The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักการร้องเพลง เล่ม 7

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by zero7thammarong, 2022-03-02 04:15:50

หลักการร้องเพลง

หลักการร้องเพลง เล่ม 7

Keywords: หลักการร้องเพลง

หนังสอื เรียนอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (E-Book)

เอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ (ดนตร)ี
ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4

เร่อื ง หลกั การร้องเพลง

จัดทำโดย
นายธำมรงค์ โพนทะนา
ครชู ำนาญการพิเศษ

โรงเรียนบา้ นกูน อำเภอปราสาท จงั หวดั สรุ ินทร์
สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาสุรินทร์ เขต 3

กระทรวงศึกษาธกิ าร

หลกั การรอ้ งเพลง

การขบั ร้อง คือ การเปลง่ เสียงออกมาเปน็ ถอ้ ยคำให้
ครบถ้วนถกู ต้องตามจงั หวะและทำนองทก่ี ำหนดไว้ เสยี งที่
เปล่งออกมาจะต้องสมั พนั ธเ์ ข้ากบั ทำนองเพือ่ ทำใหเ้ พลงท่ี
รอ้ งมีความไพเราะขึน้

ประเภทของการขบั รอ้ ง แบ่งออกเปน็ 4 ประเภท
ดังน้ี

1. การขับร้องอิสระ คือ การขับร้องทั่วไป โดยไม่
มีดนตรีประกอบผู้ขับร้องสามารถขับร้องตามที่ตนเองถนัด
หรือต้องการโดยไม่คำนึงถึงระดับเสียงของเครื่องดนตรี
จะต้องมีความแม่นยำในเรื่องจังหวะและทำนองมีพลัง
เสียงออกเสียงคำร้องชัดเจน ถูกอักขรวิธี สามารถแสดง
ทา่ ทางสีหนา้ ได้สอดคล้องกับเสียงและอารมณ์ของบทเพลง

ภาพประกอบท่ี 1 การร้องประกอบดนตรี

2. การขับร้องประกอบดนตรี คือ การขับร้องให้
เข้ากับการบรรเลง เครื่องดนตรี โดยคำนึงถึงทำนอง
จงั หวะและรูปแบบของเพลง

3. การขับร้องประกอบการแสดง คือ การขับ
ร้องเพื่อบรรยายเนื้อเรื่องหรือเนื้อเพลงประกอบการแสดง
ต่าง ๆ

4. การขับร้องหมู่ คือ การขับร้องพร้อมกันตั้งแต่
2 คนขึ้นไป แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ การขับร้องทำนอง
เดียวกันและการร้องประสานเสียงผู้ขับร้องต้องมีความ
แม่นยำและความพร้อมเพรียงในเรื่องจังหวะและทำนอง
และมีความสามารถในการปรับเสียงให้กลมกลืนเป็นเสียง
เดยี วกันของทั้งกลมุ่

ภาพประกอบที่ 2 การขบั ร้องหมู่

การรอ้ งเพลงประกอบดนตรี

การร้องเพลงประกอบดนตรี คอื การร้องเพลงท่ี
มีการบรรเลงดนตรีประกอบ ผู้ร้องจะต้องขับร้องให้ตรงกบั
จังหวะและทำนองจะต้องสอดคล้องกับเสียงของดนตรีท่ี
บรรเลง ดงั น้ี

1. การร้องรับหรือการร้องส่ง คือ การขับร้องที่ผู้
รอ้ งจะรอ้ งไปจบเกอื บจบท่อนเพลง ถ้ามีการขับร้องในท่อน
ต่อไป ดนตรีจะบรรเลงส่งเพื่อให้ผู้ขับร้อง ร้องถูกจังหวะ
และทำนอง เมื่อร้องเกือบจบเพลงดนตรีจะบรรเลงรับอีก
ครัง้ จนจบเพลง ซึง่ ตอนจบเพลงจะมีการบรรเลงเร็วขึ้น

2. การร้องสอด คือ การบรรเลงดนตรีสอดแทรก
การรอ้ งเพลงในทอ่ นใดท่อนหนง่ึ ของเพลงทย่ี ังขับร้องไม่จบ
ทอ่ น

3. การร้องไปพร้อมดนตรี คือ การร้องเพลงที่มี
การบรรเลงดนตรีพร้อม ๆ กบั การบรรเลงดนตรีซึ่งแบง่ การ
ขับรอ้ งออกเป็น 4 ลกั ษณะ คือ

