ศาสนาฮนิ ดู
ประวตั ศิ าสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู
กำเนิดของศำสนำพรำหมณ์ – ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์ หรือท่ีเรียกเป็นสากลวา่ “ศาสนาฮินดู” ไดถ้ ือกาเนิดข้ึน ณ ดินแดนชมพทู วปี เมื่อ
กวา่ ๓,๐๐๐ ปี โดยเร่ิมตน้ ข้ึนเม่ือมีการผสานวฒั นธรรมและคติความเช่ือซ่ึงคลา้ ยคลึงกนั ของขาวอารยนั และ
ชาวดราวเิ วยี นเขา้ ดว้ ยกนั ท้งั เร่ืองการนบั ถือวญิ ญาณบรรพบุรุษ การสวดออ้ นวอน และการบวงสรวงหมู่เทพ
ผอู้ ยเู่ บ้ืองหลงั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เพอื่ อานวยใหพ้ ืชพนั ธุ์ธญั ญาหารอุดมสมบูรณ์ ไร้อุปสรรคในการ
ดาเนินชีวติ ท่ีผกู พนั อยกู่ บั การเกษตรกรรม ในหว้ งเวลาน้ี มีการจดั หมวดหมู่เทพประจาธรรมชาติออกเป็น ๓
พวกเพอื่ การทาบตั รพลีบูชา พวกท่ีหน่ึงอยใู่ นสวรรค์ พวกท่ีสองอยใู่ นฟ้า (อากาศ) และพวกที่สามอยใู่ นพ้ืน
โลก
ประวตั ศิ าสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู
ใน ยคุ พระเวท เมื่อราว ๑,๐๐๐ ปี ก่อนพทุ ธกาล เป็นยคุ ที่ศาสนาพราหมณ์ไดพ้ ฒั นาพธิ ีกรรมและความเช่ือเรื่อง
พระผเู้ ป็นเจา้ ใหเ้ ป็นระเบียบแบบแผนยงิ่ ข้ึน ไดพ้ ฒั นาความเชื่อเร่ืองพระผเู้ ป็นเจา้ หลายองค์ หรือพหุเทวนิ
ยม (Polytheism) ไปสู่ความเชื่อเร่ืองพระผเู้ ป็นเจา้ องคเ์ ดียวหรือ เอกเทวนิยม (Monotheism) ในยคุ น้ี ได้
เกิดความคิดเร่ือง เอก สตฺ คือ ความคิดท่ีวา่ สิ่งจริงแท้มอี ยู่เพยี งหนึ่งเดยี ว หากแต่ปรากฏใหเ้ ห็นเป็นเทพหลายองคผ์ อู้ ยู่
เบ้ืองหลงั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ต่อมาใน สมยั อุปนิษทั เป็นช่วงสุดทา้ ยของยคุ พระเวทเป็นสมยั ท่ีเริ่มมีการคิดคาดคะเน (Speculation)
ทางดา้ นปรัชญา เกิดขอ้ ถกเถียงในวงกวา้ งวา่ ส่ิงที่มีอยจู่ ริงๆ คืออะไร เกิดความคิดวา่ สิ่งจริงแทท้ ่ีมีอยเู่ พยี งหน่ึงน้นั คือ
พฺรหฺมนฺ (อ่านวา่ บฺระ-หฺมนั = พรหม ท่ีไม่มีเพศ) บางทีกเ็ รียกวา่ อาตมนั หรือ อาตมา
ประวตั ิศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู
บางคร้ังกเ็ รียกวา่ สตฺ (สดั = ส่ิงที่มีอย)ู่ พรหม เท่ำน้ันเป็ นส่ิงทม่ี อี ยู่อย่ำงแท้จริง (พฺรหฺม สตฺย) ส่วนโลกไม่มีอยู่
จริง (ชคนฺมิถฺยา) เป็นเพียงการเห็นดว้ ยอานาจแห่งมายา โดย พรหม น้นั มีอยู่ ๒ ระดบั เมื่อมองถึงแก่นแทร้ ู้ซ้ึงถึงความมี
อยอู่ ยา่ งเป็นมายาของโลก พรหมจะเป็นส่ิงเดียวกบั อาตมนั ที่อยใู่ นสิ่งมีชีวติ และมนุษยท์ ้งั หลาย เป็นความรู้บริสุทธ์ิ ที่
เรียกวา่ ชญาน (ชฺญาน) เป็นสิ่งที่มีอยอู่ ยา่ งแทจ้ ริงในรูปของสตั ยะ (สตฺย) เป็นส่ิงท่ีไม่มีที่สิ้นสุด เรียกวา่ อนนั ตะ
(อนนฺต) ไม่มีตวั ตน เป็นวญิ ญาณท่ีอยใู่ นทุกสรรพส่ิง เป็นนิตย์ และเป็นนิรันดร คือ ไม่มีเบ้ืองตน้ และเบ้ืองปลาย ถา้
มองในระดบั สายตาของชาวโลกธรรมดา ซ่ึงมองเห็นวา่ โลกเป็นสิ่งท่ีมีอยจู่ ริง จะมองเห็นพรหมเป็นพระผเู้ ป็นเจา้ ท่ีมี
คุณสมบตั ิ ผสู้ รรคส์ ร้างสรรพส่ิง และกาหนดชะตากรรมของมนุษย์ ซ่ึงแบ่งภาคออกเป็นรูป ๓ หรือพระผเู้ ป็นเจา้ สูงสุด
๓ พระองค์ ไดแ้ ก่
ประวตั ศิ าสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู
• พระพรหมธำดำ (Brahma) เทพผนู้ ฤมิตสรรพสิ่ง (สฤษฺฏิ)
• พระศิวะ (Shiva) หรือ พระอิศวร เทพผทู้ าลายและทาใหอ้ ุบตั ิใหม่ (ประลยั )
• พระวษิ ณุ (Vishnu) หรือ พระนารายณ์ เทพผปู้ กปักรักษา (สฺถิติ)
รวมเรียกวา่ ตรีมูรติ ซ่ึงแทจ้ ริงแลว้ เป็นเพียงส่วนหน่ึงของวญิ ญาณอมตะ หรือ ปรมาตมนั นอกจากน้ี ศาสนา
พราหมณ์ยงั ใหค้ วามเคารพนบั ถือเหล่าทวยเทพ เทวา และเทวี ซ่ึงเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกบั ปรมาตมนั อีกหลายพระองค์
ประวตั ศิ าสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู
พลงั ศรัทธาที่มีต่อพระผเู้ ป็นเจา้ ก่อใหเ้ กิดการพฒั นาศาสนาพราหมณ์อยา่ งเป็นแบบแผน คือ เร่ิมมีการรจนาและ
รวบรวมบทสวดออ้ นวอนเทพเจา้ ท่ีชาวอารยนั และชาวพ้ืนเมืองเคารพนบั ถือจากปราชญผ์ รู้ ู้ทางศาสนา ออกเป็น
หมวดหมู่ โดยใหช้ ่ือวา่ พระเวท โดยคมั ภีร์พระเวทแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน
ส่วนแรกไดแ้ ก่ บทสวดขบั ร้อง มนตร์ หรือคาถา ใชใ้ นพธิ ีบูชายญั ที่เรียกวา่ สหิตา หรือ มนตร ซ่ึงไดแ้ ยกยอ่ ย
ออกไปเป็นความรู้อนั ดบั รองลงมาที่เรียกวา่ คมั ภีร์จตุรเวท หรือ พระเวทท้งั ๔ อนั ไดแ้ ก่
• ฤคเวท (Rigveda) วา่ ดว้ ยบทสดุดีพระผเู้ ป็นเจา้ ซ่ึงเป็นคมั ภีร์ที่เก่าแก่ท่ีสุดในจานวนพระเวทท้งั ๔
