The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สถานการณ์และแนวโน้มสถานการณทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจำปี 2566

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by S'uprapada Promsuk, 2023-09-26 03:04:59

สถานการณ์และแนวโน้มสถานการณทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจำปี 2566

สถานการณ์และแนวโน้มสถานการณทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจำปี 2566

ก รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ค ำน ำ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกองพัฒนานโยบายและนวัตกรรมทางสังคม ส านักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีภารกิจส าคัญประการหนึ่งคือการวิเคราะห์ สถานการณ์และคาดการณ์แนวโน้มทางสังคมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้การวางนโยบายและยุทธศาสตร์ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีความถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งในปัจจุบันและอนาคต จึงจัดท ารายงานสถานการณ์และแนวโน้ม สถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ฉบับนี้เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ทางสังคมในปัจจุบัน สถานการณ์กลุ่มเป้าหมายตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมทั้งวิเคราะห์ แนวโน้มและปัจจัยขนาดใหญ่ที่ส าคัญ (Megatrends) ที่จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในอนาคตและคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในแต่ละกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เห็นถึงสถานการณ์ กลุ่มเป้าหมาย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คาดหวังว่ารายงานสถานการณ์และแนวโน้ม สถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี2566 ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคม ส าหรับน าไปใช้ในการวางกรอบนโยบาย มาตรการ แผนงาน โครงการ ในการคุ้มครองทางสังคมส าหรับประชากรกลุ่มเปราะบาง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชากรทุกกลุ่มให้ดีขึ้น และใช้ประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น รวมทั้งเป็นข้อมูลให้ประชาชนทั่วไปที่ผู้สนใจน าไปใช้ประโยชน์ในการด าเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กันยายน 2566


ข รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 บทสรุปผู้บริหำร รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 เป็นการศึกษา ค้นหาข้อมูล และใช้ข้อมูลต่าง ๆ มาประกอบการน าเสนอสถานการณ์ทางสังคม โดยน าบริบทแนวโน้มและปัจจัยขนาดใหญ่ ที่ส าคัญ (Mega trends) ที่จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาและสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาร่วมวิเคราะห์ และ คาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยน าเสนอสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในแต่ละ กลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เห็นถึงสถานการณ์ ปัญหา ประเด็นท้าทายของกลุ่มเป้าหมาย และสุดท้ายเป็นข้อเสนอแนะ เชิงนโยบาย ซึ่งต้องเร่งด าเนินการเพื่อรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น และอาจน าไปใช้ประโยชน์ส าหรับการพัฒนา นโยบายที่เหมาะสม การวางแผนในการแก้ไขปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตประชากรทุกกลุ่มให้ดีขึ้น ในปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมทั่วโลกอยู่ในภาวะ VUCA World คือ มีลักษณะที่มีความผันผวน (Volatile) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความสลับซับซ้อน (Complexity) ความคลุมเครือ (Ambiguity) ต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญหรือเมกะเทรนด์ (Megatrend) อาทิ การเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technological Breakthrough) ความเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว (Rapid Urbanization) ซึ่งความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นความท้าทายที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่ต้องประสบและส่งผลกระทบต่อ ความเป็นอยู่ของคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ปรับตัวให้เท่าทันกระแส การเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และเผชิญกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนในอนาคต 1. บริบทแนวโน้มกำรเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจของไทย มีความเชื่อมโยงกับสภาพเศรษฐกิจสังคมของโลก และ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญ หรือเมกะเทรนด์ (Megatrend) ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ล้วนส่งผลกระทบทั้งทางบวก และทางลบต่อเศรษฐกิจสังคมไทย โดยเมกะเทรนด์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและเข้ามามีบทบาทส าคัญท าให้เกิด การเปลี่ยนแปลงในอนาคต คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ าทะเล สภาพอากาศที่แปรปรวนและรุนแรง และความรุนแรงของ การเกิดมลพิษต่าง ๆ (Pollution) ซึ่งมีให้เห็นกันอย่างต่อเนื่อง และเริ่มมองความเป็นไปได้ในการใช้วัตถุดิบชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีสะอาด การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการผลิต (Decarbonization) ทั้งนี้ ปัญหา สิ่งแวดล้อมอันเกิดจากกระบวนการผลิตพลังงาน ผนวกกับทิศทางราคาพลังงานที่สูงขึ้น เป็นปัจจัยท้าทายให้เกิด เทคโนโลยีด้านพลังงานใหม่ ๆ ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า และการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งตอบโจทย์ ทั้งด้านรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่จะเติบโตในอนาคตช่วง 5-10 ปีข้างหน้านี้ อีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่ส าคัญ คือ การเป็นสังคมสูงอายุของประชากรโลกและประชากรไทย การเป็นสังคมสูงอายุ เป็นหนึ่งในปัจจัยเชิงโครงสร้างและเป็นความท้าทายที่ส าคัญต่อเศรษฐกิจสังคมไทย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทย มีเด็กเกิดใหม่ลดต่ าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อการขาดแคลนแรงงานในอนาคต และการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ จะน าไปสู่ความท้าทายในการจัดบริการทางสังคมส าหรับการดูแลผู้สูงอายุการขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งผลลบต่อศักยภาพและความสามารถ ในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งจะน าไปสู่ปัญหาเชิงสังคมที่เป็นความท้าทายใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ค รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 นอกจากนี้ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญและเข้ามาช่วยให้คุณภาพชีวิตมนุษย์ดีขึ้นทั้งในด้านอุตสาหกรรม การคมนาคม การศึกษา และความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ ก็คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งอาจจะน าไปสู่ความเหลื่อมล้ าทางดิจิทัล นอกจากแนวโน้ม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเข้าสู่สังคมสูงอายุและความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งล้วนส่งผลกระทบ ต่อคนทุกช่วงวัยแล้ว อีกเมกะเทรนด์ที่ส าคัญ คือ ความเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีการขยายตัวของ ความเป็นเมืองอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและโครงสร้างของระบบขนส่ง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสังคมในหลายมิติ อาทิ การเคลื่อนย้ายแรงงาน การบริโภคในประเทศ ที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของสังคมเมืองมีผลให้เกิดความแออัดจากการกระจุกตัวของประชากร ความเหลื่อมล้ า เพิ่มสูงขึ้นในเขตเมือง โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ าด้านรายได้ของประชากรเมือง เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน เพิ่มมากขึ้น ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัย รวมทั้งปัญหาการเข้าถึงบริการจากภาครัฐที่ไม่ทั่วถึง อีกทั้งความเป็นเมือง ยังเป็นตัวกระตุ้นในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะคนไร้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญของโลกทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเข้าสู่สังคมสูงอายุ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งความท้าทายเหล่านี้เป็นปัจจัยกระตุ้นและ ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาสังคมที่มีความหลากหลาย ซับซ้อน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดล้อม เกิดความเหลื่อมล้ าในหลายมิติและทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตต่าง ๆ คนจนและผู้ด้อยโอกาสจะได้รับผลกระทบมากที่สุด การเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้านของสังคมไทยส่งผลต่อ คุณภาพชีวิและความเป็นอยู่ของคนในสังคม รวมไปถึงระบบความสัมพันธ์ในครบครัว การเกิดครัวเรือนรูปแบบใหม่ ครอบครัวจ าเป็นต้องปรับตัวเพื่อเผชิญปัญหาวิกฤติต่าง ๆ และภาครัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อให้ประเทศก้าวไปสู่ อนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยสถานการณ์และแนวโน้มทางสังคมในกลุ่มเป้าหมายตามภารกิจของกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ มีดังนี้ 2. สถำนกำรณ์และกำรคำดกำรณ์แนวโน้มทำงสังคมตำมประเด็นกลุ่มเป้ำหมำย 2.1 สถำนกำรณ์ครัวเรือนเปรำะบำง ข้อมูลจากระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ณ วันที่ 21 ก.ย. 66 มีจ านวนครัวเรือนเปราะบางทั้งหมด 8.99 แสนครัวเรือน โดยส่วนใหญ่อยู่ในครัวเรือน เปราะบางระดับ 2 จ านวน 5.38 แสนครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 59.79 ส าหรับปัญหาของสมาชิกในครัวเรือน ที่พบมากที่สุด 3 ล าดับแรก ได้แก่ (1) ปัญหาการมีงานท า/รายได้(2) ปัญหาครอบครัว และ (3) ปัญหาที่อยู่อาศัย โดยครัวเรือนเปราะบางส่วนใหญ่ ร้อยละ 83 ได้รับการให้ความช่วยเหลือแล้ว มีเพียงร้อยละ 16 เท่านั้น ที่ยังไม่ได้ ด าเนินการติดตามเพื่อแก้ไขปัญหา และได้มีการจัดท าแผนการให้ความช่วยเหลือ โดยส่วนใหญ่เป็นการให้ค าแนะน า ร้อยละ 56 การช่วยเหลือโดย พม. ร้อยละ 41 และการประสานส่งต่อหน่วยงานอื่น ร้อยละ 4 และจากวิกฤตของ สภาพภูมิอากาศท าให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ความเหลื่อมล้ าทาง เศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มมากขึ้น ความไม่แน่นอนของรายได้ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบ ที่รุนแรงต่อกลุ่มคนเปราะบางมากกว่ากลุ่มคนอื่น อาจน าไปสู่การย้ายถิ่นฐานเพื่อท างานในเมือง และคาดการณ์ว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นหัวหน้าครัวเรือนเปราะบางเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจากส านักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า รายได้ ค่าใช้จ่าย และความสามารถในการช าระหนี้สินของครัวเรือนเปราะบางที่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครัวเรือนมีแนวโน้ม


ง รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 สูงขึ้น ซึ่งผู้หญิงยังมีข้อจ ากัดทางด้านสังคม รวมถึงค่าตอบแทนที่ได้รับที่ต่ ากว่าเพศชาย สะท้อนให้เห็นถึงความท้า ทายส าหรับผู้หญิงที่ต้องรับบทบาทผู้น าครอบครัว 2.2 สถำนกำรณ์เด็กและเยำวชน ข้อมูลจากกรมการปกครอง พบว่า ในปี 2565 มีเด็กและเยาวชน รวม 19.83 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา เด็กและเยาวชนมีแนวโน้มลดลง โดยมีอัตราลดลงจาก 21.51 ล้านคน ในปี 2561 เหลือเพียง 19.83 ล้านคน ในปี 2565 ลดลงถึงร้อยละ 7.84 เป็นผลจากอัตราการเจริญพันธุ์ ที่ลดต่ าลง การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ท าให้ประชาชนทั่วไปชะลอการมีบุตร ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเกิดที่ลดลง โดยในปี 2565 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 5.02 แสนคน ซึ่งมีอัตราการเกิดต่ ากว่า 6 แสนคน เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่าวิกฤตเด็กเกิดน้อย และคาดว่าเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มลดต่ าลง อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจส่งผลให้ขาดแคลนที่มีฝีมือแรงงานในอนาคต และขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเกิดภาวะพึ่งพิงวัยแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ผลิตภาพของประเทศอาจลดต่ าลง และส่งผล ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และคาดว่าเด็กวัยเรียนในครัวเรือนเปราะบางมีโอกาสหลุดออกนอก ระบบการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาขยายตัวมากขึ้น และมีแนวโน้มเข้าสู่ความยากจน มากขึ้น โดยปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นตัวกระตุ้นความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษา ส่งผลให้เด็กเสียโอกาส ในการน าทักษะความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว รวมทั้งสูญเสียก าลัง ส าคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ และพบว่าเด็กมีแนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากใช้อินเทอร์เน็ตเป็นระยะเวลานานเกินไป จะส่งผลกระทบต่อเด็กในระยะยาวทั้งด้านสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนมักเป็นกลุ่มที่ถูกกระท าความรุนแรงมากที่สุด ข้อมูลการสถิติการให้บริการ 1300 สายด่วน พม. พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการท าร้ายร่างกาย รองลงมา ได้แก่ การล่วงละเมิดทางเพศ และ ถูกกระท าอนาจาร ซึ่งเด็กที่ถูกกระท าความรุนแรงจะเกิดผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงพฤติกรรม น าไปสู่ ปัญหาต่าง ๆ ตามมา อาทิการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางร่างกายที่ผิดปกติการแยกตัวออกจากสังคม นิยมการใช้ความรุนแรง จนอาจน าไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตหรือความเครียดอย่างรุนแรง 2.3 สถำนกำรณ์ผู้สูงอำยุ ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมสูงอายุ (Aging Society) หรือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า ร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด โดยข้อมูลจากกรมการปกครอง พบว่า ในปี 2565 มีผู้สูงอายุรวมทั้งสิ้น 12.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 19.21 ของประชากรทั้งประเทศ เมื่อพิจารณาเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน พบว่า ประเทศไทยมีระดับการสูงวัยสูงเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศสิงคโปร์การที่ประชากรสูงอายุมีจ านวนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับประชากรวัยเด็กมีจ านวนลดลง ส่งผลให้ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงอายุในระดับสมบูรณ์และระดับ สุดยอดในเวลาไม่นาน การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อภาระการพึ่งพิงและการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อผู้สูงอายุ ในด้านการท างานของผู้สูงอายุ ข้อมูลจากส านักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีผู้สูงอายุที่ท างาน จ านวน 4.7 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ แม้ว่าจะมีบทบาทส าคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ไม่ได้รับ ความคุ้มครองหรือไม่มีหลักประกันทางสังคม อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้สูงอายุที่ต้องด ารงชีวิตด้วยความยากล าบาก ซึ่งอาจมาจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจน ไม่มีบุตรหรือญาติดูแล ขาดความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย จึงน ามาสู่การเป็นผู้สูงอายุไร้บ้าน และคาดว่าในอนาคตการขาดแคลนแรงงานจะท าให้รายได้ที่ผู้สูงอายุได้รับจาก บุตรหลานลดน้อยลง รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุในอนาคต อาจจะส่งผลให้งบประมาณด้านการจัดสวัสดิการ สังคมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และน าไปสู่ความท้าทายของงบประมาณในการจัดบริการทางสังคมส าหรับการดูแล


จ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ผู้สูงอายุในอนาคต และอัตราการพึ่งพิงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้กับผู้สูงอายุ มีเงินออม สามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการต่าง ๆ จึงมีความส าคัญ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานท าจะช่วยลด ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต และเป็นก าลังแรงงานที่ส าคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จะท าให้ผู้สูงอายุด ารงชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี 2.4 สถำนกำรณ์สตรีและครอบครัว ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้านของสังคมไทย ทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การย้ายถิ่น ของแรงงานจากชนบทเข้าสู่เมืองมากขึ้น ส่งผลไปถึงระบบความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ที่ไม่เหนียวแน่น กลายเป็นปัญหามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอยู่เป็นโสด การหย่าร้าง การเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวข้ามรุ่น (ผู้สูงอายุอาศัยอยู่กับเด็กตามล าพัง) ครอบครัวผสม ครอบครัวคู่รักเพศเดียวกัน ท าให้รูปแบบครอบครัว มีความหลากหลายมากขึ้น และคาดการณ์ว่าสัดส่วนประชากรในครัวเรือนเปลี่ยนแปลงไป โดยครัวเรือนพร้อมหน้า มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ครัวเรือนไม่พร้อมหน้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยที่ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวข้ามรุ่น จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การเกิดครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมีสาเหตุจากหลายประการ ทั้งการเสียชีวิตของคู่สมรส การมีลูก เมื่อยังไม่พร้อม การทอดทิ้ง รวมถึงการหย่าร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และจะส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกในครอบครัว ทั้งความเครียดที่เกิดจากการที่ต้องท าหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของสถานะทาง เศรษฐกิจของครอบครัว รายได้ที่ลดลงมีผลต่อโอกาสทางการศึกษาที่ลูกจะได้รับ รวมถึงเวลาที่ใช้ท ากิจกรรม ร่วมกันกับลูกลดลงเนื่องจากการใช้เวลาส่วนใหญ่ของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวหมดไปกับการท างานเพื่อหารายได้ ซึ่งอาจ น าไปสู่ปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายในการน าไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของ เด็กไทยในอนาคต นอกจากนี้ข้อมูลจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวยังพบว่า ความรุนแรงในครอบครัว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์แบบครอบครัว ทั้งระหว่างสามีภรรยา บุตรหลานกับพ่อแม่ หรือเครือญาติ และเกิดได้หลายรูปแบบ อาทิ ความรุนแรงทางร่างกาย ความรุนแรงทางเพศ ความรุนแรงทางจิตใจ ซึ่งเมื่อเกิดความรุนแรงในครอบครัวขึ้นทุกคนในครอบครัวจะได้รับ ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดผลกระทบด้านต่าง ๆ ท าให้เกิด ความเครียด วิตกกังวล บาดเจ็บ หรือท าให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยการท าร้ายร่างกายเป็น ความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นมากที่สุด ซึ่งผู้หญิงเป็นฝ่ายถูกกระท าความรุนแรง และสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก เมาสุรา ยาเสพติด การนอกใจ หึงหวง รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจและการตกงาน 2.5 สถำนกำรณ์คนพิกำร รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ประเทศไทยมีคนพิการที่ได้รับการออกบัตรประจ าตัวคนพิการ จ านวน 2.20 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 3.18 ของประชากรทั้งประเทศ โดยคนพิการสูงอายุมีจ านวนมากที่สุด และคนพิการที่มี งานท า 3.12 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 36.31 ของคนพิการในวัยท างานทั้งหมด ทั้งนี้ยังมีคนพิการที่ไม่มีงานท าเป็น จ านวนสูงถึง 5 หมื่นคน และคาดการณ์ว่าจ านวนคนพิการในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สวนทางกับอัตราการ จ้างงานคนพิการที่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนพิการ ขาดรายได้จากการประกอบอาชีพ รวมทั้งคนพิการมีโอกาสที่ค่อนข้างต่ ากว่าคนทั่วไปในการกลับเข้าสู่การท างานอีกครั้ง จึงเป็นการซ้ าเติมคนพิการ ให้มีความเปราะบางสูงมากขึ้น ดังนั้น จึงจ าเป็นต้องจัดบริการให้แก่คนพิการเพื่อให้คนพิการได้รับการส่งเสริมและ พัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาศักยภาพคนพิการอย่างเป็นรูปธรรม


