The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารแนบ เด็กสมาธิสั้น คู่มือสำหรับครู (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bangplamaschool, 2022-07-04 22:26:49

เอกสารแนบ เด็กสมาธิสั้น คู่มือสำหรับครู (1)

เอกสารแนบ เด็กสมาธิสั้น คู่มือสำหรับครู (1)

เดก็ สมาธสิ ั้น
คู่มือสาำ หรับครู

ช่ือหนังสอื : เดก็ สมาธิสน้ั คูม่ อื สำาหรบั ครู
จดั พิมพ์โดย : สถาบนั ราชานกุ ูล
พมิ พ์ครัง้ ท ี่ 1 : สงิ หาคม 2555 จาำ นวน 1,000 เล่ม
พมิ พ์ครั้งท่ ี 2 : มถิ นุ ายน 2556 จำานวน 5,000 เลม่ (ฉบับปรบั ปรุง)
พิมพ์ครง้ั ที่ 3 : ธันวาคม 2556 จาำ นวน 2,000 เล่ม (ฉบบั ปรับปรุง)
พิมพ์คร้ังที ่ 4 : ธนั วาคม 2557 จาำ นวน 2,000 เล่ม (ฉบบั ปรับปรงุ )
พิมพ์คร้งั ท ่ี 5 : มีนาคม 2558 จาำ นวน 3,000 เล่ม (ฉบับปรับปรุง)
พมิ พท์ ี ่ : โรงพมิ พ์ ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จาำ กดั

2 เด็กสมาธสิ ้ัน คู่มอื สำาหรับครู

คำานาำ

โรคสมาธสิ น้ั นน้ั แทจ้ รงิ แลว้ ไดร้ บั การบรรยายไวใ้ นวารสารทางการแพทย์
อย่างเป็นทางการมากว่า 100 ปีแล้ว เด็กท่ีเป็นโรคสมาธิสั้นจะมีลักษณะ
อยู่ไม่นิ่ง มีปัญหาในการคงสมาธิ และมักพบว่ามีปัญหาในการควบคุม
ตนเองและเกิดปัญหาพฤติกรรมต่างๆ ให้ผู้คนรอบข้างปวดศีรษะได้บ่อยๆ
ในปจั จบุ นั ทง้ั ในวงการแพทยแ์ ละวงการการศกึ ษาไดใ้ หค้ วามสนใจโรคสมาธสิ น้ั
อย่างจริงจัง ทำาให้มีการศึกษาวิจัยและรวบรวมประสบการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับ
เดก็ สมาธสิ น้ั จนเกดิ ความรเู้ กย่ี วกบั วธิ กี ารดแู ลรกั ษาและชว่ ยเหลอื เดก็ สมาธสิ น้ั
อย่างมากมาย

คู่มือเล่มนี้เป็นการรวบรวมความรู้ทั้งจากตำาราและจากข้อมูลท่ีได้
จากการสัมมนาแลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างผู้ปกครอง ครูและ
ครูการศึกษาพิเศษท่ีมีประสบการณ์กับเด็กสมาธิสั้น โดยรวบรวมลักษณะ
อาการทพี่ บไดบ้ อ่ ย ปญั หาพฤตกิ รรมรวมถงึ แนวทางการดแู ลแกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ
ที่ง่ายต่อการปฏิบัติจริง และคู่มือเล่มนี้น่าจะเป็นตัวช่วยท่ีดีในการช่วยคุณครู
ในการดแู ลเด็กสมาธสิ ้ันต่อไป

คณะผู้จัดทาำ

เดก็ สมาธสิ ั้น คู่มือสำาหรับครู 3

สารบัญ

มาทำาความรจู้ ักกับโรคสมาธสิ ้นั 7
ข้อสังเกตเดก็ สมาธิส้นั แต่ละช่วงวยั 11
โรคนี้พบได้บ่อยแค่ไหน 15
เพราะอะไรจงึ เป็นโรคสมาธิสนั้ 16
ปญั หาพฤติกรรมท่ีพบรว่ ม 17
แพทยต์ รวจอย่างไรถึงบอกไดว้ ่าเด็กเปน็ โรคสมาธสิ ัน้ 18
หลากหลายคำาถามเก่ยี วกับโรคสมาธิสนั้ 19
การชว่ ยเหลือเด็กทเี่ ป็นโรคสมาธิสัน้ 23
การชว่ ยเหลอื เดก็ สมาธิสัน้ ในโรงเรยี น 25
26
- การช่วยเหลือดา้ นการเรียน 33
- การพัฒนาทักษะทางสงั คม 34
- การปรับพฤติกรรม

4 เดก็ สมาธิสั้น คูม่ ือสำาหรับครู

สารบัญ

ปญั หาพฤตกิ รรมท่พี บบอ่ ยในโรงเรียน 38
แนวทางการติดตามพฤตกิ รรมเด็กสมาธิสัน้ ในช้ันเรยี น 42
เอกสารอา้ งอิง 45

เดก็ สมาธสิ น้ั คู่มอื สำาหรบั ครู 5

เดก็ สมาธิสั้น
คมู่ ือสำาหรบั ครู

6 เด็กสมาธิส้นั ค่มู อื สาำ หรบั ครู

เด็กสมาธสิ ้ัน

มาทาำ ความรู้จกั กบั

โรคสมาธสิ ้นั

โรคสมาธิสั้นเป็นกลมุ่ ความผิดปกตขิ องพฤตกิ รรม ประกอบด้วย
o ขาดสมาธิ
o ซน อยไู่ ม่นง่ิ
o หนุ หนั พลันแลน่ ขาดการยับย้ังใจตนเอง
โดยแสดงอาการอย่างต่อเน่ืองยาวนาน จนทำาให้เกิดผลกระทบ

ต่อการใช้ชีวิตประจำาวันและการเรียน ซึ่งเป็นพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมกับ
อายุและระดับพัฒนาการ โดยท่ีความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ปี
อาการต้องเปน็ มาตลอดตอ่ เนอ่ื งไมต่ ่ำากว่า 6 เดอื น

เดก็ สมาธิสน้ั คู่มือสาำ หรับครู 7

อาการของโรคสมาธิส้ันน้ันแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอาการใหญ่ คือ
กลุม่ อาการขาดสมาธิ และกลมุ่ อาการซน/หุนหนั พลนั แล่น

กลมุ่ อาการขาดสมาธิ

• ไม่สามารถจดจำารายละเอียดของงานที่ทำาได้ หรือทำาผิด เน่ืองจาก
ขาดความรอบคอบ

• ไมม่ สี มาธใิ นการทำางาน หรอื การเลน่
• ไมส่ นใจฟังคำาพูดของผอู้ ืน่ และดเู หมอื นไมฟ่ ังเวลาพดู ด้วย
• ไมป่ ฏบิ ัติตามคำาสง่ั และทาำ งานไม่เสร็จหรอื ผิดพลาด
• ไมส่ ามารถรวบรวมการทาำ งานให้เปน็ ระเบยี บ
• หลีกเลีย่ ง ไม่ชอบ หรอื ลังเลที่จะทาำ งานซึง่ ต้องใชค้ วามคดิ
• ปลอ่ ยปละละเลยสง่ิ ของทจ่ี ำาเปน็ สาำ หรบั การทาำ งาน ทาำ ของใชส้ ว่ นตวั

หรือของจาำ เปน็ สำาหรบั งานหรอื การเรยี นหายอยู่บ่อยๆ
• วอกแวกง่าย เสียสมาธิ แมม้ ีเสยี งรบกวนเพียงเล็กน้อย
• ลมื กิจวัตรท่ีทำาเปน็ ประจำา

8 เด็กสมาธสิ ้นั คู่มือสาำ หรบั ครู

กลมุ่ อาการซน / หุนหันพลันแล่น

• ยกุ ยิก อยูไ่ มส่ ขุ ไม่สามารถอยนู่ ่งิ ๆ ได้ มอื และเท้าขยับไปมา
• ในสถานที่ท่เี ด็กจำาเปน็ ต้องน่งั เฉยๆ จะลกุ จากท่นี ัง่ ไปมา
• มักวิ่งไปมา หรือปีนป่ายในสถานท่ีที่ไม่ควรทำา ถ้าผู้ป่วยเป็นวัยรุ่น

จะมีความรูส้ ึกกระวนกระวายใจ
• ไมส่ ามารถเล่น หรือพกั ผ่อนเงียบๆได้
• ตอ้ งเคล่อื นไหวตลอดเวลาเหมอื นตดิ เครอ่ื งยนต์
• พดู มาก
• พูดสวนทนั ทกี ่อนผู้ถามจะพูดจบ
• รอคอยตามระเบียบไม่ได้
• ขัดจังหวะ ก้าวร้าวผู้อ่ืน หรือสอดแทรกเวลาผู้อ่ืนกำาลังคุยกัน

