คำนำ
แบบเรียนการสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติ
โดยภายในหนังสือเล่มนี้ได้มีเนื้อหาที่สามารถนำไปสอนและให้ความรู้กับชาวต่างชาติได้โดยสอดคล้องกับหลักการใช้ภาษาไทยและ
วัฒนธรรม ดังนี้
1. ระดับภาษา
2. ภาษาพู ด - ภาษาเขียน
3. เพลงพื้นบ้าน
4. วรรณกรรมท้องถิ่น
5. ประเพณี และพิธีกรรม
ทั้งนี้ทางคณะผู้จัดทำได้ออกแบบแบบเรียนที่สอดแทรกวัฒนธรรมไทยไว้ด้วยนั้นย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนหลาย
ประการด้วยกัน กล่าวคือช่วยให้ผู้เรียนสามารถสื่อความหมายได้ถูกต้องเพราะ เมื่อผู้เรียนเข้าใจวัฒนธรรมไทย เช่น เข้าใจ
ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยมของคนไทยแล้ว ก็จะเข้าใจวิธีคิด การกระทำ ตลอดจนคำพู ดที่ใช้ในการสื่อสาร
ของคนไทยด้วยนอกจากนี้ การสอนแบบสอดแทรกวัฒนธรรมจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับความสนุกสนานจากการเรียน อีกทั้งยังส่งเสริม
ให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อวัฒนธรรมไทยเพราะเมื่อผู้เรียนเรียนรู้วัฒนธรรมไทยในขณะที่เรียนภาษาแล้ว เขาย่อมเข้าใจความแตกต่าง
ทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งส่งผลให้ผู้สอน และผู้เรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อกันสุดท้ายนี้คณะผู้จัด
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแบบเรียนการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจและนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนต่อผู้เรียนในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ก คำนำ
สารบัญ บทที่ 1 - 2 หน้า
บทที่ เนื้อหา 2
2
1 บทที่ 1 ระดับภาษา 2
2
2 1.1 ภาษาระดับพิธีการ 3
1.2 ความหมายของระดับภาษา 3
3
1.2.1 บทสนทนา 3
1.2.2 คำศัพท์ 3
1.3 ภาษาระดับทางการ 4
1.3.1 บทสนทนา 4
1.3.2 คำศัพท์ 4
1.4 ภาษาระดับกึ่งทางการ 4
1.4.1 บทสนทนา 5
1.4.2 คำศัพท์ 5
1.5 ภาษาระดับไม่เป็นทางการ 5
1.5.1 บทสนทนา 6
1.5.2 คำศัพท์ 7
1.6 ภาษาระดับกันเอง
1.6.1 บทสนทนา 9
1.6.2 คำศัพท์ 9
1.7 ตารางสรุประดับภาษา 9
1.8 แบบฝึกหัดท้ายบท เรื่อง ระดับภาษา 9
10
บทที่ 2 ภาษาพู ด ภาษาเขียน 10
10
1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ภาษาพู ด 11-12
1.2 ความหมายของภาษาพู ด ภาษาเขียน 13
1.2.1 บทสนทนา
1.2.2 คำศัพท์
1.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ภาษาเขียน
1.3.1 บทสนทนา
1.3.2 คำศัพท์
1.4 ข้อเปรียบเทียบภาษาพู ดและภาษาเขียน
1.5 แบบฝึกหัดท้ายบท เรื่อง ภาษาพู ด ภาษาเขียน
ค สารบัญ ข
สารบัญ บทที่ 3 - 4
บทที่ เนื้อหา หน้า
3 บทที่ 3 เพลงพื้นบ้าน 15
15
1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความหมายของเพลงพื้นบ้าน 15
1.2 ความหมายของเพลงพื้นบ้าน 16
16-20
1.2.1 บทสนทนา 21
1.2.2 คำศัพท์ 21
1.2.3 เพลงพื้นบ้าน 4 ภาค 21
1.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เพลงพื้นบ้านภาคกลาง "เต้นกำรำเคียว" 21-22
1.3.1 บทสนทนา
1.3.2 คำศัพท์ 23
1.4 เนื้อเพลง เต้นกำรำเคียว, เพลงเดิน, เพลงรำ, เพลงร่อน
และเพลงบิน
1.5 แบบฝึกหัดท้ายบท เรื่อง เพลงพื้นบ้าน
4 บทที่ 4 วรรณกรรมท้องถิ่น 25
25
1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 วรรณกรรมท้องถิ่น 25
1.2 ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น 25-26
26-27
1.2.1 บทสนทนา 28
1.2.2 คำศัพท์
1.2.3 วรรณกรรมท้องถิ่น 4 ภาค 28
1.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 วรรณกรรมท้องถิ่นภาคเหนือ 28
"หมาขนคำ" 29
1.3.1 บทสนทนา 30
1.3.2 คำศัพท์
1.3.3 เรื่องย่อวรรณกรรมท้องถิ่น เรื่อง หมาขนคำ
1.4 แบบฝึกหัดท้ายบท เรื่อง วรรณกรรมท้องถิ่น
ค สารบัญ
สารบัญ บทที่ 5 หน้า
บทที่ เนื้อหา 32
32
5 บทที่ 5 ประเพณีและพิธีกรรม 33
33
1.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ประเพณีและพิธีกรรมไทย 33-36
1.2 ความหมายของประเพณีและพิธีกรรม 37
1.2.1 บทสนทนา 37
1.2.2 คำศัพท์ 37
1.2.3 ประเพณีและพิธีกรรมไทย 4 ภาค 38
1.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ประเพณีและพิธีกรรมภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ "บายศรีสู่ขวัญ" 39
1.3.1 บทสนทนา
1.3.2 คำศัพท์ 39
1.3.3 ประเพณีและพิธีกรรมภาคตะวันออdเฉียงเหนือ 39
40
"บายศรีสู่ขวัญ" 41
1.4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ประเพณีและพิธีกรรมภาคใต้ 42-44
"โนราโรงครู"
1.4.1 บทสนทนา
1.4.2 คำศัพท์
1.4.3 ประเพณีและพิธีกรรมภาคใต้ "โนราโรงครู"
1.5 แบบฝึกหัดท้ายบท เรื่อง ประเพณีและพิธีกรรม
บรรณานุกรม
สารบัญ ง
บทที่ 1
เรื่อง ระดับภาษา
บทที่ 1 ระดับภาษา
ความหมายของระดับภาษา
ระดับภาษา คือ ความแตกต่างของภาษา ทั้งภาษาพู ด ภาษาเขียน และภาษาท่าทาง ซึ่งควรใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคล
และกาลเทศะในการสื่อสารราชาศัพท์ซึ่งได้แก่ ระเบียบการใช้ถ้อยคำให้เหมาะแก่ระดับของบุคคล ซึ่งล้วนเกี่ยวเนื่องกับระดับภาษาด้วย
ทั้งสิ้น ระดับภาษาแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้
1. ภาษาระดับพิธีการ
ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ มีความประณีตงดงาม อาจใช้
ประโยคที่ซับซ้อน และใช้คำระดับสูง ภาษาระดับนี้ จะใช้ในโอกาสสำคัญๆ เช่น งานราชพิธี วรรณกรรมชั้นสูง เป็นต้น
บทสนทนา : ภาษาระดับพิธีการ
ครู : นักเรียนรู้จักภาษาระดับพิธีการไหมครับ
นักเรียนชาย : รู้จักครับ
นักเรียนหญิง : รู้จักค่ะ
ครู : ไหนไหนลองอธิบายให้ครูฟังหน่อยได้ไหม
นักเรียน : ได้ครับ / ค่ะ ภาษาระดับพิธีการเป็นภาษาที่ใช้ในพิธีการ โดยจะเลือกแต่คำไพเราะและเป็น
ทางการมาใส่ครับ / ค่ะ
ครู : ถูกต้อง เก่งมาก และนักเรียนรู้ไหมครับว่าจะใช้ในโอกาสใดบ้าง
นักเรียนชาย : ไม่รู้เลยครับครู
นักเรียนหญิง : หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ
ครู : ถ้าอย่างนั้นเราไปเรียนรู้พร้อมกันเลยดีกว่า ไปกันเลยครับนักเรียน
คำศัพท์
ภาษาระดับพิธีการ หมายถึง เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ มีความประณีตงดงาม อาจใช้ประโยคที่
ซับซ้อน และใช้คำระดับสูง
ภาษา หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้พู ดหรือเขียนเพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน หรือเพื่อสื่อความเฉพาะ
วงการ เช่น ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม
พิธีการ หมายถึง การที่เกี่ยวกับพิธีและแบบหนังสือทางทูต เช่น กรมพิธีการทูต
รู้จัก หมายถึง เคยพบเคยเห็นและจำได้ เช่น คนกรุงเทพฯ รู้จักวัดพระแก้วดี แม้เด็ก ๆ ก็ยังรู้จักหนูและแมว
อธิบาย หมายถึง ไขความ, ขยายความ, ชี้แจง
โอกาส หมายถึง เวลาที่เหมาะ, จังหวะ
เรียนรู้ หมายถึง เข้าใจความหมายของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยประสบการณ์
นักเรียน หมายถึง ผู้ศึกษาเล่าเรียน
ครู หมายถึง ผู้สั่งสอน หรือถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์
ไพเราะ หมายถึง เพราะ, น่าฟัง, เสนาะหู
ทางการ หมายถึง ระเบียบปฏิบัติที่ตั้งไว้เป็นแนวทาง, ราชการ
ระดับภาษา 2
2. ภาษาระดับทางการ
ภาษาระดับทางการ หรือ ภาษาทางการ/ภาษาราชการ เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
เน้นความชัดเจน ตรงประเด็น ใช้ในโอกาสสำคัญที่เป็นทางการ เช่น หนังสือราชการ วิทยานิพนธ์ รายงานทางวิชาการ การกล่าว
ปราศรัย การกล่าวเปิดงานสำคัญๆ เป็นต้น
บทสนทนา : ภาษาระดับทางการ
ครู : วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องภาษาระดับทางการกันนะคะเด็กๆ ก่อนอื่นครูจะขอแบ่งกลุ่มนะคะ ออกเป็นทั้งหมด
5 กลุ่ม ให้ยกตัวอย่างคำที่เป็นภาษาระดับทางการมาคนละ 1 คำ แล้วมาอภิปรายร่วมกันหน้าชั้นเรียนนะคะ เริ่ม
เลยค่ะ
หัวหน้ากลุ่ม : ทุกคนลองยกตัวอย่างคำในภาษาทางการมาคนละสองคำสิ
สมาชิกลุ่ม 1 : บิดา มารดา
สมาชิกลุ่ม 2 : โรงภาพยนตร์ หนังสือรับรอง
สมาชิกลุ่ม 3 : กระผม ดิฉัน
หัวหน้ากลุ่ม : ถูกต้องเลยทุกคน เดี๋ยวเราจะเป็นคนจดบันทึกใส่กระดาษ แล้วทุกคนช่วยกันออกไปนำเสนอทีนะ
คำศัพท์
ภาษาระดับทางการ หมายถึง ภาษาทางการ/ภาษาราชการ เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เน้นความ
ชัดเจน ตรงประเด็น
ทางการ หมายถึง ระเบียบปฏิบัติที่วางไว้เป็นแนวทาง, ฝ่ายที่เป็นกิจการ
กลุ่ม หมายถึง คน สัตว์ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นหมู่ ๆ หรือเป็นกลุ่มก้อน เช่น กลุ่มคน กลุ่มดาว
อภิปราย หมายถึง พู ดชี้แจงแสดงความคิดเห็น
บิดา หมายถึง พ่อ (ใช้ในภาษาทางการ)
มารดา หมายถึง แม่ (ใช้ในภาษาทางการ)
ภาพยนตร์ หมายถึง ภาพฉายด้วยเครื่องทำให้เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวได้, หนังฉาย
หนังสือรับรอง หมายถึง หนังสือที่ส่วนราชการออกให้เพื่อรับรองแก่บุคคล นิติบุคคล หรือ หน่วยงาน เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่ง
อย่างใดให้ปรากฏแก่บุคคลโดยทั่วไปไม่จำเพาะเจาะจง
กระผม หมายถึง คำใช้แทนตัวผู้พู ด เพศชาย พู ดกับผู้ใหญ่, เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1
ดิฉัน หมายถึง คำใช้แทนตัวผู้พู ด เพศหญิง เป็นคำสุภาพ, เป็นสรรพนามบุรุษที่
3. ภาษาระดับกึ่งทางการ
ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับนี้คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็นการเป็นงานลงบ้าง มักใช้ในการ
ประชุมกลุ่ม ที่เล็กกว่าการประชุมที่ต้องใช้ภาษาระดับทางการ เช่น ในการประชุมกลุ่มย่อย การบรรยายในห้องเรียน เนื้อหาข่าวและ
บทความในหนังสือพิมพ์ มักใช้ภาษาที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยมากกว่าภาษาในระดับทางการ และใช้ศัพท์เฉพาะเท่าที่จำเป็น
บทสนทนา : ภาษาระดับกึ่งทางการ
ครู : นักเรียนรู้ไหมว่าภาษาระดับกึ่งทางการคืออะไร
นักเรียน 1 : รู้ครับ/ค่ะ ภาษากึ่งทางการคือภาษาที่สุภาพแต่ไม่เคร่งครัดเหมือนภาษาทางการ ครับ/ ค่ะ
ครู : ไหนลองตัวอย่างคำมาสักสามคำครับ/ค่ะ
นักเรียน 1 : ใบรับรอง ใบขับขี่ และ สแตมป์ครับ/ค่ะ
นักเรียน 2 : ตีตรา ปลงศพ หัว ครับ/ค่ะ
นักเรียน 3 : กิน ผม เธอ ครับ/ค่ะ
ครู : เก่งมากครับ/ค่ะ
3 ระดับภาษา
คำศัพท์
ภาษาระดับกึ่งทางการ หมายถึง เป็นภาษาที่ยังคงความสุภาพแต่ไม่เคร่งครัดแบบภาษาทางการบางครั้ง อาจใช้ภาษาระดับสนทนามา
ปนอยู่ด้วย มันใช้ในการติดต่อธุรกิจการงาน หรือใช้สื่อสารกับบุคคลที่ไม่คุ้นเคย หรือ มี คุณวุฒิ และ วัยวุฒิสูงกว่า หรือการบรรยาย
การประชุมต่างๆ
นักเรียน หมายถึง ผู้ศึกษาเล่าเรียน, ผู้รับการศึกษาจากโรงเรียน
ใบรับรอง หมายถึง เอกสารที่แสดงการรับรอง เช่น ใบรับรองแพทย์
ใบขับขี่ หมายถึง ใบอนุญาตขับรถ
สแตมป์ หมายถึง เป็นหลักฐานการชำระค่าบริการไปรษณีย์ มักเป็นกระดาษรูปสี่เหลี่ยมเพื่อติดบนซองจดหมาย
ตีตรา หมายถึง ประทับตราในภาษาระดับกึ่งทางการ
ปลงศพ หมายถึง เผาผี, จัดการเผาหรือฝังศพให้เสร็จสิ้นไป
กิน หมายถึง เคี้ยว เช่น กินหมาก เคี้ยวกลืน เช่น กินข้าว ดื่ม เช่น กินนํ้า ทำให้ล่วงลำคอลงไปสู่กระเพาะ
ผม หมายถึง คำใช้แทนตัวผู้พู ด เพศชาย ใช้พู ดโดยสุภาพ, เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1
เธอ หมายถึง คำใช้แทนผู้ที่เราพู ดด้วย มักใช้ในระหว่างเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน
4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ
ภาษาระดับไม่เป็นทางการ เป็นภาษาที่ไม่เคร่งครัดตามแบบแผน เพื่อใช้ในการสื่อสารทั่วไปในชีวิตประจำวันหรือโอกาส
ทั่วๆ ไปที่ไม่เป็นทางการ ใช้ในการสนทนาระหว่างบุคคลหรือกลุ่มเล็กๆ ในสถานที่และโอกาสที่ไม่เป็นการส่วนตัว เช่น ในการเขียน
จดหมายระหว่างเพื่อน ภาษาที่ใช้อาจมีถ้อยคำที่เคยใช้กันเฉพาะกลุ่ม
บทสนทนา : ภาษาระดับไม่เป็นทางการ
ครู : วิไล ไหนเธอลองยกตัวอย่างคำภาษาระดับไม่เป็นทางการให้ครูฟังหน่อย
วิไล : ได้ค่ะ เช่นคำว่า ทะเลาะ ผัว เมีย พู ดโกหก และหมาค่ะ
ครู : เก่งมาก มีใครอยากเสริมอีกไหม ?
มาลี : เผาศพ พ่อ แม่ ปั๊ มตรา ครับ/ค่ะ
ครู : เก่งมาก ทุกคนปรบมือให้เพื่อนหน่อย
คำศัพท์
ภาษาระดับไม่เป็นทางการ หมายถึง ภาษาที่มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบทั่วไป ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่
ส่วนตัว อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคา สานวนที่ทาให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการ หรือภาษาที่ใช้กัน
เฉพาะกลุ่ม
ทะเลาะ หมายถึง ทุ่มเถียงกันด้วยความโกรธ, โต้เถียงกัน, เป็นปากเป็นเสียงกัน
ผัว หมายถึง สามี, ชายที่เป็นคู่ครองของหญิง คู่กับ เมีย
เมีย หมายถึง ภรรยา, หญิงที่เป็นคู่ครองของชาย คู่กับ ผัว
พู ดโกหก หมายถึง จงใจกล่าวคำที่ไม่จริง พู ดปด พู ดเท็จ (มักใช้ในที่ไม่สุภาพ)
หมา หมายถึง ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมหลายชนิดหลายสกุลในวงศ์ Canidae ลำตัวมีขนปกคลุมมีเขี้ยว ๒ คู่ มีทั้งที่เป็นสัตว์ป่า
และสัตว์เลี้ยง
เผาศพ หมายถึง เผาผี, จัดการเผาหรือฝังศพผู้ตายตามประเพณี
พ่อ หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูก หรือเป็นคำที่ลูกใช้เรียกผู้ชายที่ให้กำเนิดเลี้ยงดูตน
แม่ หมายถึง หญิงผู้ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดูลูก หรือเป็นคำที่ลูกเรียกหญิงผู้ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดูตน
เสริม หมายถึง เพิ่ม เติม ต่อเติม หนุน
ระดับภาษา 4
5. ภาษาระดับกันเอง
ภาษาระดับกันเองหรือภาษาปาก เป็นภาษาพู ดที่ใช้สนทนากับบุคคลที่สนิทคุ้นเคย ใช้สถานที่ส่วนตัว หรือในโอกาสที่
ต้องการความสนุกสนานครื้นเครง ภาษาที่ใช้เป็นภาษาพู ดที่ไม่เคร่งครัด อาจมีคำตัด คำสแลง คำด่า คำหยาบปะปน โดยทั่วไปไม่นิยม
ใช้ในภาษาเขียน ยกเว้นเขียนบางประเภท เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย ภาษาข่าวหนังสือพิมพ์ ฯลฯ
บทสนทนา : ภาษาระดับกันเอง
แม่ : แก้ว วันนี้หลังเลิกเรียนแล้ว มีกิจกรรมอะไรมั้ย?
แก้ว : ไม่มีนะแม่ แม่มีอะไรรึเปล่า?
แม่ : ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้น เลิกเรียนแล้วแวะบ้านป้าด้วยนะ
แก้ว : หืม แวะทำไมคะ แม่มีธุระอะไรรึเปล่า?
