การศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง พงศ์สิริ สุริโย ภัทรชนน ดวงบุบผา ครูที่ปรึกษา ประสิทธิ์ เครือแตง และคณะ โรงเรียนโพธิ์แก้วประชาสรรค์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
การศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง พงศ์สิริ สุริโย ภัทรชนน ดวงบุบผา ครูที่ปรึกษา ประสิทธิ์ เครือแตง และคณะ โรงเรียนโพธิ์แก้วประชาสรรค์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ก หัวข้อโครงงาน การศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง ผู้จัดทำ พงศ์สิริสุริโย และภัทรชนน ดวงบุบผา ครูที่ปรึกษา ประสิทธิ์เครือแตง พิทยาภรณ์ หรสิทธิ์ รัตน์มณี กล้วยดี ภาณุมาศ บุญละคร ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ โครงงาน เรื่อง การศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การใช้น้ำมันหอมระเหย กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนโพธิ์แก้ว ประชาสรรค์ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน 16 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ผู้จัดทำได้ทดลองใช้น้ำมัน หอมระเหยจากสารสกัด 2 ชนิด ได้แก่ เปลือกมะกรูดและใบตะไคร้หอม หลังจากนั้นจึงบันทึกผล และเปรียบเทียบระยะเวลาที่น้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดสามารถไล่หรือป้องกันยุงได้และศึกษาระดับ ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 ที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย โดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วนำค่าเฉลี่ยมาแปลความหมายตามเกณฑ์ ผลการศึกษา พบว่า น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้หอมสามารถไล่หรือป้องกันยุงได้นาน 150 นาที หรือประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งดีกว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากมะกรูด โดยสามารถ ไล่หรือป้องกันยุงได้90 นาที หรือประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีและจากการศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย พบว่า ความพึงพอใจโดยรวมของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19 รองลงมา ได้แก่ ความง่ายในการฉีดน้ำมันหอมระเหย ไล่ยุง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.06 กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.75 ความสามารถในการซึม ผ่านผิวหนังของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.69 ตามลำดับ และรายการประเมิน ที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ความแรงของกลิ่น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.56
ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีเพราะได้รับความเมตตาและความช่วยเหลืออย่างดียิ่ง จากนายประสิทธิ์เครือแตง นางสาวพิทยาภรณ์ หรสิทธิ์นางสาวรัตน์มณี กล้วยดีและนางสาวภาณุมาศ บุญละคร ซึ่งเป็นคุณครูที่ปรึกษา คณะผู้จัดทำรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคุณ เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ระดับชั้นมัธยมศึกษา 2/2 ภาครเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน โพธิ์แก้วประชาสรรค์ อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ให้คำแนะนำและเป็นกำลังใจตลอดมา ขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ของคณะผู้จัดทำ ตลอดจนญาติพี่น้องทุกคนที่ให้ความรัก ความห่วงใย ช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ ให้การสนับสนุน และเป็นกำลังใจในการทำโครงงานครั้งนี้ จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี คุณค่าทั้งหลายของโครงงานฉบับนี้ คณะผู้จัดทำขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณบิดา มารดา บูรพาจารย์ และผู้มีพระคุณทุกท่าน คณะผู้จัดทำ
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ………………..………………………………………..…………………………………………………... กิตติกรรมประกาศ ............................................................................................................... ก ข สารบัญ ……………………………………………………………..…………………………………………………... ค สารบัญตาราง ……………………………..……………………………………………………………..……..…… จ บทที่ 1 บทนำ ..................................................................................................................... .. 1 ที่มาและความสำคัญ ............................................................................................... วัตถุประสงค์ ............................................................................................................ สมมติฐาน ............................................................................................................... ขอบเขตของโครงงาน .............................................................................................. เป้าหมาย ................................................................................................................. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ...................................................................................... นิยามศัพท์เฉพาะ .................................................................................................... 1 2 2 2 3 3 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ………………………..…….……….…..………………………… 5 น้ำมันหอมระเหย ……………………………….……………………………….………………………. ยุง ……………………………………………………………………………………………..….……………. สมุนไพรที่มีสรรพคุณไล่ยุง ……………………………….………………………………………….. วิธีการกลั่นและสกัดน้ำมันหอมระเหย ..................................................................... งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง .................................................................................................. 5 6 8 10 13 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน ……………………………………………………………………………………..… วัสดุและอุปกรณ์ ……………………………..………………………………………..………………… วิธีการดำเนินงาน ………………........……………………………………………………….……..… เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ..………………………………………………………… การวิเคราะห์ข้อมูล ..…………………………………………………….......………………………… สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ..………………………………………....….......................... 15 15 15 16 16 16 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน ……………………...............................……………………………………… สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ..…......……………………………… ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ..…………………….………………… ผลการดำเนินงาน ..……………………………………....................…....….......................... 18 18 18 19