หรอื แย่งเพ่อื นเล่น

เด็กสมาธสิ ้ัน คูม่ อื สาำ หรบั ครู 9

10 เดก็ สมาธสิ ้นั ค่มู อื สำาหรบั ครู

ขอ้ สงั เกต

เดก็ สมาธสิ ้ันแตล่ ะช่วงวัย

คณุ ครูจะสงั เกตเดก็ สมาธสิ ้ันไดอ้ ย่างไรบา้ ง

วยั อนุบาล

เด็กมักมีประวัติในช่วงขวบปีแรกว่ามีลักษณะเล้ียงยาก เช่น กินยาก
นอนยาก รอ้ งกวนมาก มีอารมณห์ งุดหงิด แตเ่ ด็กจะมพี ัฒนาการคอ่ นข้างเรว็
ไมว่ ่าจะเปน็ การต้งั ไข่ คลาน ยืน เดนิ หรอื ว่งิ เม่ือเริ่มเดนิ ก็จะซนอยไู่ มน่ ่งิ
ว่ิงหรือปีนป่ายไม่หยุด เม่ือเข้าอนุบาลคุณครูมักจะเห็นว่าเด็กยุกยิกอยู่ไม่นิ่ง
ลุกจากเก้าอ้ี เดินออกนอกห้อง ปีนป่าย ค้นร้ือสิ่งของ พลังงานมาก
ไมน่ อนกลางวนั เล่นกับเพอื่ นแรงๆ กะแรงไม่ถกู

เดก็ สมาธสิ นั้ คู่มือสาำ หรบั ครู 11

12 เดก็ สมาธสิ ้นั ค่มู อื สำาหรบั ครู

วัยประถมศกึ ษา

เม่ือเข้าวัยเรียน จะสังเกตได้ว่าเด็กมีสมาธิส้ัน วอกแวกง่าย
ไมส่ ามารถนงั่ ทาำ งานหรอื ทาำ การบา้ นไดจ้ นเสรจ็ ทาำ ใหม้ ปี ญั หาการเรยี นตามมา
การควบคุมตนเองของเด็กไม่ค่อยดี อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย
ทนตอ่ ความคบั ขอ้ งใจไมค่ อ่ ยได้ ทาำ ใหเ้ กดิ ปญั หากบั เพอื่ นๆ เมอ่ื อยใู่ นหอ้ งเรยี น
ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเพ่ือนคนอ่ืนๆ มักจะรบกวนช้ันเรียน ไม่ค่อยให้
ความรว่ มมอื ในการปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑข์ องหอ้ งเรียน

วัยมัธยมศึกษา

เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น อาการซนอยู่ไม่นิ่งในเด็กบางคนอาจลดลง
แตค่ วามไมม่ สี มาธแิ ละขาดความยบั ยงั้ ชง่ั ใจของเดก็ จะยงั คงอยู่ ปญั หาการเรยี น
จะหนักข้ึน เพราะอาการขาดสมาธิที่ไม่ได้รับ
การแก้ไขอย่างถูกต้อง ด้วยลักษณะที่ชอบ
ความต่ืนเต้นท้าทาย เบ่ือง่าย ประกอบกับ
ความล้มเหลวตั้งแต่เล็กและความรู้สึกว่าตนเอง
ไม่ดี เด็กอาจจะเกิดพฤติกรรมเกเร รวมกลุ่ม
กบั เพอ่ื นทมี่ พี ฤตกิ รรมคลา้ ยกนั ชกั ชวนกนั ทาำ เรอื่ ง
ฝ่าฝนื กฎของโรงเรยี นจนอาจเลยเถดิ ไปถึงการใช้
สารเสพติดได้

เดก็ สมาธสิ น้ั ค่มู ือสาำ หรับครู 13

14 เดก็ สมาธสิ ้นั ค่มู อื สำาหรบั ครู

โรคนี้พบได้บอ่ ยแค่ไหน

การสำารวจในประเทศไทย พบว่ามีความชุกประมาณร้อยละ 5 โดย
พบในกลมุ่ เดก็ นักเรยี นชาย มากกวา่ กลุ่มเด็กนักเรียนหญงิ ในหอ้ งเรียนทีม่ เี ดก็
ประมาณ 50 คน จะมีเด็กสมาธสิ นั้ 2 - 3 คน

เดก็ สมาธิส้ัน ค่มู อื สำาหรบั ครู 15

เพราะอะไรจงึ เป็นโรคสมาธิส้นั
โรคสมาธสิ ้ันอาจมีสาเหตุมาจากองค์ประกอบตอ่ ไปน้ี
o พันธุกรรม โรคน้ีมีการถ่ายทอดทางยีน สังเกตได้ในครอบครัว
ของเด็กสมาธิส้ัน อาจมีพี่ หรือน้อง หรือญาติของเด็กมีอาการ
สมาธิสั้นด้วย
o สารเคมีในสมองหล่งั ผิดปกติ เช่น โดปามนี เซโรโทนนิ
o การได้รับบาดเจ็บอาจเกิดตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์หรือหลังคลอด
เช่น ขาดออกซเิ จน อุบัตทิ างสมอง
o โรคสมองอักเสบ
o การไดร้ ับสารพษิ
o มารดาด่ืมสรุ า สูบบุหร่ขี ณะตั้งครรภ์
สาเหตุดังกล่าวส่งผลให้มีการทำางานของสมองส่วนหน้าท่ีทำาหน้าท่ี
ในการควบคุมพฤติกรรมทำางานได้ไม่เต็มที่ เน่ืองจากสารเคมีในสมอง
หล่ังผิดปกติ เชน่ สารโดปามีน เซโรโตนิน
ปัจจุบันเชื่อว่าโรคสมาธิส้ันเป็นความผิดปกติของสมอง ไม่ได้
เกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของพ่อแม่ หรือการเลี้ยงดูเด็กผิดวิธี
(แตก่ ารเลีย้ งดทู ผ่ี ิดวธิ ีจะทำาให้อาการของโรครุนแรงขึน้ )

16 เด็กสมาธิส้ัน คู่มือสาำ หรับครู

ปัญหาพฤตกิ รรมทีพ่ บร่วม
โรคสมาธสิ น้ั เกดิ จากความบกพรอ่ งในการทำางานของสมอง จงึ สามารถ
พบรว่ มกับความบกพรอ่ งในความสามารถอ่นื ร่วมดว้ ยกับโรค เชน่

• ความบกพร่องในทักษะการเรยี น
ถอื เป็นความบกพรอ่ ง
ทางการเรียนรู้ท่ีพบได้บ่อยในเดก็ วัยเรยี น
เด็กที่เป็นโรคสมาธสิ น้ั จะพบภาวะนี้
รว่ มด้วยรอ้ ยละ 20 - 30 เด็กจะมลี กั ษณะ
อ่านหนังสือ เขยี นหนงั สอื คาำ นวณไมไ่ ด้
หรือทำาไดบ้ า้ งแต่แตกตา่ งจากเด็กอน่ื
2 ชนั้ เรียน ทัง้ ท่ฉี ลาดเทา่ กนั

• การพูดและการสอื่ ความสอื่ ความหมาย
มักมีประวตั ิพูดชา้ ในวยั เด็ก เมื่อโตข้ึนจะพูดมาก
และพดู เรว็ แตจ่ ะมคี วามเขา้ ใจในสง่ิ ทค่ี นอน่ื พดู ดว้ ยตาำ่ กวา่ คนอน่ื

• ใช้มือไม่คล่อง เด็กกลุ่มหนึ่งจะใช้มืองุ่มง่าม สับสนซ้ายขวา
เขยี นหนงั สอื ชา้ โย้เย้ ทำางานไม่ทัน

• ปสั สาวะรดท่ีนอนหรอื อั้นปสั สาวะไมค่ ่อยได้
• ปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ เด็กท่ีเป็นโรคสมาธิส้ันจะด้ือ

ไม่เชื่อฟัง ชอบเถียง ก้าวร้าว โกรธเร็ว หลายคนไม่ทำาตาม
กฎเกณฑข์ องโรงเรียน
• โรคกระตุก อาจมีการกระตุกของกล้ามเน้ือ บริเวณค้ิว แก้ม
มุมปาก คาง คอ บางคนมีเสยี งในลาำ คอ

เด็กสมาธิสัน้ คมู่ อื สาำ หรับครู 17

แพทยต์ รวจอย่างไรถึงบอกได้วา่

เด็กเป็นโรคสมาธสิ ้ัน
แพทย์จะตรวจประเมินอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กเป็น
โรคสมาธิส้ัน ได้แก่ การซักประวัติ การตรวจร่างกาย (ตรวจหู ตรวจสายตา)
ใช้แบบประเมินพฤติกรรมเด็ก การตรวจทางจิตวิทยา (ตรวจเชาวน์ปัญญา
ตรวจวดั ความสามารถดา้ นการเรยี น) และสงั เกตพฤตกิ รรมเดก็ ปจั จบุ นั ยงั ไมม่ ี
การตรวจเลอื ดเอก็ ซเรยส์ มอง หรอื การตรวจคลน่ื สมองเพอ่ื วนิ จิ ฉยั โรคสมาธสิ นั้

18 เดก็ สมาธิสัน้ คูม่ อื สาำ หรบั ครู

หลากหลายคำาถามเกย่ี วกบั

โรคสมาธิส้ัน



สมาธสิ ั้น….สัน้ อยา่ งไรจึงเรยี กวา่ ผดิ ปกติ ?

