รายงาน การพัฒนาการดําเนินการคัดกรองช่วยเหลือ เด็กที่มีความต้องการพิเศษ ของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2
คำนำ รายงานการพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ซึ่งกลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาได้ดำเนินการจัดทำขึ้น โดยมี วัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อเป็นการรายงานข้อมูล ความสำเร็จ ของการพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือ เด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ในรอบ 12 เดือน รายละเอียดการรายงาน ประกอบด้วย สภาพปัญหา วัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย แนวคิดของกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ขั้นตอนในการการดำเนินงาน และ ผลการดำเนินงาน รายงานการพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) เล่มนี้จะเป็นแนวทางในการดำเนินงานคัดกรอง ชวยเหลือ และจัดการเรียนการสอนให้กับ เด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 สำหรับเป็นแนวทางให้ผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับภารกิจของแต่ละงาน/โครงการ/ กิจกรรมของหน่วยงานต้นสังกัด และเป็นแนวทางในการเสริมสร้างประสิทธิภาพการดําเนินการคัดกรอง ชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิจิตร เขต 2 ต่อไป กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2
สารบัญ เรื่อง หน้า สภาพปัญหา 1 วัตถุประสงค์ 2 กลุ่มเป้าหมาย 3 แนวคิดของกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) 3 ขั้นตอนในการการดำเนินงาน 6 ผลการดำเนินงาน 8 เอกสารอ้างอิง 10 ภาคผนวก 11 คณะผู้จัดทำ 50
1 รายงาน การพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. สภาพปัญหา ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญอย่างมากในการดูแลช่วยเหลือเด็กพิการในสถานศึกษา รัฐบาล ที่ให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ โดยได้บัญญัติกฎหมายให้บุคคลพิการมีโอกาสได้รับ การศึกษา เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป และต้องได้รับการศึกษาที่เหมาะสมตามความต้องการจำเป็น ของแต่ละบุคคล ซึ่งในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ในหมวด 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา มาตรา 10 บัญญัติว่า “การจัดการศึกษาต้องจัดให้ บุคคลมีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้ อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายและการจัดการศึกษาสำหรับคนที่บกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพลภาพ หรือบุคคล ซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและได้รับ การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ” การจัดการศึกษาให้กับเด็กพิการ ได้ดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการ ในระยะแรกได้จัดตั้งกองการศึกษาพิเศษเมื่อปี พ.ศ. 2495 เพื่อรับผิดชอบการจัดการศึกษาให้สำหรับ เด็กพิการที่อยู่ในวัยเรียนและในเวลาต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการจัดการศึกษา จากเดิม ที่จัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการในโรงเรียนเฉพาะทางเป็นการจัดการศึกษาเพื่อเด็กพิการแบบเรียนรวม (Inclusive Education) ในโรงเรียนปกติ และเพื่อให้เป็นไปตามปฏิญญาสากลว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชน ของสหประชาชาติ โดยยึดหลักการพื้นฐานว่า เด็กทุกคนควรเรียนด้วยกันโดยไม่คำนึงถึงอุปสรรค หรือความแตกต่างที่อาจมีโรงเรียนต้องยอมรับและตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นที่แตกต่างกันของเด็ก โดยจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการและยึดเด็กเป็นศูนย์กลางการให้การศึกษาแบบเรียนร่วม เป็นวิธีการที่มีประสิทธิผลที่สุด สำหรับสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเด็กที่มีความพิการ กับเด็กปกติ การให้เด็กเข้าเรียนในโรงเรียนพิเศษเฉพาะทางควรเป็นกรณีพิเศษที่ห้องเรียนปกติไม่สามารถ ให้การศึกษาได้ตรงตามความต้องการจำเป็นทางการศึกษาหรือสังคม การคัดกรองเพื่อค้นหาเด็กที่มีความต้องการพิเศษมีการดำเนินการเป็นสองแนวทาง เนื่องจาก มีกฎหมายที่ใช้ในการให้คำนิยามหรือจัดประเภทเด็กที่มีความต้องการพิเศษแตกต่างกัน การจัดประเภท ตามประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ออกความตาม พระราชบัญญัติส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 กำหนดไว้6 ประเภท คือ 1) ความพิการทางการเห็น 2) ความพิการทางการได้ยินหรือการสื่อความหมาย 3) ความพิการทางการเคลื่อนไหว หรือทางร่างกาย
2 4) ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม หรือออทิสติก 5) ความพิการทางสติปัญญา และ 6) ความพิการ ทางการเรียนรู้ เพื่อใช้ในการออกใบรับรองความพิการ โดยผู้ประกอบอาชีพเวชกรรรม เป็นผู้ตรวจวินิจฉัย แนวทางที่สองเป็นการกำหนดประเภทตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2552 ออกความ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 จำนวน 9 ประเภท ได้แก่ 1) บุคคลที่มีความ บกพร่องทางการเห็น 2) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 3) บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 4) บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ 5) บุคคลที่มีความบกพร่องทาง การเรียนรู้ 6) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 7) บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรือ อารมณ์ 8) บุคคลออทิสติก 9) บุคคลพิการซ้อน เพื่อใช้ในการประเมินนักเรียนให้ได้รับบริการ ทางการศึกษาโดยมีผู้ดำเนินการคัดกรอง ซึ่งโดยทั่วไป เป็นครูในโรงเรียนที่ผ่านการอบรมหลักสูตร การเป็นผู้ดำเนินการคัดกรองของกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการ จากการนิเทศ ติดตามของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 พบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียน มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยมีความบกพร่องเพียงเล็กน้อยและเห็นไม่ชัดเจน ในระยะแรก ครูผู้สอนที่ไม่เชี่ยวชาญจะไม่สามารถสังเกตเห็นความแตกต่างและให้การช่วยเหลือได้ ทันท่วงที การช่วยเหลือนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนดังกล่าว ทำได้เมื่อนักเรียนมีปัญหา ทางการเรียนมากขึ้นแล้ว หรือช่วยเหลือเมื่อมีผลการเรียนตกต่ำ หรือเป็นปัญหาอย่างชัดเจนจะแก้ปัญหา ยากขึ้นมาก ดังนั้น จึงควรหาทางแก้ไขก่อนที่ปัญหานั้นจำมีความรุนแรงมากขึ้น ทางเลือกหนึ่งที่ครูผู้สอน สามารถนำไปใช้ในการช่วยเหลือในการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนของตนเอง ก็คือ การคัดกรอง ชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ซึ่งเป็น กระบวนการในการคัดกรองและช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้โรงเรียนสามารถค้นหานักเรียนที่กำลัง มีปัญหาได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้เพื่อลดจำนวนนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษให้มีจำนวนน้อยลง และ เพื่อพัฒนาครูผู้สอนของโรงเรียนในสังกัด สำหรับนำไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพนักเรียนที่มีความต้องการ พิเศษต่อไป วัตถุประสงค์ 1. ครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ได้รับการพัฒนาตามหลักสูตร “ผู้ดำเนินการคัดกรองคนพิการทางการศึกษา” 2. โรงเรียนเรียนรวมในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ดำเนินการ คัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่มีประสิทธิภาพ 3. เด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวมได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ 4. โรงเรียนเรียนรวมในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ได้รับการ นิเทศ ติดตามการดำเนินงานการจัดการศึกษาเรียนรวม