ง เรื่อง บทที่ 5 สรุปผล ……………………………..............………..................................……………………… วัตถุประสงค์ ………………………………............................……………………………………… สรุปผล …………………………..................................….….......………………………………… ข้อเสนอแนะ ………………………………………............................……………………………… บรรณานุกรม ………………………………………..………………..…………………………………………….… ภาคผนวก ………………………………………..………………..………………………………………….……...... ภาคผนวก ก วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สกัดน้ำมันหอมระเหย ………………………..………........ ภาคผนวก ข ขั้นตอนการกลั่นน้ำมันหอมระเหย ……………………………....………........ ภาคผนวก ค เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ………………………..………........ หน้า 22 22 22 23 24 26 27 29 32
จ สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 2 3 แสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกด้วยเพศ …..………………........... แสดงผลการหาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง …..….................. แสดงผลของความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย …..…...… 19 19 20
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ ยุง เป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกแต่พบมากในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ยุงทั่วโลกมีอยู่ 3,450 ชนิด แต่พบในประเทศไทยเพียง 412 ชนิด ซึ่งยุงที่คนส่วนใหญ่รู้จัก มี 4 ชนิด ได้แก่ ยุงก้นปล่อง (Anophelcs) ยุงลาย (Aedes) ยุงเสือหรือยุงลายเสือ (Mansonia) และยุงรำคาญหรือยุงธรรมดา (Culex) (จุฬารัตน์ นุราช, 2544) ยุงเป็นพาหะนำโรคที่มีความสำคัญทางการแพทย์และเป็นปัญหา ทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศเขตร้อนหรือร้อนชื้น ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ยังคง พบปัญหาการระบาดของโรคต่าง ๆ ที่มียุงเป็นพาหะ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า มาตรการในการจัดการกับปัญหาของโรคติดต่อไม่ว่าจะเป็น โรคใดก็ตาม “การป้องกัน” ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทุกคนควรกระทำเพื่อป้องกันตัวเองให้ทันจากโรคร้าย การหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและลดการสัมผัสระหว่างคนและยุงพาหะได้โดยในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์ป้องกันยุง ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ครีม เจล โลชั่น แป้ง และสเปรย์ฉีดพ่น เป็นต้น ซึ่งการใช้สารไล่ยุงในผู้บริโภค ส่วนใหญ่มักนิยมใช้ผลิตภัณฑ์ที่สะดวกซื้อ สะดวกใช้ และเห็นผลเร็ว โดยทั่วไปมักมีองค์ประกอบสำคัญ ในการออกฤทธิ์เป็นสารเคมีสังเคราะห์ เช่น DEET , Dimethyl phthalate , Picaridin เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสารเหล่านี้จะกำจัดหรือไล่แมลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ล้วนก่อให้เกิดโทษ ต่อผู้บริโภค โดยสารเคมีที่ตกค้างอาจก่อให้เกิดการแพ้ระคายเคือง และเมื่อสะสมก็จะก่อให้เกิดอาการ ข้างเคียงในการทำลายระบบประสาท เป็นต้น (มะฮาซัน คอลอ และอารีฟ อับดุลกะเดช, 2564) จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า สารสกัดจากพืชหลายชนิด เช่น ตะไคร้หอม ยี่หร่า กะเพรา แมงลัก มะกรูด กานพลู ฯลฯ มีประสิทธิภาพในการไล่ยุง อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรม การผลิตสารไล่ยุง และมีวางขายในท้องตลาดมากมาย (สุวรรณ ธีระวรพันธ์, 2558) ในปัจจุบัน มีการรายงานความก้าวหน้าในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและฤทธิ์ต่อยุงพาหะเพิ่มขึ้น อย่างหลากหลาย ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีและแสดงให้เห็นว่านักวิจัยยังคงให้ความสนใจศึกษาค้นคว้า และแสวงหาพืชสมุนไพรใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงที่ปลอดจากสารเคมี สังเคราะห์และฤทธิ์อันไม่พึงประสงค์ น้ำมันหอมระเหย (Essential oil) เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงที่ปลอดจากสารเคมี โดยเป็นน้ำมันที่สกัดมาจากพืช เช่น ส่วนดอก ใบ ผล ลำต้น ส่วนใหญ่นำมาใช้ในการบำบัดตามศาสตร์
2 สุคนธ์บำบัด (Aromatherapy) ซึ่งหมายถึง การบำบัดรักษาด้วยการใช้กลิ่นหอมของสารหอมในพืช นอกจากนี้ยังช่วยไล่แมลงหรือยุงที่อาจก่อให้เกิดโรคที่มียุงเป็นพาหะได้ (สุทธิพงษ์ ตาแก้ว, 2561) โดยทั่วไปน้ำมันหอมระเหยจะถูกสกัดได้หลายรูปแบบ เช่น การกลั่น (Distillation) การสกัดโดยใช้ไขมัน (Enfleurage) การสกัดด้วยตัวทำละลาย (Solvent extraction) การบีบอัด (Expression) การใช้คาร์บอนไดออกไซด์เหลวภายใต้ความดันสูง (Supercritical fluid extraction) เป็นต้น (สุทธิพงษ์ ตาแก้ว, 2561) การสกัดน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง จึงถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถ ตอบสนองต่อพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ห่วงใยต่อสุขภาพของตนเอง จากปัญหาดังที่กล่าวมาข้างต้น โรงเรียนโพธิ์แก้วประชาสรรค์ ได้เล็งเห็นความสำคัญ ของการใช้สมุนไพรไล่ยุงพาหะ จึงได้จัดทำโครงงาน “น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อนำทรัพยากรในท้องถิ่นมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง สามารถนำน้ำมันหอมระเหย มาใช้ในการผ่อนคลายอารมณ์ลดความเครียดของทั้งร่างกายและจิตใจ ตลอดจนเพื่อศึกษาประสิทธิภาพ ของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย สมมติฐานของโครงงาน 1. น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้หอมสามารถป้องกันยุงได้นานกว่าน้ำมันหอมระเหย ที่สกัดจากมะกรูด 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 มีความพึงพอใจต่อการใช้น้ำมันหอมระเหยอยู่ในระดับ มาก ขอบเขตของโครงงาน 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนโพธิ์แก้วประชาสรรค์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน 16 คน
3 ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 2. ตัวแปร 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ พืชสมุนไพรในท้องถิ่น ประกอบด้วย ใบตะไคร้หอม และเปลือก มะกรูด 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย 3. ระยะเวลาที่ใช้ ระยะเวลาที่ใช้ในการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพรในท้องถิ่น คือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาสกัดน้ำมันหอมระเหยครั้งละประมาณ 3 - 5 ชั่วโมง เป้าหมายของโครงงาน การพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ด้วยรูปแบบโครงงาน นวัตกรรมเพื่อชุมชนขั้นสูง (CIP Advance) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากใบตะไคร้และเปลือกมะกรูดสามารถไล่ยุงได้ 2. นักเรียนได้พัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงโดยการผลิตนวัตกรรมเพื่อชุมชน 3. นักเรียนสามารถนำทรัพยากรในท้องถิ่นมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง และใช้ในการผ่อนคลาย ลดความเครียด 4. ช่วยเพิ่มคุณค่าของพืชสมุนไพรในท้องถิ่น 5. นักเรียนสามารถนำความรู้ไปต่อยอดและสร้างรายได้ให้กับตนเอง นิยามศัพท์เฉพาะ 1. น้ำมันหอมระเหย หมายถึง สารอินทรีย์ที่พืชผลิตขึ้นตามธรรมชาติ เก็บไว้ตามส่วนต่าง ๆ เช่น กลีบดอก ผิวของผล เกสร ราก เปลือกของลำต้น มีองค์ประกอบทางเคมีที่สลับซับซ้อน และแตกต่างกันนับสิบร้อยชนิด น้ำมันมีลักษณะเป็นของเหลวไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนน้ำมันพืช