อาการขาดสมาธิ ซน อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น สามารถพบได้ใน
คนปกตทิ วั่ ไป แตส่ าำ หรบั เดก็ สมาธสิ น้ั นนั้ อาการตอ้ งเปน็ ตลอดเวลา ทกุ สถานที่
ทุกบุคคล จนทำาให้เสียหายต่อการเรียน เช่น เรียนไม่ทันเพ่ือน ผลการเรียน
ตกต่ำา นอกจากน้ียังส่งผลต่อการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันคนอ่ืน คนใกล้เคียงรู้สึก
รำาคาญไม่อยากทำางานดว้ ย

เด็กแค่เบื่อง่ายเวลาทำางาน ไม่เห็นซน จะเรียกว่าสมาธิสั้น
ไดอ้ ย่างไร ?

เป็นไปได้ค่ะ เพราะเด็กบางคนจะมีอาการสมาธิส้ันเพียงอย่างเดียว
แต่ไม่ซนหรือวู่วาม ซ่ึงพบได้ในเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง มักทำาให้ผู้ใหญ่
มองข้ามไป ถกู วินิจฉัยได้ช้าและไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าทคี่ วร

เด็กสมาธิสนั้ ค่มู ือสาำ หรบั ครู 19

บอกวา่ เด็กเปน็ โรคสมาธิส้ัน แล้วทำาไมเด็กดูทีวีหรอื เลน่ เกม
นานเปน็ ชัว่ โมงๆ ?

สมาธิสามารถถูกกระตุ้นได้จากสิ่งเร้าท่ีน่าสนใจ เช่น โทรทัศน์
หรือเกมคอมพิวเตอร์ ซ่ึงมีภาพและเสียงประกอบเป็นตัวเร้า ความสนใจ
ไม่น่าเบ่ือ ดังน้ันเด็กสมาธิสั้นจึงสามารถมีสมาธิจดจ่อกับโทรทัศน์และ
เกมคอมพิวเตอร์ได้นานๆ โทรทัศน์และเกมคอมพิวเตอร์จึงเป็นตัวกระตุ้น
ความสนใจได้เปน็ อย่างดี

การจะพิจารณาว่าเด็กสามารถจดจ่อต่อเนื่องมีสมาธิดีหรือไม่
ควรสังเกต เมื่อเด็กทำางานท่ีไม่ชอบและงานเป็นงานท่ีน่าเบ่ือ (สำาหรับเด็ก)
เช่น การทาำ การบา้ น การทบทวนบทเรยี น การทาำ งานทไี่ ด้รับมอบหมาย



20 เด็กสมาธิสัน้ คมู่ อื สำาหรบั ครู

จะเกิดอะไรไหม…ถา้ ไมร่ กั ษา ?

o ในวัยประถมศึกษากลุ่มที่มีสมาธิสั้นอย่างเดียว ไม่มีอาการซน
หุนหันพลันแล่น ส่วนหน่ึงจะไม่เกิดอะไร นอกจากผลการเรียน
ตำ่ากว่าความสามารถ จะพบอารมณ์ซึมเศร้า มองตัวเองไม่ดี
ขาดความมนั่ ใจในความสามารถของตนเอง

o วยั ประถมศึกษากล่มุ ท่ีสมาธสิ ั้น ซน วูว่ าม ไมเ่ ชอ่ื ฟังและตอ่ ตา้ น
จะพบความหงุดหงิด กังวล เครียด อารมณ์เสียง่าย เบ่ือหน่าย
การเรยี น ขาดแรงจงู ใจในการเรยี น มองไมเ่ หน็ คณุ คา่ ภายในตวั เอง
พอ่ แมก่ ไ็ มพ่ อใจในผลการเรยี น เขา้ กบั เพอื่ นไดย้ าก พบพฤตกิ รรม
ทยี่ งั เปน็ เด็กตำ่ากวา่ อายุ ดอ้ื ตอ่ ตา้ นคาำ ส่งั จนทาำ ความผิดรนุ แรงได้
เช่น โกหก ขโมย ไม่ยอมทาำ ตามกฎ ทาำ ตัวเปน็ นักเลง

o เม่ือเข้าวัยรุ่น เด็กมักไปรวมกลุ่มกับเด็กท่ีเรียนไม่เก่ง พฤติกรรม
ต่อต้าน ก้าวร้าว โกหก ขโมย หนีเรียนย่ิงเห็นได้ชัดขึ้น
หลายรายเริ่มใช้ยาเสพติด ในด้านการเรียนท่ีตกต่ำาลงมาก
เกิดเป็นความเบื่อหน่ายต่อการเรียน และออกจากโรงเรียน
ก่อนวัยอันควร

เด็กสมาธิสน้ั คมู่ ือสำาหรับครู 21

22 เด็กสมาธิสั้น คู่มอื สำาหรบั ครู

การช่วยเหลอื เดก็

ท่ีเป็นโรคสมาธสิ ้ัน
การช่วยเหลือเด็กท่ีเป็นโรคสมาธิส้ัน
อย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องมีการช่วยเหลือ
หลายดา้ น จากหลายฝา่ ย ทงั้ แพทย์ ครู และพอ่ แม่ การชว่ ยเหลอื ประกอบดว้ ย

• การชว่ ยเหลือดา้ นจิตใจ
แพทย์จะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อขจัดความเข้าใจผิดต่างๆ
ของพอ่ แมโ่ ดยเฉพาะความเขา้ ใจผดิ ทคี่ ดิ วา่ เดก็ ดอ้ื หรอื เกยี จครา้ น
และเพื่อให้เด็กเข้าใจว่าปัญหาท่ีตนเองมีน้ันไม่ได้เกิดจากการที่
ตนเองเป็นคนไมด่ ี

• การปรับเปล่ียนพฤติกรรม
จะช่วยให้เด็กมีสมาธิ มีความอดทน ควบคุมตนเองได้ดีข้ึน
การปรับพฤติกรรมน้ันหากคุณครูและพ่อแม่ปฏิบัติเป็นไปใน
แนวทางเดียวกันพฤติกรรมของเด็กจะปรับเปลี่ยนไปในทาง
ทดี่ ีขึ้นได้

• การชว่ ยเหลอื ดา้ นการศึกษา
เดก็ สมาธสิ นั้ ควรไดร้ บั การจดั การเรยี นการสอนใหเ้ หมาะลกั ษณะ
การเรียนรู้สาำ หรบั เด็ก

• การรกั ษาด้วยยา
เดก็ บางคนอาจตอ้ งรกั ษาดว้ ยยา ซงึ่ ยาจะไปกระตนุ้ ใหส้ ารเคมใี น
สมองทชี่ อื่ โดปามนี หลงั่ ออกมามากขน้ึ ทาำ ใหเ้ ดก็ นง่ิ ขนึ้ และมสี มาธิ
มากข้ึน

เด็กสมาธสิ นั้ คมู่ ือสาำ หรบั ครู 23

24 เด็กสมาธิสั้น คู่มอื สำาหรบั ครู

การช่วยเหลอื

เดก็ สมาธิสัน้ ในโรงเรยี น

การช่วยเหลอื เด็กสมาธสิ ั้นในโรงเรยี นน้นั คณุ ครู
สามารถชว่ ยเหลือไดต้ ามแนวทางดงั ต่อไปนี้

1. การเรยี น : เพิม่ ความสามารถในด้านการเรียน
เพื่อช่วยให้เด็กสมาธิสั้นประสบผลสำาเร็จด้านการเรียน (ตามศักยภาพ) และ
เกิดความภาคภมู ใิ จในตนเอง

2. สังคม : เพ่ิมทักษะทางสังคมท่ีจำาเป็นต่อการปรับตัวอยู่ร่วมกับ
ผู้อ่ืนของเดก็ สมาธิส้นั

3. พฤตกิ รรม : ลดพฤติกรรมปัญหาทร่ี บกวนการเรยี นรู้ อันเป็นผล
จากอาการของโรคสมาธิส้ัน

เดก็ สมาธิสนั้ ค่มู ือสำาหรับครู 25

1. การชว่ ยเหลือด้านการเรียน

เด็กสมาธิสั้นควบคุมตนเอง จัดระเบียบให้ตนเองได้น้อยหรือ
ไม่ได้เหมือนกับเด็กทั่วไป คุณครูควรช่วยจัดระเบียบการเรียนไม่ให้ซับซ้อน
ซ่งึ สามารถทำาได้ดังนี้
1.1 การจดั กจิ กรรมประจำาวัน

1.1.1 กจิ กรรมในแตล่ ะวันตอ้ งมีลักษณะคงที่ มตี ารางเรียนแน่นอน
1.1.2 บอกเด็กล่วงหน้า และเตือนความจำาทุกคร้ังก่อนมีการ

