หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ
จากใจคนทำหนงั สือ
-------------------
นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ตลอดระยะเวลาเกือบ ๒๐ ปี หลังจากหลวงปู่ดู่
พรหมปัญโญ ได้ละสังขารไปแล้ว ปรากฏว่ามีผู้ศรัทธาจำนวนมากได้หล่ังไหล
เข้ามากราบสักการะหุ่นขี้ผ้ึงรูปเหมือนของท่านท่ีวัดสะแก จังหวัดพระนคร-
ศรีอยุธยา อย่างต่อเน่ืองมิได้ขาด ดังน้ัน เพื่อให้ผู้ที่มากราบนมัสการหลวงปู่
ในภายหลัง ได้ทราบประวัติ ปฏิปทา และธรรมะคำสอนของหลวงปู่ อันอาจเป็น
จุดเริ่มต้นแห่งการประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็นท้ังแก่ตนเองและ
ครอบครัว ซ่งึ จะทำใหไ้ ดร้ ับประโยชนส์ งู สดุ จากการมากราบนมัสการท่าน
ดังน้ัน คณะศิษยานุศิษย์จึงเห็นควรท่ีจะจัดพิมพ์หนังสือรวมธรรมะคำสอน
ของหลวงปู่ เพื่อเผยแพร่ให้กว้างขวางย่ิงข้ึน เช่นเดียวกับที่เคยได้จัดพิมพ์เผยแพร่
เป็นธรรมทานมาแล้ว ได้แก่ “ไตรรัตน์” “นพรัตน์” “พระผู้จุดประทีปในดวงใจ”
“พรหมปัญโญบูชา” “รวมใจ” “๑๐๑ ปี หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ” กระท่ัง
“ตามรอยธรรมย้ำรอยครูหลวงปูด่ ู่พรหมปัญโญ”ในครง้ั น้ี
อน่ึง ในการเผยแพร่ธรรมะคำสอนของหลวงปู่ท่ีผ่านมาทุกคร้ังนั้น คณะผู้จัดทำ
พยายามท่จี ะคงคำพดู ของหลวงปู่รวมท้ังมุ่งประโยชนท์ ่จี ะเกดิ กบั ผอู้ ่านใหไ้ดม้ ากท่ีสดุ โดยมี
หลกั การในการรวบรวมและเรยี บเรยี งดังน้ี
๑. ถ่ายทอดคำสอนของหลวงปู่ โดยระมดั ระวังไม่นำคำพดู ของตนเอง
ไปปะปนเปน็ คำพดู ของหลวงปู่
๒. ถ่ายทอดคำสอนของหลวงปเู่ฉพาะจากทีไ่ด้ยินได้ฟงั มาโดยตรง
หลกี เลีย่ งคำพดู ของหลวงปูจ่ากแหล่งทนี่่าเชือ่ ถอื นอ้ ยเช่นฟงั ต่อๆ
กนั มาหลายชน้ั หรอื จากทางนิมติ ใดๆ
๓. เผยแพรเ่ ฉพาะคำสอนหรือเรอ่ื งราวท่ีเป็นสาธารณธรรมหลีกเลย่ี งเร่อื งราว
ลีล้ ับหรอื คำสอนเฉพาะตัวชนดิ ท่เี ปน็ “อสาธารณธรรม”
ท้ังน้ี เพื่อให้ทราบที่มาของบทเรียบเรียงแต่ละเร่ือง จึงให้ปรากฏชื่อผู้เรียบเรียง
ในตอนท้ายของแต่ละเร่ือง ยกเว้นบทเรียบเรียงในส่วนของคุณเมธา พรพิพัฒน์ไพศาล
ผู้เรียบเรียงหลกั ของหนงั สือเลม่ น้ี ซึง่ จะไมป่ รากฏช่อื
คณะผู้จัดทำ ตระหนักดีว่าเป็นการยากยิ่งที่จะเรียบเรียงและถ่ายทอดคำสอน
อนั ลึกซงึ้ ของหลวงป่ใู ห้ถกู ตรงที่สุด ดังทห่ี ลวงป่เู คยกลา่ วเตือนวา่ เรื่องตา่ งๆ ลว้ นมหี ยาบ
กลาง และละเอียด คำบริบทประกอบคำสอนของหลวงปู่ในแต่ละเร่ือง ได้เรียบเรียง
บนพื้นฐานความเข้าใจของผู้รวบรวมแต่ละท่าน อย่างไรก็ตาม คณะผู้จัดทำเชื่อมั่นว่า
ด้วยคำสอนของหลวงปู่ในหนงั สอื น ี้ จะใชเ้ ปน็ ฐานเพื่อการต่อยอดความรู้ สติ และปญั ญา
ใหล้ ึกซึง้ และถกู ตรงยิ่งขนึ้ ดว้ ยการปฏิบัติของแตล่ ะทา่ นเอง
ทา้ ยทส่ี ดุ น้ี หากมเี นอื้ หาสว่ นหนง่ึ สว่ นใดทที่ า่ นเหน็ วา่ ไมเ่ หมาะสมหรอื ไมถ่ กู ตอ้ งตาม
ธรรมคณะผจู้ดั ทำตอ้ งกราบขอขมาตอ่ พระรตั นตรัยและองค์หลวงป่ดู ู่ พรหมปญั โญรวมทงั้
กราบขออภยั ทา่ นผรู้ ทู้ กุ ทา่ นไว้ ณทนี่ ้ี ขออานสิ งสแ์ หง่ ความตง้ั ใจอนั บรสิ ทุ ธ์ิ ในอนั ทจี่ ะเผยแพร่
ธรรมะตลอดทุกคร้ังท่ผี ่านมา จงเปน็ ปัจจัยเก้อื หนุนใหท้ า่ นทมี่ีสว่ นเก่ยี วขอ้ งและผู้ใฝธ่ รรม
ทกุ ท่านจงเข้าถงึ ความสงบร่มเยน็ และความสุขท่ลี ะเอยี ดประณตี ยิ่งๆขน้ึ ไปเทอญ.
๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ตามรอยธรรม ยำ้ รอยครู
หลวงปดู่ ู่พ รหมป ญั โญ
ประวตั แิ ละคตธิ รรมคำสอนของหลวงปู่ดู่พ รหมป ญั โญ
สงวนลขิ สิทธ์ิ
พมิ พแ์ จกเป็นธรรมทาน ห้ามคัดลอก ตัดตอน หรือนำไปพมิ พ์จำหนา่ ย
ฉบบั ปรับปรุง
พิมพค์ รงั้ ท่ี ๑ : ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม
พมิ พ์ครง้ั ที่ ๒ : ๙ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕,๐๐๐ เลม่
จัดทำโดย : กลมุ่ เพอ่ื นธรรมเพอื่ นทำ
พรสทิ ธ ิ์ อุดมศิลป์จนิ ดา วชิ ช ุ เสรมิ สวสั ด์ิศรี
เมธา พรพิพฒั น์ไพศาล นศิ า สวุ รรณสขุ โรจน์
ปฏิภัทร ปจั ฉิมสวัสด ิ์ สุรรตั น ์ นิโครธานนท์
เอ้ือเฟ้อื ภาพ : มานพ เลศิ อิทธิพร
ศิลปกรรม : ARTISTIC GROUP
โทร. ๐๘๑-๙๒๒-๑๓๕๑ โทรสาร ๐๒-๘๘๔-๓๕๓๖
ดำเนินการพิมพ์ บรษิ ทั คิว พริน้ ท์ แมเนจเมน้ ท์ จำกดั
โทร. ๐๒-๘๐๐-๒๒๙๒, ๐๘๔-๙๑๓-๘๖๐๐ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๓๖๔๙
สารบญั ๑
๒๙
ประวตั หิ ลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ๓๐
คติธรรมคำสอนของหลวงปดู่ ู่ พ รหมป ญั โญ ๓๑
๑. สมมุติและวมิ ุตติ ๓๒
๒. อปุ มาศีล สมาธิ ปญั ญา ๓๓
๓. หนง่ึ ในสี่ ๓๔
๔. อานสิ งส์การภาวนา ๓๕
๕. แสงสวา่ งเป็นกิเลส ? ๓๖
๖. ปลูกตน้ ธรรม ๓๗
๗. วดั ผลการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยส่งิ ใด ? ๓๘
๘. เทวทตู ๔ ๓๙
๙. อารมณอ์ พั ยากฤต ๔๐
๑๐. ตรี โท เอก ๔๑
๑๑. ตอ้ งสำเรจ็ ๔๒
๑๒. จะเอาโลกหรอื เอาธรรม ? ๔๔
๑๓. แนะวธิ ีปฏบิ ตั ิ ๔๕
๑๔. การบวชจิต-บวชใน ๔๖
๑๕. ควรทำหรือไม่ ? ๔๗
๑๖. การอุทศิ ส่วนกุศลภายนอกภายใน ๔๘
๑๗. สตธิ รรม
๑๘. ธรรมะจากซองยา
๑๙. ธรรมะจากโรงพยาบาล
๒๐. ของจรงิ ของปลอม ๔๙
๒๑. คำสารภาพของศิษย์ ๕๐
๒๒. ทรรศนะตา่ งกนั ๕๒
๒๓. อเุ บกขาธรรม ๕๓
๒๔. ให้ร้จู กั บญุ ๕๕
๒๕. อบุ ายวธิ ที ำความเพียร ๕๖
๒๖. พระเก่าของหลวงปู่ ๕๗
๒๗. ขอ้ ควรคิด ๕๘
๒๘. ไม่พยากรณ์ ๕๙
๒๙. จะตามมาเอง ๖๐
๓๐. แนะวิธวี างอารมณ์ ๖๑
๓๑. อย่าพดู มาก ๖๒
๓๒. เชอ่ื จริงหรอื ไม่ ? ๖๓
๓๓. คดิ ว่าไม่มดี ี ๖๔
๓๔. พระท่ีคล้องใจ ๖๕
๓๕. จะเอาดหี รือเอารวย ? ๖๖
๓๖. หลักพระพุทธศาสนา ๖๘
๓๗. “พ” พาน ของหลวงปู่ ๖๙
๓๘. การสอนของท่าน ๗๐
๓๙. หดั มองชัน้ ลึก ๗๑
๔๐. เวลาเปน็ ของมคี ่า ๗๒
๔๑. ต้องทำจรงิ ๗๓
๔๒. ของจริงนนั้ มอี ยู่ ๗๔
๔๓. ลม้ ให้รีบลกุ ๗๕
๔๔. สนทนาธรรม ๗๗
๔๕. ผูบ้ อกทาง ๗๘
๔๖. อย่าทำเลน่ ๗๙
๔๗. อะไรมีคา่ ทสี่ ุด ๘๐
๔๘. นายระนาดเอก ๘๒
๔๙. เสกขา้ ว ๘๓
๕๐. สำเร็จทไ่ี หน ? ๘๔
๕๑. เรารกั ษาศีล ศลี รกั ษาเรา ๘๕
๕๒. คนดีของหลวงปู่ ๘๖
๕๓. ส้นั ๆ ก็มี ๘๗
๕๔. แบบปฏบิ ัติธรรมหลวงปู่ด่เู ป็นเชน่ ใด ? ๘๘
๕๕. บทเรยี นบทแรก ๙๐
๕๖. หนง่ึ ในส่ี (อกี ครงั้ ) ๙๓
๕๗. วธิ ีคลายกลุ้ม ๙๕
๕๘. อะไรได้ อะไรเสยี ๙๘
๕๙. ความสำเร็จ ๑๐๐
๖๐. อารมณ์ขันของหลวงปู่ ๑๐๒
๖๑. ของหายาก ๑๐๓
๖๒. คนหายาก ๑๐๕
๖๓. ด้วยรกั จากศิษย์ ๑๐๗
๖๔. ด้วยรักจากหลวงปู่ ๑๐๙
๖๕. จ้งิ จกทัก ๑๑๑
๖๖. หลวงปู่กับศษิ ย์ใหม่ ๑๑๓
๖๗. คาถาของหลวงปู่ ๑๑๖
๖๘. อยา่ ให้ใจเหมือน... ๑๑๙
๖๙. วัตถสุ มบัติ ธรรมสมบัติ ๑๒๑
๗๐. ทำไมหลวงปู่ ? ๑๒๓
๗๑. “งาน” ของหลวงปู่ ๑๒๖
๗๒. ขอเพยี งความรสู้ ึก ๑๒๘
๗๓. ปาฏหิ ารยิ ์ ๑๓๐
๗๔. เรอื่ งบงั เอิญท่ไี มบ่ งั เอญิ ๑๓๓
๗๕. คลนื่ กระทบฝง่ั ๑๓๕
๗๖. หลวงปบู่ อกขอ้ สอบ ๑๓๙
๗๗. ตัวประมาท ๑๔๒
๗๘. ของโกหก ๑๔๔
๗๙. ถึงวัดหรอื ยงั ? ๑๔๕
๘๐. รางวัลทุนภมู ิพล ๑๔๗
๘๑. หลวงปู่ทวดช่วยชีวิต ๑๔๙
๘๒. ทามากอ็ ตจิ ๑๕๒
๘๓. ไตรสรณาคมน์ ๑๕๕
๘๔. ไมพ่ อดกี นั ๑๕๘
๘๕. ธรรมะจากสัตว์ ๑๖๐
๘๖. สงั คมวปิ รติ ๑๖๒
๘๗. เชอ้ื ดื้อยา ๑๖๔
๘๘. คุณธรรม ๖ ประการ ๑๖๖
๘๙. ลงิ ตดิ ตงั ๑๖๘
๙๐. ปรารภธรรมเรอ่ื ง “การเกิด” ๑๖๙
๙๑. เมด อิน วัดสะแก ๑๗๑
๙๒. พุทธนิมิต ๑๗๓
๙๓. กรรมฐานพาลจิตเพยี้ น ๑๗๖
๙๔. จะไปทางไหน ? ๑๘๐
๙๕. ตเี หล็กรอ้ นๆ ๑๘๒
๙๖. ครูพักลกั จำ ๑๘๔
๙๗. เหน็ แล้วไมห่ ัน ๑๘๖
๙๘. หลวงปดู่ ู่ หลวงปูท่ วด ๑๘๙
๙๙. หลวงปู่บอกหวย ๑๙๑
๑๐๐. อยากได้วตั ถมุ งคลของหลวงปู่ ๑๙๕
๑๐๑. ท่สี ดุ แหง่ ทกุ ขเวทนา ๑๙๙
๑๐๒. เปรียบศลี ๒๐๓
๑๐๓. บทเรียนทางธรรม ๒๐๔
๑๐๔. พลกิ ชวี ติ ๒๐๙
๑๐๕. บาป ๒๑๒
๑๐๖. ความเมตตาและขันติธรรมของหลวงปู่ ๒๑๕
๑๐๗. หลวงปตู่ ายแล้วต้องลงนรก ? ๒๑๗
๑๐๘. ท่มี าข องวัตถมุ งคลร ุ่น“ เปดิ โลก” ๒๒๑
๑๐๙. ปฏบิ ตั แิ บบโง่ๆ ๒๓๑
๑๑๐. พทุ ธคณุ กบั การเชค็ พระ ! ๒๓๓
๑๑๑. ธรรม ทำใหค้ รบ ๒๓๗
๑๑๒. ช้างม าไหวห้ ลวงป ู่ ๒๔๐
๑๑๓. หลวงปู่ท ่ีข้าพเจ้ารู้จัก ๒๔๓
๑๑๔. ตอ่ อายุ ๒๔๕
๑๑๕. ลมื พ ่อลมื แ ม่ ๒๔๘
๑๑๖. ปรามาสพระพทุ ธเจ้า ๒๕๐
๑๑๗. ชว่ ยช ีวติ ๒๕๒
๑๑๘. ขนั ... ๕ ขนั ธ์ ๒๕๕