3 5. โรงเรียนต้นแบบเรียนรวมที่มีผลการปฏิบัติที่ดีในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิจิตร เขต 2 ได้รับการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการจัดการศึกษาเรียนรวม กลุ่มเป้าหมาย โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 120 โรงเรียน แบ่งเป็นโรงเรียนเรียนรวม จำนวน 74 โรงเรียน และโรงเรียนที่ไม่เป็นโรงเรียน เรียนรวม จำนวน 46 โรงเรียน ประกอบด้วย 1. ครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ได้รับการพัฒนาตามหลักสูตร “ผู้ดำเนินการคัดกรองคนพิการทางการศึกษา” จำนวน 120 โรงเรียน โรงเรียนละ 1 คน รวมทั้งสิ้น 120 คน 2. โรงเรียนเรียนรวมในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จำนวน 74 โรงเรียน ดำเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่มีประสิทธิภาพ 3. เด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม จำนวน 1,337 คน ได้รับการพัฒนา เต็มตามศักยภาพ 4. โรงเรียนเรียนรวมในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จำนวน 74 โรงเรียน ได้รับการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการจัดการศึกษาเรียนรวม 5. โรงเรียนต้นแบบเรียนรวมที่มีผลการปฏิบัติที่ดีในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จำนวน 1 โรงเรียน ได้รับการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการจัดการศึกษา เรียนรวม แนวคิดของกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) หลักการของ “อาร์ทีไอ” มี 8 ประการ คือ เราสามารถสอนเด็กได้ทุกคนอย่างมีประสิทธิภาพ การช่วยเหลือเด็กเมื่ออายุยังน้อยดีกว่าช่วยเมื่ออายุมากขึ้น อาร์ทีไอมี 3 ระยะ (3 Tiers) แต่ละระยะ มีวิธีการแตกต่างกัน วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ดีในกระบวนการอาร์ทีไอ คือ การแก้ปัญหา (Problem Solving Approach: PSA) อาร์ทีไอเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้การสอนการอ่านเขียนและพฤติกรรม มีการบันทึกความก้าวหน้าการตอบสนองของเด็กอย่างสม่ำเสมอ มีการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ และ มีการวัดผลประเมินผลในการคัดแยก วินิจฉัย และประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียน กระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) เป็นวิธีดําเนินการใช้ช่วยเหลือทางวิชาการ ที่ออกแบบมาเพื่อเตรียมการตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อให้การช่วยเหลือส่งผลต่อนักเรียนที่มีความยุ่งยาก ในการเรียนรู้ RTI ถูกออกแบบเพื่อเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดแยกบุคคลที่ยุ่งยากในการเรียนรู้ ทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยว ซึ่งผลการทดสอบระดับเชาวน์ปัญญา (Intelligence Quotient : IQ testing) แตกต่างกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และกระบวนการนี้จะทําให้ครูสามารถแยกประเภทบุคคลที่บกพร่อง ทางการเรียนรู้ได้ซึ่งจะนําไปสู่การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ RTI เป็นกระบวนการค้นหา
4 ความบกพร่องของนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและให้การช่วยเหลือก่อนตั้งแต่แรกเริ่มที่นักเรียนจะล้มเหลว ทางวิชาการ มีการประเมินผลความก้าวหน้าของนักเรียนเป็นประจําต่อเนื่อง ใช้การวิจัยเป็นฐานในการ ช่วยเหลือและสําหรับนักเรียนที่ตอบสนองต่อกระบวนการ RTI น้อย แสดงว่านักเรียนมีความต้องการ จําเป็นที่ต้องได้การจัดการศึกษาพิเศษโดยตรง กระบวนการ RTI จัดทําขึ้นภายใต้ข้อสันนิษฐาน ดังนี้ 1) ระบบการศึกษาสามารถสอนนักเรียนทุกคนได้เหมือนกัน 2) การช่วยเหลือระยะแกเริ่มเป็นการป้องกันนักเรียนที่มีความเสี่ยงที่จะมีความบกพร่อง 3) การช่วยเหลือเป็นประจําบ่อย ๆ ต่อเนื่องมีความจําเป็นต่อนักเรียนกลุ่มเสี่ยงในชั้นเรียน 4) การแก้ปัญหาทางวิชาการต่าง ๆ ถูกนํามาใช้ระหว่างเรียนแทนการประเมินผลปลายภาค 