การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา
เร่อื งที่ 7
การแปลความหมายของคะแนน
และการตดั เกรด
ชุดการสอนเร่ืองท่ี 7
01 แผนการสอน
02 ใบเน้ือหา
03 แบบฝึกหัด
~ 181 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา แผนการสอน
(Lesson
รหสั วิชา 14-101-004
Plan)
ชื่อวชิ า การวัดและประเมินผลการศึกษา
(Measurement and Assessment in Education)
หนว่ ยกิต 3(2-3-4)
หลกั สตู รครศุ าสตร์อตุ สาหกรรมบณั ฑติ (4 ป)ี
คร้งั ที่ : 1 เรอ่ื ง การแปลความหมายของคะแนนและการตัดเกรด
วตั ถปุ ระสงค์การสอน : เพ่อื ให้นักศึกษาสามารถ
1. บอกความหมายของคะแนน คะแนนดิบได้
2. อธิบายหลกั การของการให้คะแนนและการประเมินได้
3. อธิบายการกําหนดผลการเรียนรู้และการตดั เกรดได้
4. กําหนดผลการเรียนดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ อย่างมีหลกั การ
หัวขอ้ บรรยาย
1. การแปลความหมายของคะแนนและการตดั เกรด
2. คะแนนดบิ
3. การแปลงคะแนน
4. คะแนนมาตรฐาน
5. การให้ระดับคะแนน
หัวขอ้ ปฏบิ ัต/ิ กจิ กรรม
1. ออกแบบผลการเรียนรแู้ ละการตัดเกรด
2. ปฏิบัตกิ ารแปลงคะแนนดบิ ให้เป็นคะแนนมาตรฐาน
~ 182 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
กจิ กรรมการเรยี นการสอน
1. ผู้สอนกําหนดให้นักศึกษาตั้งคําถามและตอบคําถามเกี่ยวข้องกับพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน
ทบทวนความรูค้ วามเขา้ ใจของผเู้ รียนโดยการทําแบบทดสอบก่อนเรียน
2. ผสู้ อนตง้ั คาํ ถามระหว่างการสอนเพ่อื เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนไดฝ้ กึ การคิด
3. บรรยายเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแปลความหมายของคะแนนและการ
ตัดเกรด คะแนนดิบ การแปลงคะแนน คะแนนมาตรฐาน และการให้ระดบั คะแนน
4. ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ และอภิปราย แสดงความคิดเห็น
เพมิ่ เตมิ โดยผู้สอนและผเู้ รียน
5. นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติจัดทําผังการเรียนรู้เพื่อสรุปประเด็นที่ได้ ร่วมตอบคําถามและอภิปราย
ร่วมกันเพอ่ื หาข้อสรปุ
สอื่ การสอน
1. เอกสารประกอบการสอน/แผนการสอน
2. สือ่ การนําเสนอ
3. แบบฝึกหัดทา้ ยบท
การประเมินผลการเรยี นรู้ วิธกี ารประเมิน สัดส่วนของการ
ประเมนิ
ผลการเรยี นรู้ - ตรวจสอบจาก การเขา้ ชนั้ เรยี น การแตง่ กาย การมีสว่ น 1%
รว่ ม อภิปราย เสนอความคดิ เห็นในชน้ั เรยี น การสง่ งาน
1. ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ตามขอบเขตตรงเวลา 1.5 %
- งานท่ีไดร้ บั มอบหมาย การนําเสนอผลงาน 1%
2. ด้านความรู้ - ทดสอบย่อย 1.5 %
- แฟม้ สะสมผลงาน
3. ทกั ษะทางปญั ญา - งานที่ไดร้ ับมอบหมาย การนําเสนอผลงาน 1.5 %
- วเิ คราะหก์ รณีศกึ ษา ค้นควา้
4. ทักษะความสัมพันธร์ ะหว่าง - การนาํ เสนอรายงานกลุ่ม 0.5 %
บคุ คลและความรบั ผดิ ชอบ - การเข้าถึงส่ือการสอนอิเลก็ ทรอนกิ ส์
5. ทักษะวิเคราะหเ์ ชิงตัวเลข การ - ประเมินจากผลงานท่ีมอบหมาย รปู แบบ การนาํ เสนอ 1%
สอ่ื สารและการใช้เทคโนโลยี การคิดและการเรยี บเรยี งขอ้ มลู
สารสนเทศ - การประเมินผลจากการปฏิบตั ิ
6. ทักษะดา้ นการจดั การเรยี นรู้ - ประเมนิ ผลจากการทาํ งานกลุ่ม
- งานท่ีไดร้ บั มอบหมาย
~ 183 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
ใบเน้ื อหาท่ี
7 การแปลความหมายของคะแนน
และการตดั เกรด
การวดั ผลการเรียน คือ กระบวนการกําหนดค่าเป็นตวั เลขให้กับพฤติกรรมด้าน ตา่ งๆ ท่ีผู้เรียนแสดง
