ปีที่ 9 ฉบับที่ 4 เมษายน 2566 สารบัญ เปิดเรื่องเปิดเล่ม _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 2 ประเดิมเรื่องเด่น _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 3 >>> เรื่องเด่นประจ าฉบับ เรื่องราว ‘คนห้องสมุด’ _ _ _ __ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 8 >>> เรื่องราวงานบรรณารักษ์ กิจกรรม งาน กศน. _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 9 >>> เรื่องราวการศึกษา เรื่องเล่าสุขภาพ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 1 1 >>> สาระความรู้สุขภาพ เป็นเรื่องเป็นราว _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 1 6 >>> นานาข่าวสารสาระปะปน ว่าด้วยเรื่อง ‘หนังสือ’ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ 20 >>>แนะน าหนังสือน่าอ่าน
“หนอนหนังสือ (Bibliophily) เป็นผู้ที่รัก หนังสือ โดยนอกจากจะ ชอบอ่านหนังสือแล้ว ยังชอบในเนื้อหา ลักษณะ และรูปแบบของ หนังสือ บางครั้งค าว่าหนอนหนังสือจะถูกใช้เพื่อเรียกผู้ที่ชอบ สะสมหนังสือ ซึ่งก็ไม่จ าเป็นเสมอไป อย่างไรก็ตาม หนอนหนังสือ บางคนก็เป็นผู้ที่ชอบสะสมหนังสือด้วย”นิยามดังกล่าวนั้น สามารถ บอกตัวตนของผู้ที่ถือวารสารเล่มนี้อยู่ในมือได้ ไม่ยาก เพราะถ้า หากคุณไม่เป็นหรือไม่ใกล้เคียงที่จะเป็น เราคงไม่มีโอกาส ได้พบกันอย่างแน่นอน วารสารห้องสมุดประชาชนอ าเภอบึงนาราง เป็นวารสารที่เป็นสื่อกลางในการบอกเล่า ‘เรื่อง’ ผ่านการน าเสนอ ในอีกรูปแบบที่หลากหลายจากคอลัมน์ต่าง ๆ ประเดิมเรื่องเด่น >>> เรื่องเด่นประจ าฉบับ เรื่องราว ‘คนห้องสมุด’ >>> เรื่องราวงานบรรณารักษ์ กิจกรรม ‘งาน กศน.’ >>> เรื่องราวการศึกษา เรื่องเล่าต่างแดน >>> ข่าวสารต่างประเทศเล่า เล่าเรื่องสุขภาพ >>> สาระความรู้สุขภาพ เป็นเรื่องเป็นราว >>> นานาข่าวสารสาระปะปน ว่าด้วยเรื่อง ‘หนังสือ’ >>> แนะน าหนังสือน่าอ่าน การเริ่มต้นของเราในครั้งนี้ เป็นก้าวเล็กๆ ที่อาจไม่ยิ่งใหญ่พอ ส าหรับมนุษยชาติ แต่ถือเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งที่อยาก สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น จนสามารถก้าวกระโดดสู่การ สร้างนิสัยรักการอ่าน ขอเพียงเปิดโอกาสให้วารสารฉบับนี้ไป สะกิดต่อมความใฝ่รู้ให้กับคุณได้ลิงโลด เพลิดเพลินเจริญอุรากับ ทุกๆ ตัวอักษรและทุกๆ ‘เรื่อง’ เล่าที่เราอยากจะถ่ายทอด ขอบคุณ ‘หนอนหนังสือ’ ทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการท าให้ ค าว่า “หนังสือ” ยังคงมีความหมาย ใช่เพียงแค่น้ าหมึกจากปลาย ปากกา หรือเพียงว่าแค่เศษกระดาษใต้กล้วยแขก ห้องสมุดประชาชนอ าเภอบึงนาราง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอบึงนาราง เปิดเรื่องเปิดเล่ม ที่ป รึกษา น าง ส า ว ม า ลั ย เ มื องท อง ผ อ . กศ น . อ าเภอ โพ ธิ์ป ร ะทับ ช้ าง รั กษ า ก า รใ นต า แห น่ง ผ อ . กศ น . อ าเภอบึง น า ร าง บ ร รณา ธิกา ร น าง ส า ว ม า ลั ย เ มื องท อง ผ อ . กศ น . อ าเภอ โพ ธิ์ป ร ะทับ ช้ าง รั กษ า ก า รใ นต า แห น่ง ผ อ . กศ น . อ าเภอบึง น า ร าง เ รื่อ ง/ภ าพ/ข้อมูล ธี ร วัฒน์ บุญ ก ล้ า ภัท ริ ด า ก าญ จน ะ ป ร ะทีป ฉ า ยพงษ์ นุ ชน า ถ มณี ข วัญ สุ มิ ตต ร า ส า วดี จิ ร า ยุ พุ่ม ช เอม อัง คณ า อินท ร์ ค านึง รั ตน ะ ก ร ปุญญ า ธิด า แ ก้ ว ส ะท อง อ ยู่ พั ช รภ รณ์ อุ ฤท ธิ์ ภ าพ/ปก ธี ร วัฒน์ บุญ ก ล้ า 2 3 เป็นเรื่องเป้นราว ประวัติวันสงกรานต์ ต านานสงกรานต์ สงกรานต์เป็นประเพณีปีใหม่ ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและ มณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและ ทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นค าสันสกฤต หมายถึง การเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึง การเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความ เชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศ เรียกว่า "สงครามน้ า" การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวัน สงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ท าให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วัน แรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็น ปรากฏการณ์ทางสังคม ที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคน ไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ นางสงกรานต์ปี 2559 วันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นามว่า "มณฑาเทวี"ทรงพาหุรัด ทัดดอกจ าปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย หัตถ์ขวาทรง เหล็กแหลม หัตถ์ซ้ายทรง ไม้เท้า เสด็จไสยาสน์ ลืมเนตร(นอนลืมตา) มาเหนือหลังคัสพะ (ลา) เป็น พาหนะเกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ จันทร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในเขาจักรวาล 200 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 150 ห่า
4 ตกในมหาสมุทร 100 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่าเกณฑ์ธาราธิคุณ ชื่อ วาโย(ธาตุลม) น้ าพอประมาณ พายุจัดเกณฑ์นาคราชให้น้ า ปีวอก นาคราชให้น้ า 2 ตัว ท านายว่า ฝนต้นปี น้อย กลางปีงาม แต่ปลายปีมากแลเกณฑ์ ธัญญาหารชื่อ ลาภะ ข้าวกล้าในนา จะได้ 10 ส่วน เสียเพียงส่วนเดียว ธัญญาหาร มังสาหารบริบูรณ์ ประชาชนทั้งหลายจะอยู่เย็นเป็นสุข ของการใช้น้ าเพื่อ แสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ า ต านานนางสงกรานต์ ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้ กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐี น้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปีก็ไร้ วี่แววที่จะมีบุตรอยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐี ได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ าพอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ า เจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดา เห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้ เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็ คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมารและได้ปลูก ปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้ เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์ บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถาม ปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหม 5 ถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอน ค่ าศรี อยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็น เวลา 7 วัน ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาค าตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะท ารังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหาร แห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกิน ธรรมบาลกุมารซึ่งท้าวกบิลพรหมจะ ฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า ค าถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคือ อะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้า ทุกๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึง เอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้า