ธยานะภาวะในงานสถาปต ยกรรมภายใน
โดย
นางสาวกิ่งแกว มโนนุกูล
วิทยานิพนธน เี้ ปน สวนหนงึ่ ของการศึกษาตามหลักสตู รปรญิ ญาศลิ ปมหาบณั ฑติ
สาขาวชิ าการออกแบบภายใน
ภาควชิ าออกแบบตกแตง ภายใน
บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร
ปการศกึ ษา 2550
ลขิ สิทธ์ขิ องบณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
ธยานะภาวะในงานสถาปต ยกรรมภายใน
โดย
นางสาวก่งิ แกว มโนนกุ ูล
วิทยานิพนธน เี้ ปน สวนหนงึ่ ของการศึกษาตามหลกั สูตรปรญิ ญาศลิ ปมหาบณั ฑติ
สาขาวชิ าการออกแบบภายใน
ภาควชิ าออกแบบตกแตง ภายใน
บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศิลปากร
ปการศกึ ษา 2550
ลขิ สิทธ์ขิ องบณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศลิ ปากร
DHAYANA'S CONDITION IN INTERIOR ARCHITECTURE DESIGN
By
Kingkaew Manonukul
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree
MASTER OF FINE ARTS
Department of Interior Design
Graduate School
SILPAKORN UNIVERSITY
2007
บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร อนุมตั ิใหว ทิ ยานพิ นธเ รอื่ ง “ธยานะภาวะในงาน
สถาปต ยกรรมภายใน ” เสนอโดย นางสาวกิง่ แกว มโนนกุ ูล เปนสวนหนง่ึ ของการศกึ ษาตามหลักสตู ร
ปรญิ ญาศิลปมหาบัณฑติ สาขาวิชาการออกแบบภายใน
……...........................................................
(รองศาสตราจารย ดร.ศิรชิ ัย ชินะตังกรู )
คณบดีบณั ฑติ วิทยาลยั
วนั ท.่ี .........เดอื น.................... พ.ศ...........
อาจารยท ป่ี รกึ ษาวิทยานพิ นธ
1. อาจารยไ พบูลย จิรประเสริฐกุล
2. อาจารย ดร. ชลวิทย เจยี รจิตต
คณะกรรมการตรวจสอบวทิ ยานพิ นธ
.................................................... ประธานกรรมการ
(ผชู ว ยศาสตราจารย ร.ต.อ.อนชุ า แพงเกษร)
............/......................../..............
.................................................... กรรมการ .................................................... กรรมการ
(รองศาสตราจารยเ อกชาติ จนั อุไรรตั น) (อาจารยเทิดศกั ด์ิ เหล็กด)ี
............/......................../.............. ............/......................../..............
.................................................... กรรมการ .................................................... กรรมการ
(อาจารยไ พบลู ย จริ ประเสริฐกลุ ) (อาจารย ดร.ชลวิทย เจยี รจติ ต )
............/......................../.............. ............/......................../..............
47154301 : สาขาวชิ าการออกแบบภายใน
คําสําคญั : ธยานะ/งานสถาปตยกรรมภายใน
กิ่งแกว มโนนุกูล : ธยานะภาวะในงานสถาปตยกรรมภายใน. อาจารยท่ีปรึกษา
วทิ ยานพิ นธ : อ.ไพบลู ย จิรประเสริฐกลุ และ อ. ดร. ชลวทิ ย เจียรจิตต. 131 หนา.
จากวัตถุประสงคการศึกษาเร่ืองธยานะภาวะ เพ่ือศึกษาความหมายและความสําคัญ
ของธยานะตามแนวทางพุทธปรชั ญา โดยใชเปนเครอ่ื งมอื ในการสรา งเกราะปองกันทง้ั ภาวะรางกาย
และจิตใจ การศึกษาแนวทางการใชความหมายของธยานะ เพื่องานออกแบบสถาปตยกรรมภายใน
ซ่ึงสงผลตอการสรางความสมดุลของรางกายและสภาวะจิตของเพศหญิง รวมถึงบุคลากรภายใน
องคกรของมลู นิธเิ พ่ือนหญิง
“ธยานะ” เปนหนทางหนึ่ง เพ่ือทําใหจิตวางเปลา สงบน่ิงแนวแนและตั้งม่ัน ในขณะ
เดียวก็ใครครวญตรึกตรองถึงความเปนจริงในธรรมชาติ โดยพิจารณาสรรพส่ิงท้ังหลายลวนเปน
ทุกข ไมเที่ยงและไมใชตัวตน เพื่อวางทาทีในการดํารงชีวิต โดยมีเปาหมายเพื่อทําลายกิเลสและ
เขาถึงสัจธรรมบรรลุพุทธภาวะ สาระที่แทจริงของการเขาถึงธยานะ คือ การยึดเอาจิตเปนศูนยกลาง
เพราะเม่อื จิตสมบรู ณ เขาถึงสภาวะท่วี างเปลา กจ็ ะเปนมูลฐานใหเขาถึงสภาวะธรรมท่แี ท
ผลของการศึกษาวิเคราะหและการออกแบบโดยสังเคราะห ตามวัตถุประสงคและ
สมมุติฐานของการสรางพื้นท่ีวางท่ีมีคุณคาสูสถาปตยกรรมภายใน ซ่ึงเปนลักษณะของ
สภาพแวดลอมทม่ี ีสวนชว ยในการสรางเกราะปอ งกนั พรอ มบาํ บัดรางกายและจิตใจใหเขมแข็ง เพ่ือ
บุคลากรภายในองคกรของมูลนิธิ และบุคคลทั่วไป ซึ่งสามารถสรุปคุณคาทางพื้นที่ประกอบดวย
สุนทรยี ภาพทางปรัชญา ดังนี้
การสรางนัยยะทางนามธรรม รูปธรรม สูพ้ืนที่ใชสอยภายใน โดยมี “ธยานะภาวะ”
เปนสาระ
ภาควิชาออกแบบตกแตงภายใน บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ปก ารศกึ ษา 2550
ลายมอื ช่ือนกั ศึกษา........................................
ลายมือชอ่ื อาจารยท ี่ปรกึ ษาวทิ ยานพิ นธ 1. ........................... 2. .............................
ง
47154301 : MAJOR : INTERIOR DESIGN
KEY WORD : DHAYANA / INTERIOR ARCHITECTURE DESIGN
KINGKAEW MANONUKUL : DHAYANA'S CONDITION IN INTERIOR.
ARCHITECTURE DESIGN. THESIS ADVISORS : PAIBOON JIRAPRASERTKUN AND
131CHONLAVIT JAINJIT,Ph.D. pp.
This study Dhayana’s condition in Buddhist philosophy through interior
architecture design from a object about to believe the heart of philosophy abstract, to believe
of concrete object, to believe about a meaning of Dhayana of elements for balance and
protect constitution and the spirit for the women and staff Friends of Women foundation.
The study of Dhayana’s condition in Buddhist philosophy. This route to compose
oneself meditation and consciousness. Dhayana is consciousness being the nature to
consider everything aren’t real and don’t have anything. Dhayana for develop to do life
depend on yourself on the present. Dhayana is center of heart because the heart is
consciousness.
Achievement of analyze a study and to do design by the meaning of abstract, the
meaning of concrete and the meaning of sign in Dhayana’s condition in Buddhist philosophy
is develop to synthesis to be object and then to consciousness through Meditation space and
friends of women foundation for believe people that the everyone have intellect.
The principle of intangibles and tangibles for interior architecture space to
Dhayana’s condition.
Department of Interior Design Graduate School, Silpakorn University Academic Year 2007
Student's signature ........................................
Thesis Advisors' signature 1. ........................... 2. ...........................
จ
กิตติกรรมประกาศ
วิทยานิพนธฉบับน้ีสําเร็จลุลวงไดดวยดี ดวยความดูแลเอาใจใสและความชวยเหลือ
ตลอดเวลาจาก อาจารยไพบูลย จิรประเสริฐกุล อาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ ท่ีกรุณาผูวิจัย โดย
ใหความรู คําแนะนํา และเปนแรงผลักดันตลอดจนกําลังใจ ใหเพียรพยายามในการศึกษามาโดย
ตลอด ผูวิจัยขอกราบขอบพระคุณทานเปนอยางสูง ณ โอกาสน้ี และขอกราบขอบพระคุณ อาจารย
ชลวิทย เจียรจิตต อาจารยท่ีปรึกษารวม ที่อุทิศคําแนะนําอันดีงามทางพุทธศาสนาเปนแกนแทแหง
สาระท่ีดีตอแนวทางวิทยานพิ นธข องผวู จิ ัยเปนอยางดี
ขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารยเอกชาติ จันอุไรรัตน, ผูชวยศาสตราจารย
ร.ต.อ. อนุชา แพงเกษร, ผูชวยศาสตราจารยพยูร โมสิกรัตน และอาจารย เทิดศักดิ์ เหล็กดี ที่กรุณา
ถายทอดความรเู พื่อการศึกษาตลอดระยะเวลา 4ปเตม็
นอกจากนี้การทําวิทยานิพนธฉบับน้ียังไดรับความอนุเคราะหเพ่ือสืบคนขอมูลจาก
หนวยงานมูลนิธิเพื่อนหญิงและน.ส. สุเพ็ญศรี พ่ึงโคกสูง หัวหนาศูนยพิทักษสิทธิสตรีมูลนิธิเพื่อน
หญิง ผูใหขอมูลเพื่อการวิจัยเกี่ยวกับการทํางานของมูลนิธิเพื่อนหญิง จึงขอกราบขอบพระคุณมา ณ
โอกาสน้ี
ขอขอบพระคุณ บรษิ ัท สเปซ แมทรกิ ซ ดีไซน คอนซลั แทนส (ประเทศไทย) ท่ีใหความ
อนุเคราะหเร่ืองเวลาในการทํางานและความรูจากการทํางาน ตลอดจนไดเรคเตอรท่ีกรุณา พี่อาย พี่
สมบตั ิ ท่มี อบความรูเพือ่ การปรบั ปรงุ ในการสง ทุกครงั้ จึงขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสน้ี
ขอขอบคุณพ่ีๆนองๆ บริษัท สเปซ แมทริกซ ดีไซน คอนซัลแทนส (ประเทศไทย) ที่
คอยใหกําลงั ใจและความชว ยเหลอื เสมอมา
ขอขอบพระคุณครอบครัว มโนนุกูล ที่ใหการสนับสนุนเร่ืองการศึกษาตลอดระยะเวลา
8ป ทไ่ี ดท ําการศกึ ษาที่มหาวทิ ยาลัยศิลปากรตลอดมา
ขอขอบคุณเพ่ือนๆมหาวิทยาลัยศิลปากรท่ีใหความชวยเหลือในดานขอมูลขาวสารของ
ทางมหาวิทยาลัยตา งๆมากมายและไดท าํ กจิ กรรมรว มกันตลอดระยะเวลาทีท่ าํ การศึกษา
สุดทายนี้ขอขอบคุณ นาย กฤษฎา ระติสุนทร และทุกกําลังใจที่เปนแรงผลักดันใน
การศึกษา รวมถึงกาํ ลงั แรงท่ใี หค วามชว ยเหลือมากมายจนสามารถสําเรจ็ วทิ ยานพิ นธฉบับนี้
ฉ
สารบญั หนา
ง
บทคัดยอภาษาไทย .............................................................................................................. จ
บทคดั ยอ ภาษาองั กฤษ ......................................................................................................... ฉ
กิตตกิ รรมประกาศ............................................................................................................... ฌ
สารบัญภาพประกอบ........................................................................................................... ฒ
สารบญั แผนภาพ..................................................................................................................
บทท่ี 1
1
1 บทนํา ................................................................................................................. 2
ความเปนมาและความสาํ คัญของปญ หา................................................... 2
จุดมุงหมายและวตั ถปุ ระสงคข องการศึกษา ............................................. 3
ขอบเขตของการศกึ ษา.............................................................................. 4
ขัน้ ตอนของการศึกษา .............................................................................. 4
สมมติฐานของการศกึ ษา .......................................................................... 4
ประโยชนท่คี าดวาจะไดรับ ...................................................................... 6
คาํ จาํ กดั ความท่ใี ชใ นการศกึ ษา................................................................. 6
8
2 วรรณกรรมและทฤษฎที เี่ กย่ี วขอ ง ....................................................................... 12
การศกึ ษาเอกสารท่ีเก่ยี วของกับธยานะในพระพทุ ธศาสนา...................... 14
ข้ันตอนและวธิ ีของธยานะ ....................................................................... 21
ประโยชนจ ากการปฏิบัติตามแนวทางแหง ธยานะ.................................... 22
ภาวะทางดา นรา งกายและจติ ใจของเพศหญิง ........................................... 24
ผลกระทบความรุนแรงทม่ี ีตอ เพศหญิง .................................................... 28
แนวทางแกป ญ หาทงั้ ดานรา งกายและจิตใจของเพศหญิง......................... 28
มูลนธิ เิ พ่ือหญิง (Friends of Women Foundation) .................................... 29
29
3 การศกึ ษาแนวทางสงู านออกแบบ .......................................................................
ภาคการศกึ ษาขอ มลู ..................................................................................
สังเคราะหค วามหมายของการศึกษา ........................................................
สังเคราะหความหมายของ “ธยานะภาวะ” ในงานสถาปตยกรรมภายใน..
ช
บทที่ หนา
สงั เคราะหความหมายของธยานะสงู านออกแบบ..................................... 31
สรปุ แนวทางการนําไปใชเ พ่อื งานออกแบบสถาปต ยกรรมภายใน........... 32
การศึกษากรณศี ึกษาตวั อยา ง .................................................................... 35
63
4 การวเิ คราะหโครงการและแนวคดิ ในการออกแบบ ............................................ 63
การวิเคราะหลกั ษณะของโครงการ........................................................... 71
การวเิ คราะหว ตั ถุประสงคของโครงการ .................................................. 72
การศกึ ษาลักษณะการดาํ เนนิ งานของโครงการ ........................................ 80
การศกึ ษาผใู ชโ ครงการ............................................................................. 88
สรุปแนวความคดิ ในการออกแบบ ........................................................... 90
90
5 การพัฒนาแนวความคดิ สงู านออกแบบ............................................................... 122
กระบวนการพฒั นาแนวความคดิ ในการออกแบบโครงการ..................... 122
123
6 บทสรุปและขอเสนอแนะจากการศึกษา..............................................................
บทสรุปการศกึ ษา.....................................................................................
ขอ เสนอแนะ ............................................................................................
บรรณานกุ รม .................................................................................................................
ประวัตกิ ารศึกษา..................................................................................................................