ออกมา ตัวเลขที่กําหนดขึ้นนี้เรียกว่าคะแนน ดังได้ศึกษามาแล้วจาก ว่าพฤติกรรมทางการศึกษาที่ต้องการวัด
ทุกด้าน มีลักษณะเป็นนามธรรม ไม่สามารถ จะวัดได้อย่างสมบูรณ์เหมือนการวัดลักษณะที่เป็นรูปธรรม และ
ยังต้องใช้วิธีวัดทางอ้อม โดยเฉพาะพฤติกรรมทางด้านสมอง และทางด้านจิตใจ ดังนั้นคะแนนที่เป็นผลการวัด
จงึ มลี ักษณะจาํ กดั บางประการทค่ี วรทําความเข้าใจ (ปิน่ วดี ธนธานี, 2550) ดงั นี้
7.1 คะแนนดบิ
คะแนนที่เกิดจากการวัดหรือการสอบโดยตรง จัดว่าเป็นตัวเลขลอย ๆ ไม่มีความหมายแนวความคิด
เกีย่ วกับคะแนนดบิ
1. คะแนนดบิ ไม่สามารถบอกได้ว่า เก่งหรืออ่อน หรอื ไม่มคี วามหมายใดๆ
2. คะแนนดิบจากแบบทดสอบต่างฉบับกันจะนํามาเปรยี บเทียบกนั ย่อมไมถ่ ูกต้อง
3. การนาํ คะแนนดิบของแตล่ ะรายวิชามารวมโดยตรงย่อมไมถ่ กู ตอ้ ง
ในระบบการประเมินผลแบบอิงกลุ่ม ตัวเลขคะแนนที่ได้มาจากการกําหนดค่าให้กับ คําตอบในการ
ทดสอบใด ๆ หรือจากผลงานของผู้เรียน เรียกว่า คะแนนดิบ ซึ่งความหมาย ของคะแนนดิบในแนวคิดของ
วดั ผลแบบองิ กล่มุ ยังมีจดุ ออ่ นหลายประการ (สมนึก ภัททยิ ธน,ี 2553) ดงั นี้
1. คะแนนดิบมิได้เป็นหน่วยที่สมบูรณ์ในการวัดความรู้และความสามารถของ ผู้เรียน เนื่องจากการ
ทดสอบแต่ละครั้งจะสุ่มวัดเฉพาะพฤติกรรมสําคัญที่เป็นตัวแทนของ พฤติกรรมส่วนรวมเท่านั้น จึงต่างจากตัว
~ 184 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
เลขที่ได้จากการชั่ง ตวง วัด ซึ่งเป็นการวัดอย่าง สมบูรณ์ ดังนั้นถ้ามีผู้เรียนคนหนึ่งสอบได้คะแนน 0 มิได้
หมายความว่าเขาไม่มีความรู้เลย หรือถ้าผู้เรียนอีกคนสอบได้คะแนนเต็ม ก็มิได้หมายความว่ามีความรู้อย่าง
ครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้น ถ้าบิวสอบคณิตศาสตร์ได้ 40 คะแนน และโบสอบได้ 20 คะแนน ก็สรุปไม่ได้ว่าบิวเก่ง
คณติ ศาสตรเ์ ปน็ 2 เท่าของโบ
2. คะแนนดิบยังไม่มีความหมายที่แน่นอนในตัวเอง เช่น ถ้าทราบว่า บิวสอบ คณิตศาสตร์ได้ 40
คะแนน ก็บอกไม่ได้ว่าเขาเก่ง หรืออ่อนในวิชานี้ และแม้จะทราบว่า คะแนนเต็มคือ 50 คะแนน ก็ยังสรุป
แน่นอนไม่ได้ว่าเก่ง หรือค่อนข้างเก่ง เพราะจํานวน คะแนนที่ได้มากน้อยจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของข้อ
ทดสอบ ถ้าข้อทดสอบยากมาก ทุกคนก็ อาจจะได้คะแนนค่อนข้างตํ่า ถ้าข้อทดสอบง่ายมาก ทุกคนก็จะได้
คะแนนค่อนข้างสูง ดังนั้น ถ้าทราบความยากง่ายของแบบทดสอบทั้งฉบับได้แน่นอน จึงจะพอสรุปความหมาย
ของคะแนน ดิบได้
3. คะแนนดิบของแบบทดสอบต่างฉบับกัน หรือต่างวิชากันจะนํามาเปรียบเทียบ กันไม่ได้ หรือ
นํามารวมกันก็ยังไม่สมควร แม้จะกําหนดจํานวนข้อเท่ากัน หรือกําหนดคะแนน เต็มเท่ากันก็ตามทั้งนี้เพราะแต่
ละวิชามีธรรมชาติของเนื้อหาต่างกัน การทําแบบทดสอบแต่ละวิชาจึงต้องใช้ความรู้ความสามารถที่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเด็กคนหนึ่งสอบวิชา คณิตศาสตร์ได้ 40 คะแนน สอบวิชาภาษาไทยได้ 50 คะแนน จะ
สรุปว่าเด็กคนนี้เก่งภาษาไทย มากกว่าคณิตศาสตร์ยังไม่ได้ และถ้าจะรวมคะแนนของทั้งสองวิชาเป็น
40 + 50 = 90 ก็เป็น เพียงการนําตัวเลขมารวมกันเท่านั้น มิได้มีความหมายในเชิงการรวมความสามารถอย่าง
แท้จริง อุปมาเหมือนการรวมนํ้า 40 ลิตร กับนํ้า 50 ขวด ซึ่งรวมแล้วเป็น 90 แต่ไม่ทราบว่า หน่วยจะเป็นอะไร
ได้
4. การแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนเปอร์เซ็นต์ มิได้ทําให้คะแนนมีหน่วยเป็น มาตรฐานหรือเป็น
หน่วยกลาง เป็นเพียงการเทียบสัดส่วนของคะแนนให้มีส่วนเป็น 100 หรือ เทียบให้มีคะแนนเต็มเป็น 100