ก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่ นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจ า ไว้ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาล กุมารจึง น าค าตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหม จึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกา พระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะ ไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ าก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดน าพาน มารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นาง ทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนาง ทุงษะ
6 ก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบ เขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ าคันธุลี ในเขาไกรลาศจากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าว กบิลพรหม ทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาท าหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าว กบิลพรหม แห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์ แต่ ละนางจะท าหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวัน มหาสงกรานต์ ดังนี้ วันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทม ราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรง จักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ วันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้ว มุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ ามัน) พระหัตถ์ขวาทรง ขรรค์ พระหัตถ์ ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลัง พยัคฆ์ (เสือ) วันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์ แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) วันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจ าปา อาภรณ์แก้ว ไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระ หัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) วันพฤหัสบดีเป็นวัน มหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์ แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรง ขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบน หลังคชสาร (ช้าง) วันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์นางสงกรานต์นาม กิมิทา เทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ า พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้าย ทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) วันเสาร์เป็นวัน มหาสงกรานต์นาง สงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระ หัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) ข้อมูล: http://www.baanmaha.com/community/thread18739.html 7
เรื่องราว ‘คนห้องสมุด’ 8 นางสาวมาลัย เมืองทอง ผู้อ านวยการ กศน.อ าเภอโพธิ์ประทับช้าง รักษาการ ในต าแหน่ง ผู้อ านวยการ กศน.อ าเภอบึงนาราง มอบหมายให้ คณะครูและ บุคลากรร่วมจัดกิจกรรมนิทรรศการเทิดพระเกียรติและลงนามถวายพระพร วันที่ 2 เมษายน 2566 ณ ห้องสมุดประชาชนอ าเภอบึงนาราง ต าบล บึงนาราง อ าเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร 9 วันที่ 18 เมษายน 2566 นางสาวมาลัย เมืองทอง ผู้อ านวยการ กศน. อ าเภอโพธิ์ประทับช้าง รักษาการในต าแหน่ง ผู้อ านวยการ กศน.อ าเภอบึง นาราง ประเมินพนักงานราชการครั้งที่ 1/66 โดยเชิญ นายนิคม เล็กชูผล ประธานกรรมการสถานศึกษา ร่วมเป็นกรรมการผู้ประเมินและรดน้ าขอพร ในช่วงเทศการวันสงกรานต์ กิจกรรม งานกศน.