4 มีกลิ่นหอมระเหยง่าย เวลาที่ได้รับความร้อน อนุภาคเล็ก ๆ ของน้ำมันหอมระเหยจะระเหยออกมา เป็นไอทำให้เราได้กลิ่นหอม 2. ประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหย หมายถึง ผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง โดยสรุปผลได้จากระยะเวลาที่น้ำมันหอมระเหยสามารถไล่หรือป้องกันยุงได้ 3. ความพึงพอใจ หมายถึง ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนโพธิ์แก้ว ประชาสรรค์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย
5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โครงงาน เรื่อง น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง ภายใต้โครงการการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ด้วยรูปแบบโครงงานนวัตกรรมเพื่อชุมชนขั้นสูง (CIP Advance) สู่การพัฒนาต้นแบบ “เขตพื้นที่การศึกษาแห่งการเรียนรู้” ผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ 1. น้ำมันหอมระเหย 2. ยุง 3. สมุนไพรที่มีสรรพคุณไล่ยุง 3.1 ตะไคร้หอม 3.2 มะกรูด 3.3 ยูคาลิปตัส 3.4 กะเพรา 3.5 สาระแหน่ 4. วิธีการกลั่นและสกัดน้ำมันหอมระเหย 4.1 การกลั่นโดยใช้ไอน้ำ (Steam Distillation) 4.2 การสกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (Expression หรือ Cold Pressed) 4.3 การสกัดโดยใช้ตัวทำละลาย (Solvent Extraction) 4.4 การสกัดโดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์เหลว (SFE-CO2) 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง น้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 1. ความหมายของน้ำมันหอมระเหย สุพรรษา สมวงศ์ (2562) กล่าวว่า น้ำมันหอมระเหย หมายถึง ของเหลวที่สกัดได้จาก พืชหอม สามารถระเหยได้ที่อุณหภูมิห้อง ส่วนมากที่กลิ่นหอมเป็นที่พึงพอใจของมนุษย์ ในการบำบัดรักษาโรคและป้องกันสุขภาพจะต้องเป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาดิเท่านั้น เนื่องจากน้ำมัน หอมระเหยมีองค์ประกอบทางเคมีนับร้อยชนิดที่ออกฤทธิ์เสริมกัน
6 สุรพงษ์ วงศ์ใหญ่ (2550) กล่าวว่า น้ำมันหอมระเหย คือ ส่วนประกอบในพืชหอม ที่ระเหยได้และมีกลิ่นหอม โดยปกติสารหอมเหล่านี้จะถูกเก็บไวัที่เฉพาะ เช่น ต่อมบนผิวใบ หรือในเปลือก ดอก เปลือกผลไม้ หรือเมล็ด น้ำมันหอมระเหยไม่ได้เป็นส่วนของน้ำมันพืชทั้งหมด เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น น้ำมันหอมระเหยนอกจากจะมีกลิ่นเฉพาะในแต่ละชนิดแล้ว ยังมีคุณสมบัติ เป็นยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะช่วยป้องกันต้นพืชหอมได้ บางชนิดก็ช่วยป้องกันต้นไม้โดยสามารถไล่แมลงได้ บางชนิดก็กระตุ้นให้ออกดอก ฐาปนีย์ หงส์รัตนาวรกิจ (2550) กล่าวว่า น้ำมันหอมระเหยตรงกับคำในภาษาอังกฤษ คือ essential oil ซึ่ง International Organization for Standardization (ISO) ได้ให้คำจำกัดความ ของน้ำมันหอมระเหยตาม ISO 9235.2 ว่า น้ำมันหอมระเหยเป็นน้ำมันที่ได้มาจากพืชโดยวิธีการกลั่น ด้วยน้ำ (water distillation) หรือการกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) หรือการกลั่นแห้ง (dry distillation) ในกรณีของพืชวงศ์ส้มน้ำมันหอมระเหยจะได้มาจากเปลือกผลโดยวิธีการบีบ หรือบีบเย็น (expression/cold expression) สรุปได้ว่า น้ำมันหอมระเหยเป็นสารอินทรีย์ที่พืชผลิตขึ้นตามธรรมชาติ เก็บไว้ตามส่วน ต่าง ๆ เช่น กลีบดอก ผิวของผล เกสร ราก เปลือกของลำต้น มีองค์ประกอบทางเคมีที่สลับซับซ้อน และแตกต่างกัน นับสิบร้อยชนิด น้ำมันมีลักษณะเป็นของเหลวไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนน้ำมันพืช มีกลิ่นหอมระเหยง่าย เวลาที่ได้รับความร้อน อนุภาคเล็ก ๆ ของน้ำมันหอมระเหยจะระเหยออกมา เป็นไอ ทำให้เราได้กลิ่นหอม ยุง ผู้จัดทำได้ศึกษาและรวบรวมแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับยุง จึงนำเสนอข้อมูลในประเด็นที่สำคัญ ดังนี้ 1. ชนิดของยุง จุฬารัตน์ นุราช (2544) กล่าวว่า ยุงเป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกแต่พบมากในเขตร้อน และเขตอบอุ่น โดยปกติลูกน้ำมักจะกินจำพวกแบคที่เรีย โปรโตชัว ยีสต์ สาหร่าย และพืชน้ำ ยุงเป็นแมลงที่เป็นพานะแพร่เชื้อโรค เช่น ไข้เลือดออก ยุงทั่วโลกมีอยู่ 3,450 ชนิด แต่พบในประเทศไทย 412 ชนิด แต่ยุงที่คนส่วนใหญ่รู้จัก มี 4 ชนิดได้แก่ (1) ยุงก้นปล่อง (Anopheles) ตัวเต็มวัยจะมี สีซีด และมีจุดสีดำบนปีก พบมากในชนบทแถวชายป่า ชอบไข่ในแอ่งน้ำสะอาด ออกหากินเวลาพลบค่ำ ไปจนถึงเช้าครู่ (2) ยุงลาย (Aedes) มีลำตัวและขาสีขาวสลับดำ พบมากในเขตชุมชน โดยเฉพาะในถิ่น ที่แออัด ออกหากินเวลากลางวันหรือตอนเย็น (3) ยุงเสือหรือยุงลายเสือ (Mansonia) เป็นยุงสีน้ำตาล ขนาดใหญ่มีลวคลายแปลกตาบนปีก ออกหากินช่วงหัวค่ำถึงตอนเช้าตรู่ พบมากในภาคใต้ของประเทศ
7 (4) ยุงรำคาญหรือยุงธรรมดา (Culex) เป็นยุงที่มีขนาดเล็ก ลำตัวมีสีเทา ขาและปีกไม่ลาย อาศัยอยู่ใน เมืองบริเวณชุมชน ออกหากินทุกเวลา 2. วงจรชีวิตของยุง ประภาส โฉลกพันธ์รัตน์ (2553) กล่าวว่า ยุงที่พบในบ้านเรามืวงรชีวิต ดังนี้ เมื่อยุงเพศเมียไว้รับการผสมพันธุ์แล้วจะหากินเลือดของสัตว์เลือดอุ่นในช่วงเวลากลางคืน คือ คนหรือสัตว์ต่าง ๆ เลือดจะทำให้รังไข่ของยุงสมบูรณ์มองเห็นเป็นสีขาว ๆ ทางด้านท้ายของส่วนท้อง จากนั้นยุ่งจะบินหาแหล่งน้ำที่เพื่อวางไข่ โดยจะวางไข่ไว้ตามผิวน้ำและมักวางไข่ในตอนใกล้รุ่ง ลักษณะ ไข่จะเกาะกลุ่มเป็นแพ แพไข่ที่ถูกปล่อยออกมาใหม่ ๆ จะมีสีขาวนวล แล้วจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นมีสี คล้ำขึ้นขนกลายเป็นสีดำในเวลา 20 -30 นาที ไข่จะมีพัฒนาการไปใช้เวลา 24 -30 ชั่วโมง จึงฟักเป็น ตัวอ่อนลงไปในน้ำ เรียก "ลูกน้ำ" ระยะนี้จะหากินซากน่าเปื่อยและแบคทีเรียที่อยู่ในน้ำ การเจริญเติบโต จะต้องมีการลอกคราบ และที่สำคัญคือจะต้องขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำโดยใช้ท่อหายใจที่อยู่บริเวณ ท้ายลำตัว ลูกน้ำจะใช้เวลา 5 - 7 วัน มีการลอกคราบจนโตเต็มที่ประมาณ 5 ครั้ง แล้วเปลี่ยนรูปร่าง มีส่วนหัวใหญ่ขึ้นเข้าสู่ระยะดักแด้ เรียก “ตัวโม่งหรือหัวโม่ง” ระยะนี้จะหยุดการกินอาหาร เคลื่อนที่ รวดเร็ว ชอบอยู่บริเวณผิวน้ำ ใช้เวลาประมาณ 2 วัน จะลอกคราบเป็นตัวยุงขึ้นผิวน้ำแล้วบินออกหากิน มีช่วงชีวิตที่เป็นยุงอยู่ประมาณ 20 – 30 วัน ดังภาพประกอบ 1 ภาพประกอบ 1 วงจรชีวิตของยุง ที่มา (insect in silpakorn.2554)
