ภูมปิ ัญญาจากมาตุภูมิ
บ้านเหลา่ มะเขยี ว
พ่ีนอ้ งเอ้ย !! คนเพิ่นยอ้ งถึงแดนดินถ่ินอสี าน
ว่ามีของโบราณอยเู่ ตม็ ดอกพายพ้ืน เฮามาพากันสรา้ งฮกั สาสบื ตอ่
ของดีมอี ยูแ่ ล้วอยา่ ไรถิม่ ปาวดาย แท้แล้วพ่นี ้องเอ้ย พีน่ อ้ งเอย๋
1. ประวัตหิ ม่บู า้ นเหล่ามะเขียว
เดมิ บา้ นเหล่ามะเขยี ว ตั้งอยู่ทศิ ใต้ของหมู่บา้ น บ้านเหล่ามะเขียว ประมาณ 100 เมตร มชี ่อื วา่ หม่บู า้ น “กงแก้วนครศรี”
มีต้นโพธิ์ 3 ต้นเป็นสัญลักษณ์ ในสมัยนั้นไมม่ ียารกั ษาโรคยึดถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีสาง เช่น ปู่ตา และยาสมุนไพร โดยมีอันญาสมบูรณ์
เป็นผู้เร่ิมตน้ ในการตัง้ หมบู่ า้ น ในครงั้ แรก มปี ระชากร 6 หลังคาเรอื น และขยายเพ่ิมข้ึนอีกเปน็ 50 หลังคาเรอื น
ต่อมาเกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง ทำให้ราษฎรในหมู่บ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก หัวหน้าหมู่บ้านจึงได้พาลูกบ้านอพยพ
ขึ้นมาอาศยั อยู่ทิศเหนือของหมู่บ้านกงแก้วนครศรีประมาณ 100 เมตร ตั้งชื่อหมู่บา้ นใหม่ว่า “บ้านเหล่าบักเขียว” ตามนามของชา้ ง
และมา้ ของอนั ญาสมบูรณ์ หวั หนา้ หมู่บา้ น คำว่า “บักเขียว” เป็นภาษาอสี าน ชาวบา้ นเหน็ วา่ ไมส่ ุภาพจงึ เปล่ียนใหม่เปน็ “บา้ นเหล่ามะ
เขยี ว” ซงึ่ บา้ นเหลา่ มะเขียว ตัง้ อยหู่ มูท่ ี่ 6 ตำบลสงเปือย อำเภอคำเข่อื นแก้ว จังหวดั อุบลราชธานี
ต่อมาเมื่อปี 2516 ได้แยกขึ้นกับ ตำบลกุดกุง เป็นบ้านเหล่ามะเขียว หมู่ที่ 4 ตำบลกุดกุง อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัด
ยโสธร วถิ ชี ีวติ ของประชาชนในหมบู่ า้ นอย่อู าศัยแบบพแี่ บบนอ้ ง มรี ะบบเครือญาตสิ ูง เอ้ือเฟอื้ เผือ่ แผก่ ันและกนั ประชาชนในชมุ ชนมีสว่ น
ร่วมในการวางแผนแกป้ ัญหาร่วมกนั
2. สภาพทวั่ ไปของหม่บู ้าน/ชุมชน
ลกั ษณะโดยทัว่ ไป เปน็ ทีร่ าบสงู ทุ่งนา
สลับป่าโปร่ง สภาพดินเป็นดินร่วนปนทราย
ไมอ่ มุ้ น้ำ
ฤดูแล้งอากาศร้อนจัด ส่วนใหญ่ไม่มีน้ำขัง ในห้วย
หรือหนองน้ำ ฤดูหนาวอากาศหนาวจัด ฤดูร้อนอากาศร้อนมาก
น้ำทำการเกษตรในฤดูแล้งไม่เพียงพอ ฤดูฝนน้ำท่วมขังพื้นที่ทำ
การเกษตรไดร้ บั ความเสียหาย
ลักษณะภูมิประเทศ เป็นที่ราบสูง ติดริมฝั่งแม่น้ำกุดกง มีผืนป่าชุมชนของหมู่บ้าน ส่วนมากจะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่
และเล็กจำนวนมาก ลกั ษณะดินสว่ นมากจะเปน็ ดินรว่ นปนทราย
3. พื้นที่/อาณาเขตของหมู่บา้ น
อย่หู า่ งจากองคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลกุดกงุ ประมาณ 1 กโิ ลเมตร และห่างจากอำเภอคำเขอ่ื นแก้ว ประมาณ 6 กโิ ลเมตร
ทิศเหนือ จด บ้านนาโพธ์ิ หมู่ท่ี 3 ตำบลกุดกุง อำเภอคำเขอ่ื นแกว้ จงั หวดั ยโสธร
