The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by zero7thammarong, 2022-02-28 22:55:48

องค์ประกอบดนตรีและศัพท์สังคีต

เอกสารประกอบการเรียน ป.4

Keywords: องค์ประกอบดนตรีและศัพท์สังคีต

หนังสือเรียนอเิ ล็กทรอนิกส์ (E-Book)

เอกสารประกอบการเรียนกลมุ่ สาระการเรยี นร้ศู ิลปะ (ดนตรี)
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4

เรื่อง องค์ประกอบดนตรแี ละศพั ท์สังคตี

จัดทำโดย
นายธำมรงค์ โพนทะนา
ครชู ำนาญการพิเศษ

โรงเรียนบา้ นกูน อำเภอปราสาท จงั หวัดสรุ นิ ทร์
สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาสรุ ินทร์ เขต 3

กระทรวงศึกษาธิการ

องคป์ ระกอบดนตรี

องคป์ ระกอบดนตรี หมายถึง รายละเอยี ดของดนตรี
ที่นำมาประกอบกันเป็นบทเพลง ทำให้บทเพลงมีความ
สมบรู ณ์ ไพเราะนา่ ฟัง ซง่ึ มีองค์ประกอบดังน้ี

1. เสยี ง (Tone)

เสียง หมายถึง เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศท่ี
มีความสม่ำเสมอเป็นเสียงท่ีเกิดจากการดีด สี ตี เป่า หรือ
การขบั รอ้ งของมนษุ ย์

คณุ สมบตั ิของเสยี งมี ดงั น้ี
1) ระดับเสียง (Pitch) หมายถึง ความสูง - ต่ำ

ของเสียง เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนอย่างช้า ๆ เสียง
จะต่ำ เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็วเสียงจะ
สูง

2) ความสั้น - ยาวของเสียง (Duration)
เสียงดนตรีจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของความสั้นยาว
ของเสียง กลา่ วคือบางคร้ังเราจะได้ยนิ ลกั ษณะของการลาก

เสียงยาว ๆ หรือบางครั้งก็จะเป็นลักษณะห้วน ๆ ส้ัน ๆ
ความแตกตา่ งกันในลักษณะน้ี เรียกว่า ความสั้น - ยาวของ
เสียง

3. ความเข้มของเสยี ง (Intensity) หมายถงึ ความ
หนัก-เบาของเสียงที่ทำให้เพลงมีทำนอง จังหวะสมบูรณ์
หรือแตกตา่ งของเสียงจากค่อยไปจนถงึ ดงั

4. คณุ ภาพของเสยี ง (Quality) หมายถึง
คุณสมบัติของเสียง ซึ่งเกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุท่ี
ทำใหเ้ กดิ เสียงน้ัน

2. จังหวะ (Rhythm)

จังหวะ หมายถึง เป็นการกำหนดระยะเวลาในการ
บรรเลงดนตรี ซึ่งจะดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ จังหวะแบ่ง
ออกเปน็ 3 ลกั ษณะ คือ

1) จงั หวะพน้ื ฐาน คอื จังหวะทีอ่ ยใู่ นใจของผู้
บรรเลงและผู้ขบั ร้องโดยไมต่ ้องมีเครอื่ งใหส้ ัญญาณจังหวะ
ใด ๆ เปน็ เคร่อื งให้จงั หวะ

2) จงั หวะฉิ่ง คอื เปน็ การแบ่งจงั หวะทสี่ มำ่ เสมอ
ด้วยการใชฉ้ งิ่ เปน็ เครือ่ งมือในการบรรเลง แสดงถึงจังหวะ
หนัก-เบา โดยตีสลบั ไปมาเปน็ เสยี ง “ฉิ่ง” ในจังหวะเบา
และเสียง “ฉบั ” ในจงั หวะหนกั

ตวั อย่าง จงั หวะฉ่ิง ( เครือ่ งหมาย – แทนเสยี ง
ฉ่งิ / + แทนเสยี งฉบั ) มลี ักษณะดงั น้ี
จังหวะ 3 ช้นั

-+-+
- - - - - - - ฉ่งิ - - - - - - - ฉับ - - - - - - - ฉิง่ - - - - - - - ฉบั

จังหวะ 2 ชั้น

- +- -- +- +

- - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ

จงั หวะชนั้ เดยี ว

-+ -+ -+ -+ -+ -+ -+ -+
-ฉิ่ง-ฉับ -ฉิ่ง-ฉับ -ฉิ่ง-ฉับ -ฉิ่ง-ฉับ -ฉิ่ง-ฉับ -ฉิ่ง-ฉับ -ฉิ่ง-ฉับ -ฉิ่ง-ฉับ

3) จังหวะหน้าทับ หมายถึง การนับจังหวะด้วยการตี
กลองเมื่อกลองตีจบ 1 จังหวะ หน้าทับเรียกว่า 1 จังหวะตี
จบ 2 จงั หวะ หนา้ ทบั เรยี กวา่ 2 จงั หวะ
จังหวะของการตีกลองเรียกว่า “หนา้ ทับ”

1. จงั หวะหน้าทับปรบไก่
2. จงั หวะหนา้ ทับสองไม้
จังหวะหนา้ ทับ ท่สี ำคญั ของดนตรีไทย ไดแ้ ก่