แม่ : อ้าว! แวะไปชวนป้ามาทานข้าวเที่ยงที่บ้านเราในวันอาทิตย์นี้งัย
แก้ว : อ้อโอเคค่ะ งั้นหนูไปโรงเรียนก่อนนะ
แม่ : ไปดีมาดีนะลูก
คำศัพท์
ภาษาระดับกันเอง หมายถึง เป็นภาษาพู ดที่ใช้สนทนากับบุคคลที่สนิทคุ้นเคย ใช้สถานที่ส่วนตัว หรือในโอกาสที่ต้องการความ
สนุกสนานครื้นเครง
กิจกรรม หมายถึง การปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อเสริมทักษะการเรียนรู้ และสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นต้น
มั้ย หมายถึง ไหม ใช้ในภาษาระดับกันเอง
อะไร หมายถึง คำใช้แทนนาม แสดงคำถาม เช่น อะไรอยู่ในตู้ คำใช้แทนนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ
รึเปล่า หมายถึง หรือเปล่า ใช้ในภาษาระดับกันเอง
แวะ หมายถึง หยุดชั่วคราวระหว่างทาง เช่น แวะตลาดก่อนกลับบ้าน แวะรับส่งคนโดยสาร
ธุระ หมายถึง เรื่อง เรื่องส่วนตัว เช่น นี่เป็นธุระของฉัน ไม่ใช่ธุระของคุณ
ชวน หมายถึง จูงใจ โน้มนำ เช่น ชวนกิน หรือ ชักนำ ขอให้ทำตาม เช่น ชวนไปเที่ยว
เที่ยง หมายถึง เรียกเวลากึ่งกลางของกลางวันที่พระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ
โรงเรียน หมายถึง สถานศึกษาเล่าเรียนในระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา
5 ระดับภาษา
ตารา
งสรุประดับภาษา
ระดับภาษา โอกาสและสถานที่ ลักษณะภาษาที่ใช้
1. ระดับพิธีการ การเปิดประชุม กล่าวรายงาน การก มีลักษณะพิธีรีตอง ภาษาไพเราะ
2. ระดับทางการ ล่าวสุนทรพจน์ การกล่าวต้อนรับ สละสลวย
การกล่าวอวยพร
การอภิปรายหรือการประชุม รายงาน ภาษาทางการ ถ้อยคำตรงไป
วิชาการ ประกาศทางการ จดหมาย ตรงมา มีศัพท์เทคนิค หรือศัพท์
ราชการ จดหมายธุรกิจ วิชาการบ้าง
3. ภาษาระดับกึ่งทางการ การประชุมกลุ่มย่อย การอภิปราย ใช้ภาษาเขียน แต่มีภาษาพู ดอยู่
การเสวนา การบรรยายในห้องเรียน บ้าง
4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ บทความแสดงความคิดเห็นใน ใช้ภาษาพู ดและสุภาพ การ
นิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ รายการ สนทนาโต้ตอบไม่เกิน 5 คน ใน
สาระบันเทิงทางโทรทัศน์ การปรึกษา สถานที่ไม่ใช่ส่วนตัว
หารือกัน
5. ภาษาระดับกันเอง การสนทนาเรื่องส่วนตัว การทักทาย ใช้ภาษาพู ด อาจมีคำคะนอง
ระหว่างเพื่ อนสนิท หรือภาษาถิ่นในวงจำกัด
ระดับภาษา 6
แบบ
ฝึกหัดท้ายบท เรื่อง ระดับภาษา
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกระดับภาษาที่ครูกำหนดให้เติมลงในช่องว่างให้ถูกต้องให้สอดคล้องกับข้อความ
ภาษาแบบทางการ ภาษาแบบพิ ธีการ ภาษาแบบพิ ธีการ
ภาษาแบบไม่เป็นทางการ ภาษาแบบกันเอง
1. ลูกชายของเขาทั้งสามคนหน้าตาพอไปวัดไปวาได้
2. สตอเบอร์รี่มีรสเปรี้ยวจี๊ด
3. รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย
4. ริสาให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
5. เนื้อสุกรขายปลีกกิโลกรัมละ 250 บาท
6. ฟุ ตบอลนัดนี้ สบายใจหายห่วง
7. บัณฑิตทุกคนเมื่อสำเร็จการศึกษาควรมีความพร้อมในการประกอบกิจการงานในหน้าที่ต่างๆ
8. กราบเรียนท่านผู้อำนวยการโรงเรียน กระผมมีความยินดียิ่งที่ท่านผู้อำนวยการให้เกียรติ
มาเป็นประธานในพิ ธีในงานครั้งนี้
9. เท่าที่พบการทำงานส่งครูของนักเรียนแย่มากจริงๆ
10. ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตทุกคน ที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จในครั้งนี้
7 แบบฝึกหัด เรื่อง ระดับภาษา
บทที่ 2
เรื่อง ภาษาพู ด ภาษาเขียน
บทที่ 2 ภาษาพู ด ภาษาเขียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ภาษาพู ด
ความหมายของภาษาพู ด
ภาษาพู ด หรือภาษาปาก เป็นภาษาที่ใช้พู ดกันในกลุ่มคนพวกเดียวกัน เช่น กลุ่มเพื่อน จึงไม่เคร่งครัดเรื่องข้อบังคับ
ใช้ภาษาแสลง อาจไม่สุภาพบ้าง หยาบคายบ้าง ภาษาปากอาจนำไปใช้ในการเขียนได้ เช่น เป็นคำพู ดตัวละครในนิยาย บทละคร บท
ภาพยนตร์ เพื่อความสมจริงของงานนั้นๆ
1. ภาษาพู ดสามารถเลือกใช้ถ้อยคำได้หลายระดับขึ้นกับโอกาสที่พู ดและฐานะชองบุคคลที่สื่อสารด้วยแต่จะไม่เคร่งครัด
มากนัก
2. ระดับภาษาที่จัดเป็นภาษาพู ด ได้แก่ ระดับสนทนา ภาษาระดับกันเอง
บทสนทนาภาษาพู ด
แซน : ทีนวันเสาร์นี้ว่างมั้ย
ทีน : ว่างนะจะไปไหนกันหรอ
แซน : อ๋อ เราจะชวนทีนไปเที่ยวทะเลใกล้บ้านไปด้วยกันมั้ย
ทีน : โอเค วันเสาร์นี้เราว่างเราจะไปด้วย
แซน : เยี่ยม ! ไว้เจอกันวันเสาร์นะ
ทีน : โอเค ไว้เจอกัน
คำศัพท์
ว่าง หมายถึง ไม่มีภาระผูกพัน เช่น วันนี้ว่างทั้งวัน เย็นนี้หมอว่างไม่มีคนไข้
ไป หมายถึง เคลื่อนจากตัวผู้พู ด เช่น เขาไปตลาด
ไหน หมายถึง เป็นคำถามเชิงตัดพ้อต่อว่า ทวงถาม หรือสงสัย เป็นต้น
เที่ยว หมายถึง ไปไหน ๆ เพื่อความเพลิดเพลินตามสบาย เช่น ไปเที่ยวงานกาชาด กิริยาที่ไปที่โน่นที่นี่เรื่อยไป เช่น ฉันเที่ยวตามหาเธอ
ทั้งวัน กิริยาที่ไปหรือทำในหลายที่ทั่ว ๆ ไป ใช้ประกอบกับกริยาอื่น ผู้พู ดพู ดในทำนองไม่เห็นด้วยว่าควรทำ เช่น เรื่องนี้เป็นความลับ
อย่าเที่ยวพู ดไปนะ
เจอ หมายถึง พบ เห็น ประสบ ประจวบ
โต้คลื่น หมายถึง กีฬาที่ต้องใช้กระดานโต้คลื่นเป็นอุปกรณ์หลักในการเล่น โดยผู้เล่นจะนำกระดานโต้คลื่นออกไปในทะเลเพื่อจะว่ายน้ำ
จับคลื่นไปในทิศทางเดียวกับการเคลื่อนที่ของคลื่น
ดำน้ำ หมายถึง ทำตัวให้จมไปใต้ผิวน้ำ เช่น ดำน้ำลงไปจับกุ้ง
ปะการัง หมายถึง ชื่อสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิด ในชั้น Anthozoa ส่วนมากตัวมีขนาดเล็ก พวกเดียวกับดอกไม้ทะเล รูป
ทรงกระบอก อาศัยอยู่เดี่ยว ๆ หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สร้างหินปูนห่อหุ้มตัวเป็นโครงร่างหลายแบบ อาศัยและเจริญเติบโตในทะเลเขต
ร้อน บริเวณชายฝั่ งและรอบ ๆ เกาะ
ทะเล หมายถึง แหล่งน้ำเค็มขนาดใหญ่อยู่ขอบ ๆ ของมหาสมุทรและมีขนาดเล็กกว่ามหาสมุทร
หาด หมายถึง เนินที่ลาดลงไปในนํ้าหรือบริเวณที่ตื้นเขินเป็นเนินอยู่กลางนํ้า ส่วนมากเป็นเนินทราย
ใกล้ หมายถึง จวน เกือบ เคียง ไม่ห่าง
9 ภาษาพู ด ภาษาเขียน 7
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ภาษาเขียน
ความหมายของภาษาเขียน
ภาษาเขียน มีลักษณะเคร่งครัดในหลักภาษา มีทั้งระดับเคร่งครัดมาก เรียกว่า ภาษาแบบแผน เช่น การเขียนภาษาเป็น
ทางการจนถึงระดับไม่เคร่งครัดมากนัก เรียกว่า ภาษากึ่งแบบแผน หรือภาษาไม่เป็นทางการ
1. ระดับภาษาที่จัดเป็นภาษาเขียน ได้แก่ ภาษาระดับพิธีการ ระดับมาตรฐานราชการ
2. ภาษาระดับกึ่งทางการอาจจัดเป็นภาษาเขียนที่ไม่เคร่งครัดนัก หรือจัดเป็นภาษาที่ค่อนข้างเป็นทางการหรือใช้
ในโอกาสสำคัญ
บทสนทนาภาษาเขียน
ว่าน : บอย เธอได้ทำแบบฝึกหัดยกตัวอย่างภาษาเขียนแล้วแต่งประโยคเสร็จแล้วหรือยัง
บอย : เสร็จแล้วๆ
ว่าน : เธอยกตัวอย่างคำว่าอะไรบ้าง?
บอย : เรายกตัวอย่าง คำว่า ใช่ไหม อย่างไร แจ้งให้ทราบ โดยสาร แล้วก็ พนักงาน แล้วว่านล่ะ?
ว่าน : เราทำเสร็จแล้ว เรายกตัวอย่างคำว่า รถประจำทาง หรือ ประสงค์ เสื่อมลง แล้วก็ โทรทัศน์
บอย : โอเค
คำศัพท์
ภาษาเขียน หมายถึง ภาษาเขียนที่ลักษณะเคร่งครัด ในหลักทางภาษา เรียกว่า ภาษาแบบแผน ระดับไม่ เคร่งครัดมากนัก เรียกว่า
ภาษากึ่งแบบแผน หรือ ภาษาไม่เป็นทางการ
อย่างไร หมายถึง คำใช้ในประโยคคำถาม ถามถึงความเป็นไป ความเป็นอยู่ เช่น คนไข้มีอาการอย่างไร หมู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง หรือ
ถามถึงวิธีหรือความเห็นเป็นต้น เช่น จะทำอย่างไร มีความเห็นอย่างไร
แจ้งให้ทราบ หมายถึง แสดงให้รู้ บอกให้รู้ เช่น แจ้งให้ทราบถึงความประสงค์
พนักงาน หมายถึง ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงาน เช่น พนักงานรัฐวิสาหกิจ
รถประจำทาง หมายถึง รถโดยสารที่วิ่งอยู่บนเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งเป็นปกติ
หรือ หมายถึง คำบอกความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น จะเอาเงินหรือทอง คำประกอบกับประโยคคำถาม เช่น ไปหรือ
ประสงค์ หมายถึง ต้องการ อยากได้
โทรทัศน์ หมายถึง ระบบโทรคมนาคมสำหรับการกระจายและรับภาพเคลื่อนไหวและเสียงระยะไกล
โดยสาร หมายถึง เดินทางไปโดยยานพาหนะโดยเสียค่าเดินทาง เช่น โดยสารรถเมล์
เสื่อมลง หมายถึง หย่อนลง ไม่ดีเหมือนเดิม
8 ภาษาพู ด ภาษาเขียน 10
ข้อเปรียบเทียบภาษาพู ดและภาษาเขียน
1. ภาษาพู ดเป็นภาษาเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะวัย เช่น ภาษาเขียน
วัยรุ่น
ภาษาพู ด
วัยโจ๋ เยี่ยมมาก
เจ๋ง ผิดหวัง
แห้ว
เริ่ด ดี
2. ภาษาพู ดมักเป็นภาษาไทยแท้ คือ ภาษาชาวบ้าน เข้าใจง่าย เป็นภาษากึ่งแบบแผน เช่น
ภาษาพู ด ภาษาเขียน
ผัวเมีย สามี ภรรยา
ดาราหนัง ดาราภาพยนตร์
เมียน้อย อนุภรรยา
เกือก
รองเท้า
11 ภาษาพู ด ภาษาเขียน 9
3. ภาษาพู ดมักเปลี่ยนแปลงเสียวสระและเสียงพยัญชนะ รวมทั้งนิยมตัดคำให้สั้นลง เช่น
ภาษาพู ด ภาษาเขียน
เริ่ด เลิศ
เพ่ พี่
จริงอะป่าว จริงหรือเปล่า
4. ภาษาพู ดมักเป็นคำยืมจากภาษาต่างประเทศ และมักตัดคำให้สั้นลง เช่น
ภาษาพู ด ภาษาเขียน
เว่อร์ (Over) เกินควร เกินกำหนด
จอย (Enjoy) สนุก เพลิดเพลิน
ก๊อบ (Coppy) สำเนา
ซีร็อก (xerox) ถ่ายสำเนาเอกสาร
ดิก (dictionary) พจนานุกรม
10 ภาษาพู ด ภาษาเขียน 12
แบบฝึก
หัดท้ายบท เรื่อง ภาษาพู ดและภาษาเขียน
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเติมคำที่เป็นภาษาพู ดและภาษาเขียนลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
ข้อ ภาษาพู ด ภาษาเขียน ข้อ ภาษาพู ด ภาษาเขียน
1 หมู
11 ตาย
2
12
3 โรงบาล สุนัข 13
เพลิงไหม้
4 หมอ
14 ยังไง สถานีตำรวจ
5 ในหลวง
15 เค้า
6
16 กิโล,โล
7
17
8
บุตร 18 วิทลัย
9 กล้วย ต่างประเทศ 19 กบกินเดือน มหาวิทยาลัย
10 ปวดหัว เครื่องปรับอากาศ 20 ปั๊ ม
13 แบบฝึกหัด เรื่อง ภาษาพู ด ภาษาเขียน 11
บทที่ 3
เรื่อง เพลงพื้นบ้าน
บทที่ 3 เพลงพื้นบ้าน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความหมายของเพลงพื้นบ้าน
ความหมายของเพลงพื้ นบ้าน
เพลงพื้นบ้าน คือ เพลงของชาวบ้านที่จดจำสืบทอดกันมาแบบปากเปล่า ใช้ร้องเล่น เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง ใช้คำ
ที่ง่าย ๆ เน้นเสียงสัมผัสและจังหวะการร้องเป็นสำคัญ ใช้เครื่องประกอบจังหวะง่าย ๆ ที่สำคัญต้องมีเสียงร้องรับของลูกคู่ทำให้เกิด
ความสนุกสนานมากขึ้น
ประเภทของเพลงพื้ นบ้าน
เพลงพื้นบ้านภาคเหนือ ผูกพันอยู่กับชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เพลงที่ยังร้องเล่นมี 3 ประเภท
1. เพลงสำหรับเด็ก มีเพลงกล่อมเด็ก และเพลงร้องเล่น 2. จ๊อย เป็นเพลงที่ชายหนุ่มใช้ร้องเกี้ยวสาวในตอนกลางคืน และ 3. ซอ
เป็นเพลงที่ชายและหญิงร้องโต้ตอบกัน หรือร้องเป็นเรื่องนิทาน
เพลงพื้นบ้านภาคกลาง เป็นเพลงที่หนุ่มสาวใช้ร้องโต้ตอบกัน มีคนร้องนำเพลงฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ส่วนคนอื่นๆ
เป็นลูกคู่ร้องรับ ให้จังหวะด้วยการปรบมือ เช่น เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเต้นกำ เพลงพวงมาลัย เพลงระบำ เพลงเหย่อย
เพลงแห่นาค เพลงลำตัด เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงขอทาน เพลงสำหรับเด็ก
เพลงพื้นบ้านภาคอีสาน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว ร้องเพลงหมอลำ 2. เพลง
พื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมเขมร-ส่วย ร้องเพลงเจรียง เป็นภาษาเขมร และ 3. เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราชร้องเพลงโคราช
เพลงพื้นบ้านภาคใต้ มีจำนวนไม่มากนัก เช่น เพลงเรือ เล่นในงานชักพระหรือแห่พระ ชายและหญิงร้องโต้ตอบกันใน
เรือ เพลงบอก เป็นเพลงที่เล่นในเทศกาลสงกรานต์ เดินไปร้องตามบ้านเพื่ออวยพรปีใหม่และยกย่องเจ้าของบ้านเพลงร้องเรือหรือ
เพลงชาน้อง เป็นเพลงกล่อมเด็กให้นอน เนื้อเพลงร้องขึ้นต้นว่า “ฮาเอ้อ” และลงท้ายวรรคแรกว่า “เหอ”
ลักษณะของเพลงพื้ นบ้าน
1. สืบทอดจากปากสู่ปากอาศัยการฟังและจำ ไม่มีการจดบันทึก
2. เป็นเพลงที่ไม่มีต้นกำเนิดที่แน่นอน เนื้อร้องใช้คำ สำนวนโวหาร และความเปรียบง่าย ๆ ทำนองจำนวนคำ และ
สัมผัสไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ให้ความสำคัญกับเสียง และจังหวะการร้องมากกว่า
3. ใช้การปรบมือหรือมีเครื่องประกอบจังหวะง่าย ๆ ได้แก่ กรับ ฉิ่ง กลอง บางครั้งก็ไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีชนิดใดเลย
นอกจากเสียงเอื้อน
คุณค่าของเพลงพื้ นบ้าน
1. ให้ความสนุกสนานก่อให้เกิดความรักและความสามัคคีกัน
2. สะท้อนวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นนั้น
3. การฝึกร้องและเรียนรู้เพลงพื้นบ้าน ยังเป็นการช่วยให้ผู้ร้องมีไหวพริบปฏิภานดีในการแก้ปัญหาในการโต้ตอบเพลง
บทสนทนาเกี่ยวกับเพลงพื้ นบ้าน
วิว : ดาว ทำการบ้านเรื่องเพลงพื้นบ้านเสร็จแล้วหรือยัง
ดาว : เราทำเสร็จแล้วนะ แล้ววิวทำเสร็จแล้วหรือยัง
วิว : ยังเลย เรายังไม่รู้ความหมายของเพลงพื้นบ้านน่ะ
ดาว : เดี๋ยวเราบอกให้ เพลงพื้นบ้านก็คือเพลงที่ชาวบ้านจำกันแบบปากเปล่า
วิว : โอเคว่าแต่ดาวลองยกตัวอย่างเพลงพื้นบ้านให้เราหน่อยได้ไหม
ดาว : โอเคมีเยอะมากเลยล่ะ เช่น เพลงลำตัด เพลงโนเนโนนาด เพลงแอ่วเคล้าซอ เพลงแห่เจ้าบ่าว
เพลงพาดควาย เป็นต้น
วิว : ขอบคุณมากๆเลยนะดาว
ดาว : ยินดีจ้า
15 เพลงพื้นบ้าน
คำศัพท์
เพลงพื้นบ้าน หมายถึง เพลงของชาวบ้านที่จดจำสืบทอดกันมาแบบปากเปล่า ใช้ ร้องเล่น เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง ใช้คำที่ง่าย ๆ
เน้นเสียงสัมผัสและจังหวะการ ร้องเป็นสำคัญ ใช้เครื่องประกอบจังหวะง่าย ๆ ที่สำคัญต้องมีเสียงร้องรับของลูกคู่ ทำให้เกิดความ
สนุกสนานมากขึ้น
เพลง หมายถึง สำเนียงขับร้อง ทำนองดนตรี บทประพันธ์ดนตรี
การบ้าน หมายถึง งานที่ครูกำหนดให้นักเรียนไปทำที่บ้าน งานที่เกี่ยวกับบ้าน
มาก หมายถึง หลาย ตรงกันข้ามกับ น้อย เช่น คนมาก น้ำมาก กินมาก
จำ หมายถึง กำหนดไว้ในใจ ระลึกได้ เช่น จำหน้าได้
ตัวอย่าง หมายถึง สิ่งที่นำมาอ้างเพื่อแสดงให้เห็นลักษณะที่เป็นส่วนรวมทั้งหมด เช่น ยกตัวอย่าง
เยอะ หมายถึง มากเหลือหลาย ถมไป เช่น อาหารมีเยอะ ข้าวของเยอะแยะ
ชาวบ้าน หมายถึง ผู้ที่อยู่ในพื้นถิ่นหนึ่ง ๆ เช่น ชาวบ้านแถบอัมพวา ประชาชนทั่วไป เช่น ชาวบ้านอย่างเราจะไปรู้เรื่องอะไร ผู้ที่อยู่ใกล้
ชิดธรรมชาติ และมีวิถีชีวิตแบบบรรพกาล, ผู้ที่มีชีวิตแบบเรียบง่าย ธรรมดา มักจะด้อยการศึกษา
เพลงลำตัด หมายถึง เพลงพื้นบ้านภาคกลางชนิดหนึ่งของไทย ซึ่งนิยมร้องกันในเขตภาคกลาง(สุพรรณบุรี) ทั้งนี้ มีต้นตอมาจาก
“ลิเกบันตน” ของชาวมลายู ในต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยลิเกบันตนดังกล่าว
เพลงแอ่วเคล้าซอ หมายถึง เพลงพื้นบ้านสำคัญของไทย เป็นศิลปะการร้องคลอไปกับเสียงซอที่บรรเลง
เพลงพื้นบ้านไทย 4 ภาค
เพลงพื้ นบ้านภาคเหนือ
เพลงพื้นบ้านในของภาคเหนือ เป็นเพลงสนุกสนาน เช่น เพลง ค่าว ซึ่งเป็นบทขับร้องที่มีทำนองสูงต่ำ ไพเราะ เพลง
ซอ เป็นการ ขับร้องโต้ตอบเกี้ยวพาราสีกัน จ๊อย หรือการขับลำนำในโอกาสต่างๆ และทำฮ่ำหรือคำฮ่ำ ซึ่งเป็นการขับร้องหมู่ เป็นต้น
สามารถใช้ร้องเล่นได้ทุกโอกาส โดยไม่จำกัดฤดูหรือเทศกาลใดๆ ซึ่งจะใช้ร้องเพลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ และการพักผ่อนหย่อนใจ
โดยลักษณะการขับร้องและท่วงทำนองจะ อ่อนโยน ฟังดูเนิบนาบนุ่มนวล สอดคล้องกับเครื่องดนตรีหลัก ได้แก่ ปี่ ซึง สะล้อ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถจัดประเภทของเพลงพื้นบ้านของภาคเหนือได้ 3 ประเภท คือ
ซอ หมายถึง การร้องหรือการขับร้องเพลงพื้นบ้านของล้านนา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซอพื้นเมือง เป็นเพลง พื้นบ้าน
อย่างหนึ่งของชาวล้านนาไทยในจังหวัดภาคเหนือ และบางส่วนของจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์ และ ตาก การซอมีทั้งการโต้ตอบกันใน