• ยชุรเวท (Yajurveda) วา่ ดว้ ยสูตรสาหรับการใชใ้ นพิธีบูชายญั ซ่ึงแยกยอ่ ยออกเป็นอีก ๒ แขนง คือ กฤษณ
ยชุรเวท (ฝ่ ายดา) และศุกลยชุรเวท (ฝ่ ายขาว)
ประวตั ิศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู
• สามเวท (Samaveda) วา่ ดว้ ยบทสวดขบั ร้อง
• อาถรรพเวท (Atharavaveda) วา่ ดว้ ยมนตร์หรือคาถาต่างๆ
ส่วนท่ีสอง เรียกวา่ พราหมณะ วา่ ดว้ ยการอธิบายรายละเอียดการจดั ศาสนพิธี ซ่ึงสามารถ
แยกยอ่ ยออกเป็น ๒ แขนง คือ อรัณยกะ หมายถึง บทเรียนของผอู้ ยปู่ ่ า มีเน้ือหาเก่ียวกบั คาสอน การ
ดาเนินชีวติ ของพราหมณ์ต้งั แต่เกิดจนกระทงั่ ออกไปอยปู่ ่ า บาเพญ็ เพยี รเพอื่ เขา้ ถึงโมกษะ และ
อุปนิษทั ซ่ึงแปลวา่ เขา้ ไปนงั่ ลง เป็นคาสอนท่ีวา่ ดว้ ยหลกั หรือคาสอนเกี่ยวกบั ปรมาตมนั และหนทาง
ที่อาตมนั จะกลบั คืนสู่ปรมาตมนั
สญั ลกั ษณข์ องฮินด ู สญั ลกั ษณ์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ อกั ษรเทวนาครี
อ่านว่า “โอม” ซ่ึงย่อมาจากอกั ษร อ อุ และ ม หมายถึง เทพ
ย่ิงใหญ่ท้งั สาม อกั ษร “อ” มาจากเสียงสุดทา้ ยของคาว่า พระ
ศิวะ (อะ)อกั ษร “อุ” มาจากเสียงสุดทา้ ยของคาว่า พระวิษณุ
(อุ) และอกั ษร “ม” มาจากเสียงสุดทา้ ยของคาว่า พระพรหม
มะ (มะ)
อะ อุ มะ....เมื่ออ่านออกเสียงให้ต่อเน่ืองกนั จึงเกิดเป็ นคาว่า
"โอม" หมายถึงการเรียกขานพระนามของ 3 มหาเทพผยู้ งิ่ ใหญ่
ในหนังสือบางเล่ม จะสลบั ความหมายไปมา บา้ งก็ว่า อะ คือ
พระวิษณุ บา้ งก็ว่า มะ คือพระศิวะ สลบั ไป สลบั มา แต่ละเล่ม
กเ็ ลยเขียนไม่เหมือนกนั เลย
วิวฒั นาการของศาสนาฮนิ ดู
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีววิ ฒั นาการมาเป็นเวลาอนั ยาวนาน นกั ปราชญท์ างศาสนาไดแ้ บ่งยคุ ของศาสนา
พราหมณ์-ฮินดูออกอยา่ งกวา้ งๆ เป็น 3 ยคุ ดว้ ยกนั คือ ยคุ พระเวท (อยใู่ นช่วงประมาณ 1,000-100 ปี ก่อนพทุ ธกาล) ยคุ
พราหมณ์ (ประมาณ 100 ปี ก่อนพทุ ธกาล ถึง พ.ศ. 700) และยคุ ฮินดู (ต้งั แต่ พ.ศ. 700 เป็นตน้ มา)
ยคุ พระเวท
ในช่วงเวลาน้ี ชาวอารยนั สร้างเทพเจา้ ข้ึนใหม่หลายองค์ จดั แบ่งไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 เทพเจา้ แห่งสวรรค์ ไดแ้ ก่ วรุณ สูรยะหรือพระอาทิตย์ สาวติ รี วษิ ณุ อุษามิตระ อทิติ อรรยมนั และอศั วนิ
กลุ่มท่ี 2 เทพเจา้ ในอากาศ ไดแ้ ก่ วาตะ อินทระ รุทระ ปรรชนั ยะ มารุต
กลุ่มท่ี 3 เทพเจา้ บนพ้นื โลก ไดแ้ ก่ อคั นี โสม และยม
วิวฒั นาการของศาสนาฮนิ ดู
นอกจากน้ียงั มีการฆ่าสตั วบ์ ูชายญั รวมท้งั การถวายน้าโสมประกอบกบั การขบั กล่อม พธิ ีกรรมในสมยั น้ีจึงมีความ
ซบั ซอ้ นมากข้ึน เป็นเหตุใหเ้ กิดคนกลุ่มหน่ึงข้ึนมา คือ พราหมณ์ ซ่ึงมีหนา้ ที่ประกอบพิธีกรรม พราหมณ์จึงมีอานาจ
มากข้ึน และทาหนา้ ท่ีแตกต่างกนั ไปดงั น้ี
พวกที่ 1 ทาหนา้ ท่ีบูชาเทพ เรียกวา่ พราหมณ์โหรตา
พวกท่ี 2 ทาหนา้ ท่ีสวดขบั กล่อม เรียกวา่ พราหมณ์อทุ คาดา
พวกที่ 3 ทาหนา้ ท่ีจดั พธิ ีกรรมตามลทั ธิ เรียกวา่ พราหมณ์อธั วรรยุ
วิวฒั นาการของศาสนาฮนิ ดู
การที่ยคุ น้ีไดช้ ื่อวา่ ยคุ พระเวท เพราะพราหมณ์ไดร้ วบรวมบทสวดขบั ต่างๆ ไวเ้ ป็น หมวดหมู่ จึงเกิดเป็นคมั ภีร์
ทางศาสนาฉบบั แรกข้ึน เรียกวา่ ฤคเวท เป็นคาฉนั ทส์ าหรับสวดออ้ นวอนและสรรเสริญพระเจา้ ตลอดจนเป็นบทสวด
ขบั กล่อมสาหรับพธิ ีถวายน้าโสมและโศลกผสมร้อยแกว้ อธิบายวธิ ีประกอบพธิ ีกรรมบวงสรวงพระเจา้ คมั ภีร์ฤคเวทน้ี
พราหมณ์เชื่อวา่ เป็นศรุติ คือ เป็นเสียงทิพยท์ ี่ไดย้ นิ มาจากพรหมซ่ึงเป็นพระเจา้ ผสู้ ร้างโลก สร้างมนุษยแ์ ละสร้างบรรพ
บุรุษของพราหมณ์
ต่อมาพราหมณาจารยไ์ ดค้ ดั เลือกบทที่ผกู ไวเ้ ป็นมนต์ สวดขบั ในคมั ภีร์ฤคเวทเอามา จดั ใหม่เป็นอีกหมวดหน่ึง
เพ่อื เป็นคู่มือของพราหมณ์อทุ คาดาในการทาพิธี หมวดที่คดั ออกมาน้ี เรียกวา่ สามเวท ใชส้ วดในพิธีบูชาน้าโสมแก่เทพ
เจา้
วิวฒั นาการของศาสนาฮนิ ดู
ยคุ พรำหมณ์
ในสมยั น้ี ชาวอารยนั ไดย้ ดึ ครองตอนเหนือของอินเดียท้งั หมด จึงเกิดเป็นแวน่ แควน้ ต่างๆ แต่ละแควน้ ต่างมีอิสระ
ไม่ข้ึนต่อกนั เช่น แควน้ ปัญจาละ แควน้ อโยธนา แควน้ กรุ ุเกษตร เป็นตน้ พระราชาและขนุ นางผใู้ หญ่ต่างกม็ ีกรรมสิทธ์ิ
ครอบครองที่ดิน จึงใชช้ ีวติ อยา่ งฟ่ มุ เฟื อย ส่วนชนช้นั กลางท่ีไม่มีที่ดินต่างไปประกอบอาชีพคา้ ขายจนร่ารวย พวก
พ้นื เมืองเดิมที่อยใู่ ตอ้ านาจของอารยนั ซ่ึงเรียกวา่ ทสั ยุ ไดก้ ลายเป็นชนช้นั ศูทร ซ่ึงเป็นชนช้นั ต่าท่ีชาติอารยนั ทุกช้นั จะ
ร่วมสมาคมไม่ได้