เปล่ียนแปลง เช่น เตือนก่อนหมดช่ัวโมงเรียน 5 นาที
เมื่อหมดชั่วโมงเรียนเตือนเด็กอีกครั้งเพ่ือเตรียมตัวเรียน
ชว่ั โมงตอ่ ไป
1.1.3 ทำาป้าย ข้อความ สัญลักษณ์ เพ่ือช่วยเตือนความจำาเด็ก
ในการทาำ กจิ กรรมตา่ งๆ เชน่ ใหเ้ ดก็ เขยี นชอื่ วนั ทต่ี อ้ งใชห้ นงั สอื
หรือสมดุ ลงบนปก เพอื่ จดั ตารางเรียนใหส้ ะดวก
1.2 การจดั สิ่งแวดลอ้ มให้เหมาะสมกับการเรยี นรู้ของเด็ก
1.2.1 การจดั หอ้ งเรยี น
• ชน้ั เรยี นทเ่ี หมาะสมกบั เดก็ ควรมขี นาดเลก็ ทม่ี เี ดก็ ไมม่ ากเกนิ ไป
เชน่ มปี ระมาณ 20 คน
• สร้างกฎระเบียบท่ีชัดเจน และมีความสม่ำาเสมอ คงเส้นคงวา
ในการรักษากฎ ทบทวนข้อตกลงบ่อยๆ เช่น ไม่ส่งเสียงดัง
ในหอ้ งเรียน ส่งการบ้านเปน็ ท่ี เป็นต้น
• จัดหาท่ีวางของห้องเรียนในตำาแหน่งเดิม เพ่ือให้เด็กจำาง่าย
วางให้เป็นทเี่ ปน็ ทาง

26 เด็กสมาธสิ น้ั คมู่ อื สำาหรับครู

• หลกี เลย่ี งการตกแตง่ หอ้ งเรยี นดว้ ยสสี นั สวยหรู เพราะจะทาำ ให้
เด็กสนใจสง่ิ เร้านั้น มากกวา่ สนใจการสอนของครู

• จัดโต๊ะเรยี นใหเ้ ปน็ ระเบยี บ
• ใหม้ ีส่งิ ของบนโตะ๊ เรยี นของเดก็ ใหน้ ้อยท่สี ุด
1.2.2 การจัดท่ีนั่ง
• จัดให้น่ังข้างหน้า หรือแถวกลาง เป็นบริเวณที่อยู่ใกล้ครู

เพื่อจะได้ดูแลไดอ้ ย่างใกลช้ ดิ
• ไม่อยู่ใกล้ประตูหรอื หน้าต่างท่มี องเห็นขา้ งนอกห้องเรียน
• ไมใ่ หเ้ พอ่ื นทซ่ี กุ ซนนง่ั อยใู่ กลๆ้ จดั ใหม้ เี ดก็ เรยี บรอ้ ยนง่ั ขนาบขา้ ง

เด็กสมาธสิ ัน้ คมู่ อื สำาหรับครู 27

1.3 จัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความสามารถและ
ช่วงความสนใจของเดก็

1.3.1 การเตรยี มการสอน
• เตรยี มเอกสารทม่ี ีตัวอกั ษรขนาดใหญ่ อา่ นง่าย พิมพด์ ้วยสเี ขม้
มีชอ่ งไฟกว้าง
• งานท่ีให้ทำาต้องเหมาะสมกับความสนใจและความสามารถ
ของเด็ก เด็กในห้องอาจทำางานทีละ 20 ข้อ แต่เด็กสมาธิส้ัน
อาจให้ทำางานทีละ 5 ข้อ เมื่อทำาเสร็จ 5 ข้อ ก็ให้เด็ก
เปลี่ยนอริ ิยาบถ
• การเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการปลดปล่อยพลังงานในทาง
สร้างสรรค์ ช่วยลดความเบ่ือของเด็ก ทำาให้เรียนได้นานข้ึน
เชน่ ชว่ ยครเู ดนิ แจกสมดุ ใหเ้ พอ่ื นในหอ้ ง ชว่ ยลบกระดาน เปน็ ตน้
• เลอื กกจิ กรรมการเรยี นการสอนทต่ี อ้ งใชป้ ระสาทรบั รหู้ ลายดา้ น
ทั้งด้านการฟัง การใชส้ ายตาหรือการลงมอื ปฏิบตั ิ
• ใชส้ อื่ เป็นรูปภาพประกอบ เพื่อใหเ้ ด็กจับประเดน็ ได้งา่ ย

1.3.2 ระหวา่ งการสอน
• เขียนงานทีเ่ ด็กตอ้ งทำาในชนั้ เรียนใหช้ ดั เจนบนกระดาน
(กระดานขาวดกี วา่ กระดานดำา) อยา่ เขยี นจนแนน่ เตม็ กระดาน
• พยายามสง่ั งานดว้ ยวาจาใหน้ อ้ ยทส่ี ดุ หากตอ้ งสง่ั งานดว้ ยวาจา
ให้เดก็ ทบทวนคำาสัง่
• ตรวจสมดุ งานของเดก็ เพอื่ ใหแ้ น่ใจวา่ เดก็ จดงานไดค้ รบถว้ น
• ใหเ้ ดก็ ทาำ งานตามเวลาทกี่ าำ หนดให้ เมอื่ ครบเวลาทกี่ าำ หนดแลว้
งานยังไมเ่ สร็จคณุ ครูตอ้ งตรวจงาน
• ใชก้ ารสอนแบบตวั ต่อตัว เพอ่ื ควบคมุ ใหเ้ ดก็ มสี มาธิ

28 เดก็ สมาธิส้นั คู่มอื สาำ หรบั ครู

• ยืดหยุ่นการเรียนการสอนให้เข้ากับความพร้อมของเด็ก
โดยเฉพาะในรายวิชาหลักหรือวิชาที่ยาก เช่นคณิตศาสตร์
ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เป็นตน้

• ฝกึ ให้เด็กตรวจสอบทบทวนผลงาน การจดบันทึก
• ช่วยให้เด็กสนใจบทเรียน โดยใช้สีระบายคำาสำาคัญ ข้อความ

สาำ คัญ วงรอบหรอื ตีกรอบขอ้ ความสำาคัญท่คี รเู น้น
• ใช้วิธีเตือนหรือเรียกให้เด็กกลับมาสนใจบทเรียน โดยไม่ทำาให้

เดก็ เสียหน้า เช่น เคาะท่ีโต๊ะเดก็ หรอื แตะไหล่เด็กเบาๆ
• ให้คำาชมเชย หรือรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เม่ือเด็กปฏิบัติตัวดี

หรือทาำ ส่งิ ทเี่ ปน็ ประโยชน์
• สนบั สนนุ จดุ เด่นหรอื ขอ้ ดีในตวั เด็กใหแ้ สดงออกมา เพอื่ ใหเ้ ดก็

เกดิ ความภาคภมู ิใจในตนเอง
• หลีกเลย่ี งการใช้วาจาตาำ หนิ ประจาน ประณามทีจ่ ะทาำ ใหเ้ ดก็

รู้สกึ อับอาย และไม่ลงโทษเด็กรุนแรง เช่น การตี
• ใชว้ ธิ กี ารตดั คะแนน งดเวลาพกั ทาำ เวร หรอื อยตู่ อ่ หลงั เลกิ เรยี น

(เพือ่ ทำางานทีค่ า้ งอย่ใู ห้เสรจ็ ) เม่อื เด็กทำาความผดิ
1.3.3 การมอบหมายงาน

• ควรพูดช้าๆ ชัดเจน กระชับ ครอบคลุม ไม่ใช้คาำ ส่ังคลุมเครือ
ประชดประชัน บ่น ตำาหนิติเตียนจนเด็กแยกไม่ถูกว่าครู
ใหท้ าำ อะไร

• ใหเ้ ดก็ พดู ทบทวนทคี่ รสู งั่ หรอื อธบิ ายกอ่ นลงมอื ทาำ เพอื่ ใหแ้ นใ่ จ
ว่าเข้าใจในส่ิงท่คี รพู ดู

• ในกรณีที่เด็กมีสมาธิส้ันมาก ควรแบ่งงานออกเป็นขั้นตอน
ย่อยๆ ให้เด็กทำาทีละข้ัน ไม่มุ่งเน้นคุณภาพของงานเป็นหลัก
แต่พยายามเนน้ ในเร่อื งความรับผดิ ชอบทาำ งานให้เสรจ็

เด็กสมาธิส้ัน คู่มือสำาหรบั ครู 29

1.4 การช่วยเหลือดา้ นทกั ษะเฉพาะในการเรียน
1.4.1 ทักษะในการอ่านหนังสือ คุณครูอาจเลือกหนังสือที่เด็กชอบ
มาให้เด็กอ่านเสริม โดยหนังสือท่ีอ่านไม่จำาเป็นต้องเป็น
หนังสือเรียน อาจเป็นหนังสือผจญภัย หนังสือสอบสวน
หนงั สอื ชวี ติ สตั ว์ ชวี ประวตั ิ ประวตั ศิ าสตร์ หรอื วทิ ยาศาสตรก์ ไ็ ด้
จากนนั้ ควรพูดคุยถึงส่งิ ทอี่ ่านให้เล่าเรอื่ ง หรอื ให้สรปุ
1.4.2 ทักษะการเขยี นหนังสอื การฝึกให้เขียนหนังสือบ่อยๆ จะทาำ ให้
สายตาและมือทำางาน ประสานกันได้ดีขึ้น เช่น ฝึกให้เขียน
สิ่งท่ีอยู่ในชีวิตประจำาวัน เขียนบรรยายความรู้สึกต่อพ่อแม่
เขียนแผนที่คาดว่าจะทาำ ในช่วงปดิ ภาคเรียน
1.4.3 ทกั ษะการฟงั และจับประเด็น ฝกึ เดก็ ใหส้ รปุ สิง่ ท่ีไดย้ นิ ได้เหน็
ได้ลองทำาตาม จะเปน็ รากฐานทด่ี ใี นการช่วยฝกึ สมาธิ

