คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา
ประวัติศาสตร์ 2 (ส31104) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อให้ได้ศึกษา
หาความรู้ในเรื่องพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยและได้
ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้
อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อ
แนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำข้อน้อมรับไว้และขออภัยมา
ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
สารบัญ
เรื่อง หน้า
พระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 1
พระราชกรณีียกิจของพระมหากษตริย์ไทยสมัยก่อนรัตนโกสินทร์ 3
พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 4
พระราชกรณีียกิจของพระมหากษตริย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ 6
บรรณานุกรม 11
1
พระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ตราพระราชลัญจกร พระบรมราชโองการสมเด็จพระนารายณ์
มหาราชทรงเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าปราสาททอง และสมเด็จ
พระนางเจ้าสิริกัลยาณี อัครราชเทวี พระราชมารดาเป็นพระราชธิดาใน
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เสด็จพระบรมราชสมภพ เมื่อ วันจันทร์ เดือน
ยี่ ปีวอก พ.ศ. ๒๑๗๕ และทรงมีพระนมอยู่พระองค์หนึ่งคือ เจ้าแม่วัด
ดุสิต ทรงเป็นพระอนุชาใน สมเด็จเจ้าฟ้าไชย และยังทรงมีพระอนุชา
อีกได้แก่ เจ้าฟ้าอภัยทศ พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระองค์ทอง และ
พระอินทราชา นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีพระขนิษฐาร่วมพระชนนีองค์
หนึ่ง คือ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ กรมหลวงโยธา
ทิพในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเล่าว่าเมื่อแรกเสด็จพระบรม
ราชสมภพนั้น พระองค์มีพระนามเดิมว่า "เจ้าฟ้านรินทร์" แต่เมื่อขึ้น
พระอู่ พระญาติเห็นพระโอรสมีสี่กร พระราชบิดาจึงโปรดเกล้าฯ
พระราชทานนามใหม่ว่า "พระนารายณ์"
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทอดพระเนตรจันทรุปราคาร่วมกับคณะทูต
นักบวชคณะเยสุอิต และนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11
ธันวาคม พ.ศ. 2228 ณ พระที่นั่งเย็น ทะเลชุบศร เมืองลพบุรี
2
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันพฤหัสบดี
แรม 2 ค่ำ เดือน 12 จุลศักราช 1018 เวลา 2 นาฬิกา ปีวอก ซึ่งตรง
กับเวลาในปัจจุบัน คือ วันที่ 15 ตุลาคม พุทธศักราช 2199 โดยมี
พระนามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระรามาธิบดี เป็นพระมหา
กษัตริย์ลำดับที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระชนมายุเพียง 25 พรรษา
และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พุทธศักราช 2231 ณ พระที่
นั่งสุทธาสวรรย์ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี รวมระยะเวลา
ครองราชสมบัติ 32 ปี มีพระชนมายุ 56 พรรษา
พระราชวังเมืองละโว้หรือลพบุรี ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ กรมศิลปากร จัดแสดงโบราณ
วัตถุที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ โบราณคดีของจังหวัดลพบุรี
โดยเฉพาะพระที่นั่งจันทรพิศาล จัดแสดงนิทรรศการถาวร
เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาพประวัติศาสตร์
เหตุการณ์สำคัญ และโบราณวัตถุในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช อาทิ ภาพวาดสมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับพระ
ราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, เหรียญที่ระลึกในโอกาส
ราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, ธรรมาสน์ไม้ มีจารึก
ระบุศักราชการสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นต้น
3
พระราชกรณีียกิจของพระมหากษตริย์ไทยสมัยก่อนรัตนโกสินทร์
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระ
ปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงสร้างความรุ่งเรือง และความยิ่งใหญ่ให้แก่
กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก โดยทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ และหัว
เมืองพม่าอีกหลายเมืองได้แก่ เมืองจิตตะกอง สิเรียม ย่างกุ้ง แปร ตอง
อู หงสาวดี และมีกำลังสำคัญที่ทำให้สมเด็จพระนารายณ์นั้นสามารถ
ยึดหัวเมืองของพม่าได้คือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยสมเด็จพระนารายณ์รุ่งเรืองขึ้น
มาอีกครั้ง โดยมีการติดต่อทั้งด้านการค้าและการทูตกับประเทศต่างๆ
เช่น จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน อังกฤษ และฮอลันดา มีชาวต่างชาติเข้ามาใน
พระราชอาณาจักรเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้รวมถึงเจ้าพระยาวิชา
เยนทร์ ชาวกรีกที่รับราชการตำแหน่งสูงถึงที่ สมหุนายกขณะเดียวกัน
ยังโปรดเกล้าฯ ให้แต่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนัก
ฝรั่งเศส ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ถึง ๔ ครั้งด้วยกัน ผู้ที่เขียน
เกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา และสยามมากที่สุดในสมัยนี้ก็คือ มองซิเออร์
เดอ ลาลูแบร์ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรับเอาวิทยาการสมัยใหม่มา
ใช้ เช่น กล้องดูดาว และยุทโธปกรณ์บางประการ รวมทั้งยังมีการรับ
เทคโนโลยีการสร้างน้ำพุ จากชาวยุโรป และวางระบบท่อประปา
ภายในพระราชวังอีกด้วย
4
พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรส
พระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรม
ราชินี ประสูติ เมื่อวันอังคารที่ 20
กันยายน พ.ศ. 2396 ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ
บุรุษรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศ์บริพัตร ศิริวัฒนราชกุมาร ทรงได้รับการ
สถาปนาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรม มีพระนามกรมว่า กรมหมื่นพิฆเณศวรสุ
รสังกาศ หลังจากทรงผนวชเป็นสามเณรทรงได้รับการเฉลิมพระ
นามาภิไธยขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ กรม
ขุนพินิตประชานาถ ทรงเป็นพระราชปิโยรสที่สมเด็จพระบรมชนกนาถ
โปรดให้เสด็จอยู่ใกล้ชิดติดพระองค์เสมอเพื่อให้มีโอกาสแนะนำสั่ง
สอนวิชาการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชารัฏฐาภิบาล ราชประเพณี
และโบราณคดี นอกจากนั้นยังทรงศึกษาภาษามคธ ภาษาอังกฤษ การ
ยิงปืนไฟ กระบี่กระบอง มวยปล้ำ รวมทั้งการบังคับช้างอีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการกราบ
บังคมทูลเชิญขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากสมเด็จพระบรมราช
ชนกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ด้วยพระชนมายุเพียง
15 พรรษา ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่
5
11 พฤศจิกายน 2411 โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็น
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ครั้งที่ 2 เมื่อพระชนมายุ 20 พรรษา ในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.
2416 จึงทรงปกครองแผ่นดินด้วยพระองค์เองอย่างสมบูรณ์ ทรงครอง
ราชย์อยู่เป็นเวลายาวนานถึง 42 ปี และได้ทรงพัฒนาประเทศให้เจริญ
ก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทุกวิถีทาง
ในบั้นปลายพระชนมชีพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์นัก หลังจากเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่
2 แล้ว พระอาการก็ค่อยทรุดลงเป็นลำดับ และเสด็จสวรรคตด้วยพระ
โรคพระวักกะพิการเมื่อเวลา 2 ยาม 45 นาที ของวันเสาร์ที่ 23
ตุลาคม พ.ศ. 2453 สิริพระชนมายุ 58 พรรษา ทรงครองสิริราชสมบัติ
42 ปี ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดารวมทั้งสิ้น 77 พระองค์ ด้วยทรง
มีพระมหากรุณาธิคุณต่อไพร่ฟ้าประชาชนอย่างหาที่สุดมิได้มาตลอด
รัชกาลอันยาวนาน ประชาชนจึงพร้อมใจกันถวายพระบรมราชสมัญญา
นาม ว่า สมเด็จพระปิยมหาราช อันมีความหมายว่า พระมหากษัติรย์
ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน และถือวันที่ 23 ตุลาคม เป็นวันปิย
มหาราชมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
