ไปพัฒนาผเู้ รียนให้บรรลมุ าตรฐานการเรยี นรู้ของหลักสตู รฯหรอื นาไปใช้เปน็ ข้อมลู ใน
การปรบั ปรงุ แกไ้ ข สง่ เสรมิ การเรียนร้แู ละพฒั นาการของผ้เู รยี น โดยตรง และนาไปปรับปรงุ แกไ้ ขการจัดกระบวนการเรยี นรู้ให้
มปี ระสิทธิภาพยิ่งข้นึ รวมท้ังการนาไปใช้ในการพิจารณาตัดสินความสาเร็จทางการศกึ ษาของผเู้ รียน การวดั ผลและประเมนิ ผล
การเรยี นตามหลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551
วันที่ 10 ตลุ าคม 2563 เวลา 05.30 น. – 07.00 น.

การพฒั นากาย โดย ทมี งาน ครู กศน.อาเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
วชิ าที่ 2.5 การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ เวลา 08.00 น. –10.00 น.

การบรรยายในหวั ข้อ การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โดย ดร.ชัยพฒั น์ พนั ธว์ุ ัฒนกุล
องคค์ วามรูท้ ่ีไดจ้ ากวิทยากร การวดั และประเมินผลการเรียน เป็นกระบวนการทใี่ หไ้ ด้มาซึ่งข้อมลู สารสนเทศทแ่ี สดง
ถงึ การพัฒนา ความก้าวหนา้ ความสาเรจ็ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของผู้เรยี น และข้อมูลท่จี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การส่งเสรมิ ให้
ผเู้ รยี นเกดิ การพฒั นาและเรียนรไู้ ด้เตม็ ศักยภาพ เกิดทักษะกระบวนการและค่านิยมท่ีพึงประสงค์ ซง่ึ สถานศึกษาในฐานะเปน็
ผู้รับผดิ ชอบการจดั การศกึ ษา จะต้องจัดทาระเบียบและแนวปฏิบัติในการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นของสถานศึกษา เพอื่ ให้
บคุ ลากรทีเ่ ก่ยี วข้องทกุ ฝ่ายถือปฏิบัตริ ่วมกนั และเปน็ ไปในมาตรฐานเดียวกัน
1 การวัดและประเมินผลรายวิชา เป็นการประเมนิ ผลการเรยี นรายวิชา สถานศกึ ษาตอ้ งดาเนนิ การควบคู่ไปกับการจดั
กจิ กรรมการเรียนรู้ของผ้เู รียน เพื่อให้ทราบวา่ ผเู้ รยี นมคี วามก้าวหนา้ ทางดา้ นความรู้ ทกั ษะ กระบวนการ คุณธรรม และคา่ นิยม
อนั พงึ ประสงค์อนั เปน็ ผลเน่ืองมาจากการจัดกิจกรรมการเรยี นรเู้ พยี งใด และตอ้ งมกี ารประเมนิ ผลรวมเพ่ือทราบว่าผเู้ รียนมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนบรรลุตามมาตรฐานการเรยี นรู้หรือไม่อยา่ งไร ดงั นัน้ การวดั และประเมนิ ผลจงึ ตอ้ งใช้เคร่ืองมือและวธิ กี าร
ทีห่ ลากหลายให้สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวัง
2 การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาคุณภาพชวี ิต เปน็ การประเมนิ สง่ิ ทผี่ ู้เรยี นปฏบิ ัติเพอื่ การพฒั นา
ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม โดยพจิ ารณาท้งั เวลาการเขา้ ร่วมกิจกรรม การปฏิบตั กิ ิจกรรมและผลจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม
ของผู้เรียนตามเกณฑ์ทส่ี ถานศกึ ษากาหนด
3 การประเมินคุณธรรม เป็นการประเมนิ สิ่งท่ีต้องการปลูกฝังในตวั ผู้เรยี นโดยประเมนิ จากกิจกรรมการเรียนรู้ทางด้าน
การพฒั นาตน การพัฒนางาน การอยูร่ ว่ มกนั ในสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ การพฒั นาคุณภาพชวี ติ การเขา้ รว่ มกจิ กรรม การเรยี นรู้
ในรายวชิ าตา่ งๆ และกิจกรรมในลักษณะอ่นื ๆ ทสี่ ถานศึกษาจดั ข้ึน เพ่ือเสริมสร้างคุณธรรมให้เกดิ ขึน้ กบั ผู้เรียน
4 การประเมนิ คุณภาพการศึกษานอกระบบระดบั ชาติ สถานศกึ ษาต้องจัดใหผ้ ูเ้ รียนเข้ารับการประเมนิ คุณภาพการศึกษา
นอกระบบระดับชาติ ในภาคเรยี นสุดท้ายของทุกระดบั การศึกษาในสาระการเรยี นร้ทู สี่ านกั งาน กศน.กาหนด การประเมิน
คุณภาพการศึกษานอกระบบระดบั ชาตมิ ีวัตถปุ ระสงค์เพื่อทราบผลการเรยี นของผ้เู รียนสาหรับนาไปใชใ้ นการวางแผนปรบั ปรงุ
และพัฒนาคุณภาพการศึกษานอกระบบตอ่ ไป การประเมนิ ดงั กลา่ วไม่มผี ลต่อการไดห้ รือตกของผูเ้ รียน
สอบประมวลผลการเรียนรู้ หมวดที่ 2 และพบวิทยากรประจากลุม่ เวลา 10.00 น. – 12.00
- สอบประมวลผลการเรยี นรู้ หมวดที่ 2
- พบวทิ ยากรประจากล่มุ
ความเป็นมาของ กศน. และอุดมการณ์ของครู กศน เวลา 13.00 น. –15.00 น.
การบรรยายในหัวข้อ ความเปน็ มาของ กศน. และอุดมการณ์ของครู โดย ดร.ปาน กิมปี
องค์ความรทู้ ไี่ ดจ้ ากวิทยากร การศึกษาผใู้ หญ่ เริ่มมีอย่างเป็นทางการในปี 2483 โดยรัฐบาลในขณะนั้น ไดใ้ หม้ ีการ
จดั ตง้ั "กองการศึกษาผ้ใู หญ่" สงั กดั สานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร เพอื่ รบั ผิดชอบงานการศึกษาผใู้ หญโ่ ดยตรง และไดร้ ิเรมิ่
โครงการรณรงคก์ ารรู้หนงั สือท่ัวประเทศ พรอ้ มกบั ประกาศใช้กฎหมายบงั คบั ใหป้ ระชาชนผ้ไู ม่รู้หนังสือท่ีมอี ายุระหว่าง 20 ถึง 45

ปี เสยี ค่าเลา่ เรียนเปน็ รายปี จนกว่าจะพิสจู น์ได้วา่ เป็นผู้รู้หนังสือแล้ว ซง่ึ โครงการรณรงค์ดงั กลา่ วประสบความสาเร็จพอสมควร
แตต่ อ้ งหยุดชะงกั ไปเนื่องจากสงครามโลกครงั้ ที่ 2 ต่อมา ไดม้ กี ารขยายโอการการศึกษาผใู้ หญ่อย่างกว้างขวางในช่วงปี 2513-
2523 รฐั บาลจึงได้ยกฐานะกองการศึกษาผู้ใหญ่ ขึ้นเป็น
"กรมการศึกษานอกโรงเรยี น" ข้ึน เพ่ือจัดการศึกษานอกโรงเรยี นสาหรับประชาชนในวนั ท่ี 24 มนี าคม 2522 จนกระทัง่ ในปี
พ.ศ. 2545 ได้มีการปฏริ ูประบบราชการ และมีการยบุ รวมกรมตา่ ง ๆ ของกระทรวงศกึ ษาธิการจากเดมิ 14 กรม เหลอื เพียง
5 สานักงาน ทาให้ กรมการศึกษานอกโรงเรยี น ถูกยุบรวมเปน็ สานกั งานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน สังกดั สานักงาน
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ตอ่ มาตามพระราชบญั ญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย พุทธศกั ราช 2551
สานกั ฯ จึงปรับภารกิจเปน็ สานกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั
วิชาท่ี 3.2 ระบบดูแลชว่ ยเหลือผู้เรียน เวลา 15.00 น. –17.00 น.