คะแนน ซ่งึ เปน็ การทาํ ให้คะแนนมีความหมายคลาดเคลื่อน ยิ่งขนึ้ เช่น สมมตุ วิ า่ ผู้เรยี นคนหนึ่งสอบคณติ ศาสตร์
ได้ 40 คะแนน จาก 50 คะแนน (ทําถูก 40 ข้อจาก 50 ข้อ) ถ้านํามาเทียบเป็นคะแนน 100 จะกลายเป็นได้
คะแนน 80 หรือ 80 % มีความหมายเสมือนว่าเด็กคนนี้ทําข้อสอบถูก 80 ข้อ จากจํานวน 100 ข้อ ซึ่งในความ
เป็นจริง ถ้าเพิ่มข้อสอบเป็น 100 ข้อแล้ว เด็กคนนี้คงทําข้อสอบไม่ได้ 80 ข้อพอดี ดังนั้นการนําคะแนน ที่ผ่าน
การขยายมาเป็นเปอร์เซ็นต์ไปเทียบกับเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน ก็จะได้ผลการสรุป ที่ไม่ถูกต้อง สําหรับใน
ระบบการประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อตรวจสอบ การบรรลุจุดประสงค์ในการเรียนของ
ผู้เรียน แต่ไม่ต้องการเปรียบเทียบความรู้ความสามารถ ของผู้เรียนเลย ดังนั้นจึงถือว่าคะแนนดิบแต่ละคะแนน
มีความหมายแสดงการผ่านจุดประสงค์ การผ่านจุดประสงค์ต่างๆ ของการเรียน และสามารถใช้คะแนนดิบเพ่ือ
การสรปุ ตัดสิน ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นไดโ้ ดยตรง
~ 185 ~
การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา
7.2 การแปลงคะแนน
นักวัดผลในแนวอิงกลุ่มจะไม่เชื่อถือ ความหมายของคะแนนดิบ แต่จะจัดกระทํากับคะแนนดิบต่อไป
โดยนําเอาวิธีการทางสถิติมา ใช้ในการแปลงคะแนนดิบให้อยู่ในอีกรูปแบบหนึ่งและมีความหมายดีขึ้นกว่าเดิม
คะแนน แปลงรูปมีหลายแบบ เช่น คะแนนอันดับที่คะแนนเปอร์เซ็นต์ไทล์ และคะแนนมาตรฐานต่างๆ (ปิ่นวดี
ธนธาน,ี 2550 : 171-172) ดังนี้
1. คะแนนอันดับที่ (Rank) เป็นคะแนนแปลงรูปที่ง่ายที่สุด เป็นเพียงการจัด เรียงลําดับคะแนนดิบ
ของผู้เรียนแต่ละคน (เรียงจากคะแนนเปอร์เซ็นต์ก็จะได้อันดับที่ เหมือนกัน) คะแนนที่นํามาจัดอันดับที่แล้วจะ
มีความหมายดีขึ้นกว่าคะแนนดิบ ในแง่การ เปรียบเทียบความสามารถแบบรวมๆ ของผู้เรียนในกลุ่ม ทําให้
พอจะสรุปได้ว่าใครมี ความสามารถเหนือใครบ้าง หรือใครมีความสามารถตํ่ากว่าใคร แต่มิได้บอกความหมาย
วา่ ใครมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนระดับใด หรอื มีความรู้ความสามารถมากนอ้ ยเท่าไร
2. คะแนนเปอร์เซ็นต์ไทล์ เป็นการเปลี่ยนคะแนนดิบให้เป็นคะแนนตําแหน่ง เรียกว่าตําแหน่ง
เปอร์เซ็นไทล์ (Percentile Rank) ซึ่งจะบอกความหมายว่าใครจะมี ความสามารถสูงเท่า หรือตํ่ากว่าคนอื่นใน
กลุ่ม คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เช่น สมมติบิวสอบ คณิตศาสตร์ได้ 40 คะแนน คิดแล้วได้ตําแหน่งเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่
70 เขียนว่า P70แสดงว่า คะแนนของบิวอยู่ในตําแหน่งที่เหนือคนอื่น 70 % หรือตํ่ากว่าคนอื่น 30 % หรือ
กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเทียบจํานวนผู้สอบ 100 คนแล้ว จะมีผู้สอบได้คะแนนตํ่ากว่าบิว 70 คน หรือมี ผู้สอบ
ได้คะแนนสงู กวา่ บวิ 30 คน
7.3 คะแนนมาตรฐาน
คะแนนมาตรฐาน (Standard Score) เป(นการแปลงรูปคะแนนดิบไปโดยใชI คะแนนเฉลี่ยของกล;ุม
เป(นจุดหลักในการแปลงคะแนน เพื่อจะทำใหIเกิดความยุติธรรมในการ แปลความหมายของคะแนนเพราะ
คะแนนในรูปใหม;นี้จะมีความหมายในตัวเอง โดยไม;ขึ้นอยู;กับ ธรรมชาติของเนื้อหา ความยาก – ง;ายของขIอ
ทดสอบ หรือคุณภาพการสอนของผูIสอน แต;ขึ้นอยู; กับความสามารถโดยส;วนรวมของทุกคนในกลุ;มเป(นหลัก
การแปลงคะแนนดิบโดยแนวคิดนี้จะ ถือว;าคะแนนรูปใหม;มีหน;วยวัดเป(นมาตรฐาน ทำใหIคะแนนของทุกวิชามี
หน;วยวัดที่เป(นแบบ เดียวกัน และจัดอยู;ในมาตราอัตราส;วนไดI จึงนำมาเปรียบเทียบกันไดI หรือรวมกันไดI หรือ