6
พระราชกรณีียกิจของพระมหากษตริย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์
การปกครอง
เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นไปของโลก และด้วยทรงตระหนักถึง
ภยันตรายของลัทธิแสวงหาอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกที่กำลัง
แผ่เข้ามาในเวลานั้น จึงทรงพยายาม ปรับปรุงระบบการปกครองให้
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการปฏิรูประเบียบวิธีการปกครองให้
ทันสมัยขึ้นหลายอย่าง โดยทรงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองทั้ง
ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้เหมาะสมกับยุคสมัยหลายประการ อาทิ
เช่น
ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาองคมนตรีเป็นที่
ปรึกษาราชการแผ่นดินในปี พ.ศ. 2417
ทรงประกาศตั้งกระทรวง 12 กระทรวง ในปี พ.ศ. 2435
ทรงยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี จัตวา เป็นการ
ปกครองแบบเทศาภิบาลคือรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล
การศาล
ทรงปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลให้ทันสมัย และขจัด
สิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ไทยต้องเสียเปรียบแก่ชาวต่างชาติ โดย
ปรับปรุงระเบียบการศาลให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร มี
กระทรวงยุติธรรมรับผิดชอบอย่างแท้จริง โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรรมการ
ตรวจชำระและร่างกฎหมาย ได้ทรงประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา
ซึ่งถือเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทย และทรงจัดตั้งโรงเรียน
กฎหมายเพื่อผลิตนักกฎหมายให้พอแก่ความต้องการ ทำให้การ
พิจารณาคดีและการลงโทษแบบเก่าหมดไป
7
การทหารและตำรวจ
โปรดเกล้าฯ ให้จัดการทหารตามแบบยุโรป และวางกำหนดการ
เกณฑ์คนเข้าเป็นทหารแทนการใช้แรงงานบังคับไพร่ตามประเพณีเดิม
โดยประกาศพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 เป็นครั้งแรก อีกทั้ง
ทรงจัดตั้งโรงเรียนการทหาร คือ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า กับ
จัดตั้งตำรวจภูธร ตำรวจนครบาลเพื่อให้ดูแลบ้านเมืองและปราบปราม
โจรผู้ร้ายโดยทั่วถึง
การเลิกทาส
พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การเลิกทาส ซึ่งทรงดำเนินการ
ด้วยความสุขุมคัมภีรภาพนับแต่ปี พ.ศ. 2417 จนถึง พ.ศ. 2448 รวม
เวลายาวนานกว่า 30 ปี จึงสำเร็จเสร็จสิ้นโดยไม่มีความขัดแย้งรุนแรง
ถึงลงมือรบพุ่งดังที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศ "พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย" เมื่อวันที่ 21
สิงหาคม พ.ศ. 2417 แก้พิกัดค่าตัวทาสใหม่ ให้ลดค่าตัวทาสลงตั้งแต่
อายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดค่าตัวเมื่ออายุ 20 ปี ครั้นอายุได้ 21 ปี
ทาสผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ พระราชบัญญัตินี้มีผลกับทาสที่เกิดตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2411 เป็นต้นไป ทั้งห้ามมิให้มีการซื้อขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า
20 ปีเป็นทาสอีก และโปรดเกล้าฯ ให้ออก "พระราชบัญญัติเลิกทาส
ร.ศ. 124" ให้ลูกทาสทุกคนเป็นไท เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448
ส่วนทาสประเภทอื่นที่มิใช่ทาสในเรือนเบี้ย ทรงให้ลดค่าตัวลงเดือนละ
4 บาท นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2448
8
เศรษฐกิจ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์
ทรงเริ่มปฏิรูปการคลังโดยทรงวางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ปรับปรุงการ
ภาษีอากรและระเบียบการเก็บภาษีอากร
โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นใน พ.ศ. 2416
และยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงการคลังเมื่อ พ.ศ. 2435 เพื่อทำ
หน้าที่เก็บภาษีอากรของแผ่นดินมารวมไว้แห่งเดียว และเพื่อ
ให้การรับจ่ายเงินของแผ่นดินเป็นไปอย่างรัดกุม
การคมนาคมและสาธารณูปโภค