8 สมุนไพรที่มีสรรพคุณไล่ยุง ผู้จัดทำได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรที่มีสรรพคุณไล่ยุง ดังจะแสดงรายละเอียด ต่อไปนี้ 1. ตะไคร้หอม ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon nardus Rendle ชื่อสามัญ : Citronella grass วงศ์ : GRAMINEAE ชื่ออื่น : จะไคมะขูด ตะไครมะขูด (ภาคเหนือ) ตะไคร้แดง (นครศรีธรรมราช) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 0.75 - 1.2 เมตร แตกเป็นกอ เหง้าใต้ดินมีกลิ่นเฉพาะ ข้อและปล้องสั้นมาก กาบใบของตะไคร้หอมมีสีเขียวปนม่วงแดง ยาวและหนา หุ้มข้อและปล้องไว้แน่น ใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้าง 1-2 ซม. ยาว 70-100 ซม. แผ่นใบและขอบใบสาก และคม ดอกช่อสีน้ำตาลแดงแทงออกจากกลางต้น ออกดอกยาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก ส่วนที่ใช้ : ต้น ใบสด สรรพคุณ : น้ำมันตะไคร้ (Citronella oil) คือ น้ำมันหอมระเหยสกัดจากต้นตะไคร้ มีสารประกอบสำคัญที่ออกฤทธิ์ในการไล่แมลงคือ Camphor, Cineol, Eugenol, Citral, Linalool, Citronellal และ Geraniol สามารถใช้ไล่แมลง ป้องกันยุงลาย ยุงก้นปล่อง ได้นานประมาณ 2 ชั่วโมง 2. มะกรูด ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus hystrix DC. ชื่อสามัญ : Leech lime, Mauritus papeda วงศ์ : Rutaceae ชื่ออื่น : มะขุน มะขูด (ภาคเหนือ) มะขู (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ส้มกรูด ส้มมั่วผี (ภาคใต้) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2 - 8 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาล มีหนามแหลม ตามกิ่งก้าน ใบเป็นใบประกอบที่มีใบย่อยใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม มีต่อมน้ำมันอยู่ตามผิวใบ มีกลิ่นหอมเฉพาะ ก้านใบมีปีก ดูคล้ายใบ ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 แฉก โคนกลีบดอกติดกัน ผลเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ โคนผลเรียวเป็นจุก ผิวขรุขระ มีต่อมน้ำมัน ผลอ่อน สีเขียวแก่ สุกเป็นสีเหลือง มีรสเปรี้ยว เมล็ดกลมรี สีขาว มีหลายเมล็ด ส่วนที่ใช้ : ราก ใบ ผล ผิวจากผล
9 สรรพคุณ : มะกรูด มีกรด Citric อยู่ในน้ำของผลมะกรูด และมีน้ำมันหอม Cilronellal ที่มีอยู่มากในผิวและใบ และยังประกอบด้วยสารอินทรีย์อื่นๆ เช่น Sabinene Citronellyl-Floetate. Cittonellal. Linalool. Iso-pulegol จึงเป็นสารเพิ่มฤทธิ์ในการขับไล่แมลงรวมทั้งยุง ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ 3. ยูคาลิปตัส ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eucalyptus globulus Labill. (Eucalyptus citriodora Hook.) ชื่อสามัญ : Eucalyptus วงศ์ : MYRTACEAE ชื่ออื่น : โกฐจุฬารส น้ำมันเขียว มันเขียว ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ยืนต้น สูงประมาณ 10-25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่ม หนาทึบ ค่อนข้างกลม ลำต้นเปลาตรง เปลือก เปลือกหุ้มลำต้น มีลักษณะเรียบเป็นมัน มีสีเทาสลับสีขาว และน้ำตาลแดงเป็นบางแห่ง เปลือกนอกจะแตกร่อนเป็นแผ่นหลุดออกจากผิวของลำต้น เมื่อแห้งจะลอก ออกได้ง่ายในขณะสด ใบเป็นใบเดี่ยว (simple leaf) เรียงสลับ เป็นรูปหอกยาว 3 - 12 นิ้ว กว้าง 0.5 - 0.8 นิ้ว ก้านใบยาว ใบสีเขียวอ่อนหม่น ๆ ทั้งสองด้าน ใบห้อยลง เส้นใบมองเห็นได้ชัด ดอกออกเป็นช่อ ตามข้อต่อระหว่างกิ่งกับใบมีก้านดอกเรียวยาว มีก้านย่อยแยกไปอีก ออกดอกเกือบ ตลอดปี ผลมีลักษณะครึ่งวงกลมหรือรูปถ้วย ผิวนอกแข็งเมื่ออ่อนจะมีสีเขียว และจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เมื่อแก่ เมื่อผลแก่ปลายผลจะแยกออก ส่วนที่ใช้ : ใบสด สรรพคุณ : ยูคาลิปตัส สารประกอบสำคัญที่ออกฤทธิ์ในการไล่แมลงคือ Eucalyptus globulus สามารถใช้ไล่แมลง ป้องกันยุงลาย ยุงก้นปล่องได้ 4. กะเพรา ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum tenuiflorum L. (O. sactum Linn.) ชื่อสามัญ : Holy Basil, Sacred Basil วงศ์ : LABIATAE ชื่ออื่น : (ภาคกลาง) กะเพราขาว กะเพราแดง กะเพราบ้าน (ภาคเหนือ) กอมก้อ กอมก้อดง (ภาคอีสาน) ผักอีตู่ไทย ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มเตี้ยความสูงประมาณ 1 - 3 ฟุต ต้นค่อนข้างแข็ง แตกกิ่งก้านสาขามาก ก้านเป็นขน ก้านใบยาว รูปใบเรียว โคนใบรูดในลักษณะเรียวปลายมน รอบขอบ ใบเป็นหยัก พื้นใบด้านหน้าสีเขียวหรือแดงแก่กว่าด้านหลัง ซึ่งมีกระดูกใบนูนเห็นได้ชัด ดอกออกเป็นช่อ ตั้งขึ้นคล้ายฉัตร ออกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้ง
10 ชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว เมล็ดอยู่ภายในกลีบ กลีบเลี้ยงสีม่วง ผลแห้งแล้วแตกออก เมื่อเมล็ดแก่ สีดำ เมื่อนำไปแช่น้ำเปลือกหุ้มเมล็ดพองออกเป็นเมือก ส่วนที่ใช้ : ใบสด สรรพคุณ : กะเพรา ประกอบด้วยสารน้ำมันหอมจำพวก Ocimol. Eugenol. Methykeugenol. Linalool. Chaninol เป็นสารขับไล่และฆ่ายุงเช่นเดียวกันกับสารสกัดจากโหระพา 5. สาระแหน่ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mentha cordifolia Opiz ex Fresen วงศ์ : Labiatae ชื่อสามัญ : Kitchen Mint ชื่ออื่น : มักเงาะ สะแน่ (ภาคใต้) สะระแหน่สวน (ภาคกลาง) หอมด่วน (ภาคเหนือ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชล้มลุก ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก และเลื้อยคลาน ไปตามดิน มีขนสั้นนิ่มปกคลุมทุกส่วนของลำต้น มีกลิ่นหอม ลำต้นสี่เหลี่ยม สีเขียวแกมม่วงน้ำตาล ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน รูปวงรีค่อนข้างกว้าง กว้าง 1.5 - 2.5 ซม. ยาว 2 - 3 ซม. ผิวใบย่น ก้านใบสั้น ปลายใบกลมมน ขอบใบหยักแบบซี่ฟัน ดอกช่อออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก ส่วนที่ใช้ : ใบสด สรรพคุณ : เป็นพืชตระกูลมินต์ ประกอบด้วยสาร Menthol Limonene Neomnenthol สาระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยมาก สามารถสกัดออกมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา เนื่องจากสาระแหน่เป็นตระกูลมินต์ มีกลิ่นหอมคล้ายเมนทอล แต่สาระแหน่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ดีเด่นเฉพาะตัว มีฤทธิ์ในการระงับแบคทีเรีย ขับไล่แมลงและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด กลิ่นหอม ๆ เย็น ๆ ของน้ำมันสกัดจากสาระแหน่ สามารถคลายการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ รู้สึกผ่อนคลาย ลดผด ผื่นคัน ลดการบวมของผิวหนัง ระงับการเจ็บปวด สมานผิว ขับไล่แมลง ป้องกันแมลงกัดต่อย น้ำมัน ที่สกัดได้จากสาระแหน่จึงมีอนุภาพสูงมาก วิธีการกลั่นและสกัดน้ำมันหอมระเหย การสกัดกลิ่นหอมออกจากพืชหอมแต่ละชนิดนั้น ได้มีการทำมาเป็นเวลานานแล้ว โดยในสมัย โบราณจะนิยมนำดอกไม้หอมมาแช่น้ำทิ้งไว้ และนำน้ำที่มีกลิ่นหอมนั้นไปใช้ดื่มหรืออาบ ต่อมาได้มี การพัฒนาวิธีการสกัดกลิ่นหอมเพื่อให้ได้กลิ่นหอม หรือน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพและปริมาณสูงสุด วิธีการดังกล่าวมีหลายวิธี การที่จะเลือกใช้วิธีใดนั้นต้องพิจารณาลักษณะของพืชที่จะนำมาสกัดด้วย วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