ทิศใต้ จด บ้านทา่ ช้าง ตำบลบากเรอื อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร
ทศิ ตะวนั ออก จด บา้ นโคกกลาง ตำบลลุมพุก อำเภอคำเขอ่ื นแก้ว จงั หวดั ยโสธร
ทศิ ตะวันตก จด บ้านกุดกงุ หมู่ที่ 1 ตำบลกุดกุง อำเภอคำเข่อื นแกว้ จงั หวัดยโสธร
บา้ นเหล่ามะเขยี ว มสี ถานทส่ี ำคญั หลายแหง่ ดงั นี้
4.1 วดั บ้านเหลา่ มะเขยี ว
เป็นสถานที่ที่ให้ชาวบ้านกราบไหว้ สักการะบูชา
ขอพร เปน็ ท่พี ึง่ ทางใจ เปน็ ศูนยก์ ลางของชุมชนและใช้
เป็นสถานทป่ี ระกอบพิธกี รรมตา่ ง ๆ และอย่คู ู่หมู่บ้าน
มาต้ังแต่อดตี จนถึงปัจจบุ นั
4.2 สำนักสงฆ์เหล่ามะเขยี ว
เป็นสถานที่ที่ให้ชาวบ้านกราบไหว้ สักการะบูชา
ขอพร เปน็ ที่พึ่งทางใจของคนในชมุ ชน มีการปฏบิ ตั ิธรรม
ประจำทุกปี
4.3 ศาลเจา้ ปตู่ า หรือศาลตาปู่
ศาลเจ้าปู่ตาเปรียบเสมือนศาลหลักบ้านประจำหมู่บ้าน เป็นที่เคารพสักการะนับถือของชาวบ้าน
ตามความเชือ่ ที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งในปัจจุบนั ชาวบ้านยงั ไม่ละทิ้งประเพณีความเชือ่ น้ี และยังสบื ทอดกันมา
จนถงึ รนุ่ ปัจจุบนั ท่มี าคำวา่ ปตู่ าที่ชาวบ้านขนานนาม หมายถึง บรรพชนของชาวอีสานในสมยั โบราณ คำว่า
ปู่ หมายถึง ปแู่ ละยา่ ที่เป็นพ่อแมข่ องพ่อ ส่วนคำวา่ ตา หมายถงึ ตาและยายทเี่ ป็นพ่อแมข่ องแม่
เมอื่ บรรพบุรษุ สองสายนล้ี ว่ งลบั ไปหลายช่ัวอายุคน จนไม่สามารถท่จี ะจำชือ่ ได้ ลูกหลานรุ่นหลัง ๆ
จึงเรียกเป็นกลาง ๆ ว่า ปู่ตา การเลี้ยงปู่ตา เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไป
เพราะเมื่อปู่ตามีชีวิตอยู่นั้น ได้สร้างคุณงานความดีไว้กับลูกหลาน และสังคมมากมายหลายประการ เช่น
ใหก้ ารเลย้ี งดูอบรมสง่ั สอนใหเ้ ป็นคนดี สะสมสาธารณสมบัติไว้เพ่ือลกู หลาน เพื่อแสดงถึงกตัญญกู ตเวที จึงมี
การเลี้ยงปูต่ าสบื ต่อไปเปน็ ประเพณี
4.4 โรงเรียนบา้ นเหลา่ มะเขยี ว
เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของหมู่บ้าน ซึ่งโรงเรียนบ้านเหล่ามะเขียว ก่อตั้งมาตั้งแต่
พ.ศ. 2519 จนถึงปัจจุบัน เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาล - ประถมศึกษาปีที่ 6
มีอาคารเรียน 3 หลัง และมีสนามกีฬาให้คนในหมู่บ้านทั้งเด็ก และเยาวชน ได้ออกกำลังกาย และใช้
ประโยชนต์ า่ ง ๆ
บ้านเหล่ามะเขียว เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ ทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี
และทำให้อาชีพส่วนใหญข่ องคนในหมู่บ้านเป็นอาชีพเกษตรกร ในหมู่บ้านมพี ื้นที่ทำการเกษตร
ท้ังหมดประมาณ 2,500 ไร่ การทำการเกษตรท่ีโดดเด่นที่สุดคือ การทำนา ซึง่ จะมีการทำนา
2 รอบ คือ การทำนาปี และการทำนาปรัง เป็นการทำนานอกฤดู ซึ่งจะเรม่ิ ปลกู ประมาณเดือน
ธันวาคม และให้ผลผลิตประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งการทำนาปรังนี้หากไม่มีน้ำมาก