แผนผังการตีจังหวะหน้าทับ

แผนผังการตจี ังหวะหน้าทบั สองไม้

3. ทำนอง (Melody)

ทำนอง หมายถึง เสียงต่ำ เสียงสงู เสยี งส้นั เสียง
ยาว เสียงท้มุ เสยี งแหลมที่นำมาผสมผสานกันใหส้ อดคล้อง
กบั จังหวะของบทเพลง

4. เสยี งประสาน (Harmony)

เสียงประสาน หมายถึง เสียงของเครื่องดนตรี
และเสียงร้องเพลงของมนุษย์ที่มีระดับเสียงต่างกัน เปล่ง
เสียงออกมาพร้อมกัน โดยเสียงที่เปล่งออกมานั้นจะต้อง
ผสมผสานกลมกลืนกัน ฟังแล้วไม่ขัดหู ซึ่งการประสาน
เสียงที่จะให้เกิดความไพเราะนั้น จะต้องอยู่ในรูปของขั้นคู่
เสียง (Interval) หรือคอร์ด (Chord) ชนิดต่าง ๆ ในการ
ประสานเสียงนั้น มีทั้งการใช้ทั้งคอร์ดที่มีเสียงกลมกลืน

และไม่กลมกลืน โดยท่ัวไปแล้วคอร์ดที่มีเสียงกลมกลืนจะ
ใชม้ ากกว่าคอรด์ ที่มเี สยี งไมก่ ลมกลนื
ลกั ษณะการประสานเสียง มดี ังนี้

1. การประสานเสียงโดยการบรรเลงเครื่องดนตรี
ชนิดเดียวกัน คือ การบรรเลงทำนองหลักเสียงหนึ่ง และ
บรรเลงทำนองประสานอีกเสียงหนึ่งควบคู่กันไป เช่น
ระนาด ขมิ ฆ้อง

2. การประสานเสียงระหว่างเครอ่ื งดนตรีตา่ งชนิด
กัน คือ การบรรเลงด้วยการใช้เครื่องดนตรีต่างชนิดกัน
และนำมาดัดแปลงจังหวะทำนองใหม่ให้เหมาะสมกับ
เครื่องดนตรีชนิดนั้น จนเกิดการบรรเลงที่มีจังหวะและ
ทำนองเดียวกนั มกี ารบรรเลงพร้อมกัน

3. การประสานเสียงโดยการแปรทำนอง คือ การ
บรรเลงที่มีการดัดแปลง พลิกแพลงทำนองของนักดนตรี
ทำให้เกิดการประสานเสียงขึ้นแต่จะถือทำนองหลักเป็น
สำคญั

5. พ้นื ผวิ (Texture)

พื้นผิว หรือ รูปพรรณ หมายถึง ความสัมพันธ์
ระหว่างเสียงในแนวตั้งกับทำนองในแนวนอน เมื่อรวมกัน
จะเกิดพื้นผิวของดนตรี ทำให้เกิดเป็นภาพรวมของดนตรี
พนื้ ผวิ ของดนตรมี หี ลายรปู แบบดว้ ยกันคอื

1) พื้นผิวแบบทำนองเดียว (Monophonic
Texture) ดนตรีที่มี แต่ทำนองเพียงทำนองเดียว ไม่มี
ส่วนประกอบอื่นใด

2) พื้นผิวแบบหลายทำนอง ( Polyphonic
Texture) ดนตรีที่มี ทำนอง ตั้งแต่ 2 ทำนองขึ้นไป มาเลน่
รวมกัน

3) พื้นผิวแบบมีเสียงร่วม ( Homophonic
Texture) ดนตรีที่มี แนวทำนองหลักหนึ่งทำนอง และมี
เสียงเพิ่มเข้ามา เพื่อช่วยสนับสนุนให้แนวทำนองเด่นชัด
และมีความไพเราะยิ่งขึ้น เสียงที่เพิ่มเข้ามานี้จะไม่มี
ความสำคัญเท่าแนวทำนอง

4) พื้นผิวแบบมีจุดร่วมหรือลูกตกเดียวกัน
(Heterophonic Texture) ดนตรีหลายทำนอง ซึ่งมีผู้
บรรเลงตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ดำเนินทำนองหลักเดียวกัน มี
การตกแต่งทำนองเพิ่มเติมจากทำนองหลักเล็กน้อย โดยมี
จุดร่วมของเสียงหรือลูกตกเดียวกนั ลักษณะของดนตรแี บบ
น้ีจะพบมากในดนตรีของไทย จนี ญี่ปนุ่ ชวา

6. คตี ลกั ษณ์ (Form)

คีตลักษณ์ หรือ รูปแบบ (Form) หมายถึง ลักษณะ
ทางโครงสร้างของบทเพลงที่มีการแบ่งเป็นห้องเพลง (Bar)
แบ่งเป็นวลี (Phrase) แบ่งเป็นประโยค (Sentence) และ
แบ่งเป็นท่อนเพลงหรือกระบวนเพลง (Movement) เป็น
แบบแผนการประพนั ธ์บทเพลง

คตี ลกั ษณเ์ พลงบรรเลงหรอื เพลงรอ้ งในปัจจุบัน
แบ่งออก ดงั น้ี

1) เอกบท (Unitary Form) หรือ วันพาร์ท
ฟอร์ม (One Part Form) คือ บทเพลงที่มีทำนองสำคัญ