30 เดก็ สมาธสิ นั้ คู่มอื สาำ หรบั ครู

1.4.4 ทักษะในการวางแผนทำางาน คุณครูควรฝึกเด็กให้เรียงลำาดับ
งานสำาคญั กอ่ น-หลัง ตั้งสมาธิกับงานและลงมอื ทำา

1.4.5 การทำาการบ้าน
• จัดแบ่งการบ้านออกเป็นส่วนๆ เพ่ือให้เด็กสามารถลงมือทำา
จนสำาเร็จได้ในช่วงเวลาส้ันๆ เมื่อเด็กทำางานเสร็จเองบ่อยๆ
จะทำาให้เด็กอารมณ์ดี พอใจในตนเอง สถานการณ์เช่นนี้
จะทาำ ใหเ้ ดก็ มคี วามพยายามในการทาำ งานเพ่ิมขน้ึ
• เรียงลำาดับขอ้ ท่งี ่ายไวข้ อ้ แรกๆ เพ่อื ให้เดก็ เรม่ิ ทาำ จากงานทีง่ า่ ย
แล้วเสร็จเร็ว ไปสู่งานท่ีซับซ้อนยุ่งยากหรือมีปัญหาที่ต้องใช้
เวลาแก้นานขึ้น
• ใหเ้ ด็กเรม่ิ ทำางานท่ีมีความเร่งด่วน ทต่ี ้องสง่ กอ่ น
• มอบหมายการบ้านให้ฝึกอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนจน
ติดเปน็ นสิ ยั

1.4.6 เทคนคิ ในการเรียน
• สอนให้เด็กใช้เทคนิคช่วยจำา เช่น การใช้แถบปากกาสี
การขดี เสน้ ใตข้ อ้ ความทส่ี าำ คญั การยอ่ ประเดน็ สาำ คญั การจดสตู ร
หรือคำายากๆในสมุดบันทึก

• การหดั คิดเลขกลับไปกลบั มา
• ฝึกสอนเทคนิคในการทำาข้อสอบ เช่น ข้อสอบที่จับเวลา หรือ

มีเวลาทาำ จำากดั ข้อที่ทำาไม่ไดใ้ ห้ขา้ มไปกอ่ น อยา่ ลมื วงหน้าข้อ
เพือ่ กลับมาทำาซ้าำ หรือเพ่อื ไม่ให้วงสลบั ขอ้ เปน็ ต้น

เด็กสมาธิสน้ั ค่มู อื สำาหรับครู 31

1.5 ชว่ ยเดก็ จัดการเกี่ยวกับเวลา
เด็กสมาธิสั้นรู้เกี่ยวกับเวลาว่าต้องทาำ สิ่งใดบ้าง แต่ปัญหาของเด็กคือ

“แบ่งเวลาไม่เป็น” การต้ังเวลาและการเตือนจึงเป็นสิ่งท่ีจำาเป็นสำาหรับเด็ก
อยา่ คาดหวงั ให้เดก็ ร้จู ักเวลาเอง สงิ่ ท่คี ณุ ครูสามารถช่วยได้คอื

1.5.1 เตือนให้เด็กตรงต่อเวลา โดยส่งสัญญาณเตือนเมื่อใกล้ถึง
เวลานัด หรือเวลาต้องส่งงาน และบอกเด็กอกี คร้งั เม่อื ถึงเวลา
ส่งงาน

1.5.2 ช่วยเด็กจดั ทำากาำ หนดเวลาหรือปฏิทนิ งาน ทาำ ลงกระดาษติดไว้
ทโี่ ตะ๊ เรยี น กระเป๋า และหนา้ สมุดของเด็ก

1.5.3 ใชน้ าฬกิ าเตอื น โดยอาจใชน้ าฬกิ าระบบสน่ั สะเทอื น เพอื่ ปอ้ งกนั
การรบกวนเด็กอนื่

1.5.4 ให้แรงเสริมทางบวก เช่น คำาชม การสะสมดาวเพ่ือแลก
ของรางวลั เป็นตน้ เมือ่ เดก็ สง่ งานตามเวลา

32 เด็กสมาธิสน้ั คูม่ อื สาำ หรับครู

2. การพัฒนาทกั ษะทางสงั คม

ช่วยเด็กสมาธิสัน้ ให้มีเพ่อื น
เด็กสมาธิสั้นจำานวนมากมีปัญหากับเพื่อน ชอบกล่ันแกล้งหรือ

แหย่เพ่ือน บางคนอาจมีลักษณะกา้ วรา้ ว ท้งั นเี้ พราะเดก็ สมาธสิ ั้นจะมีอารมณ์
เสียง่าย และไม่คิดก่อนท่ีจะทำา บางรายอาจเรียกร้องความสนใจแบบไม่ค่อย
เหมาะสม เชน่ ทาำ เปน็ ตัวตลกใหค้ นอื่นแหย่เล่น เปน็ ต้น อกี ท้งั เด็กยังมีปญั หา
การแปลวธิ กี ารส่อื สารท่ีไม่ใชค่ ำาพดู ทาำ ให้เดก็ ไมส่ ามารถรับรู้อารมณข์ องผูอ้ ื่น
จากการได้เห็นเฉพาะสีหนา้ ท่าทาง และแววตาของคนท่ตี นสัมพันธ์ดว้ ย

ทั้งหมดนี้ทำาให้เด็กไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนไว้ได้
นานพอ เด็กอาจตอบโต้เพื่อนแบบก้าวร้าวเม่ือถูกยั่ว ความไม่มีสมาธิ ไม่รู้
เวลาทาำ ใหเ้ ดก็ ปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑห์ รอื กตกิ าตา่ งๆ ไมไ่ ด้ การเลน่ กบั เพอ่ื นจงึ มี
ปัญหาและไมม่ ใี ครอยากเลน่ ด้วย การฝกึ ทกั ษะทางสงั คมจะช่วยใหเ้ ด็กเข้ากับ
เพือ่ นได้ดขี ึน้ รู้จักทาำ งานรว่ มกับผ้อู ่ืน ซึ่งคณุ ครสู ามารถชว่ ยเหลือเดก็ ไดด้ ังน้ี

2.1 ค้นหาว่าปัญหาการเข้าสังคมกับเพ่ือนอยู่ท่ีไหน โดยอาศัย
การสังเกต การเล่นของเด็ก ทักษะต่างๆ ที่เด็กใช้เวลา
เข้ากลุม่ กบั เพื่อน ได้แก่

• ทักษะในการสื่อสาร การเริ่มต้นเล่นด้วยการรับฟังกติกา
การซกั ถามข้อสงสยั การสร้างคำาถามทเ่ี หมาะสม การชช้ี วนให้
เพอ่ื นๆ เลน่ ตาม คาำ พูด และสาำ เนียงท่ใี ช้พดู

• ความสามารถในการเล่น ควรสังเกตว่าเด็กเล่นในสิ่งที่เพ่ือนๆ
เลน่ ไดจ้ รงิ หรอื ไม่ ในกฬี าตา่ งๆ เชน่ หมากรกุ หมากฮอส ปงิ ปอง
บาสเกตบอล ฟุตบอล เป็นตน้

• ทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน ความสามารถเล่นตามเพื่อนหรือ
นำาเพ่ือนได้ รู้จักเอื้อเฟ้ือ รู้จักขอโทษ ขอบใจ และการแสดง
นา้ำ ใจ เคารพในกตกิ า เขา้ ใจความรสู้ กึ ของคนอน่ื ไวตอ่ ความรสู้ กึ
ของคนรอบขา้ ง

เดก็ สมาธสิ ั้น คมู่ ือสำาหรับครู 33

2.2 จดั โอกาสและหาแบบฝึกหัดให้เดก็ ไดฝ้ ึกฝนทักษะ
ควรหากิจกรรมให้เดก็ ได้ทำาเปน็ คู่หรอื เปน็ กล่มุ โดยกิจกรรมเหลา่ นน้ั
ต้องมรี ะเบยี บกฎเกณฑ์ และขั้นตอนท่ีชดั เจน โดยครชู ่วยควบคุม
2.3 แบบอยา่ งทีด่ ี
ครสู ามารถเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ใี นการตดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ บั ผอู้ นื่ ทง้ั การแสดง
ท่าทาง คำาพูด การฟัง การให้ความช่วยเหลือผู้อื่น การแบ่งปัน การขอ
ความชว่ ยเหลือ การกล่าวคาำ ขอโทษ หรือขอบคุณ
2.4 จดั เพ่ือนชว่ ยดแู ลเดก็ สมาธิส้ัน
ครูควรจัดเพ่ือนที่เด็กสนิทหรือเพ่ือนท่ีอาสาช่วยดูแล คอยเตือน
เมื่อเด็กไม่มีสมาธิช่วยสอนการบ้านโดยอาจจัดเป็นคู่ หรือจัดเป็นกลุ่ม
เพ่ือนร่วมดูแลเหล่านี้ควรเป็นคนท่ีเด็กชอบพอ เข้าอกเข้าใจกันและทำาอะไร
ด้วยกันได้ ท้ังน้ีครูควรช่วยติดตามปัญหาต่างๆ ท่ีอาจเกิดกับเพื่อนผู้ช่วยดูแล
เด็กได้