3.1 คลอ คือ การขับร้องที่ร้องไปพร้อม ๆ
กับการบรรเลงดนตรี ซึ่งใช้ทำนองเดียวกัน ดนตรีจะ
บรรเลงทางเดียวกับทางร้อง เช่น การใช้ซอสามสายสีคลอ
ไปกบั เสียงร้อง

3.2 เคล้า คือ การขับร้องไปพร้อม ๆ กับ
การบรรเลงดนตรีในเพลงเดียวกันแต่ต่างทำนองกัน คือ
รอ้ งก็ดำเนินไปทางรอ้ ง ส่วนดนตรีกบั บรรเลงทางดนตรี ท้งั
ทางรอ้ งและทางบรรเลงจะยึดถือจงั หวะตกเดยี วกนั

3.3 ลำลอง คือ การขับร้องและการบรรเลง
ดนตรีไปพร้อม ๆ กันแต่ไม่ต้องเป็นเพลงเดียวเสียงที่ตก
จงั หวะกไ็ ม่ต้องเป็นเสียงเดียวกนั บางที อาจจะไม่ถือจังหวะ

ของกันและกันก็ได้สิ่งที่ต้องยึดถือก็คือ เสียงร้องและเสียง
ที่บรรเลงต้องเป็นระดับเสียงเดียวกัน ทำนองเพลงมี
ความสมั พนั ธก์ ลมกลืนกัน

3.4 ประสาน คือ การขับร้องหรือการ
บรรเลงในบทเพลงเดียวกันพร้อมๆ กัน อาจเป็นเสียงร้อง
กับเสียงร้อง เสียงร้องกับเครื่องดนตรีหรือเครื่องดนตรีกับ
เครื่องดนตรีก็ได้ เสียงร้องหรือเสียงเครื่องดนตรีแยกกัน
เป็นคนละทางแต่อาจมีเสียงที่ตกเสียงเดียวกันข้างหรือคน
ละเสียงบ้าง เช่นเดียวกับหลักการประสานเสียงของดนตรี
สากล

ภาพประกอบที่ 3 การขับร้องประสานเสยี ง

การด้นสด

การดน้ สด คือ การขบั รอ้ งท่ีเป็นการคดิ คำร้องและ
บรรเลงดนตรใี หม่ในทนั ที ซึ่งการร้องดน้ สดผู้ขับร้องจะต้อง
มีปฏิภาณไหวพริบในการขับร้อง มักใช้เนื้อร้องแบบคำ
กลอน มีการสัมผัสคำ และซ้ำวรรคสุดท้าย เพื่อให้ผู้ร้อง
คนต่อไปมีเวลาคิดเนื้อร้องได้ และมีการนำเคร่ืองดนตรีมา
บรรเลงประกอบเพื่อสร้างความสนุกสนาน เช่น ฉ่ิง
รำมะนา กลองแขก บทเพลงที่ร้องด้นสด เช่น เพลงฉ่อย
ลำตดั เพลงพื้นบ้านภาคต่าง ๆ

ภาพประกอบที่ 4 การด้นสด

เทคนิคเบ้อื งต้นของการขับรอ้ ง

1. การขับร้อง
1.1 การขับร้องเพลงไทย ควรเรมิ่ จากท่าทางการ

ร้องเนื่องจากเพลงไทยมีลักษณะเฉพาะผู้ขับร้องจะนั่งร้อง
เป็นส่วนใหญแ่ ละมียืนร้องบา้ งตาม โอกาส ซึ่งผู้ขับร้องควร
จะแสดงท่าทางให้เหมาะสม ได้แก่ ท่าทางการนั่ง การฝึก
หายใจ การระบายลม การเอื้อน การออกเสียงที่ถูก
อักขรวธิ ีและการแสดงอารมณ์ ดงั นี้

- ท่านั่ง ผู้ขับร้องส่วนใหญ่จะนั่งราบกับพ้ืน
เวทเี ชน่ เดียวกบั นักดนตรซี ง่ึ จะตอ้ งนงั่ พับเพยี บใหเ้ รียบรอ้ ย
สำรวมกิริยา นั่งตัวตรงไม่กระดุกกระดิก หรือเคลื่อนไหว
มากเกนิ ไป ขณะรอ้ งใหห้ นั หนา้ ไปทางผู้ชมเสมอ