5) การวิจัยระหว่างการช่วยเหลือทําให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสําเร็จ 6) การรายงานความก้าวหน้าของนักเรียนจะเกิดขึ้นในระหว่างการเรียนการสอน 7) ข้อมูลการช่วยเหลือต่าง ๆ นําไปสู่การตัดสินใจจัดการเรียนการสอนชั้นต่อไป หลักการสำคัญในการใช้รูปแบบการตอบสนองต่อการช่วยเหลือแบ่งเป็น 3 ระยะ (Three Tier Model) ระยะที่ 1 (Tier 1) เป็นการจัดการเรียนการสอนตามปกติสำหรับผู้เรียนทุกคนในชั้นเรียน ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยใช้วิธีการหลากหลายที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ระยะที่ 2 (Tier 2) เป็นการช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนไม่ทันเพื่อนโดยจัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และมีการประเมินผู้เรียนเป็นระยะเพื่อติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ ระยะที่ 3 (Tier 3) เป็นการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้เป็นรายบุคคล โดยใช้เทคนิคเฉพาะด้าน จากแนวคิดดังกล่าว กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ได้นำแนวคิดกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ของโรงเรียน เรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 Tier 1 การดำเนินงานด้านการคัดกรอง - หลักสูตรแกนกลาง - การคัดกรองทั่วไปและการวัดเชิงจิตวิทยา ขั้นตอนที่ 2 Tier 2 การดำเนินงานด้านการจัดการเรียนการสอน - เรียนเปนกลุมเล็ก - ใหความชวยเหลือทางวิชาการที่เขมขน - ประเมินความสามารถผูเรียนตามหลักสูตร
5 ขั้นตอนที่ 3 Tier 3 การดำเนินงานช่วยเหลือเฉพาะบุคคล - การชวยเหลือเฉพาะบุคคล - กํากับ ติดตามและประเมินอยางใกลชิดสม่ำเสมอ - การบําบัดรักษาทางการแพทย์ การพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ขั้นการวางแผน (P-Plan) ขั้นลงมือปฏิบัติ (D-Do) ขั้นตรวจสอบ (C-Check) ขั้นประเมิน (Act) ขั้นตอนที่ 1 Tier 1 การดำเนินงานด้านการคัดกรอง - หลักสูตรแกนกลาง - การคัดกรองทั่วไปและการวัดเชิงจิตวิทยา ขั้นตอนที่ 2 Tier 2 การดำเนินงานด้านการจัดการเรียนการสอน - เรียนเปนกลุมเล็ก - ใหความชวยเหลือทางวิชาการที่เขมขน - ประเมินความสามารถผูเรียนตามหลักสูตร ขั้นตอนที่ 3 Tier 3 การดำเนินงานช่วยเหลือเฉพาะบุคคล - การชวยเหลือเฉพาะบุคคล - กํากับ ติดตามและประเมินอยางใกลชิดสม่ำเสมอ - การบําบัดรักษาทางการแพทย์ 1. ครูและบุคลากรฯ ได้รับการพัฒนาตามหลักสูตร “ผู้ดำเนินการคัดกรองคนพิการทางการศึกษา” 2. โรงเรียนเรียนรวมดำเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่มีประสิทธิภาพ 3. เด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวมได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ 4. โรงเรียนเรียนรวมทุกแห่งได้รับการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการจัดการศึกษาเรียนรวม 5. โรงเรียนต้นแบบเรียนรวมที่มีผลการปฏิบัติที่ดีได้รับการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการจัดการศึกษาเรียนรวม
6 ขั้นตอนในการการดำเนินงาน การพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ดำเนินงานโดยใช้วงจรคุณภาพ (PDCA) ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ ขั้นการวางแผน (P-Plan) 1. ศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการในการคัดกรองชวยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) 2. ปรับประยุกต์และการออกแบบกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 3. หาคุณภาพกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ของ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ซึ่งมีคุณภาพอยู่ใน ระดับมาก ขั้นลงมือปฏิบัติ (D-Do) 1. ดำเนินการพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการ พิเศษของโรงเรียนเรียนรวมในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ซึ่งกำหนดให้กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผล การจัดการศึกษาดำเนินโครงการการพัฒนาการดําเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) โดยมีกิจกรรมสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจ และ การนิเทศ ติดตามตามขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 Tier 1 การดำเนินงานด้านการคัดกรอง 1) พัฒนาครูโดยการจัดการอบรมการคัดกรองคนพิการทางการศึกษา หลักสูตร “ผู้ดำเนินการคัดกรองคนพิการทางการศึกษา” ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ในรูปแบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 22-24 กุมภาพันธ์ 2566 กำหนดเกณฑ์การได้รับวุฒิบัตรผู้ผ่านการอบร ได้แก่ 1) มีคะแนน การทดสอบหลังการอบรม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2) ส่งงานตามที่วิทยากรกำหนดอย่างครบถ้วน และ 3) มีเวลาในการเข้าอบรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2) การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง และการปรับตัวชี้วัด ปรับเนื้อหา ให้เหมาะสมในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP)
7 3) การคัดกรองทั่วไปและการวัดเชิงจิตวิทยาของนักเรียนแต่ละ โรงเรียนในสังกัด ดังนี้ 3.1) ครูที่เข้ารับการอบรมและผ่านเกณฑ์ได้รับวุฒิบัตรซึ่งมี ในทุกโรงเรียนดำเนินการคัดรองนักเรียนทั่วไปตามแบบคัดกรองบุคคลที่มีความต้องการพิเศษทาง การศึกษา 9 ประเภท ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3.2) การส่งต่อนักเรียนเข้าคัดกรองโดยการวัดเชิงจิตวิทยา โดยประสานความร่วมมือจากหน่วยงานจิตเวช ของโรงพยาบาลบางมูลนาก และบูรณาการการทำงาน ร่วมกันในการคัดกรองเด็กออทิสติก และเด็กสมาธิสั้นกับโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ โรงพยาบาลพิจิตร และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน ในวันที่ 13-14 กรกฎาคม 2566 ขั้นตอนที่ 2 Tier 2 การดำเนินงานด้านการจัดการเรียนการสอน 1. ครูผู้สอนที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กพิการดำเนินงานจัดการเรียนการสอน เปนกลุมเล็กตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น บกพร่องทางการได้ยิน บกพร่องทางด้านสติปัญญา บกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพบกพร่องทางการพูดและภาษาบกพร่องทาง พฤติกรรมหรืออารมณ์บุคคลออทิสติก และบุคคลพิการซ้อน 2. ครูผู้สอนที่อยู่ในห้องเรียนปกติใหความชวยเหลือทางวิชาการ ที่เข มข นตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) กับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 3. ครูผู้สอนที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กพิการ และครูผู้สอนที่อยู่ในห้องเรียนปกติ ประเมินความสามารถผูเรียนตามหลักสูตรและตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) ขั้นตอนที่ 3 Tier 3 การดำเนินงานช่วยเหลือเฉพาะบุคคล 1. การชวยเหลือเฉพาะบุคคล เช่น การขอรับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาจากศูนย์การศึกษาพิเศษจังหวัดพิจิตร การฝึกพูด การขอรับสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ รถเข็นผู้ป่วย หรือ วีลแชร์(Wheelchairs) หูฟัง จากโรงพยาบาล ต่าง ๆ 2. กํากับ ติดตามและประเมินอยางใกลชิดสม่ำเสมอ โดยการนิเทศ ติดตามจากศึกษานิเทศก์และนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิจิตร เขต 2 และการบูรณาการการทำงานด้านการนิเทศ ติดตามของหน่วยงานทางการศึกษา ประกอบด้วย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร และศูนย์การศึกษาพิเศษ จังหวัดพิจิตร