เพียงทำนองเดียวเท่านั้น (A) ก็จะจบบริบูรณ์ เช่น เพลง
ชาติไทย เพลงสรรเสริญบารมี

2) ทวิบท (Binary Form) หรือ ทูพาร์ท
ฟอร์ม (Two Part Form) เป็นรูปแบบของเพลงที่มีทำนอง
สำคญั เพยี ง 2 กลมุ่ คอื ทำนอง A และ B และเรยี กรูปแบบ
ของบทเพลงแบบน้ยี อ่ ๆ วา่ AB

3) ตรีบท (Ternary Form) หรือ ทรีพาร์ท
ฟอร์ม (Three Part Form) รูปแบบของเพลงแบบนี้จะมี
องค์ประกอบอยู่ 3 ส่วน คือ กลุ่มทำนองที่ 1 หรือ A กลุ่ม
ทำนองที่ 2 หรือ B ซึ่งจะเป็นทำนองที่เปลี่ยนแปลงหรือ
เพี้ยนไปจากกลมุ่ ทำนองท่ี 1 ส่วนกลมุ่ ทำนองที่ 3 กค็ อื การ
กลับมาอีกครั้งของทำนองที่ 1 หรือ A และจะสิ้นสุดอย่าง
สมบรู ณอ์ าจเรยี กย่อ ๆ วา่ ABA

4) ซองฟอร์ม (Song Form) คือ การนำเอา
ตรีบทมาเติมส่วนที่ 1 ลงไปอีก 1 ครั้งในตอนแรก จะได้
เป็น AABA ที่เรียกว่า ซองฟอร์มเพราะเพลงโดยทั่ว ๆ ไป
จะมโี ครงสรา้ งแบบนี้

5) รอนโดฟอร์ม (Rondo Form) รูปแบบ
ของเพลงแบบนี้จะมีแนวทำนองหลัก (A) และแนวทำนอง
อื่นอีกหลายส่วน ส่วนสำคัญคือแนวทำนองหลักทำนอง
แรกจะวนมาขั้นอยู่ระหว่างแนวทำนองแต่ละส่วนที่ต่างกัน
ออกไป เช่น ABABA ABACA, ABACADA

ทาง หมายถึง มาตราเสียงที่ใช้ในการบรรเลงดนตรี
เปรียบเทียบได้เท่ากับคีย์เสียงของดนตรีสากลหรือการใช้
กุญแจประจำหลัก มาตราเสียงของดนตรีไทยมี 7 ทาง
ได้แก่ ทางเพียงออล่าง ทางใน ทางกลาง ทางเพียงออ
บน ทางนอก ทางกลางแหบและทางชวา

ศัพทส์ ังคีต

ศัพท์สงั คีต หมายถงึ ภาษาดนตรที ใ่ี ชใ้ นการเรยี ก
เครอื่ งมอื ต่าง ๆ

ศัพทส์ ังคตี ทใ่ี ชก้ ับดนตรีไทย มี 5 ลกั ษณะ คอื
1. ศพั ทท์ ีใ่ ช้เปน็ คำเรยี กชือ่ เคร่อื งดนตรี เช่น ฉง่ิ

ระนาด ซออู้
2. ศพั ทท์ ใ่ี ช้เรียกวธิ ีการบรรเลงดนตรี เชน่ ไขว้

เกบ็ ขยี้ เดย่ี ว กรอ กวาด
3. ศัพทท์ ใ่ี ช้เรียกวิธกี ารรอ้ งเพลง เชน่ ขับ ครวญ

คลอ
4. ศัพทท์ ใ่ี ช้เกีย่ วข้องกับจังหวะ เช่น ครอ่ ม

จังหวะ ช้นั เดยี ว
5. ศัพทท์ ใ่ี ช้เก่ียวกบั ระดับเสยี งของดนตรี เชน่ คู่

ศัพท์ท่ีใช้เปน็ คำเรียกชื่อเคร่ืองดนตรี

1. ฉิ่ง หมายถึง เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตที ี่ทำ
ด้วยโลหะ ทำหน้าที่ กำกับจังหวะในวงดนตรีไทย มีรูปร่าง
คล้ายถ้วยชาม ไม่มีก้นเว้าตรงกลางปากผาย กลม เจาะรู
ตรงกลางสำหรับร้อยเชือก เพื่อความสะดวกในการตี
กระทบกันเมื่อต้องการตีเสียง “ฉิ่ง” ใช้ขอบของฝาหน่ึง
กระทบเขา้ กบั ขอบของอีกฝาหน่งึ เม่ือต้องการตเี สยี ง “ฉับ”
ใช้ทั้ง 2 ฝา ตีประกบกันฉิ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ผู้เล่นมี
ความสามารถในเรื่องจังหวะและรู้อัตราจังหวะของเพลงที่
บรรเลงเป็นอยา่ งดี

ภาพประกอบท่ี 1 ฉ่งิ
2. ระนาด หมายถึง เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี
ที่มีวิวัฒนาการมาจาก กรับ โดยใช้ไม้ที่มีขนาดลดหลั่นกัน