๑๑๙. รกั ห ลวงป ู่ท่ไี หน ? ๒๕๗
๑๒๐. กบั ดกั ๒๕๘
๑๒๑. อารมณข์ นั ๒๖๒
๑๒๒. ปัจฉิมโอวาท ๒๖๕
๑๒๓. เปรตปากซอย ๒๖๗
๑๒๔. พระของหลวงปู่ ๒๖๙
๑๒๕. โยมอุปัฏฐาก ๒๗๔
๑๒๖. หลวงปหู่ าย ๒๗๗
๑๒๗. เรอ่ื งเล่าของเฮยี อู๋ ๒๗๙
๑๒๘. หลงน ิมิต ๒๘๒
๑๒๙. สวดมนต์ สมาธิ พุทธคุณ ๒๘๕
๑๓๐. สองนำ้ มนต์ ๒๙๐
๑ ๓๑. ขเ้ี กยี จ ๒๙๒
๑๓๒. อธิษฐานตามก ัน ๒๙๔
๑๓๓. หลวงปู่ชว่ ยเด็ก ๒๙๖
๑๓๔. เรือ่ งผ ีผี ๒๙๘
๑๓๕. หลวงป ดู่ ูห่ รือห ลวงป ทู่ วด? ๓๐๐
๑๓๖. สมั มาท ิฏฐิ ๓๐๒
๑๓๗. อวดอ ุตรมิ นุส ธรรม ๓๐๖
๑๓๘. อาหาร ๓๐๘
๑๓๙. ประส ิทธิพระ ๓๑๐
๑๔๐. ไมใ่ หแ้ ปล ๓๑๒
๑๔๑. อาราธนาพระเขา้ ตวั ๓๑๔
๑๔๒. ไม่ตอ้ งบร กิ รรม ๓๑๖
๑ ๔๓. ติดต ำรา ๓๑๘
๑๔๔. นักเชค็ พ ระ ๓๒๐
๑๔๕. ไม่ตอ้ งม าก ๓๒๓
๑๔๖. หลวงพอ่ ก สั สปมนุ ี ๓๒๔
๑๔๗. บารมธี รรม ๓๒๖
๑๔๘. สมถะ-วิปสั สนา ๓๒๙
๑๔๙. หลวงปทู่ วดช ว่ ยเดก็ ๓๓๑
๑ ๕๐. แบบปฏิบัตเิ บ้อื งต ้น ๓๓๔
๑ ๕๑. การตัง้ จ ิต ๓๓๙
๑๕๒. ผลของการป ฏิบัติ ๓๔๒
๑๕๓. กำลงั ใจ ๓๔๔
๑๕๔. เดินต ามในหลวง ๓๔๖
๑ ๕๕. รบู้ า้ งไหม ? ๓๔๙
๑๕๖. ความเห็นกับความจรงิ ๓๕๑
๑๕๗. ปาฏหิ าริย์เหนือปาฏหิ ารยิ ์ ๓๕๔
๑๕๘. ตามร อยพ ระพทุ ธเจ้า ๓๕๖
ภาคผนวก ๓๗๓
• คาถาบชู าพระ ๓๗๕
• คำสมาทานพระกรรมฐาน
1 ๑
ประวัติห ลวงปู่ดู่ พรหมปญั โญ
ช าติภมู ิ
พระคณุ เจ้าหลวงป่ดู ู่พรหมปญั โญมีชาติกำเนดิ ในส กุล“ หนูศ รี”
เดมิ ช อ่ื ดู่ เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ เมษายนพ.ศ.๒ ๔๔๗ตรงกบั วนั ศ กุ รข์ น้ึ ๑ ๕คำ่
เดอื น๖ ป มี ะโรงซ่งึ ต รงกบั วนั วิสาขบูชาณ บ ้านขา้ วเมา่ ตำบลข ้าวเมา่
อำเภออุทัยจ งั หวัดพ ระนครศรอี ยธุ ยา
โยมบ ดิ าช อื่ พ ดุ โยมม ารดาช อ่ื พ มุ่ ท า่ นม พี นี่ อ้ งรว่ มม ารดาเดยี วกนั
๓คนท ่านเปน็ บ ตุ รคนสดุ ทา้ ยม ีโยมพี่สาว๒ค นม ชี อื่ ตามลำดับดงั นี้
๑.พส่ี าวชื่อท องคำส นุ ิมิตร
๒.พ ี่สาวชือ่ สมุ่ พ ่ึงกศุ ล
๓.ต วั ท ่าน
ปฐมวัยและก ารศ ึกษาเบอ้ื งต ้น
ชวี ติ ในว ยั เดก็ ข องท า่ นด จู ะข าดค วามอ บอนุ่ อ ยมู่ ากด ว้ ยก ำพรา้ บ ดิ า
มารดาต ง้ั แ ตเ่ ยาวว์ ยั น ายย วงพ งึ่ ก ศุ ลซ งึ่ ม ศี กั ดเ์ิ ปน็ ห ลานข องท า่ นไดเ้ ลา่
ให้ฟ ังวา่ บิดามารดาของท า่ นม ีอาชีพท ำนา โดยน อกฤ ดูทำนาจ ะม อี าชีพ
ทำข นมไขม่ งคลข ายเมอ่ื ต อนท ที่ า่ นย งั เปน็ เดก็ ท ารกม เี หตกุ ารณส์ ำคญั ท ่ี
ควรบันทกึ ไว้ค อื ในค นื วันห นง่ึ ซ่ึงเป็นห น้านำ้ ขณะท ี่บิดามารดาข องทา่ น
กำลงั ท อด“ ข นมม งคล” อ ยนู่ นั้ ท า่ นซ ง่ึ ถ กู ว างอ ยบู่ นเบาะน อกชานค นเดยี ว
ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กล้ิงตกลงไปในน้ำท้ังคนท้ังเบาะ แต่เป็นที่
๒2
อศั จรรยย์ ิ่งทตี่ วั ท า่ นไม่จมน ำ้ ก ลับล อยน้ำจ นไปติดอยขู่ ้างร ั้ว กระทงั่ สุนัข
เลย้ี งท บ่ี า้ นท า่ นม าเหน็ เขา้ จ งึ ไดเ้ หา่ พ รอ้ มก บั ว ง่ิ ก ลบั ไปก ลบั ม าระห วา่ งต วั
ทา่ นก บั ม ารดาท า่ นเมอื่ ม ารดาท า่ นเดนิ ต ามส นุ ขั เลยี้ งอ อกม าจ งึ ไดพ้ บท า่ น
ลอยน ำ้ ต ดิ อ ยทู่ ขี่ า้ งรว้ั ซ ง่ึ เหตกุ ารณค์ รงั้ น น้ั ท ำใหม้ ารดาท า่ นเชอื่ ม น่ั ว า่ ท า่ น
จะต้องเป็นผ ู้มบี ุญว าสนามากม าเกิด
มารดาของทา่ นไดถ้ งึ แกก่ รรมตง้ั แตท่ า่ นยงั เปน็ ทารกอยู่ ตอ่ มาบดิ า
ของท า่ นก จ็ ากไปอ กี ข ณะท า่ นม อี ายไุ ดเ้ พยี ง๔ ข วบเทา่ นน้ั ท า่ นจ งึ ต อ้ งก ำพรา้
บดิ าม ารดาต ง้ั แ ตย่ งั เปน็ เดก็ เลก็ จ ำค วามไมไ่ ด้ ท า่ นไดอ้ าศยั อ ยกู่ บั ย ายโดยม ี
โยมพ สี่ าวท ช่ี อ่ื ส มุ่ เปน็ ผ ดู้ แู ลเอาใจใส่ และท า่ นก ไ็ ดม้ โี อกาสศ กึ ษาเลา่ เรยี น
ท่ีว ดั กลางคลองสระบ ัววดั ป ระด่ทู รงธรรมแ ละว ดั น ิเวศนธ์ รรมป ระวัติ
สู่เพศพ รหมจรรย์
เมอ่ื ท่านอายุได้ ๒ ๑ป ีก ็ได้เขา้ พ ธิ ีบ รรพชาอ ุปสมบทเม่ือวันที่ ๑ ๐
พฤษภาคมพ .ศ .๒ ๔๖๘ต รงก บั ว นั อ าทติ ยแ์ รม๔ค ำ่ เดอื น๖ ณ ว ดั สะแก
ตำบลธนู อ ำเภออ ทุ ยั จ งั หวดั พ ระน ครศ รอี ยธุ ยาโดยม หี ลวงพ อ่ ก ลน่ั เจา้ อ าวาส
วัดพ ระญาติการ ามเปน็ พระอ ปุ ชั ฌาย์ มหี ลวงพ่อแ ด่ เจา้ อ าวาสว ัดส ะแก
ขณะน น้ั เปน็ พ ระกรรมว าจ าจ ารย ์ แ ละม หี ลวงพ อ่ ฉ ายวดั กลางค ลองส ระบ วั
เปน็ พระอนุสาวน าจารย์ ไดร้ บั ฉ ายาว่า“พ รหมปัญโญ”
ในพรรษาแรกๆ น้ัน ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมท่ีวัดประดู่
ทรงธรรมซ งึ่ ในส มยั น น้ั เรยี กว า่ ว ดั ป ระดโู่ รงธ รรมโดยม พี ระอ าจารยผ์ สู้ อน
คือท ่านเจ้าค ุณเน่อื งพ ระครูชมแ ละห ลวงพอ่ รอด(เสอื )เปน็ ตน้
3๓
ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานน้ัน ท่านได้ศึกษากับหลวงพ่อ
กลน่ั ผ เู้ ป็นอปุ ัชฌาย์ แ ละห ลวงพ อ่ เภาศษิ ย์องคส์ ำคัญข องห ลวงพอ่ ก ลัน่
ซ่ึงมีศักด์ิเป็นอาของท่าน เม่ือท่านบวชได้พรรษาท่ีสองประมาณปลายปี
พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อกลั่นมรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จาก
หลวงพ่อเภาเปน็ สำคญั นอกจากน้ที า่ นยงั ได้ศกึ ษาจากตำรบั ตำราท่มี ีอยู่
จากชาดกบา้ ง จากธรรมบทบ้าง และด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้รักการ
ศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีก
หลายท่านทจี่ ังหวดั สุพรรณบุรี และสระบุรี
ประสบการณ์ธ ุดงค์
ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๖ ออกพรรษาแล้วท่านก็
เริม่ ออกเดินธุดงค์จากจงั หวัดพ ระนครศรอี ยธุ ยาโดยม ีเป้าหมายท่ีปา่ เขา
ทางแ ถบจ งั หวดั ก าญจนบรุ ี แ ละแ วะน มสั การส ถานท สี่ ำคญั ท างพ ระพทุ ธ-
ศาสนาเช่นพ ระพุทธฉ ายแ ละร อยพระพ ุทธบาทจังหวัดสระบรุ ี จ ากนัน้
ท่านก็เดนิ ธ ุดงคไ์ ปย ังจงั หวดั ส งิ ห์บรุ ี สพุ รรณบรุ ี จนถึงจังหวัดกาญจนบุรี
จงึ เขา้ พักปฏิบตั ติ ามป่าเขาแ ละถำ้ ต่างๆ
หลวงปู่ดู่ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าเริ่มแรกที่ท่านขวนขวายศึกษาและ
ปฏบิ ตั นิ น้ั แทจ้ รงิ มไิ ดม้ งุ่ เนน้ มรรคผลนพิ พานหากแตต่ อ้ งการเรยี นรใู้ หไ้ ด้
วิชาต่างๆ เป็นต้นว่า วิชาคงกระพันชาตรี ก็เพื่อท่ีจะสึกออกไปแก้แค้น
พวกโจรที่ปล้นบ้านโยมพ่อโยมแม่ท่านถึง ๒ คร้ัง แต่เดชะบุญ แม้ท่าน
จะส ำเร็จว ชิ าต า่ งๆ ต ามทีต่ ัง้ ใจไว้ ทา่ นกลับไดค้ ดิ น กึ ส ลดสังเวชใจตวั เอง
๔4
ทปี่ ลอ่ ยใหอ้ ารมณ์อาฆาตแ ค้นท ำร้ายจ ติ ใจตนเองอ ยู่เป็นเวลาน ับสบิ ๆ ป ี
ในที่สุดท่านก็ได้ตั้งจิตอโหสิกรรมให้แก่โจรเหล่าน้ัน แล้วมุ่งปฏิบัติฝึกฝน
อบรมตน ตามท างแหง่ ศ ีลสมาธิ แ ละปญั ญาอ ย่างแ ทจ้ ริง
ในระหว่างท่ีท่านเดินธุดงค์อยู่น้ัน ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าได้พบ
ฝูงควายป่ากำลังเดินเข้ามาทางท่าน ท่านต้งั สติอยู่ครู่หน่งึ จึงตัดสินใจ
อย่างเด็ดเด่ียว หยุดยืนภาวนานิ่งอยู่ ฝูงควายป่าที่มุ่งตรงมาทางท่าน
พอเขา้ ม าใกลจ้ ะถ งึ ต วั ท า่ นก ก็ ลบั เดนิ ท กั ษณิ าวรรตรอบท า่ นแ ลว้ ก จ็ ากไป
บางแห่งที่ท่านเดินธุดงค์ไปถึง ท่านมักพบกับพวกนักเลงที่ชอบลองของ
ครั้งหน่ึง มีพวกนักเลงเอาปืนมายิงใส่ท่านขณะน่ังภาวนาอยู่ในกลด
ท่านเล่าให้ฟังว่า พวกน้ีไม่เคารพพระ สนใจแต่“ของดี” เมื่อยิงปืน
ไม่ออก จึงพากันมาแสดงตัวด้วยความนอบน้อม พร้อมกับอ้อนวอน
ขอ“ ของดี”ทำใหท้ า่ นต้องออกเดินธ ุดงคห์ นีไปทางอ่นื
การปฏิบตั ิของทา่ นในชว่ งธุดงค์อยู่น้นั เปน็ ไปอย่างเอาจริงเอาจัง
ยอมมอบกายถวายชีวิตไว้กับป่าเขา แต่สุขภาพธาตุขันธ์ของท่านก็ไม่
เป็นใจเสียเลย บ่อยคร้ังที่ท่านต้องเอาผ้ามาคาดที่หน้าผากเพ่ือบรรเทา
อาการปวดศีรษะ อีกท้ังก็มีอาการเท้าชารุนแรงขึ้นเร่ือยๆ แม้กระน้ัน
ท่านก็ยังไม่ละความเพียร สมดังท่ีท่านเคยสอนลูกศิษย์ว่า “นิพพานอยู่
ฟากต าย” ในก ารป ระพฤตปิ ฏบิ ตั นิ น้ั จ ำต อ้ งย อมม อบก ายถ วายช วี ติ ล งไป
ดังทีท่ ่านเคยกลา่ วไวว้ ่า“ ถ ้ามันไม่ดีหรอื ไม่ไดพ้ บความจรงิ ก็ใหม้ นั ต าย
ถ า้ มนั ไมต่ ายก ใ็ห้มนั ดีหรือได้พบก ับความจริง”
5๕
ดังน ้ัน อ ุปสรรคต ่างๆ จ งึ กลบั เปน็ ป ัจจัยช ่วยใหจ้ ติ ใจข องผูป้ ฏบิ ัติ