บอก ถึงความรูIความสามารถของผูIเรียนไดI คะแนนมาตรฐานมีหลายรูปแบบ เช;น คะแนนมาตรฐานซี
(Z – Score) คะแนนมาตรฐานที (T-Score)
สรุปการนำคะแนนดิบที่ไดIไปเทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ;ม โดยพิจารณาว;ามากกว;าหรือนIอยกว;า
คะแนนเฉล่ียของกลม;ุ เท;าไร คะแนนมาตรฐานท่ีนิยมใชIไดIแก; คะแนนมาตรฐาน Z และ T
~ 186 ~
การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา
คะแนนมาตรฐาน Z (Z-Score)
Z-Score ผลต;างระหว;างคะแนนดิบ + คะแนนเฉลี่ยในหนึ่งส;วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือเป(นกี่เท;าของ
ส;วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แนวคิดของคะแนน Z คือการแปลงรูปคะแนนดิบโดยใชIค;าเฉลี่ย และค;าการ กระจาย
ของคะแนนในกลุ;ม มาเป(นส;วนสำคัญในการแปลงรูปแบบ ซึ่งวิธีการนี้นักสถิติเชื่อว;า จะทำใหIคะแนนของทุก
วิชาแปลงใหIมีหน;วยเป(นแบบเดียวกัน สามารถเปรียบเทียบกันไดIและนำมารวมกันไดI สูตรการแปลงคะแนน
เปน( คะแนนเป(นคะแนนมาตรฐาน (สมนึก ภัททิยธนี, 2553 : 261-262) แสดงสมการ (2) ดังนี้
สตู ร Z= x-x (2)
SD
เม่ือ Z แทน คะแนนมาตรฐานของแตล่ ะคน
X แทน คะแนนดิบของแต่ละคน
x แทน ค่าเฉล่ยี ของกลุ่ม
SD. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุม่
ตัวอย่าง คะแนนวิชาภาษาไทยของผู้เรียนห้องหนึ่ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 45 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(SD) เท่ากับ 5 ถ้าวิชัยได้คะแนนวิชานี้ (X) เท่ากับ 38 คะแนน นงคราญได้คะแนน (X) เท่ากับ 55 อยากทราบ
วา่ คะแนนของ วชิ ยั และ นงคราญ คดิ เป็นคะแนนมาตรฐาน z ไดเ้ ท่ากบั เทา่ ไร
จากตวั อยา่ งการแปลงคะแนนขา้ งตน้ นท้ี าํ ใหไ้ ด้ข้อสงั เกตว่า
1. ถ้าผใู้ ดได้คะแนนเทา่ กับคะแนนเฉล่ยี ของกลุ่ม จะได้ Z = 0 พอดี
2. ถ้าผู้ใดสอบได้คะแนนดบิ ตํา่ กว่าคะแนนเฉลี่ยจะไดค้ ่า Z เป็นจาํ นวนลบ
จุดอ่อนท่ีทาํ ใหค้ ะแนนมาตรฐาน Z ไมเ่ ปน็ ท่นี ยิ มใช้
1. คะแนนมาตรฐานชนิดนี้มีหน่วยโตเกินไปเพราะคะแนนส่วนใหญ่เมื่อแปลง เป็นคะแนน Z จะมี
ค่าในชว่ ง ± 3 ทาํ ใหค้ า่ Z มักจะอยู่ในรูปทศนิยม
2. คะแนนมาตรฐาน Z อาจจะเป็น 0 หรืออาจจะมีค่าเป็นจํานวนลบก็ได้ ซึ่ง ขัดความรู้สึกของคน
จึงไมเ่ ปน็ ทย่ี อมรบั ทว่ั ไป
~ 187 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
คะแนนมาตรฐาน T (T – Score)
คะแนนมาตรฐานชนดิ น้ีคดิ ขนึ้ มาใช้ แทนคะแนน Z เพื่อเปน็ การแกจ้ ุดออ่ น ดังกลา่ วจงึ นําคะแนน Z
มาคณู ด้วยค่าคงท่ี 10 และบวกด้วยคา่ คงที่ 50 ทาํ ใหไ้ ด้สูตรใหม่ ดังนี้
(3)
คะแนนมาตรฐานรปู น้ี จัดเป็นคะแนนแปลงรูปเชิงเสน้ ตรง (Linear Transformation) เพราะแมจ้ ะ
แปลงรูปไปแล้ว ก็จะมกี ารกระจายของคะแนนเปน็ รปู เหมือนคะแนน Z คะแนน T ตามสตู รน้มี ีคุณสมบตั ิ
สาํ คญั 2 ประการ คือ
1. คา่ เฉลยี่ เป็น 50
2. คา่ ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปน็ 10
คะแนนมาตรฐาน T- ปกติ (Normalized T – Score)
คะแนน T – ปกติ เปน็ คะแนนแปลงรปู โดยยดึ พื้นท่ีใต้โคง้ ปกติเปน็ หลักการแปลงรปู คะแนนแบบน้ี
ไม่ ไดใ้ ช้คะแนนดิบมาคาํ นวณโดยตรง แต่จะต้องแปลงจากคะแนน ตํา่ แหนง่ เปอรเ์ ซ็นตไ์ ทล์หากคะแนนดิบมี
การกระจายไม่เปน็ รปู โค้งปกติแลว้ ถา้ ผา่ นการแปลง ดว้ ยวธิ นี จี้ ะกลายเป็นคะแนนทีม่ ีการกระจายเปน็ รูปโคง้
ปกติ คะแนนมาตรฐานรูปน้ี จัดเป็น คะแนนแปลงรูปโดยยดึ พื้นที่ (Area Transformation) คะแนนรปู ใหม่