3. การปรับพฤติกรรม

ก่อนที่จะกล่าวถึงการปรับพฤติกรรม คุณครูควรหาทางป้องกันไม่ให้
ปัญหาเกดิ ข้ึน ซง่ึ ทาำ ได้ดงั น้ี

• บอกเดก็ ใหช้ ัดเจนวา่ เราต้องการใหท้ าำ อะไร
• สอนให้เด็กทราบว่าพฤติกรรมใดเป็นที่ต้องการ พฤติกรรมใด

ไม่เป็นท่ตี อ้ งการ
• กาำ หนดกิจวัตรประจำาวันให้เป็นขัน้ ตอน
• ปฏบิ ัตกิ ับเด็กอย่างคงเสน้ คงวา สมา่ำ เสมอ
• ปฏิบตั ิตนใหเ้ ปน็ แบบอย่างแกเ่ ดก็
• ปฏบิ ัติกับเดก็ ด้วยความยุตธิ รรม

34 เดก็ สมาธสิ ั้น ค่มู อื สาำ หรบั ครู

• เขา้ ใจปัญหา ความต้องการ และความสามารถของเดก็
• ใช้ความอดทนกบั ปัญหาพฤติกรรมของเดก็
• บางคร้ังต้องยืดหยนุ่ บ้าง
• คอยให้คาำ แนะนาำ ชว่ ยเหลอื เดก็ เมื่อจำาเปน็
ต่อไปน้เี ปน็ เทคนิคการปรับพฤติกรรม
3.1 การกำาหนดกฎระเบียบหรือคำาส่ัง คุณครูกำาหนดข้อปฏิบัติ

ที่ งา่ ยๆ ส้ันๆ เช่น
• เตรยี มพร้อมท่จี ะเรียนหนงั สอื
• ทาำ ตามทคี่ รูสั่ง
• ตาจ้องที่หนา้ กระดาษ ไม่มองไปทางอน่ื
• เอามือวางไว้แนบลำาตวั
• ทาำ งานเงยี บๆ
• ทำางานให้สะอาด เรียบรอ้ ย
3.2 การใหแ้ รงเสรมิ ทางบวก คณุ ครคู วรเปลยี่ นจากการ “จบั ผดิ ”

มาเปน็ “จับถกู ”
• ช่ืนชมเม่ือเด็กมีพฤตกิ รรมทพี่ งึ ประสงค์

“ครชู อบมากที่หนูยกมอื ขึ้น ก่อนถามคร”ู
“ดมี ากท่หี นูยนื เข้าแถวเงยี บๆ ไมค่ ุยกนั ”

• ใหส้ ทิ ธพิ เิ ศษเม่อื เดก็ มีพฤติกรรมทด่ี ี เชน่ มอบให้ควบคุมแถว
ใหเ้ กบ็ สมุดงานจากเพ่อื นนักเรียน

• รางวัลไม่จำาเป็นต้องเป็นรางวัลชิ้นใหญ่ อาจเป็นคำาชมเชย
รางวลั เล็กๆ น้อยๆ

• ตวั อยา่ งแรงเสรมิ เชน่ ใหเ้ ลน่ เกมทชี่ อบ ใหเ้ วลาในการฟงั เพลง
โดยใช้หูฟงั ใหเ้ ลน่ ดนิ นำ้ามนั ตดั กระดาษ ใหเ้ ลอื กการบา้ นเอง
ใหก้ ลับบ้านเรว็ ข้ึน

เด็กสมาธิส้ัน คู่มือสำาหรบั ครู 35

3.3 การสะสมเบีย้ รางวัล
• การสะสมคปู องทเี่ ขยี นมลู ค่าไว้ เมื่อครบมลู ค่าท่กี าำ หนดไวก้ ็ให้
เลอื กทำากจิ กรรมทช่ี อบได้ 1 อย่าง
• หากเด็กมีพฤติกรรมท่ีดี คุณครูอาจนำาลูกแก้วมาใส่โถใสไว้
เม่อื โถเตม็ ก็จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในหอ้ งเรยี น

3.4 การใชบ้ ัตรส ี เพอ่ื ควบคมุ พฤตกิ รรมเดก็ ทง้ั ห้องเรยี น
• คณุ ครตู ดิ แผน่ ปา้ ยไวห้ นา้ หอ้ งเรยี น บนแผน่ ปา้ ยจะมชี อื่ ของเดก็
พรอ้ มบัตรสี
• เร่มิ เรียนตอนเช้าทุกคนจะมปี ้ายมชี มพู
• หากเด็กมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็ให้บัตรสีเขียวแต่ไม่มี
การลงโทษ
• หากยังมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเด็กจะให้บัตรสีเหลือง
พร้อมกบั งดการเข้าร่วมกิจกรรม 5 นาที
• หากยงั มพี ฤติกรรมที่ไมเ่ หมาะสมอีกให้งดการเขา้ รว่ มกิจกรรม
10 นาที แลว้ เปล่ียนบัตรเป็นสีแดง หมายความว่าตอ้ งรายงาน
ผู้อาำ นวยการ หรอื แจ้งผูป้ กครอง

3.5 การใช้บตั รตวั เลข
• เปน็ บัตรขนาดเทา่ ฝ่ามอื มีตวั เลข 1-5
5 หมายถึง ประพฤติตัวดีมาก เปน็ เด็กดขี องครู
4 หมายถึง วันน้ปี ระพฤตดิ ี
3 หมายถึง พอใช้ ไม่สร้างปญั หา
2 หมายถงึ วนั น้คี ่อนขา้ งมีปัญหา ไมเ่ ป็นเดก็ ดเี ท่าทีค่ วร
จำาเป็นตอ้ งปรับปรุงตนเอง
1 หมายถงึ วนั นแ้ี ยม่ าก ไมน่ า่ รกั เลย คราวหนา้ ตอ้ งแกต้ วั ใหม่
• ให้เดก็ ถือบตั รนี้กลับบา้ นด้วย

36 เด็กสมาธสิ ้ัน ค่มู อื สาำ หรบั ครู

3.6 การทาำ สญั ญา ในสญั ญาควรประกอบด้วย 2 สว่ นใหญๆ่ คอื
• สัญญาว่าจะทาำ พฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสม เช่น มาโรงเรียนสาย
ไมส่ ่งงาน คยุ กันในหอ้ งเรียน เปน็ ตน้
• สญั ญาในทางท่ีดที ีเ่ หมาะสม เช่น ตัง้ ใจเรยี น ควบคมุ อารมณ์
ตนเอง ต้ังใจฟังครูสอน ส่งงานตามกำาหนดเวลา น่ังเรียน
อยา่ งเรยี บรอ้ ย พูดจาไพเราะ
คณุ ครคู วรกาำ หนดรางวลั ทเี่ ดก็ จะไดร้ บั เชน่ ไดเ้ ลน่ คอมพวิ เตอร์
ตามลำาพงั นาน 10 นาที แต่ถ้าไมป่ ฏิบัติจะไมไ่ ด้ไปทัศนศกึ ษา
กับเพ่อื น

3.7 การฝกึ หายใจ เปน็ วธิ ที จี่ ะสามารถชว่ ยผอ่ นคลายความเครยี ด
ให้แกเ่ ดก็ ได้

• ฝึกให้เด็กหายใจอย่างถูกต้อง ให้น่ังในท่าที่สบาย หายใจเข้า
ใหท้ อ้ งพอง หายใจออกให้ทอ้ งแฟบ มีสตอิ ยูก่ บั ลมหายใจ

3.8 ทำากิจกรรมฝึกสมาธิ เช่น ถือของที่แตกง่ายไปส่งให้ผู้อ่ืน
ถือขันนำ้าท่ีมีนำ้าปร่ิมโดยไม่ให้หก แสดงท่าว่ายน้ำาในอากาศ
แสดงอาการลอยตัวเมอื่ อยนู่ อกโลก

3.9 การใช้ดนตรี อาจใช้ดนตรีประกอบกิจกรรมก่อนเรียน หรือ
หลังเลิกเรียน เช่น
“ถา้ ได้ยินเสยี งรวั กลองให้ทุกคนวิ่งประจาำ ที่”
“ถ้าได้ยินเสียงบรรเลงเพลงจบ ให้ทุกคนค่อยๆ เดนิ ยอ่ งเบาๆ
เขา้ ที่นัง่ ตนเอง”

เดก็ สมาธิสั้น ค่มู ือสำาหรับครู 37

ปญั หาพฤตกิ รรมทีพ่ บบอ่ ยใน

โรงเรยี น
พนม เกตุมาน (2551) ได้ให้รายละเอียดแนวทางการจัดการปัญหา
พฤตกิ รรมเดก็ สมาธสิ น้ั ทพี่ บบอ่ ยไว้ดงั น้ี