ฉ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 2.6 สถำนกำรณ์คนไร้บ้ำน ข้อมูลสถิติการส ารวจข้อมูลแจงนับ คนไร้บ้าน สนับสนุนโดย ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) ในปี 2566 คนไร้บ้านมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยพบว่า มีจ านวนคนไร้บ้านทั้งสิ้น 2,499 คน เพิ่มขึ้น จากปีก่อนหน้า 631 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชายคิดเป็นร้อยละ 82.5 และอยู่ในวัยกลางคนมากที่สุด ซึ่งกรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่พบคนไร้บ้านมากที่สุด จ านวน 1,271 คน โดยการเพิ่มขึ้นของจ านวนคนไร้บ้าน อาจเป็นผลจากในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ท าให้เกิดภาวะการตกงานจากการทยอยปิดตัวของ สถานประกอบการรายย่อย และส่งผลให้เกิดการว่างงานและขาดรายได้ จึงไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าที่พัก และถูกผลักดันออกมาจนเกิดปรากฏการณ์ “คนไร้บ้านหน้าใหม่” เพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าจ านวนคนไร้บ้าน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ าของประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น และความเป็นเมืองจะเป็นตัวกระตุ้น ในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะคนไร้บ้าน ภาพของเมืองในอนาคตจะมีคนไร้บ้านและกลุ่มคนเปราะบาง ที่เสี่ยงต่อการไร้บ้านเพิ่มขึ้น เป็นผลจากแนวโน้มความเหลื่อมล้ าทางเศรษฐกิจสังคมในเขตเมืองที่เพิ่มมากขึ้น ค่าครองชีพและที่อยู่อาศัยในเมืองที่สูงขึ้น การเพิ่มจ านวนของครัวเรือนตัวคนเดียว (one-person household) การเข้าสู่สังคมสูงวัย ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในการผลิตที่ลดการใช้แรงงาน ความไม่แน่นอนทางรายได้ และพื้นที่พึ่งพิงทางสังคมที่ลดลง รวมถึงความรุนแรงและความถี่ที่เพิ่มมากขึ้นของภัยธรรมชาติ ซึ่งจะก่อให้เกิด ความเปราะบางของประชากรในเมือง ส่งผลต่อความเสี่ยงในการเป็นคนไร้บ้านที่เพิ่มสูงขึ้น จากสถานการณ์และแนวโน้มทางสังคมในกลุ่มเปราะบางข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์ ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสังคมโลก รวมทั้งบริบทการเปลี่ยนแปลง ส าคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายด้านเศรษฐกิจสังคมของประเทศไทยและน าไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ทางสังคม ทั้งด้านการศึกษาที่เด็กในครอบครัวเปราะบางมีโอกาสหลุดออกนอนระบบการศึกษา ปัญหาความรุนแรง ในครอบครัวเป็นปัญหาส าคัญที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น กลุ่มประชาชนที่อยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนเปราะบาง จะได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่า เนื่องจากข้อจ ากัดในการใช้ชีวิตและการท างาน การเตรียมความพร้อมรับมือ การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน และการพัฒนาทักษะเพื่อรองรับการท างานรูปแบบใหม่ เป็นสิ่งส าคัญในการ เพิ่มประสิทธิภาพในการท างานให้ดียิ่งขึ้น ปัญหาเด็กและเยาวชนที่หลุดออกนอกระบบการศึกษาและคุณภาพ การศึกษายังเป็นปัญหาส าคัญที่ต้องการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การสร้างหลักประกันทางรายได้ให้กับผู้สูงอายุมีความจ าเป็น และส าคัญต่อการด ารงชีวิต ซึ่งความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการให้ ความช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับบริการและสวัสดิการของรัฐเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของ กลุ่มเปราะบางให้มีคุณภาพชีวิตและความมั่นคงที่ดีขึ้น ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยส ำหรับกลุ่มเป้ำหมำย 1. ครัวเรือนเปรำะบำง 1.1 การสนับสนุนให้การบริการทางสังคมเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง โดย (1) พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน (สมุดพกอิเล็กทรอนิกส์) ให้มีความสมบูรณ์ ครอบคลุม เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ควบคู่กับการออกแบบและใช้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยี เพื่อมาเติมเต็มการค้นหาและช่วยเหลือคนจนได้ตรงเป้ามากขึ้น อาทิ การใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ (2) พัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อติดตาม ประเมินผลการให้ความช่วยเหลือในระยะยาว โดยจัดเก็บ ข้อมูลในรูปแบบข้อมูลรายบุคคลที่เป็นชุดข้อมูลตัวอย่างซ้ าเพื่อให้สามารถติดตามประเมินผลได้อย่างต่อเนื่อง


ช รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 (3) บูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสร้างความเข้มแข็งของกลไกในระดับพื้นที่ ชุมชน อาสาสมัครในชุมชน ในการจัดบริการเชิงรุกให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ การเร่งสร้างนักอภิบาลในครอบครัว ชุมชน พร้อมสนับสนุนค่าตอบแทน เพื่อให้การดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุติดเตียง และอยู่ในภาวะพึ่งพิง 1.2 มุ่งเตรียมความพร้อมในการวางระบบการคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมประชากรกลุ่มเปราะบาง ทุกกลุ่ม รับมือกับความท้าทายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 2. เด็กและเยำวชน 2.1 ควรเตรียมพร้อมรับมือในการให้ความส าคัญกับอัตราการเกิดเพื่อสร้างสมดุลให้แก่จ านวน ประชากรในแต่ละช่วงวัยให้มีความเหมาะสม อาทิ นโยบายส่งเสริมการเข้าถึงระบบอนามัยการเจริญพันธุ์ ที่มีคุณภาพครอบคลุมประชาชนทุกระดับ สร้างระบบการวางแผนชีวิตครอบครัวที่ได้มาตรฐาน 2.2 มุ่งเน้นการลงทุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กให้เต็มศักยภาพ อาทิ ส่งเสริมให้มีศูนย์เด็กเล็ก ก่อนวัยเรียน ทั้งในสถานที่ท างานภาครัฐ ภาคเอกชน และในชุมชนตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเอื้อต่อการเรียนรู้ 2.3 สนับสนุนการสร้างทักษะการใช้ชีวิต ทักษะทางสังคมและความรอบรู้ทางดิจิทัล เปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ที่มีความหลากหลายและเหมาะสม โดยเฉพาะสภาเด็กและเยาวชนในทุกระดับให้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบ และพัฒนาสังคม 2.4 จัดท าระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษา กองทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแจ้งข้อมูล ติดตาม และช่วยเหลือเด็กในครัวเรือนเปราะบางที่มีแนวโน้มจะหลุดออกจากระบบให้ยังคงอยู่ใน ระบบการศึกษาได้ และเด็กที่ออกนอกระบบแล้ว ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา 2.5 การจัดการศึกษาตามบริบทพื้นที่ สนับสนุนการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ของเด็กให้เข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้ได้ตลอดช่วงวัย สนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียน และเน้นกิจกรรมในการลงมือท าสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น 3. ผู้สูงอำยุ 3.1 ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการทางสังคมขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความมั่นคงในชีวิต สามารถ พึ่งพาตนเองได้ และพัฒนาระบบการดูแลระยะยาว (Long Term Care) ให้มีความครอบคลุมและเหมาะสมกับ ผู้สูงอายุในแต่ละกลุ่ม มีการบูรณาการบริการดูแลด้านสุขภาพและด้านสังคมและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดูแล ผู้สูงอายุ รวมถึงวางแผนผลิตและพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้เพียงพอต่อจ านวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น 3.2 บูรณาการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนหรือหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริม การมีงานท าและการจ้างงานผู้สูงอายุ ค านึงถึงลักษณะงานและระยะเวลาการท างานที่เหมาะสม รวมถึงขยายอายุ การท างานของผู้สูงอายุที่มีความพร้อม และมีศักยภาพในการท างาน เพื่อชดเชยปัญหาการขาดแคลนแรงงานจาก การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร 3.3ส่งเสริมการมีงานท าและรายได้ของผู้สูงอายุโดยสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงขยายอายุ การท างานของผู้สูงอายุในกลุ่มที่มีศักยภาพ มีความพร้อม และสามารถท างานได้ และพิจารณาความเหมาะสมของ การปรับนิยามผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันที่ประชาชนมีอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี (Health adjusted life expectancy) สูงขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงทางการคลัง


ซ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 3.4 นโยบายการปรับปรุงระบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ าทางสังคมและสนับสนุนการจัดบริการ ทางสังคม เป็นการจัดสรรและกระจายทรัพยากรใหม่ เพื่อกระจายความเป็นธรรม โดยการถ่ายทรัพยากรจาก กลุ่มที่มีโอกาสมากกว่าสู่กลุ่มที่มีโอกาสน้อยกว่า ผ่านการปรับปรุงระบบภาษี โดยสนับสนุนการขยายฐานภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาให้ครอบคลุมและมีมาตรการที่ส่งเสริมให้ผู้มีเงินได้เข้ามาในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้น การกระจายอ านาจทางการคลัง การจัดเก็บภาษีให้เต็มศักยภาพ การดึงธุรกิจหรือแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเก็บภาษีความมั่งคั่งหรือภาษีทรัพย์สิน ควบคู่กับการจัดท ากรอบการเพิ่มขึ้นของงบประมาณ ด้านสวัสดิการแบบล าดับขั้น เพื่อน ามาใช้ในการจัดระบบคุ้มครองทางสังคมให้มีความครอบคลุม ทั่วถึงและ เพียงพอได้ 3.5 การออกแบบระบบที่สร้างหลักประกันรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งอาจจะต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่ ช่วงวัยแรงงาน เพื่อสร้างความมั่นคงและพัฒนาทุนมนุษย์ โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิตและ เสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพ ผ่าน 3 ช่องทาง ประกอบด้วย (1) การลงทุน (Investment) เป็นการลงทุน ด้านปัจจัยพื้นฐานและธรรมาภิบาล เพื่อให้ประชาชนได้รับการคุ้มครอง อาทิความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง ทางอาหาร (2) การประกันภัย (Insurance) เป็นการขับเคลื่อนที่ส าคัญในการรักษาเสถียรภาพเมื่อเผชิญกับ ความไม่แน่นอน โครงสร้างที่จัดการความเสี่ยงที่หลากหลายในชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มท างาน นอกระบบหรือลักษณะงานที่ไม่มีความมั่นคง/มีความเสี่ยงสูง และ (3) นวัตกรรม (Innovation) เป็นสิ่งจ าเป็น ในการเผชิญกับความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต 3.6 สร้างความตระหนักในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ และส่งเสริมการออมของ ผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถวางแผนการเงินให้เพียงพอส าหรับด ารงชีพในวัยเกษียณได้ 3.7 สร้างความเข้าใจการปรับตัวการเลี้ยงเด็กแต่ละช่วงวัยต่อผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการลดช่องว่างระหว่าง วัยเด็กและวัยสูงอายุ เพื่อให้สมาชิกอยู่อาศัยร่วมกันได้อย่างมีความสุขในครอบครัวภายใต้สถานการณ์ที่มีความเป็น พลวัตในสังคม 4. สตรีและครอบครัว 4.1 ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวเพื่อเป็นกลุ่มกลางในการสร้างกิจกรรมช่วยเหลือ เกื้อกูล แลกเปลี่ยนความรู้ ให้ค าปรึกษาในการดูแลลูกร่วมกัน เกิดการสื่อสารเปิดกับลูก โดยส่งเสริมให้มีการ แสดงออกที่ชัดเจนและการเปิดกว้างของความคิดและความรู้สึกภายในครอบครัว เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ ที่ซื่อสัตย์และไว้วางใจ สามารถพูดคุยและปรึกษากันได้ของสมาชิกในครอบครัว 4.2 ส่งเสริมการจ้างงาน และพัฒนาทักษะที่จ าเป็น (Up-skill/ Re-skill) ให้กับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่อยู่ใน ครอบครัวยากล าบาก เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัวได้ 4.3 การดูแลช่วยเหลือผู้ถูกกระท าความรุนแรง โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคมระดับจังหวัด และ ศูนย์ช่วยเหลือสังคมระดับต าบล และเครือข่ายในพื้นที่และพัฒนาปรับปรุงระบบข้อมูลด้านความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว โดยเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วน ที่เกี่ยวข้อง และสร้างความเข้มแข็งของกลไกในระดับพื้นที่ ชุมชน อาสาสมัครในชุมชน ในการแก้ไขปัญหา ความรุนแรงในครอบครัว


ฌ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 5. คนพิกำร 5.1 สนับสนุนให้คนพิการสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการต่าง ๆ ของภาครัฐ อาทิ การแปลงสื่อ สาธารณะที่คนพิการทางปัญญาสามารถเข้าใจได้ง่าย การใช้เครื่องหมาย สัญลักษณ์รูปภาพ ค าบรรยายในการ สื่อสารที่คนพิการสามารถเข้าใจ 5.2 ควรมีมาตรการในการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการให้มากขึ้น สร้างอาชีพ รวมถึงพัฒนาทักษะ คนพิการเพื่อรองรับการท างาน อาทิ การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนหรือหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดการจ้างงานรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน 5.3 ควรมีมาตรการช่วยเหลือทางการเงินตามระดับความพิการ และจัดสวัสดิการดูแลที่เพียงพอ เหมาะสมส าหรับคนพิการ 6. คนไร้บ้ำน 6.1 ควรมีมาตรการช่วยเหลือคนไร้บ้านให้เข้าสู่ระบบการดูแลของภาครัฐ โดยบูรณาการท างานร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มคนไร้บ้าน ตลอดจนประชาสัมพันธ์ แนะน าบริการ ตามสิทธิ การให้ค าปรึกษาแนะน า การส่งเข้ารับการรักษาพยาบาล การจัดหางานสร้างอาชีพ รวมทั้งการประสาน ส่งกลับภูมิล าเนา 6.2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณามาตรการในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนไร้บ้าน โดยค านึงถึง ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยและด้านการจ้างงานควบคู่กัน เพื่อให้มาตรการความช่วยเหลือมีประสิทธิภาพและ ตอบสนองต่อความต้องการอย่างแท้จริง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยภำพรวม 1. ผลักดันมาตรการให้ประชาชนเข้าถึงการจัดสวัสดิการที่ตอบสนองต่อความจ าเป็นขั้นพื้นฐาน และได้รับ การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและขยายฐานการคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมกลุ่มที่ยังตกหล่นเพื่อให้ได้รับสิทธิ ประโยชน์ที่เพียงพอต่อการด ารงชีวิตอย่างมีคุณภาพและเข้าถึงสิทธิการคุ้มครองทางกฎหมาย 2. ส่งเสริมการจ้างงาน และพัฒนาทักษะที่จ าเป็น (Up-skill/ Re-skill) ตลอดช่วงอายุ อาทิ ทักษะ ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และจัดให้มีมาตรการเฉพาะรองรับวัยแรงงานในกลุ่มที่ตกหล่นและเข้าไม่ถึงการพัฒนา ความรู้และทักษะ โดยจัดให้มีช่องทางการเข้าถึงรูปแบบงานที่หลากหลายตอบสนองต่อตลาดงานและการท างาน รูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง 3. การพัฒนาปรับปรุงระบบค่าจ้าง และสวัสดิการของลูกจ้างให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับ สถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งสร้างจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ภาคแรงงานในระบบเพิ่มขึ้น รวมถึงพัฒนาระบบ สวัสดิการที่เหมาะสมให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม และพัฒนาความรู้ความสามารถให้สามารถประกอบอาชีพ ที่น าไปสู่การเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงในชีวิต 4. การเตรียมความพร้อมในการพัฒนาเมืองแบบใหม่ที่ตั้งอยู่บนฐานของความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม การยกระดับเทคโนโลยี รวมถึงต้องปรับตัวและมองหาโอกาสจากการขยายตัวของความเป็นเมืองเพื่อการแข่งขัน ในอนาคต โดยยึดความอยู่ดีมีสุขของประชาชน 5. บูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาทางสังคมร่วมกันภายใต้แนวคิด ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือการด าเนินงานในประเด็นทางสังคมที่มีความหลากหลายมากขึ้น และก าหนดผลตอบแทนทางสังคมร่วมกัน