แข็งแกรง่ ขึ้นเป็นล ำดบั
นมิ ิตธ รรม
อยู่มาวันหน่งึ ประมาณก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เล็กน้อย หลังจาก
หลวงปู่ดู่สวดมนต์ทำวัตรเย็น และปฏิบัติกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทา่ นกจ็ ำวดั เกดิ น มิ ติ ไปว า่ ไดฉ้ นั ด าวทม่ี แี สงส วา่ งม าก๓ ด วงในข ณะท่ี
กำลงั ฉ นั อยนู่ น้ั ก ร็ สู้ กึ วา่ ก รอบๆดี ก เ็ ลยฉนั เขา้ ไปท ง้ั หมดแลว้ จงึ ตกใจตน่ื
เม่ือท่านพิจารณาใคร่ครวญถึงนิมิตธรรมท่ีเกิดข้ึน ก็เกิดความ
เข้าใจขึ้นว่าแก้ว ๓ ดวงน้ัน ก็คือพระไตรสรณาคมน์น่ันเอง พอท่านว่า
“พ ุทธงั สรณงั ค จั ฉาม ิ,ธัมมงั ส รณังค จั ฉาม ิ,สังฆังส รณังคัจฉาม ิ”
ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในจิตท่าน พร้อมกับอาการปีติอย่างท่วมท้น ท้ังเกิด
ความรู้สึกลึกซึ้งและม่ันใจว่า พระไตรสรณาคมน์น้ีแหละเป็นรากแก้ว
ของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอามาเป็นคำบริกรรมภาวนาตั้งแต่
น้ันเป็นต้นมา
เนน้ ห นกั ท่ีการป ฏบิ ัติ
หลวงปดู่ ทู่ า่ นใหค้ วามส ำคญั อ ยา่ งม ากในเรอ่ื งข องก ารป ฏบิ ตั สิ มาธิ
ภาวนาท ่านว ่า“ถ า้ ไม่เอา(ปฏิบัติ)เปน็ เถ้าเสียด กี ว่า” ในส มัยก อ่ นเม่ือ
ตอนที่ศาลาปฏิบัติธรรมหน้ากุฏิท่านยังสร้างไม่เสร็จนั้น ท่านก็เมตตาให้
ใช้ห้องส่วนตัวท่ีท่านใช้จำวัด เป็นท่ีรับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็น
ทป่ี ฏิบัติธรรมซ งึ่ น ับเปน็ เมตตาอย่างส ูง
๖6
สำหรับผู้ท่ีไปกราบนมัสการท่านบ่อยๆ หรือมีโอกาสได้ฟังท่าน
สนทนาธรรม ก็คงจะได้เห็นกุศโลบายในการสอนของท่านท่ีจะโน้มน้าว
ผู้ฟังให้วกเข้าสู่การปรับปรุงแก้ไขตนเอง เช่น คร้ังหน่ึงมีลูกศิษย์วิพากษ์
วจิ ารณค์ นน น้ั ค นน ใ้ี หท้ า่ นฟ งั ในเชงิ ว า่ ก ลา่ วว า่ เปน็ ต น้ เหตขุ องป ญั หาแ ละ
ความยุ่งยาก แทนที่ท่านจะเออออไปตามอันจะทำให้เรื่องย่ิงบานปลาย
ออกไปท่านกลบั ปรามว ่า“ เรื่องข องค นอืน่ เราไปแก้เขาไม่ได้ ท แ่ี ก้ได้
คอื ต วั เราแ กข้ า้ งน อกเป็นเรอื่ งโลกแตแ่ ก้ทตี่ วั เราน ี่เป็นเรอื่ งธ รรม”
คำสอนของหลวงปู่ดู่จึงสรุปลงท่ีการใช้ชีวิตอย่างคนไม่ประมาท
น่นั ห มายถ งึ วา่ ส ิ่งท่ีจ ะต้องเปน็ ไปพร้อมๆ ก ัน ก ็ค อื ความพ ากเพยี รท ล่ี ง
สภู่ าคปฏิบัติในมรรควิถีท่เีป็นสาระแห่งช วี ติ ข องผ ู้ไม่ป ระมาทดังท ท่ี ่าน
พดู ย ำ้ เสมอวา่ “หมนั่ ท ำเขา้ ไวๆ้ ”
ออ่ นนอ้ มถอ่ มต น
นอกจากค วามอ ดทนอ ดก ลน้ั ย ง่ิ แ ลว้ ห ลวงปดู่ ยู่ งั เปน็ แ บบอ ยา่ งข อง
ผู้ไมถ่ ือตัววางตัวเสมอต ้นเสมอปลายไมย่ กตนขม่ ผู้อืน่ เมื่อคร้ังทีส่ มเดจ็
พระพ ฒุ าจ ารย ์ (เสงย่ี มจนั ทสริ )ิ ว ดั ส ทุ ศั นเทพวรารามห รอื ท เ่ี ราเรยี กก นั ว า่
“ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม” ซึ่งมีอายุพรรษามากกว่าหลวงปู่ดู่ ๑ พรรษามา
นมสั การห ลวงพ อ่ โดยย กยอ่ งเปน็ ค รเู ปน็ อ าจารย์ แ ตเ่ มอื่ ท า่ นเจา้ ค ณุ เสงยี่ ม
ก ราบห ลวงพ อ่ เสรจ็ แ ลว้ ห ลวงพ อ่ ท า่ นก ก็ ราบต อบเรยี กวา่ ต า่ งอ งคต์ า่ งก ราบ
ซ่ึงกันและกันเป็นภาพท่ีพบเห็นได้ยากเหลือเกินในโลกท่ีผู้คนทั้งหลาย
มแี ตจ่ ะเตบิ โตท างด า้ นท ฏิ ฐมิ านะค วามถ อื ตวั อ วดดี อ วดเดน่ ย กต นข ม่ ท า่ น
7๗
ปล่อยให้กิเลสตัวหลงออกเร่ียราด เที่ยวประกาศให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้ว่า
ตนเกง่ โดยเจา้ ต ัวกไ็ ม่รู้วา่ ถูกกิเลสขน้ึ ข ค่ี อพ าบงการให้เป็นไป
หลวงปู่ดู่ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติธรรมของสำนักไหนๆ
ในเชิงล บหลหู่ รอื เปรียบเทียบด ถู กู ด ูหม่นิ ท ่านว า่ “ค นด ีนะ่ เขาไมต่ ใี คร”
ซึง่ ลกู ศ ษิ ยท์ งั้ ห ลายได้ถ ือเป็นแ บบอย่าง
หลวงปู่ดู่เป็นพระพูดน้อย ไม่มากโวหาร ท่านจะพูดย้ำอยู่แต่ใน
เร่ืองของการปฏิบัติธรรมและความไม่ประมาท เช่น “ของดีอยู่ท่ีตัวเรา
หมน่ั ทำ(ปฏบิ ัต)ิ เข้าไว”้ “ ให้หม่นั ดจู ติ รักษาจ ิต” “ อย่าล ืมตวั ตาย”
และ“ ใหห้ มัน่ พจิ ารณาอนิจจ ัง ท กุ ขังอ นตั ตา” เป็นตน้
อบุ ายธ รรม
หลวงปดู่ เู่ ปน็ ผ ทู้ ม่ี อี บุ ายธ รรมล กึ ซ ง้ึ ส ามารถข ดั เกลาจ ติ ใจค นอ ยา่ ง
คอ่ ยเปน็ ค อ่ ยไปม ไิ ดเ้ รง่ รดั เอาผ ลเชน่ ค รง้ั ห นง่ึ ม นี กั เลงเหลา้ ต ดิ ตามเพอื่ น
ซึ่งเป็นลูกศิษย์มากราบนมัสการท่าน สนทนากันได้สักพักหนึ่ง เพ่ือน
ทเี่ ปน็ ล กู ศ ษิ ยก์ ช็ กั ชวนเพอ่ื นน กั เลงเหลา้ ใหส้ มาทานศ ลี ๕ พ รอ้ มก บั ฝ กึ หดั
ปฏิบัติสมาธิภาวนา นักเลงเหล้าผู้น้ันก็แย้งว่า “จะมาให้ผมสมาทานศีล
และปฏิบัติได้ยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ” หลวงปู่ดู่ท่านก็
ตอบว า่ “ เอง็ จ ะก นิ ก ก็ นิ ไปซ ิ ข า้ ไมว่ า่ แ ตใ่ หเ้ อง็ ป ฏบิ ตั ใิ หข้ า้ ว นั ล ะ๕ น าที
ก็พอ” นักเลงเหล้าผ นู้ ้ันเหน็ ว่าน ั่งส มาธิแคว่ นั ละ๕นาทีไม่ใช่เรอื่ งย าก
เยน็ อะไรจ งึ ไดต้ อบปากร ับคำจ ากหลวงพ อ่
ด้วยความที่เป็นคนนิสัยทำอะไรทำจริง ซื่อสัตย์ต่อตัวเองทำให้
๘8
เขาสามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอเร่ือยมามิได้ขาดแม้แต่วันเดียว บางคร้ัง
ถึงขนาดงดไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติ จิตของเขา
เริ่มเสพคุ้นกับความสุขสงบจากการท่ีจิตเป็นสมาธิ ไม่ช้าไม่นานเขา
ก็สามารถเลิกเหล้าได้โดยไม่รู้ตัวด้วยอุบายธรรมท่ีน้อมนำมาจาก
หลวงปู่ ต่อมาเขาได้มีโอกาสมานมัสการท่านอีกครั้ง ทีนี้หลวงปู่ดู่ท่าน
ให้โอวาทว่า “ท่ีแกปฏิบัติอยู่ ให้รู้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพ่ือตัวแกเอง”
คำพูดของหลวงปู่ทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น ศรัทธาและความเพียร
ต่อการปฏิบัติก็มีมากขึ้นตามลำดับ ถัดจากนั้นไม่กี่ปี เขาผู้ที่อดีต
เคยเป็นนักเลงเหล้าก็ละเพศฆราวาสเข้าสู่เพศบรรพชิต ตั้งใจปฏิบัติ
ธรรมเรื่อยมา
อีกครง้ั หน่งึ มีช าวบ้านหาปลามานมัสการท า่ นและกอ่ นกลับท่าน
กใ็ ห้เขาส มาทานศ ีล๕เขาเกดิ ต ะขิดตะขวงใจก ราบเรยี นทา่ นว ่า“ผมไม่
กล้าส มาทานศลี ๕ เพราะร ูว้ ่าป ระเด๋ียวก ็ตอ้ งไปจ ับป ลา จ บั ก้งุ มนั เปน็
อาชีพของผมครับ” หลวงปู่ตอบเขาด้วยความเมตตาว่า “แกจะรู้เหรอ
ว่า แกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงู
กัดต ายเสยี ก ลางท างก ่อนไปจ ับป ลาจบั กงุ้ ก ไ็ ด้เพราะฉะนั้นเมอื่ ต อนนี้
แกยังไมไ่ ด้ท ำบาปกรรมอะไรย ังไงๆก ใ็ ห้มีศีลไว้กอ่ นถงึ จ ะมีศ ลี ขาดก ย็ งั
ดีกว่าไม่มีศีล”
หลวงปู่ดู่ท่านไม่เพียงพร่ำสอนให้บรรดาศิษย์ท้ังหลายเจริญ
บำเพ็ญคุณงามความดีเท่านั้น หากแต่ยังเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญและ
ระมัดระวังในการรักษาไว้ซ่ึงคุณงามความดีน้ันๆ ให้คงอยู่ รวมทั้งเจริญ
9๙
งอกงามขึ้นเรื่อยๆ ท่านมักจะพูดเตือนเสมอๆว่าเมื่อปลูกต้นธรรมด้วย
ดีแล้วก็ต้องคอยหมั่นระวังอย่าให้หนอนและแมลง ได้แก่ ความโลภ
ความโกรธ และความหลง มากัดกินทำลายต้นธรรมที่อุตส่าห์ปลูกข้ึน
และอีกครั้งหน่ึงที่ท่านแสดงถึงแบบอย่างของความเป็นครูอาจารย์ที่
ปราศจากทิฏฐิมานะและเป่ียมด้วยอุบายธรรม ก็คือคร้ังท่ีมีนักศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๒ คน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน มากราบลา
พร้อมกับเรียนให้ท่านทราบว่า จะเดินทางไปพักค้างเพื่อปฏิบัติธรรม
กบั ท า่ นพ ระอ าจารยม์ หาบ วั ญ าณส มั ป นั โนว ดั ป า่ บ า้ นต าดจ งั หวดั อ ดุ รธานี
หลวงปู่ดู่ท่านฟังแล้วก็ยกมือพนมขึ้นไหว้ไปทางข้างๆ พร้อมกับ
พูดวา่ “ข ้าโมท นาก ับพวกแ กดว้ ยตัวขา้ ไมม่ โีอกาส...” ไมม่ เี ลยท ที่ า่ น
จะหา้ มปรามหรอื แสดงอ าการท ่ีเรยี กว า่ หวงล กู ศ ิษย์ ตรงก ันขา้ มมีแ ตจ่ ะ
ส่งเสริม สนับสนุน ให้กำลังใจเพ่ือให้ลูกศิษย์ของท่านขวนขวายในการ
ปฏบิ ตั ธิ รรมย่ิงๆ ข น้ึ ไป
แต่ถ้าเป็นกรณีท่ีมีลูกศิษย์มาเรียนให้ท่านทราบถึงครูอาจารย์น้ัน
องค์น้ี ในลักษณะต่ืนครูต่ืนอาจารย์ ท่านก็จะปรามเพื่อวกเข้าสู่เจ้าตัว