เพียงพอ ข้าวที่ปลูกอาจจะให้ผลผลิตได้ไม่ตรงตามที่ต้องการ หรืออาจจะไมไ่ ด้ผลผลิตเลยก็
เปน็ ได้
การทำนาปรังจะให้ผลผลิตได้มากกว่า
การทำนาปี การทำนาปีเป็นการทำนาในฤดูกาล ซ่ึง
เริ่มปลูกประมาณเดือนพฤษภาคม และจะให้ผลผลิต
ประมาณเดือนตุลาคม ถือว่ามีความเสี่ยงในการเกบ็
เกยี่ วผลผลติ เพราะเป็นฤดูน้ำหลาก เกิดน้ำท่วมแทบ
ทุกปี ทำให้ผลผลิตเสียหายเกอื บทั้งหมดในส่วนของ
นาทาม
นอกจากการทำนาจะเป็นอาชีพหลัก ก็ยังมีอาชีพเสริมอีกหลายอาชีพ ซึ่งสำหรับ
บางอาชีพ ก็จะมีการนำภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นงานจักรสานจากไม้ไผ่ ซึ่งสามารถ
นำมาใช้ไดห้ ลากหลาย เช่น ทำเป็นตะกร้า ทำเป็นอุปกรณ์ดักจับสัตว์น้ำ ทำเป็นสุ่มไก่ ทำเป็นรั้วตา
ข่าย เป็นต้น ซึ่งงานจักรสานทุกอย่างต้องใช้ความประณีต ละเอียด เพื่อให้เกิดความสวยงามและใช้
ประโยชนไ์ ด้
บ้านเรือนไทยในสมัยโบราณ มี
ววิ ัฒนาการของการใช้วัสดุท่ีนำมาสร้างหลังคา
บา้ น เรม่ิ ต้นกนั ตัง้ แตว่ ัสดุธรรมชาติท่ีหาได้รอบ
ๆ ตัว เช่น ใบไม้ต่าง ๆ อาทิ หญ้าคา ใบตอง
ตึง โดยนำมาจัดเรียงและมัดรวมกันเป็นผืน
เรียกว่า ตับ โดยการนำหญ้าคามาใช้นี้เอง จึง
เป็นต้นกำเนิดเรียกว่า “หลังคา” และ
ววิ ัฒนาการมาเป็นวัสดทุ ีม่ ีความแข็ง เชน่ ไม้
ไม้กวาดทางมะพร้าว เป็นวัสดทุ ำความสะอาดท่ี
ประดิษฐ์ได้ภายในครัวเรือน นิยมใช้สำหรับกวาดทำความ
สะอาดลานบ้าน ลานหญ้า สำหรับกวาดเศษดิน ก้อนดิน
หิน ทราย เศษใบไม้หรือ เศษมูลฝอยที่มีขนาดค่อนข้าง
ใหญใ่ ห้กองรวมกัน กอ่ นนำไปกำจดั แตไ่ ม่สามารถกวาดทำ
ความสะอาดฝุ่นขนาดเล็กได้ ทางมะพร้าวที่ใช้ทำไม้กวาด
ทางมะพร้าว นิยมใช้พันธุ์พื้นเมือง เพราะใบย่อยมีขนาด
ใหญ่ และยาว เมื่อนำมากรีดแผ่นใบออกจะได้ก้านใบที่มี
ขนาดใหญ่ และยาวกวา่ ก้านใบของมะพร้าวพันธกุ์ ารคา้ อ่ืน
การปลูกพืชผักไวบ้ รโิ ภคเอง ถือเปน็ การช่วยรกั ษาความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้
ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรารู้จักนำพันธุ์ผักพื้นบ้านที่ใกล้สูญพันธุ์ ก็จะเป็นการช่วย
อนุรักษ์พันธุกรรมไว้ได้อีกทางหนึ่ง ที่สำคัญการปลูกผัก ยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศน์ให้ดีขึ้น บาง
แหง่ นอกจากมีผกั แล้ว ยังตามมาด้วยนก และแมลงนานาชนดิ ชว่ ยกำจดั ศตั รพู ืชได้อีกดว้ ย
ด้วยความมุ่งม่ันทอ่ี ยากจะเหน็ ทกุ คนมีสขุ ภาพที่ดี
มาส่กู ารตั้งเป้าหมายในการดำเนินชีวิตทวี่ ่า
“ตอ้ งการสง่ สุขภาพดไี ปยังผูค้ น”
การปลูกแตงโมอินทรยี ์ เป็นอาชีพเสรมิ อกี อยา่ งหนงึ่ ของ
คนในชุมชนที่นำพื้นที่นาที่ว่างป่าว หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต
มาช่วยในการเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว โดยคำนึงถึงความ