ซ
สารบาญภาพประกอบ
ภาพที่ หนา
1 แสดงถึงวธิ กี ารปฏิบัติสมาธิ โดยการนง่ั สมาธิ..................................................... 9
2 แสดงการปฏบิ ตั ิสมาธิ โดยการยืนสมาธิ ............................................................. 10
3 แสดงการปฏบิ ตั สิ มาธิ โดยการเดนิ จงกรม.......................................................... 10
4 สญั ลักษณข องมลู นธิ ิเพอื่ นหญิง.......................................................................... 15
5 อาศรม “Poustiniae” ประเทศสวติ เซอรแ ลนด................................................... 35
6 คนรกั ธรรมชาติ สามารถสัมผัสมมุ มองภายนอกแมกระท่ังยามนอนแช
ในอา งจากุซซ่ี ณ อาศรม Poustiniae ประเทศสวติ เซอรแ ลนด ................ 36
7 ผนงั กระจกภายในเผยใหเ หน็ สภาพแวดลอ มภายนอก ณ อาศรม Poustiniae
ประเทศสวติ เซอรแ ลนด ............................................................................ 37
8 มมุ มองจากภายนอกอาคารเรอื นพกั ญาตโิ ยมหญงิ ทวี่ ัดวชริ บรรพต
จ.ชลบรุ ี ...................................................................................................... 39
9 ทางเขาจากภายนอกสพู น้ื ทีภ่ ายในเรอื นพักญาติโยมหญงิ ณ วดั วชิรบรรพต
จ.ชลบรุ ี ...................................................................................................... 40
10 การประสานกนั ระหวางมนษุ ยก บั ธรรมชาติ ธรรมะ และสถาปต ยกรรม
เรอื นพกั ญาติโยมหญิง ณ วดั วชริ บรรพต จ.ชลบุรี ..................................... 41
11 มมุ มองจากพน้ื ทีภ่ ายในสูพ น้ื ท่ีภายนอก ณ วดั วชิรบรรพต จ.ชลบรุ ี ............... 42
12 แสดงบริเวณโถงบนั ไดทางขนึ้ ช้ันสอง ณ วดั วชิรบรรพต จ.ชลบุรี ................... 43
13 พืน้ ท่ีสําหรบั ปฏิบัตสิ มาธิ ณ วดั วชริ บรรพต จ.ชลบุรี...................................... 44
14 แสดงพื้นทใ่ี ชส อยตา ง ๆ ภายในอาคารของวดั วชิรบรรพต จ. ชลบรุ ี .................. 45
15 บริเวณโถงบนั ไดบนพนื้ ท่หี อ งนอนรวมทชี่ ้ันสอง ณ วดั วชิรบรรพต จ.ชลบรุ ี.... 45
16 แสดงมุมมองจากชัน้ บนสพู นื้ ทโ่ี ลง ดา นลา งของวัดวชิรบรรพต จ.ชลบรุ ี............ 46
17 แสดงพ้ืนทโ่ี ดยรวมท้งั หมดของ Kantha Bopha Center ประเทศกัมพชู า ............ 48
18 แสดงดา นหนา ของอาคารในเวลากลางคนื ของ Kantha Bopha Center
ประเทศกัมพชู า.......................................................................................... 49
19 ดานหนาของโครงการ Kantha Bopha Center ประเทศกมั พูชา........................... 50
20 บรเิ วณประตทู างเขาหลักของ Kantha Bopha Center ประเทศกมั พูชา ................ 51
ฌ
ภาพที่ หนา
21 แสดงรายละเอยี ดระแนงไมข องประตูดา นหนา ของ Kantha Bopha Center
ประเทศกมั พชู า.......................................................................................... 51
22 โถงใตห อ งประชุมใหญ เห็นโครงสรางหองประชมุ Kantha Bopha Center
ประเทศกมั พชู า.......................................................................................... 52
23 มองจากบรเิ วณหนาหอ งสมดุ กลับออกมาบริเวณตอ นรบั และ
ลานอเนกประสงค ณ Kantha Bopha Center ประเทศกมั พชู า.................. 53
24 บนชน้ั ลอยเขาหองประชุม Kantha Bopha Center ประเทศกัมพูชา.................... 54
25 แสดงพ้นื ทภ่ี ายในหอ งประชมุ Kantha Bopha Center ประเทศกัมพูชา............... 54
26 ทางเดินดา นหลังเขาหอ งอบรมเลก็ Kantha Bopha Center ประเทศกัมพูชา....... 55
27 บริเวณดานหลงั หองอาหาร Kantha Bopha Center ประเทศกมั พชู า ................. 56
28 แสดงพ้ืนทใ่ี ชส อยภายในอาคาร Kantha Bopha Center ประเทศกมั พชู า ............ 57
29 แสดงพื้นทใ่ี ชส อยภายในอาคาร Kantha Bopha Center ประเทศกัมพูชา ........... 58
30 แสดงรูปดา นและรูปตัดของอาคาร Kantha Bopha Center ประเทศกัมพชู า ....... 58
31 ภายในคอรท ดา นใน เห็นสเปซท่เี ปด โลงเช่ือมตอ ถึงกนั Kantha Bopha Center
ประเทศกมั พชู า.......................................................................................... 59
32 บริเวณทางเดนิ ดานหลังของหองประชมุ เหน็ องคประกอบของพืน้ ผวิ วสั ดุ
Kantha Bopha Center ประเทศกัมพูชา ...................................................... 60
33 แสดงแผนทีต่ งั้ ของมลู นิธิเพอื่ นหญิง................................................................... 64
34 แสดงสาํ นักงานศาลยตุ ิธรรม ฝงตรงขา มเยอ้ื งกบั ทางเขา มลู นธิ เิ พื่อนหญงิ .......... 66
35 แสดงบรเิ วณทางเขา ของมูลนธิ เิ พื่อนหญงิ ........................................................... 66
36 ภายในซอยรชั ดาภิเษก 42 ซง่ึ เปนแหลงชมุ ชนและบานพกั อาศัย ........................ 67
37 แสดงปา ยบอกของมลู นิธิเพ่อื นหญงิ ................................................................... 67
38 แสดงภาพอาคารสํานักงานมลู นิธิเพื่อนหญงิ ....................................................... 68
39 ทางเขา ดานหนาของมูลนิธเิ พ่อื นหญิง................................................................. 68
40 ทางเขา ทีส่ องของมูลนิธิเพอ่ื นหญิง เปนทางเขาสาํ หรับผูม าปรกึ ษาทางดาน
กฎหมาย..................................................................................................... 69
41 บรเิ วณทัง้ สองขางของอาคารมลู นธิ เิ พือ่ นหญงิ เปน พน้ื ทโี่ ลงมตี น ไม
ปกคลุม ....................................................................................................... 69
ญ
ภาพที่ หนา
42 บริเวณฝง ตรงขามกบั มลู นิธิเพอื่ นหญงิ เปน พน้ื ทโ่ี ลง ซึ่งตดิ กบั บานพกั อาศัย..... 70
43 พ้นื ที่โลง ซ่ึงถายจากมมุ มองจากดานบนอาคารมลู นิธเิ พ่ือนหญงิ ........................ 70
44 แรงงานหญิง ซึ่งถูกเอาเปรยี บแรงงานจากนายจา งทไี่ มเปน ธรรม ....................... 71
45 แสดงบริเวณทจี่ อดรถของมลู นิธิเพือ่ นหญงิ ........................................................ 74
46 ทางเขาหลักของอาคารมลู นธิ เิ พื่อนหญงิ ............................................................. 74
47 ทางเขา รองของมลู นิธเิ พือ่ นหญิงสาํ หรับเจา หนา ท่แี ละผทู ี่ตอ งการปรกึ ษาทนาย 75
48 บริเวณทใ่ี ชส าํ หรับใหค าํ ปรกึ ษาของมลู นธิ ิเพอ่ื นหญงิ ........................................ 75
49 หองประชมุ สําหรบั 10 คนของมลู นิธเิ พือ่ นหญงิ ............................................... 76
50 หอ งประชุม สําหรับ 20 คนของมลู นธิ เิ พอ่ื นหญิง ............................................... 76
51 หอ งพักชว่ั คราว สําหรบั ผูถกู ทํารา ยของมลู นธิ เิ พอื่ นหญงิ ................................... 77
52 หองสมุดของมลู นธิ ิเพอื่ นหญงิ ............................................................................ 77
53 แสดงการจดั เก็บหนังสอื อยา งเปน หมวดหมูภ ายในหอ งสมดุ มลู นธิ เิ พอ่ื นหญงิ .. 78
54 มมุ มองจากสว นเตรียมอาหาร สสู วนพกั ผอ นดานนอกของมูลนิธเิ พ่ือนหญิง ..... 78
55 ฝายประชาสมั พนั ธข องมูลนธิ ิเพอื่ นหญงิ ............................................................ 82
56 ฝา ยระดมทนุ ของมลู นธิ เิ พื่อนหญิง...................................................................... 83
57 ฝา ยขอมูล วชิ าการ และการเผยแพรข องมลู นิธิเพ่อื นหญงิ .................................. 84
58 ฝายการเงนิ ของมูลนธิ ิเพ่ือนหญงิ ........................................................................ 84
59 ฝายศนู ยพทิ กั ษ (ทนาย) ใหค ําปรกึ ษาของมลู นิธเิ พ่ือนหญิง ................................ 85
60 ฝายแรงงานของมลู นธิ ิเพือ่ นหญิง........................................................................ 86
61 ฝายศนู ยพิทกั ษค วามรุนแรงเพอ่ื ชมุ ชน (หมุนเวยี น)ของมลู นธิ เิ พอื่ นหญิง .......... 87
62 แสดงสงิ่ แวดลอ มโดยรอบพนื้ ท่ีมูลนิธิเพอื่ นหญิง ............................................... 94
63 แสดงผังบรเิ วณโดยรอบมูลนิธิเพ่ือนหญิง........................................................... 94
64 แสดงผงั บรเิ วณของพ้นื ทใี่ ชส อยภายใน ชนั้ 1 ของมูลนิธเิ พื่อนหญงิ ................... 95
65 แสดงภาวะของเพศหญิง ซึ่งมูลนธิ เิ พือ่ นหญิงใหความชว ยเหลอื
ทางดานกฎหมายและสังคมสงเคราะห ...................................................... 96
66 แสดงการแปลความหมายสสู ญั ลักษณ เพอ่ื งานออกแบบสถาปต ยกรรมภายใน.. 97
67 พืน้ ท่ีของโครงการ 3385 ตร.ม. โดยมีพ้ืนทส่ี เี ทาเปน พน้ื ท่ใี ชส อยภายใน........... 98
68 แสดงการเช่อื มและความตอเน่ืองของพนื้ ทโี่ ดยมธี ยานะเปนตวั เช่ือม................ 99
ฎ
ภาพท่ี หนา
69 แสดงลักษณะการจัดวางตวั อาคารเพื่อสอดคลอ งกบั แนวความคิดของธยานะ
และมลู นิธิเพอ่ื นหญิงของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรม
ภายใน” ...................................................................................................... 100
70 แสดงทางเดนิ และการเชือ่ มตอ ของพ้ืนทีใ่ ชส อยภายในโครงการ “ธยานะภาวะ
ในงานสถาปตยกรรมภายใน” ............................................................................. 101
71 แสดงผงั บริเวณของพืน้ ท่ีโดยรอบโครงการ “ธยานะภาวะ
ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”.................................................................... 101
72 แสดงสถาปต ยกรรมภายนอกโครงการ “ธยานะภาวะในงานสถาปต ยกรรม
ภายใน” ...................................................................................................... 102
73 แสดงสถาปตยกรรมภายนอกโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรม
ภายใน” ...................................................................................................... 102
74 แสดงทศั นียภาพของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรมภายใน” ...... 103
75 แสดงทศั นยี ภาพของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน” ...... 103
76 แสดงทัศนียภาพของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน” ...... 104
77 แสดงทัศนียภาพของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน” ...... 104
78 แสดงทัศนยี ภาพของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน” ...... 105
79 แสดงทศั นียภาพของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน” ...... 105
80 แสดงทางเขา หลักและผงั การวางเคร่อื งเรอื น ของตกึ ซาย ช้นั 1 ของโครงการ
“ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”............................................. 107
81 แสดงทศั นยี ภาพทางเขา หลกั โครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรม
ภายใน” ...................................................................................................... 108
82 แสดงทัศนียภาพหอ งประชมุ 20 คนของโครงการ “ธยานะภาวะ
ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”.................................................................... 108
83 แสดงทางเขาหลกั และผังการวางเคร่อื งเรอื น ของตกึ ซา ย ช้ัน2 ของ
โครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”............................. 109
84 แสดงมุมมองจาก ชน้ั 2 ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรม
ภายใน” สทู างเขา หลกั ของอาคาร .............................................................. 110