ด้ือ คือพฤติกรรมหลีกเลี่ยง หลบเล่ียงไม่ทำาตามคำาส่ัง หรือทำาผิด
ไปจากข้อตกลงที่ทำาไว้ล่วงหน้า อาการด้ือของเด็กสมาธิส้ันเป็นพฤติกรรม
ท่พี บได้บอ่ ย เด็กจะดื้อจากหลายสาเหตุ คอื

1. เดก็ ไม่ตัง้ ใจจะฟงั คำาสั่ง ไมใ่ สใ่ จ เมอื่ สงั่ แล้วลืม หรอื ทาำ ไม่ครบ
2. เดก็ ไมค่ อ่ ยอยากทาำ ตามคาำ สง่ั เนอื่ งจากตดิ เลน่ หรอื กาำ ลงั ทาำ อะไร
เพลนิ ๆ สนกุ ๆ
3. เด็กอาจหงุดหงดิ หรือโกรธไม่พอใจในเรื่องอืน่ เมือ่ สง่ั ให้ทาำ อะไร
กไ็ มอ่ ยากทาำ จึงอาจใชก้ ารดือ้ ไม่ร่วมมือ ไมท่ ำาตาม เปน็ การตอบโต้
เด็กดื้ออาจจะแสดงออกดื้อตรงๆ ตอบโต้คำาสั่งทันที หรือดื้อเงียบ
คือปากว่าจะทำา แต่ขอผัดผ่อนไปก่อน แล้วในที่สุดก็ไม่ทำา (ด้วยเจตนาหรือ
ลมื จริงๆ)

38 เด็กสมาธิส้ัน คูม่ ือสำาหรบั ครู

การปอ้ งกนั
ครูควรใช้คำาสั่งที่ได้ผล เวลาส่ังควรแน่ใจว่าเด็กสนใจในคำาสั่งนั้น

ควรให้เด็กหยุดเล่นหรือหยุดพฤติกรรมใดๆ ที่กำาลังทำาอยู่เสียก่อน สั่งส้ันๆ
ชัดเจน อย่าใช้หลายคำาสั่งพร้อมๆ กัน ให้เด็กทวนคำาส่ัง แล้วเริ่มปฏิบัติ
ทันที อย่าให้เด็กหลบเล่ียง พร้อมกับชมเมื่อเด็กทำาได้ ในกรณีที่คำาส่ังนั้น
ไมไ่ ดผ้ ล คณุ ครตู อ้ งคอยกาำ กบั ใหท้ าำ สมา่ำ เสมอในระยะเวลาแรกๆ กอ่ น ไมค่ วรสงั่
หรือตกลงกนั ในกิจกรรมท่คี รูไมม่ เี วลาคอยกาำ กับใหท้ ำาในระยะแรกๆ

แกลง้ เพื่อน

เนื่องจากเด็กมักจะซน ควบคุมตัวเองลำาบาก ทำาให้อาจไปละเมิด
เดก็ อน่ื ได้ แตเ่ ดก็ มกั ไมค่ อ่ ยยอมรบั วา่ ตนเองเปน็ ผเู้ รม่ิ ตน้ ละเมดิ คนอน่ื กอ่ น เชน่
ล้อเลียน แหย่ แกล้ง ทำาให้คนอ่ืนไม่พอใจ จนมีการตอบโต้กันไปมา แต่เม่ือ
ให้เดก็ สรปุ เอง เขาจะบอกวา่ โดนแกล้งกอ่ น ทง้ั ๆ ทก่ี ่อนหน้านเ้ี ขาอาจจะเปน็
ผเู้ รมิ่ ตน้ กอ่ นก็ได้ บางทีการตอบโต้นั้นเกิดเป็นวงจนหาจดุ เริม่ ต้นจริงๆ ไม่ได้

เมื่อเด็กมาฟ้องครูว่าตนเองถูกรังแก ครูต้องทำาใจให้เป็นกลาง
อยา่ เพ่งิ เชอื่ เด็กทันที ควรสอบถามให้ชัดเจนกอ่ นวา่ เหตุการณท์ เี่ กดิ ขึ้นจริงๆ
เปน็ อยา่ งไร ยกตวั อยา่ ง เช่น

“ลองเล่าเหตุการณท์ ่ีเกิดขน้ึ อยา่ งละเอียดซิ”
“ ตอนนนั้ หนูทาำ อะไรอยู”่
“ก่อนหน้าน้ันหนทู ำาอะไร”
“มีอะไรทีท่ าำ ใหเ้ ขาไมพ่ อใจหนอู ยู่กอ่ น”
“กอ่ นหนา้ หนูทาำ อะไรใหเ้ ขาไม่พอใจบา้ งไหม”
“อะไรทาำ ใหเ้ ขามาทาำ เช่นนก้ี บั หน”ู
“หนคู งโกรธทเี่ ขาทาำ เช่นน้นั ”
“แลว้ หนตู อบโต้ไปอยา่ งไร”

เดก็ สมาธสิ นั้ คูม่ ือสาำ หรบั ครู 39

“หนคู ิดว่าเขาจะคิดอยา่ งไร ร้สู กึ อย่างไร”
“หนคู ดิ ว่าเรือ่ งมนั น่าจะจบลงแค่น้ีหรือเปลา่ ”
“เพอื่ นเขาอาจเจ็บแคน้ มาหาเร่ืองในวันหลงั ไดห้ รือไม”่
“หนคู ิดว่าจะหาทางออกอย่างไรดี ทีจ่ ะไดผ้ ลดีในระยะยาว”
ส่ิงท่ีครูควรจะสอนเด็กคือ วีธีการแก้ปัญหาด้วยวิธีการท่ีนุ่มนวล
หาทางออกสำาหรับแก้ปัญหาหลายๆ แบบให้เด็กเลือกใช้ โดยไม่ไปตำาหนิเด็ก
ตรงๆ ก่อน

กา้ วร้าว
เด็กที่ถูกเพื่อนยั่วบ่อยๆ หากไม่ได้ฝึกควบคุมตนเอง อาจทำาให้เด็ก
ตอบสนองต่อเพื่อนด้วยวิธีก้าวร้าวรุนแรงได้ การลงโทษด้วยวิธีรุนแรง เช่น
ตีหรือประจานให้เสียหน้า อาจช่วยหยุดพฤติกรรมได้ในระยะสั้นๆ แต่ไม่ช่วย
แก้ไขปัญหาพฤตกิ รรมของเดก็ ในระยะยาว สง่ิ ทีค่ รูสามารถชว่ ยเดก็ ได้ คอื
• ฝกึ ให้เด็กระบายอารมณ์ และจดั การอารมณ์ตนเองอยา่ งสมาำ่ เสมอ

ดังทก่ี ล่าวมาขา้ งต้น
• เม่ือเกิดสถานการณ์ ครูต้องเข้าไปไกล่เกลี่ย แยกเด็กซ่ึงเป็นคู่กรณี

ออกจากกัน แต่ถ้าเด็กมีพฤติกรรมอาละวาด ในเด็กเล็กครูอาจใช้
วธิ ี “กอด” เด็กไว้ ส่วนในเดก็ โต อาจให้ครผู ้ชู ายตัวโตๆ อยา่ งนอ้ ย
2-3 คน ช่วยลอ็ คตวั เดก็ ไว้ และพาเดก็ ไปอย่ทู ี่สงบพรอ้ มบอกเด็ก
วา่ “หนโู กรธไดแ้ ตท่ ำารา้ ยคนอน่ื ไมไ่ ด”้ จากนน้ั พดู คยุ ใหเ้ ดก็ ระบาย
ความรู้สกึ และใชว้ ธิ พี ูดคยุ สอบถามเชน่ เดียวกับกรณแี กลง้ เพอื่ น
• ช่วยให้เด็กคิดหาทางออกในหลากหลายวิธี และปรับความเข้าใจ
ซึ่งกันและกัน ในสถานการณท์ ีท่ ั้งคมู่ อี ารมณส์ งบดแี ล้ว
• สอนให้เด็กรู้จัดสังเกตอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น รวมถึงหาวิธี
หลีกเลย่ี งและสอ่ื สารความต้องการอย่างเหมาะสม

40 เด็กสมาธิสั้น คมู่ อื สาำ หรับครู

• ใหเ้ ดก็ พยายามหลกี เลยี่ งสถานการณ์ ซง่ึ เปน็ ตวั กระตนุ้ ใหโ้ กรธ
• คิดทบทวนดูว่าเรื่องอะไรที่มีผลกระทบต่ออารมณ์มากที่สุด