10 11 เล่าเรื่อง สุขภาพ อินทผลัม ผลไม้มหัศจรรย์จากแดนอาหรับ อินทผลัม หรือ อินทผาลัม มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Date Palm และมีชื่อ เรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Phoenix dactylifera เป็นพืชในตระกูลปาล์มชนิด หนึ่ง มีหลากหลายพันธุ์ มีถิ่นก าเนิดในแถบตะวันออกกลาง สามารถ เจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งแบบทะเลทราย โดยผู้ผลิตอินทผลัมรายใหญ่ในแถบอาหรับ อินทผลัมเป็นผลไม้ที่ไม่มี คอเลสเตอรอลและไขมันต่ า นอกจากนี้เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยเพิ่มน้ าหนักตัวในกลุ่มคนที่มีน้ าหนักน้อย เกินไป บ ารุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน บ ารุงสายตา ช่วยดูแลและควบคุมระบบประสาท ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอด เลือดในสมอง ช่วยลดระดับน้ าตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดความ ดันโลหิตสูง ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดิน หายใจ ช่วยกระตุ้นระบบการย่อยและช่วยดูดซึม สารอาหาร ตามความเชื่อในคัมภีร์อัลกุรอาน ช่วยรักษาและบ าบัดพิษต่าง ๆ ด้วยการ รับประทานวันละ 7 เม็ด ช่วยเพิ่มสมรรถภาพ ทางเพศ เพราะในอินทผลัมมีสารฟีลกูลีน ซึ่งช่วยบ ารุง การหลั่งน้ าเชื้อของเพศชายได้ ข้อมูลเพิ่มเติม ที่มา : kapook.com SCAN
12 10 วิธีป้องกันฮีต สโตรก (ลมแดด) ถ้าต้องตากแดด ร้อนจัดนาน ๆ โรคฮีตสโตรก (Heat Stroke) มีชื่อเรียก เป็นภาษาไทยว่า โรค ลมแดด มีสาเหตุเกิด จากการที่ร่างกาย ได้รับความร้อนมาก เกินไปจนท าให้ความ ร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส นอกจากนี้สาเหตุของ โรคฮีตสโตรกก็ยังแบ่งออกได้อีก 2 ประเภทคือ เกิดจากความร้อน และเกิดจาก การออกก าลังกายหักโหมจนเกินไป มีอาการเบื้องต้นที่สังเกตได้ก็คือ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล สับสน ปวดศีรษะ ความดัน โลหิตลดต่ า หน้ามืด และก็ยังอาจจะมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตอีกด้วย ทั้งนี้ยัง มีอาการ เพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว ไตล้มเหลว เซลล์ตับตาย หายใจเร็ว มีอาการบวม ของปอดจากการคั่งของของเหลว อาการเหล่านี้หากไม่ได้ รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเสียชีว ิตได้ ทั้งนี้ โรคฮีต สโตรกมีวิธีการป้องกันดังต่อไปนี้ ข้อมูลเพิ่มเติม ที่มา : kapook.com SCAN เล่าเรื่อง สุขภาพ 13 ภัยร้ายที่มากับอาหารแห้ง ส ่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่ว่าจะเป็นสาร ปนเปื้อนที่เกิดจากการผลิตหรือการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสม หรือสารปนเปื้อนที่ผู้ผลิตตั้งใจใส่ลงไปเพื่อให้อาหารแห้งมีอายุ ในการเก็บรักษาที่ยาวนาน และมีสีสันน่ารับประทาน ซึ่งหากว่า ใส่ในปริมาณที่สูงมาก ก็อาจจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ซึ่ง สารปนเปื้อนที่ควรต้องระวัง ได้แก่ สารฟอกขาว หรือ sulphur dioxide ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ใน อุตสาหกรรมอาหาร มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเปลี่ยนสีของ อาหารไม่ให้เป็นสีน้ าตาล ท าให้อาหารแห้งมีสีน่ารับประทาน ยิ่งขึ้น พบมากในดอกไม้จีน เยื่อไผ่ เก๋ากี้ เห็ดหูหนูขาว ดอกเก๊กฮวยแห้ง และผลไม้อบแห้ง เป็นต้น การน าสารฟอกขาวมาใช้ในปริมาณที่พอเหมาะจะไม่มีอันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้าใช้มากเกินไป หรือ หากผู้รับประทานมีความไวต่อสารชนิดนี้ก็อาจท าให้เกิดโรคหืด มีอาการแน่นหน้าอก เป็นผื่นคัน ได้ฉะนั้นจึงควรล้างน้ าหลายๆ ครั้งก่อนน