การบรรยายในหัวข้อ ระบบดแู ลชว่ ยเหลือผู้เรียน โดยนางสภุ สิตา บวั เลยี้ ง ผอ.กศน.อาเภอเมืองสมุทรปราการ
องคค์ วามรทู้ ่ีไดจ้ ากวิทยากร ระบบการดแู ลชว่ ยเหลือผเู้ รยี น หมายถงึ กระบวนการ วิธกี ารท่หี นว่ ยงานทางการศกึ ษา
ใช้ในการสง่ เสริม สนบั สนุน ช่วยเหลอื ผู้เรียนของสถานศึกษาทุกประเภท ดว้ ยวิธกี ารและเครอื่ งมือ ทชี่ ดั เจน โดยการประสาน
ความร่วมมอื ระหว่างผบู้ รหิ ารระดบั จังหวดั /กทม. สถานศึกษา ครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพ่ือใหผ้ ้เู รยี นได้รู้จกั และเข้าใจตนเอง
มแี นวทางในการปรบั ปรงุ และพฒั นาตนเองให้อยู่ในสงั คมได้อย่างมีความสุข รวมถึงครไู ด้รู้จกั ผเู้ รยี นมากขึ้น สามารถส่งเสรมิ
ป้องกนั และแก้ปัญหาของผูเ้ รียน ไดอ้ ย่างเหมาะสม
ประโยชน์ของระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน

1. นักเรียนไดร้ ับการดูแลช่วยเหลืออยา่ งทั่วถงึ และตรงตามสภาพปัญหา

2. สมั พันธภาพระหวา่ งครูกบั นักเรยี นเปน็ ไปด้วยดี และอบอนุ่

3. นกั เรยี นรจู้ ักตนเองและควบคุมตนเองได้

4. นกั เรยี นเรยี นรูอ้ ย่างมคี วามสขุ

5. ผู้เกย่ี วข้องมีสว่ นร่มในการพฒั นาผูเ้ รียน

ระบบดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น
ขน้ั ที่ 1 การร้จู กั นักเรยี นรายบุคคล
ขน้ั ท่ี 2 การคัดกรองนกั เรียน
ขน้ั ท่ี 3 การส่งเสริมพัฒนา
ขน้ั ท่ี 4 การปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา
ขั้นที่ 5 การส่งตอ่ ภายในและภายนอก

ข้นั ตอนท่ี 1 การรูจ้ ักนักเรยี นเปน็ รายบุคคล
ด้วยความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคนที่มีพื้นฐานความเป็นมาของชีวิตท่ีไม่เหมือนกัน หล่อหลอมใหเ้ กิดพฤติกรรม

หลากหลายรปู แบบ ทง้ั ดา้ นบวกและด้านลบ ดังนัน้ การรขู้ ้อมูลทจ่ี าเปน็ เกย่ี วกับตัวนักเรียนจึงเป็นส่ิงสาคญั ท่ีจะช่วยให้มคี วาม
เขา้ ใจนกั เรียนมากขน้ึ สามารถนาข้อมลู มาวเิ คราะหเ์ พ่ือการคัดกรองนักเรยี นเปน็ ประโยชน์ในการส่งเสริม การป้องกนั และแก้ไข
ปญั หาของนกั เรยี นไดอ้ ย่างถูกทาง ซง่ึ เปน็ ข้อมูลเชิงประจักษท์ ีไ่ ด้จากเคร่ืองมือและวธิ ีการท่ีหลากหลาย ตามหลักวชิ าการ มใิ ช่
การใช้ความรู้สกึ หรือการคาดเดา โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหานกั เรยี น ซ่งึ จะทาให้ไม่เกิดข้อผดิ พลาดต่อการช่วยเหลอื นกั เรียน
หรอื เกิดไดน้ ้อยที่สดุ

ข้นั ตอนที่ 2 การคดั กรองนักเรยี น
การคดั กรองนักเรยี นเป็นการพิจารณาข้อมูลเก่ียวกบั นักเรียนเพื่อการจัดกลุม่ นักเรยี นมีประโยชน์อย่างย่งิ ในการ

หาวธิ ีการทีเ่ หมาะสมในการดูแลช่วยเหลอื นักเรียนให้ตรงกับสภาพปญั หาและความต้องการจาเป็น ดว้ ยความรวดเร็วและถูกต้อง
ในระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนกั เรยี น อาจจัดกลมุ่ นักเรยี นตามผลการคดั กรองเปน็ 2 , 3 หรือ 4 กลมุ่ ก็ได้ ตามขอบขา่ ยและเกณฑ์

การคดั กรองทโ่ี รงเรียนกาหนด เชน่ ในกรณีท่ีแบ่งนักเรียนเป็น 4 กลุ่ม อาจนยิ ามกลุม่ ได้ดังนี้
1. กลมุ่ ปกติ คือ นกั เรยี นที่ไดร้ บั การวิเคราะห์ข้อมลู ตา่ ง ๆ ตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรยี น อยูใ่ นเกณฑ์ของ

กลุ่มปกติ ซ่ึงควรไดร้ ับการสร้างเสริมภูมิคมุ้ กนั และการสง่ เสรมิ พฒั นา
2. กลุ่มเสีย่ ง คือ นักเรยี นที่อย่ใู นเกณฑ์ของกลมุ่ เส่ยี งตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรยี น ซึ่งโรงเรียนต้องให้

การปอ้ งกันและแก้ไขตามกรณี
3. กลุม่ มปี ัญหา คอื นักเรียนท่ีจดั อยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มมีปัญหาตามเกณฑ์การคัดกรองของโรงเรยี น

ซ่งึ โรงเรยี นตอ้ งชว่ ยเหลือและแกป้ ญั หาโดยเร่งด่วน
4. กลุ่มพิเศษ คือ นกั เรยี นที่มีความสามารถพิเศษ มคี วามเป็นอัจฉรยิ ะแสดงออกซง่ึ ความสามารถ