ลักษณะบทเกี้ยวพาราสีระหว่างชายหญิงหรือซอเดี่ยวเพื่อเล่าเรื่องพรรณนา เหตุการณ์มีเครื่องดนตรีพื้นบ้านบรรเลงประกอบ ผู้ขับ
เพลงซอ หรือที่เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า “ช่างซอ” ที่ร้องโต้ตอบกันเรียกว่า “คู่ถ้อง” ช่างซอที่เป็น คู่ถ้องต้องเป็นผู้มีปฏิภาณไหว
พริบดีและได้รับการฝึกฝน จนชำนาญ เนื้อร้องของซอเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าขึ้นอยู่ กับสถานการณ์และโอกาสที่ไปแสดง เช่น ถ้า
ไปแสดงในงานบวชนาคช่างซอก็จะร้องเพลงซอพรรณนาเกี่ยวกับการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เป็นต้น
จ๊อย เป็นการนำบทประพันธ์ของภาคเหนือนำมาขับร้องเป็นทำนองสั้นๆ โดยเนื้อหาของคำร้องจะเป็นการระบายความ
ในภายในใจ แสดงอารมณ์ความรัก ความเงียบเหงา มีนักร้องเพียงคน เดียว และจะใช้ดนตรีบรรเลงหรือไม่ก็ได้ เช่น จ๊อยให้กับคนรัก
รู้คนในใจ จ๊อยประชันกันระหว่างเพื่อนฝูงและจ๊อยเพื่ออวยพรในโอกาสต่างๆ หรือจ๊อยอำลา
เพลงเด็ก มีลักษณะคล้ายกับเพลงเด็กของภาคอื่นๆ คือเพลงกล่อมเด็กเพลงปลอบเด็กและเพลงที่ เด็กใช้ร้องเล่น
กันได้แก่ เพลงฮื่อลูก และเพลงสิกจุงจา
ตัวอย่าง ซอนิทาน เรื่องน้อยไจยา
น้อยไจยา : ดวงดอกไม้ แบ่งบานสลอน ฝูงภมรแม่เผิ้งสอดไซ้
ดอกพิกุล ของพี่ต้นใต้ ลมพัดไม้ มารอดบ้านตู
รู้แน่ชัด เข้าสู่สองหู ว่าสีชมพู ถูกป้ำเค้าเนิ้ง
เค้ามันตาย ปลายมันเสิ้ง ลำกิ่งเนิ้ง ตายโค่นทวยแนว
ดอกพิกุล ก็คือดอกแก้ว ไปเป็นของเปิ้ น แล้วเน้อ
แว่นแก้ว : เต็มเค้าเนิ้ง กิ่งใบแท้เล่า ตามคำลมที่พัดออกเข้า
มีแต่เค้า ไหวหวั่นคลอนเฟือน
กิ่งมันแท้ บ่แส่เสลือนบ่เหมือนลมโชย รำเพยเชื่อนั้น
ใจของหญิง น้องหนิมเที่ยงมั่น บ่เป็นของเปิ้ น คนใด
ยังเป็นกระจก แว่นแก้วเงาใส บ่มีใจเหงี่ยง ชายเน้อ
เพลงพื้ นบ้าน 16
เพลงพื้ นบ้านภาคกลาง
เพลงพื้นบ้านภาคกลาง ส่วนใหญ่เป็นเพลงโต้ตอบหรือเพลงปฏิพากย์ เป็นเพลงที่หนุ่มสาวใช้ร้องโต้ตอบเกี้ยวพารา
สีกัน มักร้องกันเป็นกลุ่มหรือเป็นวง ประกอบด้วย ผู้ร้องนำเพลงฝ่ายชายและฝ่ายหญิงที่เรียกว่า พ่อเพลง แม่เพลง ส่วนคนอื่นๆ
เป็นลูกคู่ร้องรับ ให้จังหวะด้วยการปรบมือ หรือใช้เครื่องดนตรีประกอบจังหวะ เช่น กรับ ฉิ่ง เพลงโต้ตอบนี้ ชาวบ้านภาคกลางนำมา
ร้องเล่นในโอกาสต่างๆ ตามเทศกาล หรือในเวลาที่มารวมกลุ่มกัน เพื่อทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือบางเพลงก็ใช้ร้องเล่นไม่
จำกัดเทศกาล แบ่งได้ 5 กลุ่ม คือ
1. เพลงที่นิยมร้องเล่นในฤดูน้ำหลาก เทศกาลกฐินและผ้าป่า ในช่วงเทศกาลออกพรรษา ได้แก่
- เพลงเรือ (ร้องกันทั่วไปในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี)
- เพลงครึ่งท่อน เพลงไก่ป่า (ปรากฏชื่อในหนังสือเก่าก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าร้องอยู่แถบพระนครศรีอยุธยา)
- เพลงหน้าใย เพลงยิ้มใย เพลงโซ้ (นครนายก)
- เพลงรำพาข้าวสาร (ปทุมธานี)
- เพลงร่อยภาษา (กาญจนบุรี)
2. เพลงที่นิยมเล่นในเทศกาลเก็บเกี่ยว เป็นเพลงที่ร้องเล่นในเวลาลงแขกเกี่ยวข้าว และนวดข้าว ได้แก่
- เพลงเกี่ยวข้าว เพลงก้ม (อ่างทอง สุพรรณบุรี)
- เพลงเต้นกำ (อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา)
- เพลงเต้นกำรำเคียว (นครสวรรค์)
- เพลงจาก (อ.พนมทวน กาญจนบุรี)
- เพลงสงฟาง (สุพรรณบุรี กาญจนบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี)
- เพลงพานฟาง (สุพรรณบุรี กาญจนบุรี)
- เพลงสงคอลำพวน (กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี)
- เพลงชักกระดาน (กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม สิงห์บุรี อ่างทอง)
- เพลงโอก (ราชบุรี ใช้ร้องเล่นเวลาหยุดพักระหว่างนวดข้าว)
3. เพลงที่นิยมเล่นในเทศกาลสงกรานต์ เป็นเพลงที่ร้องเพื่อความสนุกสนาน รื่นเริง และบางเพลงเป็นเพลงที่ใช้
ประกอบการละเล่นของหนุ่มสาว ได้แก่
- เพลงพิษฐาน (พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ สุโขทัย กำแพงเพชร ตาก)
- เพลงพวงมาลัย (นครปฐม เพชรบุรี กาญจนบุรี อ่างทอง นครสวรรค์)
- เพลงระบำ เพลงระบำบ้านไร่ (พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี)
- เพลงฮินเลเล (พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ สุโขทัย พิษณุโลก)
- เพลงคล้องช้าง (สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม)
- เพลงช้าเจ้าหงส์ (พระนครศรีอยุธยา)
- เพลงช้าเจ้าโลม (นครสวรรค์ อุทัยธานี)
- เพลงเหย่อย (กาญจนบุรี)
- เพลงกรุ่น (อุทัยธานี พิษณุโลก)
- เพลงชักเย่อ (อุทัยธานี)
- เพลงเข้าผี (เกือบทุกจังหวัดของภาคกลาง)
- เพลงสังกรานต์ (เป็นเพลงใช้ร้องยั่วประกอบท่ารำ ไม่มีชื่อเรียกโดยตรง ในที่นี้ เรียกตามคำของยายทองหล่อ ทำเล
ทอง แม่เพลงอาวุโสชาวอยุธยา)
4. เพลงที่ใช้ร้องเวลามารวมกันทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง ได้แก่
- เพลงโขลกแป้ง (ร้องโต้ตอบกันเวลาลงแขกโขลกแป้งทำขนมจีน ในงานทำบุญ ของชาวอ่างทอง ชาวนครสวรรค์)
- เพลงแห่นาคหรือสั่งนาค (ร้องกันทั่วไปในภาคกลาง ในงานบวชนาคขณะแห่นาคไปวัดหรือรับไปทำขวัญนาค)
17 เพลงพื้นบ้าน
ตัวอย่าง เพลงเรือ
ชายเกริ่น : เอย เลียบเรือเรียง เข้าเคียงใกล้ หวังจะฝากน้ำใจ (ฮ้า ไฮ้) ของข้า (ชะ ชะ)
น้องจะรีบไปไหน ขอให้พายเบาเบา พี่จะได้มาพบเจ้า (ฮ้า ไฮ้) งามตา
พี่พายมานาน ให้แสนเหนื่อยหนัก พอได้พบนงลักษณ์ (ฮ้า ไฮ้) โสภา
ที่เหนื่อยก็หาย ที่หน่ายก็แข็ง กลับมีเรี่ยวมีแรง (ฮ้า ไฮ้) หนักหนา
ขอเชิญนวลน้อง มาร้องเล่นดังว่า ขอจงเผยวาจาสักคำ...เอย
ลูกคู่รับ : ขอจงเผยวาจาสักคำ เอย
ขอเชิญนวลน้องมาเล่นร้องดังว่า (ซ้ำ) ขอจงเผยวาจาสักคำเอย
เพลงพื้ นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เพลงพื้นบ้านภาคอีสาน ภาคอีสานเป็นแหล่งรวมกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันถึง 3 กลุ่ม จึงมีเพลงพื้นบ้านแบ่ง
เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว
2. เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมเขมร-ส่วย (กูย)
3. เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราช
เพลงพื้ นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว
กลุ่มชนกลุ่มนี้ ได้แก่ ประชาชนในจังหวัดหนองคาย อุดรธานี เลย สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มหาสารคาม
ร้อยเอ็ด ขอนแก่น ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และบางส่วนของจังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มชนนี้ใช้ภาษาถิ่น คือ ภาษา
อีสาน เพลงพื้นบ้านของกลุ่มวัฒนธรรมไทย- ลาว มี 2 ประเภท คือ หมอลำ และเซิ้ง
หมอลำ
หมอลำเป็นเพลงพื้นบ้านที่นิยมมากในภาคอีสาน ได้พัฒนาการแสดงเป็นคณะ มีการฝึกหัดเป็นอาชีพ รับจ้างไปแสดง
ในงานต่างๆ มีทำนองลำ เรียกตามภาษาถิ่นว่า “ลาย” ที่นิยมมีด้วยกัน 4 ลาย คือ
- ลายทางเส้น
- ลายทางยาว
- ลายลำเพลิน
- ลายลำเต้ย
เซิ้ง หรือลำเซิ้ง
คำว่า "เซิ้ง" หมายถึง การฟ้อนรำ เช่น เซิ้งกระติบ หรือทำนองเพลงชนิดหนึ่งเรียก ลำเซิ้ง เซิ้งทั่วไปมี 3 แบบ คือ
เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งเต้านางแมว และเซิ้งเต้านางด้ง การเซิ้งนี้มักจะเป็นกลุ่มย่อยๆ ตั้งกระบวนแห่ไปขอปัจจัย เพื่อร่วมทำบุญงานวัด
เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมเขมร-ส่วย (กูย)
เป็นกลุ่มประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และบางส่วนของจังหวัดบุรีรัมย์ มีภาษาของตนเอง คือ ภาษาเขมร
และภาษาส่วย(กูย) ซึ่งต่างไปจากภาษาถิ่นอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นโดยเฉพาะเพลงพื้นบ้านที่เรียกว่า “เจรียง” ซึ่ง
แปลว่า ร้อง หรือขับลำ
การเล่นเจรียงนั้นมีทั้งที่จัดเป็นคณะและเล่นกันเองตามเทศกาลแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
- เจรียงในวงกันตรึมวง ซึ่งเป็นวงดนตรีประกอบด้วย ปี่ ออ ปี่ ชลัย กลอง กันตรึม ฉิ่ง ฉาบ กรับ ปัจจุบันมีซออู้ และ
ซอด้วงด้วย เมื่อเจ้าภาพจัดหาวงกันตรึมมาเล่น ก็จะมีการร้องเพลง คือ เจรียงประกอบวงกันตรึม เนื้อร้องจะเลือกให้เข้ากับงานบุญ
กุศลนั้นๆ หรือตามที่ผู้ฟังขอมา
- เจรียงเป็นตัวหลัก ในวันเทศกาล ชาวบ้านที่มีอารมณ์ศิลปินจะจับกลุ่มร้องเจรียงที่จำสืบทอดกันมา ผลัดกันร้อง
และรำฟ้อนด้วย เช่น เจรียงตรุษ เจรียงนอรแกว (เพลงร้องโต้ตอบระหว่างชาย-หญิง)
เพลงพื้ นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราช
กลุ่มชนวัฒนธรรมไทยโคราช ได้แก่ ประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา และบางส่วนของจังหวัดบุรีรัมย์ เพลงพื้นบ้าน
ของชนกลุ่มนี้ คือ เพลงโคราช ปัจจุบันพัฒนาจากเพลงพื้นบ้านมาเป็นคณะหรือเป็นวง มีการฝึกหัดเป็นอาชีพ รับจ้างแสดงในงาน
บุญ งานมงคล งานแก้บนท้าวสุรนารี เนื้อร้องโต้ตอบระหว่างชาย-หญิง กลอนเพลงมีหลายแบบ เช่น เพลงคู่สอง เพลงคู่สี่ ใช้ปรบ
มือตอนจะลงเพลงแล้วร้อง “ไช ยะ”
16 เพลงพื้ นบ้าน 18
5. เพลงที่ร้องเล่นไม่จำกัดเทศกาล เป็นเพลงที่ร้องเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงในงานบุญประเพณีต่างๆ ร้องรำพัน
แสดงอารมณ์ความรู้สึก ร้องประกอบการละเล่น หรือร้องโดยที่มีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่
- เพลงเทพทอง (เป็นเพลงพื้นบ้านที่เก่าที่สุด ตามหลักฐานในวรรณคดีและหนังสือเก่าบันทึกไว้ว่า นิยมเล่นตั้งแต่
สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ จนถึง รัชกาลที่ ๖)
- เพลงลำตัด
- เพลงโนเนโนนาด
- เพลงแอ่วเคล้าซอ
- เพลงแห่เจ้าบ่าว
- เพลงพาดควาย
- เพลงปรบไก่
- เพลงขอทาน
- เพลงฉ่อย (มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น เพลงวง เพลงเป๋ เพลงฉ่า เพลงตะขาบ)
- เพลงทรงเครื่อง
- เพลงระบำบ้านนา
- เพลงอีแซว
- เพลงรำโทน
- เพลงสำหรับเด็ก (เพลงกล่อมเด็ก เพลงปลอบเด็ก เพลงประกอบการละเล่นเด็ก)
เพลงพื้นบ้านภาคกลางที่แพร่หลายได้ยินทั่วๆ ไป และมีพ่อเพลงแม่เพลงที่ยังจดจำร้องกันได้ 8 เพลง คือ
1. เพลงเรือ เพลงเรือเป็นเพลงที่ร้องเล่นในฤดูน้ำหลาก ช่วงเทศกาลกฐิน ผ้าป่า หรืองานนมัสการ งานบุญประจำปี
ของวัด ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลากชาวนาว่างเว้นจากการทำนารอน้ำลดและรวงข้าวสุกก็จะพากันพายเรือมาทำบุญไหว้พระและเล่นเพลง
2. เพลงเต้นกำ เพลงเต้นกำมีอยู่ทั่วไปแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนมากจะร้องเล่นระหว่างช่วงหยุดพักเมื่อเกี่ยวข้าว
ไปถึงอีกคันนาหนึ่งหรือมักเล่นตอนเย็นหลังเลิกเกี่ยวข้าวแล้ว ผู้เล่นจะยืนล้อมเป็นวงกลม หรืออาจยืนเป็นแถวหน้ากระดานหันหน้า
เข้าหากันมือซ้ายถือรวงข้าวมือขวาถือเคียว พ่อเพลงแม่เพลงอาจมีหลายคนช่วยกันร้องแก้หรือร้องโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามส่วนคนอื่นๆ
เป็นลูกคู่รับว่า "เฮ้ เอ้า เฮ้ เฮ้"
3. เพลงพิษฐาน เพลงพิษฐานนิยมเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมื่อหนุ่มสาวทำบุญตักบาตรที่วัดแล้วก็จะพากันเก็บ
ดอกไม้เข้าไปไหว้พระในโบสถ์ หญิงและชายนั่งคนละข้างมือถือพานดอกไม้เพลงขึ้นต้นด้วยคำว่า “พิษฐาน” มาจากคำว่า อธิษฐาน เพื่อ
ขอพรพระ ฝ่ายชายเริ่มว่าเพลงก่อน ฝ่ายหญิงร้องแก้ เมื่อฝ่ายใดร้อง ลูกคู่ฝ่ายนั้นร้องรับไม่ต้องปรบมือเกี้ยวพาราสีกันไปในเนื้อ
เพลงซึ่งเป็นกลอนสั้นๆ เพียง 4 วรรค และมักยกเอาชื่อหมู่บ้านมาสัมผัสกับชื่อดอกไม้
4. เพลงระบำ เพลงระบำมีอยู่ 3 แบบ คือ เพลงระบำบ้านไร่ เพลงระบำบ้านนา และเพลงระบำเป็นเพลงที่ร้องโต้ตอบ
ระหว่างชายหญิง เพลงระบำบ้านไร่ เล่นในงานเทศกาลสงกรานต์และงานนักขัตฤกษ์ต่างๆ เป็นเพลงร้องโต้ตอบระหว่างชายหญิง เนื้อ
เพลงเกี่ยวเนื่องกับการเกี้ยวพาราสี
5. เพลงอีแซว เพลงอีแซวเป็นเพลงพื้นบ้านจังหวัดสุพรรณบุรี เล่นในงานเทศกาลสงกรานต์ หรืองานบุญกุศล เดิม
เป็นเพลงร้องโต้ตอบกันสั้นๆ แบบกลอนหัวเดียว ต่อมาได้ยืมกลอนเพลงฉ่อยไปร้องให้ยาวมากขึ้นร้องด้วยจังหวะเร็วๆ เดินจังหวะ
ด้วยฉิ่ง กรับ พ่อเพลงแม่เพลงแต่ละฝ่ายมีลูกคู่ 4 – 5 คน ร้องโต้ตอบเชิงเกี้ยวพาราสีแฝงคำสองแง่สองง่าม เพื่อสร้างความ
ครึกครื้นให้แก่ผู้ฟัง ส่วนผู้ร้องต้องมีความสามารถในการเลือกถ้อยคำมาร้อยเรียงที่เรียกกันว่า “ด้นเพลง” ให้ทันจังหวะที่เร็วกว่า
เพลงประเภทอื่นๆ
6. เพลงพวงมาลัย เพลงพวงมาลัยเป็นเพลงร้องโต้ตอบระหว่างชายและหญิง นิยมเล่นกันแถบภาคกลางทั่วไปแทบ
ทุกจังหวัดในงานเทศกาลต่างๆ เช่น วันสงกรานต์ งานโกนจุก งานบวชนาค งานมงคลต่างๆ โดยเลือกสถานที่เล่นเพลงเป็นลานก
ว้างๆ ยืนล้อมเป็นวงกลมแบ่งเป็นฝ่ายชายครึ่งวงฝ่ายหญิงครึ่งวง มีพ่อเพลงแม่เพลงผลัดกันร้อง ส่วนที่เหลือจะเป็นลูกคู่ปรบมือ
เป็นจังหวะและร้องรับฝ่ายของตน
7. เพลงเหย่อย เพลงเหย่อยเป็นเพลงพื้นบ้านจังหวัดกาญจนบุรี นิยมเล่นในงานเทศกาลและงานมงคลต่างๆ มักมี
กลองยาวมาตีเรียกชาวบ้านก่อน กลองยาวกับเพลงเหย่อยจึงเป็นของคู่กันแบ่งเป็นฝ่ายชายและฝ่ายหญิง จำนวนฝ่ายละ 8 - 10 คน
มีผ้าคล้องคอคนละผืน ฝ่ายชายเริ่มรำออกไปก่อน สองมือถือผ้าออกไปด้วยจะค่อยๆ รำเข้าไปหาฝ่ายหญิงซึ่งอยู่ในแถวตรงข้ามแล้ว
ส่งผ้าหรือคล้องผ้าให้ ฝ่ายหญิงที่ได้รับผ้าก็ต้องออกมารำคู่ พลางร้องโต้ตอบเนื้อหาในเชิงเกี้ยวพาราสี เมื่อรำคู่พอสมควรแล้วก็ต้อง
ให้คนอื่นรำบ้าง โดยฝ่ายหญิงเอาผ้าไปคล้องให้ฝ่ายชายคนอื่นๆ ส่วนฝ่ายชายคนเดิมก็ต้องค่อยๆ รำแยกออกมากลับไปยังที่เดิม รำ
สลับอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนจบเพลง อาจฟ้อนรำกันไปจนดึกด้วยความเพลิดเพลินตลอดทั้งคืน
8. เพลงฉ่อย เป็นเพลงที่เล่นกันทั่วไปทุกจังหวัดในภาคกลาง โดยนิยมเล่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และวันนักขัต
ฤกษ์อื่นๆ ภายหลังมีการตั้งวงเป็นอาชีพรับจ้างแสดงทั่วไป คณะลำตัดหวังเต๊ะนิยมนำเพลงฉ่อยมาร้องแทรกกับการเล่นเพลงลำตัด
เสมอๆ เพลงฉ่อยเป็นเพลงโต้ตอบระหว่างชายหญิง มีเอกลักษณ์ตรงที่ลูกคู่จะร้องรับว่า “เอ่ชา เอ๊ชา ชา ฉาด ชา” บางคณะต่อด้วย
“หน่อยแม่” ไม่ต้องมีดนตรีประกอบ และลูกคู่จะปรบมือเท่านั้น
19 เพลงพื้นบ้าน 15
ตัวอย่าง เซิ้งหลักธรรม (ตัดความมาบางตอน)
องค์พุ ทโธเพิ้นว่าจังซี้ ไผขี้ถี่เกิดเป็นปลาหลด
เกิดมาอด กินหยังบ่ได้ ของใหญ่ๆ แม่นบ่ได้กิน
พระมุนินทร์เพิ้นว่าชั้นดอก ข้อยสิบอกให้เจ้ารู้คลอง
รู้ทำนองทรัพย์สินภายนอก เพิ่นนั้นบอกให้กินให้ทาน
สร้างสะพานผลาไปหน้า ขึ้นชั้นฟ้าสวรรค์นิพพาน
เพลงพื้ นบ้านภาคใต้
เพลงพื้นบ้านภาคใต้มีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ แต่ยังรักษารูปแบบพื้นเมืองได้มาก นิยมเล่นกันเองตาม
เทศกาลต่างๆ โดยไม่มีการรับจ้างแสดงและไม่ถือเป็นอาชีพ เพลงพื้นบ้านภาคใต้ที่สำคัญๆ ได้แก่ เพลงเรือ เพลงบอก เพลงนา
เพลงกล่อมนาคหรือแห่นาค และเพลงร้องเรือหรือเพลงชาน้องซึ่งเป็นเพลงกล่อมเด็ก
เพลงเรือ
เพลงเรือ เป็นเพลงพื้นบ้านประเภทหนึ่ง ใช้เล่นในเรือ นิยมเล่นในเดือนสิบเอ็ด หรือเดือนสิบสองหลังออกพรรษาแล้ว
ภาคใต้จะมีงานประเพณีชักพระหรือแห่พระ ผู้เล่นเพลงเรือเป็นชาวบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ลำคลอง หรือทะเลสาบ การเล่นเพลงเรือมีเรือ
เพลงฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยเริ่มต้นร้องกลอนไหว้ครูก่อน จากนั้นก็ว่ากลอน ชักชวนเรือเพลงอีกฝ่ายให้มาร้องเล่นกัน แล้วร้อง
โต้ตอบกันด้วยปฏิภาณไหวพริบทั้งในเชิงเกี้ยวพาราสี โต้คารมอย่างเผ็ดร้อนและกระเซ้าเย้าแหย่กัน มักนำเอาเหตุการณ์บ้านเมืองหรือ
สภาพแวดล้อมมาสอดแทรกในเนื้อร้อง เพื่อให้เกิดอารมณ์ขันหรือเสียดสีประชดประชันกัน ในระหว่างที่ร้องเพลงเรือนั้นผู้พายต้อง
พายให้เข้ากับจังหวะของเพลงด้วย
เพลงบอก