- ท่ายืน ในบางโอกาสผู้ขับร้องอาจจะได้ยืน
ร้อง ซึ่งผู้ขับร้องควรยืนร้อง อย่างสำรวมกิริยาท่าทาง และ
ระวงั การเคลอื่ นไหวมอื เท้าและลำตัว

การขบั รอ้ งเพลงไทย มหี ลกั การปฏบิ ตั ิ ดงั นี้
1. ร้องใหม้ ีระดบั เสยี งสอดคล้องกบั เสียงดนตรี
2. หายใจเข้า-ออก ให้สอดคล้องกับช่วงจังหวะ

ทำนอง และเนอ้ื เพลง
3. ออกเสยี งพยญั ชนะ สระ คำควบกล้ำ

ตามอักขรวิธี
4. ร้องให้ถูกต้องตามวรรคตอนของเนื้อเพลง

เพราะหากร้องไม่ถูกวรรคตอน อาจทำให้ความหมาย
คลาดเคล่อื นได้

5. เนือ่ งจากเพลงไทยมกี ารเอ้ือน ใหร้ ะมัดระวังใน
เรื่องการออกเสียงควรเอื้อนให้มีน้ำเสียงสม่ำเสมอตาม
จังหวะและทำนองเพลง

การขับรอ้ งเพลงไทยเดมิ

เพลงไทยเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และ
ประเพณีของไทย ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ มีการร้องเอื้อน
ตามจงั หวะทำนองเพลงทำใหเ้ พ่มิ ความไพเราะมากขน้ึ

หลกั ในการขบั รอ้ งเพลงไทยเดมิ

1. เนื้อเพลง เป็นองค์ประกอบสำคัญของเพลง
เพราะเนื้อเพลงจะบอกถึงรายละเอียดของเพลงว่า ผู้แต่ง
เพลงต้องการสื่อความหมายอะไรในบทเพลง ดังนั้นผู้ขับ
ร้องจะต้องร้องเพลงให้ครบทุกตัวอักษรที่ผู้แต่งได้แต่งไว้
เพ่อื รักษาเนือ้ หาและความหมายของเพลงนน้ั

2. ทำนอง หมายถึง ระดับเสียงที่ใช้ในการร้อง
เพลง ผู้ขับร้องจะต้องร้องเพลงให้ถูกต้องตามทำนองของ
เพลงนั้น

3. เสียง ผู้ขับร้องต้องรักษาระดับเสียงให้คงท่ี
และร้องให้เข้ากับเสียงดนตรีได้อย่างดีไม่ควรร้องให้เสียง
เพย้ี นหรือร้องไมต่ รงกับเสยี งของดนตรี

4. ถ้อยคำและการแบ่งวรรคตอน ในการร้อง
เพลง ผู้ขับร้องจะต้องระมัดระวังในเรื่องการแบ่งวรรคตอน
ที่ถูกต้องและการออกเสียงตามถ้อยคำให้ชัดเจน เช่น การ
ออกเสียงตวั ร ล การออกเสยี งคำควบกลำ้

5. จังหวะ ผู้ขับร้องจะต้องร้องเพลงให้ถูกต้อง
ตามจังหวะอย่างสม่ำเสมอควรร้องให้สัมพันธ์กับจังหวะฉิ่ง
และไม่คร่อมจงั หวะของเพลง

6. การหายใจ ผู้ขับร้องจะต้องฝึกหายใจให้ถูก
จังหวะ รู้จักผอ่ นและถอนลมหายใจใหถ้ กู ตอ้ ง ถา้ หายใจผิด
จังหวะจะทำให้เสียงร้องหรือทำนองที่ควรจะต่อเนื่องกัน
ขาดหายหรือห้วนไป ทำใหเ้ พลงขาดความไพเราะนมุ่ นวล

7. อารมณ์ ผู้ขบั ร้องควรแสดงอารมณต์ ามเพลง
เพราะจะทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วมกับเพลง ซึ่งทำได้โดย
การใช้นำเสียง สหี นา้ ทา่ ทาง

8. ฝึกการเอื้อน โดยการหุบปากให้เสียงออกมา
จากลำคอ ซึ่งในการร้องเพลงไทยการทำเสียง เออ เอย
เองิ เอย๋ เปน็ สง่ิ สำคัญในการร้องเพลงไทย