11 1. การกลั่นโดยใช้ไอน้ำ (Steam Distillation) การกลั่นน้ำมันหอมระเหยด้วยวิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ หรือ Steam Distillation เป็นวิธี ที่นิยมมากที่สุดและใช้ในการกลั่นน้ำมันหอมระเหยเกือบทั้งหมดที่มีการผลิตขึ้น วิธีการกลั่นจะเป็น การผ่านไอน้ำจากเครื่องกำเนิดไอน้ำเข้าไปในหม้อควบคุมความดันที่บรรจุวัตถุดิบของพืชที่นำมากลั่น น้ำมันหอมระเหย เมื่อความร้อนจากไอน้ำกระทบกับวัตถุดิบ ไอน้ำก็จะนำพาน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ใน พืชชนิดนั้น ๆ ออกมาผ่านท่อเกลียวที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำเย็นเพื่อให้เกิดการลดอุณหภูมิและควบแน่น กลายเป็นของเหลว หลังจากนั้นของเหลวจากการควบแน่นที่ได้ก็จะไหลผ่านท่อควบแน่นเข้าสู่หลอดแก้ว ได้น้ำมันหอมระเหยที่แยกชั้นออกจากน้ำ แล้วจึงนำน้ำมันหอมระเหย (Pure Essential Oil) และน้ำ สกัดน้ำมันหอมระเหย (Floral Water หรือ Hydrosol) ที่ได้เก็บใส่ภาชนะเพื่อตรวจสอบคุณภาพต่อไป วิธีการกลั่นน้ำมันหอมระเหยด้วยไอน้ำนี้มีข้อดีคือ วิธีการกลั่นและอุปกรณ์ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน สามารถใช้ได้กับพืชแทบทุกชนิด และน้ำมันหอมระเหยที่ได้มีคุณภาพดี มีความบริสุทธิ์ 100% หรือแม้แต่ สารสำคัญบางชนิดในน้ำมันหอมระเหยบางชนิด จริง ๆ แล้วไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่จะเกิดขึ้นภายใต้กระบวนการกลั่นด้วยไอน้ำ เช่น สาร Chamazulene ซึ่งเป็นสารมีสีน้ำเงินที่เป็น สารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย German Chamomile โดยปกติจะไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่จะ เกิดขึ้นในกระบวนการกลั่นน้ำมันหอมระเหยด้วยไอน้ำเท่านั้น อย่างไรก็ดี การกลั่นด้วยไอน้ำก็มีข้อเสีย อยู่บ้างคือกระบวนการนี้จะต้องใช้ไอน้ำที่มีความร้อน จึงไม่เหมาะกับวัตถุดิบที่มีสารธรรมชาติสำคัญที่ถูก ทำลายได้ง่ายเมื่อเจอกับความร้อน ดังนั้น การสกัดกลิ่นหอมจากดอกมะลิหรือพืชชนิดอื่น ๆ ที่มีปัญหา ข้างต้นจึงมีการนำกระบวนสกัดด้วยวิธีการอื่นมาใช้แทน เช่น การสกัดด้วยตัวทำละลาย หรือสกัดด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำมันหอมที่ได้จากการสกัดด้วยวิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ จะถูกเรียกว่า “น้ำมันหอม ระเหย” หรือ “Pure Essential Oil” 2. การสกัดด้วยวิธีการบีบเย็น (Expression หรือ Cold Pressed) การกลั่นน้ำมันหอมระเหยหรือน้ำมันหอมด้วยวิธี Cold Pressed หรือ Mechanically Pressed เกือบทั้งหมดใช้ในการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากผิวของพืชตระกูลส้ม เช่นส้ม มะนาว เลมอน มะกรูด เบอร์กามอท แมนดาริน และอื่น ๆ วิธีการสกัดคือการนำผิวของผลจากพืชแต่ละชนิดมาใส่ใน หม้อขนาดใหญ่ แล้วกดด้วยแท่นไฮดรอลิกโดยใช้แรงกดสูง เมื่อแท่นไฮดรอลิกบีบลงบนวัตถุดิบ ทำให้เซลล์ผิวของพืชเกิดการแตกตัวให้น้ำมันออกมาลงในภาชนะที่รองรับเอาไว้ วิธีการใช้ไฮดรอลิก แบบนี้มีข้อดีคือไม่มีความร้อนเกิดขึ้นในกระบวนการบีบ ซึ่งแตกต่างกับการใช้การบีบแบบเครื่องบีบ เกลียวหมุน หรือ Screw Pressed ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนและอาจทำลายคุณภาพของน้ำมันที่สกัดได้ จริง ๆ แล้วน้ำมันสกัดด้วยวิธีนี้จะไม่เรียกว่าน้ำมันหอมระเหย เพราะว่าน้ำมันที่ได้จากการสกัด
12 จะมีสารประกอบอื่น ๆ ที่ไม่ละลายในน้ำมันหรือระเหยไม่ได้อยู่ด้วย หากเรียกให้ถูกต้องตามหลัก สากลแล้ว น้ำมันสกัดจากพืชทุกชนิดด้วยวิธีนี้ จะต้องเรียกว่า “Essence” ไม่ใช่ “Essential Oil” 3. การสกัดโดยใช้ตัวทำละลาย (Solvent Extraction) การสกัดน้ำมันหอมด้วยวิธีการใช้ตัวทำละลาย หรือ Solvent Extraction วัตถุดิบจาก พืชและดอกไม้ที่นิยมใช้กระบวนการนี้ในการสกัดสารหอมคือ มะลิ กุหลาบ ซ่อนกลิ่น ดอกบัว เป็นต้น กระบวนการสกัดเริ่มจากการนำวัตถุดิบไว้ในหม้อความดันขนาดใหญ่ที่เป็นระบบปิด โดยวัตถุดิบจะถูกผสมด้วยสารที่ใช้เป็นตัวทำละลายที่เป็น organic solvent เช่น acetone, benzene หรือ hexane โดยที่ตัวทำละลายจะดึงเอาสารทุกชนิดที่สามารถเข้ากันได้กับตัวทำละลายออกมาจาก วัตถุดิบพืช ไม่ว่าจะเป็น แวกซ์ สี รวมถึงสารหอมที่ต้องการด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการนี้เรียกว่า “Extract” และจะถูกกลั่นกรองแยกออกจากวัตถุดิบเข้าสู่อีกหม้อกลั่นหนึ่งโดยการเพิ่มความร้อน และความดันในปริมาณน้อยที่เพียงพอจะให้สารละลายที่มีทั้งตัวทำละลาย แวกซ์ สี และกลิ่นหอมนี้ ระเหยออกมาสู่อีกหม้อกลั่นหนึ่งเพื่อให้ได้สารละลายที่เรียกว่า "Concrete" หลังจากนั้นจะนำ Concrete ที่ได้มาผสมกับแอลกอฮอล์ เพื่อสกัดแยกแวกซ์ออกจาก concrete แล้วจึงนำไปผ่าน กระบวนการแยกแอลกอฮอล์ออกอีกครั้งหนึ่งด้วยกระบวนการ Vacumn Extraction จึงได้ผลิตภัณฑ์ สุดท้ายเป็นสารหอมบริสุทธิ์จากพืช หรือที่เรียกว่า "Absolute" ข้อดีของกระบวนการสกัดนี้คือน้ำมันหอมที่ได้จะมีกลิ่นหอมที่ใกล้เคียงกับกลิ่นหอม จากวัตถุดิบจริง ๆ มากกว่าน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการกลั่นด้วยไอน้ำและมีกลิ่นหอมติดทนนานกว่า จึงได้รับความนิยมในการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมเป็นส่วนใหญ่ 4. การสกัดโดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์เหลว (SFE-CO2) การสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เหลว เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สกัดน้ำมันหอมระเหย ให้ได้คุณภาพและความบริสุทธิ์ที่ดีที่สุด เป็นการรวมข้อดีของการกลั่นด้วยไอน้ำและการสกัดด้วยตัวทำ ละลายเข้าไว้ด้วยกัน คือ การสกัดด้วยวิธีนี้จะทำให้ได้น้ำมันหอมระเหยที่มีความบริสุทธิ์เทียบเท่ากับ การกลั่นด้วยไอน้ำ ในขณะที่รักษาคุณภาพของกลิ่นหอมได้ใกล้เคียงกับกลิ่นหอมจากธรรมชาติมากที่สุด เช่นเดียวกับ การกลั่นด้วยวิธีตัวทำละลาย เพียงแต่ข้อจำกัดคือปริมาณของวัตถุดิบที่ใช้ในการกลั่น ในแต่ละครั้งทำได้ในปริมาณน้อย และเทคโนโลยีที่ใช้ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์และสารที่จำเป็น ในกระบวนการทำให้กระบวนการกลั่น ด้วยวิธี SFE-CO2 มีราคาค่อนข้างสูง จึงมีการนำมาใช้กับวัตถุดิบ บางชนิดที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ดอกมะลิ จำปี เมลิซซา ที่มีราคาสูง แต่จริง ๆ แล้วก็สามารถนำมาใช้กับ วัตถุดิบหลาย ๆ ชนิดได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าราคาที่ออกมานั้นตลาดยังพอรองรับได้ กระบวนการสกัดเริ่มจากการผสมคาร์บอนไดออกไซด์เหลวเข้ากับวัตถุดิบที่ใช้สกัดใน ระบบปิดที่มีความดันสูง (เนื่องจากคาร์บอนไดออกไซด์จะมีสภาวะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิต่ำมากหรือ