เพลงบอก เป็นเพลงพื้นบ้านที่นิยมเล่นในวันสงกรานต์ (ก่อนหรือหลังก็ได้) เพื่อบอกความหรือประกาศวันสงกรานต์
ว่า ปีนี้นาคให้น้ำกี่ตัว วันใดเป็นวันธงชัย วันอธิบดี ฯลฯ เพลงบอกอาจเล่นในงานบุญต่างๆ หรืองานประจำปีก็ได้ โดยชาวบ้านจะรวม
กลุ่ม 5 - 10 คน เครื่องดนตรีมีทั้งขลุ่ย ทับ ปี่ ฉิ่ง กรับ หรือแล้วแต่จะหาได้ เดินร้องเพลงไปตามหมู่บ้าน เมื่อเจ้าของบ้านได้ยินเสียง
เพลงก็จะเชื้อเชิญขึ้นบ้าน เลี้ยงอาหาร หมากพลู แม้จะเป็นเวลามืดค่ำเจ้าของบ้านก็ยังยินดีต้อนรับคณะเพลงบอก เพราะเนื้อเพลง
ของเพลงบอกนั้นร้องอวยพรปีใหม่และสรรเสริญเยินยอเจ้าของบ้านอีกด้วย
เพลงนา
เพลงนา เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวชุมพร ใช้ร้องเล่นเมื่อจับกลุ่มเดินไปนา และร้องระหว่างเกี่ยวข้าว ลักษณะคำ
ประพันธ์เป็นกลอนสุภาพ แต่วรรคหนึ่งอาจมี 9 - 11 คำ แล้วแต่เนื้อความที่ร้องและใช้สัมผัสท้ายวรรคเป็นเสียงเดียวกันที่เรียกว่า
กลอนอา กลอนอี การร้องเพลงนาต้องมีคู่ขับร้องด้วยคนหนึ่ง ผู้ร้องนำต้นบทเรียกว่า แม่เพลง คู่ขับร้องเรียกว่า ท้ายไฟ และเมื่อ
ร้องจบบทหนึ่งอาจเปลี่ยนกันเป็นแม่เพลงหรือท้ายไฟก็ได้
เพลงกล่อมนาค หรือเพลงแห่นาค
เพลงกล่อมนาค หรือเพลงแห่นาค เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวไทยพุ ทธแถบแหลมสทิงพระ จังหวัดสงขลา ใช้ร้องกล่อม
นาคตอนแห่นาคออกจากบ้านไปวัดและตอนแห่เวียนรอบพระอุโบสถ นอกจากร้องเพื่อความสนุกสนานครื้นเครง เนื้อหาของบทเพลง
ยังเป็นการอบรมสั่งสอนนาคก่อนเข้าบรรพชาอุปสมบท ขอความเป็นสิริมงคลจากเทวดา และบางตอนก็ร้องล้อเลียนนาคเกี่ยวกับ
หญิงคนรักด้วย คณะเล่นเพลงกล่อมนาคมีแม่เพลง 1 - 2 คน และลูกคู่ 5 - 10 คน เดินล้อมตัวนาคและร้องเพลงกล่อมไปตลอดทาง
จนถึงพระอุโบสถ มีแบบแผนการร้องนำและร้องรับ
เพลงร้องเรือ หรือเพลงชาน้อง
เพลงร้องเรือ หรือเพลงชาน้อง เป็นเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้ ใช้ร้องกล่อมเด็กให้นอนหลับ ลักษณะคำประพันธ์
เป็นกลอนชาวบ้าน โดยทั่วไป 1 บท มี 8 วรรค ในแต่ละวรรค มี 4- 10 คำ แล้วแต่เนื้อความและบางเพลงอาจมีความยาวถึง 30
วรรค เพลงร้องเรือ หรือเพลงชาน้อง ส่วนมากร้องเกริ่นนำด้วยคำว่า “ฮาเอ้อ”และจบท้ายวรรคแรกด้วยคำว่า “เหอ” เนื้อหาสาระ
เป็นการขับกล่อมให้เด็กนอนหลับเร็วและหลับสนิทด้วยความอบอุ่นทั้งกายและใจ หลายบทได้สอดแทรกคำสอนในการประพฤติปฏิบัติตน
ปลูกฝังคุณธรรมและสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมด้วย
ตัวอย่าง เพลงเรือ เพลงเรือสงขลา
ขึ้นข้อต่อกล่าว ถึงสาวทุกวัน
แต่งตัวกวดขัน ในวันประชุม
ตุ้มหูพู่ห้อย สาวน้อยหนุ่มหนุ่ม
สองเต้าเต่งตุม เหมือนพุ่มมาลา
ถ้าได้พี่ชาย จะจูบซ้ายจูบขวา
สาวน้อยงามสรรพ ดับกายไว้ท่า
ถึงวันออกษา พี่จะพาเจ้าไป
เพลงพื้ นบ้าน 20
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เพลงพื้นบ้านภาคกลาง “เต้นกำรำเคียว”
บทสนทนา
ออย : จีนรู้จักการเต้นกำรำเคียวไหม
จีน : รู้จักๆ มันเป็นเพลงเกี่ยวกับการเกี่ยวข้าวที่ชาวนาร้องกัน
ออย : เธอร้องให้ฟังหรือเต้นให้ดูได้ไหม
จีน : เดี๋ยวนะ เราว่าดูในยูทูปเอาดีกว่านะ ฮ่าๆ
คำศัพท์
เต้นกำรำเคียว หมายถึง การละเล่นพื้นเมืองที่เก่าแก่แบบหนึ่งของชาวชนบทในภาคกลางของไทย แถบจังหวัดนครสวรรค์ ที่อำเภอ
พยุหะคีรี ซึ่งในเนื้อเพลงแต่ละตอนจะสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านอย่าง ชัดเจน ลักษณะการรำไม่อ่อนช้อยเช่นการรำ
ไทยทั่ว ๆ ไป จะถือเอาความสนุกเป็นใหญ่ จะมีทั้ง “เต้น” และ “รำ” ควบคู่กันไป ส่วนมือทั้งสองของผู้รำข้างหนึ่งจะถือเคียว อีกข้าง
หนึ่งถือต้นข้าวที่เกี่ยวแล้ว จึงได้ชื่อว่า “ เต้นกำรำเคียว
รู้จัก หมายถึง เคยพบเคยเห็นและจำได้ เช่น คนกรุงเทพฯ รู้จักวัดพระแก้วดี แม้เด็ก ๆ ก็ยังรู้จักหนูและแมว
เต้น หมายถึง กิริยาที่ยืนอยู่แล้วยกเท้าขึ้นๆ ลงๆ ถี่ๆ, เคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ หรือไปๆ มาๆ เช่น เนื้อเต้น อกเต้น, ยกขาขึ้นลงให้เข้า
จังหวะกับดนตรี เช่น เต้นระบำ
เกี่ยว หมายถึง ตัดด้วยเคียว เช่น เกี่ยวข้าว เกี่ยวหญ้า เกี่ยวแฝก
ชาวนา หมายถึง บุคคลผู้ประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม ในประเทศไทยมักมีความหมาย ถึงผู้ประกอบอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก
ร้อง หมายถึง เปล่งเสียงดัง
เรา หมายถึง สรรพนามบุรุษที่ 1 เป็นคำแทนตัวผู้พู ด จะเป็นคนเดียวหรือหลายคนก็ได้
ดู หมายถึง ใช้สายตาเพื่อให้เห็น เช่น ดูภาพ ดูละคร
ดี หมายถึง กระทำในทางที่ต้องการ น่าปรารถนา น่าพอใจ เช่น เขาดีกับฉันมาก
กว่า หมายถึง เป็นคำใช้เปรียบเทียบแสดงความยิ่งหรือหย่อนต่อ เช่น มากกว่า น้อยกว่า ดีกว่า
เพลงเดิน เพลงรำ เพลงร่อน และเพลงบิน
การแสดงเต้นกำรำเคียว
การแสดงเต้นกำรำเคียว เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่เก่าแก่แบบหนึ่งของชาวชนบทในภาคกลางของไทย แถบจังหวัด
นครสวรรค์ ที่อำเภอพยุหะคีรี ซึ่งแต่เดิมประชาชนส่วนมากยึดอาชีพการทำนาเป็นหลักและด้วยนิสัยรักสนุก ประกอบกับการเป็นคนเจ้า
บทเจ้ากลอนของไทยด้วย จึงได้เกิดการเต้นกำรำเคียวขึ้น ซึ่งในเนื้อเพลงแต่ละตอนจะสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
อย่าง ชัดเจน ลักษณะการรำไม่อ่อนช้อยเช่นการรำไทยทั่ว ๆ ไป จะถือเอาความสนุกเป็นใหญ่ จะมีทั้ง “เต้น” และ “รำ” ควบคู่กันไป
ส่วนมือทั้งสองของผู้รำข้างหนึ่งจะถือเคียว อีกข้างหนึ่งถือต้นข้าวที่เกี่ยวแล้ว จึงได้ชื่อว่า “ เต้นกำรำเคียว”
การแต่งกาย
ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วยและเสื้อกุยเฮงสีดำ มีผ้าขาวม้าคาดพุ ง สวมงอบและไม่สวมรองเท้า ฝ่ายหญิงจะนุ่งโจง
กระเบนและเสื้อแขนกระบอกสีดำทั้งชุดเช่นกัน ทัดดอกไม้ที่หูขวาและไม่สวมรองเท้าผู้แสดงทุกคนต้องถือเคียวในมือขวาและถือ รวง
ข้าวในมือซ้ายด้วย
สถานที่เล่น
เล่นกันในท้องนาที่เกี่ยวข้าว หรือลานดินกว้างๆ ในท้องนา
ดนตรีที่ใช้
ตามแบบฉบับของชาวบ้านเดิม ไม่มีดนตรีประกอบ เพียงแต่ลูกคู่ทุกคนจะตบมือ และร้องเฮ้ เฮ้วให้จังหวะ แต่เมื่อกรม
ศิลปากรนำไปดัดแปลง ก็ใช้ระนาดเป็นเสียงดนตรีประกอบในท่าเดินเข้า - ออก
21 เพลงพื้นบ้าน
อุปกรณ์ในการเล่น
เคียวเกี่ยวข้าวคนละ 1 เล่ม พร้อมกับกำรวงข้าวคนละ 1 กำ
วิธีเล่น
ในการเล่นจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แต่ละฝ่ายจะยืนอยู่คนละครึ่งวงกลม แต่ละคนถือ
เคียวเกี่ยวข้าวไว้ด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายกำรวงข้าวไว้ เมื่อการเล่นเริ่มต้นขึ้น ฝ่ายชายที่เป็นพ่อเพลง จะเป็นผู้เต้นออกไปกลางวง
ตามจังหวะปรบมือของลูกคู่ พ่อเพลงจะร้องชักชวนแม่เพลงก่อน เพื่อให้ออกมาเพลงแรกคือ เพลงมา สำหรับลูกคู่ที่เป็นชาย จะนำ
เคียวและรวงข้าวมาเหน็บไว้ข้างหลัง เพื่อตบมือให้จังหวะ ส่วนลูกคู่ฝ่ายหญิงยังคงถือเคียว และรวงข้าวเหมือนเดิม แล้วเดินตามกัน
ไปเป็นวงกลม สำหรับพ่อเพลงและแม่เพลงนั้น จะเปลี่ยนกันหลายคนก็ได้ นอกนั้นก็เป็นลูกคู่คอยร้องรับ
นอกจากนี้ยังมีการรำร่อ หรือเรียกว่า “รำกำ” กล่าวคือ เมื่อพ่อเพลงเดินเข้าไปใกล้แม่เพลง ก็หาทางเข้าใกล้ฝ่ายหญิงให้มากที่สุด เมื่อ
สบโอกาสก็ใช้ด้ามเคียวหรือข้อศอก กระทุ้งให้ถูกตัวฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงจะใช้เคียวและรวงข้าวปัดป้อง ถ้าหากพ่อเพลงเข้าไปผิดท่า ก็
อาจถูกรวงข้าวฟาด การร่อกำนี้ พ่อเพลงที่เต้นเก่งๆ จะทำได้น่าดูมาก เพราะท่าทางสวยงามเป็นที่สนุกสนานครื้นเครง ในขณะที่ร้อง
พ่อเพลงจะแสดงท่าทางให้สอดคล้องกับเนื้อเพลงด้วย ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 11 บท
เพลงเดิน
ชาย : เดินกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่เดินเดินรึเดิน แม่เดิน ย่างเท้าขึ้นโคก เสียงโพระดกมันเกริ่น (ซ้ำ) จะชวนหมู่น้องไปท้องพะเนิน
ชมเล่นให้เพลินใจเอย
หญิง : เดินกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อเดินเดินรึเดิน พ่อเดิน หนทางก็รกระหกระเหินแล้วน้องจะเดินอย่างไรเอย
เพลงรำ
ชาย : รำกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่รำรำรึรำ แม่รำ ใส่เสื้อดี แม่ห่มแต่สีดอกขำ น้อยหรือแน่แม่ช่างรำ แม่เชื้อระบำเก่าเอย
หญิง : รำกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อรำรำรึรำ พ่อรำ มหาหงส์ลงต่ำ ต่างคนต่างรำไปเอย
เพลงร่อน
ชาย : ร่อนกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่ร่อนร่อนรึร่อน แม่ร่อน (ซ้ำ) รูปร่างเหมือนนางระบำ แม่เอ๋ยช่างรำ แม่คุณช่างร่อน (ซ้ำ)
อ้อนแอ้นแขนอ่อน รูปร่างเหมือนมอญรำเอย
หญิง : ร่อนกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อร่อนร่อนรึร่อน พ่อร่อน สีนวลอ่อนๆ ร่อนแต่ลมบนลมเอย
เพลงบิน
ชาย : บินกันเถิดนางเอย เอ๋ยรา แม่บินบินรึบิน สองตีนกระทืบดิน ใครเลยจะบินไปได้อย่างเจ้า (ซ้ำ) ใส่งอบขาวๆ รำกำข้าวงามเอย
หญิง : บินกันเถิดนายเอย เอ๋ยรา พ่อบิน บินรึบิน พ่อบิน มหาหงส์ทรงศีล บินไปตามลมเอย
เพลงพื้ นบ้าน 22
แบบฝ
ึกหัดท้ายบท เรื่อง เพลงพื้นบ้าน
คำชี้แจง : ให้นักเรียนใส่เครื่องหมาย หรือ หน้าข้อความที่กำหนดให้ต่อไปนี้
........................... 1. เพลงพื้นบ้าน คือ เพลงของชาวบ้านที่จดจำสืบทอดกันมาแบบปากเปล่า ใช้ร้องเล่น เพื่อความ
สนุกสนานรื่นเริง ใช้คำที่ง่าย ๆ
.......................... 2. เพลงพื้นบ้านภาคเหนือ ผูกพันอยู่กับชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เพลงที่ยังร้องเล่นมี
3 ประเภท 1. เพลงสำหรับเด็ก มีเพลงกล่อมเด็ก และเพลงร้องเล่น 2. จ๊อย
.......................... 3. เพลงพื้นบ้านภาคกลาง เป็นเพลงที่ปลุกใจ ให้รักชาติ ศาสนา และใช้ร้องในงานที่สำคัญๆ เท่านั้น
.......................... 4. เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเต้นกำ เพลงพวงมาลัย และ เพลงระบำ เป็นเพลงพื้นบ้านภาคอีสาน
........................... 5. เพลงพื้นบ้านภาคอีสาน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว 2. เพลงพื้น
บ้านกลุ่มวัฒนธรรมเขมร-ส่วย และ 3. เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราชร้องเพลงโคราช
........................... 6. เพลงบอก เป็นเพลงพื้นบ้านภาคกลางที่ใช้ร้องเล่นในเทศกาลสงกรานต์
........................... 7. เพลงกล่อมเด็กให้นอน เนื้อเพลงร้องขึ้นต้นว่า “ฮาเอ้อ” และลงท้ายวรรคแรกว่า “เหอ
........................... 8. ลักษณะของเพลงพื้นบ้าน เป็นการจดบันทึก มีลายลักษณ์อักษรชัดเจน
........................... 9. ลักษณะของเพลงพื้นบ้าน การปรบมือหรือมีเครื่องประกอบจังหวะง่าย ๆ ได้แก่ กรับ ฉิ่ง กลอง บาง
ครั้งก็ไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีชนิดใดเลย นอกจากเสียงเอื้อน
........................... 10. คุณค่าของเพลงพื้นบ้าน คือ ให้ความสนุกสนานก่อให้เกิดความรักและความสามัคคีกัน และสะท้อน
วัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นนั้น
23 แบบฝึกหัด เรื่อง เพลงพื้นบ้าน
บทที่ 4
เรื่อง วรรณกรรมท้องถิ่น
บทที่ 4 วรรณกรรมท้องถิ่น
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 วรรณกรรมท้องถิ่น
ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น
วรรณกรรมท้องถิ่น หมายถึง ผลผลิตที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้านที่สร้างสรรค์ขึ้นในรูปแบบต่างๆ เช่น เพลง
นิทาน ตำนาน สุภาษิต เพื่อสร้างความบันเทิงให้สังคมในท้องถิ่น และเสนอแง่คิด คติสอนใจในการดำเนินชีวิต วรรณกรรมท้องถิ่น
เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นบ้าน ที่บันทึกเรื่องราวชีวิตความเป
็นอยู่ การประพฤติปฏิบัติของประชาชนธรรมดาทั่วไปที่สืบทอดกัน
มาหลายชั่วอายุคน การศึกษาวรรณกรรมพื้นบ้านจะช่วยให้เข้าใจวิถีชีวิต ค่านิยม และความเชื่อของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นรากฐานการ
ศึกษาความคิดและพฤติกรรมของคนรุ่นปัจจุบัน
ลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมท้องถิ่น
1. เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจากมุขปาฐะ คือ เป็นการเล่าสืบต่อกันมาจากปากต่อปากและแพร่หลายกันอยู่ใน
กลุ่มชนท้องถิ่น
2. เป็นแหล่งข้อมูลที่บันทึกข้อมูลด้านขนบธรรมเนียมประเพณีของกลุ่มชนท้องถิ่น อันเป็นแบบฉบับให้คนยุคต่อมาเชื่อถือและ
ปฏิบัติตาม
3. มักไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง เพราะเป็นเรื่องที่บอกเล่าสืบต่อกันมาจากปากต่อปาก
4. ใช้ภาษาท้องถิ่น ลักษณะถ้อยคำเป็นคำง่ายๆ สื่อความหมายตรงไปตรงมา
5. สนองความต้องการของกลุ่มชนในท้องถิ่น เช่น เพื่อความบันเทิง เพื่ออธิบายสิ่งที่คนในสมัยนั้นยังไม่เข้าใจ เพื่อสอน
จริยธรรมขนบธรรมเนียม
คุณค่าของวรรณกรรมท้องถิ่น
1. ให้ความบันเทิงใจแก่ชุมชน เช่น ขับเสภาในภาคกลาง เล่าค่าวหรือขับลำนำภาคเหนือ อ่านหนังสือในบุญเงือนเฮือนดีในภาค
อีสาน การสวดหนังสือและสวดด้านของภาคใต้
2. ให้เข้าใจในค่านิยม โลกทัศน์ของแต่ละท้องถิ่นโดยผ่านทางวรรณกรรม
3. เข้าใจวัฒนธรรมของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น
4. ก่อให้เกิดความรักถิ่น หวงแหนมาตุภูมิ และรักสามัคคีในท้องถิ่นของตน
บทสนทนา : วรรณกรรมท้องถิ่น
บี : คุณเคยได้ยินคนบอกเล่าวรรณกรรมท้องถิ่นบ้างไหม
พลอย : ไม่เคยได้ยินนะ แล้วคุณล่ะ
บี : เคยได้ยินหลายเรื่องเลย เช่นผาวิ่งชู้ หมาขนคำ ตำนานพญาคันคาก และอีกหลายเรื่องเลย
พลอย : น่าสนใจมากๆเลยอยากฟังแล้ว
บี : ได้เลยเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
คำศัพท์
วรรณกรรมท้องถิ่น หมายถึง วรรณกรรมที่ถ่ายทอดในกลุ่มคนใด กลุ่มคนหนึ่งมาเป็นเวลานานผู้ เล่าหรือผู้เขียนเป็นคนในท้องถิ่น
ถ่ายทอดให้แก่คนในท้องถิ่นเดียวกับตนโดยการบอกเล่าหรือเขียนบันทึกไว้
วรรณกรรม หมายถึง งานหนังสือ, งานประพันธ์, บทประพันธ์ทุกชนิดทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง, เช่น วรรณกรรมสมัย
รัตนโกสินทร์ วรรณกรรมของเสฐียรโกเศศ วรรณกรรมฝรั่งเศส วรรณกรรมประเภทสื่อสารมวลชน
เคย หมายถึง ใช้เป็นคำประกอบหน้ากริยาแสดงว่ากริยานั้น ๆ ได้เป็นมาแล้ว เช่น เคยทำ = ได้ทำมาแล้ว เคยเห็น = ได้เห็นมาแล้ว
ได้ยิน หมายถึง รับรู้เสียงด้วยหู
หลาย หมายถึง มาก บางทีใช้คู่กับคำ มาก เป็น มากหลาย
เรื่อง หมายถึง ภาวะหรือเนื้อหาของสิ่งซึ่งเนื่องกับข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น เรื่องประวัติศาสตร์
เรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ
สนใจ หมายถึง ตั้งใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดเรื่องใดเป็นพิเศษ เช่น เขาสนใจวิชาคณิตศาสตร์มาก, ใฝ่ใจใคร่รู้ใคร่เห็นเป็นต้น เช่น เขาสนใจ
การเมืองมาตั้งแต่เด็ก
25 วรรณกรรมท้องถิ่น
ผาวิ่งชู้ หมายถึง ตำนานโศกนาถตกรรมความรักต่างฐานันดรระหว่าง พระนางแอ่นฟ้าที่ได้เกิดความรักกับ น้อยสิงห์คำ ลูกของเสนา
คนหนึ่ง
ตำนานพญาคันคาก หมายถึง ตำนานที่เป็นต้นกำเนิดของประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นบุญเดือนหกในฮีตสิบสองคองสิบสี่ของชาว
อีสาน ณ เมืองชมพู
อยาก หมายถึง ปรารถนา ประสงค์ ต้องการ ใคร่ เช่น อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากมีเงิน
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคเหนือ
วรรณกรรมท้องถิ่นนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตำนานของสถานที่ต่าง ๆ หรือความเป็นมา
และสาเหตุของสถานที่เหล่านั้นเล่าสืบต่อกันมาช้านาน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และได้สาระที่เป็นคติสอนใจ อาทิ ความดี
ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ รวมถึงยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นภาคเหนืออีกด้วย ดังตัวอย่างต่อ