โดยพูดเตือนสติว่า “ครูอาจารย์ดีๆ แม้จะมีอยู่มาก แต่สำคัญที่ตัวแก
ต้องป ฏิบัตใิห้จรงิ สอนต ัวเองให้มากน ่นั แ หละจ งึ จะด”ี
หลวงปู่ดูท่ ่านม ีแนวทางก ารสอนธรรมะทีเ่ รยี บงา่ ย ฟังงา่ ย ชวน
ใหต้ ดิ ตามฟ งั ท า่ นน ำเอาส ่งิ ท เ่ี ขา้ ใจย ากมาแ สดงให้เขา้ ใจงา่ ยเพราะทา่ น
จะย กอ ปุ มาอ ปุ ไมยป ระกอบในก ารส อนธ รรมะจ งึ ท ำใหผ้ ฟู้ งั เหน็ ภ าพแ ละ
เกดิ ค วามเขา้ ใจในธ รรมท ท่ี า่ นน ำม าแ สดงแ มว้ า่ ท า่ นม กั จ ะอ อกตวั ว า่ ท า่ น
๑๐ 10
เปน็ พ ระบ า้ นน อกท ไี่ มม่ คี วามรอู้ ะไรแ ตส่ ำหรบั บ รรดาศ ษิ ยท์ ง้ั ห ลายค งไม่
อาจปฏิเสธว่า หลายครั้งที่ท่านสามารถพูดแทงเข้าไปถึงก้นบ้ึงหัวใจ
ของผฟู้ ังทเีดยี ว
อกี ประการหนง่ึ ดว้ ยความท่ที า่ นมีรปู รา่ งลกั ษณะท่เี ปน็ ท่นี า่ เคารพ
เลอ่ื มใสเมอ่ื ใครไดม้ าพ บเหน็ ท า่ นด ว้ ยต นเองแ ละถ า้ ยง่ิ ไดส้ นทนาธรรมก บั ท า่ น
โดยตรงก จ็ ะยง่ิ เพม่ิ ค วามเคารพเลอ่ื มใสศรทั ธาในต วั ท า่ นมากข น้ึ เปน็ ทวคี ณู
หลวงปู่ดู่ท่านพูดถึงการประพฤติปฏิบัติของคนสมัยน้ีว่า“คนเรา
ทุกว นั นี้ โลกเท่าแผน่ ดนิ ธ รรมเท่าป ลายเข็มเราม วั พาก ันย ุ่งอ ยกู่ บั โลก
จนเหมือนลิงตดิ ตงั เร่ืองของโลก เร่ืองเละๆ เรอ่ื งไมม่ ีที่สน้ิ สุด เราไป
แกไ้ ขเขาไมไ่ ดจ้ ะต อ้ งแ กไ้ ขท ต่ี วั เราเองต นข องต นเตอื นต นด ว้ ยต นเอง”
ท่านได้อบรมส่ังสอนศิษย์ โดยให้พยายามถือเอาเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกดิ ข น้ึ ม าเป็นครสู อนต นเองเสมอเช่นในห มู่ค ณะหากมผี ู้ใดประพฤติ
ปฏบิ ตั ดิ ี เจรญิ ในธ รรมป ฏบิ ตั ิ ท า่ นก ก็ ลา่ วช มแ ละใหถ้ อื เปน็ แ บบอ ยา่ งแ ต่
ถ้ามผี ูป้ ระพฤติผดิ ถกู ทา่ นต ำหนติ เิ ตียนกใ็ ห้น้อมเอาเหตุการณ์น้ันๆมา
สอนต นท กุ ค รง้ั ไปท า่ นไมไ่ ดช้ มผ ทู้ ำด จี นห ลงลมื ต นแ ละท า่ นไมไ่ ดต้ เิ ตยี น
ผทู้ ำผ ดิ จ นห มดก ำลงั ใจแ ตถ่ อื เอาเหตกุ ารณ์ เปน็ เสมอื นค รทู เ่ี ปน็ ค วามจ รงิ
แสดงเหตุผลใหเ้ ห็นธ รรมท ีแ่ ท้จริง
การส อนข องท า่ นก ็พิจารณาด ูบคุ คลด ว้ ยเชน่ คนบ างค นพ ูดใหฟ้ งั
เพยี งอย่างเดยี วไม่เข้าใจบ างทีทา่ นก็ต้องท ำให้เกิดค วามกลวั เกดิ ความ
ละอายบ า้ งถ งึ จะหยุดเลิกล ะการกระทำที่ไมด่ นี นั้ ๆ ได้หรือบางค นเป็น
ผ้มู อี ปุ นิสยั เบาบางอ ยแู่ ล้ว ทา่ นก็สอนธรรมดา การส อนธรรมะของท า่ น
11 ๑๑
บางทกี ็สอนใหก้ ลา้ บ างทีกส็ อนใหก้ ลวั ท่ีว่าสอนใหก้ ลา้ น นั้ คอื ให้กล้าใน
การทำความดี กล้าในการประพฤติปฏิบัติเพ่ือถอดถอนกิเลสออกจากใจ
ไม่ใหต้ กเป็นทาสข องกเิ ลสอ ยรู่ ำ่ ไปส่วนท ่ีสอนให้ก ลวั น้ันท ่านใหก้ ลัวใน
การทำความช ว่ั ผ ิดศีลธรรมเปน็ โทษทำแล้วผ อู้ ื่นเดอื ดร้อนบางทีท า่ น
กส็ อนใหเ้ ชอื่ ค อื ใหเ้ ชอื่ ม นั่ ในค ณุ พ ระพทุ ธพ ระธ รรมพ ระส งฆ์ เชอ่ื ในเรอ่ื ง
กรรมอย่างทีท่ า่ นเคยก ล่าวว ่า“ เชอื่ ไหมละ่ ถา้ เราเชือ่ จรงิ ท ำจ ริงม นั ก ็
เป็นของจริงของจ รงิ ม อี ยู่ แ ต่เรามันไม่เช่อื จรงิ จึงไมเ่ หน็ ของจ ริง”
หลวงปู่ดู่ท่านสอนให้มีปฏิปทาสม่ำเสมอ ท่านว่า“ขยันก็ให้ทำ
ขี้เกียจก็ให้ท ำถา้ วันไหนย งั กนิ ข ้าวอยกู่ ็ต้องท ำว ันไหนเลกิ ก ินข้าวแ ลว้
นนั่ แหละจงึ ค ่อยเลิกทำ”
การสอนของท่านนั้นมิได้เน้นแต่เพียงการน่ังหลับตาภาวนา
หากแต่หมายร วมไปถ ึงก ารกำหนดดู ก ำหนดร ู้ แ ละพ จิ ารณาส ิง่ ต า่ งๆ ใน
ความเปน็ ข องไมเ่ทยี่ งเปน็ ทกุ ข์เป็นอนัตตาโดยเฉพาะอยา่ งย ่งิ ทา่ นช้ีให้
เหน็ ถ งึ ส งั ขารรา่ งกายท มี่ นั เกดิ ม นั ต ายอ ยตู่ ลอดเวลาท า่ นว า่ เราว นั น กี้ บั เรา
เม่ือตอนเป็นเด็กมันก็ไม่เหมือนเก่า เราขณะนี้กับเราเมื่อวานก็ไม่เหมือน
เก่าจงึ ว ่าเราเมื่อตอนเป็นเด็กหรือเราเมื่อว านม ันไดต้ ายไปแล้วเรยี กว่า
รา่ งกายเราม นั เกดิ -ต ายอ ยทู่ กุ ล มห ายใจเขา้ อ อกม นั เกดิ -ต ายอ ยทู่ กุ ข ณะ
จติ ท่านสอนให้บ รรดาศ ิษย์เห็นจริงถงึ ความส ำคัญของความท กุ ข์ยากว่า
เป็นส ่ิงมคี ณุ ค่าในโลก
ท ่านจ ึงพ ดู บ อ่ ยค รงั้ ว า่ ก ารท่เี ราประสบทุกข์ นัน่ แ สดงว า่ เรามาถ ูก
ทางแล้วเพราะอาศัยทุกขน์ ่นั แหละจ งึ ทำให้เราเกดิ ป ัญญาข น้ึ ได้
๑๒ 12
ใชช้ วี ิตอ ยา่ งผรู้ ักส ันโดษแ ละเรยี บงา่ ย
หลวงปดู่ ทู่ า่ นย งั เปน็ แ บบอ ยา่ งข องผ มู้ กั น อ้ ยส นั โดษใชช้ วี ติ เรยี บงา่ ย
ไม่นิยมค วามหรหู ราฟ มุ่ เฟือยแ มแ้ ตก่ ารสรงน ้ำท ่านก็ยังไมเ่ คยใชส้ บู่เลย
แต่ก็นา่ อ ศั จรรยเ์ มอื่ ได้ทราบจากพระอ ปุ ัฏฐากว่า ไม่พบว่าท า่ นมีก ลิน่ ต ัว
แม้ในห ้องทีท่ า่ นจำวดั
มีผู้ปวารณาตัวจะถวายเคร่ืองใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ให้กับท่าน ซ่ึงส่วนใหญ่ท่านจะปฏิเสธ คงรับไว้บ้างเท่าท่ีเห็นว่าไม่เกิน
เลยอันจะเสียสมณะสารูป และใช้สอยพอให้ผู้ถวายได้เกิดความปล้ืมปีติ
ที่ได้ถวายแก่ท่าน ซ่ึงในภายหลังท่านก็มักยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวม
เช่นเดียวกบั ขา้ วของต่างๆ ที่มีผมู้ าถ วายเปน็ ส ังฆทานโดยผา่ นท ่าน และ
เม่ือถึงเวลาเหมาะควรท่านก็จะจัดสรรไปให้วัดต่างๆ ท่ีอยู่ในชนบท
และยงั ข าดแคลนอ ยู่
สิ่งที่ท่านถือปฏิบัติสม่ำเสมอในเร่ืองลาภสักการะ ก็คือการยกให้
เป็นของสงฆ์ส่วนรวม แม้ปัจจัยที่มีผู้ถวายให้กับท่านเป็นส่วนตัวสำหรับ
ค่ารักษาพยาบาล ท่านก็สมทบเข้าในกองทุนสำหรับจัดสรรไปในกิจ
สาธารณประโยชนต์ ่างๆทัง้ โรงเรยี นและโรงพ ยาบาล
หลวงปดู่ ู่ ท า่ นไม่มอี าการแ ห่งความเปน็ ผ้อู ยากเดน่ อยากด งั แมแ้ ต่
น้อย ดงั น น้ั แ ม้ท่านจะเป็นเพียงพ ระบา้ นนอกร ปู ห นึ่งซ ง่ึ ไม่เคยออกจ าก
วัดไปไหน ท้ังไม่มีการศึกษาระดับสูงๆ ในทางโลก แต่ในความรู้สึกของ
ลูกศิษย์ท้ังหลาย ท่านเป็นดั่งพระเถระผู้ถึงพร้อมด้วยจริยวัตรอันงดงาม
สงบเรียบงา่ ยเบกิ บานและถึงพรอ้ มด้วยธรรมว ฒุ ิที่ร ู้ถ้วนท ัว่ ในวชิ ชาอ ัน
13 ๑๓
จะน ำพาใหพ้ ้นเกิดพ น้ แก่พน้ เจบ็ พ น้ ต ายถึงฝ ัง่ อ นั เกษมเปน็ ทฝี่ ากเป็น
ฝากต ายและฝ ากห ัวใจของล กู ศ ิษยท์ กุ คน
ในเร่ืองท รพั ยส์ มบัติด ้ังเดมิ ข องทา่ นโดยเฉพาะอ ยา่ งยิง่ ท น่ี าซ ง่ึ มี
อยู่ประมาณ๓๐ไร่ท ่านกไ็ ด้แ บ่งใหก้ ับห ลานๆของท ่านซึง่ ในจำนวนน้ี
นายยวง พึ่งกุศล ผู้เป็นบุตรของนางสุ่ม โยมพี่สาวคนกลางท่ีเคยเล้ียงดู
ท่านม าตลอดก ็ไดร้ ับส ่วนแ บง่ ทีน่ าจากท า่ นด ้วยจำนวน๑ ๘ไรเ่ ศษแต่
ดว้ ยความท่ีนายย วงผ ูเ้ ป็นหลานข องทา่ นนีไ้ มม่ ที ายาท ได้ค ิดปรกึ ษาน าง
ถมยาผู้ภรรยาเห็นควรยกให้เป็นสาธารณประโยชน์ จึงยกที่ดินแปลง
นี้ให้กับโรงเรียนวดั สะแก ซง่ึ หลวงป่ดู ่ทู า่ นกอ็ นุโมทนาในกุศลเจตนาของ
คนทง้ั สอง
กศุ โลบายในการสรา้ งพระ
หลวงปู่ดู่ท่านมิได้ต้ังตัวเป็นเกจิอาจารย์ การท่ีท่านสร้างหรือ
อนุญาตให้สร้างพระเครื่องหรือพระบูชา ก็เพราะเห็นประโยชน์ เพราะ
บุคคลจำนวนมากยังขาดท่ียึดเหน่ียวทางจิตใจ ท่านมิได้จำกัดศิษย์อยู่
เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ดังนั้นคณะศิษย์ของท่านจึงมีกว้างขวางออกไป
ทั้งท่ีใฝ่ใจธรรมล้วนๆ หรือท่ียังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า
“ตดิ วัตถุมงคลก็ยงั ด ีกวา่ ท ี่จะใหไ้ ปติดว ัตถุอ ปั มงคล” ทัง้ น้ีทา่ นย ่อมใช้
ดลุ ยพนิ จิ พจิ ารณาต ามค วามเหมาะควรแ กผ่ ูท้ ่ีไปหาทา่ น
แม้ว่าหลวงปู่ดู่จะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเคร่ืองที่ท่าน
อธษิ ฐานจ ติ ให้ แ ตส่ ง่ิ ท ที่ า่ นย กไวเ้ หนอื ก วา่ น นั้ ก ค็ อื ก ารป ฏบิ ตั ิ ด งั จ ะเหน็ ได้
๑๔ 14
จากคำพดู ข องทา่ นวา่ “เอาข องจรงิ ดกี วา่ พทุ ธงั ฯธมั มงั ฯสงั ฆงั ฯส รณงั
คจั ฉาม ิ น ี่แหละของแ ท”้
จากค ำพดู น้ีจ ึงเสมือนเป็นการยนื ยันว่าการปฏิบตั ภิ าวนานแี้ หละ
เป็นที่สุดแห่งเคร่ืองรางของขลัง เพราะคนบางคนแม้แขวนพระที่ผู้ทรง
คณุ ว เิ ศษอ ธษิ ฐานจ ติ ใหก้ ต็ ามก ใ็ ชว่ า่ จ ะรอดป ลอดภยั อ ยดู่ มี สี ขุ ไปท กุ ก รณี
อย่างไรเสียทุกคนไม่อาจหลีกหนีวิบากกรรมท่ีตนได้สร้างไว้ ดังที่ท่าน