เรียกว่า คะแนน T – ปกติ
การแปลงคะแนนดบิ ให้เป็นคะแนน T ปกติ
ขน้ั ที่ 1 สรา้ งตารางแจกแจงความถี่ โดยเรียงจากมากไปหาน้อย แลว้ นาํ คะแนนของผเู้ รียนแต่ละคน
มาลงรอยขีด
ขั้นท่ี 2 หาค่า f และ cf
ขั้นที่ 3 หาคา่ cf + 1 f (จะหา cf + 1 f ของชัน้ ใด ตอ้ งใช้คา่ cf ท่อี ยู่กอ่ นถงึ ชั้นนนั้ แตใ่ ช้
2 2
คา่ f ของช้นั น้ัน)
ขน้ั ที่ 4 เอาค่า cf + 1 f คณู ดว้ ย 100 ไดเ้ ป็น çæ cf + 1 f ö÷ 100 ค่าทไ่ี ดเ้ รียกวา่ ตําแหนง่
2 N è 2 ø N
เปอร์เซ็นต์ไทล์ (PR)
ข้นั ท่ี 5 นําคา่ æç cf + 1 f ö÷ 100 หรอื ตําแหน่ง (PR) ทไ่ี ด้ไปเทยี บคา่ T ปกตจิ ากตารางสําเร็จรูป
è 2 ø N
ต่อไปนี้
~ 188 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
ตารางที่ 7.1 ตารางเทียบตำแหน;งเปอรMเซ็นไทลM
วิธเี ทียบเปอร์เซ็นไทลเ์ ปน็ คะแนน T ปกติ
คา่ ของคะแนน T ตามแนวต้ัง (แถวซา้ ยมือ เลข 1-8) แสดง หลกั สบิ
คา่ ของคะแนน T ตามแนวนอน (แถวบน เลข 0-9) แสดง หลกั หน่วย
ใหอ้ ่านคะแนน T หลกั สิบ จากแนวต้งั (แถวซ้ายมือ) และรวมกบั หลักหน่วย จากแนวนอน (แนวบน)
**หากไม่มีค่าท่ีตรงกันให้ใชค้ ่าทใ่ี กล้เคยี งทีส่ ุด
~ 189 ~
การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา
ตัวอย่าง จากข้อมลู ทกี่ ําหนดให้จงแปลงคะแนนดบิ ให้เป็นคะแนน T ปกติ
11,12,15,20,18,17,16,16,19,18,15,15,15,13,12,12,17,13,12,14
1. สรา้ งตารางแจกแจงความถ่โี ดยเรียงคะแนนจากมากไปหาน้อย
2. ลงรอยขดี ความถ่ีของคะแนน (tally)
3. หาคา่ ความถ่ี (f)
4. หาค่าความถีส่ ะสม (cf )
5. หาคา่ cf + (1/2)f
6. จากคา่ เปอร์เซน็ ตไ์ ทล์ แปลงเป็นคะแนนมาตรฐาน T ปกติ โดยนําคา่ เปอรเ์ ซ็นต์ไทล์ ไปเทียบเปน็
คะแนนมาตรฐาน T ปกติ
~ 190 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
7.4 การให้ระดบั คะแนน
การให้ระดับคะแนนหรือการตัดเกรด เป็นกิจกรรมของการประเมินผลการเรียน โดยการนําเอาข้อมูล
ทุกอย่างที่ได้จากการวัดผลการเรียนรู้ด้วยวิธีการหลายๆ วิธีและด้วยการ วัดหลายๆ ครั้ง ตลอดช่วงเวลาของ
การเรียนรายวิชานั้น มาพิจารณาสรุปอ้างอิงถึงความรู้ ความสามารถโดยรวมของผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งสรุป
ออกมาเป็นสัญลักษณ์ตัวเลขหรือตัวอักษร ทําให้มีหลักฐานรับรองสภาพความรู้ความสามารถแต่ละรายวิชา
ของผู้เรียน และยังใช้เป็น หลักฐานรายงานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในภาพรวมของผู้เรียนแต่ละคนด้วย ดังนั้น
การให้ ระดับคะแนนจึงเป็นกิจกรรมสําคัญที่ต้องปฏิบัติเสมอตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการวัดและ ประเมินผลใน
ระบบอิงเกณฑ์หรอื องิ กลมุ่ ก็ตาม สําหรบั แนวคิดและรูปแบบของการใหร้ ะดบั คะแนนที่สําคัญมดี ังน้ี
1. แนวคดิ ในการใหร้ ะดับคะแนน
1.1 การให้ระดับคะแนนควรกระทําโดยคํานึงถึงประโยชน์ต่อการส่งเสริม พัฒนาการของ
ผู้เรียนเป็นหลัก ดังนั้นการให้ระดับคะแนนนอกจากกระทําเพื่อให้ทราบสภาพ การเรียนรู้และพัฒนาการด้าน
ตา่ งๆ แล้ว ควรนาํ มาพิจารณาวินจิ ฉยั ในสว่ นทบ่ี กพร่องเพอ่ื ปรับปรุงแกไ้ ขใหด้ ีขึ้นต่อไป
1.2 การพิจารณาให้ระดับคะแนน ควรใช้คะแนนจากผลการวัดหลายๆ ด้าน เนื่องจาก
พฤติกรรมทางการศึกษาประกอบด้วยพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ดังนั้นการ
พิจารณาระดับคะแนนจึงควรใช้ข้อมูลทั้ง 3 ส่วนนี้ประกอบกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้มาโดยวิธีวัดหลายๆ วิธี เช่น