ไปนี้
ผาวิ่งชู้ ตำนานอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
“ผาวิ่งชู้” เป็นตำนานพื้นบ้านที่เกิดขึ้นมานานนับพันปี ครั้งที่ พระยาแสนโท เป็นผู้ปกครองเมืองพิศดารนคร หรือเมือง
ฮอดในปัจจุบัน มีธิดาชื่อ พระนางแอ่นฟ้า กับบุตรชื่อ พระนาย สองคนพี่น้อง เมื่อโตเป็นสาวพระนางแอ่นฟ้าได้เกิดความรักกับ น้อย
สิงห์คำ ลูกของเสนาคนหนึ่ง จึงเกิดเป็นปัญหารักต่างฐานันดรขึ้น พระยาแสนโทได้เรียกคนทั้งสองไปตักเตือนว่าเป็นเรื่องผิดกฎ
มณเฑียรบาล มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต แต่ด้วยความรักที่หนุ่มสาวทั้งสองมีต่อกันจึงตัดสินใจหนีออกจากเมืองโดยควบม้าสีขาวไป
กลางดึก เมื่อพระยาแสนโททราบเรื่องจึงส่งคนออกติดตามด้วยความกริ้ว และสั่งว่าถ้าเจอคนทั้งสองก็ให้ประหารชีวิตเสีย เมื่อหนุ่ม
สาวทั้งสองออกจากเมืองไปได้ระยะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากลุ่มใหญ่ควบตามมาจนแผ่นดินสะเทือน คิดว่าหนีก็คงไม่พ้น ถ้าถูกจับ
ไปก็ต้องถูกประหารชีวิตแน่ เผอิญตรงนั้นมีหน้าผาสูงชันอยู่ริมแม่น้ำ จึงตัดสินใจที่จะตายด้วยกันโดยควบม้าโดดลงหน้าผานั้น แต่เมื่อ
ขึ้นไปถึงหน้าผา น้อยคำสิงห์กลับไม่กล้าที่จะควบม้าพาคนรักไปสู่ความตาย พระนางแอ่นฟ้าเห็นจวนตัวแล้ว จึงให้เข้าบังคับม้าเอง ให้
น้อยคำสิงห์ซ้อนหลัง จากนั้นก็เอาผ้าขาวผูกตาม้ากระตุ้นให้ทะยานไปข้างหน้าอย่างสุดแรง เมื่อไปสุดหน้าผาทั้งม้าและคนจึงลอยลิ่วลง
สู่แม่น้ำปิงจมหายไป พระนาย ผู้เป็นน้องชายที่ร่วมติดตามมากับทหาร เห็นความตายของพี่สาวอย่างน่าเวทนาเช่นนั้นก็โศกเศร้าเสียใจ
อย่างหนัก พอกลับลงมาถึงลำห้วยก็ตรอมใจตายอยู่ตรงนั้น ทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่ต้องเสียใจขึ้นไปอีกที่ต้องเสียลูกรักทั้งสองไปแบบ
นี้ แต่ก็ทำได้แค่มาทำบุญทิ้งสิ่งของลงไปในสายน้ำหวังจะให้ไปถึงลูก ร่างของน้อยคำสิงห์ลอยไปติดท่าน้ำแห่งหนึ่ง ที่นั้นจึงเรียกกันว่า
“บ้านน้อย” ส่วนร่างของพระนางแอ่นน้อยลอยไปติดอีกท่าหนึ่ง เรียกกันว่า “บ้านแอ่น” ร่างของม้าที่ลอยไปติดก็เรียกว่า “ท่าม้า” ทั้ง
ผ้าขาวที่ปิดตาม้าไปจมที่วังน้ำ ก็ได้ชื่อว่า “วังผ้าขาว” อีกทั้งสิ่งของที่พ่อแม่ทำบุญลอยไปตามตามสายน้ำนั้น ก็ทำให้กลายเป็นชื่อ
หมู่บ้านอีกหลายแห่ง เช่น ข้าวแต๋น เป็น “บ้านผาแตน” หม้อเป็น “บ้านวังหม้อ” สลุง เป็น “บ้านวังสลุง” หรือ “วังลุง” มาจนถึงทุก
วันนี้
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง มีลักษณะที่คล้ายกับวรรณกรรมท้องถิ่นในภาคอื่นๆ ด้วยเช่นกัน มีโครงเรื่องง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อน มีวิธีการเล่าแบบตรงไปตรงมา และมีการกล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ หรือความเป็นมาและสาเหตุของสถานที่เหล่านั้นเล่าสืบต่อ
กันมา วรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลางที่ยกตัวอย่างมา ดังนี้
พระยากง พระยาพาน กับตำนานพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
พญากงเป็นเจ้าเมืองนครไชยศรี เมื่อมเหสีประสูติพระโอรส โหรทำนายว่าเป็นผู้มีบุญมาเกิด แต่ต่อไปจะฆ่าพระองค์
พญากงจึงให้นำพระโอรสไปประหารมหาดเล็กสงสาร นำพระโอรสใส่พาน (เป็นที่มาของชื่อ “พญาพาน”) ลอยน้ำไปตามชะตากรรมฝ่าย
ยายหอมพบเข้า จึงเลี้ยงดูให้ได้รับวิทยาการครั้นพญาพานเป็นหนุ่มจึงเข้าไปถวายตัวเป็นทหารในเมืองคูบัว ต่อมาได้ชนช้างกับพญา
กงแล้วสังหารลง ครานั้นเกิดลางว่าคงได้ฆ่าบิดาเสียแล้ว พาลไปโมโหยายหอมว่าปิดบัง จึงประหารยายหอมด้วยภายหลังสำนึกผิดจึง
ปรึกษาพระอาจารย์เพื่อแก้ไขไถ่บาป โดยให้สร้างเจดีย์ใหญ่สูงเท่านกเขาเหิน (พระปฐมเจดีย์) เพื่อทดแทนคุณบิดา พร้อมกับสร้าง
เจดีย์ใหญ่อีกองค์ (พระประโทน) เพื่อทดแทนคุณยายหอม
วรรณกรรมท้องถิ่น 26
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีหลากหลายเรื่องราว เช่น บางเรื่องเป็นนิทานที่ให้คติสอนใจ บางเรื่อง
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีและขนบธรรมเนียม บางเรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของสถานที่ต่าง ๆ จนทำให้มีนิทานพื้นบ้าน
อีสานมากมายนับไม่ถ้วน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตำนานพญาคันคาก จังหวัดยโสธร
เมื่อครั้งพระพุ ทธเจ้าถือชาติกำเนิดเป็นพญาคางคก ได้อาศัยอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ในเมืองพันทุมวดี ด้วยเหตุใดไม่แจ้ง
พญาแถนเทพเจ้าแห่งฝนโกรธเคืองโลกมนุษย์มาก จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกนานถึง 7 เดือน ทำให้เกิดความลำบากยากแค้นอย่างแสน
สาหัสแก่มวลมนุษย์ สัตว์และพืช จนกระทั่งพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่แข็งแรงก็รอดตายและได้พากันมารวมกลุ่มใต้ต้นโพธิ์
ใหญ่กับพญาคางคก สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้หารือกันเพื่อจะหาวิธีการปราบพญาแถน ที่ประชุมได้ตกลงกันให้พญานาคียกทัพไปรบ
กับพญาแถน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ จากนั้นจึงให้พญาต่อแตนยกทัพไปปราบแต่ก็ต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน ทำให้พวกสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เกิดความท้อถอย หมดกำลังใจและสิ้นหวัง ได้แต่รอวันตาย ในที่สุด พญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน จึงได้วางแผนใน
การรบโดยปลวกทั้งหลายก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เดินทางไปสู่เมือง
พญาแถน ซึ่งมีมอด แมลงป่อง ตะขาบ สำหรับมอดได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมลงป่องและ
ตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามกองฟืนที่ใช้หุงต้มอาหาร และอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถนทำหน้าที่กัดต่อย หลังจากวางแผนเรียบร้อย
กองทัพพญาคางคกก็เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่การรบ มอดทำหน้าที่กัดเจาะด้ามอาวุธ แมลงป่องและตะขาบกัดต่อยไพร่พลของพญา
แถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทัพระส่ำระสาย ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก ดังนี้
1. ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์
2. ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว
3. ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวหลังจากที่ได้สัญญากัน
แล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไปและได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับวรรณกรรมท้องถิ่นอื่นๆ คือ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตำนานของสถานที่
ต่าง ๆ หรือความเป็นมาและสาเหตุของสถานที่เหล่านั้น โครงเรื่องง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน มีวิธีการเล่าแบบตรงไปตรงมา และมีการกล่าวถึง
สถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นการปลูกฝังและสั่งสอนคุณธรรมจริยธรรมให้แก่คนรุ่นหลัง นอกจากนี้ยังรับรู้ถึงวัฒนธรรม และความเชื่อที่
แฝงอยู่ในวรรณกรรมหรือตำนานเรื่องนั้นๆ ด้วย และวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้มีตัวอย่าง ดังนี้
ตำนานหัวนายแรง หาดเก้าเส้ง จังหวัดสงขลา
มีตำนานเล่าถึงเขาเก้าเส้ง หรือที่เรียกกันในภาษาพื้นเมืองว่า “หัวนายแรง” ว่า “ครั้งนั้นทางเมืองนครศรีธรรมราช
กำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต บรรดา 12 หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างก็นำเงินทองไปบรรจุใน
พระบรมธาตุ เมืองที่นายแรงเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเมืองขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมีความศรัทธาในพุ ทธศาสนา จึงขน
เงินทองเป็นจำนวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือสำเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะกำลังเดินทางเรือ
สำเภาถูกคลื่นลมชำรุด จึงเข้าจอดเรือที่ชายฝั่ งหาดทรายแห่งหนึ่ง เพื่อซ่อมแซมเรือ พอได้ทราบข่าวว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชได้
บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พลขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง สั่งให้ลูกเรือตัดหัวของตน
ไปวางไว้ที่ยอดเขา นายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือต้องจำใจตัดหัวเจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคำสั่ง เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า “เขา
เก้าแสน” เรียกเพี้ยนไปเป็น “เก้าเส้ง”ก้อนหินที่ปิดทับบนยอดเขาเรียกว่า“หัวนายแรง” ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญาณของนายแรงยัง
เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาจนทุกวันนี้
27 วรรณกรรมท้องถิ่น
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 วรรณกรรมท้องถิ่นภาคเหนือ “หมาขนคำ”
บทสนทนา : วรรณกรรมท้องถิ่นเหนือ “หมาขนคำ”
ดาว : คุณรู้จักนิทานหมาคนคำไหม
แวว : ไม่รู้จักนะ
ดาว : เดี๋ยวเล่าให้ฟัง เป็นตำนานของทางภาคเหนือ จังหวัดลำปาง เกี่ยวกับสุนัขที่มีขนเป็นสีทองสนุก
มากๆเลย
แวว : หืม? ฟังดูแปลกจัง
ดาว : ฮ่าๆ ใช่ไหมล่ะ
คำศัพท์
คุณ หมายถึง คำใช้แทนผู้ที่เราพู ดด้วย เป็นคำสุภาพ เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 , คำใช้แทนผู้ที่เราพู ดถึงด้วยความสุภาพ เป็นสรรพนาม
บุรุษที่ 3 เช่น คุณอยู่ไหม ช่วยไปเรียนว่ามีคนมาหา
นิทาน หมายถึง เรื่องที่เล่ากันมา เช่น นิทานชาดก นิทานอีสป
หมาขนคำ หมายถึง ตำนานของสุนัขที่มีขนสีทอง เป็นนิทานพื้นบ้านทางภาคเหนือ จังหวัดลำป่ง
ไหม หมายถึง เป็นคำถาม มาจาก หรือไม่ เช่น กินไหม
เดี๋ยว หมายถึง ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่ง ชั่วครู่หนึ่ง เช่น คอยเดี๋ยว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย, ชั่วเวลาหนึ่งที่อาจจะมีเหตุการณ์ตามมา
เช่น เดี๋ยวไม่ให้เลย เดี๋ยวตกนํ้านะ, ประเดี๋ยว ก็ว่า
เล่า หมายถึง พู ดหรือบอกเรื่องราวให้ผู้อื่นฟัง เช่น เล่าเรื่อง
ตำนาน หมายถึง เรื่องแสดงความเป็นมาแต่ปางหลังของสถานที่ บุคคล หรือพิธีกรรม เป็นต้น หรือเป็นเรื่องราวที่สืบต่อๆ กันมานาน
แล้ว
คำ หมายถึง ทอง ในภาษาเหนือ
สนุก หมายถึง ทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน ทำให้เบิกบานใจ เช่น หนังสือเรื่องนี้อ่านสนุก ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุก
แปลก หมายถึง แตกต่างไปจากที่เคยคิด เคยรู้ เคยเห็น เป็นต้น เช่น แปลกตา แปลกใจ หรือหมายถึงต่างหรือผิดเพี้ยน ผิดปกติ เช่น
เป็นคนแปลก
วรรณกรรมท้องถิ่น 28
วรรณกรรมท้องถิ่นภาคเหนือ เรื่อง หมาขนคำ
หมาขนคำ” ตำนานเมืองลำปาง
“หมาขนคำ” คือวรรณกรรมมุขปาฐะที่สืบต่อกันมาโดยปรากฏในวัฒนธรรมล้านนา สันนิษฐานว่าอาจมีเค้ามาจากสุวัณ
ณเมฆะหมาขนคำ หรือนิทานปัญญาสชาดก คู่มือธรรมใบลานในภาคเหนือ ในหลายท้องถิ่นก็เล่าเรื่องที่แตกต่างกันไป แต่จุดสำคัญ
ของเรื่องเล่านี้ที่มีเหมือนกันคือ หมาขนคำ คำว่า คำ ในภาษาเหนือหมายถึงทอง และตามพจณานุกรมของราชบัณฑิตยสถานก็ให้ความ
หมายเช่นเดียวกันว่า น. ทองคำ เช่น หอคำ เชียงคำ อย่างไรก็ตาม หมาขนคำในตำนานเหล่านี้คือหมาที่มีขนดั่งทองคำไม่ใช่หมาที่มีขน
เป็นทองคำ
เนื้อเรื่องย่อ “หมาขนคำ”
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนายพรานคนหนึ่งได้เลี้ยงหมาตัวเมียไว้
หนึ่งตัว ในย่านนั้นไม่มีหมาตัวผู้อยู่เลย วันหนึ่งแม่หมาเกิดตั้งท้อง
ขึ้นมา นายพรานเกรงจะถูกชาวบ้านครหาว่ามีเมียเป็นหมา จึงคิดจะ
กำจัดแม่หมา บ้านของนายพรานอยู่ในย่านบ้านเหล่าปลดริมป่า คือ
บ้านเสาสูงแบบเรือนต้นไม้ ราวบันไดปลดเก็บขึ้นไว้บนเรือนเพื่อ
ป้องกันมิให้สัตว์ร้ายขึ้นเรือนไปทำร้ายชีวิตคนบนบ้านได้ เย็นวัน
หนึ่ง นายพรานปลดบันไดบ้านเก็บไว้บนบ้านโดยทิ้งแม่หมาไว้ข้าง
ล่าง โดยหวังที่จะให้เสือมาคาบแม่หมาเอาไปกิน แม่หมาก็วิ่งหนีไป
ถึงดอยผาสามเส้าริมดอยวัดม่วงคำ (เขตอำเภอแม่ทะ) แล้วคลอด
ลูกแฝดเป็นเด็กสาวน่ารักสองคน แม่หมาก็ไปหาอาหารมาเลี้ยงลูก
น้อยและคาบเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากไว้บนราวตากผ้านำไปให้ลูกสาว
สวมใส่ ลูกสาวฝาแฝดโตเป็นสาว คนพี่ชื่อ นางเจตะกา คนน้องชื่อนางบัวตอง กิตติศัพท์ความงามของหญิงสาวทั้งสองกระฉ่อนไป
ถึงในเมือง เมื่อพระยาเจ้าเมืองทราบข่าว ปรารถนาจะได้ธิดาแฝดไปเป็นมเหสีซ้ายขวา ขบวนวอทองก็ไปรับสองธิดาแฝดที่ดอยผาสาม
เส้าขณะที่แม่หมาไม่อยู่ ธิดาแฝดบัวตองผู้น้องแสดงความเสียใจร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่หมา ส่วนผู้พี่มีทีท่าตื่นเต้นที่มีวาสนาจะได้
เข้าไปอยู่ในวัง พระยาเจ้าเมืองได้สร้างปราสาทสองหลังให้นางเจตะกาและนางบัวตองอยู่คนละหลัง ฝ่ายแม่หมาเมื่อกลับมาถึงผาสาม
เส้าก็พบว่าลูกสาวหายไป แม่หมาก็เห่าหอนและตะกุยหน้าผาจนเป็นรอยคล้ายเล็บเท้าฝังในเนื้อหินผาที่ชาวบ้านเรียกว่ารอยตีนหมาขน
คำร้องไห้หาลูกสาว มาจนทุกวันนี้พระอินทร์เวทนาแม่หมาจึงเนรมิตให้แม่หมาพู ดได้ แม่หมาจึงเดินทางติดตามหาลูกสาวถึงในเมือง แม่
หมาได้ถามไถ่ชาวบ้านมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงปราสาทของนางเจตะกา ทหารได้ซักถามแม่หมาว่ารู้จักและเกี่ยวข้องกับนางเจตะกา
อย่างไร แม่หมาก็บอกว่านางเจตะกาเคยเป็นนายเก่ามาก่อน ครั้นเมื่อทหารนำความมาแจ้งแก่นางเจตะกา นางเจตะกากลัวว่าจะอับอาย
ที่มีแม่เป็นหมา จึงสั่งให้ทหารทำร้ายแม่หมาจนได้รับบาดเจ็บวิ่งหนีไป แม่หมาได้รับบาดเจ็บก็วิ่งมาถึงปราสาทนางบัวตอง นางบัวตอง
รีบวิ่งมารับแม่หมานำเข้าไปในปราสาทเพื่อเยียวยารักษาให้ข้าวให้น้ำแก่แม่หมา นางบัวตองได้ทูลขอหีบขนาดใหญ่จากสวามีโดยบอกว่า
จะเอาไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าภายในกำหนดเวลาเจ็ดวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางบัวตองได้นำหีบไว้เป็นที่ซ่อนของแม่หมาในวัง
เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว แม่หมาทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจตาย พระอินทร์ได้เนรมิตร่างแม่หมาให้กลายเป็นแก้วแหวนเงินทอง เมื่อพระยา
เจ้าเมืองพบว่ามีแก้วแหวนเงินทองเต็มหีบ พระองค์ก็โปรดปรานนางบัวตองเป็นอันมาก พระองค์ก็ให้นางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสาม
เส้าอีกครั้งหนึ่ง นางบัวตองมีความเสียใจที่แม่หมาเสียชีวิต นางจึงคิดจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย บริเวณข้างล่างของหน้าผาเป็นที่
อยู่ของยักษ์ซึ่งป่วยเป็นฝีกลัดหนองเจ็บปวดมาก เมื่อนางบัวตองกระโดดลงไปกระทบกับร่างของยักษ์ทำให้ฝีแตก ยักษ์จึงหายปวด
เป็นปลิดทิ้ง ยักษ์จึงมอบทรัพย์สมบัติให้นางบัวตองเป็นอันมาก นางบัวตองจึงนำสมบัติกลับวัง ฝ่ายนางเจตะกา เมื่อทราบข่าวว่า
นางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า นางก็รู้สึกอิจฉานางบัวตอง นางจึงอาสาพระยาเจ้าเมืองจะไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า เมื่อไปถึงผา
สามเส้านางเจตะกาก็กระโดดหน้าผาตามที่นางบัวตองแนะนำ ด้วยความที่นางเจตะกามีบาปหนาฆ่าแม่ของตัวเอง ยักษ์จึงจับนางเจตะ
กากินเป็นอาหาร แล้วยักษ์ก็ไล่กินขบวนช้างม้าตายเกลื่อนเป็นจำนวนมาก สถานที่แห่งนี้จึงเรียกว่าโทกหัวช้างในปัจจุบัน ( อยู่ในเขต
อำเภอเมืองลำปาง )
29 วรรณกรรมท้องถิ่น
แบบฝึก
หัดท้ายบท เรื่อง วรรณกรรมท้องถิ่น
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
1. จงบอกสิ่งที่ได้เรียนรู้จากวรรณกรรมท้องถิ่นทั้ง 4 ภาค ว่าได้เรียนรู้สิ่งใดบ้าง จงอธิบาย
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................................