ฏ
ภาพที่ หนา
85 แสดงมุมมองหอ งสําหรับอา นหนังสือและพ้นื ทสี่ เี ขียว บรเิ วณ ชนั้ 2 ของ
“ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”…………………...……….. 110
86 แสดงทางเขา รองและผังการวางเครอ่ื งเรือน ของตกึ ขวา ชัน้ 1 ของโครงการ
“ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”.............................................. 111
87 แสดงการจดั แบง ฝายการปฏิบัติงานของเจา หนา ท่ีมลู นิธิเพื่อนหญิง ................... 112
88 แสดงทศั นยี ภาพทางเขา รองของตึกขวา ชน้ั 1 ของโครงการ
“ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน”.............................................. 113
89 แสดงทศั นียภาพบริเวณฝายประชาสมั พันธข องตึกขวา ชั้น1 ของโครงการ
“ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน”.............................................. 113
90 แสดงบริเวณปฏบิ ัติงานของเจาหนา ทีม่ ลู นธิ ิเพอ่ื นหญงิ ของตกึ ขวา ชน้ั 1
ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน” ....................... 114
91 แสดงสวนใหค าํ ปรกึ ษาสาํ หรับผูถกู ทาํ รา ยและสวนพกั ผอ นสาํ หรับเจา หนาท่ี
มลู นิธเิ พ่ือนหญงิ (มมุ มองท่ี 1)ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถา
ปตยกรรมภายใน”...................................................................................... 114
92 แสดงสว นใหค ําปรกึ ษาสาํ หรับผถู กู ทํารา ยและสว นพักผอ นสําหรบั เจา หนาที่
มูลนิธเิ พือ่ นหญงิ (มุมมองท่ี 2)ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถา
ปต ยกรรมภายใน”...................................................................................... 114
93 แสดงบรเิ วณเก็บและคน หาขอ มูลและบริเวณทางขนึ้ ชน้ั 2สําหรบั เจาหนาที่ 115
มลู นธิ ิเพอ่ื นหญงิ ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงาน 115
สถาปตยกรรมภายใน” ............................................................................... 117
117
94 แสดงหอ งประชุมสาํ หรับ 10ทีน่ ง่ั ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงาน 121
สถาปตยกรรมภายใน” ...............................................................................
95 แสดงผงั การวางเครื่องเรอื นบริเวณชนั้ 2 ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงาน
สถาปต ยกรรมภายใน” ...............................................................................
96 แสดงบริเวณทางเขา จากทางเชื่อมอาคารตกึ ซายสหู อ งสมุดตึกขวาของ
โครงการ“ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”...............................
97 แสดงบรเิ วณภายในของหองสมดุ ทม่ี ีการเชอื่ มตอระหวางภายนอกและภายใน
สามารถใชเ ปน สถานที่คน ควาซง่ึ สงบดวยธรรมชาติ .................................
ฐ
ภาพท่ี หนา
98 แสดงสีและพนื้ ผวิ ของผนังคอนกรีตของโครงการ “ธยานะภาวะ 119
ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”.................................................................... 121
99 แสดงทัศนียภาพบรเิ วณฝา ยประชาสมั พันธข องตกึ ขวา ชน้ั 1 ของโครงการ 121
“ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน” .............................................
100 แสดงบรเิ วณปฏบิ ัติงานของเจาหนา ทมี่ ูลนธิ ิเพ่อื นหญิงของตึกขวา ชั้น 1 122
ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรมภายใน” ...................... 122
101 แสดงบรเิ วณภายในของหอ งสมุดทม่ี กี ารเชอ่ื มตอ ระหวา งภายนอกและ
ภายใน สามารถใชเ ปน สถานท่ีคน ควาซ่งึ สงบดว ยธรรมชาต“ิ ธยานะภาวะ
ในงานสถาปต ยกรรมภายใน”....................................................................
102 แสดงมมุ มองของหองสมดุ ของโครงการ “ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรม
ภายใน” ......................................................................................................
ฑ
สารบาญแผนภาพ
แผนภาพท่ี หนา
1 โครงสรา งการทาํ งานมูลนิธิเพื่อนหญิง ............................................................... 17
2 ทิศทางของจดุ เริ่มตนและจดุ สิน้ สุดของธยานะ................................................... 32
3 แสดงการวเิ คราะหความสําคญั ของสถานที่ตั้งโครงการ...................................... 65
4 แสดงแนวทางการแกปญหา................................................................................ 90
5 แสดงความสมั พันธร ะหวาง “ธยานะ” สูงานออกแบบ ....................................... 90
6 แสดงปญหาทางสงั คมซ่ึงสงผลตอเพศหญงิ ทง้ั ทางดา นรา งกายและจิตใจ.......... 91
7 แสดงหนทางแกไ ขปญ หา ท้ังทางดานรางกายและจติ ใจ..................................... 91
8 แสดงผลท่ีเกดิ ข้นึ หลังจากการแกป ญหาดว ย “ธยานะ” ....................................... 92
9 “ธยานะ” เปนเกราะปอ งกนั และคมุ ครองจติ จากภยั ตาง ๆ ................................. 92
10 แสดงการเขา ถงึ ธยานะและจดุ ปลายทางของธยานะ............................................ 93
11 แสดงความตอเน่อื งของพ้ืนทใ่ี ชสอยภายในของมลู นธิ ิเพ่อื นหญิง...................... 95
12 แสดงวฎั จกั รของธยานะอยางทีม่ จี ดุ สน้ิ สดุ ......................................................... 99
13 แสดงโครงสรา งของพ้นื ท่ใี ชส อยภายในโครงการ “ธยานะภาวะ
ในงานสถาปตยกรรมภายใน” .................................................................... 106
ฒ
บทท่ี 1
บทนาํ
ความเปนมาและความสําคัญของปญ หา
เมื่อจิตสงบแนวเรียบสนิท จะคิดพิจารณาส่ิงใด เร่ืองใด ก็มองเห็นงายเขาใจชัดเจนเมื่อเขาใจ
ธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย รูเทาทันธรรมดาของความเปนไปตามเหตุปจจัย จิตใจก็หายเรารอน
กระวนกระวาย สงบ ผอ งใส เปนอิสระปลอดกิเลส ไรทุกข เปนประโยชนสูงสุดของชีวิต ถึงแมยัง
ไมใ ชปญญา เพยี งแตสมาธิอยางเดยี ว เกดิ ขึ้นเมื่อใดจติ ใจก็สงบผอ งใส มคี วามสุข ดับกิเลสดับทุกข
ไดช่ัวคราว ตลอดเวลาท่ีสมาธินั้นยังคงอยู สมาธิเปนเพียงวิธีการเพ่ือเขาถึงจุดหมายไมใชตัว
จุดหมาย ผูเริ่มปฏิบัติอาจตองปลีกตัวออกไปมีความเก่ียวของกับชีวิตสังคมนอยเปนพิเศษ เพื่อ
การปฏิบัติฝกอบรมระยะหนึ่ง แลวจึงออกมามีบทบาทในทางสังคม ตามความเหมาะสมของตน
ตอไป อีกประการหน่ึง การเจริญสมาธิโดยท่ัวไปก็มิใชจะตองมาน่ังเจริญอยูทั้งวันท้ังคืน และวิธี
ปฏิบตั กิ ็มมี ากมาย เลือกใชไดตามความเหมาะสมกับจรยิ า (ป. อ. ประยุทธ ปยตุ โฺ ต 2546 : 1)
ภายใตก ารเจรญิ เติบโตทางดานวัตถุทีค่ รอบงาํ ชีวติ และจิตใจของคน ในสภาวะแวดลอม
ของสภาพสังคมปจ จบุ ัน การเปล่ียนแปลงทางสังคมมผี ลมาจากการขยายตวั ภายใตร ปู แบบเศรษฐกิจ
ของระบบทุนนิยมหรือรูปแบบอ่ืน ๆ ซ่ึงมนุษยไมสามารถปฏิเสธความตองการปจจัยข้ันพ้ืนฐานได
สภาพสังคมดังกลาวกอใหเกิดสภาวการณท่ีบีบรัดธรรมชาติของมนุษย รวมถึงความกดดันจากแรง
ปะทะจากภายนอกสภู ายใน
ปจจัยดังกลาวกอใหเกิดเสนทางของความคิดหลายแงมุม บางสามารถกลืนหายตาม
กาลเวลา บางกลับโตม าดว ยแรงเทา ความแตกตางของความรูสึกที่เกิดข้ึนภายในจิตใจยอมเปนเสน
ขนานทางความคิด สภาพแวดลอมจึงมีผลตอการหลอหลอมและปลูกฝงจิตสํานึกของการดําเนิน
ชวี ิตตอ ไปในอนาคต
เหตุการณท่ีเกิดขึ้นภายใตแรงกดดันและความคาดหวังจากภาวะของสังคมไดสะทอน
ใหเ ห็นถึงเบ้อื งลกึ ของสภาพจติ ใจที่ถกู บบี คัน้ โดยเฉพาะเพศหญิง ความออนลา ทัง้ สภาพรางกายและ
จิตใจยอมเกิดขึ้นขนานไปพรอมกับการพัฒนาอันรวดเร็วของสังคม สภาพของสังคมในปจจุบันทํา
ใหเกิดผลกระทบตอภาวะทางจิต ซ่ึงสงผลตอรางกายโดยตรง การพัฒนาทั้งทางดานรางกายและ
1
2
จิตใจใหเขมแข็งจึงเปนเกราะปองกันธรรมชาติของมนุษย เพ่ือสามารถกาวสูสภาวะของสังคมที่มี
ขนาดใหญข้ึนตามลําดับ หนวย – สิบ – รอย – พัน … การสรางความสมดุลท้ังทางดานรางกายและ
จิตใจใหสามารถยืดหยุนตามสภาพแวดลอมทางกายภาพอยางมีสติและสมาธิ พรอมผสานกายที่ยัง
เคล่ือนไหวกับจิตที่ต้ังมั่น เพ่ือชีวิตจะสามารถดําเนินไปตามจิตที่บริสุทธิ์ ซึ่งเปนการกลับคืนสู
จุดเริม่ ตน ของมนุษยได
เมื่อผลท่ีไดรับจากสภาวการณของสังคมทําใหเพศหญิง ซ่ึงเปนเพศท่ีบอบบางไดรับ
ผลกระทบตอภาวะทั้งทางดานรางกายและจิตใจ ซึ่งในปจจุบันมีองคกรท่ีคอยใหความชวยเหลืออยู
เชน มูลนิธิเพื่อนหญิง เปนตน ภาวะของบุคคลและบุคลากรในสังคม เกิดความบกพรองจากปญหา
ตาง ๆ ท่ีรุมเรา เปนเหตุใหคนในสังคมตองการภูมิคุมกัน สําหรับการเจริญชีวิตที่ม่ันคงดํารงอยูดวย
ความสงบสุข ภายใตความสับสนวุนวายท่ีเกิดขึ้น “ธยานะ” จึงเปนหนทางหน่ึงในการปรับสภาวะ
ทางจิตใหมีความสมดุลกับสภาวะของรางกาย โดยมีสถาปตยกรรมเปนสื่อกลางเพ่ือเช่ือมโยงภาวะ
ตาง ๆ ใหประสบผลสําเร็จในเชิงปฏิบัติ
จุดมงุ หมายและวัตถุประสงคของการศกึ ษา
1. เพ่ือศึกษาความหมายและความสาํ คัญของ “ธยานะ” ทางพระพทุ ธศาสนา
2. ศึกษาสภาวะของ “ธยานะ” เพื่อใชเปนปจจัยในการสรางเกราะปองกันภาวะรางกาย
และจติ ใจของบคุ ลากรภายในองคกรมูลนธิ เิ พอ่ื นหญิง
3. ศึกษาแนวทางการใชความหมายของ “ธยานะ” ในงานสถาปตยกรรมภายในท่ีจะ
สงผลตอ การสรา งความสมดุลของรางกายและภาวะจิตของบุคลากรภายในองคกรมลู นธิ เิ พ่ือนหญงิ
ขอบเขตของการศึกษา
วิทยานิพนธน้ี มุงศึกษาเร่ือง “ธยานะ” และภาวะของสมาธิเพ่ือเสริมสรางภาวะความ
สมดุลท้ังทางดานรางกายและจิตใจ รวมถึงรูปแบบและลักษณะการถายทอด “ธยานะ” สูงาน
สถาปตยกรรมภายในที่เหมาะสมตอการเจริญชีวิตอยางมีสติของบุคลากรภายในองคกรของมูลนิธิ
เพ่อื นหญงิ
3
ข้ันตอนของการศกึ ษา
รายละเอียดของขัน้ ตอนการศึกษามีดงั น้ี
1. ภาคการศกึ ษาขอมลู
1.1 ทําการศึกษาคนควาและเก็บรวบรวมขอมูลจาก เน้ือหาปรัชญาทาง
พระพุทธศาสนาเร่ือง “ธยานะ” การรวบรวมเนื้อหาสามารถทําไดทั้งจากการเรียนรูท่ีผานการศึกษา
ที่มเี น้อื หาทเ่ี ก่ยี วขอ ง จาการสอบถามจากผูรทู ี่มปี ระสบการณ และการทดลองปฏิบตั ดิ ว ยตนเอง
1.2 ทําการศึกษาคนควา เปรียบเทียบและเทียบเคียงกับงานวิจัยอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวของ
เชน หนังสือท่ีเกี่ยวของกับธยานะหรือการปฏิบัติสมาธิ คํากลาวสําคัญที่เกี่ยวของกับธยานะ
คําแนะนําจากอาจารยท ่ปี รึกษาและผมู ีประสบการณ จากผคู น ควา วจิ ัยเก่ยี วกับการสมาธิ
1.3 ต้ังโจทยหรือประเด็นที่ตองการทําเพ่ือการเรียนรูภายในโครงการ สามารถ
จํากัดพื้นที่ใชสอยภายในสําหรับงานออกแบบใหแนนอน เพ่ือประโยชนตองานออกแบบใน
ขั้นตอนสุดทา ย
1.4 พิจารณาเกณฑการเลือกพ้ืนที่ต้ังโครงการ โดยมีท่ีมาจากการศึกษาวิเคราะห
ขอมูลที่เกี่ยวของกับธยานะทางพุทธปรัชญาและจากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวของ ดังน้ัน
พื้นท่ีต้ังของโครงการจึงสามารถตอบรับไดดีจากขอมูลท่ีศึกษา อีกทั้งยังสามารถตอบรับไดดีกับ
ประโยชนตอ บรบิ ทโดยรอบอกี ดวย
2. ภาคการออกแบบ
2.1 รวบรวมและวิเคราะหขอมูลที่มาท้ังหมด สรุปจัดทําเปนรายละเอียดของ
โครงการ
2.2 การวางผังแบบและวางตําแหนงสวนพ้ืนที่ตาง ๆ ใหมีความเกี่ยวเน่ืองสัมพันธ
เหมาะสม และสามารถสรางความสมดุลเปนไปตามแนวคิดท่ีกําหนดไว จึงปรับปรุงเปล่ียนแปลง
เพ่ือใหเกิดความเหมาะสมกบั ลกั ษณะของโครงการ โดยคํานึงถึงหลักปรัชญาท่ีนํามาใชในโครงการ
เปนสําคัญ และสามารถนําแนวความคิดสูงานออกแบบจากนามธรรมสูรูปธรรมทางการออกแบบ
ไดอยางชัดเจน
3. ภาคการนําเสนอผลงาน
นําเสนอผลงานเพื่อเปนการสรุปและเสนอแนะโครงการในลักษณะที่สมบูรณ
ครอบคลุมกับประเดน็ หรือกรอบทกี่ าํ หนดไว เชน
3.1 ถา ยทอดจากแนวความคดิ สงู านออกแบบ ซึ่งเปนลกั ษณะของผังภาพ
4
3.2 หุนจําลอง ซ่ึงสามารถส่ือถึงผลงานในลักษณะของ 3 มิติ ซ่ึงถายทอด
แนวความคิดจาการศึกษาขอมูลและทําการแปรรูปออกมาในรูปแบบท่ีสามารถนําไปพัฒนาใชกับ
งานออกแบบขั้นสมบรู ณต อไป
3.3 การวางผงั แปลน ที่สอดคลอ งกบั หลักปรชั ญาท่ที าํ การศกึ ษา
3.4 รปู ทศั นียภาพภายในโครงการ