เนื่องจากชาวอารยนั เช่ือในความศกั ด์ิสิทธ์ิของพระผเู้ ป็นเจา้ และการทาพธิ ีพลีบูชา เพราะเหตุวา่ ถา้ การประกอบ
พิธีกรรมเป็นไปอยา่ งถูกตอ้ งจนเป็นที่พอพระทยั ของพระเจา้ แลว้ จะทรงเมตตาประทานพรใหส้ มปรารถนา และถา้ ผู้
ประกอบพธิ ีกรรมมีความมานะพากเพียรจนถึงท่ีสุดกอ็ าจเปลี่ยนสถานภาพจากมนุษยธ์ รรมดาไปเป็นเทพเจา้ ได้
วิวฒั นาการของศาสนาฮนิ ดู
ในยคุ สมยั น้ีพราหมณ์เป็นผมู้ ีอิทธิพลสูงสุดในจิตใจของประชาชน เพราะเป็นผผู้ กู ขาดความรู้ในการประกอบ
พิธีกรรม และเป็นชนช้นั เดียวเท่าน้นั ที่สามารถติดต่อกบั พระเจา้ ได้ และผลจากการยกยอ่ งสถานภาพของพราหมณ์ทา
ใหเ้ กิดคา่ นิยมในการประพฤติพรหมจรรย์ และเช่ือกนั วา่ สามารถยกสถานะใหเ้ ท่าเทียมกบั พระราชาได้ จึงเกิดการสละ
ครอบครัวและทรัพยส์ มบตั ิออกบวชกนั เป็นจานวนมาก ทาใหม้ ีลทั ธิใหม่ๆ เกิดข้ึน สมยั น้ีจึงไดช้ ่ือวา่ สมยั พราหมณะ
หรือพราหมณ์
ยคุ ฮินดู
ในสมยั น้ี อินเดียตอนเหนือตกเป็นของชาติอารยนั ท้งั หมด ภาคเหนือของอินเดียจึง เจริญเติบโตและมงั่ คงั่
อาณาจกั รสาคญั ของชาวอารยนั ในสมยั น้ีมี 4 แห่ง คือ แควน้ อวนั ตี แควน้ วงั สะ แควน้ โกศล และแควน้ มคธ สมยั น้ีเป็น
สมยั แรกท่ีกาเนิดปรัชญา ซ่ึงถือไดว้ า่ เป็นแก่นแทข้ องศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงพราหมณาจารยท์ ้งั หลายเป็นผคู้ ิดข้ึน และ
ในช่วงระยะเวลาน้ีเอง ท่ีลทั ธิในศาสนาพราหมณ์ไดพ้ ฒั นามาเป็นศาสนาฮินดู พราหมณาจารยไ์ ดช้ ่วยกนั ปรับปรุงลทั ธิ
ของตนจนไดร้ ับความนิยมแพร่หลาย
วิวฒั นาการของศาสนาฮนิ ดู
สถานศึกษาของนกั บวชพราหมณ์ไดพ้ ฒั นาใหเ้ จริญมากข้ึนจนกลายเป็นศูนยก์ ลางทางการศึกษาอยทู่ ่ีเมืองตกั สิลาเป็นท่ี
ชุมนุมของบรรดา ทิศาปาโมกข์
ความคิดในเร่ืองการเกิดและการตายน้นั ในยคุ น้ีเชื่อวา่ การที่มนุษยต์ อ้ งเวยี นวา่ ยตายเกิดในสภาพต่างๆ กนั เพราะ
กรรมเก่า (ซ่ึงหมายถึงการกระทาดีและชว่ั ) พรหมาเป็นศูนยร์ วมและเป็นตน้ กาเนิดแห่งวญิ ญาณท้งั ปวง สิ่งมีชีวติ
ท้งั หลายลว้ นถือกาเนิดมาจากพรหม วญิ ญาณทุกดวงที่แยกออกมาจากพรหมอาจเขา้ สิงสถิตในร่างกายของเทวดา
มนุษย์ สตั ว์ หรือพชื กไ็ ด้ ทุกคร้ังท่ีร่างเดิมแตกดบั จากสภาพใดสภาพหน่ึงแลว้ ไปอุบตั ิในร่างใหม่ เรียกวา่ ภพ หรือชาติ
ตราบใดท่ียงั ตอ้ งเวยี นวา่ ยตายเกิดไม่วา่ จะเกิดเป็นอะไรกต็ าม คงตอ้ งผจญกบั ความทุกขเ์ รื่อยไป เมื่อใดกต็ ามท่ีวญิ ญาณ
หลุดพน้ จากภาวะเวยี นวา่ ยตายเกิด เรียกวา่ โมกษะ วญิ ญาณดวงน้นั จะกลบั ไปรวมกบั พรหมเช่นเดิม การที่จะหลุดพน้
จากการเวยี นวา่ ยตายเกิดไดก้ ด็ ว้ ยการยตุ ิการกระทากรรมท้งั ดีและชวั่
วิวฒั นาการของศาสนาฮนิ ดู
ในยคุ น้ีมีความคิดในเรื่องวนั สิ้นโลกวา่ โลกท่ีพรหมาสร้างมีกาหนดอายขุ ยั เม่ือครบกาหนดอายขุ ยั จะมีการลา้ ง
โลกแลว้ สร้างโลกข้ึนใหม่ ระยะเวลานบั ต้งั แต่สร้างโลกจนถึงลา้ งโลก เรียกวา่ กลั ป์ ในหน่ึงกลั ป์ แบ่งเป็น 4 ยคุ คือ
กฤตยคุ เตรตายคุ ทวาปรยคุ และกลียคุ ยคุ ท้งั 4 รวมกนั เรียกวา่ มหายคุ ระยะเวลาในแต่ละยคุ จะส้นั ลงตามลาดบั พร้อม
กนั น้นั ความดีงามในโลกกล็ ดลงตามลาดบั เช่นกนั คือ
1. กฤตยคุ (เรียกอีกชื่อหน่ึงวา่ สตั ยยคุ ) เป็นยคุ แห่งสจั ธรรมอนั บริสุทธ์ิ มีแต่พรหมนั เพยี งพระองคเ์ ดียว ไม่มี
ความโลภ โกรธ หลง ความคดโกงและความทุกข์ ผใู้ ดปรารถนาสิ่งใดยอ่ มไดส้ ่ิงน้นั
2. เตรตำยคุ ยคุ น้ีสจั ธรรมเส่ือมลงจากกฤตยคุ 1 ใน 4 ส่วน ในยคุ น้ีไม่มีการประกอบพิธีกรรม มนุษยป์ ฏิบตั ิ
ธรรมเพอื่ หวงั อานิสงส์จากการปฏิบตั ิธรรมน้นั
วิวฒั นาการของศาสนาฮนิ ดู
3. ทวำปรยุค สจั ธรรมเสื่อมลงคร่ึงหน่ึงของสมยั กฤตยคุ มนุษยเ์ ริ่มประสบภยั จากความเจบ็ ป่ วย เกิดตณั หา นิยม
ทาความชวั่ และมีพธิ ีลา้ งความชวั่ พระเวทท้งั 4 เกิดในยคุ น้ี แต่ไม่ไดร้ ับความสนใจจากมนุษย์
4. กลยี คุ ซ่ึงเป็นยคุ สุดทา้ ย สจั ธรรมเหลือเพยี ง 1 ใน 4 ของยคุ แรก มนุษยไ์ ม่สนใจเรื่องศีลธรรม ตกเป็นทาสของ
ราคะ โทสะ โมหะ
ประชาชนที่อยใู่ นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ และแพศย์ ทุกคนตอ้ งส่งบุตรเขา้ รับการศึกษา ในสถานศึกษาแห่งใด
แห่งหน่ึงของพราหมณ์ ก่อนเร่ิมการศึกษา นกั บวชพราหมณ์จะทาพธิ ี เสกเป่ ามนตร์และคลอ้ งดา้ ยมงคลศกั ด์ิสิทธ์ิ
เรียกวา่ สายธุรา เฉวยี งบ่า พธิ ีน้ีเรียกวา่ ยชั โญปวตี ผผู้ า่ นการทาพธิ ีน้ีแลว้ จะถือวา่ เป็นผเู้ กิดใหม่อีกคร้ังหน่ึง เรียกวา่ ทวิ
ชะ แปลวา่ ผเู้ กิดสองคร้ัง
ศาสดาหรอื ผูก้ ่อตงั้
ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาที่เก่าแก่ท่ีสุดในโลก ช่วงแรกเรียกวา่ ศาสนาพราหมณ์ ต่อมาได้
พฒั นามาเป็น ศาสนาฮินดู และเป็นศาสนาท่ีมีคนไทยจานวนหน่ึงนบั ถือ
ศาสนาพราหมณ์ถือกาเนิดในประเทศอินเดีย ชาวอินเดียส่วนใหญ่นบั ถือศาสนาน้ี ศาสนา
พราหมณ์ เป็นศาสนาท่ีไม่มีศาสดาหรือผรู้ ิเร่ิมเพราะสืบทอดกนั มานานจนไม่รู้วา่ ใครเป็นผสู้ งั่ สอนคน
แรก แต่มีฤๅษีและพราหมณ์เป็นผสู้ งั่ สอนและพฒั นาหลกั คาสอนสืบต่อกนั มาเรื่อยๆ แต่ผเู้ ผยแผค่ มั ภีร์
พระเวท ยคุ แรกเริ่มคือ ฤๅษีวยาส ท่านเปรียบเสมือนเป็นศาสดาคนหน่ึง
ศาสดาหรอื ผูก้ ่อตง้ั
ฤๅษีวยาส เป็นฤๅษีในตานานท่ีปรากฏในมหาภารตะ ซ่ึงชาวฮินดูถือวา่ เป็นผปู้ ระพนั ธม์ หาภา
รตะ และเป็นอวาตารของพระวษิ ณุ นอกจากน้ียงั เช่ือวา่ ท่านเป็นผปู้ ระพนั ธ์มนตร์ในพระเวท, ปุราณะ
ท้งั 18 เล่ม และพรหมสูตร
ในมหาภารตะระบุวา่ ท่านเป็นบุตรของสตั ยวตีและฤๅษีพรหมินปราศร
เทศกำลคุรุปูรณมิ ำ หรือรู้จกั อีกชื่อคือ วยาสปูรณิมา เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองฤๅษีวยาสะในฐานะ
วนั คลา้ ยวนั เกิดและวนั ที่ท่านเร่ิมแบ่งพระเวท
คมั ภรี ข์ องศาสนาฮนิ ดู
คมั ภีร์ด้งั เดิมของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ คมั ภีร์พระเวท แปลวา่ ความรู้มาจากพระเจา้ พระผปู้ ระเสริฐ
คือ พรหม คมั ภีร์พระเวทจึงเป็นคาสอนของพระเจา้ มีเทพเจา้ ท้งั หลายเป็นท่ีเคารพนบั ถือ เช่น พระอคั นีเทพ
พระอินทรเทพ พระอศั วนิ เทพ สาวิตรีเทพ สุริยเทพ วรุณเทพ อุสาเทพ โสมเทพ วิษณุเทพ เป็นตน้ ชาวฮินดู
เลือกบูชาเทพองคห์ น่ึงองคใ์ ด ท่ีตนเองเคารพนบั ถือเป็นพเิ ศษ
คมั ภีร์สาคญั ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนดว้ ยกนั คือ
๑. ส่วนทเ่ี ป็ นศรุติ
๒. ส่วนทีเ่ ป็ นสมฤติ
คมั ภรี ข์ องศาสนาฮนิ ดู
1.ศรุติ ไดแ้ ก่ คมั ภีร์พระเวทท้งั 4 ซ่ึงถือวา่ เป็นสิ่งที่ไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาจากพระผเู้ ป็นเจา้ โดยตรง ไม่มีผแู้ ต่ง แต่เป็นการ
คน้ พบของฤๅษีท้งั หลาย เป็นของท่ีมีอยชู่ ว่ั นิรันดร เป็น ลมหายใจของพระผเู้ ป็นเจา้ เป็นสจั ธรรมท่ีแสดงถึง
ประสบการณ์ทางวญิ ญาณของฤๅษีท้งั หลายในอดีตกาลท่ียาวนาน พระเวทแบ่งออกเป็น 4 คมั ภีร์ คือ
1. ฤคเวท เป็นคมั ภีร์เก่าแก่ท่ีสุด เป็นบทสวนหรือมนตส์ รรเสริญออ้ วนวอนพระผเู้ ป็นเจา้ บทสวดคมั ภีร์ฤคเวท
เป็ นบทร้อยกรอง
2. ยชุรเวท เป็นคมั ภีร์ที่เป็นคูม่ ือประกอบพธิ ีกรรมของพราหมณ์ ซ่ึงเป็นบทร้อยแกว้ ที่อธิบายวธิ ีการประกอบ
พิธีกรรม บวงสรวงและการทาพธิ ีบูชายญั
คมั ภรี ข์ องศาสนาฮนิ ดู
3. สำมเวท เป็นคมั ภีร์ท่ีรวบรวมบทสวดมนต์ ซ่ึงเป็นบทร้อยกรอง ใชส้ าหรับสวดในพธิ ีถวายน้าโสมและขบั
กล่อมเทพเจา้
4. อำถรรพเวท เป็นคมั ภีร์ที่แต่งข้ึนใหม่ในปลายสมยั พราหมณ์ เป็นคาถาอาคมมนตข์ ลงั ศกั ด์ิสิทธ์ิ สาหรับทา
พธิ ีไล่เสนียดจญั ไร และอปั มงคลใหก้ ลบั มาเป็นมงคลนาความชวั่ ร้ายไปบงั เกิดแก่ศตั รู
คมั ภีร์พระเวท แมจ้ ะมีจานวน ๔ เล่ม แต่กเ็ รียกวา่ ไตรเทพหรือไตรเวท เพราะพวกพราหมณ์ไดแ้ ต่งคมั ภีร์อาถรรพ
เวท ข้ึนมาในภายหลงั ยคุ พระเวท
คมั ภรี ข์ องศาสนาฮนิ ดู
พระเวทแต่ละคมั ภรี ์แบ่งออกเป็ น ๒ ภำค เรียกว่ำ กำณฑะหรือกณั ฑ์ ได้แก่
๑) กรรมกำณฑะ เป็นภาคท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกบั พิธีกรรมการบูชา
๒) ชญำณกำณฑะ เป็นภาคที่มีเน้ือหาเก่ียวกบั ความรู้หรือปรัชญาเก่ียวกบั ความจริงสูงสุด ไดแ้ ก่ พรหมนั อาตมนั
และโลกที่เป็ นสิ่งท่ีปรากฏออกมาจากพรหมนั
นอกจำกนี้ คมั ภรี ์พระเวทแต่ละคมั ภรี ์ยงั แบ่งออกเป็ น ๔ ตอนเช่นเดียวกนั คือ
๑) มนั ตระ เป็นส่วนท่ีรวบรวมมนตร์ต่างๆ สาหรับเป็นบทบริการรมและขบั กลอ้ ม ออ้ นวอน สดุดีเทพเจา้ ใน
พธิ ีกรรมบูชาบวงสรวง
คมั ภรี ข์ องศาสนาฮินดู
๒) พรำหมณะ เป็นบทร้อยแกว้ หรือ เรียงความ อธิบายระเบียบการประกอบพธิ ีกรรวมต่างๆ ไวอ้ ยา่ งละเอียด
๓) อำรัณยกะ เป็นบทร้อยแกว้ ใชเ้ ป็นคู่มือการปฏิบตั ิของพราหมณ์ ท่ีตอ้ งการดารงชีวติ เป็นผอู้ ยู่
ป่ า (วนปรัสถ)์ เพ่ือหาความสุขสงบ ตดั ขาดจากการอยคู่ รองเรือน
๔) อปุ นิษทั เป็นตอนสุดทา้ ยแห่งพระเวท เป็นส่วนท่ีเป็นแนวคิดทางปรัชญาอยา่ งลึกซ้ึง เป็นบทสนทนา
โตต้ อบ อธิบายถึงธรรมชาติและจกั รวาล วญิ ญาณของมนุษยก์ ารเวยี นวา่ ยตายเกิด กฎแห่งกรรม
ส่วนท่ีเป็นอมตระ และพราหมณะ จดั อยใู่ นภาคกรรมกาณฑะ ส่วนอรัณยกะและอุปนิษทั อยใู่ นชญาณกาณฑะ
คมั ภรี ข์ องศาสนาฮินดู
2.สมฤติ