2. วรรณกรรมที่ได้เรียนรู้ทั้ง 4 ภาคมีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................................
3. จงบอกประโยชน์จากการเรียนรู้วรรณกรรมทั้ง 4 ภาค และการวรรณกรรมท้องถิ่นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
อย่างไรบ้าง จงอธิบาย
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................................
แบบฝึกหัด เรื่อง วรรณกรรมท้องถิ่น 30
บทที่ 5
เรื่อง ประเพณีและพิธีกรรม
บทที่ 5 ประเพณีและพิธีกรรม
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ประเพณีและพิธีกรรมไทย
ความหมายของประเพณีและพิ ธีกรรม
ประเพณี หมายถึง การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างสืบเนื่อง มีการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งมายังรุ่นต่อๆ มาได้ ถ้าหากผู้
หนึ่งผู้ใดไม่เห็นด้วยหรือไม่ทำตามก็อาจถือได้ว่ากระทำผิดประเพณี อาจได้รับการติฉินนินทาหรือแม้กระทั่งการถูกลงโทษ
พิธีกรรม หมายถึง พฤติกรรมที่เป็นรูปธรรมของศาสนาและระบบความเชื่อ ซึ่งปรากฏอยู่ในทุกสังคม สะท้อนถึง
ความหวัง ความปรารถนา ความหวาดกลัว และความรู้สึกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิดและอารมณ์ของมนุษย์ ดังนั้น มนุษย์ทุกกลุ่ม
ชาติพันธุ์ ทุกภาษา ต่างมีพิธีกรรมของกลุ่มเพื่อแสดงออกถึงความเชื่อของตนเองทั้งสิ้น เมื่อพิธีกรรมเป็นการแสดงออกถึงความ
เชื่อ อันเป็นลักษณะอย่างหนึ่งทางสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ พิธีกรรมจึงเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่มาพบปะสังสรรค์และสร้าง
แบบแผนพิ ธีขึ้นมาเพื่ อตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน
ประเพณีพิธีกรรม หมายถึง สิ่งที่แสดงออกในเรื่องความเชื่อทั้งศาสนาและไสยศาสตร์ของมนุษย์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมา
พร้อมกับความเป็นมนุษย์ ทุกชาติทุกภาษาต่างก็มีเหมือนกัน จะมากหรือน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้น เท่านั้นเอง สังคมใดที่
เจริญในทางศาสนาและอภิปรัชญา ความเชื่อในทางไสยศาสตร์ก็น้อยลง รวมทั้งบรรดาประเพณีพิธีกรรมก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลง
กลายเป็นกิจกรรมร่วมทางสังคมเท่านั้น
ลักษณะของประเพณีและพิ ธีกรรม
1. แนวคิด คือ หลักการหรือความเชื่อที่แสดงออกปรากฏเป็นประเพณี
2. พิธีกรรม คือ วิธีการกระทำ มีขั้นตอน รูปแบบ กรรมวิธีที่กำหนดไว้
3. สมาชิก คือ ผู้เข้าร่วมอยู่ในประเพณี ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
4. การเฉลิมฉลอง คือ การจัดกิจกรรมการละเล่นที่สนุกสนานรื่นเริง
ประเภทของประเพณีและพิ ธีกรรม
1. ประเพณีปรัมปรา เป็นประเพณีดังเดิมที่สืบต่อมาจนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต
2. จารีตประเพณี เป็นประเพณีที่นำมาจากข้อกำหนดทางศีลธรรมมีชั่วหรือผิดถูก
3. ขนบประเพณี เป็นประเพณีที่กำหนดวิธีประพฤติปฏิบัติตามคติความเชื่อ
4. ธรรมเนียมประเพณี เป็นประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติตามความนิยมของสังคม
บทบาทของประเพณีและพิ ธีกรรม
บทบาทของประเพณีและพิ ธีกรรมต่อบุคคล
คนในสังคมทำตามประเพณีและพิธีกรรมเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีงามต่อตนเองหรือครอบครัวประเพณี พิธีกรรม เป็นเครื่องยึด
เหนี่ยวจิตใจในการดำเนินชีวิต และในการทำงาน ประเพณีและพิธีกรรมยังมีบทบาทต่อบุคคลในด้านชี้นําใหเขาใจสาระของชีวิตมีการ
เปลี่ยนแปลงหรืออาจจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่คาดคิด
บทบาทของประเพณีและพิ ธีกรรมต่อชุมชนและสังคม
ประเพณีและพิธีกรรมเป็นวัฒนธรรมที่เสริมสร้างความผูกพัน ความเป็นพวกเดียวกัน ประพฤติปฏิบัติหรือกระทำในสิ่งที่
เป็นแบบแผนเดียวกัน ประเพณี พิธีกรรมบางอย่างมีบทบาทเป็นเครื่องมือควบคุมการประพฤติปฏิบัติของคนในสังคมทำให้เกิดความ
สงบ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่กระทำผิดหรือประพฤติตน “แหวกประเพณี
ประเพณีและพิ ธีกรรม 32
บทสนทนา : ประเพณีไทย
ไมค์ : สวัสดีครับคุณเจน
เจน : สวัสดีค่ะคุณไมค์
ไมค์ : สวัสดีครับพอดีผมสนใจอยากจะศึกษาเกี่ยวกับประเพณีและพิธีกรรมในประเทศไทยไม่ทราบว่าคุณเจน พอ
จะรู้จักประเพณีและพิ ธีกรรมอะไรบ้างครับ
เจน : ดิฉันรู้จักหลายประเพณีและพิธีกรรมเลยค่ะ ตัวอย่างเช่น พิธีทำขวัญข้าว แห่นางแมว และ พิธีกวนข้าว
ทิพย์ค่ะ
ไมค์ : ครับต่อไปผมอยากจะให้คุณเจนลองอธิบายสักพิธีกรรมที่คุณเจนสนใจมาสัก หนึ่งพิธีกรรม
ได้ไหมครับ
เจน : ได้เลยค่ะ ดิฉันสนใจ พิธีแห่นางแมวเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการขอฝนที่ไม่ตกตามฤดู โดยการ
ใช้แมวในการแห่ขอฝนค่ะ
ไมค์ : น่าสนใจมากๆเลยครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ
เจน : ยินดีค่ะ
คำศัพท์
พิธีกรรม หมายถึง การบูชา, แบบอย่างหรือแบบแผนต่าง ๆ ที่ปฏิบัติในทางศาสนา
ประเพณี หมายถึง สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือจารีตประเพณี
ศึกษา หมายถึง การเล่าเรียน ฝึกฝน และอบรม
พิธีทำขวัญข้าว หมายถึง เป็นประเพณีบวงสรวงแม่โพสพ ผู้เป็นวิญญาณแห่งข้าว
พิธีแห่นางแมว หมายถึง เป็นพิธีอ้อนวอนขอฝน ซึ่งจำจัดทำขึ้นในปีใดที่ท้องถิ่นแห่งแล้งฝน ไม่ตกต้องตามฤดูกาล
พิธีกวนข้าวทิพย์ หมายถึง พิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ ที่สอดแทรกเข้ามาปะปนในพิธีกรรมทางพุ ทธศาสนา
อธิบาย หมายถึง ไขความ, ขยายความ, ชี้แจง
ฤดู หมายถึง ส่วนของปีซึ่งแบ่งโดยถือเอาภูมิอากาศเป็นหลัก มักแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน
ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ถือหรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง สำหรับใช้เป็นหลักอนุมานหาความจริงหรือการคำนวณ
แห่ หมายถึง ยกไปกันเป็นขบวน หรือเป็นพวก เป็นหมู่มาก
ประเพณีและพิธีกรรมไทย 4 ภาค
ประเพณีและพิ ธีกรรมภาคเหนือ
ภาคเหนือของไทย มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเขตภูเขาสลับพื้นที่ราบระหว่างภูเขา ซึ่งผู้คนอาศัยอย่างกระจายตัวแบ่งกันเป็นก
ลุ่ม อาจเรียกว่ากลุ่มวัฒนธรรมล้านนา โดยจะมีวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมเก่าแก่เป็นของตนเองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่องค์
ประกอบที่สำคัญก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก อาทิ สำเนียงการพู ด การขับร้อง ฟ้อนรำ การดำรงชีวิตแบบเกษตรกร การนับถือ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณของบรรพบุรุษ ความเลื่อมใสในพระพุ ทธศาสนาแบบเถรวาท การแสดงออกของความรู้สึกนึกคิดและ
อารมณ์โดยผ่านภาษาวรรณกรรม ดนตรี งานฝีมือแม้กระทั่งการจัดงานฉลองสถานที่สำคัญที่มีมาแต่โบราณ และประเพณีพิธีกรรมที่
งดงามที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ โดยจะยกตัวอย่างประเพณีและพิธีกรรมที่มีความเอกลักษณ์และแสดงออกถึงความเป็นล้านนา
ดังนี้
ยี่เป็ง เป็นประเพณีของชาวล้านนา จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุก ๆ ปีที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มาของชื่อมาจากภาษาล้านนา โดยคำ
ว่า “ยี่” หมายถึง เดือนที่สองของคนล้านนา ส่วนคำว่า “เป็ง” หมายถึง พระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เนื่องจากประเพณีนี้จะจัดขึ้นในวัน
เพ็ญเดือนสองของชาวล้านนา ซึ่งตรงกับเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติไทย เช่น โดยจะมีการจุด “ตามผางผะติ้ป” (จุดประทีป)
การแสดงประติมากรรมโคมไฟสีสันยี่เป็ง พิธีบวงสรวงขอขมาแม่น้ำปิง การเข้าวัดทำบุญ เป็นต้น
33 ประเพณีและพิธีกรรม
ทานขันข้าว (ตานขันข้าว : ภาษาถิ่น) คือ การถวายสำรับกับข้าวหรือถวายถาดใส่ข้าวและอาหาร ซึ่งประชาชนชาวเหนือนิยมทำ
กันมาช้านานแล้ว โดยความมุ่งหมาย คือ 1. ทานขันข้าวเพื่อตัวเอง 2. ทานขันข้าว เพื่ออุทิศแก่บรรพชน 3. ทานขันข้าวเพื่อบูชาคน 4.