สมมติฐานของการศึกษา
“ธยานะ” เปนเคร่ืองมือที่สามารถบ่ันทอนมลพิษทางใจเพ่ือกายที่ม่ันคง สามารถดําเนิน
ชีวิตอยางปกติสุข และสามารถถายทอด “ธยานะ” เปนรูปแบบของงานสถาปตยกรรมภายใน ซ่ึง
เปนลักษณะของสภาพแวดลอมที่มีสวนชวยในการสรางเกราะปองกัน พรอมบําบัดรางกายและ
จิตใจใหเ ขม แขง็ ได
ประโยชนท่คี าดวาจะไดร ับ
1. เขาใจถึงปญหาที่เกิดข้ึนในสภาพของสังคมปจจุบันและทราบถึงวิธีแกไขเพื่อดํารง
อยรู วมกันในสงั คมอยางสงบสุข
2. มูลนิธิเพ่ือนหญิงและหนวยงานที่เกี่ยวของสามารถนําไปใชเพ่ือเปนขอมูลสําหรับ
การพัฒนารางกายควบคูกับการพัฒนาทางดานจิตใจใหเกิดความสมดุล โดยมีองคประกอบของ
สภาพแวดลอมทางกายภาพ รวมถึงลักษณะขององคกร เพื่อเปนส่ือกลางในการชวยเหลือพัฒนา
สภาพของจิตใจใหม ีความเขม แขง็ พรอมที่จะยนื หยดั ในสงั คมปจจบุ นั ไดอ ยา งเปนสุข
3. ทราบถึงข้ันตอนการสรางงานสถาปตยกรรมภายในที่สามารถสะทอนความหมาย
ของคาํ วา “สงบ” ดว ย “ธยานะ”ได
คาํ จํากดั ความท่ใี ชใ นการศกึ ษา
ธยานะ หมายถึง สมาธิจิตที่สงบนิ่ง แนวแน ในภาษาสันสกฤต หรือ คําวา ฌาน ใน
ภาษาบาลี จีนทับศัพทคําน้อี านวา ฉาน ออกเสียงเปนภาษาแตจิ๋ววา เซี้ยง หรือ เซ้ียม ภาษาญี่ปุนออก
เสียงอักษรจีนคํานี้วา เซน (ล. เสถียรสุด 2519 : 17) คําวา ธยานะ มีรากศัพทมาจากคําวา ธโย
5
แปลวา คนคิด (โกมุที ปวัตนา 2533 : 125) การเพงอารมณจนใจแนวแนเปนสมาธิ ภาวะที่จิตสงบ
นิ่ง หรอื กระบวนการท่ีทาํ ใหจ ติ สงบนงิ่ (พระธรี วัฒน บญุ ทอง 2546 : 10)
ภาวะ หมายถึง ความมี, ความเปน, ความปรากฏ, ความเกิด (พจนานุกรมนักเรียนฉบับ
เพิม่ คําศพั ทปรบั ปรงุ ใหม 2529 : 322)
สมาธิ หมายถึง ความแนวแนเปนหน่ึงเดียวของจิต ความต้ังม่ันของจิต หรือภาวะที่จิต
แนวแนตอสิ่งที่กําหนด คําจํากัดความของสมาธิท่ีพบเสมอ เชน จิตตัสเสกัคคตา หรือเรียกส้ัน ๆ
วา เอกัคคตา ซึ่งแปลวา ภาวะท่ีจิตมีอารมณเปนหนึ่ง คือ การท่ีจิตกําหนดแนวแนอยูกับส่ิงใดสิ่ง
หน่ึง ความมีใจต้ังมั่น หรือความมีอารมณเปนหนึ่งเดียว จิตแนวแนไมหว่ันไหว เดินเรียบ อยูกับกิจ
ไมว อกแวก ไมสาย ไมฟงุ ซา น ความตั้งม่นั แหง จติ เปน การทําใหใ จสงบ การมจี ิตแนวแนอ ยใู นสิ่งใด
สิ่งหน่ึง โดยเฉพาะมักใชเปนคําเรียกงาย ๆ สําหรับอธิจิตตสิกขา (ป. อ. ประยุทธ ปยุตฺโต 2538 :
824)
บทที่ 2
วรรณกรรมและทฤษฎีทีเ่ ก่ียวของ
การศกึ ษาเอกสารทเ่ี กี่ยวของกบั ธยานะในพระพุทธศาสนา
ความหมายของธยานะ พทุ ธทาสภกิ ขุกลา วไวใ นหนงั สือ “เวย หลาง” ความวา
ธยานะ หมายถึง การหลุดพนจากความพัวพันดวยอารมณภายนอกทุกประการ เพื่อเขาถึง
ความสงบภายใน ถาเราพัวพันอยูกับอารมณภายนอก จิตภายในก็จะปนปวน เม่ือเราหลุดจาก
การพัวพันดวยอารมณภายนอก จิตก็จะต้ังอยูในศานติ จิตเดิมแทของเราเปนของบริสุทธิ์อยาง
แทจริง แลวเหตุผลที่วา ทําไมเราจึงปนปวนเพราะเรายอมตัวใหอารมณ ซึ่งแวดลอมเราอยูลาก
เอาตัวเราไป ผูที่สามารถรักษาจิตของตนไวไมใหปนปวน ไมวาจะอยูในทามกลางสิ่งแวดลอม
ชนิดไหน ท่ีกลาวมาเหลาน้ี นั่นแหละชื่อวาไดบรรลุถึงสมาธิ การเปนอิสระไมพัวพันดวย
อารมณภ ายนอกทุกอยาง ชื่อวา ธยานะ การลุถึงศานติในภายใน ช่ือวา สมาธิ เมื่อใดเราอยูในฐานะ
ที่จะปฏิบัติฌาน ดํารงจิตในภายในใหตั้งอยูในสมาธิ เมื่อนั้นเช่ือวา เราไดลุถึงธยานะและ
สมาธิ ขอความในโพธิสัตวสีลสูตร มีอยูวา จิตเดิมแทของเรานั้นเปนของบริสุทธิ์อยางแทจริง
(พทุ ธทาสภกิ ขุ 2520 : 65-66)
ในคัมภรี ศรู างคมสตู ร ไดใหค วามหมายของคําวา ธยานะ ไวว า
ธยานะ หมายถึง การศึกษาการเขาฌาน การขจัดความมีอยูเพ่ือเขาถึงจิตเดิมแท (Essence of
Mind) อันหมายถึง จิตที่ไมมีอะไรปรุงแตงและอะไรปรุงแตงไมได ซึ่งจิตเดิมแทน่ันแหละ คือ
อมิตาภะ หรือ อมิตายุ โดยพื้นฐานท่ีแทจริงแลว จิตที่สมบูรณแหงพระตถาคตนั้น เปนจิตท่ีไม
ประกอบดวยกองธาตุแหงความวาง กลาวคือ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม และธาตุไฟ ไมประกอบไป
ดวย ตา หู จมูก ลิ้น กาย สติปญญา ไมมีรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ไมมองเห็น
ความรูสึกของบริเวณอื่น รวมท้ังสติปญญาของสิ่งนั้น การตรัสรูจึงไมไดรับความสวาง จึงเปน
เครื่องผูกพันรวมท้ังความแกและความตาย การตรัสรูแหงความไมสิ้นสุด จึงเปนสิ่งที่ไมไดรับ
ความสวางเก่ียวดองกับสิ่งอื่น ไมมีความทุกขยาก ไมไดสะสมกองทุกข แนวทางแหงกิเลสก็ทําให
หมดส้ินไมสุขุม ทรัพยสมบัติท่ีไดมาทําใหเปนจริง ไมทํากุศลทาน ไมมีวินัย ไมมีวิริยะ ความ
กระตือรือรน ไมมีความอดทน ตลอดทั้งสมาธิ (ธยานะ) ปญญา ไมมีบารมี ไมมีสิ่งที่ทําใหเทา
6
7
เทียมกับพระตถาคตได พระอรหันตสัมมาสัมโพธิญาน บรมสุข คือ ความเย็นแหงพระนิพพาน นี้
เปนความจริงที่ไมสิ้นสุด ไมใชความสุขสําราญ ไมมีตัวตน ไมมีความบริสุทธิ์ (The Surangama
Sutra 1973 : 95)
ธยานะ จึงเปนสภาวะของจิตขณะท่ีจิตวางเปลา สงบน่ิงแนวแนและตั้งม่ัน (สมถะ) ใน
ขณะเดียวกันก็ใครครวญตรึกตรองถึงความเปนจริงในธรรมชาติ โดยพิจารณาสรรพส่ิงทั้งหลาย
ลวนเปนทุกข ไมเท่ียง และไมใชตัวตน เพ่ือวางทาทีในการดําราชีวิต ในกระแสของความเปนจริง
นั้น (สมาปต ติ) โดยมเี ปาหมายเพอื่ ทาํ ลายกเิ ลสตัณหาและเขาถงึ สัจธรรมบรรลพุ ทุ ธภาวะ ดังนั้นธยา
นะจึงเปนสิ่งที่มีความสมบูรณในตัว นอกเหนือไปจากความสัมพันธตอส่ิงใด ๆ และขอบเขตใด ๆ
สาระที่แทจริงของการเขาถึงธยานะ คือ การยึดเอาจิตเปนศูนยกลาง เพราะเมื่อจิตสมบูรณ (เขาถึง
สภาวะวางเปลา คือ สุญญตา) ก็จะเปนมูลฐานใหเขาถึงสภาวะธรรมท่ีแท ดังน้ัน การเขาถึง
แหลงกําเนิดแหงจิตอันสมบูรณจึงเปนเงื่อนไขของการเขาถึง ธยานะ การเขาถึงธยานะ เหมือนกับ
การด่ืมน้ํา จะรูไดวา น้ําน้ันจะเย็นหรือรอนประการใด ตองดื่มเองเทานั้นจึงจะทราบได ฉันใด ธยา
นะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน และเปนเร่ือง “จิตสืบตอจิต” ซึ่งเปนวิธีหนึ่งของการสืบตอของเซน โดยเชิง
ทั่วไป ก็นับวาเปนวิธีที่ดีวิธีหน่ึง เพราะเปนเร่ืองนําเอาประสบการณจากสัญชาติญาณของคนหนึ่ง
มามอบใหแกอ กี คนหน่ึง โดยใหผูรบั ไดประสบการณท เ่ี หมือนกนั (The Surangama Sutra 1973 : 3)
กลาวโดยสรุป คําวา ธยานะ เปนหลักคําสอนสําคัญในการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาจิตให
เขมแข็งและปรับจิตใหสะอาดบริสุทธ์ิหลุดจากความพัวพันดวยอารมณภายนอกทุกอยาง ดํารงจิต
ภายในใหต้ังอยูในสมาธิ อันจะอํานวยประโยชนตอการดําเนินชีวิต ควบคูกับสภาวะของการ
เจริญเติบโตของสังคม การมีสมาธิบริบูรณ จะเปนผูมีสติสมบูรณ เม่ือจิตเปนสมาธิหน่ึงท่ีแนวแน
แลว ก็จะเกิดปญญาไดโ ดยงา ย เพราะจิตสงบไมห ว่นั ไหว ไมก ระเพือ่ มไปตามกระแสแหง โลก
การศึกษาธยานะ จึงเปนหนทางหนึ่งเพื่อการปฏิบัติดวยตัวเอง หมายถึงการฝกหัดจิตใจ
หรือการอบรมจิตใจใหสงบ สงัด และสวาง จากความทุกข เราสามารถเรียกวา การบริหารจิตและ
การพัฒนาจิต ซึ่งหมายถึงการรูจักการรักษาคุมครองจิตดวยวิธีฝกอบรมอยางสมํ่าเสมอ เพ่ือลดละ
ความวุนวาย และความเครยี ดทีเ่ กดิ กบั รา งกายและจิตใจของเรา ใหเ กิดความเขมแข็ง นาํ มาใชในการ
ปฏบิ ตั งิ านทกุ อาชีพและกอใหเกิดสุขภาพจิตที่ดี มีความมั่นใจและสุขใจในทุกกาลเทศะ เพราะจิตที่
พฒั นาดีแลว ยอ มมคี วามสงบสุข ประกอบกรรมดเี ปนประโยชนแกสว นรวมและแกต นเอง
8
ข้ันตอนและวธิ ขี องธยานะ
ธยานะ เปน การนําหลกั สมาธิ ตลอดถึงการฝกฝนทางจิตใหมีความสัมพันธกับกาย โดย
การเผชิญหนากับความจริงดวยทาทีแหงจิตและอนัตตา โดยละสิ้นถึงเปาหมายดวยจิตอันสงบ
ทามกลางความจริงโดยไมมีเง่ือนไข เมื่อคนเราไปยึดมั่นถือมั่นอยูกับสิ่งตาง ๆ แมแตการยึดม่ันอยู
กับการฝกปฏิบัติธรรมของตน จิตใจของเราก็จะไมสงบ และตองการหาสัจธรรมตอไปอยางไมมีที่
ส้ินสุด สติจึงเปนเคร่ืองมืออยางเดียวของมนุษยที่สามารถขจัดความคิดปรุงแตงใหทะลวงพังทลาย
ลงมา เปรียบเหมือนกับเราตองการเจาะแผนไมกระดานใหเปนวงกลมตรงกลาง และเรามีเคร่ืองมือ
เพียงชนิ้ เดยี วคอื สวา น สิ่งท่ีเราจะตองทําก็คือใชสวานเจาะไมกระดานใหเปนรูปวงกลม คร้ังแรกเรา
อาจจะเจาะหา ง ตอ มาเราจะเจาะถขี่ น้ึ ๆ จนกระทั่งรูสวานเรียงตัวกันครบเปนรูปวงกลม ไมกระดาน
ตรงกลางจะหลดุ ออกมาเปน รปู วงกลมทันที การเจรญิ สตทิ ตี่ อเน่อื งคือ สมาธิท่ีแท
...ความสุขอันเกิดจากจิตสงบ เปนความสุขที่ซื้อหามาดวย ราคาถูกท่ีสุด แตกลับมีคุณคา
มหาศาลย่ิงกวาสมบัติพัสถานใด ๆ ทั้งสิ้น ความสุขของจิตที่แทจริง จะเกิดขึ้นกับบุคคลท่ีหม่ัน
ฝก ฝนหรืออบรมจิตอยเู สมอ... (พระภาวนาวิสุทธคิ ุณ 2535 : 11)
พระตชิ นทั ฮนั ห ซ่ึงเปนพระชาวเวียดนาม ไดกลาวไวในเรื่อง “ปาฏิหาริยแหงการตื่น
เสมอ” วา
ในมหาสติปฏฐานสูตรท่ีใชเจริญสติสัมปชัญญะในเวลาการทํางานตาง ๆ ลวนแลวแต
กลาวถึงการบําเพ็ญสมาธิ เพื่อใหเขาใจในเร่ืองความเปนเหตุเปนปจจัยของกันและกัน ซึ่งตอง
ปฏิบัติอยูเสมอ เชน เมื่อต่ืนนอนตอนเชา ทานสอนใหนึกในใจกอนอื่นใดวา ฉันต่ืนแลว เม่ือเดิน
อยูย อ มรูช ัดวา เราเดินอยู เม่อื ยืนอยูยอมรชู ัดวา เรายืนอยู เมอ่ื นัง่ อยยู อมรูชัดวาเราน่ังอยู แมตั้งกายไว
ดวยอาการใด ๆ ยอมรูถึงกายน้ัน แลวเราตองมีสติรูพรอมถึงลมหายใจเขาออกแตละคร้ัง การ
เคล่ือนไหวแตละหน ความคิดทุกความคิด ความรูสึกทุกความรูสึก พูดงาย ๆ คือ มีสติรูสึกตัวทั่ว
พรอมถึงทุกสิ่งที่เน่ืองกับตัวเรา ดังน้ันวิถีทางแหงสติ จึงเปนทั้งมรรคและผลในเวลาเดียวกัน เม่ือ
เราฝกสติเพื่อใหไดสมาธิ สติก็เปนมรรค แตตัวสติเองก็เปนหัวใจของความตื่น ความเบิกบาน สติ
จึงเปนผลดวย การมรสติก็คือการมีชีวิต สติจึงชวยใหเราปลอดจากความหลงลืม และความคิด
ฟุงซานตาง ๆ ในท่ีสุดเราก็เขาใจถึงฌานปติ คือความสุขที่เราไดรับขณะอยูในสมาธิ (ฌาน) เมื่อ
ม่นั ฝกฝนสมาธบิ อ ย ๆ จะทาํ ใหเ ราสขุ กายเบาใจ สามารถทาํ ใหจิตสงบรํางับ เพื่อเขาถึงภาวะที่มีสติ
สมบูรณ (ตชิ นทั ฮนั ห 2519 : 37, 67)
9
คุณลักษณะสาํ คญั ของธยานะไดม ีบันทกึ แรกเร่มิ ดว ยอักษรพกู ันจนี ตอนหน่งึ วา
“ 1) เนน การถายทอดนอกคมั ภรี
2) ไมย ึดติดอยูกบั ตวั อักษร
3) จต้ี รงเขาสจู ติ และ
4) เขาถงึ พทุ ธภาวะโดยการมองดธู รรมชาตแิ หงตน” (เซนไค ชิบายามะ 2526 : 33-40)
การฝกจติ ใหเ ปน สมาธนิ ี้ ผูป ฏบิ ัติสามารถเลอื กอิริยาบถในทา ตาง ๆ ไดด ังนี้ คอื
1. ทา นง่ั
ภาพที่ 1 แสดงถึงวิธกี ารปฏบิ ตั ิสมาธิ โดยการนัง่ สมาธิ
10
2. ทายืน
ภาพที่ 2 แสดงการปฏบิ ตั สิ มาธิ โดยการยืนสมาธิ
3. ทา นอน
4. ทา เดนิ เรียกวา เดินจงกรม
ภาพท่ี 3 แสดงการปฏบิ ตั ิสมาธิ โดยการเดินจงกรม
11
ทานพุทธทาสภิกขุ ไดสรุปประมวลไว 4 ขอ โดยระยะท้ัง 6 ดังกลาวคือ สติปฏฐาน 4
ซึง่ สามารถสรุปและถอดความไดด ังน้ี
อันดับแรก คือ การดูที่ลมหายใจ ลมหายใจในภาษาบาลีเรียกวา “กาย” เรียกลมหายใจ
กับกายเปนสิ่งเดียวกัน เพราะวา “กาย” หมายถึง ฝายรูปถูกหลอเล้ียงดวยลมหายใจ ดังน้ันการดูลม
หายใจ คอื ดกู าย การดกู ายหรอื การดลู มหายใจมวี ธิ ีดู 4 ขน้ั ตอน คือ
1. ดูลมหายใจยาว
2. ดลู มหายใจส้ัน
3. ดูลมหายใจทปี่ รุงแตงรางกาย
4. ดลู มหายใจทปี่ รุงแตง รางกายซ่ึงคอ ย ๆ รํางับลง ละเอยี ดลง
อันดับท่ีสอง คือ การดูเวทนา เวทนานี้หมายถึง ความรูสึก รูสึกเปนสุขเปนสุขในสมาธิ
ลมหายใจคอย ๆ ละเอียดออ นลง การดเู วทนา มวี ธิ ีดู 4 ลกั ษณะ คือ
1. ดเู วทนาที่เกดิ ขน้ึ เปน ปต ิ คือ การพอใจในการกระทําท่ีกําลงั กระทาํ อยู
2. ดูสขุ ทเี่ กิดข้นึ
3. ดปู ติและสุขทป่ี รุงแตงจิต
4. ดปู ตทิ ีป่ รุงแตง จติ นอ ยลง ๆ จนไมป รงุ แตง
อันดบั ทีส่ าม คือ การดจู ิต ซึง่ มีลกั ษณะการดู 4 ลักษณะ คือ
1. ดตู วั จิตลวนนนั้ เปนอยางไร
2. ดูจติ ทป่ี ราโมทยปต ิ วาเปนอยางไร
3. ดจู ติ ทถี่ กู ทําใหต งั้ ม่ัน ใหหยุด ใหส งบนนั้ เปน อยางไร
4. ดูจิตที่ถูกทําใหปลอ ยวางจากตัวกูของกู นิวรณ หรอื อุปกิเลส ตา ง ๆ วาเปน อยางไร
อันดับที่ส่ี คือ การดูธรรม ธรรมในท่ีน้ีหมายถึง สัจธรรมหรือความจริง มีการดู 4
ลักษณะ คอื
1. เพงดคู วามไมเท่ยี ง เปน ทกุ ข เปน อนัตตา หรือสุญญตาท่มี อี ยใู นทุกส่ิง
2. ดูความเบ่ือหนายคลายกําหนดั (วริ าคะ) ท่ีจะเกิดตามมาจากการพิจารณาดไู ตรลักษณ
3. ดคู วามไมเกดิ ของความคดิ ปรุงแตงกิเลสตณั หาตัวกขู องกู (ดนู โิ รธ)
4. ดูความวา งที่สลดั ถอนหมดในความเปนตัวกูของกู (ปฏินิสสคั คะ)