13 ต้องมีความดันสูงมาก) เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์เหลวสามารถละลายสารหอมออกจากวัตถุดิบพืชที่นำมา สกัดได้แล้ว จึงแยกสารละลายออกจากตัววัตถุดิบ จะได้สารละลายที่มีเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์เหลว และสารหอมที่สกัดได้ทั้งหมด หลังจากนั้นจึงทำการลดความดันลงเพื่อให้คาร์บอนไดออกไซด์ระเหย เหลือแต่น้ำมันหอมที่สกัดได้ที่มีความสะอาดและมีความบริสุทธิ์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้จัดทำได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโครงงาน น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง และได้รวบรวมในส่วน ที่สำคัญ ดังนี้ มะฮาซัน คอลอ และอารีฟ อัปดุลกะเดช (2564) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาน้ำมันหอม ระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุงในรูปแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลการศึกษาพบว่า สูตรตำรับน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ ไล่ยุงที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด คือ สูตรที่ 1 *ซึ่งประกอบไปด้วย น้ำมันหอมระเหยตะไคร้มะกรูด กานพลู และลาเวนเดอร์ Cremophor Rh40 และ Tween 80 ในอัตราส่วนร้อยละ 1.5 , 0.5 , 0.5 , 0.5 , 3 และ 3 ตามลำดับ โดยผลิตภัณฑ์เป็นสารเนื้อเดียวกันเป็นของเหลว ไม่แยกชั้นหรือตกตะกอน มีสีใส และ มีกลิ่นที่ดีตามธรรมชาติ และมีประสิทธิผลให้ยุงมีพฤติกรรมหลีกหนีร้อยละ 80 และเมื่อเวลาผ่านไป 20 นาที สามารถทำให้ยุงตกลงสู่พื้นร้อยละ 30 ดังนั้น ผลิตภัณฑ์สารสกัดน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง ที่พัฒนาขึ้นนี้ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ สามารถนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ ไล่ยุงที่มีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางให้กับผู้ที่สนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ ไล่ยุงต่อไป สุวรรณ ธีระวรพันธ์ (2558) ได้ศึกษาสมุนไพรป้องกันยุง ผลการศึกษาพบว่าน้ำมันตะไคร้ หอม (cironella oil) ที่มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ citronella. gcraniol และ citroncllol ในรูปแบบ ของครีมที่มีน้ำมันตะไคร้หอม 17% ป้องกันยุงลายได้นานประมาณ 3ชั่วโมง น้ำมันตะไคร้ (lcmongrass oil) ใ น liquid paalin ค ว า ม เ ข ้ ม ข ้ น 20 แ ล ะ 25% ม ี ผ ล ป ้ อ ง ก ั น ย ุ ง ล า ย ไ ด ้ 100% ในชั่วโมงแรก และลดลงเหลือประมาณ 95% ภายใน 3 ชั่วโมง น้ำมันหอมระเหยผสมจากมะกรูด และจากดอกชิงเฮา (Arrenisia anma L.) 1% ป้องกันยุงลาย ยุงก้นปล่อง และยุงรำคาญได้ 180 นาที ในห้องปฏิบัติการในความเข้มข้นเดียวกันสามารถป้องกันยุงลายและยุงเสือได้นาน 80 นาที และยุง รำคาญได้นานถึง 240 นาที
14 ศุภพงศ์ ไวแสน และอุธาทิพย์ นักธรรม (2557) ได้ศึกษาสเปรย์ตะไคร้หอมไล่ยุง โดยผู้วิจัย ทำการศึกษาดังนี้1. สกัดสารสำคัญจากตะไคร้หอม 2. ศึกษาความพึงพอใจต่อรูปแบบผลิตภัณฑ์ไล่ยุง จากการศึกษาพบว่า น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้หอมที่อยู่ในรูปแบบสเปรย์ สามารถกำจัดยุงได้ และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มีความพึงพอใจต่อรูปแบบผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 88.76
15 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน โครงงาน เรื่อง น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง ภายใต้โครงการการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ด้วยรูปแบบโครงงานนวัตกรรมเพื่อชุมชนขั้นสูง (CIP Advance) สู่การพัฒนาต้นแบบ “เขตพื้นที่การศึกษาแห่งการเรียนรู้” ผู้จัดทำได้ดำเนินการตามวิธีการดำเนินงาน ดังจะแสดงรายละเอียดตามลำดับ ดังนี้ 1. วัสดุและอุปกรณ์ 2. วิธีการดำเนินงาน 3. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล วัสดุและอุปกรณ์ 1. เครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหย 2. น้ำแข็ง 3. น้ำสะอาด 1 ลิตร 4. ภาชนะสำหรับรองน้ำมันหอมระเหย 5. พืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้หอม ผลมะกรูด 6. บรรจุภัณฑ์สีชาหรือสีทึบ 7. ก้านไม้หอม วิธีการดำเนินงาน 1. นำน้ำสะอาดเทลงในเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยให้พอประมาณ 2. นำเปลือกมะกรูดหรือใบตะไคร้หอม จำนวน 1 กิโลกรัม ใส่ลงในเครื่องกลั่นน้ำมันหอม ระเหย 3. ปิดฝาเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยให้สนิท
16 4. นำน้ำแข็งหรือน้ำสะอาดเทลงฝาของเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหย 5. นำภาชนะมารองน้ำมันที่จะระเหยออกมา 6. เปิกแก๊สและต้มทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา 7. เมื่อน้ำมันหอมระเหยเย็นลง ให้บรรจุใส่บรรจุภัณฑ์สีชาหรือสีทึบ (เพื่อป้องกันแสงแดด ไม่ให้ทำลายประสิทธิภาพของน้ำมันหอมระเหย) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 9 ชั่วโมง 2. ใบกิจกรรมการศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง การวิเคราะห์ข้อมูล 1. การศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหย โดยทดลองใช้น้ำมันหอมระเหยจาก สารสกัด 2 ชนิด ได้แก่ เปลือกมะกรูดและใบตะไคร้หอม หลังจากนั้นจึงบันทึกผลและเปรียบเทียบ ระยะเวลาที่น้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดสามารถไล่หรือป้องกันยุงได้ 2. การศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 ที่มีต่อการใช้น้ำมัน หอมระเหย โดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วนำค่าเฉลี่ยมาแปลความหมายตามเกณฑ์ ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2560) ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 - 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 - 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อยที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สูตรคำนวณ ดังนี้
17 1.1 การหาค่าร้อยละ (Percentage) ใช้สูตรดังนี้(สมนึก ภัททิยธนี, 2560) P = f N × 100 เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่หรือจำนวนข้อมูลที่ต้องการหาร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 1.2 การหาค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ใช้สูตรดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี, 2560) x̅ = ∑ X N เมื่อ x̅แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนน ∑X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 1.3 การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี, 2560) S.D. = √ N ∑ x 2 − (∑ x) 2 N(N − 1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑x แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน X แทน คะแนนแต่ละตัว N แทน จำนวนคนทั้งหมด