อนั โดดเดน่ ดา้ นใดด้านหนง่ึ หรอื หลายดา้ นอย่างเปน็ ท่ปี ระจักษ์ เม่ือเทียบกบั ผมู้ ีอายุ ในระดบั เดยี วกัน สภาพแวดล้อมเดียวกนั
ซึง่ โรงเรยี นตอ้ งให้การส่งเสริมให้นกั เรยี นได้พฒั นาความสามารถพิเศษนั้นอย่างเต็มศักยภาพ

ข้นั ตอนท่ี 3 การสง่ เสรมิ และพัฒนานักเรียน
การสง่ เสริมพัฒนานักเรยี นเป็นการสนับสนุนให้นกั เรียนทกุ คนในกล่มุ คัดกรอง ไมว่ ่าจะเป็นนักเรียนกลุ่มปกติ

หรือกล่มุ เส่ียง มีปัญหา กลุ่มความสามารถพิเศษ ให้มีคุณภาพมากข้นึ และได้พฒั นาอย่างเต็มศักยภาพ มีความภาคภูมิใจในตนเอง
ในด้านต่างๆ ซ่งึ จะชว่ ยปอ้ งกันมิให้นกั เรียนที่อย่ใู นกลุ่มปกตแิ ละกลุ่มพิเศษกลายเปน็ นักเรียนกลุ่มเสีย่ ง/มีปัญหา และเป็นการช่วย
ใหน้ ักเรยี นกลุ่มเสีย่ ง/กลุ่มมีปัญหา กลับมาเป็นนักเรยี นกลุ่มปกติและมคี ุณภาพตามมาตรฐานทีโ่ รงเรียนหรือชุมชนคาดหวงั ต่อไป

ขน้ั ตอนที่ 4 การปอ้ งกันและแก้ไขปญั หา
การดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน ครูควรให้ความเอาใจใส่กับนักเรียนทุกคนเทา่ เทียมกัน แตส่ าหรบั นักเรยี นกลมุ่ เส่ียง/

มีปญั หานน้ั จาเปน็ อย่างมากที่ต้องให้ความดแู ลเอาใจใสอ่ ย่างใกลช้ ิดและหาวธิ ีการช่วยเหลือ ทั้งการป้องกันและการแก้ไขปญั หา
โดยไม่ปล่อยปละละเลยนักเรียนจนกลายเปน็ ปญั หาของสังคม การสรา้ งภมู ิค้มุ กนั การป้องกันและแกไ้ ขปญั หาของนักเรยี น
จงึ เปน็ ภาระงานทย่ี ิ่งใหญแ่ ละมีคณุ ค่าอยา่ งมากในการพฒั นาใหน้ กั เรียนเติบโตเปน็ บุคคลทม่ี คี ณุ ภาพของสงั คมต่อไป

การป้องกนั และการแกไ้ ขปญั หาให้กับนักเรยี นนั้นมีหลายเทคนิควธิ ีการแต่สิ่งท่ีครูทป่ี รึกษาจาเป็นต้องดาเนนิ การ
มีอยา่ งน้อย 2 ประการ คือ

1. การใหก้ ารปรกึ ษาเบ้ืองตน้
2. การจัดกจิ กรรมเพอ่ื ป้องกันและแก้ไขปญั หา
ขั้นตอนที่ 5 การสง่ ตอ่

การปอ้ งกันและแก้ไขปัญหาของนกั เรยี นโดยครูทป่ี รึกษาอาจมีกรณีท่ีปัญหามคี วามยากต่อ การชว่ ยเหลือ หรอื
ช่วยเหลือแลว้ นักเรยี นมพี ฤติกรรมไม่ดขี ้นึ ก็ควรดาเนนิ การสง่ ต่อไปยงั ผู้เชยี่ วชาญเฉพาะดา้ นต่อไป เพอื่ ให้ปัญหาของนกั เรยี น
ไดร้ บั การชว่ ยเหลืออย่างถูกทางและรวดเรว็ ขึ้น หากปล่อยใหเ้ ปน็ บทบาทหนา้ ที่ของครูที่ปรึกษาหรอื ครูคนใดคนหนง่ึ เท่านัน้
ความยุ่งยากของปญั หาอาจมีมากข้นึ หรือลกุ ลามกลายเป็นปญั หาใหญโ่ ตจนยากต่อการแกไ้ ขซึ่งครูท่ีปรึกษาสามารถดาเนนิ การได้
ตั้งแตก่ ระบวนการรจู้ ักนักเรยี นเป็นรายบคุ คลหรือการคัดกรองนกั เรยี นกไ็ ด้ข้นึ กับกรณปี ัญหาของนักเรยี น

การสง่ ต่อแบง่ เปน็ 2 แบบ คือ
1. การส่งตอ่ ภายใน ครทู ่ีปรกึ ษาสง่ ต่อไปยังครูทสี่ ามารถใหก้ ารชว่ ยเหลือนกั เรียนได้ ท้งั น้ีขึ้นอยู่กับลกั ษณะปัญหา

เช่น สง่ ต่อครแู นะแนว ครพู ยาบาล ครปู ระจาวิชา หรือฝา่ ยปกครอง
2. การส่งตอ่ ภายนอก ครแู นะแนวหรอื ฝา่ ยปกครองเป็นผดู้ าเนนิ การส่งตอ่ ไปยังผเู้ ชี่ยวชาญภายนอก หากเกิด

กรณีปญั หาท่ีมคี วามยากเกนิ ศักยภาพของโรงเรยี น
วชิ าท่ี 3.3 การอบรมบ่มนิสยั ใหผ้ ู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ละค่านยิ มที่ดี
เวลา 18.00 น. – 20.00 น.

การบรรยายในหวั ข้อ การอบรมบม่ นิสยั ให้ผเู้ รียนมีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคแ์ ละค่านิยมท่ีดี
โดย ดร.สรัสวดี มสุ กิ บุตร

องคค์ วามรทู้ ี่ไดจ้ ากวิทยากร การใชก้ จิ กรรมหรือเกมท่ีสอดแทรกคุณธรรมจรยิ ธรรมหรอื อาจจะเปน็ การทบทวนบทเรยี น
เพ่อื ให้นักศึกษามีความกระตือรือรน้ ก่อนเขา้ เรียน และการนานกั ศกึ ษาออกไปทากิจกรรมโดยสอดแทรก เช่น การทาความสะอาด
วัด เป็นตน้