8.1 เอื้อน หมายถึง การออกเสียงเป็น
ทำนองโดยไม่มีเนื้อร้องเสียงเอื้อนเป็นเสียงที่ผ่านออกมา
จากลำคอโดยตรง มีอยู่มากมายหลายเสียงและมีที่ใช้
ต่างกัน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเพียงบางเสียงที่ใช้กันมาก
ได้แก่

- เสียงเออ เป็นเสียงสำคัญมากมีหน้าที่
เป็นเสียงนำวิธีทำเสียง “เออ” เผยอริมฝีปากเล็กน้อย แล้ว
เปล่งเสียงออกจากคอให้ดังพอสมควรบังคับเสียงให้มี
น้ำหนักทคี่ อแรงหนอ่ ยโดยไม่ตอ้ งขยบั คาง

- เสียงเอย มีท่ใี ชใ้ นตอนสดุ วรรคหรือหมด
เอื้อนหรือหมดวรรคของเอื้อน จะขึ้นบทร้องวิธีทำเสียง
“เอย” มีวิธีทำเช่นเดียวกับเสียง “เออ” แต่เมื่อจะให้เป็น
เสียง “เอย” ก็ให้เน้นที่มุมปาก ออกเสียงท้ายให้เป็น
เช่นเดียวกับตัวสะกดแม่เกยในภาษาไทยโดยให้ปลายลิ้น
แตะฟนั ลา่ ง

- เสียงเอ๋ย เสียง “เอ๋ย” นี้ใช้ในการขับ
รอ้ งท่มี ลี ักษณะของบทรอ้ งเป็นบทชมหรอื บทเก้ียว หรือบท

เพลงที่แต่งเป็นสร้อย เช่น ดอกเอ๋ย อกเอ๋ย น้องเอ๋ย วิธีทำ
เสียง “เอ๋ย” เหมือนกับการทำเสียง “เอย” แต่ผันเสียงให้
สูงขึ้นโดยไม่หุบปาก เปลี่ยนน้ำเสียงในช่วงหางเสียงให้ไป
ทางนาสิกอยา่ งชา้ ๆ พร้อมกับทำเสยี ง “หือ” ต่อท้าย

- เสียงหือ เสียง “หือ” จะใช้เฉพาะขับ
ร้องในทางเสียงสูงมักจะใช้ในตอนสุดท้ายของวรรคหรือ
ตอนของทำนองเพลงหรือตามความต้องการของผู้ขับร้องท่ี
จะใช้หางเสียงเพื่อให้เกิดความไพเราะตามความเหมาะสม
วิธีทำเสยี ง “หือ” ให้เผยอริมฝีปากเล็กน้อย แล้วเปล่งเสียง
ออกมาจากคอเบา ๆ พรอ้ มกับผนั เสียงขน้ึ ในทางสูงเรอ่ื ยไป
ให้เสยี งออกมาทางจมูกอยา่ งชา้ ๆ จนสดุ หางเสยี ง

- เสียงอือ ใช้ในระหว่างรอจังหวะหรือสุด
วรรคหรือลงสุดท้ายของเพลง วิธีทำเสียง “อือ” เผยอริม
ฝีปากออกเล็กน้อย เปล่งเสียงออกจากลำคอแรงมาก ๆ
โดยไม่ต้องขยับคาง ยกโคนลิ้นขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เสียงออก
มาท้ังทางจมูกและทางปาก

8.2 ครั่น เป็นวิธีทำให้เสียงสะดุดสะเทือน
เพื่อความเหมาะสมกับทำนองเพลงบางตอน วิธีทำเสียง
“ครั่น” เปล่งเสียงออกจากลำคอให้แรงมาก ๆ จนเสียงที่
คอเกิดความสะเทือนเป็นระยะ ๆ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่
กบั ผู้ขับรอ้ งทเ่ี หน็ ว่าไพเราะนา่ ฟัง

8.3 โปรย เสยี ง “โปรย” ใชไ้ ด้ท้งั การขับร้อง
และการดนตรี คือ เมื่อร้องจวนจะจบท่อนก็โปรยเสียงให้
ดนตรีสวมรับและเมื่อดนตรีรับจนจะจบท่อน ก็จะโปรยให้
ร้องรับช่วงไป คำว่า “โปรย” นี้คล้ายกับศัพท์ทางดนตรี
ว่า “ทอด” นั่นเอง เป็นการผ่อนจังหวะให้ช้าลงเมื่อจะจบ
เพลงหรอื เม่ือจะให้ผขู้ บั รอ้ งร้อง