ญ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 สำรบัญ ค ำน ำ.......................................................................................................................................................................ก บทสรุปผู้บริหำร......................................................................................................................................................ข สำรบัญ...................................................................................................................................................................ญ สำรบัญตำรำง.........................................................................................................................................................ฏ สำรบัญภำพ ............................................................................................................................................................ฐ บทที่ 1 บทน ำ.........................................................................................................................................................1 บทที่ 2 กรอบคิดด้ำนกำรมองภำพอนำคต.............................................................................................................2 2.1 ควำมส ำคัญของกำรศึกษำด้ำนอนำคต..............................................................................................2 2.2 วิธีกำรวิเครำะห์ภำพอนำคตส ำหรับน ำมำใช้ในกำรวำงแผน ............................................................2 บทที่ 3 สถำนกำรณ์ทำงสังคมและบริบทแนวโน้มกำรเปลี่ยนแปลง.....................................................................5 3.1 บริบทแนวโน้มกำรเปลี่ยนแปลงที่ส ำคัญ (Megatrends)................................................................5 3.1.1 กำรเปลี่ยนแปลงโครงสร้ำงของประชำกร...............................................................................5 3.1.2 ควำมเป็นเมือง..........................................................................................................................6 3.1.3 ควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่ำงรวดเร็ว....................................................................8 3.1.4 กำรเปลี่ยนแปลงของสภำพภูมิอำกำศ.....................................................................................9 3.1.5 กำรแพร่ระบำดของโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ ำ................................................................................9 3.2 สถำนกำรณ์ทำงสังคมตำมประเด็นกลุ่มเป้ำหมำย...........................................................................10 3.2.1 สถำนกำรณ์ทำงสังคมครัวเรือนเปรำะบำง............................................................................10 3.2.2 สถำนกำรณ์ทำงสังคมเด็กและเยำวชน..................................................................................10 3.2.3 สถำนกำรณ์ทำงสังคมผู้สูงอำยุ...............................................................................................12 3.2.4 สถำนกำรณ์ทำงสังคมสตรีและครอบครัว..............................................................................15 3.2.5 สถำนกำรณ์ทำงสังคมคนพิกำร..............................................................................................17 3.2.6 สถำนกำรณ์ทำงสังคมคนไร้บ้ำน ............................................................................................17 3.2.7 สวัสดิกำรกำรดูแลกลุ่มเปรำะบำง..........................................................................................19 บทที่4 ผลกำรวิเครำะห์.......................................................................................................................................21 4.1 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มทำงสังคมตำมประเด็นกลุ่มเป้ำหมำย.........................................................21 4.1.1 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มครัวเรือนเปรำะบำง..........................................................................21 4.1.2 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มเด็กและเยำวชน.................................................................................22 4.1.3 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มผู้สูงอำยุ.............................................................................................23 4.1.4 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มสตรีและครอบครัว............................................................................24 4.1.5 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มคนพิกำร............................................................................................24 4.1.6 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มคนไร้บ้ำน ..........................................................................................25


ฎ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 สำรบัญ (ต่อ) บทที่5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ.........................................................................................................................26 5.1 บทสรุป..............................................................................................................................................26 5.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำย..................................................................................................................28 5.2.1 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยส ำหรับกลุ่มเป้ำหมำย.....................................................................29 5.2.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยภำพรวม...........................................................................................32 บรรณำนุกรม.........................................................................................................................................................33


ฏ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 สำรบัญตำรำง ตำรำงที่ 1 จ ำนวนและร้อยละของครัวเรือนเปรำะบำง................................................................................10 ตำรำงที่ 2 เรียงล ำดับ 5 จังหวัดที่มีอัตรำผู้สูงอำยุมำกที่สุดและน้อยที่สุด.....................................................13


ฐ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 สำรบัญภำพ ภำพที่ 1 ตัวอย่ำงระบบโครงสร้ำงระบบกำรกวำดสัญญำณ...........................................................................3 ภำพที่ 2 แผนภำพกระบวนกำรสร้ำงฉำกทัศน์..............................................................................................4 ภำพที่ 3 สถิติอัตรำกำรเกิด ปี 2561-2565...................................................................................................5 ภำพที่ 4 สถิติจ ำนวนผู้สูงอำยุ ปี 2561-2565...............................................................................................5 ภำพที่ 5 แนวโน้มกำรเพิ่มขึ นของประชำกรโลก และกำรคำดกำรณ์ประชำกรในเขตเมืองของประเทศไทย.....6 ภำพที่ 6 สำเหตุของกำรย้ำยถิ่น....................................................................................................................7 ภำพที่ 7 คำดกำรณ์ครัวเรือนข้ำมรุ่น ............................................................................................................7 ภำพที่ 8 อำชีพที่มีแนวโน้มเติบโตและอำชีพที่มีแนวโน้มถูกทดแทน..............................................................8 ภำพที่ 9 กำรเปลี่ยนแปลงของสภำพภูมิอำกำศ.............................................................................................9 ภำพที่ 10 รำยได้และรำยจ่ำยในครัวเรือนที่มีกลุ่มเปรำะบำงแต่ละประเภท....................................................9 ภำพที่ 11 สภำพปัญหำของสมำชิกในครัวเรือน..........................................................................................10 ภำพที่ 12 สถำนะกำรติดตำมเพื่อแก้ไขปัญหำ และแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำ...............................................11 ภำพที่ 13 สถิติจ ำนวนเด็กและเยำวชน ปี 2561 - 2565............................................................................11 ภำพที่ 14 สถิติกำรให้บริกำร 1300 สำยด่วน พม. ประจ ำปีงบประมำณ 2564-2565.................................12 ภำพที่ 15 สถิติจ ำนวนผู้สูงอำยุ ปี 2561 - 2565........................................................................................13 ภำพที่ 16 จ ำนวนผู้สูงอำยุจ ำแนกตำมเพศและกลุ่มช่วงวัย.........................................................................13 ภำพที่ 17 แหล่งรำยได้หลักของผู้สูงอำยุ....................................................................................................14 ภำพที่ 18 จ ำนวนผู้สูงอำยุที่มีงำนท ำ..........................................................................................................15 ภำพที่ 19 สัดส่วนหัวหน้ำครัวเรือนเพศหญิง..............................................................................................14 ภำพที่ 20 อัตรำกำรมีงำนท ำและก ำลังแรงงำนจ ำแนกตำมเพศ...................................................................15 ภำพที่ 21 สถิติควำมรุนแรงในครอบครัว ปีงบประมำณ 2559-2565..........................................................16 ภำพที่ 22 จ ำนวนคนพิกำรจ ำแนกตำมภูมิภำค ...........................................................................................17 ภำพที่ 23 จ ำนวนคนพิกำรจ ำแนกตำมอำยุ................................................................................................17 ภำพที่ 24 จ ำนวนคนไร้บ้ำนจ ำแนกตำมเพศ...............................................................................................18 ภำพที่ 25 จังหวัดที่มีจ ำนวนคนไร้บ้ำนมำกที่สุด 5 ล ำดับแรก.....................................................................18 ภำพที่ 26 จ ำนวนคนไร้บ้ำนจ ำแนกตำมอำยุ...............................................................................................18 ภำพที่ 27 รำยงำนข้อมูลกำรให้บริกำรประชำชน........................................................................................19 ภำพที่ 28 อัตรำกำรจ่ำยเบี ยยังชีพผู้สูงอำยุ.................................................................................................19 ภำพที่ 29 งบประมำณในกำรจัดสวัสดิกำรเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด เบี ยควำมพิกำร และเบี ยยังชีพผู้สูงอำยุ..20 ภำพที่ 30 สัดส่วนประชำกรตำมช่วงอำยุ....................................................................................................22 ภำพที่ 31 พฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย..................................................................................22 ภำพที่ 32 คำดกำรณ์จ ำนวนผู้สูงอำยุและงบประมำณรำยจ่ำยเบี ยยังชีพผู้สูงอำยุ........................................23 ภำพที่ 33 อัตรำกำรพึ่งพิงวัยสูงอำยุ และอัตรำกำรเกื อหนุน........................................................................23 ภำพที่ 34 กำรคำดประมำณสัดส่วนประชำกรในครัวเรือนรูปแบบต่ำง ๆ.....................................................24


ฑ รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 สำรบัญภำพ (ต่อ) ภำพที่ 35 จ ำนวนคนพิกำรในประเทศไทย ปี 2561 – 2564.......................................................................25 ภำพที่ 36 สถิติจ ำนวนคนไร้บ้ำน ................................................................................................................25


1 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 บทที่ 1 บทน ำ สถานการณ์และปัญหาต่าง ๆ ของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความหลากหลาย ซับซ้อนและ มีระดับความรุนแรงที่มากขึ้น อาทิปัญหาความเหลื่อมล้ าทางสังคม ความยากจน ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาโรคระบาด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทย ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบันส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อคนในสังคม อันเป็นผลจากการถูกเลิกจ้าง ตกงาน น าไปสู่การว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น การลดลงของรายได้ของครัวเรือน และ ภาวะหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ทางสังคม ทั้งด้านการศึกษา ที่พบว่า เด็กมีพัฒนาการถดถอยจากการเรียนออนไลน์ การเข้าไม่ถึงการบริการด้านสุขภาพ รวมถึงปัญหาความรุนแรง ทางสังคมที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มประชากรที่อยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนเปราะบางได้รับ ผลกระทบที่รุนแรงมากกว่ากลุ่มประชากรอยู่ในครัวเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ สังคมที่ดีและมั่นคง เนื่องจากข้อจ ากัดในการใช้ชีวิตและท างาน การขาดรายได้และหลักประกันทางเศรษฐกิจและสังคม จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นส่งผลให้การพยากรณ์ทางสังคมเป็นสิ่งส าคัญและสนับสนุนการก าหนด นโยบายที่มีประสิทธิภาพ โดยการพยากรณ์ทางสังคมครอบคลุมการวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มในมิติต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ประชากรศาสตร์ รวมถึงผลกระทบจากการด าเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการ เตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ผลกระทบของปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยส านักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งมีภารกิจในการศึกษา วิเคราะห์ประเด็นส าคัญ การพัฒนาหรือนโยบายเฉพาะเรื่อง ด้านสังคมที่กระทบต่อการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหว และคาดการณ์ แนวโน้มสถานการณ์ทางสังคม และเตือนภัยทางสังคม รวมถึงการพยากรณ์ทางสังคม ส าหรับการวางภาพและ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในประเด็นทางสังคมส าคัญ ส าหรับใช้ในการวางแผนนโยบายและยุทธศาสตร์ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้มีความถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อเป็นแนวทางการวางแผนนโยบายและยุทธศาสตร์ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป ทั้งนี้ ในการจัดท าสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบางประจ าปี2566 ได้ด าเนินการศึกษาสถานการณ์ทางสังคมในปัจจุบัน วิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยขนาดใหญ่ที่ส าคัญ (Mega trends) ที่จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาและสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ส าหรับจัดท าสถานการณ์และ แนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบางของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อน า ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย ไปใช้ในการวางกรอบนโยบาย และการวางแผนการคุ้มครองทางสังคมส าหรับครัวเรือน เปราะบาง รวมถึงเป็นกรอบแนวทางให้ผู้สนใจในการวิเคราะห์ภาพอนาคต น าไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาต่อไป


2 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 บทที่2 กรอบคิดด้ำนกำรมองภำพอนำคต กรอบคิดด้านการมองภาพอนาคตในรายงานฉบับนี้เนื้อหาโดยส่วนใหญ่สรุปมาจากเอกสารงานอนาคตศึกษา อาทิ งานวิจัยของ รศ. ดร. อภิวัฒน์ รัตนวราหะ ภายใต้การสนับสนุนจากส านักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สรุปดังนี้ 2.1 ควำมส ำคัญของกำรศึกษำด้ำนอนำคต ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ได้ให้ความส าคัญกับการพยากรณ์ คาดการณ์อนาคต ส าหรับน ามาใช้ในการวางแผน และก าหนดนโยบายมากขึ้น อาทิ ประเทศสิงคโปร์ มีการจัดตั้ง Centre for Strategic Futures (CSF) เพื่อวิเคราะห์ภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลง การมองอนาคตและประเมินความเสี่ยง รวมทั้งมีการจัดตั้งสมาคม วิชาชีพด้านอนาคตศึกษาในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ Association Internationale Futuribles ในประเทศ ฝรั่งเศส World Future Society ในประเทศสหรัฐอเมริกา Japan Society of Futurology ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ เครือข่ายด้านอนาคตศึกษาได้มีการขยายเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีเฉพาะในแวดวงวิชาการในฝั่งทวีปยุโรปและ อเมริกาไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก และได้มีการจัดตั้งสมาพันธ์อนาคตศึกษาโลก ที่รวบรวมเครือข่ายด้านอนาคต ศึกษาทั่วโลกขึ้น ในการประชุมวิชาการ International Futures Research Conference เมื่อปี2516 ส าหรับใน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการรวมกลุ่มของนักอนาคตศึกษาในภูมิภาค เป็นเครือข่ายอนาคตศึกษาในเอเชียแปซิฟิก (Asia –Pacific Futures Network) และได้จัดประชุมประจ าปีครั้งล่าสุด ครั้งที่ 5 เมื่อพ.ศ. 2562 ณ กรุงเทพมหานคร อนาคตศึกษาหรืออนาคตศาสตร์ (Future studies) เป็นสาขาวิชาการหนึ่งที่มุ่งสร้างองค์ความรู้อย่างเป็น ระบบเกี่ยวกับการเข้าใจในอนาคต หรืออนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้ อนาคตเชื่อว่าเกิดขึ้นได้ และอนาคตที่คาดหวัง ให้เกิดขึ้น โดยมีเนื้อหาครอบคลุมพื้นฐานด้านปรัชญา ด้านวิธีการวิทยา รวมถึงกรอบแนวคิดและทฤษฎีที่อธิบาย การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ขอบเขตของอนาคตศึกษายังครอบคลุมถึงการวิเคราะห์อิทธิพลของภาพลักษณ์เกี่ยวกับอนาคต ของปัจเจกบุคคลและสังคมต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจในปัจจุบัน รวมถึงการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจาก ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการสร้างภาพอนาคตร่วมกัน และการสื่อสารผลลัพธ์การศึกษาอนาคตสู่สาธารณะเพื่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายและทางสังคม ทั้งนี้ งานศึกษาอนาคต นักวิชาการใช้ค าเรียกที่หลากหลาย อาทิ การท านาย (Prediction) การคาดการณ์ (Foresight) การพยากรณ์ (Forecast) 2.2 วิธีกำรวิเครำะห์ภำพอนำคตส ำหรับน ำมำใช้ในกำรวำงแผน ปัจจุบันนักวางแผนน ากรอบคิดด้านการมองภาพอนาคตระยะยาว และใช้วิธีการด้านอนาคตศึกษา ในกระบวนการวางแผนมากขึ้น โดยเฉพาะการวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและโอกาสการพัฒนา ในระยะยาว รวมถึงการสร้างทางเลือกในอนาคต เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจ และสามารถน าทางเลือกนั้นมา สร้างเป็นแผนการพัฒนาในการบรรลุเป้าหมายในอนาคต วิธีการศึกษาด้านอนาคตหรือการมองภาพอนาคต มีหลากหลายวิธีการ อาทิ การกวาดสัญญาณ วิธีเดลฟาย การสร้างฉากทัศน์ วิธีทางเศรษฐมิติและแบบจ าลองทางสถิติ การวิเคราะห์ชั้นสาเหตุ วิธีการวงล้ออนาคต การวิเคราะห์หลายมุมมอง ซึ่งการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ สถานการณ์ และบริบท ทั้งนี้ จะสรุปวิธีการที่นิยมใช้ ในการคาดการณ์อนาคต 3 วิธีการ ดังนี้


3 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 1) การกวาดสัญญาณ เป็นวิธีการพื้นฐานที่นักอนาคตศาสตร์ใช้ในการค้นหา เก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อแยกแยะว่าปัจจัยใดหรือเหตุการณ์ใดเป็นปัจจัยคงที่ (Constant) ปัจจัยใดเป็นปัจจัยเปลี่ยนแปลง (Change) และปัจจัยใดที่เปลี่ยนแปลงอย่างคงที่ (Constant change) รวมถึงสัญญาณอ่อน (Weak signals) ที่บ่งชี้ถึง การเปลี่ยนแปลงส าคัญที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และสาเหตุที่ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง ผลลัพธ์ จากการกวาดสัญญาณ ท าให้สามารถตัดสินใจได้ว่า ข้อสมมติพื้นฐานของการคาดการณ์ยังใช้ได้อยู่หรือไม่ ควรต้อง ปรับเปลี่ยนข้อสมมติและเงื่อนไขใดบ้างเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสในอนาคต เพื่อปรับเปลี่ยนแผนให้ดียิ่งขึ้น วัตถุประสงค์ของการกวาดสัญญาณ คือการค้นพบสิ่งบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาส าคัญที่อาจเกิดขึ้น ในอนาคตได้ล่วงหน้ามากที่สุดเท่าที่จะท าได้ มากกว่าการติดตามข่าวตามสื่อต่าง ๆ โดยเป็นกระบวนการที่ ออกแบบอย่างเป็นระบบเพื่อค้นหา วิเคราะห์ และประเมินความส าคัญของแนวโน้ม พัฒนาการ และประเด็นอุบัติใหม่ ที่อาจยังไม่ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต แต่อาจมีนัยส าคัญในเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการด้วย ขั้นตอนของการกวาดสัญญาณ แบ่งออกได้เป็น 6 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ (1) การระบุความต้องการในการ กวาดสัญญาณ (2) การคัดเลือกและเชิญผู้เข้าร่วมกระบวนการกวาดสัญญาณ (3) การเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (4) การวิเคราะห์ข้อมูล (5) การเผยแพร่ผลการกวาดสัญญาณ (6) การใช้ผลการวิเคราะห์ในการวางแผนเพื่อตัดสินใจ ตัวอย่างระบบโครงสร้างระบบการกวาดสัญญาณ ภำพที่ 1ตัวอย่างระบบโครงสร้างระบบการกวาดสัญญาณ ที่มา : รศ.ดร. อภิวัฒน์ รัตนวราหะ ดัดแปลงจาก Gordon and Glenn (2009) 2) วิธีเดลฟาย ได้รับการพัฒนาโดย Rand corporation ในช่วงทศวรรษที่ 1960 เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพ เทคโนโลยีทางทหาร ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ใช้การส ารวจเดลฟายในการคาดการณ์ ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการใช้วิธีการเดลฟายในการคาดการณ์โครงการขนาดใหญ่ทุก ๆ 5 ปี ทั้งนี้ การส ารวจเดลฟายเป็นวิธีการ ที่เหมาะส าหรับการคาดการณ์และประเมินภาพอนาคตระยะยาวประมาณ 20 – 30 ปี ของประเด็นที่เกิดใหม่ และยังไม่มีหลักฐานเขิงประจักษ์มากนัก