ได้กล่าวไว้ว่าส ่งิ ศักด์ิส ิทธิท์ ี่อยูเ่ หนอื ส ิ่งศักด์สิ ิทธิ์กค็ ือก รรม
ดังน ั้นจึงมีแต่ พระ“สต”ิ พ ระ“ ป ัญญา”ทฝ่ี กึ ฝนอ บรมมาดีแลว้
เท่าน้ัน ท่ีจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติรู้เท่าทันและพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาและ
ส่ิงกระทบต่างๆ ท่ีเข้ามาในชีวิต อย่างไม่ทุกข์ใจ ดุจว่าส่ิงเหล่าน้ันเป็น
เสมือนฤดูกาลท่ีผ่านเข้ามาในชีวิต บางครั้งร้อนบางคร้ังหนาว ทุกสิ่ง
ทกุ อย่างล ้วนเป็นไปตามธ รรมดาข องโลก
พระเคร่ืองหรือพระบูชาต่างๆ ท่ีท่านอธิษฐานปลุกเสกให้แล้วนั้น
ปรากฏผลแก่ผู้บูชาในด้านต่างๆ เช่น แคล้วคลาดฯลฯ น่ันก็เป็นเพียง
ผลพลอยได้ ซ ึ่งเป็นป ระโยชน์ทางโลกๆ แ ต่ประโยชนท์ ่ที า่ นส รา้ งม งุ่ ห วัง
อย่างแท้จริงนั้นก็คือ ใช้เป็นเคร่ืองมือในการปฏิบัติภาวนา มีพุทธานุสติ
กรรมฐ านเปน็ ต้นน อกจากน แี้ ลว้ ผ ปู้ ฏิบตั ิย งั ไดอ้ าศยั พลงั จติ ท่ีท า่ นต ้งั ใจ
บรรจุไว้ในพระเคร่ืองช่วยน้อมนำและประคับประคองให้จิตรวมสงบได้
เรว็ ข น้ึ ตลอดถงึ การใช้เปน็ เครอื่ งเสริมก ำลังใจและระงบั ความห วาดวติ ก
ในขณะปฏบิ ัต ิ ถอื เปน็ ป ระโยชนท์ างธ รรมซึง่ ก อ่ ให้เกดิ พ ฒั นาการท างจ ติ
ของผูใ้ ชไ้ ปสกู่ ารพ่ึงพาตนเองได้ในท สี่ ุด
15 ๑๕
จากท เ่ี บอ้ื งต น้ เราไดอ้ าศยั พ ทุ ธงั ส รณงั ค จั ฉาม ิ ธมั มงั ส รณงั ค จั ฉาม ิ
และส ังฆงั ส รณังค ัจฉามิ ค ือย ดึ เอาพ ระพทุ ธพ ระธรรมพ ระส งฆ์ เปน็
สรณะจ นจ ติ ข องเราเกดิ ศ รทั ธาโดยเฉพาะอ ยา่ งย งิ่ ท เ่ี ราเรยี กก นั ว า่ ต ถาคต
โพธิสัทธา คือเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าข้ึนแล้ว เราก็ย่อมเกิด
กำลงั ใจข น้ึ ว า่ พ ระพทุ ธอ งคเ์ ดมิ ก เ็ ปน็ ค นธ รรมดาเชน่ เดยี วก บั เราค วามผ ดิ
พลาดพระองค์ก็เคยทรงทำมาก่อน แต่ด้วยความเพียรประกอบกับพระ
สติปัญญาที่ทรงอบรมมาดีแล้ว จึงสามารถก้าวข้ามวัฏฏะสงสารสู่ความ
หลุดพ ้นเปน็ การบุกเบิกท างทีเ่ คยรกชัฏให้พ วกเราได้เดินก ันดังน ้ันเรา
ซง่ึ เปน็ ม นษุ ยเ์ ชน่ เดยี วก บั พ ระองค์ ก ย็ อ่ มท จ่ี ะม ศี กั ยภาพท จี่ ะฝ กึ ฝนอ บรม
กายว าจาใจด้วยต ัวเราเองไดเ้ ชน่ เดยี วก ับท่ีพระองค์ทรงกระทำม าพูด
อกี อยา่ งห น่งึ กค็ อื กายว าจา ใจเปน็ สงิ่ ที่ฝกึ ฝนอบรมก ันได้ ใช่วา่ จ ะตอ้ ง
ปล่อยให้ไหลไปตามยถากรรม
เมื่อจิตเราเกิดศรัทธาดังที่กล่าวมานี้แล้ว ก็มีการน้อมนำเอาข้อ
ธรรมคำส อนตา่ งๆ มาป ระพฤตปิ ฏิบตั ขิ ดั เกลากเิ ลสอ อกจ ากใจตนจติ ใจ
ของเราก็จะเล่ือนช้ันจากปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลส ขึ้นสู่กัลยาณชน
และอริยชน เป็นลำดับ เม่ือเป็นดังนี้แล้วในท่ีสุดเราก็ย่อมเข้าถึงที่พึ่งคือ
ตัวเราเอง อันเป็นท่ีพึ่งท่ีแท้จริงเพราะกาย วาจา ใจ ที่ได้ผ่านข้ันตอน
การฝึกฝนอบรมโดยการเจรญิ ศีลสมาธิแ ละปัญญาแ ล้วย ่อมกลายเปน็
กายส จุ รติ ว าจาสจุ รติ แ ละม โนส จุ รติ ก ระทำส ง่ิ ใดพ ดู ส งิ่ ใดค ดิ ส งิ่ ใดก ย็ อ่ ม
หาโทษมิได้ ถึงเวลาน้ันแม้พระเครื่องไม่มี ก็ไม่อาจทำให้เราเกิดความ
หวน่ั ไหวห วาดก ลวั ข้ึนได้เลย
๑๖ 16
เป่ยี มด้วยเมตตา
นกึ ถงึ ส มยั พ ทุ ธก าลเมอื่ พ ระพทุ ธอ งคท์ รงป ระชวรห นกั ค รงั้ ส ดุ ทา้ ย
แหง่ ก ารป รนิ พิ พานท า่ นพ ระอ านนทผ์ อู้ ปุ ฏั ฐากพ ระองคอ์ ยตู่ ลอดเวลาได้
ห้ามม านพผหู้ นงึ่ ซ งึ่ ขอร้องจะขอเข้าเฝ้าพ ระพุทธเจา้ ข ณะนน้ั
พระอานนทค์ ดั ค ้าน อย่างเด็ดขาดไมใ่ หเ้ข้าเฝา้ แม้ม านพข อร้องถ งึ
๓ ครั้ง ท่านก็ไม่ยอม จนกระท่ังเสียงขอกับเสียงขัดดังถึงพระพุทธองค์
พระพทุ ธอ งคจ์ งึ ต รสั ว า่ “ อ านนท์ อ ยา่ ห า้ มม านพน น้ั เลยจ งใหเ้ ขา้ ม าเดยี๋ ว
น”ี้ เมอื่ ไดร้ บั อ นญุ าตแ ลว้ ม านพก เ็ ขา้ เฝา้ พ ระพทุ ธเจา้ ไดฟ้ งั ธ รรมจ นบรรลุ
มรรคผลแล้วข อบ วชเป็นพระส าวกองค์สุดทา้ ยมนี ามว ่า“ พ ระส ุภัทท ะ”
พระอานนท์ท่านทำหน้าท่ีของท่านถูกต้องแล้ว ไม่มีความผิดอัน
ใดเลยแม้แต่น้อย ส่วนที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาให้เข้าเฝ้าน้ัน เป็นส่วน
พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่ีทรงมีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มี
ประมาณ ย่อมแผ่ไพศาลไปทั่วทั้งสามโลก พระสาวกรุ่นหลังกระท่ังถึง
พระเถระห รอื ค รบู าอ าจารยผ์ สู้ งู อ ายโุ ดยท วั่ ไปท ม่ี เี มตตาส งู รวมท ง้ั ห ลวงปู่
ย อ่ มเปน็ ท เี่ คารพน บั ถอื ข องช นห มมู่ ากทา่ นก อ็ ทุ ศิ ช วี ติ เพอื่ ก จิ พ ระศ าสนา
ก็ไม่ค่อยคำนึงถึงความชราอาพาธของท่าน เห็นว่าผู้ใดได้ประโยชน์จาก
การบูชาสกั การะทา่ นท่านกอ็ ำนวยประโยชนน์ ้นั แ กเ่ ขา
เม่ือคร้งั ที่หลวงปู่อาพาธอ ยู่ได้มลี กู ศ ษิ ย์กราบเรยี นท า่ นวา่ “รสู้ ึก
เปน็ ห่วงหลวงป ู”่ ท่านไดต้ อบศิษย์ผ้นู นั้ ด ้วยค วามเมตตาวา่ “ห่วงต วั แ ก
เองเถอะ” อีกครั้งท่ีผู้เขียนเคยเรียนหลวงปู่ว่า “ขอให้หลวงปู่พักผ่อน
มากๆ ”
17 ๑๗
หลวงป ตู่ อบท นั ทวี า่ “ พ กั ไมไ่ ด้ ม คี นเขาม าก นั ม ากบ างทกี ลางคนื
เขาก ม็ าก นั เราเหมอื นน กต วั นำเราเปน็ ค รเู ขาน ี่ ค ร.ู ..เขาต รี ะฆงั ไดเ้ วลา
สอนแ ล้วก ต็ อ้ งสอนไม่สอนไดย้ งั ไง”
ชีวิตของท่านเกิดมาเพ่ือเกื้อกูลธรรมแก่ผู้อ่ืน แม้จะอ่อนเพลีย
เมื่อยล้าสักเพียงใด ท่านก็ไม่แสดงออกให้ใครต้องรู้สึกวิตกกังวลหรือ
ลำบากใจแต่อย่างใดเลยเพราะอาศยั ค วามเมตตาเปน็ ท ต่ี ง้ั จงึ อาจกล่าว
ได้ว่า ปฏิปทาของท่านเป็นด่ังพระโพธิสัตว์หรือหน่อพุทธภูมิ ซึ่งเห็น
ประโยชน์ของผู้อื่นมากกว่าประโยชน์ส่วนตนดังเช่น พระโพธิสัตว์หรือ
ห นอ่ พ ทุ ธภ มู อิ กี ท า่ นห นง่ึ ค อื ห ลวงป ทู่ วดเหยยี บน ำ้ ท ะเลจ ดื พ ระส ปุ ฏปิ นั โน
สมยั ก รงุ ศรอี ยธุ ยา ซ่งึ ห ลวงปดู่ ไู่ ด้สอนใหล้ กู ศ ษิ ยใ์ ห้ค วามเคารพเสมือน
ครูอาจารยผ์ ูช้ ้แี นะแ นวทางการป ฏิบตั ิอกี ทา่ นห นงึ่
หลวงปดู่ ู่ ท ่านได้ตดั สินใจไมร่ บั ก จิ น มิ นตอ์ อกน อกว ดั ตง้ั แ ตก่ อ่ นปี
พ.ศ .๒ ๔๙๐ด งั น นั้ ท กุ ค นท ต่ี ง้ั ใจไปก ราบน มสั การแ ละฟ งั ธ รรมจ ากท า่ นจ ะ
ไมผ่ ดิ ห วงั เลยว า่ จ ะไมไ่ ดพ้ บท า่ นท า่ นจ ะน งั่ รบั แขกบ นพ นื้ ไมก้ ระด านแ ขง็ ๆ
หน้าก ุฏิของท ่านท กุ วันต้งั แ ต่เชา้ จรดคำ่ บ างวนั ท ี่ท่านอ ่อนเพลียท า่ นจะ
เอนกายพ กั ผ อ่ นห นา้ ก ฏุ ิ แ ลว้ ห าอ บุ ายส อนเดก็ ว ดั โดยใหเ้ อาห นงั สอื ธ รรมะ
มาอ า่ นใหท้ ่านฟ ังไปด ว้ ย
ข้อวัตรของท่านอีกอย่างหนึ่งก็คือ การฉันอาหารม้ือเดียวซึ่งท่าน
กระทำมาต้ังแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่ภายหลังคือประมาณปี
พ.ศ. ๒๕๒๕ เหล่าสานุศิษย์ได้กราบนิมนต์ให้ท่านฉัน ๒ มื้อ เน่ืองจาก
ความชราภาพของท่าน ประกอบกับต้องรับแขกมากข้ึน ท่านจึงได้ผ่อน
๑๘ 18
ปรนต ามค วามเหมาะค วรแ หง่ อ ตั ภาพท ง้ั จ ะไดเ้ ปน็ การโปรดญ าตโิ ยมจ าก
ทีไ่ กลๆ ท ี่ต ง้ั ใจมาทำบุญถ วายภตั ตาหารแดท่ า่ น
หลวงป แู่ มจ้ ะช ราภาพม ากแ ลว้ ทา่ นก ย็ งั อ ตุ สา่ หน์ งั่ รบั แ ขกท ม่ี าจาก
ทิศต่างๆ วันแล้ววันเล่า ศิษย์ทุกคนก็ตั้งใจมาเพ่ือกราบนมัสการท่าน
บางค นกม็ าเพราะม ปี ญั หาห นกั อกห นกั ใจแ กไ้ ขด ว้ ยต นเองไมไ่ ด้ จ งึ ม งุ่ ห นา้
มาเพื่อกราบเรียนถามปัญหาเพื่อให้ค ลายค วามทกุ ขใ์ จบ างค นม าหาทา่ น
เพอื่ ต อ้ งการข องด ี เชน่ เครอื่ งรางข องข ลงั ซงึ่ ก ม็ กั ไดร้ บั คำต อบจ ากท า่ นวา่
“ ข องดีน้ันอย่ทู ่ตี ัวเราพ ทุ ธงัธ มั มงั สงั ฆงันแ่ี หละข องดี”
บางคนมาหาท่านเพราะได้ยินข่าวเล่าลือถึงคุณความดีศีลาจาริย-
วัตรของท่านในด้านต่างๆ บางคนมาหาท่านเพ่ือขอหวยหวังรวยทางลัด
โดยไมอ่ ยากท ำงานแตอ่ ยากได้เงินม ากๆ
บ างคนเจ็บไขไ้ ม่ส บายก็มาเพื่อให้ท่านร ดน้ำมนต์ เป่าห ัวให้ ม าขอ
ดอกบัวบูชาพระของท่านเพ่ือนำไปต้มด่ืมให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
นานาส ารพันปัญหาแล้วแ ตใ่ ครจ ะนำมาเพือ่ หวังให้ทา่ นช ่วยต นบ างคน
ไม่เคยเหน็ ท่านกอ็ ยากม าด วู ่าท า่ นมรี ปู ร า่ งหน้าตาอ ยา่ งไรบา้ งแ ค่มาเหน็