8.4 ปริบ เสียง “ปริบ” วิธีทำเหมือนเสียง
“ครั่น” แตเ่ บากวา่

8.5 เสียงกรอก เสียง “กรอก” เปน็ ลักษณะ
ที่เกิดจากการทำเสียงที่คอให้คล่องกลับไปกลับมา เพ่ือ
ความเหมาะสมกับทำนองเพลงบางตอน วิธีทำเสียง
“กรอก” เผยอริมฝีปากเล็กน้อย เปล่งเสียงจากคอให้แรง

พอสมควรสลบั กับเสียงทางจมูก ทำเสยี งใหก้ ลบั ไปกลับมา
ระหว่างคอกับจมูก 2-3 ครั้งหรือมากกว่าตามความ
เหมาะสม

8.6 เสียงกลืน ใช้ในการร้องลงต่ำ คือ เมื่อ
ต้องการให้เสียงต่ำก็กลืนเสียงลงในลำคอ วิธีทำเสียง
“กลืน” เผยอรมิ ฝีปากเลก็ นอ้ ย เปลง่ เสยี งออกจากลำคอให้
แรงพอสมควร ขยับคอเล็กน้อยเพื่อให้กลืนเสียงลงไปใน
ลำคอได้ สะดวกจะกลืนเสยี งมากนอ้ ยขึ้นอยูก่ ับผู้ขับร้องจะ
เหน็ สมควร

8.7 หลบเสียง หมายถึง การร้องที่ดำเนิน
ทำนองเปลี่ยนจากเสียงสูงลงมาเป็นเสียงต่ำ หรือจากเสียง
ต่ำเป็นเสียงสูงในทันทีทันใดการร้อง เพลงตอนใดที่เสียงไม่
สามารถจะร้องให้สูงขึ้นไปได้อีกแล้ว ก็ให้หลบเสียงเป็น
เสียงต่ำ (เสียงคู่แปด) โดยการผ่อนเสียงเดิมให้ค่อย ๆ เบา
ลงมาหาเสียงต่ำหรือถ้าตอนใดเสียงร้องนั้นจะต้องลงต่ำ
ต่อไปอีก แต่เสียงร้องไม่สามารถจะต่ำลงไป ได้อีกก็ร้องหกั
เสียงใหส้ งู ข้ึนดว้ ยวิธีการเชน่ เดยี วกัน

9. มีสมาธิในการร้องเพลง รวมถึงมีมารยาทใน
การแสดงท่าทาง ประกอบบทเพลงให้มีความเหมาะสมกับ
บทเพลงด้วย

1.2 การขับร้องเพลงสากล เพลงไทยสากล
เป็นเพลงท่ีถกู แต่งขน้ึ โดยใชแ้ นวทำนองดนตรสี ากล ซงึ่ แนว
ทำนองเพลงจะแตกต่างจากเพลงไทย คือ ไม่มีการเอื้อน มี
ตัวโน้ตเป็นตัวบอกจังหวะและทำนองในปัจจุบัน เพลงไทย
สากลมหี ลายประเภท เชน่ เพลงสตริง เพลงลกู ท่งุ เพลงลกู
กรงุ

ภาพการขับรอ้ งเพลงไทยสากล (เพลงพระราชนิพนธ)์

การขบั รอ้ งเพลงสากล

การขับรอ้ งเพลงสากล แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ
การขับร้องเดี่ยวและการขับรอ้ งหมู่

1. การขับร้องเด่ยี ว คอื การขับรอ้ งเพลงคนเดียว
จะมีดนตรีประกอบหรือไม่มีก็ได้ ผู้ที่สามารถทำการขับร้อง
เดี่ยวได้ ต้องมีความสามารถในการขับร้องมาก มีเสียงท่ี
ไพเราะมีความแมน่ ยำในเรอ่ื งจังหวะและทำนองเพลง

ภาพประกอบท่ี 5 การรอ้ งเพลงเด่ยี ว

2. การขับร้องหมู่ คือ การขับร้องเพลง
ต้ังแต่ 2 คนขึ้นไป จะมีดนตรีประกอบหรือไม่มีกไ็ ด้ การขับ
ร้องหมู่ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การขับร้อง
หม่แู บบธรรมดาและการขับร้องหมแู่ บบประสานเสยี ง