ใช้สังเกตติดตามพฤติกรรมด้านจิตพิสัยระหว่าง เรียน ใช้การวัดความรู้ความสามารถตามสภาพจริงระหว่าง
เรียน ใชก้ ารทดสอบความรู้ ความสามารถและใช้วิธที ดสอบภาคปฏบิ ตั ิ เปน็ ต้น
1.3 เกณฑ์ท่ีนํามาใชต้ ดั สนิ คะแนน ตอ้ งมีความชดั เจนและเหมาะสม การตัดสิน ระดบั คะแนน
ต้องทําอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะระดับคะแนนที่มีผลให้ผู้เรียนต้องเรียนแก้ตัวใหม่ควรพิจารณาอย่าง
สมเหตสุ มผล เพราะถา้ ตดั สินไปโดยมขี อ้ มูลไม่เพียงพอ ก็เปรียบเสมอื นการ สร้างบาปทางวชิ าการ
1.4 การตัดสินระดับคะแนนต้องใช้คุณธรรมอันสูงส่งของผู้สอนเป็นที่ตั้ง ต้องขจัด รอยพิมพ์
ใจต่างๆ เกี่ยวกบั ตัวผู้สอบออกให้หมด เพือ่ ให้เกิดความยุตธิ รรมต่อทกุ คนอย่างเสมอ หนา้ กัน
1.5 การให้คะแนนจะกําหนดเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งนิยมใช้สัญลักษณ์เป็นตัวอักษร หรืออาจใช้
ตวั เลขกไ็ ดร้ ปู แบบที่ใชใ้ นวงการศกึ ษาไทยมีหลายแบบดังน้ี
ก. แบบ 2 ระดบั มี 2 ระดับคือ
1) กําหนด P กับ F
P (pass) หมายถึง ผลการเรยี นผา่ นเกณฑ์ที่กําหนด
F (Fail) หมายถงึ ผลการเรยี นไมผ่ า่ นเกณฑ์ทีก่ ําหนดในระดับ P อาจแยก
พิเศษอีกระดบั เปน็ G (Good) หมายถึง ผา่ นดมี าก
~ 191 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
2) กําหนด S กบั U
S (Satisfactory) หมายถึง ผลการเรยี นเป็นทน่ี า่ พอใจ
U (Unsatisfactory) หมายถงึ ผลการเรียนไมเ่ ป็นที่น่าพอใจ ในระดบั S อาจ
แยกพิเศษอกี ระดับเปน็ H (Honor) หมายถึง ผลการเรยี นดีเยยี่ ม
ข. แบบ 5 ระดบั คือ A หรือ 4 หมายถงึ ผลการเรยี น ดมี าก B หรือ 3 หมายถึงผลการเรยี น ดี
C หรอื 2 หมายถึงผลการเรยี น ปานกลาง D หรือ 1 หมายถึงผลการเรียน ออ่ น (ผ่านเกณฑ์ขัน้ ตาํ่ ) E หรือ 0
หมายถึงผลการเรยี น อ่อนมาก (ไมผ่ ่านเกณฑ์ ข้ันต่ํา)
ค. แบบ 8 ระดับ คือ
A หมายถึงผลการเรยี น ดเี ยย่ี ม
B + หมายถงึ ผลการเรยี น ดมี าก
B หมายถึงผลการเรยี น ดี
C + หมายถงึ ผลการเรียน ดพี อใช้
C หมายถึงผลการเรยี น พอใช้
D + หมายถึงผลการเรียน ออ่ น
D หมายถึงผลการเรยี น ออ่ นมาก
E หรือ F หมายถงึ ผลการเรียน ตก (ไม่ผา่ นเกณฑ์ข้นั ตํา่ )
1.6 ระบบการให้ระดับคะแนน อาจแบ่งเป็น 2 ระบบ (บุญธรรม กิจปรีดา บริสุทธิ์,
2535 :193) คอื ระบบสมบูรณ์ (Absolute System) กับระบบสัมพัทธ์ (Relative System)
1) ระบบสมบูรณ์ คือ การให้ระดับคะแนน แบบที่ใช้เกณฑ์สมบูรณ์ หรือ
เกณฑ์มาตรฐาน (Absolute Standard) ซึ่งผู้สอนจะเป็นผู้กําหนดขึ้น โดยนําคะแนนดิบ หรือ คะแนนร้อยละ
(เปอร์เซ็นต์) มาเทียบกับเกณฑ์ที่ยึดถือ เพื่อตัดสินระดับคะแนน ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการกําหนดระดับ
คะแนนในรูปแบบอิงเกณฑ์
2) ระบบสัมพันธ์ คือ การให้ระดับคะแนน แบบที่นําคะแนนของ ผู้เรียนมา
เปรียบเทียบกันเองภายในกลุ่ม โดยผู้สอนผู้สอนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้ระดับคะแนนกี่ ระดับ ซ่ึงอาจจะกล่าวได้
วา่ เป็นการกาํ หนดระดบั คะแนนในรปู แบบองิ กลุ่ม
~ 192 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
วิธกี ารให้ระดบั คะแนนในรูปแบบองิ กลุ่ม
การให้ระดบั คะแนนหรอื การตัดเกรดในรปู แบบองิ กลมุ่ ยงั เปน็ ที่นิยมใช้ใน ปัจจบุ นั โดยเฉพาะใน
สถานศกึ ษาระดับอุดมศกึ ษา วิธีการท่นี ิยมใช้อาจจะจําแนกได้เป็น 2 ประเภท (วาโร เพง็ สวัสดิ์, 2542 ; ปน่ิ วดี
ธนธาน,ี 2550) ดังน้ี
ก. ประเภทใช้คะแนนดิบ เป็นวิธีตัดสินระดับคะแนนจากคะแนนดิบโดยตรง ซึ่งมีวิธีการหลายวิธี ใน
ที่นจี้ ะกลา่ วถงึ 3 วธิ คี อื