ทานขันข้าวเพื่อบูชาเทพยดาทั้งหลาย การทานขันข้าว เป็นกิจอย่างหนึ่งเนื่องด้วยความกตัญญู กตเวที และความเป็นคนมีการ
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของประชาชน เมื่อได้ทำกันเป็นประจำจนกลายเป็นประเพณี การปฏิบัติสืบกันมา ไม่ขาดสายจนกระทั่งทุกวันนี้
ปอยหลวงหรืองานบุญปอยหลวง เป็นงานทำบุญเพื่อเฉลิมฉลองศาสนสมบัติต่างๆ เพื่อให้เกิดอานิสงส์แก่ตนและครอบครัว
ซึ่งประกอบไปด้วย “ครัวทาน” และ “การทานทุง (การตานตุง)” นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องแสดงถึงความสามัคคีกลมเกลียวของคณะ
สงฆ์และชาวบ้านด้วย การทำบุญปอยหลวงที่นิยมทำกันคือทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป
แล้วก็ได้ สิ่งสำคัญที่ได้จากการทำบุญงานปอยหลวงอีกอย่างหนึ่งก็คือ การแสดงความชื่นชมยินดีร่วมกันเพื่อความสนุกสนาน
เพลิดเพลินให้แก่คนในท้องถิ่นโดยการจัดมหรสพสมโภชเพราะหนึ่งปีถึงจะได้มีโอกาสได้เฉลิมฉลองถาวรวัตถุต่างๆ ได้ หรือบางแห่ง
อาจใช้เวลาหลายปีเพราะสิ่งปลูกสร้างบางอย่างใช้เวลาสร้างนานมาก สิ้นเปลืองเงินทองมหาศาล จะต้องรอให้สร้างเสร็จและมีเงินจึง
จะจัดงานเฉลิมฉลองเป็นงานปอยหลวงขึ้นมาได้ โดยจะนิยมจัดในจังหวัดลำพู น จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือมี
ผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง เช่น จังหวัดเชียงรายบางอำเภอ เป็นต้น
ฟ้อนผีปู่ย่า คือ การฟ้อนรำ เพื่อเป็นการสังเวย หรือแก้บนผีของบรรพบุรุษ ซึ่งชาวบ้านทางภาคเหนือนับถือกัน แต่ในปัจจุบัน
ได้เลือนหายไปมากแล้ว ยังมีปฏิบัติกันอยู่บ้างในชนบทของภาคเหนือ ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ สันนิษฐานว่า เป็นประเพณีมาจากมอญ
เพราะสังเกตได้จากเวลาการเขาทรงจะเป็นแบบการแต่งตัวของพวกมอญโบราณ และพวกมอญนี้เองที่จไทยทางภาคเหนือเรียกว่า
เม็ง และการฟ้อนผีมดผีเม็งนี้เป็นการสังเวยบรรพบุรุษ ซึ่งจะจัดอยู่ในวงศาคณาญาติ หรือที่เรียกว่าตระกูลเดียวกัน ในวันครบรอบปี
หรือบางครั้งก็รอบ 2 หรือ 3 ปี แล้วแต่จะสะดวก
สลากภัต เป็นประเพณีเนื่องในพระพุ ทธศาสนาที่กระทำสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งพุ ทธกาล มักทำกันตั้งแต่เดือน 12 เหนือ ถึง
เดือนยี่เหนือ หรือตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านหยุดพักจากทำนา พระสงฆ์ก็จำพรรษาอยู่ในวัด
เพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ผลไม้มากและกำลังสุก เช่นส้มโอ ส้มเกลี้ยง กล้วย อ้อย และยังเป็นช่วงที่ข้าวเปลือกหรือข้าวสารของใกล้
หมดยุ้งฉาง จึงเป็นโอกาสอันเหมาะสมโดยมีความเชื่อว่าการตานก๋วยสลากนอกจากจะเป็นการทำบุญแก่ญาติผู้ล่วงลับแล้วยังเป็นการ
ทำทานสงเคราะห์แก่คนยากไร้ ซึ่งถือว่ามีกุศลแรง
ประเพณีและพิ ธีกรรมภาคกลาง
ภาคกลางถือได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างภาคเหนือ
ภาคอีสาน และภาคใต้ ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยที่ราบซึ่งเกิดจากการที่แม่น้ำพัดพาเอาเศษหิน เศษดิน กรวดทราย และตะกอนมา
ทับถมพอกพู น บริเวณที่ราบของภาคนี้มีอาณาบริเวณตั้งแต่ทางใต้ของจังหวัดอุตรดิตถ์ลงไปจนถึงอ่าวไทย นับเป็นพื้นที่ราบที่มี
ขนาดกว้างใหญ่กว่าภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ ไทย จึงมีวัฒนธรรมและพิธีกรรมภาคกลางที่มีความหลากหลายของชาติพันธ์และมี
ความน่าสนใจมากมาย ดังนี้
กวนข้าวทิพย์ เป็นพระราชพิธีที่กระทำกันในเดือน 10 ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี และได้รับการ
ฟื้นฟู ครั้งใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 1 แล้วมาได้รับการฟื้นฟู อีกครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะจัดกันใน
เดือน 12 บางแห่งก็เดือนหนึ่ง ซึ่งคงจะถือเอาระยะที่ข้าวกล้า ในท้องนามีรวงขาวเป็นน้ำนมของแต่ละปี และชาวบ้านก็มีความพร้อม
เพรียงกัน การกวนข้าวทิพย์เป็นพิธีกรรมของศาสนา พราหมณ์ที่มีสอดแทรกเข้ามาปะปนในพิธีกรรมทางพุ ทธศาสนา เพื่อถวายแด่
พระภิกษุสงฆ์ และบูชาพระรัตนตรัยอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย
ทำขวัญข้าว มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นพิธีที่ชาวนาทำกัน จะทำการเมื่อชาวนาเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแล้วเพื่อที่จะเรียกขวัญใน
นาที่ตกหล่นอยู่บ้างกลับมาขึ้นบ้านให้หมดเพราะเขาถือว่าแม่โพสพต้องเชิญมาขึ้นฉางข้าวให้หมด เมื่อข้าวสุกเหลืองพร้อมที่จะเก็บได้
แล้ว ก่อนที่จะเกี่ยวข้าวต้องทำพิธีรวบข้าวก่อน แต่ก่อนรวบข้าวต้องดูฤกษ์เสียก่อนว่าจะรวบได้วันใด วิธีการรวบข้าวต้องรวบกลาง
แปลงนาข้าว โดยนำข้าวสามกอมารวบมัดไว้ด้วยกัน เวลารวบข้าวต้องใช้คาถาว่าด้วยคาถารวบข้าว ประเพณีทำขวัญข้าวทำกันทุก
ท้องที่และแทบทุกครัวเรือนที่มีการทำนา ทำแล้วอุ่นใจว่าเป็นสิริมงคล ไม่ประสบภาวะอดอยาก ทำนาได้ผล มีข้าวกินตลอดปี
ประเพณีและพิ ธีกรรม 34
กำฟ้า เป็นประเพณีของชาวไทยพวนในจังหวัดที่มีชาวพวนอาศัยอยู่ได้ยึดถือปฏิบัติต่อกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ “กำ” ในภาษา
ไทยพวน หมายถึง การนับถือและสักการะบูชา ดังนั้น กำฟ้า จึงหมายถึงประเพณีนับถือ สักการะบูชาฟ้า เนื่องจากชาวพวนเป็นกลุ่ม
ชนที่ประกอบอาชีพทางการเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ในสมัยดั้งเดิมการทำนาต้องอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ชาวนาในสมัยนั้นจึงมี
การเกรงกลัวฟ้ามาก ไม่กล้าที่จะทำอะไรให้ฟ้าพิโรธ ถ้าฟ้าพิโรธย่อมหมายถึง ความแห้งแล้ง อดยาก หรือฟ้าอาจผ่าคนตาย ประชาชน
กลัวจะได้รับความทุกข์ยากอันเป็นภัยจากฟ้า จึงมีการเซ่นสรวง สักการะบูชาผีฟ้า ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเอาใจ มิให้ฟ้าพิโรธ หรืออีกนัย
หนึ่ง ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมนั้น รู้สึกสำนึกในบุญคุณของผีฟ้าที่ได้ให้น้ำฝน อันหมายถึงความชุ่มชื้น ความอุดม
สมบูรณ์ มีชีวิตของคน สัตว์ และพืชพรรณต่างๆ จึงได้เกิดประเพณีกำฟ้าขึ้น เพื่อเป็นการประจบผีฟ้าไม่ให้พิโรธ และเป็นการแสดง
ความขอบคุณต่อเทพยาดาแห่งท้องฟ้าหรือผีฟ้า
การบวงสรวงศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เสาหลักเมืองเป็นโบราณวัตถุที่สำคัญคู่บ้านคู่เมือง เป็นที่เคารพสักการะ และนับถือ
ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รวมวิญญาณของชาวเมือง ถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของ
บ้านเมือง โดยร่วมกันประกอบพิธีบูชามเหศักดิ์หลักเมือง ที่บริเวณศาลหลักเมือง มีพิธีสงฆ์ก่อนประกอบพิธีบวงสรวง พร้อมทั้งทำ
พิธีพราหมณ์ ถวายเครื่องสังเวย เพื่ออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ผู้ปกปักษ์คุ้มครองเมืองปทุมธานี ให้มา
รับเครื่องสังเวย พร้อมกับโปรยข้าวตอก ดอกไม้ ตั้งจิตอธิษฐานขอพร ทำพิธีผูกผ้าแพรสามสี และคล้องมาลัยหลักเมือง
ประเพณีและพิ ธีกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือ และตะวันออกของภาค
โดยทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพู ชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์ และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือ และ
ภาคกลาง ซึ่งเทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือยอดภูกระดึง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของชาวอีสาน เช่น ลำตะคอง
แม่น้ำชี และแม่น้ำมูลอีสาน มีเนื้อที่ประมาณ 170,000 ตารางกิโลเมตร เทียบได้กับหนี่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย ซึ่ง
ประกอบด้วยจังหวัดต่าง ๆ กว่า 20 จังหวัด เนื่องด้วยจำนวนประชากรและความแตกต่างกันชาติพันธ์จึงทำให้ภาคตะวันออกเฉียง
เหนือมีประเพณีและพิธีกรรมที่มีความหลากหลายและแปลกใหม่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ผีตาโขน เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคอีสาน ของประเทศไทย เป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นใน
เดือน 7 ซึ่งมักจัดมากกว่าสามวันในบางช่วงระหว่างเดือนมีนาคม และกรกฎาคม โดยจัดขึ้นในวันที่ได้รับเลือกให้จัดขึ้นในแต่ละปีโดย
คนทรงประจำเมือง ผีตาโขนนั้นเดิมมีชื่อเรียกว่า ผีตามคน เป็นเทศกาลที่ได้รับอิทธิพลมาจากมหาเวสสันดรชาดก ชาดกในทาง
พระพุ ทธศาสนา ที่ว่าถึงพระเวสสันดร และพระนางมัทรี จะเดินทางออกจากป่ากลับสู่เมืองหลวง บรรดาสัตว์ป่ารวมถึงภูติผีที่อาศัย
อยู่ในป่านั้น ได้ออกมาส่งเสด็จด้วยอาลัย และประเพณียังคงมีความเชื่อกันว่า สำหรับคนที่เล่นหรือมีการแต่งตัวเป็นผีตาโขนใหญ่
ต้องถอดเครื่องแต่งกายผีตาโขนใหญ่ออกให้หมดและนำไปทิ้งในแม่น้ำหมัน ห้ามนำเข้าบ้าน เป็นการทิ้งความทุกข์ยากและสิ่งเลวร้ายไป
และรอจนถึงปีหน้าจึงค่อยทำเล่นกันใหม่
แห่นางแมว จะทำในปีที่ฝนมาล่า พิธีเริ่มต้นตั้งแต่บ่ายโมงจนมืดค่ำ ชาวบ้านจะเอาแมวตัวเมียใส่ชะลอมเข่งหรือตะกร้า เอาฝา
ปิดให้แน่น เอาไม้คานสอดเข้าแล้วหาบไป มีคนแห่แวดล้อมนางแมวคนหนึ่งถือพานนำหน้าร้องเชิญให้ทุกคนมาร่วมพิธีขอฝน นอกนั้นก็
มีเครื่องดนตรีประกอบเพลง เช่น กลอง กรับ ฉิ่ง เมื่อเคลื่อนขบวนออกเดิน ต่างก็ร้องบทแห่นางแมว ซึ่งมีข้อความคล้ายกันหรือ
เพี้ยนแตกต่างกันบ้าง แห่ไปตามละแวกบ้านจนทั่วแล้วก็กลับ เมื่อแห่ไปถึงบ้านใคร เจ้าบ้านจะเอาภาชนะตักน้ำสาดลงไปในชะลอมเข่ง
หรือตะกร้าที่ขังแมว เจ้าของบ้านจะให้รางวัลแก่พวกแห่นางแมว เป็นเหล้า ข้าว ไข่กับขนมหรือเป็นเงินใส่พาน ทำเช่นนี้เรื่อยไป
บุญผะเหวด (พระเวส) มีความเกี่ยวข้องกับชาดกเรื่อง พระมหาเวสสันดร ชาดกที่แสดงบารมี 10 ประการของพระชาติ
สุดท้ายของพระพุ ทธเจ้าที่ได้ทรงเพียรบำเพ็ญเพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุ ทธเจ้า ในภาษาอีสานจะออกเสียง “พระเวส” เป็น “ผะเหวด”
จึงเป็นชื่อเรียกบุญนี้ว่า “บุญผะเหวด” เป็นประเพณีการบริจาคทานครั้งยิ่งใหญ่ คืองานมหากุศล ให้รำลึกถึงการบำเพ็ญบุญ คือ
ความดีที่ยิ่งใหญ่ อันมีการสละความเห็นแก่ตัว ของพระเวสสันดร เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติ มีการฟังเทศน์มหาชาติตั้งแต่กัณฑ์
แรก ถึงกัณฑ์สุดท้าย โดยเชื่อว่าถ้าฟังเทศน์มหาชาติครบทุกกัณฑ์ภายในวันเดียวจะทำให้ไปเกิดในภพพระอริยเมตไตรย์
บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งมีที่มาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องพญาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทานพื้นบ้านดังกล่าวได้
กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พญาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า
พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญ
บั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ โดยชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ และโลกเทมนุษย์อยู่ใต้
อิทธิพลของเทวดา การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า
ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธี
หนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน
35 ประเพณีและพิธีกรรม
ประเพณีและพิ ธีกรรมภาคใต้
ภาคใต้ จากการแบ่งพื้นที่ตามราชบัณฑิตยสถานมีทั้งสิ้น 14 จังหวัด ถือว่าเป็นดินแดนแห่งหมู่เกาะและท้องทะเลอันงดงาม
อีกทั้งยังมีอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติมากมาย นอกจากนี้ศิลปะวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวใต้ยังโดดเด่นมีเอกลักษณ์
ดังนี้
สารทเดือนสิบ ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อ ซึ่งมาจากทางศาสนาพราหมณ์ โดยมีการผสมผสานกับความเชื่อทางพระพุ ทธ
ศาสนา ซึ่งเข้ามาในภายหลัง มีความเชื่อกันว่าเชื่อว่าบรรพบุรุษอันได้แก่ ปู่ย่า ตายาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความชั่ว
จะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศส่วนกุศลให้แต่ละปีมายังชีพ ดังนั้นในวันแรม 1
ค่ำเดือนสิบ คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง และจะ
กลับไปนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ได้อบรมเลี้ยงดูลูกหลาน
เพื่อตอบแทนบุญคุณ ลูกหลานจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ และฤดูฝนในภาคใต้จะเริ่มขึ้นในปลายเดือนสิบ พระภิกษุสงฆ์บิณฑบาต
ยากลำบาก ชาวบ้านจึงจัดเสบียงอาหารนำไปถวายพระในรูปของหุมุรับ ให้ทางวัดได้เก็บรักษาเป็นเสบียงสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในฤดูฝน
ให้ทานไฟ เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยของพุ ทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช ที่มี
ความปรารถนาให้พระภิกษุสามเณรคลายหนาวโดยการถวายอาหารร้อนๆ ซึ่งคล้ายกับพระราชพิธีเลี้ยงพระภิกษุสงฆ์ด้วยขนมเบื้อง
และถวายไฟและอาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความอบอุ่นในเวลาตอนเช้ามืดช่วงเดือนฤดูหนาว โดยใช้ลานวัดเป็นที่ก่อกอง
ไฟ ขณะที่ทำขนมกันไป พระสงฆ์ก็ฉันไปพร้อม ๆ กันเมื่อพระสงฆ์ฉันอิ่มแล้วชาวบ้านจึงร่วมรับประทานกันอย่างสนุกสนาน หลังจาก
พระสงฆ์ฉันอหารเสร็จแล้ว ก็สวดมนต์ให้ศีลให้พรแก่ผู้ที่มาทำบุญเป็นอันเสร็จพิธี
กวนข้าวยาคู หรือที่ทางพุ ทธศาสนาเรียกกันว่า “ข้าวมธุปายาสยาคู” ที่เป็นความเชื่อเกี่ยวเนื่องกับพุ ทธประวัติ เป็นเหตุการณ์
ตอนที่นางสุชาดาได้มีการถวายข้าวมธุปายาสยาคูให้พระพุ ทธเจ้าเสวย ชาวบ้านจะนิยมกวนข้าวยาคูนั้นจะอยู่ในช่วงขึ้น 13 และ 14 ค่ำ
เดือน 3 ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ข้าวในนากำลังออกรวงสวย เมล็ดข้าวยังไม่แก่ เหมาะแก่การนำมาเป็นน้ำนมข้าวสำหรับการกวน โดย
พิธีกรรมนี้จะใช้วัดซึ่งเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนเป็นสถานที่ในการประกอบพิธี โดยจะใช้สาวพรหมจารีจะเป็นผู้เริ่มในการกวน นุ่ง
ขาวห่มขาว ต้องรับสมาทานเบญจศีลก่อนเข้าพิธีกวน เพื่อความบริสุทธิ์และความเป็นสิริมงคล
แห่นางดานเป็นประเพณีที่เก่าแก่ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา
ตั้งแต่ครั้งมีชุมชนพราหมณ์เกิดขึ้นในนครศรีธรรมราช หรือเมื่อราว พ.ศ. 1200 เพื่อบูชาเทพบริวารในคติพราหมณ์ นางดาน หรือ
นางกระดาน หมายถึงแผ่นไม้กระดานขนาดกว้างหนึ่งศอก สูงสี่ศอก ที่วาดหรือแกะสลักรูปเทพบริวารในคติความเชื่อของพราหมณ์
จำนวน 3 องค์ องค์ละแผ่น แผ่นแรกคือพระอาทิตย์ พระจันทร์ แผ่นที่สองคือพระธรณี แผ่นที่สามคือพระนางคงคา ใช้ในขบวน
แห่แหนมารับเสด็จพระอิศวร (หรือพระศิวะ) ที่เสด็จมาเยี่ยมมนุษย์โลกในวันขึ้นปีใหม่ของพราหมณ์ คือในเดือนอ้าย ขึ้น 7 ค่ำ และจะ
ประทับอยู่ในมณฑลพิธีบริเวณหอพระอิศวรจนกระทั่ง เดือนอ้ายแรมค่ำ จึงเสด็จกลับ (รวมเวลาที่ประทับ 10 ราตรี) ในเวลาโพล้เพล้
ขบวนแห่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประโคมอันมีปี่ นอก กลองแขก มีปลัดหลวงเดินนำหน้าเสลี่ยงละคนมีพราหมณ์ถือสังข์เดินตาม ปิด
ท้ายขบวนด้วยนางละครหรือนางอัปสร และพราหมณ์ถือโคมบัว
ประเพณีและพิ ธีกรรม 36
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ประเพณีและพิธีกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “บายศรีสู่ขวัญ”
บทสนทนาประเพณีภาคอีสาน “บายศรีสู่ขวัญ”
เจมส์ : สวัสดี ทิม ช่วงนี้ฉันมีโอกาสได้ไปเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยด้วยล่ะ
ทิม : ดีจังเลยการท่องเที่ยวเป็นอย่างไรบ้าง
เจมส์ : มันดีมากเลยล่ะ ได้ไปท่องเที่ยวหลายสถานที่เช่น ปราสาทหินพิมาย อุทยานแห่งชาติผาแต้ม
และฉันก็ได้มีโอกาสได้เข้าร่วมพิ ธีกรรมที่น่าสนใจอย่างหนึ่งด้วยล่ะ
ทิม : นั่นคือพิธีกรรมอะไรเหรอ?
เจมส์ : ฉันได้ยินจากคนที่ได้ร่วมพิธีกรรมนี้ พวกเขาเรียกว่าพิธีบายศรีสู่ขวัญ
ทิม : แล้วนั่นเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับอะไรเหรอ?