าอาหารแห้งเหล่านี้ไปปรุงอาหาร เพราะจะช่วยลดปริมาณ สารฟอกขาวได้มากกว่าร้อยละ 50 สารปรอท (ที่เกินมาตรฐานก าหนด) ซึ่งพบมากในปลาหมึกแห้ง เห็ดหอมแห้ง และเยื่อไผ่แห้ง การ รับประทานอาหารที่มีสารปรอทในปริมาณสูงครั้งละมากๆ จะท าให้ปวดศีรษะ หายใจล าบาก ถ่ายเป็น เลือด แต่ถ้ารับประทานครั้งละน้อยๆ อย่างต่อเนื่องเป็นประจ าก็จะเกิดผลเสียต่อร่างกายเช่นกัน เพราะ ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษออกได้หมด ท าให้สารปรอทสะสมอยู่ในร่างกาย ซึ่งอาจจะเกิดพิษกับ อวัยวะส าคัญของร่างกายอย่างเช่นสมอง คือ ท าให้ความจ าเสื่อม สารกันราหรือสารกันบูด เป็นสารที่ป้องกันไม่ให้อาหารบูดเสียง่าย ยับยั้งการเจริญเติบโตของ แบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด ช่วยให้อาหารคงสภาพ คือ มีรสและกลิ่นเหมือนเมื่อแรกผลิต โดยสารที่ นิยมใช้เป็นสารกันบูด ได้แก่ กรดบอริก (boric acid) และโซเดียมเบนโซเอท (sodium benzoate) แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะค่อนข้างปลอดภัยหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากร่างกายได้รับสาร ประเภทนี้เป็นประจ าจะท าให้เกิดการสะสม ซึ่งจะท าให้กระเพาะอาหารเกิดการระคายเคือง น้ าหนัก ลด ท้องเสีย อาเจียน เกิดผื่นแดงบนผิวหนัง และเป็นโรคโลหิตจางได้ สารตะกั่ว พบมากในอาหารแห้ง เช่น หูฉลาม ปลาเค็ม กุ้งแห้ง สาหร่ายปรุงรส เห็ดหูหนู และไข่เยี่ยว ม้า ถ้าได้รับในปริมาณมากจะมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง ระบบการย่อยอาหาร ไต หัวใจ โลหิต (โลหิตจาง) รวมถึงท าให้ร่างกายเกิดความอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
14 อะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) เป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ พบมากใน อาหารแห้ง เช่น พริกแห้ง หอมแห้ง กระเทียม เครื่องเทศ ปลาแห้ง ปลาเค็ม ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ โดยเฉพาะถั่วลิสงเก็บไว้ในที่ๆ มีความชื้นสูง อะฟลาทอกซินไม่สามารถท าลายได้ด้วยความร้อนจากการ หุงต้มปกติ และไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ า การบริโภคอาหารที่มีอะฟลาทอกซินจะก่อให้เกิดอันตราย ต่อร่างกาย คือ เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งตับ จึงไม่ควรรับประทานอาหารที่ขึ้นราแม้แต่เพียง เล็กน้อย ถ้ามองเห็นว่าอาหารมีเชื้อราควรทิ้งทั้งหมด ไม่ควรตัดส่วนที่มีเชื้อราทิ้งแล้วน าส่วนที่เหลือมา รับประทาน ดินประสิว (sodium nitrate) ถ้าไม่มีการแต่งสีเพิ่มอาหารตากแห้งที่ท าจากเนื้อสัตว์ มักจะมีสีน้ าตาล เข้มดูไม่สวย ผู้ผลิตบางรายจึงมักผสมดินประสิวลงไปด้วยเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของ เชื้อแบคทีเรีย และเพื่อเพิ่มสีให้มีสีแดงสวยงามน่ารับประทาน ดินประสิวจึงพบมากในแฮม ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อสวรรค์ หมูแผ่น แหนม ปลาเค็ม ฯลฯ โดยการรวมตัวของเนื้อสัตว์และดินประสิวที่เกินขนาด จะท า ให้เกิดสารไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารที่ท าให้เกิดมะเร็งได้ และการรับประทานอาหารที่มีดินประสิวเป็น ประจ า นอกจากจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งแล้ว ยังมีผลเสียอื่นๆ คือ อาจท าให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศรีษะ ระบบประสาทและหัวใจถูกท าลาย สีผสมอาหาร สีผสมอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานมักจะมีส่วนผสมของโลหะหนักปะปนอยู่ด้วย เช่น สารตะกั่ว สารหนู สารปรอท และโครเมียม สีผสมอาหารนี้จะพบมากในอาหารแห้งประเภทเนื้อแห้งรมควัน ผัก ดองเค็ม ผลไม้ดองที่มีสีจัดจ้าน