คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา
ประวัติศาสตร์ 2 (ส31104) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อให้ได้ศึกษา
หาความรู้ในเรื่องพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยและได้
ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้
อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อ
แนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำข้อน้อมรับไว้และขออภัยมา
ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
สารบัญ
เรื่อง หน้า
พระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 1
พระราชกรณีียกิจของพระมหากษตริย์ไทยสมัยก่อนรัตนโกสินทร์ 3
พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 4
พระราชกรณีียกิจของพระมหากษตริย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ 6
บรรณานุกรม 11
1
พระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ตราพระราชลัญจกร พระบรมราชโองการสมเด็จพระนารายณ์-
มหาราชทรงเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนาง-
เจ้าสิริกัลยาณี อัครราชเทวี พระราชมารดาเป็นพระราชธิดาในสมเด็จ
พระเจ้าทรงธรรม เสด็จพระบรมราชสมภพ เมื่อ วันจันทร์ เดือนยี่ ปีวอก
พ.ศ. ๒๑๗๕ และทรงมีพระนมอยู่พระองค์หนึ่งคือ เจ้าแม่วัดดุสิต
ทรงเป็นพระอนุชาใน สมเด็จเจ้าฟ้าไชย และยังทรงมีพระอนุชาอีกได้แก่
เจ้าฟ้าอภัยทศ พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระองค์ทอง และพระอินทราชา
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีพระขนิษฐาร่วมพระชนนีองค์หนึ่ง คือ สมเด็จ-
พระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ กรมหลวงโยธาทิพในพระราช-
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเล่าว่าเมื่อแรกเสด็จพระบรมราชสมภพนั้น
พระองค์มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้านรินทร์" แต่เมื่อขึ้นพระอู่ พระญาติเห็น
พระโอรสมีสี่กร พระราชบิดาจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า
"พระนารายณ์"
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทอดพระเนตรจันทรุปราคาร่วมกับคณะทูต
นักบวชคณะเยสุอิต และนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11
ธันวาคม พ.ศ. 2228 ณ พระที่นั่งเย็น ทะเลชุบศร เมืองลพบุรี
2
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันพฤหัสบดี
แรม 2 ค่ำ เดือน 12 จุลศักราช 1018 เวลา 2 นาฬิกา ปีวอก ซึ่งตรง
กับเวลาในปัจจุบัน คือ วันที่ 15 ตุลาคม พุทธศักราช 2199 โดยมี
พระนามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระรามาธิบดี เป็นพระมหา-
กษัตริย์ลำดับที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระชนมายุเพียง 25 พรรษา
และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พุทธศักราช 2231 ณ พระที่-
นั่งสุทธาสวรรย์ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี รวมระยะเวลา
ครองราชสมบัติ 32 ปี มีพระชนมายุ 56 พรรษา
พระราชวังเมืองละโว้หรือลพบุรี ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑสถาน-
แห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ กรมศิลปากร จัดแสดงโบราณ
วัตถุที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ โบราณคดีของจังหวัดลพบุรี
โดยเฉพาะพระที่นั่งจันทรพิศาลจัดแสดงนิทรรศการถาวรเฉลิม-
พระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาพประวัติศาสตร์
เหตุการณ์สำคัญและโบราณวัตถุในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์-
มหาราช อาทิ ภาพวาดสมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับพระ
ราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, เหรียญที่ระลึกในโอกาส
ราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, ธรรมาสน์ไม้ มีจารึก
ระบุศักราชการสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้น
3
พระราชกรณีียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยก่อนรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรง
พระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงสร้างความรุ่งเรือง และความยิ่งใหญ่
ให้แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก โดยทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่
และหัวเมืองพม่าอีกหลายเมืองได้แก่ เมืองจิตตะกอง สิเรียม ย่างกุ้ง
แปร ตองอู หงสาวดี และมีกำลังสำคัญที่ทำให้สมเด็จพระนารายณ์
นั้นสามารถยึดหัวเมืองของพม่าได้คือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี
การต่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยสมเด็จพระนารายณ์รุ่งเรืองขึ้น
มาอีกครั้ง โดยมีการติดต่อทั้งด้านการค้าและการทูตกับประเทศต่าง ๆ
เช่น จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน อังกฤษ และฮอลันดา มีชาวต่างชาติเข้ามาในพระ-
ราชอาณาจักรเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้รวมถึงเจ้าพระยาวิชาเยนทร์
ชาวกรีกที่รับราชการตำแหน่งสูงถึงที่ สมหุนายกขณะเดียวกันยัง
โปรดเกล้าฯ ให้แต่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักฝรั่งเศส
ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ถึง ๔ ครั้งด้วยกัน ผู้ที่เขียนเกี่ยวกับ
กรุงศรีอยุธยาและสยามมากที่สุดในสมัยนี้ก็คือมองซิเออร์ เดอ ลาลู แบร์
ด้านสังคม
พระองค์ทรงรับเอาวิทยาการสมัยใหม่มาใช้ เช่น กล้องดูดาว
และยุทโธปกรณ์บางประการ รวมทั้งยังมีการรับเทคโนโลยีการสร้างน้ำพุ
จากชาวยุโรป และวางระบบท่อประปาภายในพระราชวังอีกด้วย
4
พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรส
พระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระ-
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และ
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
ประสูติ เมื่อวันอังคารที่ 20
กันยายน พ.ศ. 2396 ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จ
พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎบุรุษรัตนราช-
รวิวงศ์ วรุตมพงศ์บริพัตร ศิริวัฒนราชกุมาร ทรงได้รับการสถาปนาเป็น
เจ้าฟ้าต่างกรม มีพระนามกรมว่า กรมหมื่นพิฆเณศวรสุรสังกาศ
หลังจากทรงผนวชเป็นสามเณรทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย
ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ กรมขุนพินิตประชานาถ
ทรงเป็นพระราชปิโยรสที่สมเด็จพระบรมชนกนาถโปรดให้เสด็จอยู่ใกล้ชิด
ติดพระองค์เสมอเพื่อให้มีโอกาสแนะนำสั่งสอนวิชาการต่าง ๆ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งวิชารัฏฐาภิบาล ราชประเพณีและโบราณคดี นอกจากนั้นยังทรง
ศึกษาภาษามคธ ภาษาอังกฤษ การยิงปืนไฟ กระบี่กระบอง มวยปล้ำ รวม
ทั้งการบังคับช้างอีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการกราบบังคม
ทูลเชิญขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากสมเด็จพระบรมราชชนกเมื่อวัน
พฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ด้วยพระชนมายุเพียง 15 พรรษา
ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่
5
11 พฤศจิกายน 2411 โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ครั้งที่ 2 เมื่อพระชนมายุ 20 พรรษา ในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.
2416 จึงทรงปกครองแผ่นดินด้วยพระองค์เองอย่างสมบูรณ์ ทรงครอง-
ราชย์อยู่เป็นเวลายาวนานถึง 42 ปี และได้ทรงพัฒนาประเทศให้เจริญ
ก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทุกวิถีทาง
ในบั้นปลายพระชนมชีพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์นัก หลังจากเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่
2 แล้ว พระอาการก็ค่อยทรุดลงเป็นลำดับ และเสด็จสวรรคตด้วยพระ-
โรคพระวักกะพิการเมื่อเวลา 2 ยาม 45 นาที ของวันเสาร์ที่ 23
ตุลาคม พ.ศ. 2453 สิริพระชนมายุ 58 พรรษา ทรงครองสิริราชสมบัติ
42 ปี ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดารวมทั้งสิ้น 77 พระองค์ ด้วยทรง
มีพระมหากรุณาธิคุณต่อไพร่ฟ้าประชาชนอย่างหาที่สุดมิได้มาตลอด
รัชกาลอันยาวนาน ประชาชนจึงพร้อมใจกันถวายพระบรมราชสมัญญา
นามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช อันมีความหมายว่า พระมหากษัติรย์
ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน และถือวันที่ 23 ตุลาคม เป็นวันปิย-
มหาราชมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
6
พระราชกรณีียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์
การปกครอง
เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นไปของโลก และด้วยทรงตระหนักถึง
ภยันตรายของลัทธิแสวงหาอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกที่กำลัง
แผ่เข้ามาในเวลานั้น จึงทรงพยายาม ปรับปรุงระบบการปกครองให้
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการปฏิรูประเบียบวิธีการปกครองให้
ทันสมัยขึ้นหลายอย่าง โดยทรงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองทั้ง
ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้เหมาะสมกับยุคสมัยหลายประการ เช่น
ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาองคมนตรีเป็น
ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในปี พ.ศ. 2417
ทรงประกาศตั้งกระทรวง 12 กระทรวง ในปี พ.ศ. 2435
ทรงยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี จัตวา เป็นการ
ปกครองแบบเทศาภิบาลคือรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล
การศาล
ทรงปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลให้ทันสมัย และขจัด
สิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ไทยต้องเสียเปรียบแก่ชาวต่างชาติ โดยปรับปรุง
ระเบียบการศาลให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วราช-อาณาจักร มีกระทรวง-
ยุติธรรมรับผิดชอบอย่างแท้จริง โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรรมการตรวจชำระและ
ร่างกฎหมาย ได้ทรงประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญาซึ่งถือเป็นประมวล-
กฎหมายฉบับแรกของไทยและทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายเพื่อผลิตนัก-
กฎหมายให้พอแก่ความต้องการ ทำให้การพิจารณาคดีและการลงโทษ
แบบเก่าหมดไป
7
การทหารและตำรวจ
โปรดเกล้าฯ ให้จัดการทหารตามแบบยุโรป และวางกำหนด
การเกณฑ์คนเข้าเป็นทหารแทนการใช้แรงงานบังคับไพร่ตาม
ประเพณีเดิม โดยประกาศพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124
เป็นครั้งแรก อีกทั้งทรงจัดตั้งโรงเรียนการทหาร คือ โรงเรียนนายร้อย
พระจุลจอมเกล้า กับจัดตั้งตำรวจภูธร ตำรวจนครบาลเพื่อให้ดูแล
บ้านเมืองและปราบปรามโจรผู้ร้ายโดยทั่วถึง
การเลิกทาส
พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การเลิกทาส ซึ่งทรงดำเนินการ
ด้วยความสุขุมคัมภีรภาพนับแต่ปี พ.ศ. 2417 จนถึง พ.ศ. 2448 รวม
เวลายาวนานกว่า 30 ปี จึงสำเร็จเสร็จสิ้นโดยไม่มีความขัดแย้งรุนแรง
ถึงลงมือรบพุ่งดังที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศ "พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย" เมื่อวันที่ 21
สิงหาคม พ.ศ. 2417 แก้พิกัดค่าตัวทาสใหม่ ให้ลดค่าตัวทาสลงตั้งแต่
อายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดค่าตัวเมื่ออายุ 20 ปี ครั้นอายุได้ 21 ปี
ทาสผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ พระราชบัญญัตินี้มีผลกับทาสที่เกิดตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2411 เป็นต้นไป ทั้งห้ามมิให้มีการซื้อขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า
20 ปีเป็นทาสอีก และโปรดเกล้าฯ ให้ออก "พระราชบัญญัติเลิกทาส
ร.ศ. 124" ให้ลูกทาสทุกคนเป็นไท เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448
ส่วนทาสประเภทอื่นที่มิใช่ทาสในเรือนเบี้ย ทรงให้ลดค่าตัวลงเดือนละ
4 บาท นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2448
8
เศรษฐกิจ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์
ทรงเริ่มปฏิรูปการคลังโดยทรงวางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ปรับปรุงการ
ภาษีอากรและระเบียบการเก็บภาษีอากร
โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นใน พ.ศ. 2416
และยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงการคลังเมื่อ พ.ศ. 2435 เพื่อทำ