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
ยวดยานพาหนะสมัยใหม่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จึงโปรดเกล้าฯ ให้
ตัดถนนใหม่หลายสาย สายที่สำคัญยิ่ง คือ ถนนราชดำเนิน และยังมี
ถนนสายอื่น ๆ เช่น ถนนพาหุรัด ถนนเยาวราช เป็นต้น ทั้งยังโปรด
เกล้าฯ ให้ขุดคลองสายต่างๆ ขึ้นอีก เช่น คลองเปรมประชากร
ส่วนการคมนาคมกับต่างจังหวัด โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟ
ระหว่างกรุงเทพฯ กับนครราชสีมาเป็นสายแรก เมื่อ พ.ศ. 2433 หลัง
จากนั้นจึงมีการสร้างทางรถไฟไปยังภาคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ในด้านการสื่อสาร ได้โปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งเครื่องโทรเลข
โทรศัพท์ ตามด้วยการรับส่งจดหมายอย่างเป็นระบบ และสามารถตั้ง
กรมไปรษณีย์โทรเลขได้ในพ.ศ.2426 นอกจากการนั้น สาธารณูปโภค
พื้นฐานอันได้แก่ ไฟฟ้า และน้ำประปา ก็เกิดขึ้นรัชสมัยของพระองค์ท่าน
ด้วยเช่นเดียวกัน
9
การสาธารณสุข
ในด้านการสาธารณสุข โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสภาอุณาโลมแดง
อันเป็นต้นกำเนิดของสภากาชาดไทยในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ.2436 และ
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ซึ่ง ต่อมาได้พระราชทานนาม
ใหม่ว่า “โรงพยาบาลศิริราช” สำหรับรักษาผู้ป่วยอย่างเป็นทางการ นับ
เป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของเมืองไทย
การต่างประเทศ
ในด้านการต่างประเทศนั้น ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์
แรกที่เสด็จประพาสนอกพระราชอาณาจักร และทรงเป็นพระมหา
กษัตริย์จากบูรพาทิศพระองค์แรกที่เสด็จยุโรป โดยทรงเริ่มจากการ
เสด็จเยือนประเทศใกล้เคียงก่อน เช่น มลายู ชวา อินเดีย ฯลฯ จนเมื่อ
พ.ศ. 2440 จึงเสด็จถึงยุโรปเป็นครั้งแรก ครั้งนั้น ได้เสด็จเยือนประเทศ
ต่าง ๆ ในยุโรปรวม 15 ประเทศ ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ให้ไทยเป็น
ที่รู้จักในสังคมยุโรป เพื่อกระชับไมตรีอันจะยังประโยชน์แก่บ้านเมือง
เพื่อทอดพระเนตรการบริหารประเทศในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อผ่อน
คลายความตึงเครียดทางการเมือง หลังจากนั้นได้เสด็จไปเยือนอีกครั้ง
หนึ่งในปี พ.ศ. 2450 การเสด็จไปยุโรปทั้งสองคราวนี้ พระบาทสมเด็จ
10
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้ากับราชสำนักยุโรปได้อย่างสง่างาม
ยิ่ง และก่อให้เกิดผลดีสมพระราชประสงค์ทั้งทางการทูตและการเมือง
ประเพณีและวัฒนธรรม
ด้านการแต่งกาย ทรงปรับปรุงการแต่งกายและทรงผมตั้งแต่ช่วง
ต้นรัชกาล โดยฝ่ายชาย เปลี่ยนจากผมทรงมหาดไทยเป็นตัดแบบ
ฝรั่ง ข้าราชสำนักนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนแทนผ้าสมปักเก่า สวมเสื้อ
แพรตามสีกระทรวงแทนเสื้อกระบอกแบบเก่า ทรงออกแบบเสื้อ
ราชปะแตน โปรดเกล้าฯ ให้ทหารนุ่งกางเกง พัฒนาเครื่องแบบให้
รัดกุม ส่วนฝ่ายหญิง โปรดเกล้าฯให้เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (แพ
บุนนาค) พระสนมเอกไว้ผมยาวแทนผมปีกแบบเก่า
ทรงยกเลิกประเพณีหมอบคลาน เมื่อ พ.ศ. 2416 ในวันพระราช
พิธีราชาภิเษก โดยให้ยืนเข้าเฝ้าและถวายคำนับแบบตะวันตก
เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้นั่งก็มีเก้าอี้ให้นั่งเฝ้า แต่หากเป็นการเข้าเฝ้า
แบบไทยในหมู่คนไทยด้วยกันเอง คงใช้ประเพณีคลานและหมอบ
เฝ้าดังเคยปฏิบัติกันมา
11
บรรณานุกรม
จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2565
จาก https://kingchulalongkorn.car.chula.ac.th/th
/history/rama5_bio
Jutalux Phunsanit. พระราชประวัติสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2565
จาก https://sites.google.com/site/jutphunsanit/phra-
rach-prawati-phra-mha-ksatriy-mharach/phra-rach-
prawati-smdec-phra-narayn-mharach
กรมศิลปากร. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์
แห่งกรุงศรีอยุธยา. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2565
จาก https://www.finearts.go.th
จัดทำโดย