ถ้าได้รับในปริมาณมากๆ จะมีโทษต่อร่างกาย คือ เกิดพิษต่อระบบ ทางเดินอาหาร ตับอักเสบ หัวใจวาย เวียนศีรษะ กระหายน้ า อาเจียน หมดสติ ระบบการท างานของไต ผิดปกติ ที่มา { http://www.108health.com } 15 ธัญพืชเพื่อสุขภาพ “ลูกเดือย” ธัญพืชเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างหนึ่ง ที่เรียกได้ว่าเป็น สุขภาพอาหารธัญพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุด เพราะสามารถบ ารุง รักษาร่างกายได้อย่างครบถ้วน และสามารถลดน้ าหนักได้ด้วยเพราะในชุมชนไทย สามารถใช้ต้นลูกเดือยได้ทั้งต้นเลยนะใช้เดือยหินเป็น ยาขับปัสสาวะ สามารถน าเดือยหินทั้งหา หญ้า หนวดแมวและซาคนที มาต้มเคี่ยวเข้าด้วยกันเพื่อใช้กับ คนที่ปัสสาวะไม่ออก การแพทย์แผนใหม่เรียกโรคนี้ว่า ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบนอกจากใช้เป็นยาขับ ปัสสาวะหมอยายังใช้รากเดือยต้มกินแก้ปวด แก้ไข้ แก้ไอ เนื่องจากพืชตระกูลข้าวมีฤทธิ์ ในการขับปัสสาวะ เดือยก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ใช้รากมาต้ม บางครั้งใช้เดือยตัวเดียว บางครั้ง ใช้ร่วมกับสมุนไพร นอกจากเป็นประโยชน์ต่อในการรักษาระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ แล้ว ยังช่วยลดอาการบวมน้ าลดความดัน การศึกษาสมัยใหม่พบว่า สารสกัดด้วยน้ าหรือ ตัวท าละลายอินทรีย์จากรากหรือเมล็ดเดือย ท าให้การหมุนเวียนของเลือด ที่ผิวหนังดีขึ้น ท าให้เส้นผมเจริญดีขึ้น และมีการศึกษาพบว่าสารสกัดของลูกเดือยมีผลกระตุ้นการเจริญ ของ Ovarian follicle และกระตุ้นให้ไข่ตก ปัจจุบันจีนสกัดสารจากเมล็ดเดือยเป็น ผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาและป้องกันมะเร็ง โดยยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกันของ ร่างกายเพื่อช่วยการก าจัดมะเร็ง ช่วยลดความปวดจากมะเร็ง ท าให้น้ าหนักที่ลดลงเพิ่มขึ้น ที่มา { http://www.108health.com }
ประเดิมเรื่องเด่น 16 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ๒ เมษายน พระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี พระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวัง ดุสิตทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยศาสตราจารย์นายแพทย์หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์ เป็นผู้ถวาย พระประสูติกาล และได้รับการถวายพระนามจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรม หลวงวชิรญาณวงศ์ ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดากิติ วัฒนาดุลยโสภาคย์ พร้อมทั้งประทานค าแปลว่า นางแก้ว อันหมายถึงหญิงผู้ ประเสริฐ และมีพระนามที่ข้าราชบริพาร เรียกทั่วไปว่า ทูลกระหม่อมน้อย และ ทูลกระหม่อมอาจารย์ ส าหรับนักเรียนนายร้อย พระนาม "สิรินธร" นั้น น ามาจากสร้อยพระนามของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ซึ่ง เป็นพระราชปิตุจฉา (ป้า) ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช โดยหากจะพิจารณา ถึง ค าในพระนามแล้ว จะพบค าว่า "สิริ" ซึ่งมาจากพระนามาภิไธย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 17 ส าหรับสร้อยพระนาม "กิติวัฒนาดุลย์ โสภาคย์" ประกอบขึ้นจากพระนามาภิไธยของ สมเด็จพระบรมราชบุพการี 3 พระองค์ ได้แก่ "กิติ" มาจากพระนามาภิไธยของ "สมเด็จพระ นางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" สมเด็จพระ ราชชนนี (แม่) ส่วน "วัฒนา" มาจากพระ นามาภิไธยของ"สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรม ราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" (สมเด็จพระ นางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) สมเด็จ พระปัยยิกา (ย่าทวด) และ "อดุลย์" มาจาก พระนามาภิไธยของ "สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราช ชนก" สมเด็จพระอัยกา (ปู่) การศึกษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอ ดุลยเดช พระราชทานปริญญาบัตรแด่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี เมื่อปีพ.