คณุ ธรรมจรยิ ธรรม
คณุ ธรรม หลักของความดี ความงาม ความถูกตอ้ ง และคณุ ภาพของบคุ คลที่ควรยึดม่นั ไวเ้ ปน็ หลักประจาใจในการ
ประพฤตใิ หเ้ ป็นนสิ ยั
จรยิ ธรรม คอื ธรรมะ สง่ิ ดีงามทค่ี วรประพฤตปิ ฏิบตั ิ
คณุ ธรรม คือ สภาพหรอื คณุ ลักษณะท่ีแสดงออกว่าดงี าม ส่วนจริยธรรมเน้นท่กี ารประพฤติทดี่ ีงาม
การพฒั นาคุณธรรมจรยิ ธรรมแกผ่ เู้ รียนนัน้ ผสู้ อนต้องเป็นแบบอย่างที่ดกี ่อน มีบุคลิกท่ีเหมาะสม วางตนไดเ้ หมาะสม
เป็นตัวอย่างในดา้ นความประพฤติ มีเมตตา จรงิ ใจ อบรมสัง่ สอนกรยิ ามรรยาท ดแู ลความประพฤติของนักเรียน คอยชว่ ยเหลอื
แกไ้ ขเมื่อผูเ้ รยี นมพี ฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสม
ค่านยิ ม คอื ส่งิ ทยี่ ดึ ถือปฏิบัตเิ ปน็ รปู แบบของความเชือ่ ที่แตล่ ะคนยดึ ถือวา่ ควรปฏิบตั แิ ละเกิดจากการเรียนรู้
ประสบการณ์ ต้ังแตว่ ัยเด็ก จากสิง่ แวดล้อม จากพ่อ แม่ จากโรงเรียน
การนากิจกรรมสง่ เสรมิ คณุ ธรรม จริยธรรม มาสอดแทรกจัดการเรียนรู้ เพ่ือใหน้ ักศกึ ษาทบทวนคณุ ธรรม จริยธรรม
รวมไปถึงการใช้จติ วิทยากับผเู้ รียนโดยเป็นการเสรมิ แรงทางบวก เพอ่ื ให้ผู้เรยี นเหน็ ค่าในตนเอง
วันที่ 11 ตุลาคม 2563 เวลา 05.30 น. – 07.00 น.
การพฒั นากาย โดย ทีมงาน ครู กศน.อาเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
วิชาท่ี 4.1 การทางานเป็นทีม เวลา 08.00 น. – 10.00 น.
การบรรยายในหวั ข้อ การทางานเปน็ ทีม โดย ดร.ชัยยศ อ่ิมสุวรรณ์
องคค์ วามรูท้ ไี่ ดจ้ ากวทิ ยากร การทางานแบบระบบทีม (Teamwork) ที่ดีได้นั้นย่อมเกิดจากทีมงาน (Team Work) ที่ดี
ซึง่ ทมี งานท่ีทางานระบบทีมไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพย่อมทาให้องค์กรมีประสิทธิผลและเกิดความสาเร็จ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้
องคก์ รทท่ี างานไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพก็ยอ่ มสรา้ งผลสาเร็จได้อย่างยอดเย่ยี มเช่นกัน และน่ันก่อให้เกิดการพัฒนาองค์กรตลอดจน
บคุ ลากรที่จะกา้ วหน้าตอ่ ไปเร่อื ยๆ อย่างไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ
หัวใจสาคญั ของการทางานระบบทีม
1. มเี ปา้ หมายเดยี วกนั มุ่งมนั่ รว่ มแรงร่วมใจบรรลุเป้าหมายใหไ้ ด้
2. มีระบบการทางานทชี่ ัดเจน ทุกคนร้หู นา้ ที่ ปฎบิ ัติภารกจิ ให้ดีทีส่ ุด
3. สามัคคี ให้ความร่วมมือ ชว่ ยเหลอื เก้ือกลู ผลกั ดันกนั และกัน
4. ชน่ื ชมความสาเรจ็ ร่วมกัน ร่วมภาคภูมิใจด้วยกัน
การรว่ มแรงร่วมใจกันก่อให้เกดิ พลงั ทจี่ ะกา้ วไปสู่ความสาเร็จไดด้ กี วา่ การแยกกันทาแบบสะเปะสะปะไร้ทศิ ทาง นน่ั เลย
ทาให้หลายองค์กรหนั มาให้ความสาคัญกับการทางานระบบทมี เพิ่มมากข้ึนเรื่อยๆ รวมถึงม่งุ มน่ั ฝึกฝนและพฒั นาทักษะการทางาน
เป็นทีมอย่างเป็นจรงิ เปน็ จัง เพอ่ื ให้ก่อประโยชนส์ งู สุดแก่องคก์ รในที่สุด
1.ผนู้ าทมี ผู้นาทมี เปรียบเสมอื นกปั ตนั เรือท่จี ะคอยควบคมุ ดูแลให้เรือขบั เคลื่อนอย่างถูกทิศทางและพงุ่ ตรงไปสู่
เปา้ หมายใหไ้ ด้ ผ้นู าทมี ที่ดนี ้นั ต้องไม่ใช่เพียงผูส้ ่งั การเพียงอยา่ งเดียว แต่ต้องรูจ้ ักการบรหิ ารงานและบรหิ ารบุคคลซ่งึ เป็นสมาชกิ
ในทีมใหด้ ดี ้วย โดยผู้นาท่ดี ีมีคุณสมบตั สิ าคัญมากมายดงั นี้

1.1. เป็นคนมวี สิ ัยทศั น์
1.2 เป็นผู้ทว่ี างแผนได้ดี อุดรูรั่วไดเ้ ก่ง
1.3 เป็นคนที่มีวินัยและความ
1.4 มที ักษะในการสรา้ งแรงจงู ใจและสร้างความเชื่อมัน่ ท่ดี ี
1.5 เปน็ นกั ส่ือสารทย่ี อดเย่ยี ม และเป็นผู้ฟังทีด่ ี

1.6 เป็นนกั คดิ วิเคราะหท์ ่ดี ี และมีทักษะในการตดั สนิ ใจทีเ่ ฉยี บ
2.สมาชิกทีม เมอื่ มีผ้นู าทีด่ แี ลว้ หากขาดผ้ตู ามที่ดีการทางานในระบบทีมนัน้ ก็ไรค้ า่ การทผี่ ู้นาไดผ้ ้ตู ามทรี่ ่วมแรงรว่ มใจ
ทางานอย่างดนี นั้ ก็ทาให้การทางานมปี ระสิทธภิ าพ และทาให้องค์กรประสบความสาเรจ็ ในท่สี ุด สมาชิกในทีมทุกคนจงึ มสี ว่ น
สาคญั อยา่ งยิ่งในระบบการทางานเปน็ ทีม ซึ่งคุณลกั ษณะสาคัญมดี ังนี้