เรียกว่า “ลูกระนาด” ใช้เชือกร้อยให้ติดกัน เรียกว่า “ผืน
ระนาด” และใช้ขี้ผึ้งกับตะกั่วผสมกันติดหัวท้ายของลูก
ระนาด ถ่วงเสียงให้มีเสียงระดับต่างกัน เวลาเล่นขึงแขวน
ไว้บนราง ลูกระนาดแต่ก่อน ทำด้วยไม่ไผ่ชนิดที่เรียกว่า
“ไผ่บง” หรือ “ไผ่ตง” ต่อมามีผู้นำเอาไม้แก่น เช่น ไม้
ชิงชัน ไม้มะหาด ไม้พยุง มาทำลูกระนาด ซึ่งระนาดมีอยู่
ด้วยกนั 2 ชนิด คอื ระนาดเอกและระนาดทุ้ม

ภาพประกอบท่ี 2 ระนาดเอก

ศพั ทท์ ่ใี ช้เรยี กวธิ ีการบรรเลงดนตรี

1.ไขว้ หมายถึง วิธีตีของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี
โดยใช้มือขวาตีที่เสียงต่ำ ส่วนมือซ้ายไขว้ข้ามมือขวามาตีที่
เสยี งสงู หรอื ตำ่ กว่ามอื ขวาเป็นคู่ 2, 3, 4, 5, 8 หรือคู่ใดก็ได้
วิธีตีที่เรียกว่า “ไขว้” มักจะบรรเลงในประเภทเพลงเดี่ยว
เช่น ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก และเครื่องดนตรี
อืน่ ๆ บางโอกาส

2.เก็บ หมายถึง การบรรเลงเครือ่ งดนตรีดำเนินทำนอง
ทั่วไปที่เพิ่มเติม เสียงสอดแทรกให้มีพยางค์ถี่ขึ้นมากกว่า
ทำนองเนื้อเพลงธรรมดาการบรรเลงที่เรียกว่า “เก็บ”
น้ี เป็นวิธีการของระนาดเอกและฆ้องวงเล็ก ส่วนมากใช้กับ
ทำนองเพลงพื้น ๆ ทั่วไป เช่น เพลงลมพัดชายเขา เพลง
จระเข้หางยาว เรียกว่า ทางเก็บ ส่วนเพลงบังคับทาง
ส่วนมากเป็น ทางกรอ เช่น เพลงเขมรไทรโยค เพลงโสม
ส่องแสง มักไมค่ ่อยมีการเกบ็

3.ขยี้ หมายถงึ การบรรเลงท่เี พ่มิ เตมิ เสยี งแทรกแซงให้
มีพยางค์ถี่ขึ้นไปจาก “เก็บ” อีก 1 เท่า การบรรเลงที่

เรียกว่าขยีน้ ้ี จะบรรเลงตลอดทั้งประโยคของเพลง หรอื จะ
บรรเลงเพลงสั้น-ยาวเพียงใด แล้วแต่ผู้บรรเลงจะ
เห็นสมควรวิธีบรรเลงอย่างนี้บางท่านก็ เรียกว่า “เก็บ 6
ชั้น” ซึ่งถ้าจะพิจารณาถึงหลักการกำหนดอัตรา (สองช้ัน
สามชนั้ ) แล้ว คำว่า 6 ชน้ั ดูจะไมถ่ ูกตอ้ ง

4.เดี่ยว หมายถึง วิธีการบรรเลงอย่างหนึ่งที่ใช้เครื่อง
ดนตรีจำพวก ดำเนินทำนอง เช่น ระนาด ฆ้องวง จะเข้ ซอ
บรรเลงแต่อย่างเดียวการบรรเลง เครื่องดำเนินทำนอง
เพียงคนเดียวที่เรียกว่า “เดี่ยว” นี้ อาจมีเครื่องประกอบ
จังหวะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง โทน รำมะนา กลองสอง
หน้า หรือกลองแขก บรรเลงไปด้วยก็ได้ การบรรเลงเดี่ยว
อาจบรรเลงตลอดทั้งเพลงหรือแทรกอยู่ในเพลงใดเพลง
หนึ่งเป็นบางตอนกไ็ ด้
การบรรเลงเด่ยี วมีความประสงคอ์ ยู่ 3 ประการ คือ

1) เพื่ออวดทาง คือ วิธีดำเนินทำนองของเครื่องดนตรี
ชนดิ นน้ั

2) เพอ่ื อวดความแมน่ ยำ

3) เพื่ออวดฝีมือ
เ พ ร า ะ ฉ ะ น ั ้ น ก า ร บ ร ร เ ล ง ท ี ่ เ ร ี ย ก ไ ด้ ว ่ า เ ด ี ่ ย ว จ ึ ง ม ิ ใ ช ่ จ ะ
หมายความแคบ ๆ เพียงบรรเลงคนเดียวเท่านั้น ที่จะ
เรียกว่าเดี่ยวได้โดยแท้จริงนั้นทาง(การดำเนินทำนอง) ก็
ควรจะให้เหมาะสมกบั ทีจ่ ะบรรเลงเดี่ยว เช่น มโี อดพันหรือ
วิธีการโลดโผนพลิกแพลง ต่าง ๆ ตามสมควรแก่เครื่อง
ดนตรชี นดิ น้นั ด้วย

5. กรอ หมายถงึ วิธีการบรรเลงดนตรีประเภทเครื่องตี
ที่ดำเนินทำนอง เช่น ระนาด โดยใช้มือทั้ง 2 ข้างตีสลับกัน
ถี่ ๆ เป็นการรัวเสียงเดียว แต่ทั้ง 2 มือ ไม่ได้ตีอยู่ในท่ี
เดียวกัน มักจะตีเปน็ คู่