หน้าที่เก็บภาษีอากรของแผ่นดินมารวมไว้แห่งเดียว และเพื่อ
ให้การรับจ่ายเงินของแผ่นดินเป็นไปอย่างรัดกุม
การคมนาคมและสาธารณูปโภค
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น
ยวดยานพาหนะสมัยใหม่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จึงโปรดเกล้าฯ
ให้ตัดถนนใหม่หลายสาย สายที่สำคัญยิ่ง คือ ถนนราชดำเนิน และยัง
มีถนนสายอื่น ๆ เช่น ถนนพาหุรัด ถนนเยาวราช เป็นต้น ทั้งยังโปรด
เกล้าฯ ให้ขุดคลองสายต่างๆ ขึ้นอีก เช่น คลองเปรมประชากร
ส่วนการคมนาคมกับต่างจังหวัด โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟ
ระหว่างกรุงเทพฯ กับนครราชสีมาเป็นสายแรก เมื่อ พ.ศ. 2433
หลังจากนั้นจึงมีการสร้างทางรถไฟไปยังภาคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ในด้านการสื่อสาร ได้โปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งเครื่องโทรเลข
โทรศัพท์ ตามด้วยการรับส่งจดหมายอย่างเป็นระบบ และสามารถตั้ง
กรมไปรษณีย์โทรเลขได้ในพ.ศ.2426 นอกจากการนั้นสาธารณูปโภค
พื้นฐานอันได้แก่ ไฟฟ้า และน้ำประปา ก็เกิดขึ้นรัชสมัยของพระองค์
ท่านด้วยเช่นเดียวกัน
9
การสาธารณสุข
ด้านการสาธารณสุข โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสภาอุณาโลมแดงอัน
เป็นต้นกำเนิดของสภากาชาดไทยในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ.2436 และ
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ซึ่ง ต่อมาได้พระราชทานนาม
ใหม่ว่า “โรงพยาบาลศิริราช” สำหรับรักษาผู้ป่วยอย่างเป็นทางการ
นับเป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของเมืองไทย
การต่างประเทศ
ในด้านการต่างประเทศนั้น ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก
ที่เสด็จประพาสนอกพระราชอาณาจักร และทรงเป็นพระมหากษัตริย์จาก
บูรพาทิศพระองค์แรกที่เสด็จยุโรป โดยทรงเริ่มจากการเสด็จเยือนประเทศ
ใกล้เคียงก่อน เช่น มลายู ชวา อินเดีย ฯลฯ จนเมื่อ พ.ศ. 2440 จึงเสด็จถึง
ยุโรปเป็นครั้งแรก ครั้งนั้น ได้เสด็จเยือนประเทศต่าง ๆ ในยุโรปรวม 15
ประเทศ ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ให้ไทยเป็นที่รู้จักในสังคมยุโรป เพื่อ
กระชับไมตรีอันจะยังประโยชน์แก่บ้านเมือง เพื่อทอดพระเนตรการบริหาร
ประเทศในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมือง
หลังจากนั้นได้เสด็จไปเยือนอีกครั้งหนึ่งในปีพ.ศ. 2450 การเสด็จไปยุโรป
ทั้งสองคราวนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้ากับ
10
ราชสำนักยุโรปได้อย่างสง่างามและก่อให้เกิดผลดีสมพระราชประสงค์
ทั้งทางการทูตและการเมือง
ประเพณี และวัฒนธรรม
ด้านการแต่งกาย ทรงปรับปรุงการแต่งกายและทรงผมตั้งแต่
ช่วงต้นรัชกาล โดยฝ่ายชาย เปลี่ยนจากผมทรงมหาดไทยเป็น
ตัดแบบฝรั่ง ข้าราชสำนักนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนแทนผ้าสมปัก
เก่า สวมเสื้อแพรตามสีกระทรวงแทนเสื้อกระบอกแบบเก่า ทรง
ออกแบบเสื้อราชปะแตน โปรดเกล้าฯ ให้ทหารนุ่งกางเกง
พัฒนาเครื่องแบบให้รัดกุม ส่วนฝ่ายหญิง โปรดเกล้าฯให้เจ้า
คุณพระประยูรวงศ์ (แพ บุนนาค) พระสนมเอกไว้ผมยาวแทน
ผมปีกแบบเก่า
ทรงยกเลิกประเพณีหมอบคลาน เมื่อ พ.ศ. 2416 ในวันพระ-
ราชพิธีราชาภิเษก โดยให้ยืนเข้าเฝ้าและถวายคำนับแบบตะ-
วันตก เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้นั่งก็มีเก้าอี้ให้นั่งเฝ้า แต่หากเป็น
การเข้าเฝ้าแบบไทยในหมู่คนไทยด้วยกันเอง คงใช้ประเพณี
คลานและหมอบเฝ้าดังเคยปฏิบัติกันมา
11
บรรณานุกรม
จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2565
จาก https://kingchulalongkorn.car.chula.ac.th/th
/history/rama5_bio
Jutalux Phunsanit. พระราชประวัติสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2565
จาก https://sites.google.com/site/jutphunsanit/phra-
rach-prawati-phra-mha-ksatriy-mharach/phra-rach-
prawati-smdec-phra-narayn-mharach
กรมศิลปากร. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์
แห่งกรุงศรีอยุธยา. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2565
จาก https://www.finearts.go.th
จัดทำโดย