2.1 เป็นคนทีร่ ับผดิ ชอบ
2.2 เคารพกฎและกติการ่วมกนั
2.3 ใหค้ วามรว่ มมือกนั อย่างเตม็ ท่ี
2.4 ยอมรับความแตกต่าง เปดิ ใจรับความคิดเห็นใหม่ๆ
2.5 คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกวา่ ประโยชน์สว่ นตน
3.ระบบการทางานและกติกา สงิ่ ที่จะยึดโยงให้สมาชกิ แตล่ ะคนในแตล่ ะบทบาททางานร่วมกนั ในระบบทมี ได้ก็คือเรอ่ื ง
ของระบบการทางานแบบทีมและกติกาที่ทุกคนต้องเคารพรว่ มกนั น่ันเอง เพราะน่ีคอื กรอบสาคัญท่จี ะทาให้ทุกคนทางานได้
อย่างมปี ระสิทธิภาพเช่นกัน
3.1 ระบบการทางานต้องแบง่ หน้าท่ชี ดั เจนไมท่ ับซ้อน
3.2 กตกิ าตอ้ งยตุ ิธรรมกบั ทุกฝ่าย และเห็นพ้องต้องกนั
3.3 ระบบการทางานต้องปฎบิ ัติได้งา่ ย ไมเ่ ป็นอปุ สรรค์ต่อการทางาน
3.4 สามารถปรบั เปล่ยี นได้ตามสถานการณ์ทเ่ี หมาะสม
วชิ าที่ 4.3 ชมุ ชนการเรยี นรูท้ างวชิ าชีพ เวลา 10.00 น. – 12.00 น.
การบรรยายในหัวข้อ การทางานเป็นทมี โดย ดร.ชยั ยศ อิ่มสุวรรณ์
องค์ความรู้ท่ีได้จากวิทยากร PLC หมายถึง การรวมตัว ร่วมมือร่วมใจ และร่วมเรียนรู้ร่วมกันของครู ผู้บริหาร และ
นกั การศกึ ษา บนพื้นฐานความสัมพันธ์แบบกลั ยาณมติ ร มวี ิสยั ทัศน์ คุณค่า เป้าหมาย และภารกิจร่วมกัน โดยทางานร่วมกันแบบ
ทมี การเรยี นรทู้ ม่ี คี รูเป็นผู้นาร่วมกัน และผู้บริหารเป็นผู้ดูแลสนับสนุนสู่การเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพเปล่ียนแปลงคุณภาพตนเอง
สู่คุณภาพการจดั การเรยี นรทู้ ีเ่ นน้ ความสาเร็จหรอื ประสิทธผิ ลของผเู้ รียนเป็นสาคญั และความสุขของการทางานร่วมกันของสมาชิก
ในชุมชนการเรยี นรู้
ความสาคญั ของชุมชนแหง่ การเรยี นรทู้ างวชิ าชีพ (PLC)

PLC (Professional Learning Community) มพี ัฒนาการมาจากกลยทุ ธ์ระดบั องค์กรท่มี ุ่งเน้นให้องค์กรมี
การปรับตวั ต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมทีเ่ กิดขน้ึ อย่างรวดเร็วโดยเร่ิมพัฒนาจากแนวคิดองคก์ รแห่งการเรยี นรู้และปรับ
ประยุกตใ์ ห้มคี วามสอดคล้องกับบรบิ ทของโรงเรยี นและการเรยี นรู้รว่ มกนั ในทางวิชาชพี ทม่ี หี น้างานสาคัญ คอื ความรับผดิ ชอบ
การเรียนรู้ของผ้เู รียนรว่ มกนั เป็นสาคญั จากการศึกษาหลายโรงเรยี นในประเทศสหรฐั อเมรกิ าดาเนินการในรูปแบบ PLC พบวา่
เกดิ ผลดีทางวิชาชพี ครู และผเู้ รียนท่ีมุ่งพฒั นาการของผ้เู รยี นเป็นสาคัญมีผลสรปุ ใน 2 ประเด็นดงั น้ี

ประเด็นท่ี 1 ผลดีต่อครผู สู้ อน คือ เพิ่มความรู้สกึ ผูกพนั ต่อพันธกจิ และเป้าหมายของโรงเรียน โดยเพม่ิ ความกระตือรือร้น
ท่จี ะปฏิบัตใิ ห้บรรลุพันธกจิ และเปา้ หมาย โดยอาศยั ความร่วมมอื จากทมี การเรียนรู้

ประเด็นท่ี 2 ผลดตี ่อผู้เรียน คือ เพม่ิ ศกั ยภาพจากการเรียนรู้ตามความสนใจ สามารถลดอัตราการตกซ้าช้ันและจานวน
ช้นั เรยี นท่ีชะลอการจดั การเรียนรใู้ หน้ ้อยลง

เป้าหมายของการสรา้ งชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชพี
- เพ่อื สร้างการเรยี นร้ทู างวชิ าชีพอยา่ งต่อเน่ือง และเปน็ เคร่อื งมือในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยนื
- เพ่อื สร้างการเปล่ยี นแปลงโดยเรยี นรจู้ ากการปฏิบตั ิงานจริงของครูพัฒนาวชิ าชีพครูด้วยการพัฒนาผู้เรียน

ตลอดจนเป็นการทบทวนการปฏบิ ัตงิ านของครูท่ีมีผลต่อการเรยี นร้ขู องผ้เู รยี น
- เพอื่ สร้างการทางานร่วมกันของครแู บบกลั ยาณมติ รร่วมมือรวมพลังของทกุ ฝา่ ยในการพฒั นาผู้เรยี น แลกเปลี่ยน

เรียนรทู้ ี่เนน้ กระบวนการเรยี นรรู้ ่วมกัน และรว่ มมือกันพัฒนาวิธกี ารทางานของครู

กลยุทธใ์ นการจัดการและใชช้ ุมชนแหง่ การเรียนทางรู้วิชาชีพ (PLC)
1. การศกึ ษาปัญหา กาหนดเปา้ หมาย อภิปราย สะท้อนผล แลกเปล่ยี นกบั บุคคลอื่นๆ เพ่ือกาหนดวิธกี าร

ดาเนินการ โดยพิจารณาและสะทอ้ นผลในประเดน็ ต่อไปน้ี
1.1 หลักการท่ีสร้างแรงจงู ใจในการปฏบิ ัติ
1.2 การเรม่ิ ดาเนินการลงมือปฏิบัติ
1.3 การออกแบบเครือ่ งมือตรวจสอบหลกั ฐานของการเรียนรู้

2. การวางแผนด้วยความร่วมมอื (Plan Cooperatively) สมาชิกของกลมุ่ กาหนดสารสนเทศทีต่ ้องใช้
ในการดาเนินการ

3. การวิเคราะหก์ ารจัดการเรียนรู้ โดยหาวิธกี ารท่จี ะทาให้ประสบผลสาเรจ็ สงู สุด
3.1 ทดสอบข้อตกลงท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การสอนหลงั จากไดม้ ีการจดั เตรยี มต้นแบบทีเ่ ป็นการวางแผนระยะยาว
3.2 จัดให้มีช่วงเวลาของการช้ีแนะ โดยเนน้ การนาไปใชใ้ นช้ันเรียน
3.3 ใหเ้ วลาสาหรับครทู ม่ี ีความย่งุ ยากในการสงั เกตการณ์ปฏบิ ัตใิ นช้นั เรียนของครทู ี่สรา้ งบรรยากาศ

ข้นั ตอนการสร้างชุมชนแหง่ การเรียนรูท้ างวิชาชีพ
ขั้นตอนท่ี 1 ระบปุ ัญหา:ระบปุ ัญหาเกยี่ วกบั การจดั การเรียนการสอน/การทางานของครทู ่ีเกิดขึน้ ในสถานศกึ ษา
ขั้นตอนท่ี 2 วเิ คราะหส์ าเหตขุ องปัญหา วเิ คราะห์สาเหตุของปญั หาทีเ่ กดิ ข้นึ วา่ เกิดข้นึ จากสาเหตุที่เกดิ ข้ึน

โดยมปี จั จัยใดเขา้ มาเก่ยี วข้อง มีแนวโน้มของปัญหาอยา่ งไร และมีผลกระทบใดทีจ่ ะเกิดข้ึน
ขั้นตอนที่ 3 ระดมความคดิ เพ่ือนาเสนอวิธแี ก้ปญั หา ระดมความคดิ เพอื่ หาวธิ ีแก้ปัญหาจากประสบการณ์