6. กวาด หมายถึง วิธีการบรรเลงดนตรีประเภทเคร่อื ง
ตีที่ดำเนินทำนอง เช่น ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่
ฆ้องวงเล็ก โดยใช้หัวไม้ตีลากไปบนเครื่องดนตรีโดยเร็ว
เพ่อื ใหเ้ กิดเสียงตอ่ เน่ืองกนั

7. คาบลูกคาบดอก หมายถึง วิธีการดำเนินทำนอง
เพลงแบบหนึ่งที่ปฏิบัติพลิกแพลงให้มีวิธีบรรเลงเป็น 2

อย่างสลับกัน โดยปกติใช้เรียกทางเดี่ยวของระนาดเอกที่มี
ทั้ง “เก็บ” และ “รัว” (เป็นทำนอง) สลับกัน คาบลูกคาบ
ดอกก็เป็นการสมมุติวิธีการเก็บนั้นเป็นลูกและการรัวนั้น
เป็นดอก เมื่อบรรเลงโดยใช้วิธีทั้ง 2 อย่างสลับกันจึง
กลายเปน็ คาบลูกคาบดอก

ศัพท์ท่ใี ช้เรยี กวธิ ีการร้องเพลง

1. ขับ หมายถึง การเปล่งเสียงออกไปอย่างเดียวกับ
ร้อง แต่การขับมักใช้ทำนองที่มีความยาวต่างกัน การเดิน
ทำนองเป็นเพียงแนวทางเท่านั้นและถือถ้อยคำเป็นสำคัญ
ทำนองต้องน้อมเข้าหาถ้อยคำ เช่น ขับเสภา การขับ กับ
การร้องมีวิธีการที่คล้ายคลึงและมักจะปะปนกันอยู่จึง
มกั จะเรยี กรวมกันว่า “ขับร้อง”

ภาพประกอบท่ี 3 การขับรอ้ งเพลงไทย

2. ครวญ หมายถึง วิธีการร้องอย่างหนึ่งซึ่งสอดแทรก
เสียงเอ้อื นยาว ๆ ให้มสี ำเนยี งครวญคร่ำรำพัน เสียงเอื้อน
ที่สอดแทรกน้ีมักจะขยายให้เพลงยาวออกไปจากปกติ
เพลงที่จะแทรกทำนองครวญเข้ามานี้ ใช้เฉพาะเพลงท่ี
แสดงอารมณ์โศกเศร้า เชน่ เพลงโอป้ ีแ่ ละเพลงรา่ ย บทรอ้ ง
ที่จะร้องทำนองครวญก็จะต้องเป็นคำกลอนวรรคสุดท้าย
ของบทนัน้

3. คลอ หมายถึง วิธีการบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับ
การร้องเพลงโดยดำเนินทำนองในลักษณะเดียวกัน คือ
บรรเลงไปตามทางร้อง เช่น ซอสามสาย สีคลอไปกับเสียง
รอ้ ง

ศัพท์ท่ีใชเ้ กยี่ วขอ้ งกบั จังหวะ

1. คร่อม หมายถึง การบรรเลงทำนองหรือบรรเลง
เครื่องประกอบ จังหวะหรือการร้องดำเนินไปโดยไม่ตรง
กับจังหวะที่ถูกต้อง เสียงที่ควรจะตกลงตรงจังหวะ
กลายเป็นตกลงในระหว่างจังหวะ ซึ่งกระทำไปโดยไม่มี
เจตนา เรียกวา่ “คร่อมจังหวะ”

2. จังหวะ หมายถึง การแบ่งสว่ นยอ่ ยของทำนองเพลง
ซึ่งดำเนินไปด้วยเวลาอันสม่ำเสมอ ๆ ทุกระยะของส่วนท่ี
แบง่ น้คี อื จงั หวะ

3. ชั้นเดียว หมายถึง คำที่ใช้กำหนดอัตราของหน้าทับ
และเพลง ซงึ่ มีประโยคและจังหวะหน้าทับสนั้ ๆ และมกั จะ
ดำเนินจังหวะเร็ว ถ้าจะเทียบกับการบันทึกโน้ตสากล ใน
จังหวะหน้าทับหนึ่ง ๆ เพลงไทยรุ่นแรกคงจะเป็นอัตราช้ัน
เดยี วทั้งสิ้น

ศัพทท์ ีใ่ ชเ้ กย่ี วกบั ระดบั เสียงของดนตรี

1. คู่ หมายถึง ระดับเสียง 2 เสียง อาจบรรเลงให้ดัง
พร้อมกันหรือดังคนละทีก็ได้ เสียงทั้ง 2 นี้ ห่างกันกี่เสียงก็
เรียกว่าคู่เสียงเท่านั้น แต่การนับจะนับเสียงที่ดังทั้ง 2
รวมอยู่ดว้ ย เช่น เสียงหนึง่ อยู่ท่ีโน้ตเสียงโด อกี เสียงหน่ึงอยู่
ที่โน้ตเสียงซอล การนับต้องนับตั้งแต่ 1 โด 2 เร 3 มี 4 ฟา
และ 5 ซอล คซู่ ึง่ ก็ต้องเรียกว่า “คู่ 5”