4 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ขั้นตอนของการส ารวจเดลฟาย มุ่งเน้นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการมากกว่า วิธีการทางสถิติโดยเริ่มจากการก าหนดประเด็นที่ต้องการศึกษา เพื่อระบุขอบเขต สาขาที่ต้องการวิเคราะห์ รวมถึง รายชื่อผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการเชิญเข้าร่วมกระบวนการ โดยต้องปกปิดชื่อและตัวตนของผู้เข้าร่วมกระบวนการ หลังจากนั้น จึงร่างค าถามส าหรับแบบสอบถามส่งให้ผู้เชี่ยวขาญตอบเป็นชุด ๆ ต่อเนื่องกัน และเปิดโอกาสให้มีการ โต้แย้งค าตอบและค าอธิบายที่เสนอไป ทั้งนี้ วิธีการเดลฟายเป็นการเปิดให้มีการโต้แย้งภายใต้สถานการณ์ที่นักวิจัย สามารถควบคุมได้ จนกระทั่งสามารถสร้างฉันทามติได้ระดับหนึ่ง ที่สามารถน าผลลัพธ์จากการคาดการณ์ไปใช้ใน การวางแผนต่อไป 3) การสร้างฉากทัศน์ (Scenario) เป็นวิธีการที่นักอนาคตศาสตร์นิยมใช้ในการคาดการณ์ ซึ่งภาพอนาคต สร้างขึ้นโดยอาศัยโครงเรื่องที่มาจากแนวโน้ม (Trends) และความไม่แน่นอน (Uncertainties) ที่อาจเกิดขึ้น ในอนาคต โดยภาพอนาคตจึงมีทั้งเหตุการณ์ที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ด้วยเหตุนี้ ภาพอนาคตจึงเป็นเรื่องราว ที่เป็นการแสดงความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยที่เป็นสาเหตุในปัจจุบันกับผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมกับ ระบุปัจจัยส าคัญที่เชื่อมสาเหตุกับปัจจัยเข้าด้วยกัน ฉากทัศน์มีความแตกต่างจากการพยากรณ์และการคาดประมาณ แนวโน้มอนาคตด้วยแบบจ าลองทางคอมพิวเตอร์ที่แสดงผลการคาดการณ์แตกต่างกันไปตามข้อสมมติและเงื่อนไข ที่ได้ก าหนดไว้ ทั้งนี้ ฉากทัศน์อนาคตจึงมิได้มุ่งไปที่ความแม่นย าของการคาดการณ์ แต่เพื่อประโยชน์ส าหรับการ ตัดสินใจด าเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เกณฑ์หลักในการประเมินฉากทัศน์ที่ดีมี 3 ประการ ได้แก่ (1) มีรายละเอียดของเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้น ได้จริง โดยแสดงความเชื่อมโยงเป็นกระบวนการที่ชัดเจนระหว่างปัจจัยและเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุและเหตุการณ์ ที่เป็นผลลัพธ์ (2) มีความสมเหตุสมผลของเรื่องราวที่เป็นฉากทัศน์ และแต่ละฉากทัศน์มีเนื้อหาหรือประเด็น ที่คล้ายกันเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกันได้ (3) มีเนื้อหาที่น่าสนใจที่ท าให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการพยายามคิดหา วิธีแก้ไขปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ ขั้นตอนของการสร้างฉากทัศน์ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ (1) การก าหนดขอบเขตหรือประเด็น ที่ต้องการสร้างฉากทัศน์ (2) การระบุปัจจัยขับเคลื่อนส าคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (3) การวิเคราะห์ปัจจัย ขับเคลื่อน (4) การสร้างฉากทัศน์ และ (5) การแปลงฉากทัศน์เป็นยุทธศาสตร์ส าหรับปัจจุบัน แผนภาพกระบวนการสร้างฉากทัศน์ ภำพที่ 2 แผนภาพกระบวนการสร้างฉากทัศน์ ที่มา : รศ.ดร. อภิวัฒน์ รัตนวราหะ ดัดแปลงจาก IZT (2007)


5 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 บทที่ 3 สถำนกำรณ์ทำงสังคมและบริบทแนวโน้มกำรเปลี่ยนแปลง 3.1 บริบทแนวโน้มกำรเปลี่ยนแปลงที่ส ำคัญ (Megatrends) สถานการณ์และปัญหาต่าง ๆ ของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความหลากหลาย ซับซ้อน ทั้งในด้าน เศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสภาพแวดล้อม ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย นอกจากนี้ บริบทแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญ (Megatrends) อาทิ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร การขยายตัวของสังคมเมือง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแพร่ระบาด ของโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ า ได้กลายเป็นตัวฉุดเร่งให้มีผลกระทบที่หนักและรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อประชากรทุกช่วงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเปราะบาง และแนวโน้มการเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเหล่านี้ยังเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ทางสังคม ทั้งด้านการศึกษาที่เด็กในครัวเรือนเปราะบางมีโอกาสหลุดออกจากระบบการศึกษา ปัญหาความรุนแรง ทางสังคมที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลุ่มประชากรที่อยู่ในครัวเรือนยากจนและครัวเรือนเปราะบางจะได้รับ ผลกระทบที่รุนแรงมากกว่า เนื่องจากข้อจ ากัดในการใช้ชีวิตและท างาน รวมถึง การขาดรายได้และหลักประกัน ทางเศรษฐกิจและสังคม 3.1.1 กำรเปลี่ยนแปลงโครงสร้ำงของประชำกร เป็นความท้าทายที่ส าคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ ลดต่ าลงอย่างต่อเนื่องจาก 6.7 แสนคน ในปี 2561 เหลือเพียง 5 แสนคน ในปี 2565 ซึ่งตามนโยบายและ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 - 2569) ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิด และการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ ของส านักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย ได้ก าหนดเป้าประสงค์ จ านวน การเกิดไม่น้อยกว่าปีละ 7 แสนคน ในขณะที่จ านวนเด็กเกิดใหม่ปี 2563-2565 มีจ านวน ต่ ากว่า 6 แสนคน ติดต่อกัน 3 ปี ถือเป็นวิกฤตเด็กเกิดน้อย ซึ่งสวนทางกับจ านวนผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 11.6 ล้านคน ในปี 2561 เป็น 12.7 ล้านคน ในปี 2565 ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมสูงวัยที่มีประชากรอายุมากกว่า 60 ปี สูงถึงร้อยละ 19.2 ของจ านวนประชากรทั้งประเทศ โดยผู้สูงอายุวัยต้น (อายุ 60-69 ปี) มีจ านวนมากที่สุด ในขณะที่ผู้สูงอายุวัยปลาย (อายุ 80 ปีขึ้นไป) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภาวะพึ่งพิงมากที่สุด มีอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี ร้อยละ 1.5 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน พบว่า ประเทศไทยมีระดับการสูงวัยเป็นอันดับ 2 รองจาก ประเทศสิงคโปร์ ภำพที่ 4 สถิติจ านวนผู้สูงอายุ ปี 2561-2565 ที่มา : กรมการปกครอง ภำพที่ 3 สถิติอัตราการเกิด ปี 2561-2565 ที่มา : กรมการปกครอง


6 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 คาดการณ์ว่าในอนาคตประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานจะมีจ านวนลดลง ข้อมูลจากส านักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าเด็กมีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 16 เหลือเพียงร้อยละ 13.3 ในปี 2583 เช่นเดียวกับสัดส่วนวัยแรงงานที่ลดลงจากร้อยละ 64.7 เหลือร้อยละ 55.5 ในปี 2583 ในขณะที่สัดส่วน ผู้สูงอายุมีจ านวนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19.2 เป็นร้อยละ 31.1 ในปี 2583 ส่งผลให้ในอนาคตประเทศจะต้องเผชิญกับ วิกฤตการขาดแคลนแรงงาน การขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนาประเทศ เกิดภาวะพึ่งพิงวัยแรงงาน ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการพัฒนาประเทศ และน าไปสู่ความท้าทายของงบประมาณ ในการจัดบริการทางสังคมส าหรับการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต รวมถึงการวางแผนพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างจาก ในปัจจุบันจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป อาทิ ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการจัดสภาพแวดล้อม สาธารณูปโภคต่าง ๆ 3.1.2 ควำมเป็นเมือง ความเป็นเมืองเป็น Mega trends ส าคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของจ านวนประชากรโลก รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจและโครงสร้างของระบบขนส่ง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เกิดการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองมากขึ้น โดยในปี 2017 มีประชากรโลก 7.6 พันล้านคน คาดว่าจะเพิ่มเป็น 8.6 พันล้านคน ในปี 2030 และเพิ่มสูงถึง 9.8 พันล้านคนในปี 2050 ขณะที่ สัดส่วนจ านวนคนเมืองเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากร้อยละ 54 ในปี 2016 เป็นร้อยละ 66 ในปี 2050 ส าหรับประเทศไทย สัดส่วนคนเมืองเพิ่มจากร้อยละ 52 ในปี 2016 เป็นร้อยละ 73 ในปี 2050 นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2025 เมืองทั่วโลกจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และในปี 2030 การขยายตัว ของความเป็นเมืองของอาเซียนจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 930 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภำพที่ 5 แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก และการคาดการณ์ประชากรในเขตเมืองของประเทศไทย ที่มา : บทความ Urbanization การขยายตัวของความเป็นเมือง ส านักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ปัจจัยที่เร่งให้เมืองขยายตัว ได้แก่ ความทันสมัยของเมือง การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การลงทุน โครงสร้างพื้นฐานอย่างทั่วถึง เทคโนโลยีใหม่ ๆ การลงทุนของบริษัทข้ามชาติ กระบวนการเปลี่ยนผ่าน ในภาคเกษตรกรรม ส่งผลให้คนชนบทย้ายเข้าสู่เมืองมากขึ้น


7 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 การขยายตัวของความเป็นเมืองเร่งการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสังคมในหลายมิติ จะช่วยสร้าง มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการขับเคลื่อนและพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม เกิดพื้นที่การเมืองและ วัฒนธรรมใหม่ ๆ อาทิ เมืองออกแบบเพื่อทุกกลุ่ม (Inclusive City) และเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เกิดการย้ายถิ่น ฐานของแรงงานจากชนบทเข้าสู่เมืองมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากผลการส ารวจของส านักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า การย้ายถิ่นด้วยสาเหตุด้านการงานเป็นสาเหตุหลัก คิดเป็นร้อยละ 34.8 ซึ่งอาจท าให้ปัญหาต่าง ๆ ในเมืองทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งปัญหาความแออัดจากการกระจุกตัว ของประชากร ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัย ปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม ปัญหาการเข้าไม่ถึง บริการของภาครัฐ ปัญหาการอพยพเข้าเมืองของแรงงานต่างชาติ รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ าทางสังคมเพิ่มสูงขึ้น ในเขตเมือง โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ าด้านรายได้ของประชากรเมือง เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลให้รูปแบบครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กต้องไปท างาน ต่างถิ่นเป็นปัจจัยส าคัญที่ส่งผลให้ครัวเรือนข้ามรุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 4.9 ในปี 2563 คาดการณ์ว่าจะ เพิ่มเป็นร้อยละ 7.7 ในปี 2583 ทั้งนี้ การขยายตัวของสังคมเมืองยังช่วยผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส าหรับการพัฒนา คุณภาพชีวิตของคนในเมือง อย่างไรก็ตาม การพัฒนานั้นหากมีการกระจุกตัวอยู่เพียงแค่จังหวัดใหญ่ ๆ จะท าให้ เกิดการแออัดจากการกระจุกตัวของประชากร ซึ่งการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการขยายตัวของความเป็นเมือง เป็นสิ่งส าคัญในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ ากัด เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี หากมีการพัฒนาเมือง ในแต่ละจังหวัดให้เกิดการขยายตัวของพื้นที่เมือง จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากชนบทสู่ความเป็นเมือง และในท้ายที่สุดจะลดความเหลื่อมล้ าระหว่างพื้นที่และเกิดความเท่าเทียมในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภำพที่ 6 สาเหตุของการย้ายถิ่น ที่มา : การส ารวจการย้ายถิ่นของประชากร พ.ศ. 2565 ส านักงานสถิติแห่งชาติ ภำพที่ 7 คาดการณ์ครัวเรือนข้ามรุ่น ที่มา : ครอบครัวไทยในอนาคต พ.ศ. 2583 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ ส านักงานการวิจัยแห่งชาติ


8 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 3.1.3 ควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่ำงรวดเร็ว ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด รวมถึงการเข้ามา มีบทบาทของระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ล้วนมีอิทธิพลต่อชีวิตประจ าวันและการท างาน ของประชากรทั่วโลก ส่งผลให้รูปแบบการด าเนินชีวิต การประกอบธุรกิจ และเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ส่งผลให้งานบางประเภทหายไปและเกิดงานประเภทใหม่ขึ้นมาทดแทน ข้อมูลจากรายงาน Future of Jobs 2023 โดย World Economic Forum พบว่า งานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดิจิทัลเป็นงานที่มี ความต้องการสูงในอนาคต ในขณะที่งานธุรการ ภาคการเงินมีแนวโน้มที่จะถูกทดแทนโดยเครื่องจักรหรือระบบ อัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้มีรูปแบบการท างานที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ การท างานแบบ Hybrid Working ซึ่งเป็นรูปแบบการท างานที่ผสมผสานระหว่างการท างานที่ส านักงาน ที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้ ก่อให้เกิดความยืดหยุ่น ในการท างาน สามารถลดค่าใช้จ่ายของพนักงานและองค์กร และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการท างานได้ดียิ่งขึ้น ภำพที่ 8 อาชีพที่มีแนวโน้มเติบโตและอาชีพที่มีแนวโน้มถูกทดแทน ที่มา : รายงาน Future of Jobs 2023 โดย World Economic Forum ความก้าวหน้าเทคโนโลยีช่วยให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น ทั้งในด้านอุตสาหกรรม การคมนาคม การศึกษา รวมถึงความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจน ามาด้วย ราคาของเทคโนโลยีที่สูงขึ้น จึงก่อให้เกิดผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี และน าไปสู่ ความเหลื่อมล้ าที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อวัยแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะต่ า ที่อาจถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี น าไปสู่ภาวะการว่างงาน ความเสี่ยงในการถูกเลิกจ้าง แรงงานบางส่วนต้อง กลายเป็นแรงงานนอกระบบ มีรายได้ไม่เพียงพอ กระทบถึงคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่


9 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 3.1.4 กำรเปลี่ยนแปลงของสภำพภูมิอำกำศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสถานการณ์ทางสิ่งแวดล้อมส าคัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ของมนุษย์ ทั้งอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ าทะเล การเกิดสภาพอากาศที่แปรปรวนและรุนแรง ส าหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงาน Global Climate Risk Index ปี 2021 พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9ของโลก ที่มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เกิดสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วในไทยถึง 146 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจประมาณ 7,719.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกกลุ่ม โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบางที่มี ความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ต่ ากว่า จากการเข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัยที่มีความปลอดภัย ความไม่มั่นคง ทางอาหาร ผลกระทบเหล่านี้อาจน าไปสู่การย้ายถิ่นฐานเพื่อท างานในเมือง สอดคล้องกับข้อมูลจากธนาคารโลก ที่ประเมินว่า หากไม่มีการด าเนินการเพื่อรับมือและแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน อาจผลักดันให้ผู้คนทั่วโลกถึง 216 ล้านคน ภายในปี 2050 ที่ต้องโยกย้ายถิ่นฐานภายในประเทศเพื่อหลีกหนี ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภำพที่ 9 การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่มา : บทความ ย้อนดูสถิติ 2 ทศวรรษ ประเทศใดเสี่ยงได้รับผลกระทบสูงสุดจากโลกรวน Thestandard 3.1.5 กำรแพร่ระบำดของโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ ำ การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีรายได้น้อยหรือครัวเรือนยากจน ซึ่งมีผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงอาศัยในครัวเรือน เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง เด็กเล็ก เป็นต้น โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 มีผลให้ ครัวเรือนกลุ่มเปราะบางดังกล่าวมีรายได้ที่ลดลงและรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าครัวเรือนทั่วไป รวมถึงมีหนี้สิน ทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงเป็นการยากที่ครัวเรือนกลุ่มดังกล่าวจะหลุดพ้นจากกับดัก ความยากจน และน าไปสู่ความเหลื่อมล้ าที่เพิ่มมากขึ้น ภำพที่ 10 รายได้และรายจ่ายในครัวเรือนที่มีกลุ่มเปราะบางแต่ละประเภท ที่มา : การส ารวจผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้านเศรษฐกิจ (ระบบออนไลน์) ระหว่างวันที่ 23 เมษายน - 18 พฤษภาคม 2563 โดย ส านักงานสถิติแห่งชาติ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติไทย หรือ ยูนิเซฟ ประเทศไทย มูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจ 7,719.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จ านวนเหตุการณ์ภัยพิบัติ 146 ครั้ง ประเทศที่มีความเสี่ยงจาก อันดับ 9 จาก 170 จาก 170 ประเทศทั่วโลก เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว


10 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 3.2 สถำนกำรณ์ทำงสังคมตำมประเด็นกลุ่มเป้ำหมำย 3.2.1 สถำนกำรณ์ทำงสังคมครัวเรือนเปรำะบำง ข้อมูลการส ารวจจ านวนครัวเรือนทั้งหมดจากส ามะโนประชากรและเคหะของส านักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ใน ปี2566 ประเทศไทยมีจ านวนครัวเรือนทั้งหมด 20.52 ล้านครัวเรือน และข้อมูลจากระบบสมุดพก ครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ก.ย. 66) มีจ านวนครัวเรือนเปราะบางทั้งหมด 8.99 แสนครัวเรือน ส่วนใหญ่อยู่ในครัวเรือนเปราะบางระดับ 2 (ครัวเรือนที่มี รายได้น้อย และมีบุคคลที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง 1–2 คน) 5.38 แสนครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 59.79 รองลงมาได้แก่ ครัวเรือนเปราะบางระดับ 1 (ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีไม่เกิน 100,000 บาท) 3.08 แสนครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 34.28 และครัวเรือนเปราะบางระดับ 3 (ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย และมีบุคคลที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง จ านวนมากกว่า 2 คน) 4.1 หมื่นครัวเรือนคิดเป็นร้อยละ 4.56 ตามล าดับ ระดับความเปราะบาง จ านวน (ครัวเรือน) ร้อยละ เปราะบางระดับ 0 12,386 1.38 เปราะบางระดับ 1 308,271 34.28 เปราะบางระดับ 2 537,736 59.79 เปราะบางระดับ 3 41,008 4.56 รวม 899,401 100.00 ตำรำงที่ 1 จ านวนและร้อยละของครัวเรือนเปราะบาง ที่มา : ระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ ปัญหาของสมาชิกในครัวเรือนที่พบมากที่สุด 3 ล าดับแรก ได้แก่ (1) ปัญหาการมีงานท า/รายได้ 8.63 แสนคน (2) ปัญหาครอบครัว 4.5 แสนคน และ (3) ปัญหาที่อยู่อาศัย 1.23 แสนคน ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ประมาณร้อยละ 83 ได้รับการให้ความช่วยเหลือแล้ว ทั้งนี้ มีถึงร้อยละ 16 ที่ยังไม่ได้ด าเนินการติดตามเพื่อแก้ไข ปัญหานอกจากนี้ ได้มีการจัดท าแผนการให้ความช่วยเหลือ 1.35 ล้านแผน โดยส่วนใหญ่เป็นการให้ค าแนะน า ร้อยละ 56 การช่วยเหลือโดย พม. ร้อยละ 41 และการประสานส่งต่อหน่วยงานอื่น ร้อยละ 4 ภำพที่ 11 สภาพปัญหาของสมาชิกในครัวเรือน ที่มา : ระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์


11 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ภำพที่ 12 สถานะการติดตามเพื่อแก้ไขปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหา ที่มา : ระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยถึงแม้จะมีสวัสดิการต่าง ๆรองรับคนทุกช่วงวัย แต่การ ช่วยเหลือส่วนใหญ่เป็นไปในรูปแบบของเงินสงเคราะห์ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้าท าให้ขาดความยั่งยืนในการ แก้ไขปัญหา และสะท้อนให้เห็นว่าระบบการคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทยยังไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมที่ จะท าให้ประชาชนมีความมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ 3.2.2สถำนกำรณ์ทำงสังคมเด็กและเยำวชน ข้อมูลจากกรมการปกครอง ในปี 2565 ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนจ านวน 19.83 ล้านคน คิดเป็น ร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ แบ่งเป็นเด็ก (0-17 ปี) จ านวน 13.02 ล้านคน เยาวชน (อายุ 18-25 ปี) จ านวน 6.81 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา เด็กและเยาวชนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมี อัตราลดลงจาก 21.51 ล้านคน ในปี 2561 เหลือเพียง 19.83 ล้านคน ในปี 2565 ลดลงถึงร้อยละ 7.84 เป็นผล จากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดต่ าลง การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ประกอบกับปัจจัยทางเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรค COVID-19 ยิ่งส่งผลให้ประชาชนทั่วไปชะลอการมีบุตร ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเกิดที่ลดลง โดยในปี 2565 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 5.02 แสนคน ซึ่งมีอัตราการเกิดต่ ากว่า 6 แสนคน เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ส่งผลต่อ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ และขาดแคลน ทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเกิดภาวะพึ่งพิงวัยแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ภำพที่ 13 สถิติจ านวนเด็กและเยาวชน ปี 2561 - 2565 ที่มา : กรมการปกครอง 7.84% จากปี 2561


12 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่ถูกกระท าความรุนแรงมากที่สุด ข้อมูลการสถิติการให้บริการ 1300 สายด่วน พม. พบว่า ในปี 2565 มีเด็กและเยาวชนถูกกระท าความรุนแรง 1,375 ราย จากผู้ถูกกระท าความรุนแรง ทั้งหมด 2,943 ราย ส่วนใหญ่เป็นการท าร้ายร่างกาย รองลงมา ได้แก่ การล่วงละเมิดทางเพศ และถูกกระท า อนาจาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระท าอนาจารที่มีจ านวนเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 33.33 จาก 129 รายในปี 2564 เป็น 172 รายในปี 2565 ซึ่งเด็กที่ถูกกระท าความรุนแรงจะเกิดผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงพฤติกรรม น าไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ตามมา อาทิ การเจริญเติบโตและพัฒนาการทางร่างกายที่ผิดปกติ การแยกตัวออกจากสังคม นิยมการใช้ความรุนแรง จนอาจน าไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตหรือความเครียดอย่างรุนแรง ภำพที่ 14 สถิติการให้บริการ 1300 สายด่วน พม. ประจ าปีงบประมาณ 2564-2565 ที่มา : ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 นอกจากนี้เด็กมีแนวโน้มติดเกม ข้อมูลการวิจัยของสมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) ร่วมกับส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า เด็ก 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างกว่า 3,292 คน ที่เคยเล่นเกมในรอบ 12 เดือน ใช้ระยะเวลาในการเล่นเกมเฉลี่ยวันละ 5 ชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 85 เล่นเพื่อความสนุกสนาน ในขณะที่ร้อยละ 60 เล่นเกมเพราะไม่มีอะไรท า และบางส่วนเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า เดือนละ 5,000 บาท ซึ่งการเล่นเกมส่งผลต่อพฤติกรรมอย่างมีนัยส าคัญทั้งด้านพฤติกรรม อารมณ์ และผลการเรียน 3.2.3 สถำนกำรณ์ทำงสังคมผู้สูงอำยุ ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ ข้อมูลจากกรมการปกครอง พบว่า ในปี 2565 มีจ านวนผู้สูงอายุสูงถึง 12.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 19.21 ของประชากรทั้งประเทศ โดยเป็นเพศชาย 5.62 ล้านคน และเพศหญิง 7.08 ล้านคน เมื่อแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุตามช่วงวัยจะพบว่ามีผู้สูงอายุวัยต้น (อายุ 60-69 ปี) มากที่สุด (ร้อยละ 56.07) ซึ่งในทุกช่วงวัยมีผู้สูงอายุเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ทั้งนี้ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายจะส่งผลให้เกิดภาวะ พึ่งพิงวัยแรงงานเพิ่มสูงขึ้น งบประมาณด้านการจัดสวัสดิการสังคมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น น าไปสู่ความท้าทายของ งบประมาณในการจัดบริการทางสังคมส าหรับการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต 4.64% จากปี 2564


13 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ภำพที่ 15 สถิติจ านวนผู้สูงอายุ ปี 2561 - 2565 ที่มา : กรมการปกครอง ภำพที่ 16 จ านวนผู้สูงอายุจ าแนกตามเพศและกลุ่มช่วงวัย ที่มา : กรมการปกครอง โดยจังหวัดที่มีอัตราส่วนผู้สูงอายุต่อประชากร 100 คน พบว่า จังหวัดล าปาง มีอัตราผู้สูงอายุมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 26.62 ส่วนจังหวัดนราธิวาสมีอัตราผู้สูงอายุน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 12.29 จังหวัดที่มีอัตราผู้สูงอายุมากที่สุด 5 ล าดับแรก จังหวัดที่มีอัตราผู้สูงอายุน้อยที่สุด 5 ล าดับแรก 1. ล าปาง (ร้อยละ 26.62) 1. นราธิวาส (ร้อยละ 12.29) 2. แพร่ (ร้อยละ 26.22) 2. ตาก (ร้อยละ 12.52) 3. ล าพูน (ร้อยละ 26.12) 3. ปัตตานี(ร้อยละ 12.61) 4. สิงห์บุรี(ร้อยละ 26.06) 4. ยะลา (ร้อยละ 12.82) 5. ชัยนาท (ร้อยละ 24.93) 5. ภูเก็ต (ร้อยละ 12.86) ตำรำงที่ 2 เรียงล าดับ 5 จังหวัดที่มีอัตราผู้สูงอายุมากที่สุดและน้อยที่สุด ที่มา : กรมการปกครอง 14.83% จากปี 2561 5.62 ล้านคน 7.08 ล้านคน จ านวนผู้สูงอายุจ าแนกตามเพศและกลุ่มช่วงวัย


14 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 การดูแลผู้สูงอายุ ข้อมูลจากการส ารวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย ปี 2564 พบว่า ผู้สูงอายุที่มี ผู้ดูแลมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 10.4 โดยการมีผู้ดูแลผู้สูงอายุนั้นเพิ่มขึ้นตามวัยที่มากขึ้นของผู้สูงอายุ และมากกว่า ครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 59.9) มีบุตรเป็นผู้ดูแล ซึ่งมีผู้ดูแลเพียงร้อยละ 5.9 เท่านั้น ที่ได้รับการอบรมแบบเป็นทางการ จากบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้พัฒนาศักยภาพอาสาสมัคร พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุ) เพื่อเป็นกลไกในการช่วยเหลือดูแล และคุ้มครอง พิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุ ความมั่นคงด้านรายได้ของผู้สูงอายุ ข้อมูลจาก การส ารวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย ปี 2564 พบว่า ผู้สูงอายุประมาณ 2 ใน 5 มีรายได้เพียงพอเป็นบางครั้ง และไม่เพียงพอ ซึ่งเงินสวัสดิการช่วยเหลือจากภาครัฐ อย่างเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มีบทบาทส าคัญในการช่วยเหลือ ผู้สูงอายุที่มีความสามารถในการหารายได้และมีเงินออมต่ า โดยผู้สูงอายุที่มีเบี้ยยังชีพเป็นแหล่งรายได้หลักมีสัดส่วน สูงถึงร้อยละ 19.2 ของจ านวนผู้สูงอายุทั้งหมด โดยเป็น ล าดับ 3 รองจากการท างานที่มีสัดส่วนร้อยละ 32.4 และ รายได้จากบุตร ร้อยละ 32.2 ทั้งนี้ พบว่า ครึ่งหนึ่งของ ผู้สูงอายุ (ร้อยละ 54.3) มีการออม ซึ่งการเตรียมตัวเข้าสู่ วัยสูงอายุด้วยการออมและมีการบริหารจัดการด้านการเงิน ที่ดีเป็นสิ่งส าคัญที่จะท าให้ผู้สูงอายุมีความมั่นคงในชีวิต และสามารถพึ่งพาตนเองได้ การท างานของผู้สูงอายุมีบทบาทส าคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ข้อมูลจากส านักงาน สถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี 2565 ผู้สูงอายุที่ท างานมีจ านวน 4.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 2 แสนคน ส่วนใหญ่ท างานในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเพศชายมีสัดส่วนการท างานที่สูงกว่าเพศหญิง มีเวลาท างานเฉลี่ยประมาณ 39 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถือว่าอยู่ในจ านวนชั่วโมงการท างานปกติ ขณะที่เงินเดือนของผู้สูงอายุที่ท างานเป็นลูกจ้าง พบว่า ภาพรวมได้รับค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 1.2 หมื่นบาท อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานในระบบ มีเพียง 6.4 แสนคน (ร้อยละ 13.6) ส่วนผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบมีมากถึง 4.1 ล้านคน (ร้อยละ 86.4) ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบไม่ได้รับความคุ้มครอง หรือไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการท างาน และมีความเสี่ยงสูงจากการถูกเลิกจ้างกะทันหันจากสภาวะ เศรษฐกิจ รวมทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งปัญหาจากค่าตอบแทน ความไม่ปลอดภัยในการท างาน สภาพแวดล้อมการท างานที่ไม่เหมาะสม การไม่ได้รับสวัสดิการความคุ้มครอง ความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความเป็น ธรรมในการจ้างงาน รวมถึงมีรายได้ไม่แน่นอนและไม่เพียงพอต่อการออม ภำพที่ 17 แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุ ที่มา : การส ารวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย ปี 2564 ส านักงานสถิติแห่งชาติ


15 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ภำพที่ 18 จ านวนผู้สูงอายุที่มีงานท า ที่มา : การส ารวจภาวะการท างานของประชากร และการส ารวจแรงงานนอกระบบ ส านักงานสถิติแห่งชาติ ทั้งนี้ การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน โดยการส่งเสริมสนับสนุนให้ ผู้สูงอายุมีงานท า มีเงินออม รวมทั้งสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการต่างๆ จะท าให้ผู้สูงอายุด ารงชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรีและเป็นพลังพัฒนาสังคมต่อไป 3.2.4 สถำนกำรณ์ทำงสังคมสตรีและครอบครัว ข้อมูลจากสถานการณ์สตรีไทย ปี 2566 กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พบว่า สัดส่วนหัวหน้า ครัวเรือนเพศหญิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 35.9 ในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 38.9 ในปี 2562 อย่างไรก็ตาม เพศหญิงมีงานท าและมีส่วนร่วมในก าลังแรงงานน้อยกว่าเพศชาย โดยเพศหญิงมีงานท า 18 ล้านคน ในขณะที่ เพศชายมีงานท า 20.93 ล้านคน ภำพที่ 19 สัดส่วนหัวหน้าครัวเรือนเพศหญิง ที่มา : สถานการณ์สตรีไทย ปี 2566 กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ข้อมูลจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พบว่า ในปี 2565 มีผู้ถูกกระท าความรุนแรงในครอบครัว 2,347 ราย เฉลี่ยวันละ 6 ราย โดยเพศชายเป็นฝ่ายกระท า ความรุนแรงสูงถึงร้อยละ 81.08 ขณะที่เพศหญิงเป็นฝ่ายถูกกระท าความรุนแรงคิดเป็นร้อยละ 77.09และเมื่อเกิดเหตุ ความรุนแรงร้อยละ 78.24 มักไม่ด าเนินคดีทั้งนี้ ผู้กระท าและผู้ถูกกระท าความรุนแรงส่วนใหญ่มักเป็นความสัมพันธ์ ในรูปแบบสามีภรรยา ซึ่งการท าร้ายร่างกายเป็นความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นมากที่สุด โดยสาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากการเมาสุรา/ยาเสพติด ปัญหาทางสุขภาพกาย/จิต และการนอกใจ/หึงหวง มีปัจจัยกระตุ้นที่ก่อให้เกิด ความรุนแรงในครอบครัวคือ ยาเสพติด สุรา สุขภาพกาย/จิต การหึงหวง รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและการตกงาน จ านวนผู้สูงอายุที่มีงานท า 2.57 ล้านคน 2.17 ล้านคน ภำพที่ 20 อัตราการมีงานท าและก าลังแรงงานจ าแนกตามเพศ ที่มา : สถานการณ์สตรีไทย ปี 2566 กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว


16 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ภำพที่ 21 สถิติความรุนแรงในครอบครัว ปีงบประมาณ 2559-2565 ที่มา : กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่อัตราการเกิดลดลงและมีจ านวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รูปแบบครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและมีความหลากหลายมากขึ้น อาทิ ครอบครัวพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวผสม ครอบครัวคู่รักเพศเดียวกัน รวมทั้งครอบครัวข้ามรุ่น โดยข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล คาดประมาณสัดส่วนประชากรในครัวเรือนรูปแบบต่างๆ พบว่า ครัวเรือนข้ามรุ่นในปี 2563 มีเพียงร้อยละ 4.7 และเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 7.6 ในปี 2583 ปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยส าคัญที่ส่งผลต่อการ เป็นครอบครัวข้ามรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหลื่อมล้ าทางเศรษฐกิจส่งผลให้วัยแรงงานอพยพย้ายถิ่นฐานเข้าไป ท างานต่างถิ่น ซึ่งได้รับค่าตอบแทนสูงกว่า ในขณะที่การเลี้ยงดูบุตรควบคู่ไปกับการท างานอาจมีข้อจ ากัดในด้าน ค่าใช้จ่ายและการขาดแคลนสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพ ไว้ใจได้ จึงมีความจ าเป็นในการส่งบุตรไปให้ผู้สูงอายุดูแล รวมถึงการหย่าร้าง การเสียชีวิตของบิดา/มารดา ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ท าให้รูปแบบครอบครัวเปลี่ยนแปลงเป็น ครอบครัวข้ามรุ่น ซึ่งหากขาดความพร้อมในการดูแล จะส่งผลให้เด็กขาดพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย เกิดปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว เด็กมีปัญหาส่วนตัว มีช่องว่างระหว่างวัย นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่ต้องดูแล หลานแทนบิดา/มารดา และไม่มีความพร้อมด้านรายได้ ท าให้เกิดภาวะเครียดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปัญหา ด้านอารมณ์และพฤติกรรมของเด็ก และอาจก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมในอนาคต เช่นเดียวกับครัวเรือนพ่อ/แม่คนเดียว ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากร้อยละ 10.2 ในปี 2563 เพิ่มเป็น ร้อยละ 11 ในปี 2583 โดยการเกิดครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมีสาเหตุจากหลายประการ ทั้งการเสียชีวิตของคู่สมรส การมีลูกเมื่อยังไม่พร้อม การทอดทิ้ง รวมถึงการหย่าร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ข้อมูลรายงานสถิติจ านวนทะเบียนหย่า กรมการปกครอง พบว่า ในปี 2564 มีอัตราการหย่าร้าง 110,942 คู่ เพิ่มเป็น 146,159 คู่ในปี 2565 ส่งผลให้ ครอบครัวที่มีลูกกลายเป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น และจะส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกในครอบครัว ทั้งความเครียดที่เกิดจากการที่ต้องท าหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของสถานะ ทางเศรษฐกิจของครอบครัว รายได้ที่ลดลงมีผลต่อโอกาสทางการศึกษาที่ลูกจะได้รับ รวมถึงเวลาที่ใช้ท ากิจกรรม ร่วมกันกับลูกลดลงเนื่องจากการใช้เวลาส่วนใหญ่ของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวหมดไปกับการท างานเพื่อหารายได้ ซึ่งอาจ น าไปสู่ปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรมของเด็ก