และผลการวจิ ัยท่สี ามารถอา้ งองิ ได้ แล้วนาเสนอผลการระดมความคดิ เม่ือนาเสนอเสรจ็ ส้ิน ดาเนินการอภปิ รายสรปุ และเลือก
วธิ ีการแก้ปัญหาทเี่ หมาะสม

ขน้ั ตอนท่ี 4 ทดลองใชว้ ธิ ีแกป้ ัญหา นาวธิ แี กป้ ัญหาท่ีไดจ้ ากการระดมความคิด ไปทดลองใชใ้ นการเรียน
การสอนในชั้นเรยี น /ในการทางาน โดยร่วมกันสงั เกต การสอนและเกบ็ ข้อมูล หรอื เกบ็ ข้อมูลจากการทดลองใชใ้ นการทางาน

ขั้นตอนที่ 5 สรปุ ผลวธิ ีการแกป้ ัญหา อภิปรายผลท่ีเกิดข้นึ จากการทดลองใช้ นาเสนอผลการสังเกตการสอน
และเสนอแนะวิธีการปรับปรงุ แก้ไข แล้วจึงสรุปผลวธิ ี การแก้ปญั หาทใ่ี ห้ผลดตี ่อการเรียนรขู้ องผู้เรียนการทางาน
แลว้ ทาการแบง่ ปันประสบการณ์กบั ชุมชนแหง่ การเรียนรทู้ างวิชาชพี อ่ืน
สอบประมวลผลการเรียนรู้ หมวดที่ 3 เวลา 13.00 น. – 17.00
วชิ าท่ี 1.5 จิตวญิ ญานความเป็นครู 1.6 จิตสานึกความรบั ผิดชอบ เวลา 13.00 น. – 17.00

การบรรยายในหัวข้อ 1.5 จิตวญิ ญานความเป็นครู 1.6 จติ สานกึ ความรบั ผิดชอบ โดยนายทวศี ักด์ิ เท่ยี งธรรม
รองเลขาธกิ าร กศน.

องคค์ วามรู้ทีไ่ ดจ้ ากวทิ ยากร ครใู นอดีตมีจานวนมาก ทมี่ ีลักษณะครูอาชพี เปน็ ครูด้วยใจรกั เปน็ ครูด้วยจติ และวิญญาณ
มีความหว่ งใยต่อศิษยด์ จุ ลกู ของตนเองแตเ่ ม่อื เวลาผ่านมามีกระแสแหง่ การเปลีย่ นแปลงด้านต่างๆ มากระทบทาให้มคี รูอาชีพ
ท่เี ปน็ ปชู นยี บคุ คลลดน้อยลงไปอยา่ งน่าเปน็ ห่วงดว้ ยสาเหตุอะไรน้ันเป็นเรอ่ื งน่าคดิ แต่ก็ไม่อยากใหค้ ิดมากจนเสียเวลาทจ่ี ะเตรยี ม
ระบบใหม่ท่จี ะสรา้ งครขู องครูให้เป็นครอู าชีพเพื่อทจี่ ะเป็นเมลด็ พันธุ์แห่งความดีส่งต่อไปยงั ลูกศิษย์ทเ่ี ป็นครู

ครูท่มี คี วามเชอ่ื มั่นวา่ ตนเองสามารถสร้างภาพลักษณข์ องครูที่ดีได้นน่ั คือ ครูท่ศี รัทธาต่ออาชพี ครูรักษาเกยี รตแิ ละศักดิ์ศรี
แหง่ ความเป็นครูที่เป็นวชิ าชีพช้นั สงู เห็นคณุ ค่าของวิถีชวี ติ ท่ีเป็นครูและครจู ะต้องถ่ายทอดพนั ธุกรรมแหง่ ความดีไปยังผู้เรยี นด้วย
จติ สานกึ และวญิ ญาณของความเป็นครูอยา่ งแทจ้ รงิ

การสรา้ งจิตสานึกและวญิ ญาณครู ทาอยา่ งไรจึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์เน่ืองจากในระยะทีผ่ า่ นมาอาชีพครูคอ่ นขา้ ง
ไดร้ บั การดูถูกดูแคลนจากสังคมเป็นอยา่ งมากจนนา่ วติ ก ดว้ ยสาเหตุหลายประการเช่น คนดคี นเกง่ ไม่เรยี นครูคณาจารยท์ ่สี อนครู
ยอ่ หย่อนในการปฏิบัติหน้าที่ภาระงานของครูมีมาก แรงจูงใจคอ่ นขา้ งต่า ระบบการพัฒนาไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพการอบรมพัฒนาไม่
ตรงตามท่ตี ้องการ เป็นต้น

รายวิชาท่ี 1.6 จิตสานึกความรับผดิ ชอบในวิชาชีพ
ดา้ นความรับผดิ ชอบในวิชาชพี : เอาใจใส่ ถ่ายทอดความรแู้ ละแสวงหาความรโู้ ดยไม่บดิ เบือน ปดิ บัง หวงั สิง่ ตอบแทน

ช่วยเหลอื นกั เรียนและผรู้ ว่ มงานเต็มกาลงั ความสามารถตามหลักวิชาชพี อย่างสม่าเสมอเท่าเทยี มกนั ศกึ ษา ค้นคว้า ริเร่ิม
สรา้ งสรรค์ความรใู้ หม่ มาพัฒนางานในหน้าที่ ประพฤตติ นตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ มีจิตอาสา จติ สาธารณะ และมุ่ง
ประโยชน์ต่อส่วนรวม

การเอาใจใส่ ถา่ ยความรู้ หรือส่งเสริมการแสวงหาความรู้โดยไม่บิดเบอื น ปิดบัง หวงั สิ่งตอบแทน เอาใจใส่
ถา่ ยความรู้ หรอื ส่งเสรมิ การแสวงหาความรูโ้ ดยไมบ่ ดิ เบือน ปิดบงั หวังส่งิ ตอบแทน จนเกิดผลดีตอ่ หนา้ ที่การงาน ไดร้ บั
การยกย่องโดยมีผลงานปรากฏอย่างต่อเน่ือง ดังน้ี

1. เปน็ ผ้นู าในการมีส่วนรว่ มของฝ่ายตา่ งๆ ในการกาหนดนโยบายการวางแผนการศึกษาแบบมีสว่ นร่วม
- วเิ คราะหข์ ้อมูลเพอ่ื จดั ทานโยบาย
- จัดทาแผนพฒั นาคุณภาพการศึกษาที่มุ่งให้เกิดผลดี คุ้มค่าต่อการศึกษา
- นาแผนพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาไปสู่การปฏิบตั ิจริง
- มกี ารตดิ ตามประเมินผลและรายงานผลสาเรจ็

2. กากบั และติดตามการพฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษาให้สอดคล้องกบั ความต้องการของทอ้ งถิ่นและชุมชน
- จดั สาระท้องถิน่ แบบบรู นาการ
- จดั บรกิ ารวิชาการแก่ชุมชน
- จดั โครงการเรยี นรว่ ม

3. มีส่วนรว่ มจัดการนิเทศการสอนในโรงเรยี น
4. สง่ เสริมให้มีการวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา
5. ส่งเสรมิ ใหม้ ีการจัดกจิ กรรมเพื่อส่งเสริมดา้ นวิชาการ