(วริยา ชนิ วรรโณ และคณะ 2548 : 121-124)
12
ประโยชนจ ากการปฎิบัติตามแนวทางแหงธยานะ
ทานพทุ ธทาสภิกขอุ ธิบายถึงประโยชนข องการปฏิบัตสิ มาธไิ ว 4 ประการ สรปุ คือ
1. เพ่อื ใหมีจติ ใจสงบสขุ ทนั ตาเห็น
2. จะมีญาณทัสนะทีพ่ เิ ศษ
3. จะมสี ตสิ มั ปชญั ญะท่ีสมบูรณ
4. จะทําอาสวะ คือ กเิ ลสใหสิ้นได
แตการะสามารถสําเร็จผลดังกลาวนี้ ทานพุทธทาสภิกขุ กลาววา มีวิธีฝกไดเฉพาะเรื่อง
กลา วคือ
ประโยชนในประการแรก หากตองการความสงบเย็นทันตาเห็น ก็จะตองฝกแบบที่จิต
สงบอยางยิ่ง ใหสมาธิเปนอัปปนาสมาธิ กระท่ังเปนฌานในที่สุด ซึ่งแปลวา ฝกไปในทางที่จะให
เปนสมาธอิ ยางสงบ
ประโยชนประการท่ีสอง หากตองการณานทัสนะ จะตองฝกไปในทางแสงสวาง ซ่ึง
เรียกวา อาโลกสัญญาทิวาสญั ญา
ประโยชนประการท่ีสาม เพ่ือใหสติสัมปชัญญะสมบูรณ จะตองมีวิธีฝกไปในทางที่จะ
คอยเฝากาํ หนดการเกดิ ขึน้ ต้งั อยู ดับไป ของเวทนาสัญญาและวิตก
ประโยชนประการท่ีส่ี คือ การทําอาสวะกิเลสใหส้ิน มีวิธีปฏิบัติเฉพาะคือ เฝาพิจารณา
การเกดิ ข้นึ แปรไป ละสลายลงของเบญจขันธ หรอื ควบคมุ การเกดิ ขึ้น ตั้งอยู การดบั ไปของตวั กขู อง
กู (วริยา ชินวรรโณ และคณะ 2548 : 124-125)
การปฏิบัติสมาธิสงผลตอสุขภาพจิตและการพัฒนาบุคลิกภาพ คือ ทําใหเปนผูมีจิตใจ
และบุคลิกลักษณะเขมแข็ง หนักแนน ม่ันคง สงบ เยือกเย็น สุภาพ นุมนวล สดชื่นผองใส
กระฉับกระเฉง กระปร้ีกระเปรา เบิกบาน งามสงา มีเมตตากรุณา มองดูรูจักตนเองและผูอื่นตาม
ความเปนจรงิ (ประยทุ ธ ปยตุ ฺโต 2536 : 15-16) ซงึ่ มีสง ผลโดยตอการดําเนินชวี ิตประจาํ วัน ดงั นี้
1. สามารถเรียนหนังสือไดผลดี ไดคะแนนสูง เพราะมีความจําแมนยํา และจําดีขึ้นกวา
แตกอน เปนความจริงที่ปรากฏชัดวา นักเรียน นักศึกษา หรือผูใดก็ตามที่สุขภาพจิตดี ยอมเรียน
หนังสอื ไดด ี สามารถทํางานไดม าก และไดผ ลดมี ีประสิทธภิ าพสูง
2. ทาํ สงิ่ ตาง ๆ ไดด ขี ้นึ ไมค อยผิดพลาด เพราะมสี ตสิ มบรู ณข ึน้
3. สามารถทํางานไดมากขึ้น และไดผลดีอยางมีประสิทธิภาพ เพราะมีจิตท่ีเปนสมาธิ
แนวแน ไมฟุงซาน ไมว อกแวก มีความตัง้ ใจในการทาํ งานใหประสบผลสาํ เร็จ ลลุ วงไปดวยดี
13
4. ทําใหโรคภัยบางอยางหายไปไดถาจิตใจมีความเขมแข็งจะสงผลใหรางกายเขมแข็ง
ดวย เพราะจิตกับกายนั้นมีความสัมพันธเก่ียวเนื่องกันอยางใกลชิดการบริหารจิตใหเขมแข็งรักษา
โรคบางอยางใหห ายไปได
5. ทําใหเปนคนมีอารมณเยือกเย็นมีความสุข มีผิวพรรณผองใส สงผลใหการดําเนิน
ชวี ติ ประจําวันเปนไปอยางสะอาด สงบและสวาง มีชีวิตท่ีมีความสุข ซึ่งในที่น้ีมิใชวามีความสุขจาก
การมีทรัพยสินเงินทองมากมายแตเปนเพราะจิตที่มีความสุข ไมขุนของ หมนหมอง จิตที่เปนสมาธิ
เปรียบประดุจดังสระหรือบงึ น้ําใหญ ไมมสี ิ่งใดรบกวนใหกระเพือ่ มไหว
6. ทําใหอยูในสังคมไดอยางปกติสุข ทําใหผูท่ีอยูรอบขางมีความสุขไปดวย ไมกระทํา
ตนเปนภาระของสังคม ไมเบียดเบียนผูอ่ืน ตรงกันขามสมารถอยูรวมกับผูอ่ืนไดอยางสงบสุข และ
ชว ยเหลอื สงั คมไดด ี ทําใหผ ูค นรอบขางมสี ุขภาพจิตท่ดี ีดวย
7. สามารถแกไขความยุงยาก และความเดือดรอนวุนวายในชีวิตไดดวยวิธีท่ีถูกตอง
เปนเรื่องธรรมดาท่ีมนุษยในสังคมยอมตองประสบความทุกขเดือดรอน ความยุงยากในชีวิต ไมมี
ผูใดเลยท่ีจะดํารงชีวิตอยางสุขสบายโดยตลอด ตราบใดท่ียังเปนมนุษยธรรมดาอยู ขอสําคัญก็คือ
จะตองสามารถแกไขความทุกขเดือดรอนน้ันไดอยางถูกตอง นั่นคือการปฏิบัติสมาธิทําใหจิตใจ
เขม แข็ง ใชปญ ญาแกไขปญ หาไดอ ยา งมีประสทิ ธภิ าพน่นั เอง (พระวิสุทธกวี 2533 : 3-4)
ดวยเหตุน้ีจึงอาจกลาวไดวา ความสุขท่ีแทจริงนั้นจะหาไดจากใจของเราเอง และผูที่จะ
ไดรับความสุขชนิดน้ีไดนั้น จะตองฝกจิตดวยตนเองจึงจะทราบและสามารถเขาถึงธยานะไดอยาง
แทจรงิ
การเขาถึงธยานะ คือการคนพบวา มันสมองซ่ึงรวมถึงกิจกรรมของมันสมอง
ประสบการณทม่ี ันมี ทงั้ หมดสามารถสงบลงไดอยางแทจริง ไมใชดวยการบีบบังคับ เพราะวาขณะท่ี
บบี บังคับสภาวะน้ัน จะไมกอเกดิ ผล แตห ากเริม่ ท่จี ะเฝา ดู ฟงความเคล่ือนไหวของความคิด มันสมอง
จะสงบเงียบลงไดอยางแทจริง แตความสงบเงียบนี้ไมใชการหลับใหลแตเปนการตื่นตัว การปฏิบัติ
สมาธิไมใชเร่ืองของความคิดเพียงอยางเดียว แตเม่ือใดท่ีใจเคลื่อนสูจิต จิตจะมีคุณลักษณะที่ตาง
ออกไป ตอจากน้ันจิตก็คือสภาวะท่ีไมมีขอบเขตกําหนด การเฝาดูส่ิงท่ีเกิดขึ้นทั้งหมด รูชัดแจงอยาง
มีสวนรวมในนั้น ทั้งหมดคือสวนหน่ึงของสมาธิ การปฏิบัติสมาธิ ไมใชทางดําเนินอันนําไปสูจุด
สุดทา ยอยา งใดอยางหนง่ึ มนั เปนทงั้ ทางดาํ เนินและจดุ สุดทาย ท่บี ริสุทธิ์จากกาละ
14
ตชิ นัท ฮนั ห กลา ววา
คนสวนใหญมักตั้งคําถามวา “อะไรผิด” แตกลับลืมท่ีจะถามวา “อะไรถูก” เพราะในความ
เปนจริงมีหลายสิ่งท่ีไมผิด ในขณะที่ตางคนตางพุงความสนใจไปยังสิ่งท่ีผิด ซึ่งนั้นอาจเปนการ
กระทําที่ทําใหสถานการณ เลวรายลงไปอีก ดังน้ัน เราจึงควรพัฒนาความสามารถท่ีจะสัมผัสกับ
สิ่งท่ีไมผิด สิ่งที่สดช่ืน ส่ิงท่ีประเทืองใจและส่ิงที่ดีงามในปจจุบันขณะดวยการเจริญสติ เพ่ือจะได
ตระหนักถึงสันติสุขที่เกิดขึ้นอยางเต็มที่ “การมองลึกสูธรรมชาติที่แทแหงตน” เปนปญญาอันไร
ซึ่งการแบงแยกที่สะทอนภาพแหงความเปนจริงออกมาในตัวมันเอง เรียกวา “จิตที่แท” รับรู
ประสบการณตรัสรูดวยจิตภายใน ไมมีการกลาววานี้คือ เอกภาพหรือสิ่งใดๆ เพราะประสบการณ
ทีแ่ ทนน้ั ไมม คี ําอธบิ ายใดสามารถอธิบายได (ติช นทั ฮนั ห 2539 : 69)
การเจริญสติ คือ การทําจิตใหสงบและม่ันคงอยูกับลมหายใจของผูปฏิบัติ เพื่อผูปฏิบัติ
จะไดรวมเปนหนึ่งเดียวกับงานที่ตนกําลังทํา ผลที่ไดจากการเจริญสติ คือ การไดประจักษวาเรา
แตละคน มนุษยชาติและธรรมชาติลวนมีความสัมพันธอิงอาศัยกันและกันอยางไมอาจแยกออก
จากกันได
เม่ือบุคคลมีสติอยางแทจริงแลวยอมประจักษในคุณคาของลมหายใจทุกขณะและการดํารง
อยูของธรรมชาติและมนุษยชาติรอบตัว และเมื่อไดตระหนักอยางนั้นแลว เรายอมตระหนักวา หาก
ปราศจาก “ธรรมชาติ” ก็ปราศจาก “มนุษย” หากปราศจาก “นอก” ก็ปราศจาก “ใน” ดังน้ัน หากเรา
เขา ใจหลักการองิ อาศัยซ่ึงกันและกันเชนนั้นแลว ความรัก ความกรุณา และความเมตตา ยอมเกิดขึ้น
ภายในจติ ใจของเรา “ทง้ั หมดคือหนึง่ และหนงึ่ คอื ท้งั หมด” เพราะทุกๆอนุภาคมีอยูไดเพราะอนุภาค
มอี ยูไดเพราะอนภุ าคอืน่ ทงั้ หมด (ตชิ นทั ฮนั ห, 2537 : 33)
ปญหาการคุกคามทางเพศมีมากในสังคมปจจุบัน ผูที่ถูกกระทํายอมไดรับผลกระทบ
และการเปล่ียนแปลงในชีวิตโดยตรง ผูคนท่ีรายลอมก็ไดรับผลกระทบทางดานจิตใจเชนกัน
“ธยานะ” จึงเปนหนทางหน่ึงในการยุติปญหาดวยสติ เพ่ือตั้งจิตใหแนวแนและหาแนวทางแกไข
โดยสามารถรับคําแนะนําจากหนวยงานท่ีมีความเขาใจเพศหญิงโดยเฉพาะ สูการปฏิบัติท่ีถูกตอง
องคกรที่ใหคําแนะนํา เพศหญิงมีอยูหลายองคกรในประเทศไทย เชน มูลนิธิเพื่อนหญิง ก็เปนหนึ่ง
องคกรที่ใหคําปรึกษาทางดานกฎหมาย ใหคําแนะนําในการปฏิบัติตน และแนะนํากิจกรรมที่เปน
ประโยชนตอ ผอู นื่ ตอไป เพอ่ื กาวคืนสูสังคมอยา งปกติสุข
15
มลู นธิ ิเพื่อนหญงิ (Friends of Women Foundation)
ภาพที่ 4 ภาพสญั ลักษณข องมลู นิธเิ พ่อื นหญิง
ความเปนมา
มูลนิธิเพ่ือนหญิง เปนองคกรพัฒนาเอกชน กอตั้งขึ้นเม่ือปลายป พ.ศ. 2523 ภายใตช่ือ
"กลุมเพื่อนหญิง" ไดรับการจดทะเบียนโดยกรุงเทพมหานคร เปน "มูลนิธิเพื่อนหญิง" และมีฐานะ
เปนนิติบุคคลจากกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันท่ี 5 กันยายน 2534 มีบทบาทพิทักษสิทธิและใหความ
ชวยเหลือสตรีท่ีตกอยูในภาวะวิกฤติ อาทิ จากภัยคุกคามทางเพศ ต้ังครรภไมพึงประสงค สามี
ทอดทิง้ ทาํ รา ยทบุ ตี ถกู ลอลวงและบงั คับคาประเวณี ถกู เลิกจา งโดยไมเปน ธรรม และถูกเลือกปฏิบัติ
ในเรื่องของอาชีพ เพ่ือเปนการแกไขปญหาที่ตนเหตุ มูลนิธิเพ่ือนหญิง ไดนําขอมูลเผยแพรตอ
สาธารณชนและตอภาครัฐเพ่ือผลักดันใหกําหนดนโยบายและแนวปฏิบัติที่เปนจริงในการคุมครอง
พิทกั ษส ทิ ธิ รวมถึงการสงเสริมคณุ ภาพชวี ติ ของสตรโี ดยรวม
บทบาทและภารกจิ
มูลนิธิเพื่อนหญิงมีบทบาทและภารกิจในการสงเสริมแนวคิดและความเขาใจในมิติ
บทบาทหญิงชายบนพ้ืนฐานที่วาหญิงชายยอมมีความเสมอภาคมาแตกําเนิด สังคมจึงควรใช
มาตรฐานเดียวกันในการคุมครอง พิทักษสิทธิ สงเสริมคุณภาพชีวิตหญิงชายตามหลักกฎหมาย
และสทิ ธิมนษุ ยชน โดยมูลนธิ ิเพอ่ื นหญิง ใชย ุทธศาสตรการเสริมสรางกระบวนการเรียนรูใหผูหญิง
เขา ใจในบทบาท หนาท่ี และสิทธิของสตรี นําไปสูความเขมแข็งและมีอํานาจตอรองเชิงโครงสราง
ในระดับปจเจกและเครือขายดวยเหตุที่มูลนิธิเพื่อนหญิงเปนองคกรเล็ก การทํางานจึงมีลักษณะ
เลือกบางประเด็นข้ึนมาศึกษาทํางานในพ้ืนที่ และชวยเหลืออยางจริงจังจนเกิดเปนองคความรูและ
16
พัฒนาเปนรูปแบบตัวอยางในทางปฏิบัติขยายผลไปยังพื้นท่ีตาง ๆ ท้ังในกลไกของรัฐและชุมชน
สามารถเสริมสรางความเขมแข็งใหกับผูหญิงและเครือขาย ยังผลใหเกิดการพ่ึงตนเองไดใน
ระยะยาว
เปาหมาย
เพื่อสงเสริมพัฒนาความเขมแข็งของผูหญิง ระดับฐานนําไปสูการพัฒนาแบบยั่งยืน
เพ่ือใหเปนแกนนําในการผลักดันเปล่ียนแปลงกลไก และนโยบายรัฐเพ่ือคุมครองสิทธิผูหญิงที่ถูก
ละเมิดสทิ ธทิ ุกรปู แบบ
ยุทธศาสตร
1. สงเสริมและพัฒนากระบวนการรวมกลุมผูหญิงที่ประสบปญหาความรุนแรงท้ังใน
กรงุ เทพฯ และพน้ื ท่ีเครือขายทีม่ ลู นิธิเพือ่ นหญงิ ลงไปสนบั สนนุ
2. สรางคานิยมและทัศนคติท่ีถูกตองในเร่ืองความรุนแรงในครอบครัว ตองถือเปน
เรือ่ งความรุนแรงตอสังคม
3. พัฒนาแกนนําผูหญิง ผูประสบปญหาวิกฤติความรุนแรงเปนแกนนํารณรงค เพ่ือ
เปลี่ยนแปลงกลไก นโยบาย กฎหมาย และใหรัฐจัดงบประมาณสนับสนุนกลไก
4. สรางเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณระหวางกลุมผูประสบภาวะวิกฤตและหนวยงาน
ชวยเหลอื ผหู ญิงทั้งภาครฐั และเอกชนและชมุ ชน
5. เปนศูนยรับเรื่องราวรองทุกขใหแกผูหญิงที่ประสบภาวะวิกฤต โดยบริการดาน
คําปรึกษาดาน กฎหมาย ดาํ เนินคดี และดานสังคมสงเคราะห
6. จัดทําองคความรู ทางเลือกและทางออกของผูหญิงท่ีผานพนความรุนแรงเผยแพรสู
สังคม เพือ่ ชว ยเสนอทางออก ใหแ กผูหญิงที่กาํ ลังประสบวกิ ฤตคิ วามรนุ แรง
7. สนับสนุนเครือขายชวยเหลือผูหญิงของภาครัฐและเครือขายผูหญิงชาวบาน ให
สามารถชวยเหลือผหู ญิงไดอยา งมีประสิทธภิ าพ โดยจัดเวทแี ลกเปล่ยี นดงู าน
กจิ กรรมภายในองคก ร
1. ศนู ยช วยเหลอื และพิทักษส ทิ ธิสตรี
2. การเสรมิ สรางความเขม แขง็ ใหเครอื ขาย
2.1 เครือขายแกนนําแรงงานหญิง
2.2 เครอื ขายชมรมหญงิ ชว ยเหลอื หญิง
2.3 เครือขา ยผหู ญิงชาวบา น
2.4 เครือขายผหู ญงิ กับสุขภาพ
3. การรว มมือกบั เครือขา ยหนวยงานภาครัฐ
17
3.1 เครือขายพนักงานสอบสวน หญิง-ชาย
3.2 เครือขา ยศูนยช ว ยเหลือผหู ญิงและเดก็ โรงพยาบาลของรัฐ 20 โรงพยาบาล
4. งานขอมูล วชิ าการ และเผยแพร
4.1 ศูนยขอ มูล
4.2 ผลติ สอื่ และสิง่ พิมพ
5. การจัดกจิ กรรมรณรงคระดบั นโยบายและระดับปฏบิ ตั กิ ารของภาครฐั
6. การระดมทุนเพอ่ื สนบั สนนุ กิจกรรมมลู นิธิเพ่อื นหญงิ
โรงพยาบาล สถานีตํารวจในทองท่เี กิด
ผหู ญงิ ทป่ี ระสบปญ หา (Case)
แกนนาํ ชมุ ชน มลู นธิ ิเพือ่ นหญงิ
แผนภาพที่ 1 แสดงโครงสรา งการทาํ งานมลู นธิ เิ พื่อนหญิง
เม่ือกาวขามผานประตูแหงความสงบสูวิถีชีวิตในยุคปจจุบันท่ีประกอบดวยคานิยม
หลายอยางที่ซึมซาบอยูตามสถาบันตาง ๆ ไดมีคานิยมเกี่ยวกับการคาดหวังบทบาทของชายและ
หญิงรวมกันอยู สังคมจะมีการคาดหวังวา ชายและหญิงควรจะตองแสดงพฤติกรรมอยางไรจึงจะ
เหมาะสมกับเพศของตน วฒั นธรรมเก่ียวกับเร่อื งเพศน้ีแตกตางกันไปตามแตละสังคม
จุดเร่ิมตนของสังคมขนาดเล็กหรือครอบครัวท่ีเราสามารถสัมผัสไดจากความรักความ
อบอุนจากพอ แม ญาติพี่นอง และเมื่อเติบใหญการกาวสูสังคมภายนอก เพื่อการเรียนรูที่มากขึ้น
พบปะ แลกเปล่ียนความคิดเห็น เพอ่ื กาวสสู งั คมที่มีขนาดใหญและกวางขึ้นตามลําดับ ความเขมแข็ง
จากภายใน สงผานตัวแปร สูภาวะภายนอก จากจุดเล็ก ๆ ในหนวย ขยายถึงองคกรที่ใหญขึ้น จิตที่
18
เขมแข็งจะสามารถสงผลตอการดํารงชีพอยางปกติสุข ในหน่ึงสังคม การแบงแยกตามลักษณะ
ภายนอกอยางหยาบ คือ เพศ ลักษณะของความแตกตางจากเพศทางวัฒนธรรม เห็นไดจากหอง
คลอดเด็กออนในโรงพยาบาล เด็กผูชายจะหอดวยผาสีฟาและเด็กผูหญิงจะหอดวยผาสีชมพู ความ
แตกตางท่ีเกิดข้นึ เริม่ ตนข้ึนต้ังแตต อนที่เราเกิดแลว