แปลตามรูปศพั ทว์ า่ สิ่งที่จาไวไ้ ด้ จึงเป็นคมั ภีร์ท่ีจดจาและถ่ายทอดกนั สืบต่อมา ไดแ้ ก่ คมั ภีร์ที่ปราชญท์ าง
ศาสนาไดแ้ ต่งข้ึนเพ่ืออธิบายเน้ือหา และสนบั สนุนใหก้ ารศึกษาคมั ภีร์พระเวทเป็นไปโดยถูกตอ้ ง เช่น คมั ภีร์อุปนิษทั
คมั ภีร์มนูศาสตร์ คมั ภีร์ปุราณะ คมั ภีร์ภควทั คีตา มหากาพยม์ หาภารตะและมหากาพยร์ ามายณะ เป็นตน้
หลกั คาสอนของศาสนาฮนิ ดู
หลกั คาสอนท่ีสาคญั ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีอยู่ 4 ขอ้ ดงั ต่อไปน้ี
1. หลกั อาศรม 4
2. หลกั การปฏิบตั ิระหวา่ งบุคคล
3. หลกั ปรมาตมนั
4. หลกั โมกษะ
หลกั คาสอนของศาสนาฮนิ ดู
1. หลกั อำศรม 4
หลกั อาศรม 4 หมายถึง ข้นั ตอนการดาเนินชีวติ ของชาวฮินดู เฉพาะท่ีเป็นพราหมณ์วยั ต่างๆ โดยกาหนดเกณฑ์
อายคุ นไว้ 100 ปี แบ่งช่วงของการใชช้ ีวติ ไว้ 4 ช่วง ช่วงละ 25 ปี ช่วงชีวติ แต่ละช่วงเรียกวา่ อาศรม (วยั ) อาศรมท้งั 4
ช่วงมีดงั น้ี
อาศรมที่ 1 (ปฐมวยั ) เรียกวา่ พรหมจรรยอ์ าศรม เริ่มต้งั แต่อายุ 8-25 ปี ผเู้ ขา้ สู่อาศรมน้ี เรียกวา่ พรหมจารี ภายใน
ช่วงระยะเวลา 25 ปี แรกน้ี พรหมจารีผอู้ ยใู่ นพรหมจรรยอ์ าศรม
หลกั คาสอนของศาสนาฮินดู
มีหน้ำท่ดี งั นี้
(๑) ต้งั ใจเรียนวชิ าการในวรรณะของตน
(๒) เชื่อฟังและปฏิบตั ิตามคาสงั่ สอนของครูอาจารย์
(๓) ไม่ยงุ่ เกี่ยวกบั เร่ืองเพศ
(๔) ไม่คบเพอ่ื นเพศตรงกนั ขา้ ม
(๕) เมื่อสาเร็จการศึกษาแลว้ ตอ้ งทาพธิ ีกรรมเกศานตสนั สกา (ตดั ผม) และพธิ ีคุรุทกั ษิณามอบสิ่งตอบแทนครู
อาจารย์
หลกั คาสอนของศาสนาฮนิ ดู
อาศรมท่ี 2 (มชั ณิมวยั ) เรียกวา่ คฤหสั ถาศรม อยใู่ นช่วงอายุ 25-50 ปี มีหนา้ ท่ีดงั น้ี
1) ช่วยพอ่ แม่ทางาน
2) แต่งงานมีครอบครัว
3) ประกอบอาชีพเล้ียงครอบครัว
อาศรมที่ 3 (ปัจฉิมวยั ) เรียกวา่ วานปรัสถาศรม อยใู่ นช่วงอายุ 50-75 ปี มีหนา้ ที่จะตอ้ งปฏิบตั ิดงั น้ี
1) มอบสมบตั ิใหบ้ ุตรธิดา
2) บาเพญ็ ประโยชนเ์ พื่อส่วนรวม
3) ออกบวชปฏิบตั ิธรรมท่ีเรียกวา่ วานปรัสถ์
4) ทาประโยชน์แก่สงั คมดว้ ยการเป็นครูอาจารย์
หลกั คาสอนของศาสนาฮนิ ดู
อาศรมที่ 4 คือ สนั ยสั ตาศรม อยใู่ นช่วงอายตุ ้งั แต่ 75 ปี ข้ึนไป สาหรับผปู้ รารถนา ความหลดุ พน้
(โมกษะ) จะออกบวชเป็นสนั ยาสี เม่ือบวชแลว้ จะสึกไม่ได้ บาเพญ็ สมาธิแสวงหาความหลุดพน้ ตาม
หลกั กรรมโยคะต่อไป
2. หลกั กำรปฏิบตั ริ ะหว่ำงบุคคล
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีหลกั คาสอนที่คลา้ ยคลึงกบั คาสอนเรื่องทิศ 6 ในศาสนาพทุ ธเป็นอยา่ งมาก
ซ่ึงเป็นหลกั คาสอนที่วา่ ดว้ ยการปฏิบตั ิระหวา่ งบุคคลดงั มีรายละเอียดดงั น้ี
หลกั คาสอนของศาสนาฮินดู
1. ปิ ตฤธรรม คือ การปฏิบตั ิตามหนา้ ที่ของบิดาต่อบุตร โดยบิดาตอ้ งมีหนา้ ที่ รับเล้ียงดูบุตรจนบุตรมีอายบุ รรลนุ ิติ
ภาวะ ในการเล้ียงดูบุตร บิดาจะตอ้ งปฏิบตั ิดงั น้ี
- เม่ือบุตรมีอายตุ ้งั แต่เกิดจนถึง 5 ขวบ จงเล้ียงดูดว้ ยความเมตตากรุณาและดว้ ย ความรัก
- ต้งั แต่บุตรบรรลุนิติภาวะแลว้ ถือวา่ เป็นมิตรเป็นสหายคือเป็นเพอ่ื นกนั โดยใหบ้ ุตรทาหนา้ ท่ีเป็นผนู้ าบิดาบา้ ง
ส่วนบิดาควรทาหนา้ ท่ีเป็นท่ีปรึกษา และบิดาควรหาคูค่ รองที่เหมาะสมใหแ้ ก่บุตรในเวลาอนั ควร
2. มำตฤธรรม คือ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของมารดาต่อบุตร มารดาจะตอ้ งรับหนา้ ท่ีเหมือนบิดาแต่ตอ้ งเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เพือ่ สร้างอนาคตใหก้ บั บุตรและตอ้ งเป็นครูคนแรกของบุตร ดงั น้นั มารดาจึงตอ้ งระมดั ระวงั ในการสร้างอุปนิสยั ใหแ้ ก่
บุตรในทางที่ดีเสมอ
หลกั คาสอนของศาสนาฮนิ ดู
3. อำจำรยธรรม คือ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของครูอาจารยต์ ่อศิษย์ ครูอาจารยจ์ ะตอ้ ง รับหนา้ ที่ถ่ายทอดวชิ าความรู้ใหแ้ ก่
ศิษยอ์ ยา่ งถูกตอ้ งและเป็นธรรม เล้ียงดูศิษยเ์ หมือนบิดามารดาเล้ียงดูบุตร พยายามสร้างและแกไ้ ขความประพฤติ
อุปนิสยั ของศิษยร์ ่วมกบั บิดามารดาของศิษย์
4. บุตรธรรมและศิษยธรรม คือ การปฏิบตั ิของบุตรต่อบิดามารดาและการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของศิษยต์ ่อครูอาจารย์
5. ภรำตฤธรรม คือ การปฏิบตั ิของพี่ท่ีมีต่อนอ้ งและนอ้ งต่อพี่ นอ้ งตอ้ งปฏิบตั ินบั ถือพ่เี หมือนพอ่ เหมือนแม่ ครูอาจารย์
จึงมีบญั ญตั ิไวว้ า่ จงถือวา่ ครูอาจารยเ์ ป็นรูปปรมาตมนั บิดาเป็นรูปพระประชาบดี มารดาเป็นรูปพระแม่ธรณี และพี่เป็น
รูปพระครู จงอยา่ ดูถูกท้งั บิดามารดา ครูอาจารยแ์ ละพ่ี ไม่วา่ ตวั เองจะอยใู่ นฐานะอนั ใดกต็ าม