เจมส์ : เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการสร้างขวัญและกำลังใจให้กลับมาอยู่กับตัวเอง พวกเขาเชื่อว่า
จะทำให้สามารถผ่านพ้ นปัญหาต่างๆได้ด้วยดี
ทิม : ว้าว ฟังดูน่าสนใจมากๆเลยนะ
เจมส์ : เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆเลยล่ะ
คำศัพท์
โอกาส หมายถึง เวลาที่เหมาะ จังหวะ
นั่น หมายถึง คำใช้แทนนามที่หมายถึงบุคคล สิ่งที่อยู่ห่างออกไป หรือเรื่องที่ไกลตัว เช่น นั่นใคร นั่นอะไร นั่นมันเรื่องของคุณ
ขวัญ หมายถึง สิ่งที่ไม่มีตัวตน เชื่อกันว่ามีอยู่ประจำชีวิตของคนตั้งแต่เกิดมา ถ้าขวัญอยู่กับตัวก็เป็นสิริมงคล เป็นสุขสบายจิตใจ
มั่นคง ถ้าคนตกใจหรือเสียขวัญ ขวัญก็ออกจากร่างไป ซึ่งเรียกว่า ขวัญหาย ขวัญหนี ขวัญบิน เป็นต้น
กำลังใจ หมายถึง สภาพของจิตใจที่มีความเชื่อมั่นและกระตือรือร้นพร้อมที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ทุกอย่าง
ปัญหา หมายถึง ข้อสงสัย ข้อขัดข้อง เช่น ทำได้โดยไม่มีปัญหา, คำถาม ข้อที่ควรถาม เช่น ตอบปัญหา, ข้อที่ต้องพิจารณาแก้ไข เช่น
ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาทางการเมือง
ประสบการณ์ หมายถึง ความจัดเจนที่เกิดจากการกระทำหรือได้พบเห็นมา
พิธีบายศรีสู่ขวัญ หมายถึง ป็นประเพณีอย่างหนึ่งของคนไทย และคนลาว ด้วยความเชื่อที่ว่า ทุกคนเกิดมาพร้อมกับสิ่งนามธรรม
อย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า “ขวัญ” ซึ่งมีหน้าที่รักษาประคับประคองชีวิตและติดตามเจ้าของไปทุกหนแห่ง การทำพิธีสู่ขวัญจึงเป็นการเชิญ
ขวัญที่หนีหายไปให้เข้ามาอยู่กับตัว และเชื่อว่าเป็นการส่งเสริมพลังใจให้เข้มแข็ง มีสติและไม่ประมาท
ภาคอีสาน หมายถึง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นอีกชื่อหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ปราสาท หมายถึง เรือนยอดซ้อนกันเป็นชั้น ๆ สำหรับเป็นที่ประทับเฉพาะพระมหากษัตริย์หรือเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อุทยานแห่งชาติ หมายถึง พื้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งที่ได้สงวนรักษาไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่การ
ศึกษาและความรื่นรมย์ของประชาชน โดยมีพระราชกฤษฎีกาประกาศกำหนดให้เป็น อุทยานแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่ง
ชาติ
37 ประเพณีและพิธีกรรม
ประเพณีและพิธีกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “บายศรีสู่ขวัญ”
ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ (ผูกข้อต่อแขน)
บายศรี หมายถึง ข้าวอันเป็นศิริมงคล ข้าวขวัญ ภาชนะใส่เครื่องสังเวยในพิธีทำขวัญ การบายศรีสู่ขวัญเริ่มมีมาตั้งแต่สมัย
โบราณกาล เป็นการทำพิธีเพื่อเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับตัว ให้ขวัญเป็นเหมือนผู้ที่คอยดูประคับประคองชีวิตให้มีจิตใจเข้มแข็ง มี
ความปลอดภัย เพื่อความเป็นศิริมงคล ในพิธีกรรมจะต้องมี พานบายศรีมาตั้ง (ขันหมากเบ็ง) ที่เย็บด้วยใบตองเป็นชั้นๆเริ่มด้วยการ
แห่พานบายศรีมาตั้งโต๊ะที่ปูด้วยผ้าจากนั้นพราหมณ์จะเป็นผู้ สวดจุดธูปเทียนผู้สวดจะเชิญขวัญ และให้เจ้าของขวัญจับพานพาขวัญผู้
สวดจะสวดอวยพร จากนั้นก็ผูกข้อมือก็เป็นอันว่าเสร็จพิธี
พิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นพิธีที่สำคัญของชาวอีสาน เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับขวัญและจิตใจ เพื่อให้เกิดขวัญและกำลังใจที่ดีขึ้น การดำเนิน
ชีวิตของชาวอีสานแทบทุกอย่าง จึงมีการบายศรีสู่ขวัญควบคู่กันไปเสมอ เป็นการเรียกร้องพลังทางจิต ช่วยให้มีพลังใจที่เข้มแข็ง
สามารถฟันฝ่าภัยพิบัติต่างๆได้ การสู่ขวัญช่วยทำให้เกิดมงคล ทำให้ดำรงอยู่ด้วยความสุขราบรื่น มีโชคลาภมากขึ้น และอาจดล
ปรารถนาให้ผู้ที่เคราะห์ร้ายพ้นจากสรรพเคราะห์ทั้งปวง ด้วยมูลเหตุแห่งการสู่ขวัญ การบายศรีสู่ขวัญ เป็นวัฒนธรรมอันดีของชาว
อีสานและชาวเหนือจัดขึ้นเพื่อเป็นการรับขวัญ และเรียกขวัญของผู้ที่จากบ้านไปไกลด้วยเวลาอันยาวนาน หรือผู้ที่เพิ่งหายป่วยไข้
ตลอดจนเป็นการแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในทางราชการ และเป็นการต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนซึ่งในภาคอีสาน
นั้น เมื่อมีการจัดงานอะไรก็ตาม ก็จะมีพิธีบายศรีสู่ขวัญควบคู่ไปด้วยการจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญก็เพื่อต้อนรับแขกนั้น มักจะทำกันอย่าง
สวยงามใหญ่โต
พิ ธีกรรม
พิธีสู่ขวัญ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า บายศรี จัดทำกันดังนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่จะช่วยกันจัดทำพานขวัญ (พานบายศรี) นิยมใช้ใบตอง
จับจีบตามแบบโบราณจัดใส่พาน จะเป็นพานขวัญธรรมดา 3 ชั้น 5 ชั้น ชั้นล่างมีบายศรีดอกไม้ ข้าวต้ม ขนม กล้วย ชั้นที่ 2 , 3, 4 มี
บายศรีดอกไม้ ชั้น 5 มีบายศรีดอกไม้ ฝ้ายผูกแขน เทียนเวียนหัว 7 ชั้น จัดพานรอง 3 ชั้น บายศรี 4 ชั้น แล้วจัดพานอีกใบหนึ่ง
สำหรับใส่ผ้าผืนแพรวา แว่น หวี น้ำอบ น้ำหอม สร้อย แหวน ส่วนประกอบอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ หมาก พลู บุหรี่ อาหาร ข้าวต้ม ขนม
หวาน ไก่ต้ม สุรา จัดวางประกอบไว้อย่างสวยงาม พร้อมด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวของผู้เป็นเจ้าของขวัญ พิธีจะเริ่มด้วยการแห่พาน
บายศรีเป็นขบวนฟ้อนนำพานบายศรีออกมาตั้งบนตั่งที่ปูผ้าขาวรองไว้ จากนั้นหมอสูตรขวัญ (พราหมณ์) จะเป็นผู้สวดชุมนุมเทวดา
จุดเทียนเวียนหัวจุดธูปกราบพระพุ ทธรูป และพระสงฆ์ มีคู่สู่ขวัญเอามือขวาจับด้ายสายสิญจน์ เจ้าของขวัญจับพานขวัญผู้สวดป่าว
ประกาศเชิญขวัญอวยพร แล้วผูกข้อมือเป็นอันเสร็จพิธี
ประเพณีและพิ ธีกรรม 38
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ประเพณีและพิธีกรรมภาคใต้ “โนราโรงครู”
บทสนทนาพิธีกรรมภาคใต้ “โนราโรงครู”
แทน : เราเห็นพิธีกรรมหนึ่ง น่าสนใจมากเลย คือประเพณีครูหมอโนราห์
จิม : หืม? มันเกี่ยวกับอะไรเราไม่รู้จักเลย
แทน : มาเดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟัง
จิม : เยี่ยมไปเลย ว่าแต่เราเคยได้ยินอีกพิธีหนึ่งเรียกว่าโนราลงครู มันเหมือนกันไหม
แทน : มันไม่เหมือนกันนะแต่จะอยู่ในพิธีเดียวกัน
จิม : อ๋ออย่างนี้นี่เองเข้าใจแล้ว
คำศัพท์
โนราโรงครู หมายถึง โนราที่แสดงเพื่อประกอบพิธีเชิญครูหรือบรรพบุรุษโนรามายังโรงพิธีเพื่อรับ การเซ่นสังเวย เพื่อรับของแก้บน
และเพื่อครอบเทริดหรือผูกผ้าแก่ผู้แสดงโนรารุ่นใหม่ ด้วยเหตุที่ต้องทำการ เชื้อเชิญครูมาเข้าทรงหรือมา "ลง" ยังโรงพิธี จึงเรียก
พิธีกรรมนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "โนราลงครู"
เยี่ยม หมายถึง ยิ่ง, เด่น, เลิศ, เช่น ดีเยี่ยม
ครูหมอโนราห์ หมายถึง ครูบูรพาจารย์โนรา และบรรพบุรุษของโนราที่ล่วงลับไปแล้ว บางแห่งเรียกว่า "ตายายโนรา" มีพระเทพสิงหร
ขุนศรีศรัทธา พระม่วงทอง แม่ศรีมาลา แม่นวลทองสำลี เป็นต้น
เกี่ยว หมายถึง โดยปริยายหมายความว่า เนื่อง เช่น เกี่ยวด้วยเรื่องนี้
กับ หมายถึง เป็นคำที่เชื่อมคำหรือความเข้าด้วยกัน มีความหมายว่า รวมกัน เช่น ฟ้ากับดิน กินกับนอน หรือมีความหมายที่เกี่ยวข้อง
กัน
จะ หมายถึง คำช่วยกริยาบอกอนาคต เช่น จะไป จะอยู่
เหมือนกัน หมายถึง อย่างเดียวกัน ไม่แปลกกัน เช่น พี่น้องคู่นี้มีนิสัยเหมือนกัน
เดียวกัน หมายถึง รวมเป็นหนึ่ง ไม่แบ่งแยกกัน เช่น เป็นอันเดียวกัน, เหมือนกัน เช่น หัวอกเดียวกัน ใจเดียวกัน
เข้าใจ หมายถึง รู้เรื่อง รู้ความหมาย
แล้ว หมายถึง ลักษณะอาการกระทำใด ๆ เสร็จ สิ้น จบ ล่วงไป หรือสุดสิ้นลง เช่น กินแล้ว ทำแล้ว นอนแล้ว หรือต่อแต่นั้นเริ่มใหม่
อีกระยะหนึ่ง (จะเป็นการกระทำอย่างเดียวกันหรือต่างกันแล้วแต่กรณี) เช่น กินแล้วนอน ขึ้นรถแล้วลงเรือ
39 ประเพณีและพิธีกรรม
ประเพณีและพิธีกรรมภาคใต้ “โนราโรงครู”
ความเป็นมาและขั้นตอนของ“โนราโรงครู”
โนรา เป็นมากกว่าแค่การแสดง เพราะโนรายังได้รวมเอาเรื่องความเชื่อ พิธีกรรม และสายสัมพันธ์ของชาวโนราและชาวปักษ์
ใต้เข้าไว้ด้วยกัน นั่นจึงเป็นที่มาของ โนราโรงครู หรือ โนราลงครู พิธีกรรมสำคัญของตระกูลผู้สืบสานโนรา ซึ่งฝ่ายภาพนิตยสาร
สารคดี ได้มีโอกาสบันทึกภาพ โนราโรงครู ที่อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา โดยคำว่า โนราโรงครูไม่ใช่เพียงแค่การพบปะสานสัมพันธ์
ของลูกหลานตระกูลโนราหรือเพียงแค่บูชาครูนาฏศิลป์ตามธรรมเนียม แต่โนราโรงครูยังถูกผูกโยงไว้ความเชื่อเรื่อง “ครูหมอโนรา”
และ “ตายาย” ในความหมายของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วเข้าไว้ด้วยกัน
ตามความเชื่อของชาวโนรา ตายาย มีฤทธิ์ทั้งให้คุณและให้โทษแก่ลูกหลาน เมื่อตายายทำหน้าที่ดูแลลูกหลานให้เป็นอยู่เย็น
เป็นสุข ลูกหลานก็จะต้องตอบแทนด้วยการถวายเครื่องเซ่นและเชิญตายายมาเข้าทรงในพิธี โนราโรงครู ในวัฒนธรรมโนรานั้นตายาย
มีทั้งที่ปรากฏในตำนาน และตายายที่เคยมีตัวตนจริงๆ บนโลกมนุษย์ ตายายที่ปรากฏในตำนานหรือที่เรียกกันว่า ครูหมอโนรา เป็นตา
ยายที่ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานกำเนิดโนรา ซึ่งลูกหลานโนราแต่ละตระกูล อาจนับถือครูหมอโนราต่างกันไปตามชุดตำนานที่สืบทอดกันมา
ในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ตำนานนางนวลทองสำลี ตำนานตายายพราหมจันทร์ ตำนานเจ้าแม่อยู่หัว เป็นต้น ด้านครูหมอโนราที่ลูกหลาน
เชิญมาร่วมพิธีมักมีด้วยกัน 12 องค์ ได้แก่ พระเทพสิงหรหรือพ่อเทพสิงหร ขุนศรีศรัทธาหรือขุนศรัทธา พระม่วงทองหรือตาม่วง
ทอง หม่อมรอง พระยาสายฟ้าฟาด พรานบุญ แม่ศรีมาลา แม่นวลทองสำลี แม่แขนอ่อนฝ่ายขวา แม่แขนอ่อนฝ่ายซ้าย แม่ศรีดอกไม้
และแม่คิ้วเหิน
ตามปรกติพิธีโรงครูจะมีทั้งหมด 3-4 วัน แต่เนื่องจากการตั้งโรงครูแต่ละครั้งต้องใช้เวลาเตรียมการนานและใช้เงินมาก ทั้ง
ในการปลูกสร้างโรง จ้างคณะโนรา เตรียมเครื่องเซ่นไหว้ และอาหารเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน บางครั้งเมื่อถึงกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้
กับตายาย แต่ทางเจ้าภาพยังไม่พร้อม ลูกหลานก็อาจจะตั้งโรงครูเล็กหรือพิธีค้ำครู (เป็นพิธีแบบย่นย่อโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน หนึ่ง
คืน) ให้ก่อน เพื่อไม่เป็นการผิดสัญญาอันเป็นเหตุให้ถูกตายายลงโทษ และหากพร้อมเมื่อไรจึงประกอบพิธีโนราโรงครูพิธีใหญ่ตามมา
โนราโรงครู ยังมีขั้นตอนที่สำคัญสุดอยู่ในวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันส่งครู อิงกับความเชิงไสยศาสตร์ของคณะโนราในการส่งวิญญาณตา
ยายกลับสู่ภพหน้าอย่างสงบสุข และกำจัดวิญญาณฝ่ายร้ายไม่ให้วนเวียนอยู่ใกล้บ้านเจ้าภาพ สืบเนื่องจากผีในวัฒนธรรมภาคใต้มี
หลายพวก เมื่อทำพิธีชุมนุมครูในวันแรก จะมีความเชื่อที่ว่ามีผีที่ต้องการและไม่ต้องการให้มาร่วมงาน ผีที่ต้องการให้เข้าร่วมพิธีก็เช่น
ผีเทวดา หรือผีตายาย ซึ่งจะสามารถเข้ามาอาศัยในโรงโนราได้ ส่วนผีที่ไม่ต้องการ เช่น ผีตายโหง ผีไม่มีญาติ จะอยู่ด้านนอก ดังนั้นใน
วันส่งครู โนราจะต้องส่งผีทั้งหมดกลับสู่โลกวิญญาณ ห้ามมายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ ถ้าเป็นผีฝ่ายดีอย่างผีครูหมอ ผีทิศ ก็เพียงแต่เจรจา
บอกกล่าวไม่ต้องตีต้องไล่ แต่ถ้าเป็นผีฝ่ายร้าย พวกผีตายพรายตายโหง ตามความเชื่อจะจัดผีเหล่านี้เป็นพวกผีที่พู ดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
และไม่ค่อยยอมไป บางครั้งต้องใช้ไม้หวายตีขับไล่ ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าส่งผีกลับสู่โลกวิญญาณไปหมดแล้ว ชาวโนราจึงมีความเชื่อ
ว่า ถ้าโนราคนใดมีอาคมไม่เก่งพอ ไล่ผีไม่ไป ผีจะวนเวียนเกาะกินความสุขความเจริญ ของเจ้าบ้านจนล่มจมไปในที่สุด และหนทางแก้ไข
มีทางเดียวคือ ต้องเชิญคณะโนราที่มีความเก่งกว่ามาทำพิธีแก้ ด้วยเหตุนี้พิธีส่งครู จึงเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติอย่าง
เคร่งครัด
ประเพณีและพิ ธีกรรม 40
แบบฝึก
หัดท้ายบท เรื่อง ประเพณีและพิธีกรรม
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเติมคำตอบลงในแผนผังตามหัวข้อที่กำหนดให้ต่อไปนี้ตามความเข้าใจของนักเรียน
ความหมายประเพณีและพิ ธีกรรม ลักษณะของประเพณีและพิ ธีกรรม
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
ประเพณีและพิ ธีกรรม
ประเภทของประเพณีและพิ ธีกรรม บทบาทของประเพณีและพิ ธีกรรม
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
.................................................................................................... ....................................................................................................
41 แบบฝึกหัด เรื่อง ประเพณีและพิธีกรรม
บรรณานุกรม
กระทรวงวัฒนธรรม. (2563). ประเพณีตาน (ทาน)ขันข้าว. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.m-culture.go.th/th/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
กระปุกดอทคอม. (2556). นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องเล่าสนุกแฝงด้วยข้อคิด. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://hilight.kapook.com/view/80973. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2565.
กระปุกดอทคอม. (2556). นิทานพื้นบ้านภาคใต้ รวมเรื่องเล่าจากแดนใต้. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://hilight.kapook.com/view/80884. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2565.
กระปุกดอทคอม. (2556). นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ สนุกเพลิดเพลินได้คติสอนใจ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://hilight.kapook.com/view/80855. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2565.
กระปุกดอทคอม. (2556). นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องเล่าขานตำนานที่ราบสูง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://hilight.kapook.com/view/81805. สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2565.
กระปุกดอทคอม. (2562). ประเพณีภาคกลาง และวัฒนธรรมประเพณีภาคกลาง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://travel.kapook.com/view47566.html. สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2565.
กระปุกดอทคอม. (2562). ประเพณีภาคใต้ และวัฒนธรรมประเพณีภาคใต้. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://travel.kapook.com/view48081.html. สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2565.
กระปุกดอทคอม. (2562). ประเพณีภาคเหนือ และวัฒนธรรมประเพณีภาคเหนือ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://travel.kapook.com/view68566.html. สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2565.
กระปุกดอทคอม. (2561). ประเพณีภาคอีสาน และวัฒนธรรมประเพณีภาคอีสาน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://travel.kapook.com/view47157.html. สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2565.
กิตติพงษ์ พิศมร. (2564). ระดับภาษา. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.trueplookpanya.com/
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
กรมการศาสนากระทรวงวัฒนธรรม. (2552). พิธีกรรมและประเพณี. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.nabon.go.th/news/doc_download/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
คฑาวุธ มีมุข. (2564). องค์ความรู้และการถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://nakorns.nfe.go.th/phayuhakhilee/. สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2565.
คมชัดลึก. (2562). “สารทเดือนสิบ” งานบุญใหญ่เมืองคอน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.komchadluek.net/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
จังหวัดนครนายก. (2560). ประเพณีกวนข้าวทิพย์. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://ww2.nakhonnayok./.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
จังหวัดปทุมธานี. (2560). พิธีบวงสรวงศาลหลักเมืองปทุมธานี. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www2.pathumthani.go.th/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
จังหวัดสระบุรี. (2559). ประเพณีกำฟ้า จังหวัดสระบุรี. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.stou.ac.th/.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
จังหวัดสงขลา. (2563). หาดเก้าเส้ง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.songkhla.go.th/travel/.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ฐานข้อมูลท้องถิ่นกำแพงเพชร-ตาก. (2565). ประเพณีกวนข้าวทิพย์. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้. (2562). ประเพณีการให้ทานไฟ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://clib.psu.ac.th/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
บรรณานุกรม 42
บรรณานุกรม
ทรูปลูกปัญญา. (2560). เพลงพื้นบ้าน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.trueplookpanya.com/.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
เทศบาลตำบลด่านซ้าย. (2560). ประเพณีแห่ผีตาโขน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://tessabandansai.go.th/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ธนาคารกสิกรไทย. (2562). ประเพณียี่เป็ง มนต์เสน่ห์สไตล์ล้านนา. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.kasikornbank.com/th/personal/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ธีรวรรณ เปรโต. (2556). วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพู ดและภาษาเขียน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://sites.google.com/site/thaiinnovationm13/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
นครออนไลน์. (2560). ความเป็นมา “ประเพณีให้ทานไฟ”. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.nakhononline.com/2144/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
บ้านจอมยุทธ. (2560). วรรณกรรมท้องถิ่น. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.baanjomyut.com/libr.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
บ้านรำไทยดอทคอม. (2550). เพลงเต้นกำรำเคียว. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.banramthai.com
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
บล็อกแก๊ง. (2550). นิทานพื้นบ้าน เรื่อง “หมาขนคำ”. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.bloggang.com/viewdiary. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ประเพณีไทยดอทคอม. (2559). กวนข้าวยาคู (ข้าวมธุปายาสยาคู). (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.prapayneethai.com/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ประเพณีปฏิบัติติในไทย. (2563). ประเพณีกวนข้าวยาคู พิธีกรรมสำคัญของภาคใต้. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://culturalnews.net/2020/11/19/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. (2563). บทที่ 5 ระดับภาษา. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://courseware.npru.ac.th/admin/files/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2558). ประเพณีให้ทานไฟ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.mcu.ac.th/article/detail/14307. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2559). หน่วยที่ 8 ประเพณี พิธีกรรมไทย. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.stou.ac.th/Schools/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. (2553). ตำนานพญาคันคาก. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.ubu.ac.th/web/rocket/content/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
มิวเซียมไทยแลนด์. (2563). พิธีแห่นางดาน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.musemthailand.com.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์. (2563). เพลงพื้นบ้าน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.dltv.ac.th/home. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม. (2560). มรดกภูมิปัญญานำพา “สายฝน” : เพลงแห่นางแมว. (ออนไลน์).
แหล่งที่มา : http://ich.culture.go.th/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
รักษ์พงศ์ ธรรมผุสนา. (2554). ระดับภาษาและการใช้ภาษาที่ถูกต้อง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://gened.siam.edu/wp-content/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
เรวดี เอี่ยมจินตนากิจ. (2545). วรรณกรรมท้องถิ่น. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.nectec.or.th/.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
โรม บุนนาค. (2564). “ผาวิ่งชู้” อีกตำนานรักอมตะของหนุ่มสาวต่างฐานันดร!. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://mgronline.com/onlinesection/detail. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
43 บรรณานุกรม
บรรณานุกรม
วารสารวัฒนธรรม. (2561). พญากง พญาพาน กับตำนานพระปฐมเจดีย์. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://article.culture.go.th/index.php/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
วิกิพีเดีย. (2562). บุญบั้งไฟ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
วิกิพีเดีย. (2562). ผีตาโขน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/. สืบค้นเมื่อ 17
สิงหาคม 2565.
ศิลปวัฒนธรรม. (2562). ความเป็นมาของ “ตานก๋วยสลาก” ประเพณีทำบุญให้คนตาย ทำทานให้คนเป็น.
(ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.silpa-mag.com/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ศิลปวัฒนธรรม. (2562). “หมาขนคำ” ตำนานเมืองลำปาง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.silpa-mag.com/history/article_29202. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ศรีศักร วัลลิโภดม. (2533). ประเพณีพิธีกรรมที่เปลี่ยนไป. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://lek-prapai.org/home/view.php?id=935. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2559). ฟ้อนผีมดผีเม็ง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.sac.or.th/.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
สารสนเทศท้องถิ่นอีสาน. (2561). บุญผะเหวด(พระเวส) ระเบียบพิธีบุญเดือนสี่. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/?p=6024. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ. (2555). ประเภทของเพลงพื้นบ้าน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่. (2565). ประเพณีปอยส่างลอง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.m-culture.go.th/chiangmai/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง. (2564). โนราโรงครู. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.m-culture.go.th/phatthalung/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพัทลุง. (2564). ประเพณีการทำขวัญข้าว. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.m-culture.go.th/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง. (2563). ประเพณีฟ้อนผีมด – ผีเม็ง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.m-culture.go.th/lampang/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
สนุกดอทคอม. (2564). บันทึกโนราโรงครูพิธีกรรมความเชื่อที่เชื่อมสัมพันธ์ของชาวโนรา. (ออนไลน์).
แหล่งที่มา : https://www.sanook.com/travel/1430553/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
สนุกดอทคอม. (2564). ประเพณีไทยทั้ง 4 ภาค. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.sanook.com/.
สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
อีจัน. (2565). ประเพณีทำขวัญข้าว ประเพณีที่คู่ควรอนุรักษ์. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
https://www.ejan.com/. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
องค์การบริหารส่วนตำบลบ่อเบี้ย. (2564). ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.bobia.go.th/fileupload/news. สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2565.
บรรณานุกรม 44