ศัพทท์ ีใ่ ชเ้ กีย่ วข้องกบั ดนตรีสากล

ศัพท์สงั คตี เปน็ ภาษาทางดนตรที ใี่ ชใ้ นการอธิบายถึง
ความหมายทางดรุ ิยางคศลิ ป์

ศัพทส์ ังคตี ทใี่ ชก้ บั ดนตรสี ากล มี 5 ลกั ษณะ คอื

1. ศพั ท์ที่ใชเ้ ป็นคำเรยี กชอื่ ดนตรี เชน่ เปยี โน
2. ศัพท์ท่ีใชเ้ รียกลกั ษณะตัวโนต๊ เช่น ฮาร์ฟ โน้ต
3. ศพั ทท์ ่ีใชเ้ รียกวธิ ีการร้องเพลง เช่น อะคาเปลลา
4. ศัพท์ท่ีเก่ียวข้องกบั จังหวะ เช่น อะเทมโป อัลเล
โกร
5. ศัพทท์ ่ีใช้เกี่ยวกบั เสียงดนตรี เชน่ อัลโต เทเนอร์

ศัพทท์ ใ่ี ช้เป็นคำเรยี กชือ่ ดนตรี

1. แอคคอร์เดียน (Accordion) เป็นเครื่องดนตรี
ประเภทคีย์บอร์ดเกิดเสียงโดยการดันลมให้ผ่านลิ้นโลหะ
(Reeds) มีแผงคีย์บอร์ดตามลักษณะเปียโน สำหรับการ
เล่นทำนองเพลงและปุ่มรูปกระดุมสำหรับการเล่นโน้ตเบส

และคอร์ด มีลิ้น 2 ชุด ชนิดหนึ่งขณะที่ถุงลมถูกบังคับให้
เปดิ อกี ชนิดหนึ่งเลน่ เมื่อถุงลมถูกบังคับให้ปดิ

ภาพประกอบที่ 4 แอคคอร์เดยี น

2. บาสซนู (Bassoon) เปน็ เครอ่ื งดนตรีประเภทเครือ่ ง
ลมไม้ เป็นปี่ที่มีลิ้นคู่ มีเสียงต่ำ เป็นเบสในตระกูลโอโบ มี
การม้วนท่อเป่าทบย้อนลำตัวของปี่ เพื่อลดขนาดความยาว
ใหส้ ้ันลงเหลอื ขนาดประมาณ 4 ฟุต

ภาพประกอบท่ี 5 บาสซนู

3. เชลโล (Cello) เป็นเคร่อื งดนตรปี ระเภทเคร่อื งสาย
มขี นาดใหญก่ วา่ ไวโอลนิ และวโิ อลา

ภาพประกอบที่ 6 เชลโล

4. กลอง (Drum) เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ
ชนิดหนึง่ มีหลายชนดิ ได้แก่

4.1 สะแนร์ดรัมหรือกลองเล็ก (Snare drum)
ประกอบด้วยแผงลวดขึงรัดผ่านผิวหน้ากลองด้านล่าง
เพื่อให้เกิดเสียงดังกรอบ ๆ ดังแต๊ก ๆ ตัวกลองทำด้วยไม้
หรือโลหะและสามารถรดั ใหห้ นงั ตึงดว้ ยขอบไม้ดา้ นบนและ
ล่าง สามารถปลดสายสะแนร์เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มดังตุ้ม ๆ
นิยมใช้ไมต้ ีเล่นในวงดรุ ิยางค์

ภาพประกอบท่ี 7 กลองเลก็

4.2 เทเนอร์ดรัม (Tenor drum) มีขนาดใหญ่
กว่าสะแนร์ดรัมเป็นกลองที่สร้างโดยไม่ใช้สายสะแนร์ ไม้ที่
ใชต้ เี ปน็ หวั ไม้หมุ้ ดว้ ยสักหลาด

ภาพประกอบที่ 8 เทเนอรด์ รมั

4.3 กลองใหญ่ (Bass drum) เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่
ที่สุดประกอบด้วยตัวกลองที่ทำด้วยไม้และมีหนังกลอง 2
ด้าน เสียงที่เกิดจากการตี กลองใหญ่จะไม่ตรงกับระดับ
เสยี งทก่ี ำหนดไวท้ างตัวโน้ต ตีด้วยไม้หุม้ ด้วย สักหลาดชนิด
ที่มีหวั ทปี่ ลายท้งั 2 ขา้ งใชเ้ พ่ือทำเสียงรัว

ภาพประกอบท่ี 9 กลองใหญ่

4.4 กลองทิมปานี (Timpani) เป็นกลองลักษณะเป็น
หม้อกระทะมีหน้าหนังกลองหุ้มทับอยู่ด้านบน เป็นกลอง
ชนิดเดียวที่ขึ้นเสียงแล้วได้ระดับเสียงที่แน่นอน เมื่อคลาย
หรือขันหน้ากลอง โดยไม่ว่าจะใช้วิธีขันสกรูหรือเหยียบ
เพดัล (Pedal) ไม้ที่ใช้ตีหุ้มนวมตรงหัวไม้ตี ตีได้ทั้งเป็น
จงั หวะรัวและเรว็