หลกั คาสอนของศาสนาฮินดู
6. ปติธรรม คือ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของสามีต่อภรรยา ผชู้ ายตอ้ งเลือกเจา้ สาวท่ี เหมาะสมแก่ตระกลู ของตน เหมาะสมกบั
สงั คมท่ีตนอาศยั อยู่ ฉะน้นั เม่ือจะเลือกเจา้ สาวตอ้ ง ไดร้ ับการเห็นชอบจากผใู้ หญ่ก่อน เมื่อเป็นภรรยาแลว้ กต็ อ้ งเล้ียงดู
กนั ไปตลอดชีวติ ใหถ้ ือวา่ ผหู้ ญิงอื่นๆ เปรียบเสมือนพนี่ อ้ งหรือลูกหลานหรือมารดาของตน
7. ปัตนีธรรม คือ การปฏิบตั ิหนา้ ที่ของภรรยาต่อสามี ตอ้ งปฏิบตั ิหนา้ ที่ต่อสามีอยา่ งบริสุทธ์ิใจตอ้ งเอาใจใส่สามีอยา่ ง
จริงจงั ตอ้ งถืออยใู่ นตวั เองเสมอวา่ ผชู้ ายท้งั หลาย เวน้ สามีของตนเป็นเหมือนบิดา พนี่ อ้ ง บุตร หลาน เท่าน้นั
8. สวำม-ี เสวกธรรม คือ การปฏิบตั ิหนา้ ที่ของสวามี (นายจา้ ง) ต่อเสวก (ลูกจา้ ง) และการปฏิบตั ิหนา้ ที่ของเสวกต่อ
สวามี ผเู้ ป็นนายจา้ งมีหนา้ ที่เล้ียงดูลูกจา้ งและครอบครัวของเขา จ่ายเงินเดือนหรือให้ ทานองเดียวกนั ผเู้ ป็นลูกจา้ งกม็ ี
หนา้ ท่ีที่จะตอ้ งปฏิบตั ิงานอยา่ งซื่อสตั ยต์ ่อนายจา้ งเสมอและทาทุกอยา่ งที่จะใหน้ ายจา้ งไดร้ ับผลประโยชนใ์ หม้ ากท่ีสุด
หลกั คาสอนของศาสนาฮนิ ดู
9. รำชธรรม คือ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของพระราชาต่อประชาชน หรือการปฏิบตั ิของประชาชนต่อพระราชาผเู้ ป็นองค์
ประมุขของชาติ จึงถือวา่ ประชาชนเป็นเสมือนบุตรหลานและเอาใจใส่ต่อความสุขความทุกขข์ องประชาชนอยา่ ง
ใกลช้ ิด
3. หลกั ปรมำตมนั
คาวา่ ปรมาตมนั หมายถึง สิ่งยงิ่ ใหญ่อนั เป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอยา่ งในสากลโลก ซ่ึงเรียกชื่อสิ่งน้ีวา่ “ พรหมŽ”
ปรมาตมนั กบั พรหมจึงเป็นส่ิงเดียวกนั และมีลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี
1) เป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนเอง
2) เป็นนามธรรม สิงสถิตอยใู่ นส่ิงท้งั หลายท้งั ปวงเรียกวา่ อาตมนั เป็นส่ิงท่ีมองไม่เห็นดว้ ยตา
หลกั คาสอนของศาสนาฮนิ ดู
3) เป็นศูนยร์ วมแห่งวญิ ญาณท้งั ปวง
4) ส่ิงท้งั หลายท้งั ปวงในสากลโลกลว้ นเป็นส่วนยอ่ ยที่แยกออกมาจากพรหม
5) เป็นตวั ความจริง (สจั ธรรม) สิ่งเดียว (โลกและส่ิงอ่ืนๆ ลว้ นเป็นมายา ภาพลวงที่มีอยชู่ ว่ั คร้ังคราวเท่าน้นั )
6) เป็นผปู้ ระทานญาณ ความคิดและความสนั ติ
7) เป็นสิ่งที่ดารงอยใู่ นสภาพเดิมตลอดกาล
วิญญาณของสตั วโลกท้งั หลาย (อาตมนั ) คือส่วนที่แยกออกมาจากวญิ ญาณรวมของพรหม (ปรมาตมนั ) วญิ ญาณยอ่ ยแต่ละ
ดวงเหล่าน้ีเมื่อแยกออกมาแลว้ ยอ่ มเขา้ สิงสถิตในส่ิงมีชีวติ รูปแบบต่างๆ กนั เช่น ในร่างกายมนุษย์ เทวดา สตั วแ์ ละพชื มีสภาพดี
บา้ ง เลวบา้ ง สุดแต่ผลกรรมท่ีทาไว้ ซ่ึงถือวา่ เป็นทุกขท์ ้งั สิ้น ตราบใดที่วญิ ญาณเหล่าน้ียงั ไม่สิ้นกรรม ยอ่ มตอ้ งเวยี นวา่ ยตายเกิด
ผจญทุกขอ์ ยตู่ ลอดไป
หลกั คาสอนของศาสนาฮนิ ดู
4. หลกั โมกษะ
หลกั โมกษะ เป็นหลกั ความดีสูงสุด ดงั คาสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สอนวา่ ผใู้ ดรู้แจง้ ในอาตมนั ของตนวา่
เป็นหลกั อาตมนั ของโลกพรหมแลว้ ผนู้ ้นั ยอ่ มพน้ จากสงั สารการเวยี นวา่ ยตายเกิด และจะไม่ปฏิสนธิอีก หลกั โมกษะ
ประกอบดว้ ยสาระสาคญั 2 ประการ คือ
1. การนาอาตมนั เขา้ สู่ปรมาตมนั ดว้ ยการปฏิบตั ิธรรมใดๆ เพ่ือใหว้ ญิ ญาณของตนเขา้ รวมกบั ปฐมวญิ ญาณ เรียกวา่
เขา้ ถึงโมกษะ คือความหลุดพน้ จากวฏั สงสารแห่งชีวติ
2. วิธีปฏิบตั ิเพอ่ื เขา้ ถึงโมกษะ ไดเ้ สนอแนะหลกั ปฏิบตั ิท่ีสาคญั ไว้ 3 ประการ คือ กรรมมรรค (กรรมโยคะ) ชยา
นมรรค (ชยานโยคะ) และภกั ติมรรค (ภกั ติโยคะ)
นกั บวช สาวกศาสนาฮนิ ดู
ศาสนาฮินดูจะมีพรำหมณ์ เป็นผผู้ กู ขาดการประกอบพิธี และทาหนา้ ที่สงั่ สอน และจะมีการเรียนพระเวทหรือ
ศึกษาคมั ภีร์พระเวท
สาหรับสาวกในศาสนาฮินดูคือผปู้ ฏิบตั ิตามในพระเวทโดยทวั่ ไปรู้จกั กนั ในนาม “ฤษี” “พราหมณ์” ดงั น้นั
ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ไม่มีศาสดาจริงจงั เหมือนศาสนาอื่น แต่มีหวั หนา้ ลทั ธิหรือผแู้ ต่งตารา ทาหนา้ ที่คลา้ ยศาสดา มี
ดงั น้ี
๑. วยำสะ ท่านผนู้ ้ีเป็นผรู้ วบรวมเรียบเรียง คมั ภีร์พระเวท คมั ภีร์อิติหาสะ และคมั ภีร์ปุราณะ
๒. วำลฆกี ิ เป็นฤษีผแู้ ต่ง มหากาพยร์ ามายณะ ท่านเป็นพราหมณ์โดยกาเนิด แต่ถูกพอ่ แม่ทิ้งต้งั แต่ยงั เลก็ พวกชาวนาได้
นาไปเล้ียงไว้
๓. โคตมะ หรือ เคำตมะ ผตู้ ้งั ลทั ธินยายะ เกิดประมาณ ๕๐๐ ปี ก่อน ค.ศ.