ภาวะทางดานรางกายและจติ ใจของเพศหญิง
ความเช่ือเก่ียวกับเรื่องเพศท่ีปรากฏในการแพทยไดกอใหเกิดความคิดแกบุคคล
โดยทัว่ ไปวา ผูหญงิ เปน เพศที่ออ นแอ เจาอารมณ ใจคอไมห นกั แนน ม่นั คง ยิ่งในระยะท่ีเกี่ยวกับการ
ต้ังครรภ แตกเน้ือสาวมีประจําเดือนหรือใกลจะหมดประจําเดือน ความผิดปกติทางดานอารมณก็ย่ิง
จะมากขึ้น ลักษณะพวกนี้ถูกมองวาเปนอาการผิดปกติของผูหญิงอันเน่ืองมาจากความออนแอตาม
ธรรมชาติ อาการเจ็บปวยในผูหญิงน้ันไดรับการวินิจฉัยวา มีสาเหตุมาจากความบกพรองตาม
ธรรมชาติหรือการปฏิบัติตนไมเหมาะสมเกี่ยวกับเพศ เชน การสําสอน การแสดงความรักตอสามี
อยางเปดเผย การเอาจรงิ เอาจังกบั การเรียนและการงานมากเกินไป การมีความทะเยอทะยานในชีวิต
มากเกินไป ลักษณะเหลานี้ถูกเหมารวมวาเปนสาเหตุของการเกิดโรคท้ังนั้น (กาญจนา แกวเทพ
2535 : 19)
ดวยลักษณะทางกายภาพทางธรรมชาติของเพศหญิง ความแตกตางทางดาน
ความสามารถท่ีถูกกําหนดข้ึนจากสังคมและวัฒนธรรม จึงสงผลกระทบตอรางกายและจิตใจ
“ความเครียด” จงึ เปนภาวะหนึ่งท่เี กิดข้นึ จากแรงบีบคัน้ ของสังคม ดังตัวอยางเหตุการณที่เกิดขึ้นใน
สังคมไทยปจจบุ ัน
กรณีศึกษาที่ 1 : พาลกู คา กาม
ตํารวจสืบสวนภาค 7 ลอซื้อจับกุมนางตุก (นามสมมติ) ท่ีพาลูกสาว วัย 18 ป กับเพ่ือน
อีกคน วัย 15 ป ไปขายบริการทางเพศท่ีโรงแรมคันทรี อ.เมืองสุพรรณบุรี เด็กสาวอางหาเงินซ้ือ
ยาบาเสพและซอื้ เสื้อผา ไปเที่ยวเตร (ไทยรฐั 2548 : 1)
กรณีศกึ ษาท่ี 2 : เสยี ว-สยวิ -สนกุ แบบใหมของโจ ไทยยคุ “ดอทคอม”
วัยรุนหญิงมักจะตกเปนเหย่ือของมิจฉาชีพ ทางอินเตอรเน็ตไดงาย ท้ังโดยรูตัวยินยอม
และรูเทาไมถึงการ เชน แชทรูม โพสตรูปแอบถาย เวบแคมเปลือยกาย หรือถอดเสื้อผา และขาย
บริการบนอินเตอรเน็ต ซึ่งเจาของเว็ปโป มักแอบแฝง ขายซีดีลามกหรือหวังรายไดจากคาโฆษณา
19
แตขณะน้กี าํ ลงั ถกู สังคมจับตามองอยา งยิ่ง บางเวบ็ ท่เี คยเปนท่นี ิยม เขาดูไดตลอดเวลาก็ถูกส่ังปดเสีย
เปนสวนใหญ จึงมีคําถามข้ึนมาวา เว็บโป ซีดีลามก จะสูญพันธุไปจากสังคมไทยหรือไม (ผูจัดการ
ออนไลน 2547)
กรณศี กึ ษาที่ 3 : จากเหตสุ ะเทือนใจ น.ส.ณฐั ยา หรอื นองบิ๋ม ใจบรรจง อายุ 23 ป เลขาฯ
สาวบริษทั เอเชยี แปซฟิ ค จาํ กัด คิดสน้ั กระโดดจากสถานรี ถไฟฟา บที เี อส เสยี ชวี ติ
“ระยะหลังลูกสาวผมเครียดเร่ืองงาน เพราะตองรับผิดชอบงานหลายหนาท่ี เน่ืองจาก
บริษัทยังอยูในชวงเตรียมขยายงาน เมื่อชวงตนเดือนเม.ย.ลูกสาวไดทําเอกสารผิดพลาดซ่ึงทาง
หัวหนาไดชี้แจงใหเขาใจ และไมไดติดใจในความผิดพลาดแตอยางใด แตเนื่องจากลูกสาวเปนคน
คิดมากจึงมาปรึกษาในเร่อื งนแ้ี ละขอลาออกจากงานอีกคร้ัง บอกวาไมไหวแลว ดวยความสงสารลูก
จึงไดอ นุญาตแตใ หล ูกสาวสัญญาวาตองสงมอบงานใหคนทม่ี ารบั ชวงตอ เรยี บรอ ยเสียกอน
‘ครอบครวั ผมเปนครอบครัวท่อี บอนุ มปี ญหาอะไร ลกู ๆ จะมาขอคาํ ปรกึ ษาตลอด’
หากไปโทษวา บริษัทไมดีใหลูกทํางานหนัก ก็ไมใชเร่ืองจริงเพราะท่ีบริษัทก็ดูแลลูก
สาวผมเปนอยางดี เจานายก็รักลูกสาวผมเหมือนลูก แตระยะหลังลูกสาวผมมีความวิตกกังวล
เนื่องจากความเครียดทําใหจ ติ ใจและรางกายเริม่ เสอ่ื มถอย” (ผูจัดการออนไลน 2548)
จากงานเขียนของ แองเจลลา เฮล (Angela Hale) เร่ือง “คนงานหญิงในกระแสการคา
โลก” (World Trade is A Women’s Issue)” จัดทําโดย Women Working World Wide (WWW)
ไดประมวลภาพ และขอเขียนเกี่ยวกับการเปดการคาเสรีท่ีมีผลกระทบตอผูหญิงและการทํางาน
โดยระบุไว ดงั น้ี
1. งานที่ผูหญิงทําสวนใหญไมไดถูกตีคาเปนคาจาง หรือไมก็เปนงานที่ไมไดรับการ
ยอมรับ เชน งานบาน การดแู ลลูก การดูแลครอบครวั และผสู งู อายุ
2. งานที่ผูหญิงสวนใหญที่ทําแลวไดรับคาจาง มักไมใชงานที่มีความสําคัญในระบบ
เศรษฐกิจ เชน งานในธุรกิจขนาดเล็กท่ีใชเงินทุนนอย งานท่ีรับมาทําท่ีบาน งานการขายพืชผล หรือ
งานไมป ระจํา ท่ีไมไ ดรับการคุมครองตามกฎหมาย
3. แรงงานหญิงกระจุกตัวอยูในอุตสาหกรรมบางประเภท ท้ังในและนอกระบบและมี
การเลือกปฏิบัติระหวางหญิงและชาย เชน มีการกําหนดวาผูชายตองทํางานเกี่ยวของกับเคร่ืองจักร
และเทคโนโลยี ผูหญิงตองทํางานบานและงานบริการรับใช หรือกรรมกรหญิงตองทํางานตัดเย็บ
เสอื้ ผา และทาํ ความสะอาด สว นผูชายเปน แรงงานผลิตรถยนตห รือตอ เรือ เปน ตน
4. งานของผูหญิงมีคุณคาต่ํา การใหคุณคาในงานของผูหญิงทําใหผูหญิงไดคาจางนอย
และถือวามีคุณคานอยกวางานท่ีไดคาจางของผูชาย โดยสังคมมีทัศนคติวา ผูหญิงไมไดหาเล้ียง
20
ครอบครัว และงานของผูหญิงไมมีความถาวรม่ันคงเทาผูชาย โอกาสเล่ือนขั้นตําแหนงของผูหญิงก็
นอ ยกวาชาย
ปญหาท่ีไดยกตัวอยางขางตนน้ี คือ ปญหาท่ีเกี่ยวกับระบบทุนนิยม ในเหตุการณแรก
ความกดดันทางดานจิตใจท่ีบอบบาง (ความเครียด) สงผลถึงการแกไขปญหาท่ีผิด ซ่ึงสงผลกระทบ
โดยตรงตอบคุ คลรอบ ๆ ขางและสังคม กรณีศึกษาที่ 1 และ 2 การแลกเปลี่ยนเพ่ือผลตอบแทน วัตถุ
นิยมยอมแปรผันไปตามความเจริญทางดานวัตถุ เพศหญิงใชเรื่องเพศ เปนเคร่ืองมือในการหา
ผลประโยชน ซ่ึงสงผลกระทบตอสังคมและปญหาสังคมท่ีตามมา เชน การทําแทง การท้ิงลูกตาม
พ้ืนท่ีสาธารณะ เปนตน ซ่ึงผลตอบแทนท่ีไดมาเปนเพียงคานิยมทางดานวัตถุที่ไมยั่งยืน เมื่อ
เหตุการณทุกอยางผานไปตามกาลเวลาที่ไดบมสอนดวยตัวเอง การมองยอนถึงส่ิงที่ไมสามารถ
แกไขไดอ ีก ความทกุ ขหรือปมท่ีตกคางภายในจติ ใจ ไมส ามารถลบเลือนมนั ได
ปญหาของสภาพตามธรรมชาตขิ องเพศหญงิ ทาํ ใหผ ูเ ขมแข็งกวา มีอาํ นาจเหนือและกดขี่
ผูออนแอ ตามสัญชาตญาณของสตั วโ ลก สัตวที่ตัวใหญและแข็งแรงยอมเปนผูไดเปรียบในการตอสู
ผูที่ออนแอจะตองอยูใตบังคับบัญชา และใหสิทธิ์ขาดทุกอยางกับจาฝูง ในกรณีศึกษาที่3 แรงบีบคั้น
จากความกดดันและความคาดหวังจากสังคม สงผลตอภาวะรางกายและจิตใจ เมื่อความบอบบาง
ของจิตใจไมสามารถทนตอแรงกดน้ัน เหตุการณดังกลาวจึงเกิดขึ้น ในทางกลับกันจิตใจท่ีแข็งแรง
จะสามารถทนและแกปญหาจากสภาวะดังกลาวได หนทางในการแกไขปญหามีอีกมาก คิด
ไตรตรอง เลอื กหนทางที่ถูกตอ งและไมใหเกิดผลกระทบตอบคุ คลอื่น
กรณศี กึ ษาท่ี 4 : ปา นวล
ปานวล (นามสมมติ) ปจจุบันอายุ 60 ป เปนที่รูจักของชาวบานในฐานะผูใหญใจดี สามี
ของปา เสยี ชวี ิตเมือ่ ป พ.ศ. 2547 ในชว งที่สามียังมชี วี ิตอยมู ปี ญหาความรนุ แรงในครอบครวั สามีเริ่ม
ดื่มเหลากับชางท่ีมาชวยสรางบานหลังจากน้ันก็ดื่มเรื่อยมา นอกจากนี้สามียังเปนคนข้ีหึงมากไม
ยอมใหปาออกไปทใ่ี ดเลย เมอื่ สามีเมา ปามักถูกดาวาตลอด แสดงความไมไววางใจ ขมขู เคยเอาปน
ออกมาขยู ิงข้นึ ฟาเปนประจํา มีคร้ังหน่งึ ปากับสามที ะเลาะกนั รุนแรงมาก ปาทนไมไหวกระโดดแยง
ปน สามีกลัวปน ลั่นใส จงึ ผลักปาไปกระแทกกับฝาบาน ปานวลโมโหมากกระโดดชกสามี หลังจาก
เหตุการณคร้ังนั้น สามีก็ไมเคยเอาปนออกมายิงขูอีกเลย แตยังคงด่ืมเหลาเหมือนเดิม ปาบอกวา
เมอ่ื กอ นมีเรอื่ งทะเลาะกนั ทุกวนั
การดื่มเหลาของสามีปานวลสงผลกระทบตอจิตใจของปาและลูกชาย ปานวลเองก็
สังเกตวาเวลาสามีดื่มเหลาเมาลูกชายจะเงียบหงอยไป และการด่ืมเหลาของสามีทําใหเศรษฐกิจของ
ครอบครวั แยลง เพราะเม่ือสามเี มาเหลามกั เลนการพนนั และเสียพนันเปนประจาํ ถึงแมว าปจ จบุ นั ลกู
21
ชายมคี รอบครัวและหนา ท่ีการงานท่ีดี แตพอเริ่มทํางานมีรายไดเปนของตนเองลูกชายก็เริ่มดื่มเหลา
ปา มักขอรองไมใหด ม่ื เหลา เพราะเหน็ ตวั อยา งจากพอ สองปต อ มาลูกชายก็เลิกดม่ื เหลาได
ขณะนปี้ า นวลไดใชเ วลาวา งอุทศิ ตนเองเปน อาสาสมคั รชวยเหลอื งานของศนู ยชวยเหลือ
ผูหญิงและเด็กใหแกชุมชน 5 ธันวา และชุมชนฟาใหม โดยการชักชวนคนในชุมชนให ลด ละ เลิก
ดื่ม ปานวลใชวิธีการพูดคุยแนะนํา ติดตาม และชักชวน การแกปญหาความรุนแรงที่เพศหญิงไดรับ
จากการด่ืมเคร่ืองดื่มมึนเมาเปนปจจัยที่ทําใหผูเสพขาดสติ ยั้งคิดและสามารถกระทําสิ่งท่ีนอกเหนือ
การควบคมุ ท่ีรุนแรงตอบคุ คลรอบ ๆ ขาง
22
ตารางท่ี 1 แสดงลักษณะการกระทําความรุนแรงตอ เดก็ และสตรที ี่มผี ลจากการดมื่ เหลา
ลกั ษณะการกระทาํ ความรนุ แรงที่มีเหลา เปน ปจ จยั รว ม
เดอื น ละเมิดทางเพศ ทาํ รา ย ทําราย อื่น ๆ รวม
ขม ขนื อนาจาร รางกาย จติ ใจ 7
มกราคม 7
กุมภาพนั ธ 3 1 111 10
มีนาคม 7
เมษายน 4 - 2-1 8
พฤษภาคม 6
มถิ ุนายน 2 - 224 3
กรกฎาคม 5
สงิ หาคม 3 - 211 5
กันยายน 7
ตุลาคม 6 - 2-- 2
พฤศจกิ ายน 12
ธนั วาคม 4 - 1-1 79
รวม 2 - 1--
3 - 2--
3 - 2--
3 1 111
1 - 1--
8 1 21-
42 3 19 6 9
ศูนยพิทักษสิทธิเด็กและสตรี โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์, พัฒนาการเครือขาย
ชุมชนลดเหลาลดความรุนแรงตอผูหญิงและเด็ก, (ขอมูลระหวางมกราคม-ธันวาคม พ.ศ. 2547 :
2548 ) 145, 262-264
จากขอมูลที่ปรากฏในตารางท่ี 1 แสดงใหเห็นวาในป พ.ศ. 2547 มีเด็กและผูหญิงมา
ขอรบั บริการท่ศี ูนยพ ิทกั ษสทิ ธเิ ดก็ และสตรี โรงพยาบาลชุมพรฯ ที่มีผลมาจากการด่ืมเหลาเปนกรณี
ถูกขมขืนมากที่สุด มีจํานวนถึง 42 ราย รองลงมาเปนการทํารายรางกาย 19 ราย ถูกทอดท้ิง 9 ราย
ถกู ทาํ รายจติ ใจ 6 ราย และถูกกระทําอนาจาร 3 ราย
23
พฤติกรรมการด่ืมเหลาของผูชายในฐานะผูนําครอบครัวยังสงผลกระทบตอฐานะทาง
เศรษฐกิจของครอบครัวของตนดวย เน่ืองจากไดนํารายไดสวนหนึ่งมาใชจายเปนคาเหลา และเมื่อ
เงินหมดก็เบียดเบียนครอบครัว บางรายมีพฤติกรรมการดื่มเหลาขามวันขามคืนจนไมสามารถไป
ทํางานได เม่ือขาดงานก็ไมมีรายไดมาใหครอบครัว ซึ่งสงผลใหมีปญหาความสัมพันธระหวางสามี
ภรรยา ถึงขั้นครอบครัวแตกแยก ไมสามารถทนอยูตอไปได เพราะมีการทํารายรางกายและทะเลาะ
กันทุกวัน หรือผูชายบางรายไมเพียงติดเหลาแตยังไปมีผูหญิงคนใหม ทอดท้ิงไมสนใจดูแลภรรยา
และลูก พฤติกรรมดังกลาวสงผลกระทบทั้งทางดานรางกายและจิตใจ จนกลายเปนปญหาสังคมใน
ภายหนาได
กรณศี กึ ษาท่ี 5 : จับคาผาเหลอื ง 5 นกั เรยี นชายรุมขนื ใจ ม.4 ถายคลปิ เผยแพร
ตํารวจ ปดส. จับกุม 5 นักเรียนชายช้ัน ม.5 รุมกันขมขืนนักเรียนหญิงช้ัน ม.4 โรงเรียน
เดียวกัน หลังจากชวนไปรวมงานวันเกิด แลวมอมเหลามอมเบียร จากนั้นใชโทรศัพทมือถือถาย
คลิปวิดีโอไปเผยแพร แถมมีรุนพ่ีสุดช่ัวพบคลิปวิดีโอแลวนําไปแบล็กเมลหวังรวมหลับนอนอีก
สาวเจาเลยบอกความจริงกับแม พาแจงตํารวจจับกุมไดท้ัง 5 คน โดย 1 ใน 5 อยูระหวางบวชเปน
พระตองจับสึกมาดําเนินคดี เบื้องตนทั้งหมดใหการรับสารภาพ วา ไดรวมกันกอเหตุดังกลาวจริง
โดยอางวา วันเกิดเหตุ ไดด่ืมสุราเขาไป จนมึนเมา จึงเกิดอารมณชั่ววูบ และชักชวนกันลงมือขมขืน
(ผจู ัดการออนไลน 2549)
กรณีศกึ ษาท่ี 6 : จับหนมุ ใบฆา สาวบรกิ าร อา งย๊ัวถูกไมตหี ัวแตกกอ น
รวบหนุมใบฆ า หญิงบริการรมิ คลองหลอด อา งผตู ายมาขอเงินจึงใหไป 200 บาท พอมา
ขอคร้ังสองจึงปฏิเสธ ผูตายโกรธใชไมตีศีรษะแตกเลยย๊ัวใชมีดปาดคอดับ ดานนายใบ ใหการผาน
ลามภาษามือวา กอนเกิดเหตุน่ังดื่มเหลาอยูกับเพ่ือน 3-4 คน ระหวางน้ันมี น.ส.ปุ ผูตายเดินเขามา
หาเพื่อขอเงิน แตตนไมให ทําให น.ส.ปุโกรธ ทุบตีตนและยังใชไมทุบหัวตนจนหัวแตก จึงใชมีด
พกปาดคอ น.ส.ปุ กอนจะแทงท่ีบริเวณลําคออีกคร้ังจนถึงแกความตาย จากน้ันจึงกระทําชําเรา
ผูตาย โดยกอนท่ีจะถูกจับไดเดินมาขอเงินประชาชนบริเวณสะพานลอยหนาหางพาตาปนเกลา จึง
ถูกจับกุมดงั กลาว (คมชัดลกึ 2549)
กรณีศกึ ษาท่ี 7 : สลด นร. สาว ม. 3 โดนโทรมมะเรง็ ซ้ําครา ชวี ติ
นางออยใหการวา เพื่อนของ ด.ญ.มดมาชวนกันออกไปเท่ียวแลวหายไปทั้งคืนกลับมา
ตอนเชาพยายามสอบถาม พอรุงข้ึนอีกวันมีชาวบานร่ําลือกันวามีเด็กหญิงในหมูบานถูกกลุมวัยรุน
พาไปขมขืนเมื่อคืนวันท่ี 23 ส.ค. จึงคาดคั้นสอบถามจนทราบความจริง วาถูกกลุมวัยรุนลวงไป
ขมขนื ทีก่ ระทอ มกลางทุง นาใน ต.กระจนั อ.อูท อง โดยมีชายวัยรนุ รออยูอีก 4 คน กอนที่จะถูกท้ัง 5
24
คน ชวยกันจับขึงพืดเรียงคิวรุมโทรมจนสําเร็จความใคร ตํารวจสงตัว ด.ญ.มดไปตรวจรางกายท่ี
โรงพยาบาลอูทอง ตอมาหลานสาวมีอาการซีดเซียวและอาเจียนอยางหนัก เอาแตนอนซมไมยอม
รับประทานอาหาร เหมือนหมดอาลัยตายอยาก เนื่องจากไดรับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ
อยางรุนแรง จึงพาไปพบแพทย ก็ตองตกใจเมื่อแพทยตรวจพบวาหลานสาวเปนโรคมะเร็งในเม็ด
เลือดขาว ประกอบกับสภาพจิตใจท่ีย่ําแยจากเหตุการณท่ีถูกรุมโทรมขมขืน ทําใหอาการทรุดหนัก