3. การขับร้องหลายแนว เป็นการขบั รอ้ งหลาย
คนหรือหลายกลุ่มแต่ละคนแต่ละกลุ่มขับร้องตามโน้ต
ทำนองที่ต่างกัน บทร้องอาจเหมือนกันหรือต่างกันในบาง
ตอนกไ็ ด้ แบ่งเป็น 4 แนว

- แนวโซปราโน (Soprano) เป็นแนวเสียงสูง
ของนักรอ้ งหญงิ

- แนวอัลโต (Alto) เป็นแนวเสียงต่ำของ
นักรอ้ งหญิง

- แนวเทเนอร์ (Tenor) เป็นแนวเสียงสูงของ
นกั รอ้ งชาย

- แนวเบส (Bass) เป็นแนวเสียงต่ำของ
นกั ร้องชาย

คุณสมบัติของผู้ทจ่ี ะขบั รอ้ ง มดี งั นี้
1. เปน็ ผ้ทู ่มี สี ขุ ภาพร่างกาย และสขุ ภาพจติ ดี
2. เป็นผู้ท่ีมอี วยั วะทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการเปล่งเสยี ง

เปน็ ปกติและมีสุขภาพดี
3. เป็นผมู้ โี สตประสาทปกติ ไดย้ นิ เสียงชัดเจน

4. เป็นผู้มีน้ำเสยี งดี สะอาดใส กงั วาน หวาน
พลวิ้ กลมกล่อมตามธรรมชาติ

5. เปน็ ผ้มู ปี ระสาทสมั ผสั กับจังหวะดนตรดี ี เชน่
นบั จังหวะเคาะได้คงท่ี

6. เป็นผมู้ ีความจำดี สามารถจำทำนอง จงั หวะ
บทร้อง ไดร้ วดเร็วและถาวร

7. เป็นผมู้ พี ื้นฐานความร้เู รือ่ งภาษาท่ใี ช้ในบทรอ้ ง
8. เป็นผูเ้ ปล่งเสยี งถ้อยคำภาษาได้ชดั เจนถกู ต้อง
9. เปน็ ผู้มีพ้ืนฐานความรูเ้ ร่อื งดนตรี
10. เป็นผใู้ ฝใ่ จที่จะรอ้ งเพลง

การควบคมุ การหายใจ
1. สูดลมหายใจเข้าด้วยแรงลมปกติ แต่ให้ใช้

ความรู้สึกตามทิศทางลมว่า ผ่านรูจมูกเข้าสู่หลอดลมทำให้
ปอดขยายกว้างซี่โครงยืดออก และกล้ามเนื้อบริเวณ
ท้องนอ้ ยขยายออกกบั ลมไว้ในปอด 2-3 วนิ าที

2. หายใจออกโดยวิธีผ่อนลมออกทีละน้อย ๆ ให้
ความยาวของช่วงหายใจออกมากกว่าช่วงหายใจเข้า โดย
สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของอวัยวะที่เกี่ยวกับการหายใจ
ออก เช่น ช่องท้องระบายลม ปอด กล่องเสียง
(ลูกกระเดือก) หลอดลมว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร จากน้ัน
เพิ่มความยาวของการหายใจออกข้ึนเรอื่ ย ๆ เชน่

ครง้ั ท่ี 1 สูดลมหายใจเข้านบั 1 หายใจออกนบั 2 3
ครงั้ ท่ี 2 สดู ลมหายใจเขา้ นบั 1 หายใจออกนับ 2 3 4
ครั้งที่ 3 สดู ลมหายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 2 3 4
5
ครั้งท่ี 4 สดู ลมหายใจเขา้ นบั 1 หายใจออกนบั 2 3 4
56