นกั บวช สาวกศาสนาฮนิ ดู
๔. กณำทะ ผตู้ ้งั ลทั ธิไวเศษกิ ะ เกิดประมาณศตวรรษท่ี ๓ ก่อน ค.ศ.
๕. กปิ ละ ผตู้ ้งั ลทั ธิสำงขยะ เกิดในสมยั ศตวรรษท่ี ๖ ก่อน ค.ศ.
๖. ปตัญชลิ ผตู้ ้งั ลทั ธิโยคะ เกิดในสมยั ศตวรรษที่ ๓ หรือ ๔ ก่อน ค.ศ.
๗. ไชมนิ ิ ผตู้ ้งั ลทั ธิมีมำงสำ หรือ ปูรวมมี ำงสำ เกิดระหวา่ งศตวรรษที่ ๖-๒ ก่อน ค.ศ.
๘. มนู หรือ มนุ ผแู้ ต่ง คมั ภรี ์ธรรมศำสตร์ เกิดในศตวรรษที่ ๕ ก่อน ค.ศ.
๙. พำทรำยณะ ผตู้ ้งั ลทั ธิเวทำนตะ หรือ อตุ รมมี ำงสำ มีผกู้ ล่าววา่ เป็นคนเดียวกบั วยาสะ เกิดระหวา่ งศตวรรษท่ี ๖-๒
ก่อน ค.ศ.
๑๐. จำรวำกะ ผตู้ ้งั ลทั ธิโลกำยนะ หรือวตั ถุนิยม ไม่มีประวตั ิแน่นอน
๑๑. ศังกรำจำรย์ ผแู้ ต่ง อรรถกถำ หรือคาอธิบายลทั ธิเวทานตะ เกิดระหวา่ งปี ค.ศ. ๗๘๘-๘๒๐ และเป็นผตู้ ้งั ลทั ธิอไท
วตะ หรือเอกนิยม คือ นิยมพระเจา้ องคเ์ ดียว
นกั บวช สาวกศาสนาฮนิ ดู
๑๒. นำถมุนี เป็นผนู้ าคนแรกของ ลทั ธิไวษณวะ อยใู่ นช่วงระหวา่ ง ค.ศ. ๘๒๔-๙๒๔
๑๓. รำมำนุชำจำรย์ ถือวา่ เป็นคนสาคญั ยงิ่ ของ ลทั ธิไวษณวะ และเจา้ ของปรัชญาวศิ ิษฏาทไวตะ เกิดปี ค.ศ. ๑๐๒๗
๑๔. มัธวำจำรย์ เป็นผนู้ าท่านหน่ึงแห่ง ลทั ธิไวษณวะ และเจา้ ของ ปรัชญำทไวตะ หรือ ทวนิ ิยม อยใู่ นช่วงระหวา่ งค.ศ.
๑๑๙๙-๑๒๗๗
๑๕. ลกลุ ศี ะ (สมยั ของท่านน้ียงั ไม่แน่นอน) เป็นอาจารยใ์ หญ่แห่ง นิกำยไศวะ ฝ่ ายใตผ้ ตู้ ้งั นิกำยปศุปตะ
๑๖. วสุคุปตะ เป็นผตู้ ้งั ลทั ธิไศวะฝ่ ำยเหนือ หรือท่ีเรียกวา่ กำษปี รไศวะ (อยรู่ ะหวา่ งศตวรรษท่ี ๙ ก่อน ค.ศ.)
๑๗. รำมโมหัน รอย เป็นผตู้ ้งั พรหมสมำช (สมำคม) อยรู่ ะหวา่ งปี ค.ศ. ๑๗๗๔-๑๘๓๓
๑๘. สวำมที ะยำนัน สรัสวดี เป็นผตู้ ้งั อำรยสมำช อยรู่ ะหวา่ งปี ค.ศ. ๑๘๒๔-๑๘๓๓
๑๙. รำมกฤษณะ เป็นผนู้ าทางความรู้และทางปฏิบตั ิ เป็นผจู้ ดั ใหม้ ี กระบวนกำรรำมกฤษณะมชิ ชัน แมท้ ่านจะไม่ไดต้ ้งั ข้ึนเอง
แต่สวามีวเิ วกานนั ทะ สรัสวดี กต็ ้งั ข้ึนเพ่อื เป็นเครื่องอนุสรณ์ถึงท่าน อยรู่ ะหวา่ งปี ค.ศ. ๑๘๓๖-๑๘๘๖
ศาสนกิ ชนของศาสนาฮินดู
ศาสนาฮินดูถือเป็ นศาสนาท่ีมีผูน้ ับถือมากท่ีสุดใน
โลกเป็ นอันดับท่ี 4 มีศาสนิกชนซ่ึงเรี ยกว่า ชาว
ฮินดู อยู่ราว 1161 พันล้านคน หรือ 15.2% ของ
ประชากรโลก ศาสนาฮินดูมีผูน้ ับถือมากท่ีสุดใน
อินเดีย, เนปาล และ มอริเชียส นอกจากน้ียงั เป็ น
ศ า ส น า ห ลัก ใ น จัง ห วัด บ า ห ลี อิ น โ ด นี เ ซี ย
เ ช่ น กัน ชุ ม ช น ฮิ น ดู ข น า ด ใ ห ญ่ ยัง พ บ ไ ด้ใ น
แคริบเบียน, เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต,้ อเมริกาเหนือ
, ยโุ รป, แอฟริกา และประเทศอ่ืน ๆ
ศาสนสถานของศาสนาฮนิ ดู
เทวสถำน หรือ เทวำลยั คือศาสนสถานซ่ึงก่อสร้างเพื่อเป็ นที่สมมุติว่า
เป็นท่ีประทบั ของเทพเจา้ หรือเทวดา
ศาสนสถานในศาสนาฮินดู เรียกว่า เทวสถาน เทวาลยั หรือ โบสถ์
พราหมณ์ ซ่ึงมกั สร้างในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ปราสาทหิน ปรางค์ เป็ นตน้ ใน
ประเทศไทยมีเทวสถานโบสถพ์ ราหมณ์เป็นเทวสถานหลกั
เทวสถำน กรุงเทพมหำนคร เป็ นศำสนสถำนของศำสนำฮินดู
พธิ ีกรรมหรอื ศาสนพธิ ี
ศำสนพธิ ีของศำสนำพรำมณ์-ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาท่ีมีพธิ ีกรรมเป็นส่วนประกอบสาคญั อยา่ งหน่ึงของศาสนา เพราะชาวฮินดูทุก
วรรณะยอ้ มมีขนบธรรมเนียมประเพณีเฉพาะท่ีตอ้ งประพฤติตามที่ กาหนดไวส้ าหรับวรรณะของตน และกฎประเพณี
ส่วนรวม ท่ีตอ้ งปฏิบตั ิสาหรับทุกช้นั วรรณะ โดยแบ่งออกเป็น 4 หมวด ดงั น้ี
1. กฎสาหรับวรรณะ
2. พิธีประจาบา้ น
3. พธิ ีศราทธ์
4. พิธีบูชาเทวดา
พธิ ีกรรมหรอื ศาสนพธิ ี
1. กฎสำหรับวรรณะ
ศาสนาฮินดูมีกฎสาหรับวรรณะใหป้ ฏิบตั ิอยา่ งเคร่งครัดหลายเร่ือง เช่น
๑) กฎเกี่ยวกบั การแต่งงาน จะแต่งงานนอกวรรณะของตนไม่ได้ แต่ผชู้ ายพราหมณ์จะแต่งงานกบั ผหู้ ญิง
วรรณะอ่ืนได้ เรียกวา่ อนุโลม ส่วนผหู้ ญิงเป็นพราหมณ์จะแต่งงานกบั ผชู้ ายวรรณะอื่นไม่ได้ เรียกวา่ ปฏิโลม
๒) กฎเก่ียวกบั อาหารการกิน มีขอ้ กาหนดวา่ ส่ิงใดกินได้ ส่ิงไดก้ ินไม่ได้ และ ขอ้ กาหนดวา่ บุคคลวรรณะ
ใดปรุงอาหารใหค้ นวรรณะใดกินไม่ได้ เช่น วรรณะพราหมณ์ไม่กินอาหารท่ีคนวรรณะอ่ืนทา เป็นตน้