1) วิธีจัดกลุ่มตามธรรมชาติ วิธีนี้ผู้สอนจะต้องตัดสินใจว่าผู้เรียนกลุ่มนั้นควร ได้ระดับคะแนนสูงสุด
เท่าไร และตํ่าสุดเท่าไร โดยใช้เหตุผลหลายๆ อย่างประกอบกัน จากนั้น ก็แจกแจงคะแนนดิบของผู้เรียน
ตามลําดับ แล้วสังเกตดูว่าคะแนนที่เรียงลําดับนั้นขาดช่วง ตรงไหนบ้าง หรือมีความถี่น้อยตรงช่วงใดบ้าง ก็จะ
พิจารณาตัดแบ่งช่วงคะแนนตรงจุดที่เป็น ข้อสังเกตดังกล่าว หากคะแนนที่ขาดช่วงไม่ชัดเจนก็ต้องใช้ดุลยพินิจ
ของผู้สอน ตัวอย่าง สมมติว่าผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักศึกษา 22 คน แจกแจงความถี่ และตัดแบ่ง
ระดับ คะแนนเปน็ 4 ระดับ ได้ดงั นี้
~ 193 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
2) วิธีกําหนดเกณฑ์ที่คาดหวัง วิธีนี้จะเทียบคะแนนดิบเป็นร้อยละหรือ เปอร์เซ็นต์ แล้วนํามาเทียบ
กับช่วงเกณฑ์ตัดสินระดับคะแนนที่กําหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นการกําหนดมาตรฐานความสามารถของผู้เรียน
ออกเป็นระดับต่างๆ คล้ายๆ กับรูปแบบอิงเกณฑ์ แต่การกําหนดช่วงคะแนนไม่มีเหตุผลชัดเจน เช่น แบบอิง
เกณฑ์ จึงเป็นการคาดหวัง ความสามารถของผู้เรียนล่วงหน้าตามความเห็นของผู้สอนผู้สอน หรือตามความเห็น
ของกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญการสอน จํานวนระดับคะแนนจะกําหนดไว้ครบทั้งทุกระดับ การกําหนดระดับ คะแนน
ลักษณะนี้ยังอาจจะยึดถือใช้กับทุกวิชาเหมือนกัน ซึ่งการใช้เกณฑ์แบบนี้จะต้องวางแผน จัดกิจกรรมการเรียน
การสอนอย่างดี จงึ จะชว่ ยใหก้ ารตดั สินมคี วามยตุ ธิ รรม ตัวอย่างเชน่
ระดบั คะแนน A ตอ้ งได้คะแนนรอ้ ยละ 90 ข้นึ ไป
ระดบั คะแนน B ต้องได้คะแนนรอ้ ยละ 75-89
ระดบั คะแนน C ต้องไดค้ ะแนนร้อยละ 60-74
ระดับคะแนน D ต้องไดค้ ะแนนร้อยละ 45 -59
ระดับคะแนน E ตอ้ งไดค้ ะแนนร้อยละ 44 ลงมา
3) วิธีกําหนดโควตา วิธีนี้จะกําหนดจํานวนร้อยละของผู้เรียนที่ควรได้ ระดับคะแนนต่างๆ ไว้อย่าง
แนน่ อน โดยยดึ ถือตามอตั ราส่วนจํานวนทส่ี อดคล้องกบั การ กระจายเป็นโคง้ ปกติ ซง่ึ เป็นดังนี
ระดับคะแนน A มจี ํานวนร้อยละ 10
ระดบั คะแนน B มีจาํ นวนร้อยละ 20
ระดับคะแนน C มีจาํ นวนร้อยละ 40
ระดับคะแนน D มีจาํ นวนร้อยละ 20
ระดับคะแนน E มจี าํ นวนร้อยละ 10
การตัดสินระดับคะแนนดว้ ยวธิ นี ้ีค่อนข้างจะเสย่ี งตอ่ ความไม่ยุตธิ รรมไดง้ า่ ยเพราะจะต้องตดั สิน ใหม้ ี
ระดับ E เสมอ โดยมีเหตผุ ลวา่ จะต้องเปน็ ฐานของคะแนนระดับต่าํ ของกล่มุ ตามรปู แบบการ กระจายคะแนน
เปน็ โคง้ ปกติ การใช้วิธนี ี้จึงตอ้ งทําอย่างระมดั ระวัง
ข. ประเภทใชค้ ะแนนมาตรฐาน วิธนี ี้จะต้องแปลงคะแนนดบิ ให้อยูใ่ น รูปแบบคะแนนมาตรฐานกอ่ น
แล้วจงึ กาํ หนดชว่ งระดับคะแนนจากมาตรฐาน คะแนนมาตรฐาน มหี ลายรปู แบบ ที่นิยมใชใ้ นวงการศึกษา คือ
คะแนน T-ปกติ ในทนี่ จ้ี ะกลา่ วถงึ การกําหนด ระดับจากคะแนนมาตรฐาน T-ปกติ เท่าน้นั ซึง่ มีขั้นตอนดังนี้
ขนั้ ที่ 1 นาํ คะแนนดิบมาแปลงเปน็ คะแนน T-ปกติ
ขน้ั ที่ 2 หาพิสยั ของคะแนน T-ปกติ โดยเอาคา่ สงู สุดลบดว้ ยค่าตํา่ สดุ
ข้นั ที่ 3 ตดั สนิ ใจด้วยเหตุผลต่าง ๆ ว่าจะใหม้ ีระดับคะแนนกี่ระดับ และมี ระดับใดบ้าง
ขัน้ ที่ 4 นําระดับคะแนนทีต่ ัดสินใจในขนั้ ท่ี 3 ไปหารพสิ ัยทห่ี าได้ในข้นั ที่ 2 คา่ นค้ี อื ชว่ งระดบั คะแนน
ซง่ึ แสดงวา่ ชว่ งจะเท่ากนั ทุกระดับคะแนน แตใ่ นทางปฏิบตั แิ ลว้ ผลหารมกั จะมีเศษจึงต้องมีการปัดเศษให้เปน็
จํานวนเตม็ ความเหมาะสม ทาํ ให้ต้องมกี าร ปรบั ปรุงช่วงคะแนน
~ 194 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