17 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 จ าแนกตาม อายุ วัยแรกเกิด 12,152 วัยเด็ก 66,753 วัยรุ่น 73,103 วัยแรงงาน 859,555 สูงอายุ 1,265,746 3.2.5 สถำนกำรณ์ทำงสังคมคนพิกำร รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ประเทศไทยมีคนพิการที่ได้รับการออกบัตรประจ าตัวคนพิการจ านวน 2.20 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 3.18 ของประชากรทั้งประเทศ เป็นเพศชายร้อยละ 52.08 และเพศหญิงร้อยละ 47.92 โดยส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก ภาคใต้ ตามล าดับ ส าหรับในกรุงเทพฯ มีคนพิการจ านวนประมาณ 1.05 แสนคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.75 โดยคนพิการกว่าครึ่งหนึ่งมีความพิการทางการเคลื่อนไหว ภำพที่ 22 จ านวนคนพิการจ าแนกตามภูมิภาค ที่มา : กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อวิเคราะห์ตามอายุ พบว่า คนพิการสูงอายุ (ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป) มีจ านวนมากที่สุด 1.27 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 57.42 รองลงมาคือคนพิการที่อยู่ในวัยท างาน (อายุ 15 - 59 ปี) มีจ านวน 8.6 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 39 ภำพที่ 23 จ านวนคนพิการจ าแนกตามอายุ ที่มา : กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ แม้ว่าประเทศไทยจะมีคนพิการเป็นจ านวนสูงถึง 2 ล้านคน แต่คนพิการที่มีงานท าเพียง 3 แสนกว่าคน หรือ คิดเป็นร้อยละ 36.31 ของจ านวนคนพิการในวัยแรงงานทั้งหมด ที่มีจ านวน 859,555 คน โดยอยู่ใน ภาคเกษตรกรรม มากที่สุด ประมาณ 1.67 แสนคน เป็นสัดส่วนร้อยละ 53.41 ของคนพิการที่มีงานท าทั้งหมด รองลงมาได้แก่ อาชีพรับจ้าง ในสัดส่วนร้อยละ 23.93 ทั้งนี้ยังมีคนพิการที่ไม่มีงานท าเป็นจ านวนสูงถึง 5 หมื่นคน


18 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 3.2.6สถำนกำรณ์ทำงสังคมคนไร้บ้ำน คนไร้บ้านมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปี 2566 มีจ านวนคนไร้บ้านทั้งสิ้น 2,499คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 631 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชายคิดเป็นร้อยละ 82.5 และอยู่ในวัยกลางคนมากที่สุด ซึ่งกรุงเทพมหานครเป็นจังหวัด ที่พบคนไร้บ้านมากที่สุดจ านวน 1,271 คน โดยการเพิ่มขึ้นของจ านวนคนไร้บ้านเป็นผลจากการแพร่ระบาดของ โรค COVID-19 ที่ท าให้เกิดภาวะการตกงานจากการทยอยปิดตัวของสถานประกอบการรายย่อย ส่งผลให้เกิดการ ว่างงานและขาดรายได้ จึงไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าที่พัก และถูกผลักดันออกมาจนเกิดปรากฏการณ์ “คนไร้บ้าน หน้าใหม่” เพิ่มขึ้น ภำพที่ 24 จ านวนคนไร้บ้านจ าแนกตามเพศ ที่มา : ข้อมูลสถิติการส ารวจข้อมูลแจงนับ คนไร้บ้าน สนับสนุนโดย ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ข้อมูลการให้บริการประชาชน ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (ตุลาคม 2564 - 30 กันยายน 2565) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พบว่า มีจ านวนผู้ใช้บริการรวมทั้งสิ้น 150,729 คน โดยมี(1) ผู้ใช้บริการ ในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 77 แห่ง จ านวน 50,122 คน แบ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่รับเข้าคุ้มครองภายใน จ านวน 3,007 คน และให้บริการภายนอก จ านวน 47,115 คน (2) ผู้ใช้บริการสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง ที่รับเข้าคุ้มครองภายใน จ านวน 53,462 คน และ (3) ผู้ใช้บริการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิต 3 แห่ง ที่รับเข้าคุ้มครองภายใน จ านวน 2,168 คน นอกจากนี้ ข้อมูลสถิติการจัดระเบียบผู้ท าการขอทาน ประจ าปีงบประมาณ 2564 พบว่า มีจ านวน ผู้ท าการขอทาน ทั้งสิ้น 6,199 คน เป็นผู้ท าการขอทานคนไทย 3,930 คน และผู้ท าการขอทานต่างด้าว 2,269 คน ภำพที่ 25 จังหวัดที่มีจ านวนคนไร้บ้านมากที่สุด 5 ล าดับแรก ที่มา : ข้อมูลสถิติการส ารวจข้อมูลแจงนับ คนไร้บ้าน สนับสนุนโดย ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภำพที่ 26 จ านวนคนไร้บ้านจ าแนกตามอายุ ที่มา : ข้อมูลสถิติการส ารวจข้อมูลแจงนับ คนไร้บ้าน สนับสนุนโดย ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 33.78% จากปี 2565 จ านวนคนไร้บ้าน


19 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ภำพที่ 27 รายงานข้อมูลการให้บริการประชาชน ที่มา : กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ 3.2.7 สวัสดิกำรกำรดูแลกลุ่มเปรำะบำง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีการจัดสวัสดิการในรูปตัวเงินให้กับ กลุ่มเปราะบางทั้งกลุ่มเด็กเล็กในครอบครัวยากจน ผู้สูงอายุ และคนพิการ ได้แก่ (1) เงินอุดหนุนเพื่อกำรเลี ยงดูเด็กแรกเกิด แก่ครัวเรือนที่มีเด็กเล็กในวงเงิน 600 บาทต่อเดือน ตั้งแต่ แรกเกิดจนกระทั่งถึง 3 ปี ในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน (รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยไม่เกิน 36,000 บาทต่อคนต่อปี) และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ได้ขยายอายุเป็นตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี ในครัวเรือนยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจนที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี (2) เบี ยยังชีพผู้สูงอำยุโดยเป็นการจัดเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในอัตราขั้นบันได ภำพที่ 28 อัตราการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่มา : กรมกิจการผู้สูงอายุ 800 อายุ 80-89 ปี บาท/เดือน อายุ 90 ปีขึ้นไป 1,000 บาท/เดือน 700 อายุ 70-79 ปี บาท/เดือน 600 อายุ 60-69 ปี บาท/เดือน อัตราการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ


20 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 (3) เบี ยควำมพิกำร โดยจ่ายเงินให้กับคนพิการที่มีบัตรประจ าตัวคนพิการในอัตรา 800 บาทต่อเดือน และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ได้เห็นชอบปรับเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นจากเดิม 800 บาท เป็น 1,000 บาทต่อเดือน ให้กับคนพิการ 2 กลุ่ม กลุ่มคนพิการที่มีอายุต่ ากว่า 18 ปีและคนพิการที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การขยายกลุ่มเป้าหมายให้มีความครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มเงินสวัสดิการสังคมให้แก่ กลุ่มเป้าหมาย ทั้งคนพิการ ครัวเรือนที่มีเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ค่าครองชีพ ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มเปราะบางทั้งครัวเรือนที่มีเด็กเล็ก คนพิการ และผู้สูงอายุได้รับความคุ้มครองมากขึ้น มีรายได้ส าหรับการด ารงชีพและเลี้ยงดูครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จ านวน กลุ่มเป้าหมาย และจ านวนเงินที่เพิ่มขึ้น ท าให้ที่ผ่านมาเงินสวัสดิการสังคมส าหรับกลุ่มเปราะบางทั้งสามกลุ่ม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 งบประมาณส าหรับการจัดสวัสดิการในรูปตัวเงินส าหรับโครงการ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยความพิการ รวมกันเป็นจ านวนเงินสูงถึง 1.19 แสนล้านบาท ภำพที่ 29 งบประมาณในการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด เบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่มา : รายงานประจ าปีงบประมาณ 2563 - 2565 กรมบัญชีกลาง


21 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 บทที่4 ผลกำรวิเครำะห์ สถานการณ์และปัญหาต่าง ๆ ของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความหลากหลาย ซับซ้อนและ มีระดับความรุนแรงที่มากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการด ารงชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชนทุกกลุ่มทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในครัวเรือนยากจน และกลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีหลักประกันและความมั่นคงในชีวิต ที่ต่ ากว่าประชาชนทั่วไป ปัจจุบันแม้ว่าภาครัฐมีมาตรการในการเยียวยา ช่วยเหลือ และดูแลประชาชนกลุ่มดังกล่าว แต่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังคงมีอยู่ จึงจ าเป็นต้องมีข้อเสนอแนวทางมาตรการเพื่อดูแล ประชากรกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเติม ให้สามารถด ารงชีวิตอยู่ได้ ภายใต้หลักคิด พม. พอใจ ให้ทุกวัยพึงใจใน พม. 4.1 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มทำงสังคมตำมประเด็นกลุ่มเป้ำหมำย 4.1.1 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มครัวเรือนเปรำะบำง (1) ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นหัวหน้ำครัวเรือนเปรำะบำงเพิ่มขึ น ข้อมูลจากส านักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า รายได้ ค่าใช้จ่าย และความสามารถในการช าระหนี้สินของครัวเรือนเปราะบางที่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้า ครัวเรือนมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งผู้หญิงยังมีข้อจ ากัดทางด้านสังคม รวมถึงค่าตอบแทนที่ได้รับที่ต่ ากว่าเพศชาย สะท้อน ให้เห็นถึงความท้าทายส าหรับผู้หญิงที่ต้องรับบทบาทผู้น าครอบครัว (2) วิกฤตของสภำพภูมิอำกำศส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อกลุ่มคนเปรำะบำงมำกกว่ำกลุ่มคนปกติ จากการเปลี่ยนแปลงของภาพอากาศส่งผลต่อการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ประกาศเตือนว่าปรากฏการณ์เอลนีโญในปีนี้ จะท าให้โลกร้อนขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาก่อนมาก ประเทศไทยต้อง เตรียมรับมือกับภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกกลุ่ม โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบางที่มีความสามารถในการ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ต่ ากว่า จากการเข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัยที่มีความปลอดภัย ความไม่มั่นคงทางอาหาร ผลกระทบเหล่านี้อาจน าไปสู่การย้ายถิ่นฐานเพื่อท างานในเมือง 4.1.2 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มเด็กและเยำวชน (1) เด็กและเยำวชนมีแนวโน้มลดต่ ำลงอย่ำงต่อเนื่อง ส่งผลต่อกำรขำดแคลนแรงงำนในอนำคต รวมทั งเกิดภำวะพึ่งพิงวัยแรงงำนที่เพิ่มสูงขึ น ข้อมูลจากกรมการปกครอง ในปี 2565 ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ เพียง 5.02 แสนคน ซึ่งมีอัตราการเกิดต่ ากว่า 6 แสนคน เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน สวนทางกับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ โดยข้อมูลจากส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ว่าในปี 2583 สัดส่วนวัยเด็ก จะมีเพียงร้อยละ 13.3 ในขณะที่วัยแรงงานเหลือร้อยละ 55.5 และสัดส่วนของผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 31.1 ขณะเดียวกัน ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ว่า อีก 77 ปีข้างหน้า ประเทศไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 23 ประเทศ ที่จะมีจ านวนประชากรลดลงครึ่งหนึ่งจาก 71 ล้านคน เหลือ 35 ล้านคน ซึ่งในอนาคต จะท าให้จัดเก็บภาษีได้ลดลง การขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ อาจเกิดสังคมไร้ลูกหลาน ผู้สูงอายุขาดคนดูแล


22 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ภำพที่ 30 สัดส่วนประชากรตามช่วงอายุ ที่มา : ข้อมูลปี 2536 และปี 2565 เป็นข้อมูลจากระบบสถิติทางการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ส่วนข้อมูลปี 2583 เป็นข้อมูลจาก รายงานการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 - 2583 (ฉบับปรับปรุง) ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2) เด็กวัยเรียนในครัวเรือนเปรำะบำงมีโอกำสหลุดออกนอกระบบกำรศึกษำเพิ่มมำกขึ น ส่งผลให้ ควำมเหลื่อมล ำทำงกำรศึกษำขยำยตัวมำกขึ น และมีแนวโน้มเข้ำสู่ควำมยำกจนมำกขึ น จากสถานการณ์ ทางสังคมไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้เด็กในครัวเรือน เปราะบางมีแนวโน้มที่จะหลุดออกนอกระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัญหาทางด้านการเงิน ต้องออกมา ท างานหารายได้จุนเจือครอบครัว การเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในการเรียน ซึ่งจะส่งผลให้ความเหลื่อมล้ า ทางการศึกษาขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ พบว่า ในปีการศึกษา 2564 มีจ านวนเด็ก หลุดออกจากระบบการศึกษาสูงถึง 2.3 แสนคน ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2565 สามารถน าเด็กกลับเข้าระบบ การศึกษาได้แล้วร้อยละ 92 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ตามมาของการหลุดออกนอกระบบการศึกษา จะส่งผลให้ เด็กเสียโอกาสในการน าทักษะความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว รวมถึงการสูญเสียบุคลากรที่จะเป็นก าลังส าคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ (3) เด็กมีแนวโน้มกำรใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันเพิ่มสูงขึ น ส่งผลต่อสุขภำพกำยและสุขภำพทำงจิต อำจท ำให้เกิดควำมเครียด และน ำไปสู่ปัญหำทำงอำรมณ์ ข้อมูลจากส านักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า เด็กในกลุ่ม GEN Z มีการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 12 ชั่วโมง 5 นาที ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 เกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งหากใช้อินเทอร์เน็ตเป็นระยะเวลานานเกินไป จะส่งผลกระทบต่อเด็กในระยะยาวทั้งด้านสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ภำพที่ 31 พฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ที่มา : ส านักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สูงสุด (ชม./วนั ) สูงสุด (ชม./วนั ) Generation Z 10.35 12.5 Generation Y 10.36 11.52 Generation X 9.49 9.12 Generation Boomers+ 10 6.21 ปี2562 ปี2564 พฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย


23 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 4.1.3 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มผู้สูงอำยุ (1) ผู้สูงอำยุมีแนวโน้มเพิ่มขึ นอย่ำงมำกในอนำคต ส่งผลให้งบประมำณด้ำนกำรจัดสวัสดิกำรสังคม มีแนวโน้มเพิ่มขึ น น ำไปสู่ควำมท้ำทำยของงบประมำณในกำรจัดบริกำรทำงสังคมส ำหรับกำรดูแลผู้สูงอำยุในอนำคต คาดการณ์ว่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นแตะหลักแสนล้านบาท ข้อมูลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ว่า ในปี 2567 งบประมาณเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะมี จ านวนสูงถึง 1.1 แสนล้านบาท และในปี 2583 เพิ่มเป็น 1.66 แสนล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ ซึ่งจะน าไปสู่ความท้าทายในการจัดสรรงบประมาณในการดูแลผู้สูงอายุ ภำพที่ 32 คาดการณ์จ านวนผู้สูงอายุและงบประมาณรายจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่มา : ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2) อัตรำกำรพึ่งพิงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ น ส่งผลกระทบต่อกำรขำดแคลนวัยแรงงำนและกำรแย่งชิง แรงงำนในอนำคต ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์ว่า ในปี2583 จะมีผู้สูงอายุ มากถึง 20.5 ล้านคน ในขณะที่ประชากรในวัยแรงงาน จะลดลงเหลือ 36.6 ล้านคน จาก 42.7 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้ อัตราส่วนการพึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 29.6 ในปี 2565 เป็นร้อยละ 53.6 ในปี 2583 หรือกล่าวได้ว่า ประชากรวัยแรงงาน 100 คน จะต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุประมาณ 54 คน ในขณะที่อัตราการเกื้อหนุน มีแนวโน้มลดลง คือ มีวัยแรงงานดูแลลดลงจาก 3.4 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน ในปี 2565 เหลือเพียง 1.8 คน ในปี 2583 ท าให้วัยแรงงานไม่สามารถเกื้อหนุนได้เพียงพอ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในอนาคต อาทิแนวโน้มการขยายตัวทาง เศรษฐกิจที่ลดงลงเป็นผลจากการลงลดของก าลังแรงงาน อุปสงค์ภายในประเทศจะเปลี่ยนแปลง การออมและ การลงทุนในประเทศจะลดลง และการเพิ่มขึ้นของงบประมาณรายจ่ายในขณะที่งบประมาณรายได้ลดลง เนื่องจาก รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณด้านสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุมากขึ้น จึงอาจน าไปสู่การขาดดุลงบประมาณและ การสะสมหนี้สาธารณะ ภำพที่ 33 อัตราการพึ่งพิงวัยสูงอายุและอัตราการเกื้อหนุน ที่มา : ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ


24 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 4.1.4 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มสตรีและครอบครัว คำดกำรณ์สัดส่วนประชำกรในครัวเรือนเปลี่ยนแปลงไป จากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง ประชากรที่อัตราการเกิดลดลงและมีจ านวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รูปแบบครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและ มีความหลากหลายมากขึ้น ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ครัวเรือนพร้อมหน้า มีแนวโน้มลดลง ครัวเรือนไม่พร้อมหน้าซึ่งหมายถึงครัวเรือนเลี้ยงเดี่ยว และครัวเรือนข้ามรุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี 2563 มีครัวเรือนเลี้ยงเดี่ยว ร้อยละ 10.2 คาดประมาณว่าในปี 2583 จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ ร้อยละ 11 ขณะที่ครัวเรือนข้ามรุ่นเพิ่มขึ้นเช่นกันจากร้อยละ 4.7 เป็นร้อยละ 7.6 ในปี 2853 ซึ่งเป็นประเด็น ที่ท้าทายในการน าไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กไทยในอนาคต ภำพที่ 34 การคาดประมาณสัดส่วนประชากรในครัวเรือนรูปแบบต่าง ๆ ที่มา : ข้อมูลการคาดประมาณสัดส่วนประชากรเด็ก วัยท างาน และผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยในครัวเรือนรูปแบบต่างๆ ระหว่างปี 2554-2583 โดยโครงการวิจัย “อนาคตประเทศไทย มิติที่ 1 ประชากรและโครงสร้างสังคม” ด าเนินการโดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับทุนสนับสนุนจาก ส านักงานสภาการวิจัยแห่งชาติ 4.1.5 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มคนพิกำร จ ำนวนคนพิกำรในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ น สวนทำงกับอัตรำกำรจ้ำงงำนคนพิกำรที่มี แนวโน้มลดลง ส่งผลกระทบต่อคุณภำพชีวิตของคนพิกำร ข้อมูลจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ พบว่า จ านวนคนพิการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 2.08 ล้านคน ในปี 2563 เพิ่มเป็น 2.2 ล้านคน ในปี 2566 สวนทางกับการจ้างงานมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 84.65 เหลือร้อยละ 68.28 โดยมีการจ้างงาน คนพิการในสถานประกอบการเฉลี่ยร้อยละ 95.31 ขณะที่การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐยังค่อนข้างต่ า เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 18.7 ซึ่งอัตราส่วนการจ้างงานคนพิการที่ลดลง จะส่งผลให้คนพิการขาดรายได้จากการ ประกอบอาชีพ กระทบถึงการด ารงชีวิต รวมทั้งคนพิการมีโอกาสที่ค่อนข้างต่ ากว่าคนทั่วไปในการจะได้กลับเข้าสู่ การท างานอีกครั้ง จึงเป็นการซ้ าเติมคนพิการให้มีความเปราะบางสูงมากขึ้น


25 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ภำพที่ 35 จ านวนคนพิการในประเทศไทย ปี 2561 – 2564 ที่มา : กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 4.1.6 กำรคำดกำรณ์แนวโน้มคนไร้บ้ำน (1) จ ำนวนคนไร้บ้ำนมีแนวโน้มเพิ่มขึ น สะท้อนให้เห็นถึงควำมเหลื่อมล ำของประเทศที่เพิ่มสูงขึ น จ านวนคนไร้บ้านเมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 พบคนไร้บ้านทั่วประเทศ 1,033คน แต่ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย พบว่า คนไร้บ้านมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 1,868 คน ในปี 2565 และ 2,499 คน ในปี 2566 ซึ่งส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ แม้ว่าจ านวน คนไร้บ้านในประเทศไทยมีจ านวนไม่มากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แต่กลับพบคนไร้บ้านกระจายทุกจังหวัด ในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ าของประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ภำพที่ 36 สถิติจ านวนคนไร้บ้าน ที่มา : กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (2) ควำมเป็นเมืองจะเป็นตัวกระตุ้นในกำรเพิ่มควำมเสี่ยงต่อกำรเข้ำสู่ภำวะคนไร้บ้ำน เนื่องจาก ความหนาแน่นของเมืองที่มากขึ้นจนอาจจะไม่สามารถรองรับคนทุกกลุ่มได้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับค่าแรงขั้นต่ า น าไปสู่ภาวะก้ ากึ่งต่อการไร้บ้าน จากแผนงานบูรณาการยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 สนับสนุนโดยส านักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจ าปีงบประมาณ 2563 คาดการณ์ว่า ภาพของเมืองในอนาคตจะมีคนไร้บ้านและกลุ่มคนเปราะบางที่เสี่ยงต่อการไร้บ้านเพิ่มขึ้น เป็นผลจาก แนวโน้มความเหลื่อมล้ าทางเศรษฐกิจสังคมในเขตเมืองที่เพิ่มมากขึ้น ค่าครองชีพและที่อยู่อาศัยในเมืองที่สูงขึ้น การเพิ่มจ านวนของครัวเรือนตัวคนเดียว (one-person household) การเข้าสู่สังคมสูงวัย ความเปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยีในการผลิตที่ลดการใช้แรงงาน ความไม่แน่นอนทางรายได้ และพื้นที่พึ่งพิงทางสังคมที่ลดลง รวมถึงความรุนแรงและความถี่ที่เพิ่มมากขึ้นของภัยธรรมชาติ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเปราะบางของประชากรในเมือง ส่งผลต่อความเสี่ยงในการเป็นคนไร้บ้านที่เพิ่มสูงขึ้น 33.78% จากปี 2565


26 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 บทที่5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 5.1 บทสรุป การจัดท ารายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง เป็นการคาดการณ์ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถตัดสินใจ และวางแผนได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น แนวโน้มและปัจจัยขนาดใหญ่ที่ส าคัญ (Megatrends) ที่จะมีผลกระทบต่อการพัฒน าสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ในอนาคต อาทิ การเป็นสังคมสูงวัยของประชากรโลกและประชากรไทย ความเป็นเมือง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ท าให้ประชาชนทุกช่วงวัยได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนกลุ่มเปราะบางซึ่งมี หลักประกันและความมั่นคงในชีวิตที่ต่ ากว่าประชาชนทั่วไป อาจเกิดความเหลื่อมล้ าทางด้านต่าง ๆ ไม่สามารถ เข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้อย่างทั่วถึง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายดังนี้ 1. ครัวเรือนเปรำะบำง จากข้อมูลในระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ ณ วันที่ 21 ก.ย. 66 พบว่า มีจ านวนครัวเรือนเปราะบางทั้งหมด 8.99 แสนครัวเรือน โดยส่วนใหญ่อยู่ในครัวเรือนเปราะบางระดับ 2 จ านวน 5.38 แสนครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 59.79 ส าหรับปัญหา ของสมาชิกในครัวเรือนที่พบมากที่สุด 3 ล าดับแรก ได้แก่ (1) ปัญหาการมีงานท า/รายได้ (2) ปัญหาครอบครัว และ (3) ปัญหาที่อยู่อาศัย โดยครัวเรือนเปราะบางส่วนใหญ่ ร้อยละ 83 ได้รับการให้ความช่วยเหลือแล้ว มีเพียง ร้อยละ 16 เท่านั้น ที่ยังไม่ได้ด าเนินการติดตามเพื่อแก้ไขปัญหา และได้มีการจัดท าแผนการให้ความช่วยเหลือ โดยส่วนใหญ่เป็นการให้ค าแนะน า ร้อยละ 56 การช่วยเหลือโดย พม. ร้อยละ 41 และการประสานส่งต่อหน่วยงานอื่น ร้อยละ 4 คาดการณ์ว่า (1) ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นหัวหน้าครัวเรือนเปราะบางเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจากส านักงานสถิติ แห่งชาติ พบว่า รายได้ ค่าใช้จ่าย และความสามารถในการช าระหนี้สินของครัวเรือนเปราะบางที่มีผู้หญิงเป็น หัวหน้าครัวเรือนมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งผู้หญิงยังมีข้อจ ากัดทางด้านสังคม รวมถึงค่าตอบแทนที่ได้รับที่ต่ ากว่าเพศชาย สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายส าหรับผู้หญิงที่ต้องรับบทบาทผู้น าครอบครัว และ (2) วิกฤตของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อกลุ่มคนเปราะบางมากกว่ากลุ่มคนปกติ อาจน าไปสู่การย้ายถิ่นฐานเพื่อท างานในเมือง 2. เด็กและเยำวชน ข้อมูลจากกรมการปกครอง พบว่า ในปี 2565 มีเด็กและเยาวชน รวม 19.83 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ ในระยะ 5 ที่ผ่านมา เด็กและเยาวชนมีแนวโน้มลดต่ าลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร เกิดการขาดแคลนแรงงาน และขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ข้อมูลการสถิติการให้บริการ 1300 สายด่วน พม. พบว่า เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่ถูกกระท าความรุนแรงมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการท าร้ายร่างกาย น าไปสู่ ผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงพฤติกรรม ทั้งนี้เด็กมีแนวโน้มติดเกม ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรม อารมณ์ และผลการเรียนในอนาคตคาดการณ์ว่า (1) เด็กและเยาวชนมีแนวโน้มลดต่ าลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการ ขาดแคลนแรงงานในอนาคต รวมทั้งเกิดภาวะพึ่งพิงวัยแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น (2) เด็กวัยเรียนในครัวเรือนเปราะบาง มีโอกาสหลุดออกนอกระบบการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาขยายตัวมากขึ้น และ


27 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 มีแนวโน้มเข้าสู่ความยากจนมากขึ้น และ (3) เด็กมีแนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อ สุขภาพกายและสุขภาพทางจิต อาจท าให้เกิดความเครียด และน าไปสู่ปัญหาทางอารมณ์ 3. ผู้สูงอำยุในปี 2565 ประเทศไทยถือเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) โดยข้อมูลจากกรมการปกครอง พบว่า มีผู้สูงอายุรวมทั้งสิ้น 12.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 19.21 ของประชากรทั้งประเทศ เมื่อพิจารณาเฉพาะ ในภูมิภาคอาเซียน พบว่า ประเทศไทยมีระดับการสูงวัยสูงเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้ เงินสวัสดิการช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มีบทบาทส าคัญในการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มี ความสามารถในการหารายได้และมีเงินออมต่ า อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุที่ท างานส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบไม่ได้รับความคุ้มครอง หรือไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการท างาน คาดการณ์ว่า (1) ผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ส่งผลให้งบประมาณด้านการจัดสวัสดิการสังคมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น น าไปสู่ความท้าทายของงบประมาณในการ จัดบริการทางสังคมส าหรับการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต และ (2) อัตราการพึ่งพิงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบ ต่อการขาดแคลนวัยแรงงานและการแย่งชิงแรงงานในอนาคต 4. สตรีและครอบครัว จากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่อัตราการเกิดลดลงและมีจ านวน ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รูปแบบครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและมีความหลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ยังพบว่าความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่วนใหญ่ เป็นการท าร้ายร่างกาย ก่อให้เกิดผลกระทบด้านต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นเกิดความเครียด วิตกกังวล บาดเจ็บ พิการ หรือบางรายอาจหนักถึงขั้นเสียชีวิต รวมถึง ปัญหาความสัมพันธ์ภายในครอบครัว คาดการณ์ว่า สัดส่วน ประชากรในครัวเรือนเปลี่ยนแปลงไป โดยครัวเรือนพร้อมหน้ามีแนวโน้มลดลง ขณะที่ครัวเรือนไม่พร้อมหน้า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งหมายถึงครัวเรือนเลี้ยงเดี่ยว และครัวเรือนข้ามรุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทาย ในการน าไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กไทยในนาคต 5. คนพิกำร รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ประเทศไทยมีคนพิการที่ได้รับการออกบัตรประจ าตัวคนพิการจ านวน 2.20 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 3.18ของประชากรทั้งประเทศ จ านวนคนพิการที่มีงานท า 3.12แสนคน คิดเป็นร้อยละ 36.31 ของคนพิการในวัยท างานทั้งหมด ทั้งนี้ยังมีคนพิการที่ไม่มีงานท าเป็นจ านวนสูงถึง 5 หมื่นคน คาดการณ์ว่าจ านวน คนพิการในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สวนทางกับอัตราการจ้างงานคนพิการที่มีแนวโน้มลดลง 6. คนไร้บ้ำน จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้เกิดการว่างงานและขาดรายได้ และถูกผลักดัน ออกเป็น “คนไร้บ้านหน้าใหม่” ซึ่งคนไร้บ้านมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ข้อมูลสถิติการส ารวจข้อมูลแจงนับ คนไร้บ้าน สนับสนุนโดย ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบคนไร้บ้านเพิ่มจาก 1,868 คน เป็น 2,499 คน ในปี 2566 ทั้งนี้ แม้ว่าจ านวนคนไร้บ้านในประเทศไทยมีจ านวนไม่มากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แต่กลับพบ คนไร้บ้านกระจายทุกจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร คาดการณ์ว่า (1) จ านวนคนไร้บ้านมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ าของประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น และ (2) ความเป็นเมืองจะเป็นตัวกระตุ้นในการ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะคนไร้บ้าน


28 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 5.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำย ปัจจุบันทิศทางการพัฒนาประเทศมุ่งให้ความส าคัญกับการช่วยเหลือประชากรกลุ่มเปราะบาง เพื่อลด ความยากจน เหลื่อมล้ า ยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเปราะบางให้ดีขึ้น ทั้งการก าหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูประเทศ ดังนี้ ยุทธศำสตร์ชำติ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาคนทุกช่วงวัย และ หลักประกันทางสังคม ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม สร้างหลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุม และเหมาะสมกับคนทุกช่วงวัย ทุกเพศภาวะและทุกกลุ่ม รวมถึงการลงทุนทางสังคมแบบมุ่งเป้าเพื่อช่วยเหลือ กลุ่มคนยากจนและกลุ่มผู้ด้อยโอกาสโดยตรง แผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติ ด้านการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต มุ่งการพัฒนาและยกระดับ คนในทุกมิติและทุกช่วงวัยให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดี ด้านความเสมอภาคและหลักประกันทางสังคม มีมาตรการและกลไกสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มเปราะบาง มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้การใช้ทรัพยากรของ รัฐในการแก้ไขปัญหาตรงจุด และตรงกับกลุ่มที่ต้องการช่วยเหลืออย่างแท้จริงและเหมาะสม แผนปฏิรูปประเทศ ด้านสังคม โดยผลักดันให้มีฐานข้อมูลทางสังคมและคลังความรู้ในระดับพื้นที่ เพื่อให้ สามารถจัดสวัสดิการและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ การปฏิรูปการขึ้นทะเบียนคนพิการให้คนพิการได้รับ สิทธิ ความช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง รวมถึงการสร้างมูลค่าให้กับที่ดินที่รัฐจัดสรรให้กับประชาชน ด้านการศึกษา โดยการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนการด าเนินงานผ่านทางหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เพื่อให้การดูแล ช่วยเหลือ ยกระดับรายได้ของประชากรกลุ่มดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมทั้ง (1) การจัดตั้งกลไกในระดับนโยบาย ได้แก่ คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และกลไก ขับเคลื่อนระดับพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์อ านวนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงทั้งในระดับจังหวัด กรุงเทพมหานคร อ าเภอ และเขต รวมถึงในระดับพื้นที่ เพื่อเป็นกลไก เชิงนโยบายและปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ า และพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างบูรณาการ เป็นรูปธรรม และยั่งยืนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ (2) การจัดท าระบบฐานข้อมูล โดยการพัฒนาระบบข้อมูลขนาดใหญ่ (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) ซึ่งจะช่วยให้สามารถระบุปัญหาความยากจนและ ความต้องการการพัฒนาของแต่ละช่วงวัยได้ในระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด และประเทศ หรือ ปัญหาความยากจนรายประเด็น เพื่อให้การแก้ปัญหาตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น (3) การขับเคลื่อน การด าเนินงานในระดับกระทรวง อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีการจัดท าโครงการ บูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน โดยเน้นการด าเนินงานแบบบูรณาการกับหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด อ าเภอ ต าบล และภาคีเครือข่าย พื้นที่ในการให้ความช่วยเหลือประชากรกลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมทุกมิติแบบองค์รวม แต่การด าเนินการยังอยู่ใน ระยะเริ่มต้น ซึ่งต้องมีการขับเคลื่อนและติดตามการด าเนินงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง


29 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในประเด็นที่ยังเป็นช่องว่างปัญหา (Pain Point) เพื่อเติมเต็มการด าเนินงาน ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น น าไปสู่เป้าหมายที่พึงประสงค์ ในการยกระดับความเป็นอยู่ของ ครัวเรือนเปราะบางให้มีคุณภาพชีวิต และความมั่นคงที่ดีขึ้น โดยเป็นการท างานที่ต้องบูรณาการร่วมกันของ หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับส่วนกลาง และระดับพื้นที่ ดังนี้ 5.2.1 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยส ำหรับกลุ่มเป้ำหมำย 1. ครัวเรือนเปรำะบำง 1.1การสนับสนุนให้การบริการทางสังคมเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง โดย (1) พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน (สมุดพก อิเล็กทรอนิกส์) ให้มีความสมบูรณ์ ครอบคลุม เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ควบคู่กับการออกแบบและ ใช้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีเพื่อมาเติมเต็มการค้นหาและช่วยเหลือคนจนได้ตรงเป้ามากขึ้น อาทิ การใช้ ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ (2) พัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อติดตามประเมินผลการให้ความช่วยเหลือในระยะยาว โดยจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบข้อมูลรายบุคคลที่เป็นชุดข้อมูลตัวอย่างซ้ าเพื่อให้สามารถติดตามประเมินผล ได้อย่างต่อเนื่อง (3) บูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสร้างความเข้มแข็งของกลไก ในระดับพื้นที่ ชุมชน อาสาสมัครในชุมชน ในการจัดบริการเชิงรุกให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ การเร่งสร้างนักอภิบาล ในครอบครัว ชุมชน พร้อมสนับสนุนค่าตอบแทน เพื่อให้การดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุติดเตียง และอยู่ในภาวะพึ่งพิง 1.2 มุ่งเตรียมความพร้อมในการวางระบบการคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมประชากรกลุ่มเปราะบาง ทุกกลุ่ม รับมือกับความท้าทายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 2. เด็กและเยำวชน 2.1 ควรเตรียมพร้อมรับมือในการให้ความส าคัญกับอัตราการเกิดเพื่อสร้างสมดุลให้แก่จ านวน ประชากรในแต่ละช่วงวัยให้มีความเหมาะสม อาทิ นโยบายส่งเสริมการเข้าถึงระบบอนามัยการเจริญพันธุ์ที่มี คุณภาพครอบคลุมประชาชนทุกระดับ สร้างระบบการวางแผนชีวิตครอบครัวที่ได้มาตรฐาน 2.2 มุ่งเน้นการลงทุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กให้เต็มศักยภาพ อาทิ ส่งเสริมให้มี ศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน ทั้งในสถานที่ท างานภาครัฐ ภาคเอกชน และในชุมชนตามมาตรฐานสถานพัฒนา เด็กปฐมวัยแห่งชาติสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเอื้อต่อการเรียนรู้ 2.3 สนับสนุนการสร้างทักษะการใช้ชีวิต ทักษะทางสังคมและความรอบรู้ทางดิจิทัล เปิดพื้นที่ แห่งการเรียนรู้ที่มีความหลากหลายและเหมาะสม โดยเฉพาะสภาเด็กและเยาวชนในทุกระดับให้เข้ามามีส่วนร่วม ในการออกแบบและพัฒนาสังคม 2.4 จัดท าระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษา กองทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแจ้งข้อมูล ติดตาม และช่วยเหลือเด็กในครัวเรือนเปราะบางที่มีแนวโน้มจะหลุดออกจากระบบให้ยังคงอยู่ใน ระบบการศึกษาได้ และเด็กที่ออกนอกระบบแล้ว ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา 2.5 การจัดการศึกษาตามบริบทพื้นที่ สนับสนุนการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการ เรียนรู้ของเด็กให้เข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้ได้ตลอดช่วงวัย สนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการออกแบบ การเรียน และเน้นกิจกรรมในการลงมือท าสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น