๓) กฎเกี่ยวกบั การประกอบอาชีพ ตอ้ งประกอบอาชีพที่กาหนดไวส้ าหรับคนในวรรณะน้นั ๆเท่าน้นั
๔) กฎเก่ียวกบั สถานที่อยอู่ าศยั ในสมยั โบราณมีกฎหา้ มชาวฮินดูมีถิ่นฐานบา้ นเรือนนอกเขตประเทศอิน
เดียว และหา้ มเดินเรือในทะเล แต่ปัจจุบนั ไม่ถือแลว้
พธิ ีกรรมหรอื ศาสนพธิ ี
2. พธิ ีประจำบ้ำน
พธิ ีน้ีเป็นพธิ ีที่กาหนดไวใ้ นคมั ภีร์มานวธรรมศาสตร์ หรือมนูศาสตร์เรียกวา่ พธิ ีสงั สการ เป็นพธิ ีกรรมท่ีคนใน
วรรณะกษตั ริย์ วรรณะพราหมณ์และวรรณะไวศยะจะตอ้ งทาโดยมีพราหมณ์หรือนกั บวชเป็นผทู้ าพธิ ี จานวน ๑๒
ประการ คือ
๑) ครรภาธาน เป็นพิธีท่ีจดั ข้ึนเมื่อทราบวา่ ต้งั ครรภ์ ถดั จากวนั วิวาห์
๒) ปุงสวนั เป็นพิธีปฏิบตั ิต่อเดก็ ในครรภท์ ่ีเขา้ ใจวา่ เป็นเพศชาย
๓) สีมนั โตนยนั เป็นพธิ ีตดั ผมหญิงมีครรภ์ เม่ือต้งั ครรภไ์ ด้ ๔, ๖ หรือ ๘ เดือน
๔) ชาตกรรม พิธีคลอดบุตร
พธิ ีกรรมหรอื ศาสนพธิ ี
๕) นามกรรม พธิ ีต้งั ชื่อเดก็ ในวนั ท่ี ๑๒ หรือ ๑๔ ถดั จากวนั คลอด
๖) นิษกรมณ พธิ ีนาเดก็ ออกไปดูแสงอาทิตยย์ ามเขา้ เม่ืออายุ ๔ เดือน
๗) อนั นปราศนั พิธีป้อนขา้ วเดก็ เม่ืออายไุ ด้ ๗ เดือนหรือ ๘ เดือน
๘) จูฑากรรม พิธีโกนผมไวจ้ ุก เมื่ออายุ ๓ ขวบ
๙) เกศานตกรรม พิธีตดั ผม ถา้ เป็นวรรณะพราหมณ์ตดั เม่ืออายุ ๑๖ ปี ถา้ วรรณะกษตั ริยต์ ดั เม่ืออายุ ๒๒ ปี ถา้
วรรณะแพทยต์ ดั เมื่ออายุ ๒๔ ปี
พธิ ีกรรมหรอื ศาสนพธิ ี
๑๐) อุปานยนั พิธีเขา้ รับการศึกษา พวกวรรณะพราหมณ์ กษตั ริย์ แพทย์ จะตอ้ งทาพธิ ีเขา้ รับการศึกษา และ
เม่ืออาจารยใ์ นสานกั น้นั ๆ รับเดก็ ไวแ้ ลว้ กจ็ ะสวมสายธุรา หรือ ยชั โญปวตั ผทู้ ี่ไดส้ วมสายน้ีแลว้ กเ็ รียกวา่ ทวิช
หรือทิชาชาติ ไดแ้ ก้ เกิด ๒ คร้ัง คือคร้ังแรกเกิดจากครรภม์ ารดา และคร้ังท่ี ๒ เกิดจากการสวมสาย
ยชั โญปวีต ส่วนพวกศูทรและจณั ฑาลเป็นเอกชาติ คือ เกิดคร้ังเดียวไม่อาจเป็นทวชิ าติได้
๑๑) สมาวรรตน์ พิธีกลบั บา้ น จดั ข้ึนเม่ือหนุ่มสาเร็จการศึกษาและเตรียมตวั กลบั บา้ น
๑๒) วิวาหะ พธิ ีแต่งงาน
พิธีสงั สการท้งั ๑๒ ประการ ถา้ เป็นผหู้ ญิงหา้ มทาพธิ ีอุปานยนั อยา่ งเดียว นอกน้นั ทาไดห้ มด และหา้ ม
สวดคมั ภีร์พระเวท เพราะเป็นคมั ภีร์ศกั ด์ิสิทธ์ิที่สงวนเฉพาะผชู้ าย และคนบางวรรณะเท่าน้นั
พธิ ีกรรมหรอื ศาสนพธิ ี
ในปัจจุบนั น้ีชาวฮินดูผเู้ ป็นทวชิ าติคงปฏิบตั ิคงปฏิบตั ิอยู่ ๔ พธิ ีเท่าน้นั คือ พิธีนามกรรม พิธีอนั นปราศนั พิธีอุ
ปานยนั และพธิ ีวิวาหะ ท่ีเหลือนอกน้นั ไม่ใคร่ปฏิบตั ิกนั แลว้ ยกเวน้ ผทู้ ี่เคร่งครัดจริงๆ เท่าน้นั
3. พธิ ีศรำทธ์
พธิ ีศราทธเ์ ป็นพธิ ีทาบุญอุทิศใหม้ ารดาบิดา หรือบรรพบุรุษผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ ในเดือน ๑๐ ต้งั แต่วนั
แรม ๑๕ ค่า การทาบุญอุทิศน้ีเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ บิณฑะ
4. พธิ ีบูชำเทวดำ
ชาวฮินดูมีเทพเจา้ ที่เคารพมากมายหลายองค์ ผทู้ ่ีเกิดในวรรณะสูงสมยั ก่อนไดบ้ ูชาพระศิวะและพระ
วษิ ณุ เป็นตน้ เวลาต่อมาเกิดลทั ธิอวตารข้ึน มีการบูชาพระกฤษณะและพระรามข้ึนอีก
พธิ ีกรรมหรอื ศาสนพธิ ี
แต่บุคคลในวรรณะต่ามกั ถูกกีดกนั มิใหร้ ่วมบูชาเทพเจา้ ของบุคคลในวรรณะสูงดงั น้นั บุคคลในวรรณะต่าจึงตอ้ ง
สร้างเทพเจา้ ของตนเองข้ึน เช่น เจา้ แม่กาลี เทพลิง เทพงู เทพเต่า รุกขเทพ เทพชา้ ง เป็นตน้ การทาพธิ ีในการบูชา
พอจะกาหนดได้ ดงั น้ี
๑) สวดมนตภ์ าวนา สนานกาย ชาระและสงั เวยเทวดาทุกวนั สาหรับผเู้ คร่งครัดในศาสนาตอ้ งทาเป็น
กิจวตั ร ส่วนพวกท่ีไดร้ ับการศึกษาแผนใหม่มกั ไม่คอ่ ยปฏิบตั ิกนั
๒) พธิ ีสมโภช ถือศีล และวนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ เช่น ลกั ษมีบูชา วนั บูชาเจา้ แม่ลกั ษมี สรัสวดีบูชา วนั บูชาเจา้ แม่
สรัสวดี ทุรคาบูชา วนั บูชาเจา้ แม่ทุรคา เป็นตน้ ซ่ึงอาจแตกต่างกนั ออกไปในแต่ละนิกายและทอ้ งถิ่น
๓) การไปนมสั การบาเพญ็ กศุ ลตามเทวาลยั ต่างๆ เพือ่ แสดงความเคารพเทพเจา้ ที่ตนนบั ถือ
สมาชกิ กล่มุ
นางสาวลลิตา ทองแกว้ บุญ 6116209002113
นางสาวอนิ ทอุ ร สตั ยซ์ อ่ื 6116209002133
นายอาคม อดุ หนุนกาญจน์ 6116209002134
กลุม่ เรยี น สฎ.2105.161 รฐั ประศาสนศาสตร์