ขนั้ ท่ี 5 พิจารณาตดั ชว่ งระดบั คะแนนใหแ้ น่นอน โดยยึดคะแนน T50 เปน็ จดุ หลัก ชว่ งคะแนนแต่
ละชว่ งอาจจะไมเ่ ท่ากนั ตามทคี่ าํ นวณไวใ้ นขัน้ ที่ 4 ตอ้ งปรับใหเ้ หมาะสม และพอดีกบั ค่าคะแนน T-ปกติ ของ
ผสู้ อบ ขอใหส้ ังเกตแผนภาพการแบ่งช่วงคะแนนตามตวั อยา่ ง
ขั้นท่ี 6 นําคะแนนผลการสอบของผู้เรียนแต่ละคนมาเทียบเป็นระดับ คะแนนตามช่วงคะแนนที่
กาํ หนดไวใ้ นขัน้ ที่ 5
สรุป คะแนน คือ ตัวเลขที่กําหนดค่าให้กับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนแสดงอออกมา ทุกรูปแบบ
ซึ่งคะแนนจัดเป็นค่าวัดในมาตราอันตรภาค ในแนวคิดของการวัดและประเมินผล แบบอิงกลุ่มเชื่อว่าคะแนน
ดิบยังไม่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง จะต้องนํามาแปลงรูปให้มี หน่วยการวัดเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้มี
คุณสมบัติเท่าเทียมค่าวัดในมาตราอัตราส่วนก่อน จึงจะนําไปใช้ในการประเมินผลการเรียนได้อย่างถูกต้อง
ดังนั้นคะแนนจึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คะแนนดิบและคะแนนแปลงรูป แต่ในแนวคิดของการวัดและ
ประเมินผลแบบอิง เกณฑ์เชื่อว่า คะแนนดิบแต่ละคะแนนเป็นข้อมูลที่แสดงถึงความรู้ความสามารถที่ผู้เรียน
แสดง ออกมา ตามที่ระบุไว้ในผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง จึงมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ใช้ประเมินผลการ
เรียนได้เลย อย่างไรก็ตามในการประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียนทั้ง 2 แนวคิด นี้ นิยมนําคะแนนรวมที่ได้มา
ดําเนินการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ตัดสินผล หรือเกณฑ์ตัดสิน ระดับคะแนนในแนวทางที่ยึดถือ เพื่อสรุปถึง
ระดบั ความร้คู วามสามารถของผเู้ รยี น ภายหลงั จาก ผา่ นกระบวนการเรยี นร้คู รบสมบรู ณแ์ ล้ว
~ 195 ~
การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา
เอกสารอา้ งองิ
นํ้าผึง้ อินทเนตร.(2561). เอกสารประกอบการสอน การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. เชียงใหม่ : คณะ
ศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่.
ปราณี หลําเบญ็ สะ. (2561). การวดั และประเมินผลการศกึ ษา . ยะลา: ศนู ย์สง่ เสรมิ การทําผลงานวิชาการ
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏยะลา.
ปนิ่ วดี ธนธานี. (2550). เอกสารประกอบการสอน การวัดและประเมินผลการศึกษา. นครปฐม : คณะครุ
ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครปฐม.
วาโร เพ็งสวสั ด.ิ์ (2542). การวิจยั ทางการศกษาปฐมวัย.วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. (การบรหารการศึกษา). สกลนคร :
สถาบนั ราชภฏั สกลนคร.
สมนกึ ภัททยิ ธน.ี (2553). การวัดผลการศึกษา. มหาสารคาม : ภาควิชาวิจิยและพัฒนาการศึกษา คณะ
ศกึ ษาศาสตรม์ หาวิทยาลัยมหาสารคาม.
~ 196 ~
การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา
แบบฝึกหัดท้ายบท
คาํ สง่ั : จงตอบคาํ ถามตอ่ ไปนี้ใหถ้ ูกตอ้ ง
1. จงบอกความหมายของคะแนน คะแนนดิบมาพอสังเขป
2. จงอธิบายหลักการของการใหค้ ะแนน
3. ผเู้ รยี นเขา้ สอบ 30 คน ได้คะแนนสูงสุด 25 คะแนน ตา่ํ สุด 10 คะแนน โดยมขี ้อมลู ดังน้ี
23 25 22 22 22 23 21 19 18 19 20 20 21 17 16 14 14 13 13 12 13 15 16 17 18 18
20 10 15 16 จงแปลงคะแนนดังกล่าวให้เป็นคะแนน T ปกติ พร้อมตัดเกรด จํานวน 5 ระดับ
(10 คะแนน)
~ 197 ~
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา
~ 198 ~