ภาพประกอบท่ี 10 กลองทิมปานี

ศัพท์ท่ใี ช้เรียกลักษณะตวั โน้ต

1. จีเคลฟ (G Clef) หมายถึง เครื่องหมายกุญแจ
ประจำหลักที่อยู่บนเส้นที่ 2 ของบรรทัด 5 เส้น จีเคลฟที่
เหน็ อยใู่ นปจั จบุ ันพฒั นารูปร่างมาจากอักษร G

2. เบสเคลฟ (Bass Clef) หมายถึง เครื่องหมาย
กุญแจประจำหลักที่อยู่บนเส้นที่ 4 ของบรรทัด 5 เส้น เบส
เคลฟที่เหน็ อยใู่ นปัจจบุ ันพัฒนารูปรา่ งมาจากอักษร F

3. แฟลต (Flat) หมายถงึ เครื่องหมายทนี่ ำมาวาง
ขา้ งหนา้ โน้ตตวั ใดแล้วโนต้ ตัวน้ันจะมีเสยี งตำ่ ลงครึง่ เสียง

4. ชาร์ป (Sharp) หมายถึง เครื่องหมายที่นำมา
วางข้างหน้าโน้ตตัวใดแล้วโน้ตตัวนั้นจะมีเสียงเพิ่มข้ึน
ครง่ึ เสยี ง

5. เนเจอรัล (Natural) หมายถึง เครื่องหมายที่
จัดวางไว้ข้างหน้าโน้ต ซึ่งใช้เครื่องหมายชาร์ปหรือแฟลต
มาแล้ว เพื่อคนื กลับสู่เสียงเดมิ ของโนต้ ตัวน้นั

6. โฮลโน้ต (Whole Note) หมายถึง โน้ตตัวกลม
ซ่งึ มคี า่ เป็น 4 เท่าของโน้ตตัวดำ

7. ฮาร์ฟโน้ต (Half Note) หมายถึง โน้ตตัวขาว
ซ่งึ จำนวนโน้ต 2 ตวั น้ีรวมคา่ ความยาวเทา่ กับโนต้ ตวั กลม 1
ตัวและโน้ตตัวดำ 2 ตัว รวมค่าความยาวเท่ากับโน้ตตัวขาว
1 ตัว

8. ควอเตอร์โน้ต (Quarter Note) หมายถึง โน้ต
ตัวดำที่กำหนดว่าจำนวนโน้ตตัวดำ 4 ตัว จะเท่ากับตัวโน้ต
ตัวกลม 1 ตัว และจำนวนโน้ตตัวดำ 2 ตัว เท่ากับโน้ตตัว
ขาว 1 ตวั

9. เอทโน้ต (Eighth Note) หมายถงึ โนต้ ตัวเขบต็
1 ชั้น ซึ่งจำนวนโน้ต 8 ตัว โน้ตจะมีค่าเท่ากับโน้ตตัวกลม
1 ตัว และ 2 ตัวโน้ต มีคา่ เทา่ กบั โนต้ ตวั ดำ 1 ตวั

ศัพท์ท่ใี ช้เรียกวิธกี ารรอ้ งเพลง

1. อะคาเปลลา (Acappella) มาจากภาษาอิตา
เลียน Chapel หมายถึง โบสถ์ เดิมหมายถึง เพลงที่ใช้ขับ
ร้องหมู่ในโบสถ์สมัยโบราณ ซึ่งไม่ใช้เครื่องดนตรีคลอ
ปัจจุบัน หมายถึง เพลงขับร้องหมู่ที่ไม่ใช้เครื่องดนตรีคลอ
โดยไม่จำกัดวา่ วา่ จะเป็นเพลงโบสถ์หรือไม่

2. บัลหลาด (Ballad) หมายถงึ เพลง คำนี้มาจาก
ภาษาลาติน Ballare หมายถึง เต้นรำ เดิมเป็นเพลงร้อง
สำหรับเต้นรำ ต่อมากลายเป็นเพลงขับร้องเดี่ยวและมัก
เป็นการเล่าเรอื่ งราวต่าง ๆ

3. แคนนอน (Canon) หมายถึง คีตลักษณ์ชนิด
หนึ่งที่มีแบบแผนแน่นอนไม่ว่าจะเป็นแนวบรรเลงหรือแนว
ขับร้องจะมีทำนองเหมือนกันหมดเพียงแต่เริ่มเวลาต่างกัน
เรยี กอกี ชอื่ หน่ึงวา่ “ราวด”์ (Round)

4. ลลั ลาบาย (Lullaby) หมายถงึ เพลงกล่อมเดก็
5. แมส (Mass) หมายถึง เพลงสวดอยา่ งเปน็
ทางการของศาสนาคริสต์

6. อารียา (Aria) หมายถึง เพลงร้องที่มีเครื่อง
ดนตรีคลอประกอบซึ่งจะปรากฏในรูปการเล่นประดับ
มากมายในโอเปร่า (Opera) กันตาตา (Cantata) และออ
ราทอรโิ อ (Oratorio)

7. โยเดล (Yodel) หมายถึง การร้องเพลงชนิด
หนึ่งที่ไม่มีคำร้อง (ร้องแบบโห่) นิยมในหมู่ชาวเขาประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ลักษณะของเพลง คือ
เปลี่ยนเสียงจากเสียงต่ำในช่วงอกไปยังเสียงฟอลเซทโท
(Falsetto : เสียงที่ร้องดัดให้สูงขึ้นกว่าเสียงร้องตามปกติ)
อยา่ งรวดเร็วและสลับไปมา