ศ. 2520 เมื่อปี พ.ศ. 2510 พระองค์ทรงเริ่มเข้ารับ การศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนจิตรลดา ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระต าหนัก จิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต และทรงศึกษาต่อ ในโรงเรียนจิตรลดาจนถึง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยในปี พ.ศ. 2510 ทรงสอบไล่จบการศึกษาชั้น ประถมศึกษาปลายด้วยคะแนนสูงสุดของประเทศ และในปี พ.ศ. 2515 ก็ ทรงสอบไล่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในแผนกศิลปะด้วยคะแนนสูงสุดของ ประเทศเช่นเดียวกันหลังจากนั้น พระองค์ทรงสอบเข้า ศึกษาต่อใน ระดับอุดมศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสามารถ ท าคะแนนสอบเอนทรานซ์เป็นอันดับ 4 ของประเทศ ซึ่งถือเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า พระองค์แรกที่ทรงเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศจนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2520 พระองค์ทรงส าเร็จการศึกษาได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต สาขา ประวัติศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง ด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.98
18 พระองค์ทรงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านจารึกภาษาตะวันออก (ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร) ณ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรและสาขาภาษาบาลี และสันสกฤตจาก ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระหว่างนั้น ทรงมีพระราชกิจ มาจนท าให้ไม่สามารถท าวิทยานิพนธ์ใน ระดับปริญญาโทได้พร้อมกันทั้ง2 มหาวิทยาลัย พระองค์จึงตัดสินพระทัย เลือกท าวิทยานิพนธ์เพื่อให้ส าเร็จการศึกษาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย ศิลปากรก่อน โดยทรงท าวิทยานิพนธ์หัวข้อเรื่อง “จารึกพบที่ปราสาทพนม รุ้ง” ทรงส าเร็จการศึกษาได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต และเข้ารับ พระราชทานปริญญาบัตรเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2522 การสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ในวันสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอ ดุลยเดช ทรงพระราชด าริว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตน สุดากิติวัฒนาดุลยโสภาคย์ ทรงได้รับ ความส าเร็จในการศึกษาอย่างงดงาม และทรงได้บ าเพ็ญพระองค์ให้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองเป็นอเนกปริยาย โดยเสด็จพระราชด าเนินไปในการเยี่ยมเยียนราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ อยู่เสมอ ในด้านการพัฒนาบ้านเมือง ทรงเสด็จพระราชด าเนินไปทรงศึกษาและ ช่วยเหลือกิจการ โครงการตามพระราชด าริทุกโครงการพร้อมทรงรับพระบรม ราโชบายมาทรงด าเนินการสนองพระเดชพระคุณ ในด้านต่างๆ 19 นับเป็นการดูแลสอดส่องพระราชกรณียกิจส่วนหนึ่งต่างพระเนตรพระกรรณ ในด้านการพระศาสนา ทรงมีพระหฤทัยมั่นคงในพระรัตนตรัยและสนพระ หฤทัยศึกษาหาความรู้ด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นอย่างแตกฉาน ในส่วนราชการในพระองค์นั้น ก็ได้สนองพระเดชพระคุณในพระราชภารกิจที่ ทรงมอบหมายให้ส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระองค์นี้ กอปรด้วยพระจรรยามารยาท เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติแห่งขัตติยราชกุมารี ทุกประการ เป็นที่รักใคร่นับถือ ยกย่องสรรเสริญพระเกียรติคุณกันอยู่โดยทั่ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์ให้ สูงขึ้น ให้ทรงรับพระราชบัญชาและสัปตปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 7 ชั้น) พร้อมทั้ง เฉลิมพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราช กุมารี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2520 ในการสถาปนาพระอิสริยยศส าหรับ พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน ตั้งแต่เริ่มตั้งกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน มีการ สถาปนาพระยศ "กรมพระ" หรือ "สมเด็จพระ" มาแล้วทั้งสิ้น 13 พระองค์ โดยส่วนใหญ่นั้น จะเป็นการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชชนนี พระพันปี หลวง สมเด็จพระบรมอัยยิกาเธอ พระวิมาดาเธอ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ในรัชกาลต่างๆ การสถาปนาในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการสถาปนาสมเด็จ พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า ขึ้นเป็น "สมเด็จพระ" จึงเป็นพระเกียรติยศที่สูงยิ่ง ข้อมูล : http://www.royjaithai.com/Princess_phratep.php
20 ว่าด้วยเรื่อง ‘หนังสือ’ หนังสือ กลุ้มใจนิสัยลูกเปลี่ยนได้ด้วยบันได 4 ขั้น พาคุณไปพบกับ 4 ขั้นตอนง่ายๆ เปลี่ยนนิสัยเจ้าตัวน้อยด้วยตัว คุณเอง เหมาะส าหรับคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง และบุคลากรที่ดูแลเด็ก วัย 2 ปีขึ้นไป ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณจะ...เปลี่ยนเด็กก้าวร้าวให้ อ่อนโยน...เปลี่ยนเด็กขี้กังวลให้เข้มแข็ง...เปลี่ยนเด็กท้อแท้ให้มีลูกฮึด… เปลี่ยนเด็กที่ไม่อึดให้อดทน ฯลฯ การสร้างลักษณะนิสัยที่ดีให้เด็ก เริ่ม ได้ตั้งแต่ 2 ขวบ จึงส าคัญที่การเตรียมความพร้อมของพ่อแม่ ถ้าไม่ อยาก "งานเข้า" เมื่อลูกเป็นวัยรุ่น น าเสนอกระบวนการปรับพฤติกรรม เพื่อสร้างลักษณะนิสัย ที่ช่วยน าทางไปทีละขั้น จนพบความส าเร็จที่ ปลายทาง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องปรับประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ของ แต่ละบ้าน ผู้เขียน นพ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล ส านักพิมพ์ รักลูกบุ๊กส์ หนังสือ ยิ่งเดิน ยิ่งผอม ยิ่งสุขภาพดี Part 1 ท าไมต้องลดความอ้วนด้วยการเดิน สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเดินออก ก าลังกาย ช่วยป้องกันโรควิถีชีวิต และท าให้สมองแข็งแรง เหตุผลที่การ เดินดีต่อร่างกาย สุดยอดการออกก าลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเผา ผลาญไขมันในร่างกาย Part 2 เรียนรู้ตั้งแต่ท่าพื้นฐาน การเตรียมตัวและพื้นฐานการเดินออก ก าลังกาย หาเป้าหมายและระดับการออกก าลังกายที่เหมาะสม วิธีลด ความอ้วนที่เหมาะกับตัวเองท่าเดินที่ถูกต้อง 1 แก้ไขท่าทางที่ไม่ดี ท่า เดินที่ถูกต้อง 2 ท าความคุ้นเคยกับท่าที่ถูกต้อง ระดับการเดินและผลที่ ได้ การเดินออกก าลังกาย step by step อบอุ่นร่างกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกก าลังกาย Part 3 มาเริ่มกันเลยดีไหม โปรแกรมเดินลดความอ้วน 8 สัปดาห์ ก่อนเริ่มปฏิบัติจริง การตั้งเป้าหมาย และวิธีใช้ประโยชน์จากโปรแกรม Part 4 ต้องกินอย่างไร อาหารที่ช่วยให้ลดความอ้วนส าเร็จ ปรับปรุงนิสัยการกินในชีวิตประจ าวัน ผู้แต่ง : คิมซารา แปล ภัททิรา จิตต์เกษม ส านักพิมพ์ : อมรินทร์สุขภาพ ที่มา : http://www.booksmile.co.th/