- จัดกิจกรรมพเิ ศษเพ่ือพฒั นาศักยภาพของนกั เรียนในทุกๆ ดา้ น
- จดั ใหม้ ีกจิ กรรมพฒั นาอย่างตอ่ เนื่อง
6. ส่งเสริมใหค้ รูมีการพฒั นาหน่วยการเรียนรู้โดยเนน้ ในเรอ่ื ง การพัฒนาหน่วยการเรียนรูแ้ บบบูรณาการ การจดั การเรยี น
การสอนแบบเน้นผูเ้ รยี นเป็นสาคญั การวิจยั ในชัน้ เรียน การใช้ส่อื นวตั กรรม กาเรยี นรู้ การประเมินผลการเรียนรตู้ ามสภาพจริง
การเอาใจใส่ช่วยเหลือผู้เรยี นและผู้รบั บรกิ ารเตม็ ความสามารถตามหลกั วิชาอย่างสมา่ เสมอเท่าเทยี มกนั เอาใจใส่
ชว่ ยเหลือผู้เรยี นและผรู้ ับบรกิ ารเตม็ ความสามารถตามหลกั วิชาอยา่ งสม่าเสมอเทา่ เทยี มกัน
การศกึ ษา คน้ คว้า รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ นวตั กรรมในการพัฒนางานในหน้าท่ี ศึกษา คน้ ควา้ ริเรมิ่ สรา้ งสรรค์
ความรู้ใหม่ นวตั กรรมในการทางานในหน้าทจ่ี นสาเรจ็ โดยปฏิบัติ ดังนี้
1. เมอื่ เริม่ ต้นทางานแล้ว จะพยายามทางานจนสาเร็จตามเปา้ หมายทก่ี าหนดไว้
2. รักษามาตรฐานในการปฏิบตั ิงานในหนา้ ท่ีอย่าง คงเส้นคงวา
3. แสวงหาความรูแ้ ละประสบการณ์ท่เี ป็นประโยชน์และ ยนิ ดอี าสาเขา้ ไปช่วยทางานเพ่ือพัฒนาใหอ้ งคก์ รวิชาชพี
ก้าวหนา้ ยิ่งขน้ึ
การประพฤตติ นตามจรรยาบรรณของวิชาชพี และแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของเป็นผปู้ ระพฤตติ น
ตามจรรยาบรรณของวิชาชพี และแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวชิ าชีพไดร้ ับการยกยอ่ งชมเชย
การมีจิตอาสา จติ สาธารณะ และมุ่งประโยชนส์ ่วนรวม
1. เข้ารว่ มกจิ กรรมเม่ือองค์กรวชิ าชพี จดั กจิ กรรม อยเู่ สมอ
2. พร้อมท่จี ะเข้ารว่ มในการพัฒนาวชิ าชพี สู่ความ เป็นเลิศอย่างเต็มกาลังความสามารถ
3. ไม่วา่ อยู่ในสถานการณ์ใด จะพดู ถึงวชิ าชพี ในทางบวกเสมอ
4. ชแ้ี จงใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจอย่างถูกต้องในเร่ืองทเ่ี กยี่ วข้องกับวิชาชีพ

วันท่ี 12 ตุลาคม 2563 เวลา 05.30 น. – 07.00 น.
การพฒั นากาย โดย ทีมงาน ครู กศน.อาเภอสามพราน จงั หวดั นครปฐม
พฒั นาจิต โดยให้ผเู้ ขา้ อบรมเดินทางไปกราบพระท่ีวดั ไรขิง

วิชาท่ี 5.1-5.3 การใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ัลเพือ่ พฒั นาตนเอง ผู้เรยี นปลพการส่อื สาร เวลา 08.00 น. – 12.00 น.
การบรรยายในหัวข้อ การใชเ้ ทคโนโลยดี ิจทิ ัลเพอ่ื พฒั นาตนเอง ผู้เรียนและการสอื่ สาร โดย ดร. สุพจน์

ศรีนุตพงษ์
องคค์ วามรทู้ ่ไี ดจ้ ากวทิ ยากร ทกั ษะความเข้าใจและใชเ้ ทคโนโลยีดจิ ทิ ลั 9 ด้าน คือ
1. การใช้งานคอมพิวเตอร์
2. การใช้งานอินเตอร์เนต็
3. การใช้งานเพ่อื ความมั่นคงปลอดภัย
4. การใช้งานโปรแกรมประมวลคา
5. การใชโ้ ปรแกรมตารางคานวณ
6. การใชโ้ ปรแกรมการนาเสนองาน
7. การใช้โปรแกรมสรา้ งสือ่ ดจิ ิทลั
8. การทางานร่วมกันแบบออนไลน์
9. การใชด้ จิ ิทลั เพ่ือความปลอดภัย
แนวทางการประยุกตใ์ ชอ้ นิ เทอร์เน็ตในดา้ นของครู ครูสามารถใชอ้ ินเทอร์เน็ตไดห้ ลายวิธี เชน่ เดยี วกบั ท่นี กั เรียนใช้

นอกจากน้ียงั ใชเ้ พ่ือตดิ ต่อสอื่ สารกบั เพ่ือนครแู ละผเู้ ชย่ี วชาญจากทั่วโลก การค้นหาแหล่งสือ่ วัสดุ อุปกรณ์ แผนการสอนในวิชา
ที่ตนรบั ผิดชอบรวมถึงการจดั ทา จัดสรา้ ง ส่ือนวัตกรรม กจิ กรรมการเรยี นรสู้ าหรบั นักเรียนและเผยแพร่แก่ครูหรือบุคคลทั่วไป

1 การตดิ ตอ่ สื่อสาร ครสู ามารถใช้อนิ เทอรเ์ นต็ เพอ่ื การตดิ ต่อส่ือสารกับกลุ่มครหู รอื ผู้เช่ียวชาญในสาขาวิชาการ
ท่เี ก่ยี วกับงานในหน้าที่หรือตามความสนใจ โดยใช้ E-mail หรือ List serve ตลอดจนสมัครเขา้ ร่วมเปน็ สมาชิกขององคก์ รวิชาชพี

2 การคน้ ควา้ วจิ ยั ครูสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเปน็ เครอ่ื งมือ สืบคน้ ค้นคว้า วิจัย เพื่อการเตรยี มการสอน
การจดั หาส่ือนวตั กรรมการเรียนการสอน

3 การสร้างงาน ครสู ามารถใชอ้ นิ เทอร์เน็ตสรา้ งเวบ็ ไซตเ์ พื่อการจดั การเรยี นการสอนของตนเอง นอกจากนีค้ รยู ัง
ใช้ประโยชน์ในการแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ เผยแพร่ผลงานแนวคิดกับเพอื่ นรว่ มวชิ าชีพและผู้สนใจท่ัวไป การพฒั นาการเรียนรู้ดจิ ทิ ัล
เป็นเรอ่ื งเก่ยี วกบั การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของความรู้ความเข้าใจ ครูทุกคนสามารถนาเสนอมุมมองที่แตกตา่ งกันในเรือ่ ง
วิธีการ ท่ีเทคโนโลยีสามารถเพมิ่ คุณค่าในการเรียนของผูเ้ รียน แนวทางและวธิ กี ารใชอ้ ินเทอร์เน็ตเพ่อื เสริมสร้างสมรรถนะ
การเรียนรูอ้ ินเทอร์เน็ตเปน็ เครือข่าย ICT ทีเ่ ชอื่ มโยง แผ่ขยายครอบคลุมทั่วโลก เป็นท้ังส่ิงแวดลอ้ มและ เคร่ืองมือสาคัญ
ในการพฒั นาผเู้ รยี นใหม้ ีศักยภาพเปน็ พลโลก การประยุกต์ใชอ้ ินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียน การสอน กระทาไดส้ องลักษณะดงั น้ี
แนวทางการประยุกตใ์ ช้อินเทอร์เนต็ ในด้านของนักเรียน