ลงเรือ่ ย ๆ จนกระทงั่ เสียชีวติ (ไทยรฐั 2549 : 1)
กรณีศกึ ษาที่ 8 : อจ. ฝรงั่ - ม. ดงั ลวงขย้ี นศ. สาว
องคกรสตรีเสวนาระบุมีอาจารยฝรั่งสถาบันการศึกษาดังขยี้ น.ศ. สาว วางแผนชั่วดวย
การพาไปท่ีหองอางสอนลีลาศ กลุมนักศึกษาสงอีเมลเตือนภัยเพ่ือน เตรียมจี้ใหสถาบันรวม
รับผิดชอบและใหด ําเนนิ การ หว งผูหญงิ ถูกขนื ใจมากข้นึ สว นใหญเ ปน เหย่ือนายจา งหรอื อดีตสามี
น.ส. สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหนาศูนยพิทักษสิทธิสตรี มูลนิธิเพ่ือนหญิง กลาววา
ปญหาละเมิดทางเพศผูหญิงและเด็กเพ่ิมมากข้ึนทุกป แตละปมีการรองมายังมูลนิธิเฉล่ียไมตํ่ากวา
100 ราย แตมีการดําเนินคดีจริงเพียง 1 ใน 5 ซ่ึงสวนใหญเปนการถูกขมขืนกระทําชําเรา รุมโทรม
ทั้งเหย่ือและผูกระทํามีอาชีพการงานดี พบทั้งคนไทยและคนตางชาติ เชน ญี่ปุน เวียดนาม เปนตน
“ผูกระทําท่ีขมขืนผูหญิงและเด็กสวนใหญเปนหัวหนางาน นายจาง พอ คนรูจัก อดีตสามี แฟน เรา
พบผูหญิงรายหนึ่งอายุ 18 ป ไปรับจางทําสวนในบานอดีตนักการเมือง ขณะออกจากหองน้ําคน
ใชไดถ ูกผูช าย 3 คน ที่เปนชา งกอสรา งมาตอ เตมิ บานขมขืนรุมโทรม ซ่ึงเช่ือวารางกฎหมายใหมหาก
ออกมาบังคบั ใช จะชว ยเหลือบรรเทาสถานการณล งได” (ขา วสด 2549 : 1)
จากกรณีศึกษาท่ี 5-8 เหตุการณที่เกิดข้ึนสามารถพบเห็นไดทุกวัน โดยเพศหญิงมักถูก
ทําราย เน่ืองจากความใครเปนเหตุจูงใจ เหตุผลมากมายในคําใหการ แลวเหตุผลท่ีแทจริงคืออะไร
มันไมใชเกิดจากการท่ีเราไมสามารถไตรตรอง ควบคุมสติ ของตนเองหรือ เม่ือผูหญิงไดรับ
ผลกระทบจากบุคคลและสิ่งแวดลอมที่กดดัน ซึ่งไมสามารถยอนเวลาใหเหมือนดังเดิม บอยคร้ังใน
การแกไขปญหาที่เกิดขึ้น เราพยายามที่จะแกไขสิ่งที่ผิดดวยการเปลี่ยนสิ่งอ่ืนหรือคนอ่ืน ๆ ซ่ึงถูก
มองวาเปนสาเหตุของความทุกข แตดูเหมือนจะเปนส่ิงท่ีเกินกําลัง เพราะแทที่จริงแลวสิ่งเดียวที่เรา
สามารถทาํ ไดคอื การเปลย่ี นมุมมองปญ หาและมมุ มองชีวิตของเราเอง
25
ผลกระทบความรนุ แรงทมี่ ีตอเพศหญิง
ประเทศตาง ๆ ท่ัวโลกยืนยันวาผูหญิงในสังคมรอยละ 20-50 ถูกกระทํารุนแรงจากสามี
หรือคนรัก และรอยละ 50-60 ของผูหญิงที่ถูกกระทํานี้ถูกกระทํารุนแรงทางเพศดวย ดังตัวอยาง
ตอ ไปน้ี
1. 1 ใน 5 ของผูหญิงท่ัวโลก เคยถูกทํารายทางรางกายหรือทํารายทางเพศ ในชวงเวลา
ใดเวลาหนึ่งในชวี ติ ของเธอ
2. ใน 1 นาที ท่ัวโลกมีผูหญิงถูกขมขืน 1.3 ราย ใน 15 นาที จะมีผูหญิงถูกขมขืนถึง 20
ราย
3. การสํารวจในหลายประเทศช้ีใหเห็นวา ผูหญิงรอยละ 10-15 ถูกบังคับใหมี
ความสมั พนั ธทางเพศโดยสามี และสาํ หรบั ผหู ญงิ ท่ถี กู ทํารา ยรา งกายโดยสามีมสี ัดสวนสงู กวา น้ี
4. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สํารวจพบวา มีผูหญิงไทยวัยเจริญพันธุ ยุติ
การตัง้ ครรภไมพ ึงประสงคป ระมาณปละ 300,000 - 400,000 ราย
5. กองโรคเอดส ระบุวา ป 2542 ผูหญิงไทยทีติดเชื้อเอดสมีจํานวนเพ่ิมข้ึน คือ
ประมาณ 300,000 ราย หรอื รอ ยละ 40 ของจํานวนผูตดิ เชื้อท้งั หมด
6. รายงานจากสํานักงานตํารวจแหงชาติ ระบุวา ในป 2543-2544 มิถุนายน มีคดีขมขืน
เกดิ ขน้ึ จํานวน 5,315 คดี หรอื เฉลี่ยเดือนละ 295 คดี หรือประมาณวันละ 10 คดี
7. จากการทํางานของมูลนิธิเพื่อนหญิง รวมกับเครือขายตาง ๆ พบวาผูถูกกระทําทาง
เพศท่ีอายุนอยท่ีสุดเปนทารกหญิงวัย 3 เดือน และอายุมากที่สุด (จากขาวหนังสือพิมพ) เปนหญิง
ชราอายุ 102 ป
8. ผูกระทําความผิดทางเพศท่ีอายุนอยที่สุดเปนกลุมเด็กชายอายุ 5-9 ขวบ รวมกันลวง
ละเมดิ ทางเพศเดก็ หญงิ อายุ 4 ขวบ และผกู ระทาํ ผิดท่อี ายมุ ากทส่ี ุดมีอายุกวา 70 ป
9. จากการใหคําปรึกษาหญิงท่ีเดือดรอนของศูนยพิทักษสิทธิสตรีมูลนิธิเพื่อนหญิง
ประมาณปละ 2,000 ราย พบวา มากกวารอยละ 60 เปนปญหาความรุนแรงในครอบครัว เชน สามี
ทาํ รา ยรา งกายสามไี ปมหี ญงิ อื่น ๆ ไมรับผิดชอบครอบครัว
ทางดา นรางกาย
ถูกฆาตกรรม : อาจเริ่มจากการถูกขูเข็ญ คุกคาม และจบลงดวยการถูกฆาตกรรมหรือ
เสยี ชีวิต
บาดเจ็บ :
1. ตง้ั แตร ุนแรงไมม ากนกั แคฟกซา้ํ ไปจนถงึ กระดูกหกั และพิการ
26
2. มีทั้งจากการถูกขมขืน การไมรับผิดชอบของฝายชายเม่ือมีเพศสัมพันธ การไม
สามารถตอรองเรื่องการคุมกาํ เนดิ กับคูครองได
3. เดก็ ผูหญงิ ซง่ึ ถูกทารณุ กรรมทางเพศตั้งแตเ ลก็ มีความเสยี่ งสงู
4. ตงั้ ครรภไ มพึงประสงคน าํ ไปสกู ารทาํ แทง
ทางดานจิตใจ ความกระวนกระวายใจ ความหวาดระแวง สับสน หวาดกลัว ซึมเศรา
หรอื ความหมดหวงั ในชวี ิต
แนวทางแกป ญ หาท้งั ดา นรา งกายและจิตใจของเพศหญิง
ความเครยี ดทเี่ กดิ ตอผูห ญงิ โดยเฉพาะ มดี ังตอ ไปนี้
1. ปจจุบันมีผูหญิงจํานวนมากที่ตองทํางานนอกบานและตองรับผิดชอบงานในบาน
และการดูแลลูกเองทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันทั้งท่ีเกิด จากท่ีเรารูสึกเองและจากผูอ่ืนวา เรา
ตอ งทํางานทัง้ สองหนาทีน่ ี้อยางครบถว นสมบรู ณ
2. งานสวนใหญท่ีผูหญิงทํามักจายคาแรงต่ํา และมักไมเปดโอกาสใหผูหญิงไดแสดง
ศักยภาพอยา งเต็มท่ี
3. ผูห ญิงจํานวนมากตองเลีย้ งลูกคนเดียวและจน
4. ผหู ญงิ บางคนตอ งอยบู านตลอดเวลากับลูกเลก็
5. การเผชิญกับการลวนลามและการละเมิดทางเพศตามถนน ในที่ทํางานและในบาน
(กฤตยา อาชวนิจกลุ 2539 : 4-5)
ทฤษฎีทางบุคลิกภาพไดอธิบายถึงธรรมชาติดั้งเดิมของผูหญิงวา มีลักษณะไมตอสู ไม
ดิ้นรน ตองพ่ึงพาคนอื่น และมีลักษณะเหมือนเด็ก การรักษาทางจิตมุงประเด็นไปท่ีลดการบนของ
ผูหญิง เก่ียวกับคุณภาพชีวิตของตนเอง และมุงที่จะใหมีการสนับสนุนใหมีการปรับเปลี่ยนตาม
สภาพความเปนอยู นักบําบัดจิตตระหนักวาสภาพเสียเปรียบของผูหญิงน้ันมีสวนโดยตรงที่จะ
ทําลายสุขภาพจิตของผูหญิงไดอยางไร ผูเชี่ยวชาญมักมองปญหาทางอารมณของผูหญิงมีสาเหตุมา
จากภายในของตัวผูหญิงเองมากกวาที่พบในผูชาย และไมรับรูสภาวะภายนอกที่นําซึ่งความเครียด
ในชีวิตของผหู ญิงเลย
ในการแกปญหาทางดานจิตใจของเพศหญิง นักบําบัดจิตมุงใหเกิดความเสมอภาคใน
ผูหญิง ใหเกียรติผูหญิงและตระหนักถึงอิทธิพลทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่มีตอสภาพของ
อารมณ (ผูหญงิ เพื่อผูหญงิ 2539 : 78)
27
ในการศึกษาลักษณะขององคกรมูลนิธิเพื่อนหญิง ไดรับความอนุเคราะหจาก
คณุ สุเพญ็ ศรี ทาํ ใหท ราบขอ มลู และลกั ษณะการทํางาน ซึ่งนํามาสรุปเปนขอมูลในการประกอบ เพื่อ
การศกึ ษา ดังน้ี
มูลนิธิเพ่ือนหญิงเปรียบเสมือนบานพักช่ัวคราว ท่ีมีเจาหนาที่ใหการดูแล ปองกันการ
เกิดปญหาอื่น ๆ และฟนฟูผูประสบปญหาใหสามารถดํารงชีวิตในสังคมไดอยางปกติสุข ซึ่งทาง
มูลนิธิรวมกับเครือขายของภาครัฐ จัดโครงการพิเศษ เพื่อรณรงคประชาสัมพันธใหกับประชาชน
ทั่วไปสามารถรับขอมูลและขาวสาร เพ่ือนําไปปฏิบัติในชีวิตประจําวัน ซึ่งสวนใหญเปนการ
สงเสริมความสัมพันธของครอบครัว เชน โครงการ Save over daughter, โครงการเลิกเหลา และ
รณรงคเลิกการสูบบุหร่ี เปนตน มูลนิธิเพื่อนหญิงใหความดูแลและใหความสําคัญกับสิทธิสตรีและ
เด็ก เครือขายของมูลนิธิเพ่ือนหญิงไมเพียงแตจะใหความชวยเหลือเทาน้ันแตทางมูลนิธิใหความรู
และความเขาใจใหกับผูท่ีถูกกระทํา เพ่ือสามารถนําไปชวยเหลือบุคคลอื่นตอไป มูลนิธิเพ่ือนหญิงมี
หนวยงานตามจงั หวดั ตาง ๆ เชน จังหวัด เชียงใหม, อํานาจเจรญิ , ชุมพร, สมุทรปราการ, อ.ออ มนอ ย
จ.ราชบุรี เปน ตน
ลักษณะการทํางานขององคกร มีการแบงหนาที่อยางชัดเจนแตมีการทํางานรวมกัน ซ่ึง
ลกั ษณะการเช่ือมตอของระบบงานมีมากในองคก รนี้
ฝายระดมทุนสํานักงาน ลักษณะงานธุรกิจ จัดหาทุนทั้งทางภาครัฐและชุมชนอํานวย
ความสะดวก สงจดหมาย ฝายแรงงานหญิง เพ่ือพัฒนาแรงงานหญิงทางดานการศึกษาและพัฒนา
คณุ ภาพชวี ติ ฝา ยผลิตสง่ิ พมิ พ เพื่อรวบรวมขอมลู และรวบรวมรายงานทอ งถน่ิ ตา ง ๆ ฝายศูนยพิทกั ษ
สิทธิสตรี เพื่อใหคําปรึกษาทางดานจิตใจและทางดานกฎหมาย ฝายศูนยรับเร่ืองรองราวทุกข ให
ความชวยเหลือ รณรงค และลงพน้ื ท่ใี นชุมชน
ภาวะของการรองรับสภาพความเครียดและแรงกดดันจากผูประสบปญหา ทําใหมิติ
ทางดานจิตวิญญาณ เกิดภาวะของความเครียด ซ่ึงตกตะกอนอยูภายในใจ จึงทําใหเกิดกิจกรรม
ขบวนการธรรมะจิตบําบัด เพื่อเจาหนาท่ีภายในองคกรฝกสมาธิและเจริญสติ โดยใชหลักการของ
นพลักษณและอัตลักษณ วิเคราะหถึงภูมิหลัง ซึ่งเปนการวิเคราะหลักษณจากคนอ่ืนแลวมองตัวเอง
และการเรียนรูคน มองอยางเขาใจ เอาใจเขามาใสใจเรา เน่ืองจากเบ้ืองหลังของการเจริญเติบ
ตามลําดับของคนมีผลตอการดําเนินชีวิต อารมณ และจิตใจของผูน้ัน การแกปญหาจึงเปนการ
แกปญหาของแตละเหตุการณ แตละคน ประกอบกับการใชธรรมะแกการเยียวยาเพื่อเปนการรักษา
จากภายในสูภายนอกและใชกฎหมายในสิทธิตามครรลองครองธรรมจึงสามารถทําใหเขาใจถึง
ปญหาอยา งแทจ ริง
บทที่ 3
การศกึ ษาแนวทางสูง านออกแบบ
รายละเอียดของขนั้ ตอนการศกึ ษาเพือ่ นาํ มาสแู นวทางการออกแบบ มีดังนี้
ภาคการศึกษาขอ มลู
1. ทําการศึกษาคนควาและเก็บรวบรวมขอมูลจาก เน้ือหาปรัชญาทางพระพุทธศาสนา
เรื่อง “ธยานะ” การรวบรวมเนื้อหาสามารถทําไดทั้งจากการเรียนรูท่ีผานการศึกษาท่ีมีเน้ือหาท่ี
เกยี่ วของ จาการสอบถามจากผูร ทู ี่มีประสบการณ และการทดลองปฏบิ ัติดว ยตนเอง
2. ทําการศึกษาคนควา เปรียบเทียบและเทียบเคียงกับงานวิจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวของเชน
หนังสือที่เกี่ยวของกับธยานะหรือการปฏิบัติสมาธิ คํากลาวสําคัญที่เก่ียวของกับธยานะ คําแนะนํา
จากอาจารยท ี่ปรึกษาและผมู ีประสบการณ จากผูคน ควา วิจยั เกย่ี วกับการสมาธิ
3. ตั้งโจทยหรือประเด็นที่ตองการทําเพ่ือการเรียนรูภายในโครงการ สามารถจํากัด
พ้ืนที่ใชสอยภายในสําหรับงานออกแบบใหแนนอน เพ่ือประโยชนตองานออกแบบในขั้นตอน
สุดทาย
4. พิจารณาเกณฑก ารเลือกพ้ืนทตี่ ัง้ โครงการ โดยมีที่มาจากการศึกษาวิเคราะห ขอมูลท่ี
เก่ียวขอ งกบั ธยานะทางพุทธปรัชญาและจากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวของ ดังน้ันพื้นท่ี ต้ังของ
โครงการจึงสามารถตอบรับไดดีจากขอมูลที่ศึกษา อีกทั้งยังสามารถตอบรับไดดีกับประโยชนตอ
บริบทโดยรอบอีกดวย
28
29
สงั เคราะหค วามหมายของการศกึ ษา
ธยานะ คือ อะไร ..........
ภาวะ คอื อะไร ............
ในการศกึ ษาเร่อื งใด จะตองเขาใจวา สงิ่ ทีจ่ ะทําการศกึ ษาใหแจมแจงเสียกอ น จึงจะเขา ใจ
ถึงความสัมพันธวาเปนอยางไร ความสัมพันธกันกับองคประกอบภายในเปนอยางไร และมี
ความสมั พันธอยา งไรกบั ส่งิ แวดลอมภายนอก ในดานการศกึ ษาปรชั ญาทางพระพุทธศาสนา จะตอง
ทาํ การศึกษาวา ปรชั ญานี้คอื อะไรและมีรายละเอียดอยา งไร พรอมวิเคราะหและแยกแยะความหมาย
เพ่ือนํามาซ่งึ คาํ ตอบตามแนวทางของพทุ ธปรชั ญา
สงั เคราะหค วามหมายของ “ธยานะภาวะ” ในงานสถาปตยกรรมภายใน
“ธยานะภาวะ” คือ ภาวะท่ีเกิดขึ้นไดในทุกขณะของการกระทํา ไมวาจะเปนสถานที่ใด
เวลาใด ธยานะภาวะจึงเปนภาวะหนึ่งของจิตท่ีสงบและหลุดพนจากสิ่งรุมเราภายนอก เม่ือ
สภาพแวดลอมภายนอกไมสงบ ภาวะภายในของจิตก็จะไมสงบเชนกัน จิตเดิมของมนุษยน้ัน
บริสุทธ์ิแตเน่ืองจากสิ่งแวดลอมชักนําใหจิตเดิมไขวเขวและคลอยตามสภาพแวดลอม ถาหาก
สามารถรักษาจิตไมใหไขวเขวตามสภาพแวดลอมไดแลว จิตน้ันจะสามารถดํารงอยูใน
สภาพแวดลอมและไมส ามารถคลอยตามสิง่ รุมเราตางๆ เนื่องจากภาวะภายในของจิตต้งั อยูใ นสมาธิ
ธยานะภาวะจึงเปนสวนหน่ึงในชีวิตประจําวันและสามารถปฏิบัติไดทุกชวงเวลา เม่ือ
เร่ิมลืมตา สมองเริ่มสั่งการเพื่อเฝาดูสิ่งท่ีเกิดข้ึนและมองเห็นในทุกขณะ สมาธิจะเริ่มเขามาควบคุม
รางกายและความคิดรวมถึงระบบควบคุมการหายใจเขาและหายใจออก รางกายตองสงบ สุขภาพดี
และปราศจากความเครียด ความรูสึกที่รับรูไดไวตองคงใหมีไวเสมอ และจิตที่เต็มไปดวยความยุง
เหยิงและความพยายามไขวควาเพื่อใหไดมาประการตาง ๆ ตองยุติลง ไมใชเฉพาะทางดานกายภาพ
เทาน้ันที่เร่ิมตนแตนาจะเปนการเร่ิมตนทางดานจิตใจอันประกอบดวยทัศนะและอคติทั้งหลาย
รวมท้ังความสนใจเฉพาะตัวของตัวเองที่จําตองรูเห็น เม่ือสุขภาพจิตดี กระปรี้กระเปราและวองไว
ความรูจะแรงข้ึนและรับรูไดไวเปนพิเศษ จากนั้นรางกายอันมีปญญาของมันเองตามธรรมชาติซ่ึง
ไมไ ดถูกทําลายใหเ สียไปดว ยนิสัยเคยชินหรอื รสนิยมจะทําหนาทเี่ ทา ที่มนั ควรทํา
ดังนั้น ธยานะจึงเริ่มดวยจิตไมใชเร่ิมจากรางกาย จิตหมายถึงความคิดและการ