ครงั้ ท่ี 5 สูดลมหายใจเข้านับ 1 หายใจออกนบั 2 3 4

567

การเปลง่ เสียงเพอ่ื เปิดลำคอ

การเปล่งเสียงเพื่อเปิดลำคอ เป็นการเปล่งเสียงท่ี

ออกมาจากบริเวณช่องคอสู่ริมฝีปากโดยตรง ไม่มีการถูก

กักบริเวณใด จะช่วยผ่อนคลายความเกร็งของกล้ามเนื้อ

และขยายช่องอวยั วะทเ่ี กี่ยวกบั การหายใจ ปฏบิ ัติดังนี้

1. เปล่งเสียงเลียนอาการหาวนอนซ้ำๆ สังเกต

ลักษณะของลมเขา้ -ออกลำคอ

2. เปล่งเสียงสระแท้ตามแบบสากล 5 สระ คือ A

E I O U โดยเปล่งเสียงว่า อา เอ อี โอ อู ตามลำดับ โดย

เทยี บเสียงกับเปยี โน ดังน้ี

อา อา อา อา อา อา อา อา

เอ เอ เอ เอ เอ เอ เอ เอ

อี อี อี อี อี อี อี อี

โอ โอ โอ โอ โอ โอ โอ โอ

อู อู อู อู อู อู อู อู

การเปล่งเสียงสะท้อน
เสียงสะท้อน คือ เสียงดังกังวานที่มนุษย์สามารถ

เปล่งออกมาได้โดยใช้ช่องว่างระหว่างอวัยวะต่าง ๆ ที่
เกี่ยวข้องกับการเปล่งเสียง เป็นเสมือนลำโพงหรือเต้าเสียง
ขยายให้เสียงที่เปล่งออกมาดัง และกังวานยิ่งขึ้น บริเวณที่
ทำใหเ้ กิดเสียงสะท้อน

1. บริเวณช่องอก ช่วยสะท้อนเสียงระดบั ต่ำ
2. บรเิ วณชอ่ งปากกบั ชอ่ งจมูก ชว่ ยสะท้อนเสยี ง
ระดบั ปานกลาง
3. บริเวณศรี ษะ ชว่ ยสะทอ้ นเสยี งระดบั สงู
การฝึกขับรอ้ งทำนองเพลง
การฝึกขบั ร้องทำนองเพลง ควรฝกึ ให้ครบตาม
ระบบการฝกึ 4 ข้นั ตอน คือ
1. ขน้ั เตรยี มตัว
2. ข้ันฝกึ ขับรอ้ งตามเสยี งตน้ ฉบับ
3. ขน้ั ฝกึ จำทำนอง จนสามารถจำแนกวรรคตอน
ได้

4. นำทกั ษะจากข้อ 1 และ 2 มาขับร้องทำนอง
ดว้ ยตนเอง

การขบั รอ้ งเพลงไทยสากล มหี ลักปฏิบตั ิ ดงั น้ี
1. รอ้ งให้ถกู ต้องตามจงั หวะทำนองเพลง
2. รอ้ งให้เตม็ เสยี ง แต่ไม่ใช่การตะโกน
3. ออกเสยี งพยัญชนะและอักขระใหถ้ กู ตอ้ ง

ชัดเจน
4. รอ้ งตามเนอื้ หาของบทเพลงให้ครบถว้ น
5. ขณะรอ้ งควรหายใจเขา้ -ออกให้สอดคลอ้ งกับ

จงั หวะและวรรคตอนของเพลงทข่ี บั รอ้ ง
6. ขณะร้องควรแสดงสีหน้าท่าทางให้สัมพันธ์กับ

ความหมายของเพลงผลการวจิ ัยเผยให้เห็นว่าการรอ้ งเพลง
ประสานเสียง มีรูปแบบการหายใจเข้า-ออก คล้ายคลึงกับ
การทำโยคะ ซึ่งกิจกรรมทั้งสองอย่างล้วนส่งผลดีต่ออัตรา
การเต้นของหัวใจ

หลักในการขบั รอ้ งเพลงไทยสากล

1. ศึกษาทำนองเพลงให้เข้าใจว่า เป็นเพลง
ประเภทใดให้อารมณ์อย่างไร เช่น อารมณ์โศกเศร้า
สนุกสนาน หรือเป็นเพลงที่ต้องการปลุกใจให้มีความฮึก
เหิมเข้มแข็ง เวลาขับร้องจะต้องใส่อารมณ์ให้ถูกต้องและ
เหมาะสมกบั ทำนองเพลงน้ัน

2. ศึกษาเนอื้ ร้องให้เข้าใจว่า มคี วามหมายอยา่ งไร
ตรงไหนควรเน้นเสียงตรงไหนควรใช้สำเนียงการร้อง
อยา่ งไร จงึ จะได้อารมณเ์ หมาะสมกับเพลง

