The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Tasson Tenpaksi, 2023-01-18 06:27:11

โขน ร 3

โขน

รั ช ก า ล ที่ ๓ โขน รัต รั นโกสิน สิ ทร์ PANTOMIME PANTOMIME PANTOMIME


โขน เป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจาก จดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขน ว่า เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผู้เต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ โขนเป็นที่รวมของศิลปะหลายแขนงคือ โขนนำ วิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจากการเล่นชักนาค ดึกดำ บรรพ์ โขนนำ ท่าต่อสู้โลดโผน ท่ารำ ท่าเต้นมาจากกระบี่กระบอง และโขนนำ ศิลปะการพากย์การเจรจา หน้าพาทย์เพลงดนตรี การแสดงโขน ผู้แสดงสวมศีรษะคือหัวโขน ปิดหน้าหมด ยกเว้น เทวดา มนุษย์ และมเหสี ธิดาพระยายักษ์ มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้และมีคนพากย์และเจรจาให้ด้วย เรื่องที่แสดงนิยมแสดงเรื่อง รามเกียรติ์และอุณรุฑ ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนใช้วงปี่พาทย์ คำ นำ


ความสำ คัญและที่มา โขนเป็นจุดศูนย์รวมของศาสตร์และศิลป์หลากหลายแขนงเช่น วรรณกรรม วรรณศิลป์ นาฏศิลป์ คีต ศิลป์ หัตถศิลป์ โดยนำ เอาวิธีเล่นและการแต่งตัวบางชนิดมาจากการเล่น ชักนาคดึกดำ บรรพ์ มีท่าทางการต่อสู้ที่ โลดโผน ท่ารำ ท่าเต้นเช่น ท่าปฐมในการ ไหว้ครู ของ กระบี่กระบอง รวมทั้งการนำ ศิลปะการพากย์ การเจรจา หน้าพาทย์และ เพลง ดนตรี เข้ามาประกอบการแสดง ในการแสดงโขน ลักษณะสำ คัญอยู่ที่ผู้แสดงต้องสวม หัวโขน ซึ่งเป็นเครื่องสวมครอบหุ้มตั้งแต่ ศีรษะ ถึง คอ เจาะรูสองรูบริเวณ ดวงตา ให้สามารถมองเห็น แสดง อารมณ์ผ่านทางการร่ายรำ สร้างตามลักษณะของตัวละครนั้น ๆ เช่น ตัวยักษ์ ตัวลิง ตัวเทวดา ฯลฯ ตกแต่งด้วย สี ลงรักปิด ทอง ประดับกระจก บ้างก็เรียกว่าหน้าโขน ในสมัยโบราณ ตัวพระและตัวเทวดาต่างสวมหัวโขนในการแสดง ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงไม่ต้อง สวมหัวโขน คงใช้ ใบหน้า จริงเช่นเดียวกับ ละคร แต่งกายแบบเดียวกับละครใน เครื่องแต่งกายของตัวพระและ ตัวยักษ์ในสมัยโบราณมักมีสองสีคือ สีหนึ่งเป็นสีเสื้อ อีกสีหนึ่งเป็นสีแขนโดยสมมุติแทน เกราะ เป็นลายหนุน ประเภทลายพุ่ม หรือ ลายกระจัง ตาอ้อย ส่วนเครื่องแต่งกายตัว ลิง จะเป็นลายวง ทักษิณาวรรต โดยสมมุติเป็น ขน ของ ลิง หรือ หมี ดำ เนินเรื่องด้วยการกล่าวคำ นำ เล่าเรื่องเป็น ทำ นอง เรียกว่าพากย์อย่างหนึ่ง กับเจรจา เป็นทำ นองอย่างหนึ่ง ใช้ กาพย์ยานี และ กาพย์ฉบัง โดยมีผู้ให้เสียงแทนเรียกว่าผู้พากย์และเจรจา มีต้นเสียง และลูกคู่ร้องบทให้ ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบการแสดง เรื่อง รามเกียรติ์ ปัจจุบัน สำ นักการสังคีต ทำ หน้าที่ ดำ เนินการด้านนาฏดุริยางคศิลป์ในงานพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีการต่างๆ ตามจารีตประเพณี และรวม องค์ความรู้ด้านนาฏดุริยางคศิลป์ โดยการ ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และอนุรักษ์ ส่งเสริม สนับสนุน ให้บริการ และ ฝึกอบรมแก่หน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐ และเอกชนที่ดำ เนินงานศิลปวัฒนธรรม ด้านนาฏดุริยางคศิลป์ และดำ เนิน การเกี่ยวกับกิจการ โรงละครแห่งชาติ สังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ มีหน้าที่หลักในการสืบทอดการฝึกหัดโขน และ กรมศิลปากร มีหน้าที่ในการจัดการแสดง