ก็เกิดปตี ิ ส บายอ กสบายใจจ นล มื คำถามหรอื ห มดคำถามไปเลย
หลายคนเสียสละเวลา เสียค่าใช้จ่ายเดินทางไกลมาเพื่อพบท่าน
ด้วยเหตุน้ี ท่านจึงอุตส่าห์น่ังรับแขกอยู่ตลอดวันโดยไม่ได้พักผ่อนเลย
และไม่เว้นแม้ยามป่วยไข้ แม้นายแพทย์ผู้ให้การดูแลท่านอยู่ประจำจะ
ขอรอ้ งทา่ นอ ย่างไรทา่ นก็ไมย่ อมตามดว้ ยเมตตาส งสารแ ละต้องการให้
กำลังใจแ ก่ญาติโยมท กุ ค นท มี่ าพ บทา่ น
19 ๑๙
ท่านเป็นดจุ พ ่อ
หลวงปู่ดู่ท่านเป็นดุจพ่อของลูกศิษย์ทุกๆ คน เหมือนอย่างที่
พระกรรมฐ านส ายพ ระอ าจารยม์ นั่ เรยี กห ลวงป มู่ น่ั ว า่ “ พ อ่ แ มค่ รอู าจารย”์
ซ่งึ ถือเปน็ ค ำย กยอ่ งอย่างสูง เพ ื่อใหส้ มฐ านะอนั เป็นทรี่ วมแ หง่ ค วามเป็น
กัลยาณมติ ร
หลวงปู่ด่ทู า่ นใหก้ ารต ้อนรับแขกอ ยา่ งเสมอห นา้ ก นั หมดไม่มีการ
แบ่งชั้นวรรณะ ท่านจะพูดห้ามปราม หากมีผู้มาเสนอตัวเป็นนายหน้า
คอยจัดแจงเกี่ยวกับแขกท่ีเข้ามานมัสการท่าน ถึงแม้จะด้วยเจตนาดี
อันเกิดจากความห่วงใยในสุขภาพของท่านก็ตาม เพราะท่านทราบดีว่า
มีผ ู้ใฝธ่ รรมจ ำนวนม ากทอี่ ตุ ส่าหเ์ ดนิ ท างม าไกลเพอื่ นมัสการและซักถ าม
ข้อธรรมจากท่าน หากมาถึงแล้วยังไม่สามารถเข้าพบท่านได้โดยสะดวก
ก็จะทำใหเ้ สยี ก ำลังใจ
นเ้ี ปน็ เมตตาธ รรมอ ยา่ งส งู ซ ง่ึ น บั เปน็ โชคด ขี องบ รรดาศ ษิ ยท์ งั้ ห ลาย
ไมว่ า่ ใกลห้ รอื ไกลท ส่ี ามารถม โี อกาสเขา้ ก ราบน มสั การท า่ นไดโ้ ดยส ะดวก
หากมผี สู้ นใจก ารปฏบิ ตั กิ รรมฐ านม าหาท า่ นท า่ นจะเมตตาสนทนาธรรม
เป็นพิเศษ อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย บางคร้ังหลวงพ่อก็มิได้กล่าว
อะไรม ากเพยี งก ารท กั ทายศ ิษย์ด ว้ ยถ ้อยคำสน้ั ๆเช่น“เอ้า...กินน้ำชาส ”ิ
ห รอื “ว า่ ไง...” ฯ ลฯ เทา่ น กี้ เ็ พยี งพ อทย่ี งั ป ตี ใิ หเ้ กดิ ข นึ้ ก บั ศ ษิ ยผ์ นู้ น้ั เหมอื น
ดังหยาดน้ำทิพย์ชโลมให้เย็นฉ่ำ เกิดความสดช่ืนตลอดร่างกาย จน...
ถึงจติ ...ถงึ ใจ
หลวงปดู่ ทู่ า่ นใหค้ วามเคารพในอ งคห์ ลวงป ทู่ วดอ ยา่ งม ากท งั้ ก ลา่ ว
๒๐ 20
ยกย่องในความที่เป็นผู้ท่ีมีบารมีธรรมเต็มเปี่ยมตลอดถึงการท่ีจะได้มา
ตรัสรู้ธรรมในอนาคต ให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายยึดมั่นและหม่ันระลึก
ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือติดขัดในระหว่างการปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่
ประสบปัญหาในทางโลกๆ ท่านว่าหลวงปู่ทวดท่านคอยจะช่วยเหลือทุก
คนอยู่แลว้ แต่ขอใหท้ ุกค นอ ยา่ ไดท้ อ้ ถอยห รอื ล ะท้ิงการปฏิบตั ิ
ห ลวงป่ดู กู่ บั ครอู าจารย์ท่านอ นื่
ในระหวา่ งปี พ .ศ .๒๕๓๐-๒๕๓๒ไดม้ พี ระเถระแ ละค รบู าอาจารย์
หลายท่านเดินทางมาเยี่ยมเยียนหลวงปู่ดู่ เช่นหลวงปู่บุดดา ถาวโร
วัดกลางช ศู รีเจริญสุข จ งั หวัดสิงหบ์ รุ ี ทา่ นเป็นพ ระเถระซ ่ึงมอี ายยุ า่ งเขา้
๙๖ป ีก็ยังเมตตามาเย่ียมหลวงปูด่ ู่ท วี่ ัดสะแกถ ึง๒ ครงั้ แ ละบ รรยากาศ
ของการพบกันของท่านทั้งสองนี้ เป็นที่ประทับใจผู้ท่ีอยู่ในเหตุการณ์
อย่างยิ่งเพราะต ่างองคต์ ่างอ อ่ นน้อมถ ่อมตนปราศจ ากก ารแสดงออกซึ่ง
ท ิฏฐิมาน ะใดๆเลยแ ปง้ เสกท หี่ ลวงป ู่บ ุดดาเมตตามอบให้ หลวงปูด่ ูท่ า่ น
ก็เอามาท าท่ีศรี ษะเพ่ือแ สดงถ งึ ความเคารพอย่างสงู
พระเถระอ กี ท า่ นห นง่ึ ซ ง่ึ ไดเ้ ดนิ ท างม าเยย่ี มห ลวงปดู่ คู่ อ่ นข า้ งบ อ่ ย
ครง้ั ค อื ห ลวงป โู่ งน่ โสรโยวดั พ ระพทุ ธบาทเขารวกจ งั หวดั พ จิ ติ รท า่ นม คี วาม
ห่วงใยในสุขภาพของหลวงปู่ดู่อย่างมากโดยได้สั่งให้ลูกศิษย์จัดทำป้าย
กำหนดเวลารับแขกในแ ตล่ ะว ันข องห ลวงปู่ดู่เพอ่ื เป็นการถนอมธาตุขันธ์
ของหลวงปใู่ ห้อยูไ่ ด้นานๆ แต่อย่างไรกด็ ีไม่ชา้ ไมน่ านห ลวงปูด่ ู่ท ่านก ใ็ห้
นำป ้ายอ อกไปเพราะเหตุแห่งความเมตตาท่ที า่ นมีต่อผ คู้ นท ้ังห ลาย
21 ๒๑
ในระยะเวลาเดียวกันนั้น ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร วัดพระธาตุ
ดอนเรือง ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่โง่น โสรโย ก็ได้เดินทางมากราบ
นมัสการห ลวงปู่ดู่๒ครง้ั โดยท่านได้เลา่ ใหฟ้ ังภ ายหลงั ว า่ เมอื่ ได้มาพบ
หลวงปู่ดู่จ งึ ได้รวู้ า่ หลวงปูด่ กู่ ค็ อื พ ระภิกษชุ ราภาพท ไี่ ปส อนท่านในส มาธิ
ในช่วงท่ีท่านอธิษฐานเข้ากรรมปฏิบัติไม่พูด ๗ วัน ซ่ึงท่านก็ได้แต่กราบ
ระลกึ ถึงอ ยตู่ ลอดท กุ วนั โดยไมร่ วู้ า่ พระภกิ ษุชราภาพรปู นีค้ อื ใครกระทั่ง
ได้มีโอกาสมาพบหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก เกิดรู้สึกเหมือนดังพ่อลูกที่จากกัน
ไปนานๆ แ มค้ รง้ั ท่ี๒ท ี่พบก บั ห ลวงปดู่ ู่ หลวงปูด่ ูก่ ไ็ ดพ้ ดู สอนใหท้ า่ นเรง่
ความเพยี รเพราะหลวงพ อ่ จ ะอ ยอู่ ีกไม่นาน
ครูบาบุญชุ่มยังได้เล่าว่า ท่านต้ังใจจะกลับไปวัดสะแกอีกเพื่อหา
โอกาสไปอุปัฏฐากหลวงปู่ดู่ แต่แล้วเพียงระยะเวลาไม่นานนัก ก็ได้ข่าว
วา่ หลวงปดู่ ู่มรณภาพย งั ค วามสลดสงั เวชใจแก่ท ่าน ท่านได้เขียนบ ันทึก
ความรู้สึกในใจของท่านไว้ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ดู่
ตอนหนงึ่ วา่
“...หลวงปู่ท่านมรณภาพส้ินไป เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ท่ีให้
ความสว่างส่องแจ้งในโลกดับไป อุปมาเหมือนดังดวงประทีปที่ให้ความ
สว่างไสวแก่ลูกศิษย์ได้ดับไป ถึงแม้พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้มรณะไป
แล้ว แต่บุญญาบารมีท่ีท่านแผ่เมตตาและรอยย้ิมอันอิ่มเอิบยังปรากฏ
ฝังอยู่ในดวงใจอาตมา มิอาจลืมได้... ถ้าหลวงปู่มีญาณรับทราบ และ
แผ่เมตตาลูกศิษย์ลูกหาทุกคน ขอให้พระเดชพระคุณหลวงปู่เข้าสู่
๒๒ 22
พระนิพพานเป็นอมตะแด่ท่านเทอญ กระผมขอกราบคารวะพระเดช-
พระคณุ หลวงป ่ดู ู่ พรหมปญั โญดว้ ยค วามเคารพส งู สุด”
นอกจากน ี้ ยงั ม พี ระเถระอ กี รปู ห นง่ึ ท ค่ี วรก ลา่ วถ งึ เพราะห ลวงปดู่ ู่
ใหค้ วามย กยอ่ งม ากในค วามเปน็ ผ มู้ คี ณุ ธ รรมส งู แ ละเปน็ แ บบอ ยา่ งข องผ ทู้ ี่
มคี วามเคารพในพ ระรตั นตรยั เปน็ อ ยา่ งย ง่ิ ซ งึ่ ห ลวงปดู่ ไู่ ดแ้ นะนำส านศุ ษิ ย์
ใหถ้ ือทา่ นเป็นค รูอาจารย์อ กี ท่านหน่งึ ด ้วยนน่ั กค็ ือหลวงพ อ่ เกษมเขมโก
แห่งสสุ านไตรล ักษณ์ จงั หวัดล ำปาง
ป จั ฉมิ วาร
นับแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมา สุขภาพของหลวงปู่เร่ิมแสดง
ไตรลักษณะให้ปรากฏอย่างชัดเจน สังขารร่างกายของหลวงปู่ซ่ึงก่อเกิด
มาจากธาตดุ ินนำ้ ลมไฟแ ละม ีใจครองเหมอื นเราๆทา่ นๆเมอ่ื สงั ขาร
ผา่ นมานานวัน โดยเฉพาะอย่างย ง่ิ ถ า้ มกี ารใชง้ านม าก แ ละพกั ผอ่ นน ้อย
ความท รดุ โทรมก็ยอ่ มเกดิ เรว็ ข น้ึ ก วา่ ปรกติ ก ลา่ วคือสงั ขารรา่ งกายข อง
ทา่ นไดเ้ จบ็ ป ว่ ยอ อ่ นเพลยี ล งไปเปน็ ล ำดบั ในข ณะท บี่ รรดาล กู ศ ษิ ยล์ กู ห า
ท้ังญาติโยมและบรรพชิตก็หล่ังไหลกันมานมัสการท่านเพิ่มขึ้นทุกวัน
ในท า้ ยท ส่ี ดุ แ หง่ ช วี ติ ข องห ลวงปดู่ ู่ ด ว้ ยป ณธิ านท ตี่ งั้ ไวว้ า่ “ ส แู้ คต่ าย” ท า่ น
ใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูง แม้บางคร้ังจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่าง
หนักท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่านได้
เลา่ ใหฟ้ งั วา่ บ างค ร้งั ถึงขนาดท ีท่ ่านต้องพ ยงุ ต ัวเองข้ึนด้วยอาการส่นั และ
มีน้ำตาค ลอเบา้ ท่านกไ็มเ่คยป รปิ ากใหใ้ครตอ้ งเปน็ ก งั วลเลย ในปีท า้ ยๆ
23 ๒๓
ท่านถูกตรวจพบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจร่ัว แม้นายแพทย์จะขอร้องให้ท่าน
เขา้ พ กั ร กั ษาต วั ท โี่ รงพ ยาบาลท า่ นก ไ็ มย่ อมไปท า่ นเลา่ ใหฟ้ งั ว า่ “ แ ตก่ อ่ น
เราเคยอยากดี เม่ือดีแล้วก็เอาให้หายอยาก อย่างมากก็สู้แค่ตาย
ใครจ ะเหมอื นขา้ ข า้ บ นต วั ตาย”
มีบางครั้งได้รับข่าวว่าท่านล้มขณะกำลังลุกเดินออกจากห้องเพ่ือ
ออกโปรดญ าติโยมค อื ป ระมาณ๖ น าฬิกาอย่างท่ีเคยปฏบิ ัตอิ ยู่ทกุ วนั
โดยปกติในยามที่สุขภาพของท่านแข็งแรงดี ท่านจะเข้าจำวัดประมาณ
สหี่ า้ ท มุ่ แ ตก่ วา่ จ ะจ ำว ดั จ รงิ ๆ ป ระมาณเทย่ี งค นื ห รอื ต หี นงึ่ แ ลว้ ม าต นื่ น อน