โดยสังเกตว่าร่างกายส่งสัญญาณเตือนอย่างไรเมื่อมีอารมณ์
เปลี่ยนแปลงจากเร่ืองที่เข้ามารบกวน เช่น หายใจเร็ว ใจส่ัน
หน้าแดง ฯลฯ และรบี ออกจากท่เี กิดเหตุ ไม่พูดต่อล้อต่อเถียง
ในขณะทอี่ กี ฝ่ายกำาลงั มีอารมณโ์ กรธ
• ใหเ้ ดก็ บอกตวั เองวา่ ตอ้ งควบคมุ อารมณโ์ กรธกอ่ นทอี่ ารมณโ์ กรธ
จะควบคมุ เรา
• นึกถงึ สิง่ ดีๆในชีวิต เพ่ือให้อารมณ์ผ่อนคลายลง
• ขอบคุณตัวเองท่ีสามารถเอาชนะอารมณ์โกรธได้ ในการสอน
ให้เด็กรู้จักสังเกตอารมณ์ของผู้อ่ืน ครูอาจให้เด็กทั้งห้องเรียน
รู้อารมณ์ร่วมกัน โดยแสดงสถานการณ์สมมติ ขออาสาสมัคร
แสดงสีหน้าท่าทางถึงภาวะอารมณ์ต่างๆ ให้เด็กคนอ่ืนๆ
ช่วยกันทาย รวมถึงอาจให้เด็กแลกเปลี่ยนว่าถ้าเพื่อนอยู่ใน
อารมณ์โกรธพวกเขาควรทำาอย่างไร ให้เด็กช่วยกันคิดวิธี
และแสดงท่าทางตอบสนองเวลาท่ีเพ่ือนมีอารมณ์โกรธ ก็จะ
ช่วยให้เด็กเรียนรู้จักวีธีสังเกตและตอบสนองอารมณ์ผู้อื่น
อย่างสนุกสนาน

เด็กสมาธิส้นั คมู่ อื สาำ หรบั ครู 41

แนวทางการตดิ ตาม

พฤตกิ รรมเด็กสมาธิส้นั ในช้นั เรยี น

ครคู วรใชแ้ บบประเมินพฤติกรรม สังเกตและบันทึกการเปล่ียนแปลง
ของเด็กทุกสัปดาห์ และหาโอกาสพูดคุยกับเด็กถึงการเปล่ียนแปลงของเขา
เปน็ ระยะวา่ เดก็ สามารถพฒั นาอะไรขนึ้ บา้ ง โดยพยายามพดู ถงึ ความกา้ วหนา้
ในทางที่ดีและตามดว้ ยส่งิ ท่ีเดก็ ควรแกไ้ ขเพอ่ื ใหเ้ ด็กเกดิ ความรู้สึกที่ดี

42 เด็กสมาธสิ ้นั คูม่ อื สำาหรับครู

ตวั อยา่ งสมดุ บันทึกพฤติกรรมเปน็ ชว่ งสปั ดาห์
(ชาญวทิ ย ์ พรนภดล,2545)

พฤติกรรมเด็ก แยล่ ง ไม่เปลี่ยนแปลง ดขี ้นึ ดขี ึน้ มาก
มสี มาธิ สามารถจดจอ่
กบั การงานท่ีทำา
นัง่ ตดิ ท่ี
พดู จาเหมาะสม
มีปฏสิ มั พันธท์ ่ดี ี
กบั เพ่ือนและครู

ประโยชนข์ องสมดุ บนั ทกึ พฤตกิ รรมสาำ หรบั เดก็ สมาธสิ น้ั นนั้ จะชว่ ยให้
ขอ้ มูลแพทย์ในการตดิ ตามการรกั ษาและอาการของเด็กท่โี รงเรยี น ครูสามารถ
เห็นความเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมของเด็กชดั เจนยง่ิ ข้นึ และยงั เปน็ ขอ้ มลู สำาคญั
ในการสอ่ื สารกบั ผู้ปกครอง รวมถงึ ใช้สง่ ต่อข้อมลู ระหว่างครูด้วยกนั ไดอ้ ีกด้วย

อยา่ 10 ประการ ฝากไวส้ ำาหรบั คุณครูผ้ดู ูแลเด็กสมาธสิ ั้น
(อมุ าพร ตรังสมบตั ,ิ 2544)

1. อยา่ เขา้ ใจวา่ เดก็ เปน็ เดก็ ขเ้ี กยี จ บางอาการเดก็ เปน็ อยนู่ อกเหนอื
การควบคุม

2. อย่าลงโทษเด็กเพราะเห็นว่าเด็กแกล้งไม่ทำางาน เนื่องจาก
ความสามารถของเดก็ ยังไม่คงเสน้ คงวา สิ่งทเี่ ด็กทำาไดใ้ นคร้ังก่อนอาจทำาไมไ่ ด้
ในครั้งนี้

เด็กสมาธิสนั้ คมู่ อื สำาหรบั ครู 43

3. อย่าฟังครูคนอ่ืนที่วิพากษ์วิจารณ์เด็กในทางลบ ความจริงเด็ก
อาจไมเ่ ลวรา้ ยอย่างครอู ื่นๆ พดู ก็ได้

4. อย่าฟังครูประจำาช้ันคนเดิม (เก่ียวกับทัศนคติทางลบ)
ลองประเมนิ เดก็ ดว้ ยตนเอง และหาเทคนคิ ในการจดั การพฤตกิ รรมใหเ้ หมาะสม

5. อยา่ ลงโทษเด็กด้วยอารมณ์
6. อย่าลืมผู้ปกครอง ตกลงกับผู้ปกครองเก่ียวกับการสอนและ
รายงานความกา้ วหน้าใหผ้ ปู้ กครองทราบสมา่ำ เสมอ
7. อย่าทำางานคนเดียว ขอความช่วยเหลือจากครูอ่ืนในการช่วย
สังเกตพฤติกรรมเดก็ และเสนอแนวทางในการสอน
8. อยา่ ลมื ปรบั พฤตกิ รรม ควบคกู่ บั การเรยี นการสอน
9. อยา่ เน้นผลสอบจนเกินไป ควรมองพฒั นาการเด็กท่ดี ขี ้ึน
10. อย่าเลิกล้มความต้ังใจง่ายๆ หากวันนี้คุณครูไม่ช่วยแล้วใครจะ
ชว่ ยเหลือเดก็

44 เดก็ สมาธสิ น้ั ค่มู ือสำาหรบั ครู

เอกสารอ้างอิง

ชาญวิทย์ พรนภดล. (2545).โรคซน-สมาธิสั้น (Attention-Deicit/
Hyperactivity Disorder-ADHD) ใน วินัดดา ปิยะศิลป์และ
พนม เกตุมาน . ตำาราจิตเวชเด็กและวัยรุ่น. กรุงเทพมหานคร :
บรษิ ทั บยี อนด์ เอน็ เทอรไ์ พรซ์.

ชาญวิทย์ พรนภดล และพนม เกตุมาน. (2550). โรคสมาธิส้ัน
(Attention Deicit Hyperactivity Disorder). คน้ เมือ่ วนั ที่ 18
สงิ หาคม 2553 จาก, http://www.psyclin.co.th/myweb1.htm

นงพนา ล้ิมสุวรรณ. (2542). โรคสมาธิส้ัน Attention-Deicit/
Hyperactivity Disorders. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั
ธรรมศาสตร.์

ผดุง อารยะวิญญู. (2544). วิธีสอนเด็กสมาธิสั้น. กรุงเทพมหานคร:
บริษัท รำาไทย เพรส จาำ กัด.

พนม เกตุมาน. (2548). สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น คู่มือคุณพ่อคุณแม่
และครสู าำ หรบั การฝกึ เดก็ . กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั คลั เลอร์ ฮารโ์ มน่ี
จาำ กดั .

วมิ ลรตั น์ วนั เพญ็ และคณะ. (2553). แนวทางการดแู ลชว่ ยเหลอื เดก็ สมาธสิ น้ั
ในโรงเรยี น. กรงุ เทพฯ: สถาบนั สขุ ภาพจติ เดก็ และวยั รนุ่ ราชนครนิ ทร์

อุมาพร ตรังคสมบัติ. (2544). สร้างสมาธิให้ลูกคุณ. กรุงเทพมหานคร:
ซนั ต้าการพิมพ.์

เด็กสมาธิสัน้ คมู่ อื สำาหรับครู 45

คณะผ้จู ดั ทำา

ที่ปรกึ ษา ผอู้ าำ นวยการสถาบนั ราชานุกลู
พญ.พรรณพมิ ล วปิ ุลากร

คณะทำางาน นกั จติ วทิ ยาเช่ียวชาญ
1. นางวนดิ า ชนินทยทุ ธวงศ์ นายแพทย์ชาำ นาญการพเิ ศษ
2. พญ.ชดาพิมพ์ เผา่ สวัสดิ์ นกั วิชาการศกึ ษาพิเศษชำานาญการ
3. นางสาวสจุ ติ รา สขุ เกษม นกั วิชาการศึกษาพิเศษชำานาญการ
4. นางรุจรี ตั น์ จันทรเนตร นกั จิตวทิ ยาคลนิ กิ ปฏิบัตกิ าร
5. นางสาวปราณี ต๊ะวิโล ผ้จู ัดการ/ผ้ปู ระสานงานโครงการ
6. นางสาวยุวนา ไขว้พนั ธ์

46 เด็กสมาธสิ ้นั คมู่ อื สำาหรับครู

.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................

เดก็ สมาธสิ ้ัน คมู่ ือสำาหรบั ครู 47

.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................
.........................................................................................................................

48 เด็กสมาธสิ ั้น ค่มู อื สาำ หรบั ครู


Click to View FlipBook Version