โขนในพระราชสำ นัก ในสมัยโบราณ ข้าราชการ มหาดเล็ก ที่รับราชการใน สำ นักพระราชวัง มักได้รับการพิจารณาคัดเลือก ให้ฝึกหัดแสดงโขน เนื่องจากโขนนั้นถือเป็นการละเล่นของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ใช้สำ หรับแสดงในงานพระราช พิธีเท่านั้น ทำ ให้ต้องมีการคัดเลือกผู้แสดงที่มีความสามารถ ฉลาดเฉลียว จดจำ และฝึกหัดท่ารำ ท่าเต้นต่าง ๆ ให้ เข้าใจได้โดยง่าย ดังคำ สันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำ รงราชานุภาพ ความว่า "บางทีเกิดมี 'กรมโขน' ขึ้น จะมาแต่การเล่นดึกดำ บรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษกนี้เอง โดยทำ นองจะมีพระราชพิธีอื่นอันมีการเล่นแสดง ตำ นานเนือง ๆ จึงเป็นเหตุให้ฝึกหัดโขนหลวงนี้ขึ้นไว้ สำ หรับเล่นในการพระราชพิธี และเอามหาดเล็กหลวงมา หัดเป็นโขนตามแบบแผน ซึ่งมีอยู่ในตำ ราพระราชพิธีอินทราภิเษก" แต่เดิมนั้นใช้ผู้ชายล้วนในการแสดงทั้ง ตัวพระและตัวนาง การได้รับคัดเลือกให้แสดงโขนในสมัยนั้น ถือเป็นความภาคภูมิใจต่อผู้ที่ได้ถูกรับคัดเลือก เนื่องจากโขนเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูง และกลายเป็น ประเพณี สืบต่อมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ผู้แสดงโขน ในพระราชสำ นักจะต้องเป็นพวกมหาดเล็ก ข้าราชการหรือบุตรหลานข้าราชการเท่านั้น


โขนในสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ แบ่งได้เป็น ๓ ยุค คือ ยุคที่ ๑ เป็นโขน ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยุคที่ ๒ เป็นโขน ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยุคที่ ๓ เป็นโขน ในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง โขนในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานีและเสด็จ ขึ้น เถลิงถวัลย ราชสมบัติแล้ว ทรงฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรมทุกด้าน สำ หรับการแสดงโขนนั้น พระราชมาน พระบรมรา ชานุญาต ให้เจ้านาย และขุนนางผู้ใหญ่ หัดโขนได้ โดยไม่ทรงห้ามปราม เพราะฉะนั้น เจ้านายและข้าราชการชั้น ผู้ใหญ่ จึงได้ฝึกหัดโขน เพื่อประดับเกียรติของตน การแสดงโขนจึงแพร่หลาย กว้างขวางขึ้น นอกจากนี้ี้ยังโปรด ให้ นักปราชญ์ราชบัณฑิต ช่วยกันแต่งบทละคร เรื่องรามเกียรติ์ สำ หรับใช้เป็นบทแสดงโขนละคร โดยพระองค์ ทรงตรวจตราแก้ไข ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๒ ก็ทรง พระราชนิพนธ์ บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งมี เรื่องราวและคำ กลอนกระชับขึ้น เหมาะ ในการใช้บทสำ หรับแสดงโขนละคร โขนในช่วงแรก ระหว่างสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ 5


โขนในสมัยรัตนโกสินทร์ โขนในยุคต้นรัตนโกสินทร์เจริญรุ่งเรือง เพราะเจ้านายหลายองค และขุนนางหลายท่าน ให้การสนับสนุน โดยให้มีการหัดโขน อยู่ในสำ นักของตน เช่น โขนของกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ (ต้นสกุลกุญชร) โขนของ กรมหมื่น เจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) โขนของ พระเจ้าพระยาบดินทร์เดชา และโขนของเจ้า พระนคร (น้อย ) เป็นต้น เมื่อเกิดมีโขนขึ้นหลายโรง หลายคณะ แต่ละโรง แต่ละคณะ ก็คงจะประกวดประชัน กัน เป็นเหตุให้ศิลปะการแสดงโขน ในสมัยนั้น เจริญแพร่หลาย เป็นที่นิยมของ ประชาชนทั่วไป โขนของเจ้านาย และขุนนางดังกล่าวนี้ เรียกว่า "โขนบรรดาศักดิ์" ในตอนปลายสมัย รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำ รง พระราชอิสริยยศ เป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงเอาพระทัยใส่ และทรงสนับสนุน การแสดง โขน โดย โปรดให้ฝึกหัดพวกมหาดเล็กแสดงโขน เรียกว่า "โขนสมัครเล่น" ผู้ที่ฝึกหัดโขนคณะนี้ล้วนเป็น โอรสเจ้านาย และ ลูกขุนนางมหาดเล็ก ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทั้งสิ้น ต่างเข้ามาฝึกหัดโขนโดย สมัครใจ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรับปรุงบทโขน และทรงควบคุมฝึกซ้อม บางครั้ง ก็ทรงแสดง ด้วยพระองค์เอง โขนสมัครเล่นโรงนี้ มีชื่อเสียงว่าแสดงได้ดี และเคยแสดงใน งานสำ คัญ ๆ สมัยปลายรัชกาลที่ ๕ หลายครั้ง