- การศกึ ษาค้นควา้ เป็นเคร่อื งมือในการสบื ค้น ศึกษาวจิ ัยและจัดทารายงาน
- กจิ กรรมเชิงปฏิสัมพนั ธ์ กิจกรรมแบบโต้ตอบระหวา่ งเว็บไซต์กับผใู้ ช้ เชน่ บทเรียนและแบบทดสอบออนไลน์ เปน็ ต้น
- โครงงานบนเว็บ การจดั ทาโครงงานในชน้ั เรียนท้ังระยะสนั้ และระยะยาวเผยแพร่บนอนิ เทอรเ์ น็ต
- การสรา้ งสรรค์งาน นักเรียนที่เปน็ รายบคุ คล เปน็ กล่มุ หรอื ครูที่ดาเนนิ การร่วมกบั นักเรียนสามารถสร้างหรือ จดั ทา
เนือ้ หาสาระเปน็ เวบ็ ไซต์เผยแพร่แกส่ าธารณชนได้
วชิ าท่ี 5.1-5.3 การใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั เพือ่ พัฒนาตนเอง ผูเ้ รยี นและการสอ่ื สาร เวลา 13.00 น. – 17.00 น.
การบรรยายในหวั ข้อ การใช้เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เพ่อื พัฒนาตนเอง ผเู้ รียนและการสอ่ื สาร โดย อ.วิบลู ยศ์ ริ ิ คงพลู

องค์ความรู้ทไ่ี ด้จากวทิ ยากร ทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร ไดแ้ ก่ ทักษะในการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสือ่ สาร ทักษะการร้สู ารสนเทศ ทกั ษะการรวบรวมจดั เก็บและสร้างความรู้ทักษะการ ส่ือสารและเผยแพร่

สารสนเทศดจิ ิทลั และกระบวนการคดิ ทักษะการคิดวเิ คราะหท์ กั ษะทางสังคม (Soft skills)
ความรู้ทจี่ าเป็นในบรบิ ทดิจทิ ัล ไดแ้ ก่ ความร้เู รื่องการเลอื กใชเ้ ทคโนโลยีทหี่ ลากหลายให้ เหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพใน

การสบื ค้นและเขา้ ถงึ สารสนเทศ ความรเู้ รื่องสารสนเทศท่ีนาเสนอผา่ นคอมพวิ เตอร์ในรูปแบบและจากแหล่งทหี่ ลากหลาย การ
รูเ้ ท่าทันสอ่ื ความรู้เรอ่ื งการประเมินสารสนเทศดจิ ทิ ลั ความรู้เรอื่ งจริยธรรมทางวิชาการ มีทัศนคติทีเ่ หมาะสม ได้แก่ การมสี านึก
ทีด่ ีในการใช้อินเทอรเ์ น็ต และมีความตระหนกั ถึงการป้องกันความเปน็ ส่วนตัวและสิทธใิ นทรัพยส์ นิ ทางปัญญาท้ังของตนและผ้อู ืน่
การยดึ มนั่ ในกฎระเบียบและบรรทดั ฐานในการสื่อสาร การยึดมนั่ ในคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและการเป็นสมาชิกที่ดีของสงั คม
สอบประมวลความรู้ หมวด 4 และ หมวด 5 และกิจกรรมกล่มุ สัมพันธ์ เวลา 18.00 น. – 20.00 น.
วันที่ 13 ตลุ าคม 2563 เวลา 05.30 น. – 07.00 น.

การพฒั นากาย โดย ทมี งาน ครู กศน.อาเภอสามพราน จงั หวดั นครปฐม
การพฒั นาบุคลกิ ภาพ เวลา 08.30 น. – 10.00 น.

การบรรยายในหัวข้อ การพัฒนาบคุ ลกิ ภาพ โดย ดร.สรสั วดี มสุ ิกบตุ ร
สอบประมวลความรู้ หมวด 1 - 5 และกิจกรรมกลมุ่ สัมพนั ธ์ เวลา 10.00 น. – 12.00 น.
การบรรยายพิเศษ จากนายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พิธีมอบวุฒิบัตรผู้เข้าอบรมและพิธีปิดการอบรม
เวลา 13.00 น. – 15.00 น.

ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ
กระบวนการจัดกิจกรรมอบรมพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมและพัฒนา

อย่างเข้ม ทาให้ผู้เข้าอบรมได้รับความรู้ ประสบการณ์ จากวิทย่ากรที่ได้ให้ความรู้ ซ่ึงถือได้ว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าอบรม เพื่อ
นาไปประพฤติ ปฏบิ ัติ ในการทางานภายในองคก์ ร ชมุ ชน ภาคีเครอื ข่าย ในการลงพนื้ ทีป่ ฏบิ ตั ิงานได้จริง

ผ้รู ายงาน...........................................
(นายศวิ ะ ปลั่งกลาง)
ครผู ูช้ ว่ ย
วนั ท่ี 16 ตลุ าคม 2563

ความคดิ เห็นของ ผอู้ านวยการ กศน.เขตลาดพร้าว
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

ลงช่ือ.......................................
(นางพัชรา สายนาค)
ผอู้ านวยการ กศน.เขตลาดพร้าว
วันท่ี........./................./...........

ภาพกิจกรรม
โครงการอบรมพัฒนาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาเพอื่ เตรยี มความพร้อมและพฒั นาอย่างเข้ม

ตาแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย กลุ่มล่มุ น้าเจา้ พระยา
ระหว่างวันท่ี 7 ตุลาคม – 13 ตลุ าคม 2563
ณ สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา อาเภอสามพราน จงั หวดั นคปฐม

ภาพกิจกรรม
โครงการอบรมพัฒนาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาเพอื่ เตรยี มความพร้อมและพฒั นาอย่างเข้ม

ตาแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย กลุ่มล่มุ น้าเจา้ พระยา
ระหว่างวันท่ี 7 ตุลาคม – 13 ตลุ าคม 2563
ณ สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา อาเภอสามพราน จงั หวดั นคปฐม

ภาพกิจกรรม
โครงการอบรมพัฒนาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาเพอื่ เตรยี มความพร้อมและพฒั นาอย่างเข้ม

ตาแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย กลุ่มล่มุ น้าเจา้ พระยา
ระหว่างวันท่ี 7 ตุลาคม – 13 ตลุ าคม 2563
ณ สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา อาเภอสามพราน จงั หวดั นคปฐม


Click to View FlipBook Version