18 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน โครงงาน เรื่อง น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง ภายใต้โครงการการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ด้วยรูปแบบโครงงานนวัตกรรมเพื่อชุมชนขั้นสูง (CIP Advance) สู่การพัฒนาต้นแบบ “เขตพื้นที่การศึกษาแห่งการเรียนรู้” สามารถแสดงผลการดำเนินงาน ตามลำดับ ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการดำเนินงาน สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การก าหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องใน การจัดกระท าและแปลความหมายของข้อมูล จึงได้ก าหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนตัวอย่าง x̅แทน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต SD แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ดำเนินโครงงานได้กำหนดการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล แบ่งเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของตัวอย่างใช้ในโครงงาน ตอนที่ 2 ผลการหาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง ตอนที่ 3 ผลของความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย
19 ผลการดำเนินงาน ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในโครงงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 16 คน จำแนกด้วยเพศ สามารถแสดงผล การวิเคราะห์ได้ดังตาราง 1 ตาราง 1 จ านวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจ าแนกด้วยเพศ ข้อมูลทั่วไป จ ำนวน ร้อยละ 1. เพศ ชาย 6 37.5 หญิง 10 62.5 รวม 16 100.00 จากตาราง 1 พบว่า กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ เมื่อจำแนกตามเพศส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 62.50 และเป็นเพศชาย จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 37.50 ตอนที่ 2 ผลการหาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง การวิเคราะห์ข้อมูลผลการหาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง สามารถ วิเคราะห์ได้จากการนำน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้มาทดสอบฤทธิ์การไล่ยุงที่ระดับปริมาณเท่ากัน คือ นำน้ำมันหอมระเหยจำนวน 1 มิลลิลิตร มาทาบนมือ โดยใช้ยุงไม่เจาะจงสายพันธุ์ทดสอบ 10 ตัว และนับจำนวนยุงที่มากัดแสดงผลได้ดังตาราง 2 ตาราง 2 ผลการหาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง เวลาภายหลัง ทาน้ำมันหอมระเหย (นาที) จำนวนยุงกัดหลังจากการทาน้ำมันหอมระเหย (ตัว) น้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอม น้ำมันหอมระเหยมะกรูด ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 0 - - - -
20 เวลาภายหลัง ทาน้ำมันหอมระเหย (นาที) จำนวนยุงกัดหลังจากการทาน้ำมันหอมระเหย (ตัว) น้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอม น้ำมันหอมระเหยมะกรูด ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 30 - - - - 60 - - - - 90 - - 1 1 120 - - 2 2 150 1 2 2 3 180 2 2 3 3 *หมายเหตุ – หมายถึงยุงไม่กัด จากตารางที่ 2 พบว่า การใช้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอมสามารถไล่หรือป้องกันยุงได้นาน ที่สุด 150 นาที หรือประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งดีกว่าน้ำมันหอมระเหยมะกรูด ที่สามารถ ไล่หรือป้องกันยุงได้นานที่สุด 90 นาที หรือประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ตอนที่ 3 ผลของความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย การวิเคราะห์ผลของความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 จำนวน 16 คน ที่มีต่อ การใช้น้ำมันหอมระเหย สามารถแสดงผลการวิเคราะห์ได้ดังตาราง 3 ตาราง 3 ผลของความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย ความพึงพอใจในด้าน ระดับความพึงพอใจ x̅ SD การแปลผล ความพึงพอใจ 1. ลักษณะที่ปรากฏภายนอก 3.56 3.75 1.41 1.24 ระดับมาก ระดับมาก 1.1 ความแรงของกลิ่น 1.2 กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง
21 ความพึงพอใจในด้าน ระดับความพึงพอใจ x̅ SD การแปลผล ความพึงพอใจ 2. ความรู้สึกขณะใช้ 2.1 ความง่ายในการฉีดน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง 2.2 ความสามารถในการซึมผ่านผิวหนังของน้ำมัน หอมระเหยไล่ยุง 4.06 3.69 0.93 0.95 ระดับมาก ระดับมาก 3. ความพึงพอใจโดยรวม 3.1 ความพึงพอใจโดยรวมของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง 4.19 0.75 ระดับมาก จากตาราง 3 พบว่า ความพึงพอใจโดยรวมของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุงมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19 รองลงมา ได้แก่ ความง่ายในการฉีดน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.06 กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.75 ความสามารถในการซึมผ่านผิวหนังของน้ำมัน หอมระเหยไล่ยุง มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.69 ตามลำดับ และรายการประเมินที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ความแรงของกลิ่น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.56
22 บทที่ 5 สรุปผล โครงงาน เรื่อง น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง ภายใต้โครงการการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ด้วยรูปแบบโครงงานนวัตกรรมเพื่อชุมชนขั้นสูง (CIP Advance) สู่การพัฒนาต้นแบบ “เขตพื้นที่การศึกษาแห่งการเรียนรู้” สามารถสรุปผล ดังจะแสดงรายละเอียด ตามลำดับ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ 2. สรุปผล 3. ข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย สรุปผล 1. จากการศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุง พบว่า น้ำมันหอมระเหย ที่สกัดจากตะไคร้หอมสามารถไล่หรือป้องกันยุงได้นานที่สุด 150 นาที หรือประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งดีกว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากมะกรูด โดยสามารถไล่หรือป้องกันยุงได้นานที่สุด 90 นาที หรือประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที 2. จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหย พบว่า ความพึง พอใจโดยรวมของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุงมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19 รองลงมา ได้แก่ ความง่ายในการฉีดน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.06 กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.75 ความสามารถในการซึมผ่านผิวหนังของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.69 ตามลำดับ และรายการประเมินที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ความแรงของกลิ่น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.56
23 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำนวัตกรรมไปใช้ 1.1 จากการศึกษา พบว่า น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้หอมและน้ำมันหอม ระเหยที่สกัดจากมะกรูด มีประสิทธิผลสามารถไล่หรือป้องกันยุงได้จริง จึงทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถนำ น้ำมันหอมระเหยทั้งสองชนิดไปใช้ในการไล่หรือป้องกันยุงได้ 1.2 จากการศึกษา พบว่า น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้หอมมีประสิทธิผล ในการไล่ยุงได้ดีกว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากมะกรูด ดังนั้น จึงเป็นแนวทางการเลือกใช้แก่ผู้ที่ต้องการ ใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ไล่ยุงว่าจะเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยแบบใด 2. ข้อเสนอแนะในการทำนวัตกรรมครั้งต่อไป 2.1 ในการศึกษาครั้งต่อไปควรศึกษาการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากพืชชนิดอื่น เพื่อให้เกิดความหลากหลาย 2.2 ในการศึกษาครั้งต่อไปอาจเพิ่มวิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยด้วยตัวทำละลาย เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลในการไล่ยุง