โขนในสมัยรัชกาลที่ ๓ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ช่วงเวลานี้เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นช่วงที่เศรษฐกิจ เจริญก้าวหน้า การเมืองการปกครองมั่นคง ในเอกสารเรื่อง “นาฏศิลป์และละครไทย” โดยม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บรรยายไว้ว่า “ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดการมหรสพต่างๆ ทรง เห็นว่า เป็นการบำ รุงบำ เรอที่ไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและผิดหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นการบำ รุงบำ เรอตนเองเกินกว่าเหตุ โขนหลวงจึงร่วงโรยไปพักหนึ่งตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ลงมา…” เป็นที่ปรากฏในบันทึกเอกสารว่า เมื่อรัชกาลที่ 3 เสวยราชย์ โปรดเกล้าฯ ให้เลิกละครหลวง ไม่ทรงเล่น ละครตลอดรัชกาล สมเด็จฯ กรมพระยาดำ รงราชานุภาพ อธิบายไว้ใน “ตำ นานละครอิเหนา” ตอน ตำ นาน ละครครั้งรัชกาลที่ 3 ว่า “…ถึงโขนข้าหลวงเดิม ซึ่งโปรดให้ฝึกหัดไว้เมื่อครั้งยังเป็นกรม เมื่อเสด็จผ่านพิภพแล้วก็ โปรดให้เลิกเสียด้วย แต่การเลิกละครหลวงครั้งนั้น กลับเป็นเหตุให้เล่นละครกันขึ้นแพร่หลายกว่าแต่ก่อน” (ดำ รงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา, 2464) เมื่อสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจะพบว่ามีผู้ศึกษานาฏกรรมในสมัยรัชกาลที่ 3 เอาไว้ในรูปแบบงานวิทยานิพนธ์ชื่อ “รูปแบบนาฏกรรม” เป็นวิทยานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานาฏยศิลป์ไทย ภาควิชานาฏย ศิลป์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยธรรมจักร พรหมพ้วย ผู้วิจัยบรรยายข้อมูลการศึกษาในแง่ เชิงปริมาณของนาฏกรรมในสมัยรัชกาลที่ 3 (ทั้งในราชสำ นักและงานราษฎร) มีลักษณะแตกต่างจากปลายกรุง ศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 2 ว่า “จำ นวนชนิดของนาฏกรรมลดลงจากเดิม ไม่พบการแสดง เช่น ถิปลำ ม้าล่อ ช้าง ชวารำ หน้า ปรบไก่ หุ่นลาว งิ้วญวน จีนเงาะ คงเหลือเพียงการแสดงที่ต้องมีตามจารีต เช่น ใช้เป็นมหรสพ ในการพระราชพิธีและพระราชประเพณีของหลวง หรือได้รับความนิยมจึงทำ ให้อยู่รอดและคงเหลือสืบมา” เมื่อจำ แนกลงลึกไปเป็นประเภทของนาฏกรรมแล้ว ในส่วนละคร ผู้วิจัยอธิบายว่า ละครเอกชนต่างนำ เรื่อง และแบบแผนละครรัชกาลที่ 2 มาใช้และหัดกันอย่างเปิดเผย เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ ทรงห้าม