ศัพทท์ ี่เกีย่ วขอ้ งกบั จงั หวะ

1. อัลลารก์ านโด (Allargando) หมายถึง ช้าลงทีละ
นอ้ ย

2. บที (Beat) หมายถึง จงั หวะเคาะหรือนับของห้อง
แต่ละห้อง

3. บาร์ ไลน์ (Bar line) หมายถงึ เส้นกน้ั ห้อง เส้นแนว
ตั้งที่แบ่งโน้ตเพลงออกเป็นห้อง เพื่อกำหนดจำนวนจังหวะ
ทางดนตรี

4. เทมโป (Tempo) หมายถงึ อตั ราความเรว็
เครอ่ื งหมายทแี่ สดงอัตราความเร็ว ได้แก่

4.1 ประเภทช้า ได้แก่ ลารโ์ ก, กราเว, เล็นโต,
อะดาจโิ อ

4.2 ประเภทเร็วปานกลาง ไดแ้ ก่ อนั ดานเด, โม
เดราโด

4.3 ประเภทเรว็ ได้แก่ อลั เลโกร, ววิ าเซ,
เปรสโต

ศัพท์ท่ใี ช้เกีย่ วกบั ระดับเสียงของดนตรี

1. อัลโต (Alto) มีหลายความหมาย ไดแ้ ก่
- เสยี งร้องของผู้หญงิ ทต่ี ำ่ กว่าโซปราโน, คอนตรลั โต
- แนวเสียงที่อยู่ถัดจากแนวสูงสุดในการร้องเพลง
ประสานเสยี ง 4 แนว (โซปราโน, อลั โต, เทเนอร์และเบส)
- เคร่ืองดนตรที อ่ี ยใู่ นแต่ละตระกลู ไดแ้ ก อัลโต
คลารเิ น็ต,อัลโต ฮอรน์ ,อัลโต แซกโซโฟน
2. เบส (Bass) มหี ลายความหมาย ไดแ้ ก่
- ช่วงเสียงร้องต่ำสุดของนกั ร้องชาย
- แนวบรรเลงทีอ่ ยู่ต่ำสุดของบทประพันธเ์ พลง มาจาก
ภาษากรีก วา่ Basis มคี วามหมายวา่ “พ้นื ฐาน”
- สมาชกิ ในตระกูลเคร่อื งดนตรตี ่าง ๆ ได้แก่ เบส คลา
ริเน็ตและเบสวิโอลา
3. เทเนอร์ (Tenor) คือ เสยี งระดบั สงู สดุ ของนักร้อง
ชาย
4. โวเช (Voce) วอยซ์ (Voice) มีหลายความหมาย
ไดแ้ ก่

- เสยี งดนตรที ่ีเกดิ จากสายเสียงในกล่องเสยี ง
- แนวการปฏิบัติในบทประพันธ์เพลงสำหรับเสียงร้อง
หรือเครื่องดนตรี เช่น เสียงร้องแนวเบสในบทประพันธ์
เพลงประเภทขบั ร้องประสานเสียงหรือเรยี กวา่ (คอรัส)

ภาพประกอบท่ี 9 การประสานเสยี ง

บรรณานกุ รม

สมศักดิ์ สนิ ธรุ ะเวชญ์ และคนอ่นื ๆ. ศลิ ปะ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6. กรงุ เทพฯ :
วัฒนาพานิช, 2555.

ประทีป นกั ปี.่ หนงั สือเรยี นรายวิชาพื้นฐาน ดนตรี-นาฏศลิ ป์. กรุงเทพฯ :
อกั ษรเจรญิ ทัศน์, 2554.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน. (2551). ตวั ช้ีวัดและสาระ
การเรยี นรู้แกนกลางกลมุ่ สาระการเรยี นรศู้ ลิ ปะ ตามหลักสตู รแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : องคก์ ารรบั สง่ สนิ คา้
และพัสดุภณั ฑ์.

สัมพนั ธ์ เพชรสม และคนอืน่ ๆ. ศลิ ปะ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6. กรงุ เทพฯ :
อกั ษรเจริญทัศน,์ 2555.

เอกรินทร์ สมี่ หาศาล. ศลิ ปะ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6. กรงุ เทพฯ :
อกั ษรเจริญทศั น,์ 2555.

http://www.yamaha.co.th. สบื ค้นเมือ่ วนั ท่ี 1 กันยายน 2559
http://www.sarasit.ac.th. สืบค้นเมอื่ วันท่ี 1 กันยายน 2559
http://www.saraicello. สืบคน้ เมอื่ วันท่ี 1 กนั ยายน 2559
http://www.sites.google.com. สบื ค้นเมอื่ วนั ท่ี 1 กันยายน 2559
https://www.google.co.th/search?q สบื คน้ เมื่อวนั ท่ี 1 กนั ยายน 2559
http://www.google.co.th/imgres?imgurl. สบื คน้ เมอ่ื วันท่ี 1 กนั ยายน 2559

หนังสือเรยี นอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (E-Book)

เอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรศู้ ิลปะ (ดนตรี)
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4

เร่ือง องค์ประกอบดนตรแี ละศัพทส์ ังคตี

โรงเรียนบา้ นกูน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ ินทร์
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสรุ ินทร์ เขต 3

กระทรวงศกึ ษาธิการ


Click to View FlipBook Version