24 บรรณานุกรม
25 บรรณานุกรม จุฬารัตน์ นุราช. (2544). การศึกษาประสิทธิภาพของโลชั่นกันยุงจากน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจาก ดอกดาวเรือง. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการวางแผนสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาชนบท). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหิดล. ฐาปนีย์ หงส์รัตนาวรกิจ. (2550). น้ำมันหอมระเหยและการใช้ในสุคนธบำบัด. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์วิฑูรย์การปก. บุญชม ศรีสะอาด. (2560). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. มะฮาซัน คอลอ และอารีฟ อับดุลกะเดช. (2564). การศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง ใช้สำหรับเครื่องไล่ยุงไฟฟ้า. (วิทยานิพนธ์ปริญญาบัณฑิต สาขาการแพทย์แผนไทย). สงขลา: มหาวิทยาลัยทักษิณ. ศุภพงศ์ ไวแสน และอุธาทิพย์ นักธรรม. (2559). นวัตกรรม “สเปรย์ตะไคร้หอมไล่ยุง” สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดกาฬสินธุ์. เข้าถึงได้จาก http://203.157.186.16/kmblog/page_research_detail.php?ResID=134 สมนึก ภัททิยธนี. (2560). การวัดผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 11. กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์. สุทธิพงษ์ ตาแก้ว. (2561). รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์ เรื่อง น้ำมันหอม สกัดจากสมุนไพร. กรุงเทพฯ: สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ. สุพรรษา สมวงศ์. (2562). การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกบการใช้น้ำมันหอมระเหย ในการบรรเทาอาการนอนไม่หลับ. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์). วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ:มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. สุวรรณ ธีระวรพันธ์. (2558). สมุนไพรป้องกันยุง. (วิทยานิพนธ์ปริญญาบัณฑิต ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์). นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหิดล.
26 ภาคผนวก
27 ภาคผนวก ก วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สกัดน้ำมันหอมระเหย
28 ภาพ ก เครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหย ภาพ ข ขวดสีชาหรือสีทึบ ภาพ ค ภาชนะสำหรับรองน้ำมันหอมระเหย ภาพ ง น้ำแข็ง ภาพ จ มะกรูด ภาพ ฉ ตะไคร้หอม ก ข ค ง จ ฉ
29 ภาคผนวก ข ขั้นตอนการกลั่นน้ำมันหอมระเหย
30 ฉ ตะไคร้หอม ภาพ ก เตรียมหม้อใบใหญ่สำหรับต้มน้ำ ภาพ ข นำน้ำสะอาดเทลงในเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหย ภาพ ค นำหม้อขนาดเล็กที่เจาะรูแล้วใส่ตะเกรงไปวางบนหม้อใบใหญ่ ภาพ ง นำมะกรูดหรือสมุนไพรที่ต้องการกลั่นใส่ลงในเครื่องกลั่น น้ำมันหอมระเหย ภาพ จ นำภาชนะมารองน้ำมันหอมระเหยภายในเครื่องกลั่น ภาพ ฉ ปิดฝาเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยให้สนิท ก ค ง ข จ ฉ
31 ภาพ ช นำน้ำแข็งหรือน้ำสะอาดเทลงบนฝา ภาพ ซ นำภาชนะมารองน้ำมันหอมระเหยที่ควบแน่นออกมา ภาพ ฌ นำนำมันหอมระเหยใส่บรรจุภัณฑ์สีชาหรือสีทึบ ช ซ ฌ
32 ภาคผนวก ค เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
33 แบบบันทึกผลการศึกษาประสิทธิผลของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง เวลาภายหลัง ทาน้ำมันหอมระเหย (นาที) จำนวนยุงกัดหลังจากการทาน้ำมันหอมระเหย (ตัว) น้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอม น้ำมันหอมระเหยมะกรูด ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 0 30 60 90 120 150 180 สรุปผลการศึกษา ............................................................................................................................. ....................................... .................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................... ................................................................................................................................................. ................... ................................................................................................................ .................................................... ............................................................................................................................. ....................................... .................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................... .................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................... ................................................................................................................................................. ................... ................................................................................................................ .................................................... ............................................................................................................................. ....................................... ....................................................................................................................................................................
34 แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง คำชี้แจง จากหัวข้อที่กำหนดในตาราง ให้ผู้ตอบแบบสอบถามกาเครื่องหมาย ✓ ลงในตารางข้างล่างนี้ โดยพิจารณาจากความพึงพอใจของท่านที่มีต่อการใช้น้ำมันหอมระเหยไล่ยุง ดังหัวข้อที่กำหนด ตามลำดับคะแนนที่กำหนดดังนี้ 5 หมายถึง ตรงตามความพึงพอใจของท่านมากที่สุด 4 หมายถึง ตรงตามความพึงพอใจของท่านมาก 3 หมายถึง ตรงตามความพึงพอใจของท่านปานกลาง 2 หมายถึง ตรงตามความพึงพอใจของท่านน้อย 1 หมายถึง ตรงตามความพึงพอใจของท่านน้อยที่สุด ความพึงพอใจ ระดับความพึงพอใจ 5 4 3 2 1 1. ลักษณะที่ปรากฏภายนอก 1.1 ความแรงของกลิ่น 1.2 กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง 2. ความรู้สึกขณะใช้ 2.1 ความง่ายในการฉีดน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง 2.2 ความสามารถในการซึมผ่านผิวหนังของน้ำมันหอมระเหยไล่ยุง 3. ความพึงพอใจโดยรวม 3.1 ความพึงพอใจโดยรวมของน้ำมัยหอมระเหยไล่ยุง