3. ใส่อารมณ์ให้คล้องตามอารมณ์ของเพลง ถ้าผู้
ขับร้องสามารถเข้าถึงบทเพลง และขับร้องด้วยความรู้สึก
ตามบทเพลง ก็จะสามารถโน้มน้าวจิตใจของผู้ฟังให้คล้อย
ตามได้

4. แสดงท่าทางและสีหน้าให้เข้ากับบรรยากาศ
ของเพลง อย่าขับร้อง ด้วยกิริยานิ่งเฉย ไม่แสดงกิริยา
ท่าทางมากเกินไปและในขณะร้องเพลงไม่ควรล้วงแคะ
แกะ เกา

5. ขับรอ้ งใหถ้ กู ต้องตามเน้อื ร้อง ทำนองและร้อง
ใหต้ รงตามจังหวะ

6. รอ้ งใหต้ รงตามระดบั เสยี งของทำนอง
7. ร้องใหเ้ ตม็ เสียง ออกเสียงพยญั ชนะและสระให้
ถกู ต้องชดั เจน
8. แบง่ วรรคตอนของการหายใจให้ถกู ตอ้ ง
เหมาะสมกบั บทเพลงนน้ั

การสร้างสรรคร์ ปู แบบจงั หวะและทำนองด้วยเครอ่ื งดนตรี

เป็นการฝึกความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ทางดนตรีโดย
การนำรูปแบบเก่ามาดัดแปลงหรือผสมผสานกับรูปแบบ
ใหม่ด้วยเคร่ืองดนตรี โดยวิธีต่าง ๆ ดังน้ี

1. ประดิษฐท์ ่าทางประกอบจงั หวะของดนตรแี ละ
เคลอ่ื นไหวตามจังหวะเพลง

2. ดัดแปลงเนอื้ เพลงใหม่
3. เปลี่ยนจงั หวะและทำนองใหม่
4. วาดภาพตามจินตนาการจากการฟงั เพลงได้

ภาพการเครอ่ื งไหวรา่ งกายตามจงั หวะเพลง

บรรณานกุ รม

ประทีป นกั ป.่ี หนงั สอื เรยี นรายวิชาพ้นื ฐาน ดนตร-ี นาฏศิลป.์ กรงุ เทพฯ :
อกั ษรเจริญทศั น,์ 2554.

สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน. (2551). ตวั ชีว้ ัดและสาระ
การเรียนรแู้ กนกลางกลุม่ สาระการเรยี นรูศ้ ลิ ปะ ตามหลักสตู รแกนกลาง
การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : องค์การรับสง่ สนิ ค้า
และพัสดุภณั ฑ์.

สมศักด์ิ สนิ ธรุ ะเวชญ์ และคนอ่ืน ๆ. ศลิ ปะ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6. กรงุ เทพฯ :
วฒั นาพานิช, 2555.

สัมพนั ธ์ เพชรสม และคนอื่น ๆ. ศลิ ปะ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6. กรงุ เทพฯ :
อักษรเจรญิ ทศั น,์ 2555.

เอกรินทร์ สมี่ หาศาล. ศลิ ปะ ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6. กรุงเทพฯ :
อักษรเจรญิ ทัศน์, 2555.

http://www.th.wikipedia.org/wiki/. สบื ค้นเม่อื วนั ท่ี 17 กันยายน 2559
http://www.trueplookpanya.com/. สืบค้นเมือ่ วนั ท่ี 17 กันยายน 2559
http://www.nawin.org.a27.readyplanet.net/. สบื คน้ เมอื่ วันที่ 17 กนั ยายน
2559
http://www.artbangkok.com. สืบคน้ เมอื่ วันที่ 17 กันยายน 2559
http://www.google.co.th./karkubrong สืบคน้ เมอื่ วนั ท่ี 17 กันยายน 2559
http://www.google.co.th./karkubrongmoo สืบค้นเมอื่ วันที่ 17 กันยายน 2559

หนังสอื เรียนอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (E-Book)

เอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ (ดนตร)ี
ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4

เร่อื ง หลกั การร้องเพลง

จัดทำโดย
นายธำมรงค์ โพนทะนา
ครชู ำนาญการพิเศษ

โรงเรียนบา้ นกูน อำเภอปราสาท จงั หวดั สรุ ินทร์
สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาสุรินทร์ เขต 3

กระทรวงศึกษาธกิ าร


Click to View FlipBook Version