ตอนประมาณตีสาม มาช่วงหลังท่ีสุขภาพของท่านไม่แข็งแรงจึงต่ืน
ต อนป ระมาณต สี ถ่ี งึ ต หี า้ เสรจ็ ก จิ ท ำวตั รเชา้ แ ละก จิ ธ รุ ะส ว่ นต วั แ ลว้ จ งึ อ อก
โปรดญาติโยมทีห่ น้าก ุฏิ
ประมาณป ลายป ี พ .ศ .๒ ๕๓๒ห ลวงปดู่ พู่ ดู บ อ่ ยค รง้ั ในค วามห มาย
ว่าใกล้ถึงเวลาท่ที ่านจ ะล ะส งั ขารน แ้ี ลว้ ในช ว่ งท้ายข องชวี ติ ท ่านธ รรมท ่ี
ถา่ ยทอดย ง่ิ เดน่ ช ดั ข น้ึ ม ใิ ชด่ ว้ ยเทศนาธ รรมข องท า่ นห ากแ ตเ่ ปน็ การส อน
ด้วยการปฏิบัติให้ดู โดยเฉพาะอย่างย่ิงปฏิปทาในเรื่องของความอดทน
สมดงั ท ่ีพ ระส ัมมาสัมพ ทุ ธเจา้ ได้ประทานไว้ในโอวาทปาฏิโมกขว์ า่ “ข ันต ี
ปรมงั ตโปตีตกิ ข าความอ ดทนเป็นตบะอ ยา่ งย ่ิง” แ ทบจะไม่มใี ครเลย
นอกจากโยมอ ปุ ฏั ฐากใกลช้ ดิ ท ที่ ราบว า่ ทที่ า่ นน งั่ รบั แขกบ นพ น้ื ไมก้ ระด าน
แข็งๆทุกวนั ๆต งั้ แ ต่เชา้ จ รดคำ่ เปน็ ร ะยะเวลาน บั ส ิบๆป ี ดว้ ยอ าการย ้ิม
แย้มแจ่มใสใครท กุ ข์ใจมาท่านกแ็ ก้ไขให้ได้รับค วามส บายใจก ลบั ไปแต่
เบ้อื งหลงั ก ็คือค วามล ำบากท างธาตุขนั ธข์ องท า่ นทท่ี า่ นไมเ่ คยปริปาก
๒๔ 24
บอกใคร กระท่ังวันหน่ึง โยมอุปัฏฐากได้รับการไหว้วานจากท่านให้เดิน
ไปซอ้ื ยาท าแผลใหท้ า่ นจึงได้มีโอกาสขอด ูและได้เห็นแ ผลท ่กี ้นทา่ นซ ึง่ มี
ลักษณะแ ตกซำ้ ๆ ซากๆในบ รเิ วณเดิมเปน็ ท่ีสลดใจจ นไมอ่ าจก ล้ันนำ้ ตา
เอาไว้ได้
ท่านจึงเป็นครูท่ีเลิศ สมดังพระพุทธโอวาทท่ีว่า สอนเขาอย่างไร
พงึ ป ฏบิ ตั ใิ หไ้ ดอ้ ยา่ งน น้ั ด งั น น้ั ธ รรมในข อ้ “ อ นตั ตา” ซ ง่ึ ห ลวงป ทู่ า่ นย กไว้
เปน็ ธ รรมช น้ั เอกท า่ นก ไ็ ดป้ ฏบิ ตั ใิ หเ้ หน็ เปน็ ท ปี่ ระจกั ษแ์ กส่ ายตาข องศ ษิ ย์
ทั้งหลายแล้วถึงข้อปฏิบัติต่อหลักอนัตตาไว้อย่างบริบูรณ์ จนแม้ความ
อาลัยอาวรณ์ในสังขารร่างกายท่ีจะมาหน่วงเหน่ียว หรือสร้างความทุกข์
รอ้ นแก่จิตใจท่านก ม็ ไิ ด้ป รากฏใหเ้ ห็นเลย
ในตอนบ่ายข องวนั ก่อนห น้าทที่ ่านจะม รณภาพขณะท่ีทา่ นก ำลัง
เอนกายพ ักผ่อนอ ยูน่ ัน้ กม็ นี ายท หารอากาศผูห้ น่ึงมากราบน มัสการท ่าน
ซง่ึ เปน็ การม าค รงั้ แ รกห ลวงปดู่ ไู่ ดล้ กุ ข นึ้ น ง่ั ต อ้ นรบั ด ว้ ยใบหนา้ ท ส่ี ดใสราศี
เปลง่ ปล่งั เปน็ พ ิเศษก ระท่ังบ รรดาศิษย์ ณ ที่นนั้ เหน็ ผิดส ังเกตหลวงป ู่
แสดงอาการยินดีเหมือนรอคอยบุคคลผู้นี้มานาน ท่านว่า “ต่อไปน้ี
ขา้ จะไดห้ ายเจบ็ ห ายไขเ้ สยี ท”ี ไมม่ ใี ครค าดค ดิ ม าก อ่ นว า่ ท า่ นก ำลงั โปรด
ลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่าน หลวงปู่ดู่ท่านได้แนะนำการปฏิบัติพร้อมท้ัง
ให้นั่งปฏิบัติต่อหน้าท่าน ซึ่งเขาก็สามารถปฏิบัติได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ท่านย ้ำในต อนท้ายว า่ “ข ้าขอฝากใหแ้ กไปปฏิบัติต่อ”
ในคืนน้ันก็ได้มีคณะศิษย์มากราบนมัสการท่านซ่ึงการมาในคร้ังน้ี
ไมม่ ใี ครค าดค ดิ ม าก อ่ นเชน่ ก นั ว า่ จ ะเปน็ การม าพ บก บั ส งั ขารธ รรมข องท า่ น
25 ๒๕
เปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ยแ ลว้ หลวงปดู่ ไู่ ดเ้ลา่ ใหศ้ ษิ ยค์ ณะน ้ีฟังด ้วยส ีหน้าป รกตวิ า่
“ไมม่ สี ว่ นห นง่ึ ส ว่ นใดในรา่ งกายข า้ ท ไ่ี มเ่ จบ็ ป วดเลยถ า้ เปน็ ค นอ น่ื ค งเขา้
หอ้ งไอซ ยี ไู ปน านแ ลว้ ” พ รอ้ มท ง้ั พ ดู ห นกั แ นน่ ว า่ “ ข า้ จ ะไปแ ลว้ น ะ” ท า้ ย
ทส่ี ดุ ทา่ น กเ็ มตตาก ลา่ วย ำ้ ใหท้ กุ ค นต ง้ั อ ยใู่ นค วามไมป่ ระมาท“ ถ งึ อ ยา่ งไร
กข็ ออ ยา่ ไดท้ งิ้ ก ารป ฏบิ ตั ิ ก เ็ หมอื นน กั ม วยข น้ึ เวทแี ลว้ ต อ้ งช กอยา่ ม วั แ ต่
ต ง้ั ท า่ เงอะๆ งะๆ” น ดี้ จุ เปน็ ป จั ฉมิ โอวาทแ หง่ ผ เู้ ปน็ พ ระบรมค รขู องผ เู้ ปน็
ศษิ ย์ท ุกคนอันจ ะไมส่ ามารถลืมเลือนไดเ้ลย
หลวงปู่ดู่ได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบด้วยโรคหัวใจในกุฏิท่าน
เมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกาของวันพุธท่ี ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓
สริ ิอายุได้ ๘๕ป ี ๘เดือนอายพุ รรษา๖ ๕พ รรษาส งั ขารธ รรมข องทา่ น
ได้ตั้งบำเพ็ญกุศลโดยมีเจ้าภาพสวดอภิธรรมเรื่อยมาทุกวันมิได้ขาด
ตลอดระยะเวลา ๔๕๙ วัน จนกระทั่งได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็น
กรณีพเิ ศษ ในวนั เสารท์ ี่๒๐เมษายน๒๕๓๔
พระคณุ เจ้าหลวงปู่ดู่พ รหมปญั โญไดอ้ ปุ สมบทและจำพรรษาอ ยู่
ณว ดั ส ะแกม าโดยต ลอดจ นก ระทง่ั ม รณภาพยงั ค วามเศรา้ โศกแ ละอ าลยั
แก่ศิษยานุศิษย์และผู้เคารพรักท่านเป็นอย่างยิ่ง อุปมาดั่งดวงประทีป
ที่เคยให้ความสว่างไสวแก่ศิษยานุศิษย์ได้ดับไป แต่เมตตาธรรมและคำ
ส่ังสอนของท่านจะยังปรากฏอยู่ในดวงใจของศิษยานุศิษย์และผู้ที่เคารพ
รักท่านตลอดไป บัดน้ี สิ่งท่ีคงอยู่มิใช่สังขารธรรมของท่าน หากแต่เป็น
หลวงปดู่ อู่ งค์แท้ทศี่ ษิ ย์ทกุ ค นจะเข้าถ งึ ท ่านได้ดว้ ยการส ร้างคณุ งามค วาม
ดีใหเ้กิดให้มีข้ึนท่ตี นเองส มดงั ท ี่ทา่ นได้กลา่ วไวเ้ ป็นค ตวิ ่า
๒๖ 26
“ ต ราบใดก ต็ ามท แ่ี กย งั ไมเ่ หน็ ค วามด ใี นต วั ก ย็ งั ไมน่ บั ว า่ แ กรจู้ กั ข า้
แ ตถ่ า้ เมอ่ื ใดแ กเรม่ิ เหน็ ค วามด ใี นต วั เองแ ลว้ เมอื่ น นั้ ... ขา้ จ งึ ว า่ แ กเรม่ิ
ร้จู กั ข้าด ขี ึ้นแลว้ ”
ธรรมทง้ั ห ลายท ท่ี ่านไดพ้ ร่ำสอนท กุ วรรคต อนแห่งธ รรมทบี่ รรดา
ศิษย์ได้น้อมนำมาปฏิบัติ น้ันก็คือการท่ีท่านได้เพาะเมล็ดพันธ์ุแห่งความ
ดีงามบนดวงใจของศิษย์ทุกคน ซึ่งนับวันจะเติบใหญ่ผลิดอกออกผลเป็น
สติและปัญญาบนลำต้นท่ีแข็งแรงคือสมาธิ และบนพื้นดินท่ีมั่นคงแน่น
หนาคือศ ีลสมดงั เจตนารมณท์ ่ีทา่ นได้ทุม่ เทท้งั ชีวติ ด้วยเมตตาธรรมอ นั
ยง่ิ อันจักหาไดย้ ากท้งั ในอ ดีตป จั จุบันและอ นาคต...
คติธรรมคำสอน
ห ลวงป ู่ดู่พรหมป ญั โญ
29 ๒๙
๑
ส มมตุ แิ ละว มิ ตุ ติ
ในว นั ส นิ้ ป เี มอ่ื ห ลายป กี อ่ นผ เู้ ขยี นไดม้ าค า้ งค นื อ ยปู่ ฏบิ ตั ทิ ว่ี ดั ส ะแก
และได้มีโอกาสเรียนถามปัญหาการปฏิบัติกับหลวงปู่เร่ืองนิมิตจริงนิมิต
ปลอมท่ีเกิดขนึ้ ภ ายในจ ากก ารภาวนาท า่ นตอบให้สรุปใจความไดว้ า่
ต อ้ งอ าศยั ส มมตุ ขิ น้ึ ก อ่ นจ งึ จ ะเปน็ ว มิ ตุ ตไิ ด้ เชน่ ก ารท ำอ สภุ ะ ห รอื
กสณิ นน้ั ตอ้ งอ าศัยสญั ญาและส งั ขารน ้อมน ึกเปน็ นมิ ิตข น้ึ ในข นั้ น ้ไี ม่ควร
สงสยั วา่ นมิ ิตน้นั เป็นของจ รงิ ห รอื ของปลอมมาจากภายนอกห รือมาจาก
จติ เพราะเราจ ะอ าศยั ส มมตุ ติ วั น ไี้ ปท ำป ระโยชนต์ อ่ ค อื ย งั จ ติ ใหเ้ ปน็ ส มาธิ
แน่วแ น่ขน้ึ แ ตก่ อ็ ยา่ สำคัญมัน่ หมายว่าต นร ้เู หน็ แลว้ ห รอื ดีวิเศษแ ล้ว
การน้อมจิตต้ังนิมิตเป็นองค์พระ เป็นสิ่งที่ดี ไม่ผิด เป็นศุภนิมิต
คอื นมิ ิตที่ดี เม่ือเหน็ อ งค์พระ ให้ต้ังส ติคุมเขา้ ไปต รงๆ (ไม่ป รงุ แ ตง่ ห รอื
อยากโนน้ นี)้ไม่อ อกซ ้ายไม่ออกข วาท ำความเล่อื มใสเข้าเดนิ จิตให้แ นว่
แน่ ส ติละเอยี ดเขา้ ต อ่ ไปก ็จะสามารถแยกแยะห รอื พิจารณานมิ ิตให้เป็น
ไตรล ักษณจ์ นเกิดปญั ญาสามารถจ ะก้าวเข้าสูว่ มิ ตุ ติได้
๓๐ 30
๒
อุปมาศลี สมาธิ ป ัญญา
ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงน้าสายหยุด ท่านได้
เมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า หลวงปู่เคยเปรียบธรรมะของพระพุทธเจ้า
เหมอื นแกงส้มแกงสม้ นนั้ ม ี ๓ ร สค อื เปรี้ยวเค็มและเผ็ดซงึ่ ม ีความ
หมายด งั นี้
รสเปร้ยี วหมายถึงศ ีลค วามเปร้ียวจะกัดกรอ่ นความสกปรกอ อก
ไดฉ้ ันใดศีลกจ็ ะขัดเกลาค วามห ยาบอ อกจ ากกายวาจาใจได้ฉันน้ัน
ร สเคม็ ห มายถึงสมาธิ ความเค็มส ามารถรกั ษาอ าหารตา่ งๆไม่ให้
เนา่ เสยี ไดฉ้ นั ใดส มาธกิ ส็ ามารถรกั ษาจ ติ ข องเราใหต้ ง้ั ม นั่ อ ยใู่ นค ณุ ค วามด ี
ไดฉ้ นั นน้ั
รสเผ็ด หมายถึง ปัญญา ความเผ็ดร้อนโลดแล่นไป เปรียบได้ดั่ง
ปัญญาท่ีสามารถก่อให้เกิดความแจ้งชัด ขจัดความไม่รู้ เปล่ียนจากของ
คว่ำเป็นของหงายจ ากม ืดเป็นส ว่างไดฉ้ นั น ้นั
31 ๓๑
๓
ห นง่ึ ในส ่ี
คร้ังห นงึ่ หลวงปู่ได้ปรารภธ รรมกับผ เู้ขยี นว่า...