แสดงออกหลากหลายของความคิด การเพงเฉพาะลงไปอาจทําใหความคิดคับแคบจํากัดอยูใน
ขอบเขตและเปราะบาง แตการเพงเฉพาะลงไปจะเปนส่ิงที่เกิดขึ้นเมื่อมีความรูพรอมอยูถึงวิถีทาง
30
ของความคิด ความรูพรอมอยูนี้ไมไดออกมาจากผูคิดซ่ึงเปนผูเลือกเอามาหรือขจัดออกไป เปนผู
ยึดถือเอาไวหรือปฏิเสธไมยอมรับ ความคิดคือวัตถุ ไมอาจแสวงหาสิ่งท่ีพนออกไปจากกาละเพราะ
ความคดิ คอื ความจํา และประสบการณในความทรงจําเหมอื นกับฤดูใบไมรวงที่ผา นมา
ในความรูสึกตัวพรอมอยูในสิ่งทั้งหมดน้ีจะมีความเอาใจใส ซ่ึงไมใชผลออกมาจาก
ความไมใสใจ ความไมใสใจน่ันเองที่บงการใหเกิดนิสัยชอบความสนุกพึงใจทางกายและทําให
ความรูสึกรุนแรงนั้นจืดจางลง ความรูสึกตัวพรอมอยูในความไมใสใจคือความใสใจ การเห็น
ขบวนการอันซับซอนทั้งหมดน้ีคือสมาธิ ซ่ึงจากสมาธินี้เทาน้ันที่ทําใหเกิดระเบียบขึ้นในความ
สับสน ระเบียบนี้สมบูรณเทาเทียมวิชาคณิตศาสตรและจากสิ่งน้ีจะมีการกระทํา เปนการกระทําใน
ขณะนั้น ระเบียบไมใชการจัดการออกแบบ หรือการทําใหเกิดสัดสวนท่ีเหมาะสมขึ้นมา ส่ิงเหลานี้
จะเกิดข้ึนหลังจากสิ่งน้ัน ระเบียบออกมาจากจิตท่ีไมยุงเหยิงอันอัดแนนอยูดวยสิ่งที่เปนความคิด
เม่ือความคิดเงยี บลงจะมีความวางซึ่งก็คอื ระเบียบ
แมน้ําสายนี้เปนแมนํ้าที่เยี่ยมยอดจริง ๆ กวาง ลึก มีเมืองใหญนอยตั้งอยูสองฟาก
ฝง ชางเปน อิสระไมต องระมัดระวังอะไรแตกระนั้นมันก็ไมปลอยปะละทิ้งตัวของมัน
เอง ชีวิตบรรดามีพํานักอยูบนสองฟากฝงรวมท้ังทุงนาสีเขียว ปาไม บานท่ีต้ังอยูโดด
เด่ียว ความตาย ความรักและการแตกทําลายสลายลงไป มีสะพานกวางและยาวมาก
ทอดขามมันไป ดูสงางามและใชงานไดดี ลําธารและสายนํ้าอ่ืนมากมายไหลเขามา
สมทบ แตมันคือแมของสายน้ําท้ังหลายไมวาเล็กหรือใหญ แมน้ําสายนี้เต็มเปยมอยู
เสมอ ทําตัวเองใหใสสะอาดตลอดไป และในชวงยามเย็น ชางเปนความสุขเสีย
เหลือเกินท่ีไดมองดูแมน้ําสายนี้ มีสีลุมลึกในกอนเมฆและแมน้ําน้ีเปนสีทอง แตรูน้ํา
เลก็ ๆ ไกลออกไปโพน ซึง่ อยูในระหวางกอนหนิ ใหญโตมโหฬารซ่งึ ดูจะเพงเพียรท่ีจะ
ทาํ ใหเ กดิ รูนํา้ นเ้ี ปนจุดเรมิ่ ตน ของชวี ิต และจุดจบของมันเลยพนออกไปจากทั้งสองฝง
และทะเล (กฤษณมูรติ 2527 : 39)
สมาธิเหมือนกับแมนํ้าสายน้ี เพียงแตวามันไมมีจุดเริ่มตนและจุดจบ มันเริ่มตนและจุด
จบของมันก็คอื จดุ เริม่ ตน นน่ั เอง ไมมีสาเหตุและลีลาของการเคล่ือนไหวของมันคือการเกิดใหม มัน
ใหมอยูเสมอไมเคยที่จะเก็บรวบรวมเขามาเพ่ือท่ีจะเปนส่ิงเกา มันไมมีมลทินเพราะมันไมไดมี
รากเหงาอยูท่ีกาละ นับเปนการดีท่ีจะทําสมาธิ ไมใชบีบค้ันใหมันเกิดขึ้น ไมใชเพียรพยายามทําแต
อยางใด แตเริ่มตนดวยรูนํ้าเล็ก ๆ และไปใหพนจากกาละและอวกาศอันเปนท่ีซึ่งความคิดและ
ความรสู กึ เขา ไปไมได และประสบการณไ มปรากฏ
31
เมื่อเปรียบเทียบประสบการณธยานะกับธรรมชาติท่ีสัมผัส ขณะที่เดินไปตามชายหาด
ลูกคล่ืนใหญโตมาปะทะและแตกกระจาย และเกิดเสนโคงริมชายหาดที่สวยงามมีพลังเกิดขึ้นอยาง
มหาศาล เม่ือเดินสวนทางลมทําใหรูสึกวา ไมมีอะไรระหวางทองฟาและผืนน้ํา น้ีคือการเปดออก
สิ้นเชิง ยอมรับความรูสึกสัมผัสรอบ ๆ ตัว ทองฟา ทะเลและผูคน น่ันคือ สมาธิ การไมปดกั้น ไมมี
ส่งิ กัน้ ขวางภายใน ตอ สิ่งหน่ึงส่ิงใด เปนอิสระสิ้นเชิง จากแรงกระตุน จากกฎเกณฑขอบีบคั้นตาง ๆ
และตัณหาทง้ั หลาย ทาํ ใหรสู ึกถึงการหลดุ พน จากสิง่ พันธะนาการท้ังปวง
สังเคราะหค วามหมายของ “ธยานะภาวะ” สงู านออกแบบ
ธยานะ คือ หนทางหนึ่ง ซึ่งสามารถสรางเกราะปองกันเพื่อความสมดุลทั้งทางดาน
รางกายและจิตใจ เมื่อจิตภายในเปนสุข จิตนั้นจะสงผลสูภายนอก เมื่อจิตเขมแข็งรางกายก็แข็งแรง
ดวย ซึ่งสามารถรับรูไดจากสุขภาพกายที่ดีขึ้น อาการโรคภัยไขเจ็บ ความเครียด กระวนกระวายใจ
ลดนอยลง รางกายผอนคลายปรับสมดุลในการทํางานของอวัยวะตาง ๆ ธยานะภาวะหรือสภาวะ
ขณะสงบ
ดังน้ันการออกแบบ ธยานะภาวะ ในงานสถาปตยกรรมภายใน จึงมุงเนนถึงลักษณะ
พื้นท่ีการใชสอยภายใน เพ่ือแสดงถึงการแปลความหมายจาก ธยานะภาวะสูสภาวะของพื้นที่วาง
โดยเปรียบเทียบพื้นที่ประโยชนใชสอยกับธยานะภาวะและเพิ่มเติมสวนพ้ืนท่ีการใชงานให
เหมาะสมกับการปรับสภาพ เพ่ือความสมดุลท้ังทางดานรางกายและจิตใจของผูใชสอยพ้ืนท่ีภายใน
ใหมากข้ึน ทางดานจิตใจการบําบัดดวยธรรมชาติ ซึ่งเปนหนทางหนึ่งในการผอนคลายใหจิตเกิด
พ้ืนท่ีวางภายในเพ่ือสามารถรับรูสภาพแวดลอมภายนอกโดยไมคลอยตามส่ิงรุมเรา และทางดาน
รางกาย อิริยาบถของการนั่งพักผอนและการเดินจงกรมจะชวยใหรางกายผอนคลายมีการเปลี่ยน
ทวงทาของการปฏิบัติสมาธิ ทําใหรางกายไดรับการออกกําลังกายไปดวย พรอมท้ังเปนการกระตุน
อวยั วะตาง ๆ ใหทาํ งานสมบูรณขึ้น
32
สรปุ แนวทางการนาํ ไปใชเพ่อื งานออกแบบสถาปตยกรรมภายใน
1. ธยานะภาวะ สามารถเกิดข้ึนไดท้ังในขณะกอนการปฏิบัติสมาธิ ขณะปฏิบัติสมาธิ
และหลังจากการปฏิบัติสมาธิก็ได ดังน้ันธยานะจึงเกิดขึ้นในทุกขณะที่เกิดการกระทํา เพียงแตจะ
เกิดขึ้นในลักษณะและภาวะแบบไหน ธยานะทําใหเกิดการรับรูและพึงปฏิบัติในขณะเดียวกัน การ
รับรูถึงส่ิงท่ีกําลังปฏิบัติอยูในทุกขณะ ทําใหเกิดสมาธิที่ตั้งม่ันเพ่ือผลสัมฤทธของการกระทํานั้น
อยางมีประสิทธิภาพมากท่ีสุด เม่ือเกิดการกระทําใดเกิดขึ้น เม่ืออยูภายใต “ธยานะ” การกระทําน้ัน
จะเกดิ ผลของการกระทําอยางท่ีสดุ เชน เมอื่ เริ่มตนการทาํ งานโดยเกิดจากสมาธิ สตจิ ะตามมาเพอื่ ให
ทราบถึงการกระทําในทุกขณะของการทํางาน และเม่ือการทํางานเกิดความออนลา ธยานะเริ่ม
หายไป การผอนคลายเพื่อใหเกิดความวาง ทําใหสามารถเรียนรู รับความคิดใหมๆและเริ่มทําส่ิง
ตางๆไดอยางมีประสิทธิภาพอยางเต็มท่ี และธยานะก็จะเริ่มเกดใหมตอไป ดังนั้นธยานะจึงไมมี
จุดเริ่มตน และธยานะก็ไมมีจดุ สิ้นสดุ เชน กนั
แผนภาพท่ี 2 แสดงทิศทางของจุดเริ่มตนและจุดสน้ิ สดุ ของธยานะ
ธยานะ คือจิตเกิดสมาธิท่ีต้ังมั่นอยูในทุกขณะของการกระทํา เมื่อธยานะเปนแกน
ของจิต จิตจะเปนสมาธิในทุกขณะท่ีดําเนินชีวิต ในทุกๆอิริยาบถของการยางกาวของการกระทํา
ธยานะทําใหเห็นความเปนจิตของธรรมชาติในทุกสิ่งและธรรมชาติน้ันเองท่ีจะทําใหจิตกลับเปนจิ
ตบริสุทธ เพ่ือรับรูสิ่งที่ตางๆที่เกิดขึ้นอยางเขาใจธรรมชาติ ตัวตนอยางถองแท ดังนั้นธรรมชาติจึง
เปนสวนหน่ึงของการกลับคืนสูตัวตนที่แท เนื่องจากเจาหนาท่ีมูลนิธิเพ่ือนหญิงตองพบเจอและรับ
ฟง ปญหามากมายจากผถู ูกทาํ รา ยท่ตี อ งการทีพ่ ่ึงคอยใหค ําปรึกษาและเขาใจจิตใจที่บอบช้ําจาการถูก
ทําราย เจาหนาที่มูลนิธิจึงตองการการผอนคลายความตรึงเครียด โดยการนําธยานะเขามาเปนสวน
33
หน่ึงของการทํางาน การประชุม และการวิจัย เพื่อเปนการผอนคลายจิตใจ ซ่ึงเปนการบําบัดโดย
ธรรมชาติ ในลักษณะของรูปธรรม คือ สิ่งแวดลอมรอบๆโครงการ เพราะธรรมชาติ คือ ความ
บริสุทธิ์โดยไมมีการปรงุ แตง และไมม อี ะไรปรุงแตง ได เพือ่ กลบั ไปสูจ ติ ที่บริสุทธ์ิ
2. มูลนิธิเพื่อนหญิง เปนองคกรท่ีคอยใหความชวยเหลือเพศหญิงที่ถูกทําราย โดยการ
ใหคําปรึกษาทางดานกฎหมายและสังคมสงเคราะหเฉพาะราย เพื่อใหเพศหญิงที่ถูกทํารายเพื่อ
สามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมไดอยางปกติสุข ดังน้ันเจาหนาท่ีมูลนิธิเพ่ือนหญิงจึงไดรับผลกระทบ
จากปญ หาของผทู ถ่ี กู ทํารา ยโดยตรง ทางดา นจติ ใจของเจา หนาทีม่ ลู นิธิเพือ่ นหญิงจึงไดรับภาวะของ
ความเครียด ความหดหูจากเหตุการณที่ผูถูกทํารายไดประสบมา ดังน้ันจิตที่สงบและตั้งอยูในศานติ
เขมแข็ง จึงจะสามารถชวยเหลือและเปนที่พ่ึงใหกับผูท่ีถูกทํารายมา สวนทางดานรางกาย เม่ือจิตอยู
ในสภาวะของการตั้งม่ันไมไหวตามส่ิงเรารอบดาน รางกายก็จะไมไดรับผลกระทบจากส่ิงเรา
เชนกัน
การตีความหมายของมูลนิธิเพ่ือนหญิง เปนองคกรที่ใหความชวยเหลือ การโอบอุม
การปกปองภาวะจิตของผูที่ถูกทําราย เพื่อสามารถดํารงอยูในสังคมปจจุบันไดอยางปกติ แมวาการ
ชวยเหลือดังกลาวอาจจะไมสามารถทําใหผูถูกทํารายมีภาวะจิตที่เหมือนเดิมได แตเปนการผอน
หนักใหเปนเบา ซ่ึงเจาหนาท่ีมูลนิธิเพื่อนหญิงที่มีประสบการณจะสามารถมองถึงปญหาในมุมมอง
ที่กวางและหลากหลายกวา การใชม ุมมองในการแกไขปญหาเพียงดา นเดยี วและการคมุ ครองสิทธ์ิใน
การดําเนินการทางกฎหมายกับผูท่ีกระทําผิด โดยสามารถเรียกรองสิทธิสตรีท่ีพ่ึงจะไดรับจาก
เหตุการณท่ีเกิดข้ึน ในทางกลับกันปญหาตางๆที่เกิดขึ้นกับเพศหญิงท่ีถูกทําราย เจาหนาท่ีมูลนิธิ
เพื่อนหญิงเปนผูท่ีไดรับผลกระทบจากปญหาตางๆโดยตรง ภาวะทางดานจิตใจจึงไดรับผลกระทบ
จากเหตุการณข องผถู กู ทํารายและหาวิธีเพอ่ื แกปญ หานนั้ ใหลุลวง ความกดดันที่เจาหนามูลนิธิเพื่อน
หญิงไดรับ เปนภาวะความเครียด ความกดดัน จากปญหาที่คอยรุมเรา เชน ในการทํางานสวนของ
ทนายของมูลนิธิเพ่ือนหญิง ซ่ึงมีเจาหนาท่ีท่ีคอยใหคําปรึกษา 4คน อยูประจํามูลนิธิ 2คนและ
ออกไปชวยเหลือผูถูกทํารายตามสถานท่ีตางๆ 2คน ดวยเน่ืองจากในหนึ่งวันมีผูท่ีถูกทํารายที่
ตองการคําปรึกษามากกวา 10ราย เจาหนาท่ีจึงไดรับฟงปญหามากกวา 1 ดังนั้นภาวะทางจิตของ
เจาหนา ทม่ี ลู นธิ ิเพ่ือนหญงิ จงึ ตองการภาวะของการผอนคลายดวยการพูดคุยเพ่ือหาขอยุติของปญหา
และการบาํ บัดจากธรรมชาติ เพือ่ ความใกลช ิดและเปนหนง่ึ เดียวกับธรรมชาติ ซึ่งสภาพแวดลอมเดิม
ของมลู นิธยิ งั ตอ งการการผอ นคลายจากธรรมชาตเิ น่อื งจากมสี วนหยอมอยูบริเวณทางเขาที2่
ดังนั้น สภาพแวดลอมของโครงการจึงเปนสวนหนึ่งท่ีสามารถเยียวยาภาวะทางดาน
รางกายและจิตใจของเจาหนาท่ีมูลนิธิเพื่อนหญิง โดยเพ่ิมสวนของประโยชนใชสอยภายใน
โครงการ ใหมีสวนของการพักผอน พูดคุยตามอิริยาบถตางๆมากข้ึนและการแบงพ้ืนที่เพื่อเปน
34
สัดสว นของการทาํ งานเพ่ือใหเกิดสมาธใิ นการทาํ งานมากข้ึน เนอื่ งจากในการออกแบบธยานะภาวะ
ในงานสถาปตยกรรมภายใน ธยานะจึงเกิดในทุกๆท่ีของงานสถาปตยกรรมนี้ ดังน้ันตั้งแตบริเวณ
ทางเขาหลักจึงใชการยางกาวอยางมีสติเพื่อใหเกิดสมาธิในการกาวแตและกาว เพ่ือหนทางการเดิน
อยางม่ันคงโดยใชจิตเปนเข็มทิศในการตั้งทิศทางของการเดินไปยังพ้ืนท่ีใชสอยอื่นๆตอไป เมื่อเขา
สบู รเิ วณการทํางานของเจาหนาท่ีมลู นิธิ ธยานะจะเกิดขน้ึ ไดด ว ยการผอนคลายจากสภาวะตางๆแลว
จึงเขาสูสภาวะของการทํางานท่ีแบงสัดสวนในการทํางานอยางชัดเจนหรือการเขาสูธยานะอยาง
เฉียบพลัน เพื่อพรอมในการทํางานอยางทันทวงที การทํางานคือการต้ังสมาธิอยูกับงานที่กําลังทํา
จึงจะประสบผลสําเร็จในการทํางานนั้นๆ ซึ่งเปนลักษณะเดียวกับธยานะที่สภาวะจิตท่ีเกิดข้ึน เปน
ภาวะที่สงบกับสิ่งท่ีกําลังปฏิบัติอยูในทุกขณะ เนื่องจากสถานท่ีทํางานของเจาหนามูลนิธิมีหนังสือ
เอกสารการวิจยั และเอกสารทั่วไปเปน จาํ นวนมาก จากจดั เก็บและการคน หาอยา งเปนระเบยี บจงึ เปน
อีกหนทางหน่ึงที่จะทําใหเจาหนาที่มูลนิธิเพื่อนหญิง สามารถเกิดสมาธิขณะปฏิบัติงานไดโดย
ฉับพลัน
การเช่ือมตอของพื้นท่ีภายในองคกรมูลนิธิเพื่อนหญิง โดยมีธยานะภาวะเปนแกน
หลัก ในการเชื่อมตอภายในโครงการเพื่อการเขาสูพ้ืนที่ใชสอยตางๆสามารถเช่ือมเขาถึงทุกๆพ้ืนที่
โดยมีการแบงช้ันที่เปนสัดสวน เพ่ือใหเกิดสมาธิในทุกๆพ้ืนที่ใชสอย ซ่ึงเม่ือเปรียบเทียบกับการฝก
จิตเพ่ือเปนสมาธิ การเดินจงกรมเปนหนทางหน่ึงท่ีทําใหเกิดสมาธิไดในขณะเดินและรูเทาทันของ
การยางกาวแตละกาว การต้ังจิตไปสูการภาวนาสามารถรวมจิตท่ีฟุงซานกับกายท่ียางกาวไปสู
จดุ หมายเดยี ว การเดินอยา งรูทันกายและจิต เปนการเรม่ิ ตน ที่แตกตา งจากการเดนิ ในกิจวตั ร การรตู วั
อยทู กุ ขณะ วากําลงั ทาํ อะไรและรตู วั อยทู กุ ขณะที่กําลังปฏิบัติสมาธิ นั่นคือ การมีสติอยูทุกขณะ เมื่อ
การเดินถึงจุดปลายทางการหมุนตัวกลับอยางมีสติ วาเรากําลังหมุนกลับตัวอยู การจัดวางพื้นท่ีใช
สอยภายในจึงมีลักษณะเหมือนการเดินจงกรม คือทางเดินที่เช่ือมตอกันโดยไมมีจุดเร่ิมตนและจุด
จบของการเดนิ แตเ ปน การเดินที่รเู ทา ทันถึงพน้ื ท่ใี ชสอยในแตล ะสว นทมี่ ีความตอเนื่องกันทง้ั หมด
ดังน้ันสภาพแวดลอมโดยรอบของโครงการ ธยานะภาวะ ในงานสถาปต ยกรรม
ภายในจึงเกิดเปนสภาพแวดลอมท่ีลอมรอบไปดวยธรรมชาติและสัตวตามธรรมชาติ ธารน้ํา ตนไม
พื้นท่ีสีเขียว เพ่ือความรมร่ืน ซ่ึงเปนสวนหนึ่งของการบําบัดจิตดวยธรรมชาติ โดยมีสถาปตยกรรม
ซึ่งมีธรรมชาติคอยโอบลอมและมีธยานะเปนหนทางหน่ึงท่ีทําใหเกิดภาวะของสมาธิในทุกๆพ้ืนท่ี
ของโครงการ