8 3. การบําบัดรักษาทางการแพทย์ ได้แก่ การส่งต่อเข้ารับการรักษา เพื่อรับยาปรับสมาธิ การทำกายภาพบำบัด การฝึกพูด เป็นต้น ขั้นตรวจสอบ (C-Check) การดำเนินงานการประเมินผลจากการลงมือปฏิบัติ (Formative Assessment) ขั้นประเมิน (Act) 1. ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลจากการดำเนินงาน ในกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) ทุกขั้นตอน 2. สรุปและรายงานผล และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผลการดำเนินงาน 1. ครูและบุคลากรในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ในปีงบประมาณ 2566 ที่สมัครเข้ารับการอบรมการคัดกรองคนพิการทางการศึกษา หลักสูตร “ผู้ดำเนินการคัดกรองคนพิการ ทางการศึกษา” ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 272 คน ผ่านการอบรม จำนวน 272 คน เกินเป้าหมาย ที่กำหนด 2. โรงเรียนเรียนรวมในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จำนวน 74 โรงเรียน ดำเนินการคัดกรองชวยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกโรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 100 3. เด็กที่มีความต้องการพิเศษของโรงเรียนเรียนรวม ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ในปีการศึกษา 2565 จำนวน 734 คน คิดเป็นร้อยละ 100 และในปีการศึกษา 2566 จำนวน 1,337 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ได้รับการพัฒนาด้วยกระบวนการ Responsiveness to Instruction (RtI) 4. โรงเรียนเรียนรวมในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จำนวน 74 โรงเรียน ได้รับการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการจัดการศึกษาเรียนรวม คิดเป็นร้อยละ 100 5. โรงเรียนต้นแบบเรียนรวมที่มีผลการปฏิบัติที่ดี คือ โรงเรียนอนุบาลอำเภอบางมูลนาก (วัดห้วยเขน) จำนวน 1 โรงเรียน ได้รับการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานการจัดการศึกษาเรียนรวม ใน 6 ประเด็น ประกอบด้วย ด้านที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียน ด้านที่ 2 คุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ด้านที่ 3 กระบวนการบริหารจัดการเรียนรวม ด้านที่ 4 กระบวนการจัดการเรียน การสอนสำหรับผู้เรียนเรียนรวม ด้านที่ 5 การดำเนินงานของศูนย์บริการทางการศึกษาพิเศษ Student Support Services : SSS และด้านที่ 6 การบริหารจัดการงบประมาณที่ได้รับจัดสรรของโรงเรียนต้นแบบ การเรียนรวม ซึ่งมีการดำเนินงานอยู่ในระดับคุณภาพ 4 แปลผลได้ว่า ดำเนินงานได้ครบถ้วน ทุกประเด็นและมีร่องรอย หลักฐานหรือข้อมูลที่สะท้อนกระบวนการดำเนินงานที่ชัดเจน ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียน ด้านที่ 2 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ด้านที่ 3
9 กระบวนการบริหารจัดการเรียนรวม ด้านที่ 4 กระบวนการจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้เรียนเรียนรวม ด้านที่ 5 การดำเนินงานของศูนย์บริการทางการศึกษาพิเศษ Student Support Services : SSS และ ด้านที่ 6 การบริหารจัดการงบประมาณที่ได้รับจัดสรรของโรงเรียนต้นแบบการเรียนรวม
10 เอกสารอ้างอิง กลุ่มสารสนเทศ, สํานักนโยบายและแผน สพฐ. (2555). ข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษา. ค้นเมื่อ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2555. จาก http://www.bopp-obec.info/home/?page_id=1063 สํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ. (2555). แผนพัฒนาการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555- 2559). สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. สํานักงานสถิติแห่งชาติ. (2551). รายงานการสํารวจประชากร สํานักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2550. ค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2553 . จาก http://www.healthyability.com/new_version5/detai Compton, D.L., Fuchs, D., Fuchs, L.S., & Bryant, J.D. (2006). Selecting at-risk readers in first grade for early intervention: A two-year longitudinal study of decision rules and procedures. Journal of Educational Psychology, 98, 394-409.
11 ภาคผนวก
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47