30 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 3. ผู้สูงอำยุ 3.1 ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการทางสังคมขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความมั่นคงในชีวิต สามารถ พึ่งพาตนเองได้ และพัฒนาระบบการดูแลระยะยาว (Long Term Care) ให้มีความครอบคลุมและเหมาะสมกับ ผู้สูงอายุในแต่ละกลุ่ม มีการบูรณาการบริการดูแลด้านสุขภาพและด้านสังคมและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดูแล ผู้สูงอายุ รวมถึงวางแผนผลิตและพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้เพียงพอต่อจ านวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น 3.2 บูรณาการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนหรือหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการ ส่งเสริมการมีงานท าและการจ้างงานผู้สูงอายุ ค านึงถึงลักษณะงานและระยะเวลาการท างานที่เหมาะสม รวมถึง ขยายอายุการท างานของผู้สูงอายุที่มีความพร้อม และมีศักยภาพในการท างาน เพื่อชดเชยปัญหาการขาดแคลน แรงงานจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร 3.3 ส่งเสริมการมีงานท าและรายได้ของผู้สูงอายุโดยสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึง ขยายอายุการท างานของผู้สูงอายุในกลุ่มที่มีศักยภาพ มีความพร้อม และสามารถท างานได้ และพิจารณาความ เหมาะสมของการปรับนิยามผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันที่ประชาชนมีอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี (Health adjusted life expectancy) สูงขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงทางการคลัง 3.4 นโยบายการปรับปรุงระบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ าทางสังคมและสนับสนุนการจัดบริการ ทางสังคม เป็นการจัดสรรและกระจายทรัพยากรใหม่ เพื่อกระจายความเป็นธรรม โดยการถ่ายทรัพยากรจากกลุ่ม ที่มีโอกาสมากกว่าสู่กลุ่มที่มีโอกาสน้อยกว่า ผ่านการปรับปรุงระบบภาษี โดยสนับสนุนการขยายฐานภาษีเงินได้ บุคคลบุคคลธรรมดาให้ครอบคลุมและมีมาตรการที่ส่งเสริมให้ผู้มีเงินได้เข้ามาในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพิ่มขึ้น การกระจายอ านาจทางการคลัง การจัดเก็บภาษีให้เต็มศักยภาพ การดึงธุรกิจหรือแรงงานนอกระบบเข้าสู่ ระบบเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเก็บภาษีความมั่งคั่งหรือภาษีทรัพย์สิน ควบคู่กับการจัดท ากรอบการเพิ่มขึ้นของ งบประมาณ ด้านสวัสดิการแบบล าดับขั้น เพื่อน ามาใช้ในการจัดระบบคุ้มครองทางสังคมให้มีความครอบคลุม ทั่วถึงและเพียงพอได้ 3.5 การออกแบบระบบที่สร้างหลักประกันรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งอาจจะต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่ ช่วงวัยแรงงาน เพื่อสร้างความมั่นคงและพัฒนาทุนมนุษย์ โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิตและ เสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพ ผ่าน 3 ช่องทาง ประกอบด้วย (1) การลงทุน (Investment) เป็นการลงทุนด้าน ปัจจัยพื้นฐานและธรรมาภิบาล เพื่อให้ประชาชนได้รับการคุ้มครอง เช่น ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทาง อาหาร เป็นต้น (2) การประกันภัย (Insurance) เป็นการขับเคลื่อนที่ส าคัญในการรักษาเสถียรภาพเมื่อเผชิญกับ ความไม่แน่นอน โครงสร้างที่จัดการความเสี่ยงที่หลากหลายในชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มท างานนอก ระบบหรือลักษณะงานที่ไม่มีความมั่นคง/มีความเสี่ยงสูง และ(3) นวัตกรรม (Innovation) เป็นสิ่งจ าเป็นในการเผชิญ กับความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต 3.6 สร้างความตระหนักในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ และส่งเสริมการออมของ ผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถวางแผนการเงินให้เพียงพอส าหรับด ารงชีพในวัยเกษียณได้ 3.7 สร้างความเข้าใจการปรับตัวการเลี้ยงเด็กแต่ละช่วงวัยต่อผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการลดช่องว่าง ระหว่างวัยเด็กและวัยสูงอายุ เพื่อให้สมาชิกอยู่อาศัยร่วมกันได้อย่างมีความสุขในครอบครัวภายใต้สถานการณ์ที่มี ความเป็นพลวัตในสังคม


31 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 4. สตรีและครอบครัว 4.1 ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวเพื่อเป็นกลุ่มกลางในการสร้างกิจกรรมช่วยเหลือ เกื้อกูล แลกเปลี่ยนความรู้ ให้ค าปรึกษาในการดูแลลูกร่วมกัน เกิดการสื่อสารเปิดกับลูก โดยส่งเสริมให้มีการ แสดงออกที่ชัดเจนและการเปิดกว้างของความคิดและความรู้สึกภายในครอบครัว เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ ที่ซื่อสัตย์และไว้วางใจ สามารถพูดคุยและปรึกษากันได้ของสมาชิกในครอบครัว 4.2 ส่งเสริมการจ้างงาน และพัฒนาทักษะที่จ าเป็น (Up-skill/ Re-skill) ให้กับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่อยู่ใน ครอบครัวยากล าบาก เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัวได้ 4.3 การดูแลช่วยเหลือผู้ถูกกระท าความรุนแรง โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคมระดับจังหวัด และ ศูนย์ช่วยเหลือสังคมระดับต าบล และเครือข่ายในพื้นที่และพัฒนาปรับปรุงระบบข้อมูลด้านความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว โดยเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วน ที่เกี่ยวข้อง และสร้างความเข้มแข็งของกลไกในระดับพื้นที่ ชุมชน อาสาสมัครในชุมชน ในการแก้ไขปัญหา ความรุนแรงในครอบครัว 5. คนพิกำร 5.1 สนับสนุนให้คนพิการสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการต่าง ๆ ของภาครัฐ อาทิ การแปลง สื่อสาธารณะที่คนพิการทางปัญญาสามารถเข้าใจได้ง่าย การใช้เครื่องหมาย สัญลักษณ์รูปภาพ ค าบรรยายในการ สื่อสารที่คนพิการสามารถเข้าใจ 5.2 ควรมีมาตรการในการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการให้มากขึ้น สร้างอาชีพ รวมถึงพัฒนาทักษะ คนพิการเพื่อรองรับการท างาน อาทิ การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนหรือหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดการจ้างงานรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน 5.3 ควรมีมาตรการช่วยเหลือทางการเงินตามระดับความพิการ และจัดสวัสดิการดูแลที่เพียงพอ เหมาะสมส าหรับคนพิการ 6. คนไร้บ้ำน 6.1 ควรมีมาตรการช่วยเหลือคนไร้บ้านให้เข้าสู่ระบบการดูแลของภาครัฐ โดยบูรณาการท างาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มคนไร้บ้าน ตลอดจนประชาสัมพันธ์แนะน าบริการ ตามสิทธิ การให้ค าปรึกษาแนะน า การส่งเข้ารับการรักษาพยาบาล การจัดหางานสร้างอาชีพ รวมทั้งการประสาน ส่งกลับภูมิล าเนา 6.2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณามาตรการในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนไร้บ้าน โดย ค านึงถึงความต้องการด้านที่อยู่อาศัยและด้านการจ้างงานควบคู่กัน เพื่อให้มาตรการความช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการอย่างแท้จริง


32 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 5.2.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยภำพรวม 1. ผลักดันมาตรการให้ประชาชนเข้าถึงการจัดสวัสดิการที่ตอบสนองต่อความจ าเป็นขั้นพื้นฐาน และ ได้รับการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิและขยายฐานการคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมกลุ่มที่ยังตกหล่นเพื่อให้ได้รับสิทธิ ประโยชน์ที่เพียงพอต่อการด ารงชีวิตอย่างมีคุณภาพและเข้าถึงสิทธิการคุ้มครองทางกฎหมาย 2. ส่งเสริมการจ้างงาน และพัฒนาทักษะที่จ าเป็น (Up-skill/ Re-skill) ตลอดช่วงอายุ อาทิ ทักษะ ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และจัดให้มีมาตรการเฉพาะรองรับวัยแรงงานในกลุ่มที่ตกหล่นและเข้าไม่ถึงการพัฒนา ความรู้และทักษะ โดยจัดให้มีช่องทางการเข้าถึงรูปแบบงานที่หลากหลายตอบสนองต่อตลาดงานและการท างาน รูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง 3. การพัฒนาปรับปรุงระบบค่าจ้าง และสวัสดิการของลูกจ้างให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับ สถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งสร้างจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ภาคแรงงานในระบบเพิ่มขึ้น รวมถึงพัฒนาระบบ สวัสดิการที่เหมาะสมให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม และพัฒนาความรู้ความสามารถให้สามารถประกอบอาชีพ ที่น าไปสู่การเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงในชีวิต 4. การเตรียมความพร้อมในการพัฒนาเมืองแบบใหม่ที่ตั้งอยู่บนฐานของความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม การยกระดับเทคโนโลยี รวมถึงต้องปรับตัวและมองหาโอกาสจากการขยายตัวของความเป็นเมืองเพื่อการแข่งขัน ในอนาคต โดยยึดความอยู่ดีมีสุขของประชาชน 5. บูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาทางสังคมร่วมกันภายใต้ แนวคิดไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือการด าเนินงานในประเด็นทางสังคมที่มีความหลากหลาย มากขึ้นและก าหนดผลตอบแทนทางสังคมร่วมกัน


33 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 บรรณำนุกรม กรมการปกครอง (2565). จ ำนวนประชำกรไทยที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้ำนแยกรำยอำยุรำยเดือน. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://stat.bora.dopa.go.th/new_stat/webPage/statByAgeMonth.php. สืบค้น เมื่อ 20 กันยายน 2566. กรมการปกครอง (2565). สถิติจ ำนวนกำรเกิด. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statyear. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2566. กรมกิจการเด็กและเยาวชน (2566). รำยงำนข้อมูลโครงกำรเงินอุดหนุนเพื่อกำรเลี้ยงเด็กแรกเกิด ปีงบประมำณ 2566 ประจ ำเดือนสิงหำคม. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.dcy.go.th/public/mainWeb/file_download/317269166.pdf. สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2566. กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (2566). ระบบงำนบันทึกข้อมูลควำมรุนแรงภำยในครอบครัว. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.violence.in.th/violence/report/violence/report. สืบค้นเมื่อ 1 มิถุนายน 2566. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (2566). สถำนกำรณ์คนพิกำร 30 มิถุนำยน 2566 (รำยไตรมำส). [ออนไลน์]. ได้จาก : https://dep.go.th/th/law-academic/knowledge-base/disabled-person. สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2566. ฐานเศรษฐกิจ (2565). วิกฤตเด็กไทย หลุดจำกระบบกำรศึกษำ 8 เดือนยังสูง 1.7 หมื่นคน. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.thansettakij.com/general-news/537892. สืบค้นเมื่อ 23 พฤษภาคม 2566. ฐานเศรษฐกิจ (2566). เตือน "เอลนีโญ" เสี่ยงท ำเศรษฐกิจโลกเสียหำยยำวถึง 2029. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.thansettakij.com/sustainable/zero-carbon/567947. สืบค้นเมื่อ 22กันยายน 2566. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสาวลักษม์ กิตติประภัสร์ และคณะ. (2563). ผลกระทบทางสังคมจากการระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) และวิกฤตเศรษฐกิจ. มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันวิจัยประชากรทางสังคม (2565). ครอบครัวไทยในอนำคต พ.ศ. 2583. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://ipsr.mahidol.ac.th/wp-content/uploads/2022/07/566-ThaiFamily2040_compressed.pdf. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2566. ระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (2564). จ ำนวนนักเรียนยำกจนและยำกจนพิเศษ. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://isee.eef.or.th/screen/pmt/cctall_jonjonextra.html. สืบค้นเมื่อ 23 พฤษภาคม 2566. วรรโณบล ควรอาจ และ ดร.ผกามาศ ถิ่นพังงา . กระบวนการกลายเป็นเมืองในประเทศไทย. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.tei.or.th/thaicityclimate/public/research-46.pdf. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2566. ศูนย์ช่วยเหลือสังคม (2566). สถิติกำรให้บริกำรรับแจ้งกรณีควำมรุนแรง สำยด่วน 1300 ประจ ำปีงบประมำณ พ.ศ. 2566. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://1300thailand.m-society.go.th/statyearly. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2566.


34 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (2564). คนทั่วโลกถึง 216 ล้ำนคน อำจต้องย้ำยถิ่นฐำน ภำยในประเทศเพรำะผลกระทบจำก Climate Change ภำยในปี 2050. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.sdgmove.com/2021/11/15/climate-change-trigger-internal-migration-of216-million-people-in-2050-world-bank. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2566. ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) (2566). แผนภูมิแสดงข้อมูลสถิติกำรส ำรวจข้อมูล แจงนับ คนไร้บ้ำน พฤษภำคม 2023. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://lookerstudio.google.com/u/0/reporting/page/toRTD. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2566. ส านักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (2564). ผลวิจัยชี้ เด็ก-เยำวชน ติดเกม เฉลี่ย 5 ชั่วโมง/วัน ค่ำใช้จ่ำย 5,000 บำท/เดือน. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.nationalhealth.or.th/th/node/3006. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2566. ส านักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (2563). Urbanization กำรขยำยตัวของควำมเป็นเมือง. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.okmd.or.th/okmd-opportunity/urbanization/256. สืบค้น เมื่อ 12 กรกฎาคม 2566. ส านักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (2565). กำรส ำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.etda.or.th/Thailand-Internet-User-Behavior.aspx. สืบค้น เมื่อ 1 กันยายน 2566. ส านักงานสถิติแห่งชาติ (2565). กำรส ำรวจประชำกรสูงอำยุในประเทศไทย พ.ศ. 2564. [ออนไลน์]. ได้จาก : http://www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/2564/full_report_64.pdf. สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2566. ส านักงานสถิติแห่งชาติ (2565). บทสรุปผู้บริหำร กำรส ำรวจกำรย้ำยถิ่นของผู้บริหำร พ.ศ. 2565. [ออนไลน์]. ได้จาก : http://www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/2565/excusive_65.pdf. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2566. ส านักงานสถิติแห่งชาติ (2565). ร้อยละของครัวเรือน จ ำแนกตำมเพศของหัวหน้ำครัวเรือน. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://catalog.nso.go.th/dataset/os_08_00001/resource. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2566. ส านักงานสถิติแห่งชาติ (2566). กำรท ำงำนของผู้สูงอำยุในประเทศไทย พ.ศ. 2565. [ออนไลน์]. ได้จาก : http://www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/Labor_of_the_elderly/2565/pocketbook_65.pdf. สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2566. ส านักงานสถิติแห่งชาติ (2566). กำรส ำรวจแรงงำนนอกระบบ พ.ศ. 2565. [ออนไลน์]. ได้จาก : http://www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/Informal_work_force/2565/summary_65.pdf. สืบค้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2566. ส านักงานสถิติแห่งชาติ (2566). สถิติแรงงำน. [ออนไลน์]. ได้จาก : http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th. สืบค้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2566. ส านักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2562). รายงานการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 – 2583 (ฉบับปรับปรุง).


35 รายงานสถานการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมในกลุ่มเปราะบาง ประจ าปี 2566 ไทยรัฐ ออนไลน์ (2563). อัตรำเกิดต่ ำ ประชำกรทั่วโลกลดฮวบภำยใน 80 ปี ไทยคนหำยเกือบครึ่ง. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://www.thairath.co.th/news/foreign/1890181. สืบค้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2566. อภิวัฒน์ รัตนวราหะ. (2562). รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการปริทัศน์สถานภาพความรู้ด้านอนาคตศึกษา. Techsauce (2566). อุตุฯโลกเตือนเอลนีโญปีนี้ เสี่ยงเศรษฐกิจเสียหำยจนถึง 2029 คำดรุนแรงกว่ำเดิม. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://techsauce.co/news/el-nino-economy. สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2566. Thestandard (2565). ย้อนดูสถิติ 2 ทศวรรษ ประเทศใดเสี่ยงได้รับผลกระทบสูงสุดจำกโลกรวน. [ออนไลน์]. ได้จาก : https://thestandard.co/global-climate-risk-index. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2566.


Click to View FlipBook Version