ปลอดภัยของสุขภาพเป็นสำคัญ เพราะใช้น้ำหมักในการกำจัด
ศตั รูพชื
การเจียระไน เปน็ กระบวนการเปลยี่ นกอ้ นอญั มณีที่หยาบและยังไม่ผ่านการขัดใหก้ ลายเป็นอัญมณี
ที่มีประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงไฟอย่างที่เรา ๆ เคยเห็นกันจนชินตา เพื่อจะนำไปประกอบกับตัวเรือน
เครื่องประดับได้ การกำหนดตัวแปรของเหลี่ยมมุมและมิติที่เฉพาะเจาะจง จะช่วยเผยให้เห็นสีที่แท้จริงและ
ประกายของอญั มณรี ะยบิ ระยับ โดยทัว่ ไปแลว้ ช่างเจียระไนอัญมณีต้องสัง่ สมประสบการณ์มากกว่าสองปีจึงจะถือ
ว่าเป็นมืออาชีพและต้องใช้หลายปัจจัยในการตัดสินใจว่าการเจียระไนแบบใดท่ีจะดีที่สุด เพื่อขจัดมลทิน ซ่อน
ความไม่สมบรู ณข์ องอัญมณีไว้ ทำใหอ้ ัญมณมี ปี ระกายและดึงคุณภาพที่ดที ีส่ ุดของอัญมณีเม็ดนนั้ ๆ ออกมา
ด้านวัฒนธรรมประเพณกี ็เปน็ สงิ่ สำคัญลำ้ ค่าของหมู่บ้านเชน่ เดียวกัน ซึง่ มวี ฒั นธรรม
ประเพณีทีห่ ลากหลาย โดยมกี ารสบื ทอดมาจากบรรพบุรุษ ยกตัวอย่าง เช่น ประเพณบี ุญบ้งั ไฟ
เปน็ ประเพณที ่ชี าวบา้ นรว่ มกนั จดั ขนึ้ เพื่อเปน็ การขอฟา้ ขอฝน ซึง่ ในการจดั แตล่ ะครั้ง จะจัดอย่าง
ยิ่งใหญ่อลงั การ
บุญคูนลาน เป็นการทำบุญเพื่อรับขวัญข้าว เมื่อถึงเดือนยี่ หรือเดือนที่ ๑ คือเดือน มกราคม
จดุ มงุ่ หมายของการทำบุญประเพณี "บุญคูนลาน" กเ็ พอื่ ความเป็นสริ มิ งคลแกข่ ้าวในลานของตน และเพือ่
เป็นการขออานิสงส์ต่าง ๆ การสู่ขวัญข้าว จะกระทำที่ลานนา หรือที่ลานบ้านก็ตามแต่จะสะดวก หลัง
การสู่ขวัญข้าวเสร็จก็จะเป็นการขนข้าว ขึ้นเล้า (ยุ้ง/ฉาง) ก่อนการขนข้าวขึ้นเล้า เจ้าของข้าวจะตอ้ งไป
เกบ็ เอาใบคนู และใบยอเสียบไว้ท่ี เสาเลา้ ทุกเสา ซ่งึ ถอื เปน็ เคล็ดลบั วา่ ขอให้ค้ำคณู ยอๆ ยิง่ ๆ ข้ึนไป และ
เชญิ ขวัญข้าวพรอ้ มทง้ั แมโ่ พสพ ข้นึ ไปยงั เล้าด้วย
ประเพณีบุญผะเหวด เป็นประเพณีที่จัดขึ้นในทุก ๆ ปี จะจัดขึ้นในเดือน 4
ตามปฏทิ นิ จนั ทรคติ โดยจดั ขน้ึ เพื่อเปน็ การบำเพญ็ บญุ ซึ่งมีมาตงั้ แต่อดีต
โดยชาวบา้ นมคี วามเชอ่ื ว่าสง่ิ ศักดิ์สทิ ธปิ์ ระจำหมูบ่ ้าน จะช่วยปกปอ้ ง คุ้มครอง
หมบู่ า้ นใหม้ ีความสงบสขุ พืชพนั ธ์ุ ไรน่ า เจรญิ งอกงาม
แมน่ อิสานสแิ ล้ง น้ำในแอ่งบ่มกี นิ
แผน่ ดินเฮาเคยเทียว ล่ำแงงทกุ แลงเซ้า
บค่ ดิ การหาญห่าว ขายกินให้สนิ้ เส่อื ม
พอ่ แม่เผ่นิ หาให้ไว้ ไทขอ่ ยสซิ ่อยแพง ไทข้ ่อยสิซ่อยแพง
คำขวญั
เหล่ามะเขียว เกีย่ วข้าวนาทาม
นามของชา้ ง ส่างนำ้ ใส
เจยี ระไนพลอย ส่อยกนั พัฒนา
ภมู ปิ ัญญาจากมาตุภมู บิ ้านเหล่ามะเขยี ว
จัดทำโดย
นางสาวพลอยไพลิน พุม่ พวง
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5/2 เลขที่ 21
เสนอ
คุณครอู นชุ ัย หัวดอน
รายวิชาภาษาไทยพืน้ ฐาน ท32102