“ข้าน่ังดูดยา มองดูซองยาแล้วก็ต้ังปัญหาถามตัวเองว่า เราน่ี
ปฏบิ ตั ไิ ด้ ๑ ใน๔ ข องศ าสนาแ ลว้ ห รอื ย งั ?ถ า้ ซ องย าน แ้ี บง่ เปน็ ๔ ส ว่ น
เราน ่ียังไมไ่ ด้๑ใน๔ ม ันจวนเจยี นจะไดแ้ ล้วม นั ก ็ค ลายเหมือนเราม ัด
เชือกจนเกือบจะแ น่นไดท้ ่แี ล้วเราป ล่อยม ันกค็ ลายอ อกเราน ย่ี งั ไมเ่ ช่ือ
จริงถา้ เช่อื จรงิ ก ็ตอ้ งได้๑ใน๔ แ ล้ว”
ตอ่ มาภ ายหลงั ทา่ นไดข้ ยายความใหผ้ เู้ ขยี นฟ งั วา่ ทว่ี า่ ๑ใน๔นน้ั
อุปมาดั่งการปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุมรรคผลในพุทธศาสนาซึ่งแบ่งเป็น
ขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหัตตผลอย่างน้อยเราเกิดมา
ชาติหนึ่งชาติน้ี ได้พบพระพุทธศาสนาซึ่งเปรียบเสมือนสมบัติอันล้ำค่า
แล้วหากไมป่ ฏบิ ตั ธิ รรมใหไ้ ด้ ๑ใน๔ ของพ ทุ ธศ าสนาเปน็ อยา่ งน อ้ ยคอื
เขา้ ถงึ ความเป็นพระโสดาบนั ป ิดประตอู บายภ มู ิให้ได้ ก เ็ ท่ากับว ่าเราเปน็
ผปู้ ระมาทอยู่เหมือนเราม ีข ้าวแ ลว้ ไม่ก นิ ม ีนาแล้วไม่ทำฉ ันใดกฉ็ นั นนั้
๓๒ 32
๔
อ านสิ งสก์ ารภ าวนา
หลวงปทู่ า่ นเคยพ ดู เสมอว า่
“อ ปุ ัชฌายข์ า้ (หลวงป่กู ลนั่ ) ส อนว ่า ภ าวนาไดเ้ห็นแสงส วา่ ง
เทา่ ปลายห วั ไมข้ ดี ช ั่วป ระเดยี๋ วเดยี วเท่าช ้างก ระดกิ หู งแู ลบลนิ้ ย งั ม ี
อานสิ งส์มากกวา่ ต กั บาตรจนขนั ล งหนิ ท ะล”ุ
พวกเราม กั จะไดย้ นิ ท า่ นคอยให้กำลังใจอ ยู่บ ่อยๆ ว า่
“หม่นั ท ำเข้าไว้ห มน่ั ทำเขา้ ไว้ ต่อไปจ ะไดเ้ ป็นท พ่ี ่ึงภ ายหนา้ ”
เสมอื นหนง่ึ เปน็ การเตอื นให้เราเรง่ ความเพียรให้มาก การให้ทาน
รกั ษาศลี รอ้ ยครง้ั พนั ครง้ั ก็ไม่เทา่ กบั นง่ั ภาวนาหนเดยี ว นง่ั ภาวนารอ้ ยครง้ั
พันคร้ัง กุศลที่ได้ก็ไม่เท่ากุศลจิตที่สงบเป็นสมาธิที่เกิดปัญญาเพียง
คร้ังเดยี ว
33 ๓๓
๕
แสงสว่างเปน็ ก เิ ลส?
มีคนเลา่ ใหห้ ลวงปฟู่ ังว า่ ม ผี ูก้ ล่าววา่ การทำส มาธแิ ลว้ บ งั เกิดค วาม
สวา่ งหรอื เหน็ แ สงส ว่างน ัน้ ไม่ด เี พราะเป็นก เิ ลสม ดื ๆ จึงจ ะด ี
หลวงป ูท่ า่ นก ล่าวว่า
“ที่ว่าเป็นกิเลสก็ถูก แต่เบ้ืองแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส
(อาศัยกิเลสส่วนละเอียดไปละกิเลสส่วนหยาบ) แต่ไม่ได้ให้ติดในแสง
สว่างหรือหลงแสงสว่าง แต่ให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เป็นประโยชน์
เหมอื นอ ยา่ งก บั เราเดนิ ผ า่ นไปในท ม่ี ดื ต อ้ งใชแ้ สงไฟห รอื จ ะข า้ มแ มน่ ำ้
มหาสมุทรก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ แต่เมื่อถึงฝ่ังแล้วก็ไม่ได้แบกเรือ
แบกแพข น้ึ ฝ ง่ั ไป”
แสงสว่างอันเป็นผลจากการเจริญสมาธิก็เช่นกัน ผู้มีสติปัญญา
สามารถใช้เพ่ือให้เกิดปัญญา อันเป็นแสงสว่างภายในที่ไม่มีแสงใดเสมอ
เหมอื นด งั ธ รรมท ่ีว ่า
“นัตถิปญั ญาส มาอ าภาแ สงสวา่ งเสมอด ว้ ยปัญญาไมม่ ี”
๓๔ 34
๖
ปลูกต้นธรรม
ครง้ั หน่งึ หลวงปเู่ คยเปรยี บก ารปฏิบตั ธิ รรมเหมอื นการปลูกต้นไม้
ท่านว่า...ปฏิบัติน้ีมันยาก ต้องคอยบำรุงดูแลรักษาเหมือนกับเรา
ปลกู ตน้ ไม้
ศีล...................คือด ิน
สมาธ.ิ ..............คอื ลำตน้
ป ัญญา.............ค อื ดอกผล
อ อกดอกเมอื่ ใดก ม็ ีกลนิ่ หอมไปทว่ั ก ารป ฏบิ ัติธ รรมกเ็ ช่นก ันผ ู้รัก
การปฏิบัติต้องคอยหม่ันรดน้ำพรวนดิน ระวังรักษาต้นธรรมให้ผลิดอก
ออกใบมผี ลนา่ รบั ป ระทาน ตอ้ งคอยระวังตวั หนอนคอื โลภโกรธหลง
มใิ หม้ าก ดั ก นิ ต น้ ธ รรมไดอ้ ยา่ งน ้ี จงึ จ ะไดช้ อื่ ว า่ ผ รู้ กั ธ รรมรกั ก ารป ฏบิ ตั จิ รงิ
35 ๓๕
๗
ว ดั ผลก ารปฏิบตั ดิ ว้ ยส ง่ิ ใด?
ม ผี ปู้ ฏบิ ตั หิ ลายค นป ฏบิ ตั ไิ ปน านเขา้ ช กั เขวไมช่ ดั เจนว า่ ตนป ฏบิ ตั ิ
ไปท ำไมห รอื ป ฏบิ ตั ไิ ปเพอ่ื อ ะไรด งั ค รงั้ ห นงึ่ เคยม ลี กู ศ ษิ ยก์ ราบเรยี นถ าม
หลวงปู่วา่
“ภาวนามาก็นานพอสมควรแล้ว รู้สึกว่ายังไม่ได้รู้ได้เห็นส่ิงต่างๆ
มนี มิ ิตภ ายนอกแ สงสตี า่ งๆเป็นต้นดังท ่ีผู้อ่นื เขารูเ้หน็ ก นั เลย”
หลวงปู่ท่านย อ้ นถามสัน้ ๆ ว่า
“ปฏิบัติแล้ว โกรธ โลภ หลง ของแกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ
ถ้าลดล งข ้าก ็ว่าแ กใชไ้ ด้”
๓๖ 36
๘
เทวทูต๔
ธรรมะท่ีหลวงปู่ยกมาส่ังสอนศิษย์เป็นประจำ มีอยู่เร่ืองหน่ึง คือ
เทวทูต๔ท เี่จ้าช ายสิทธตั ถ ะพ บกอ่ นบรรพชาคือคนแก่ ค นเจบ็ คนต าย
และส มณะ
ความห มายข องค ำวา่ เทวทตู ๔หลวงปูท่ ่านห มายถึงผมู้ าเตอื น
เพอ่ื ใหร้ ะลกึ ถ งึ ค วามไมป่ ระมาทซ ง่ึ เปน็ เรอื่ งท คี่ วรค ดิ แ ตค่ นส ว่ นใหญม่ กั
มองขา้ ม
หลวงปู่ปรารภอยู่เสมอว่า แก่ เจ็บ ตาย เน้อ...หม่ันทำเข้าไว้ มี
ความหมายโดยนัยว่า เมื่อเราเกิดมาแล้ว เราก็ย่อมก้าวเข้าสู่ความชรา
ความแ ก่เฒา่ อย่ตู ลอดเวลา ม คี วามเจบ็ ปว่ ยเปน็ ธ รรมดา แ ละเราจกั ต อ้ ง
ตายเหมอื นกันทุกคน
การเห็นสมณะหรือนักบวชจ ึงเปน็ น ิมิตหมายทด่ี ีทจี่ ะช ักจงู ให้เรา
ก้าวลว่ งความทุกขไ์ด้ในท ี่สดุ โดย“ผ มู้ าเตอื น” ท้งั ๔ น ่เี อง
37 ๓๗
๙
อาร มณ์อัพย ากฤต
เคยม ผี ใู้ หญท่ า่ นห นง่ึ ไดก้ ราบเรยี นถามหลวงปวู่ า่ อารมณอ์ พั ย ากฤต
ไม่จำเปน็ ต ้องมีไดเ้ ฉพาะพระอ รหนั ต ์ ใช่หรอื ไม่?
ท่านตอบว่า “ใช่ แต่อารมณ์อัพยากฤตของพระอรหันต์ท่าน
ท รงต ลอดเวล าไม่เหมือนปุถชุ นท ่ีมีเป็นคร้ังคราวเทา่ น้นั ”
ท่านอุปมาอารมณ์ให้ฟังว่า เปรียบเสมือนคนไปยืนที่ตรงทางสอง
แพร่งทางห นึ่งไปทางดี(ก ุศล)อีกทางห นึ่งไปในทางท่ไี มด่ ี (อ กุศล)ท ่าน
วา่ อัพยากฤตมี ๓ระดบั ค อื
-ระดับห ยาบคอื อ ารมณป์ ถุ ุชนท ่เีฉยๆไมค่ ิดด ี ไม่คิดช ั่วซึง่ ม ีเป็น
ครั้งคราวเทา่ นน้ั
- ระดับกลาง มีในผู้ปฏิบัติสมาธิ มีสติ มีความสงบของจิต วาง
อารมณ์จากส ่งิ ท ีด่ ที ช่ี ่วั ดังทเ่ี รียกว า่ อเุ บกขาร มณ์
- ระดับละเอียด คือ อารมณ์ของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีท้ังอารมณ์
ที่คิดปรุงไปในทางดี หรือในทางไม่ดี วางอารมณ์อยู่ได้ตลอดเวลา เป็น
วิหารธ รรมข องท่าน
๓๘ 38
๑ ๐
ต รี โทเอก
คร้งั หนึง่ ผ ู้เขียนจ ะจ ัดท ำบญุ เพ่อื เปน็ กตญั ญกู ตเวทติ าธ รรมน อ้ ม
ถวายแด่หลวงปเู่กษมเขมโกเน่ืองในโอกาสท ่หี ลวงปทู่ ่านม ีอายุครบ๗ ๔
พรรษาเมอ่ื วนั ท ี่๒ ๘พฤศจกิ ายนพ .ศ.๒๕๒๘
ผู้เขยี นไดเ้ รยี นถ ามหลวงปู่วา่
“การท ำบญุ อ ยา่ งไรจ งึ จะดที ีส่ ดุ ”
หลวงปทู่ า่ นได้เมตตาตอบวา่
“ข องดีนนั้ อยู่ท่ีเรา ข องดนี นั้ อยทู่ ่จี ิต จ ิตมี ๓ ชนั้ ตรี โท เอก
ถ้าตรกี ็ตำ่ หน่อยโทก็ปานก ลางเอกนอ่ี ยา่ งอุกฤษฏ์
มันไม่มีอะไร... ก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวอนัตตานี่แหละ
เปน็ ตัวเอกไล่ไปไลม่ าใหม้ ันเหน็ สังขารร า่ งกายเราต ายแ น่ๆคนเรา
หนีต ายไปไม่พ้น ตายน ้อย ตายใหญ่ ตายใหญก่ ็ตายห มด ตายนอ้ ยก ็
หลบั ไปต รองด ูให้ดีเถอะ...”