โขนในสมัยรัชกาลที่ ๓ สำ หรับนาฏกรรมเฉพาะเจาะจงในราชสำ นักอย่างโขน ในสมัยที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว รัชกาลที่ 3 พระราชทาน “โขนกรมเจษฎ” หรือโขนของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (สมัยนั้น เจ้านายมีนาฏกรรมสำ หรับพระ เกียรติยศ มีหัดโขนในสำ นักของตัวเอง) ซึ่งเป็นโขนของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรง ดำ รงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ไปยังพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ (สมเด็จฯ กรม พระยาดำ รงราชานุภาพ, 2546, 351) โขนสำ รับนี้มีครูโขนคือ ครูเกษ พระราม ซึ่งถือกันว่าเป็นครูโขนคนสำ คัญของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็น ประธานไหว้ครูโขนและละครหลวง อีกทั้งยังมีเอกสารตำ ราใช้เป็นแบบแผนการไหว้ครูสืบทอดกันต่อมา เมื่อสำ รวจเรื่องความนิยมโดยทั่วไปแล้ว ผู้วิจัยมองว่า แม้จะมีโขนเล่นในงานโกนจุกของชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่ด้วยรูปแบบที่เล่นกันมานานและแสดงตอนเดิมซ้ำ ไปมา ย่อมมีส่วนทำ ให้ความนิยมของโขนในสมัยรัชกาลที่ 3 ลดน้อยลง กลับเป็นละครและสักรวาเข้ามาแทนที่ อย่างไรก็ตาม โขนในราชการและมหรสพสมโภชก็ยังปรากฏให้เห็นทั่วไป บันทึกของจีนกั๊กยังกล่าวถึงลักษณะรูป แบบโขนในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าใช้นักแสดงทั้งชายและหญิงรวมกันกว่าร้อยคน แต่งกายด้วยผ้าปักทองและสวม เครื่องประดับกันมากมาย (คำ ให้การจีนกั๊กเรื่องเมืองบาหลี, เข้าถึงเมื่อ 25 มีนาคม 2561) ข้อเท็จจริงหนึ่งเรื่องความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจการค้าในสมัยรัชกาลที่ 3 พระองค์สนพระทัยเรื่อง ติดต่อการค้าขาย อาจสะท้อนผ่านผลการศึกษาด้านหนึ่งที่พบว่า รัชกาลที่ 3 ไม่ได้ทรงสนใจนาฏกรรมหลวงและ ส่วนของราษฎร (หมายถึงว่ามิได้ห้ามถึงขั้นปราบปรามแบบเข้มงวด ดังจะอธิบายต่อไป) จึงทำ ให้เกิดผลแง่หนึ่ง ว่า นาฏกรรมจึงเริ่มมีลักษณะเสรีมากขึ้น ไม่ได้เคร่งครัดและคงลักษณะตามแบบแผนในสมัยรัชกาลที่ 1 และ 2 และเมื่อประกอบกับการเปลี่ยนระยะเวลารับราชการจาก “เข้าเดือนออกเดือน” เป็น “เข้าเดือนออกสาม เดือน” จึงทำ ให้(ราษฎร)มีเวลารับชมมหรสพมากขึ้น นอกจากนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังเป็นช่วงเวลาที่นาฏกรรมเผยแพร่ออกมาภายนอกวัง มีละครหลวงต่าง ออกมาภายนอก ศิลปะชั้นสูงแบบหลวงแพร่กระจายได้รับความนิยมกันอย่างหลากหลายอีกด้วย


โขนในสมัยรัชกาลที่ ๓ พอจะเห็นได้ว่า เมื่อสืบข้อมูลเกี่ยวกับนาฏกรรมในสมัยรัชกาลที่ 3 แล้ว แม้ว่าอาจมีกระแสลดลงไปบ้าง เมื่อพิจารณาจากหลักฐานว่า ไม่มีการเล่นโขนละครแบบเอิกเกริก อันเป็นผลเนื่องมาจากความเป็นเปลี่ยนแปลง ตามสภาพในสังคมด้วย และเนื่องจากโปรดฯ ให้เลิกละครหลวง โขนหลวงอาจไม่ได้เฟื่องฟูในยุคนี้ แต่ในแง่ นาฏกรรมในสังคมโดยรวมแล้วก็มีพลวัตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งไม่ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว จะกริ้วกราดหรือทรงห้ามปรามอย่างใด ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำ รงราชานุภาพ นิพนธ์ไว้ว่า “พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรังเกียจการเล่นละครเป็นส่วนพระองค์จึงทรงเลิกละคร หลวงเสีย เมื่อทรงทราบว่าใครหัดละครขึ้น ก็ย่อมจะทรงติเตียนเป็นธรรมดา แต่มิได้มีพระราชประสงค์จะให้เลิก ละครเสียทั้งนั้นทีเดียว เพราะละครเป็นการเล่นสำ หรับบ้านเมืองมาแต่โบราณ แม้มีงานมหรสพของหลวงก็ยัง ต้องเล่นละครอยู่ตามประเพณี ข้อที่ทรงรังเกียจเฉพาะแต่การที่ผู้มีบรรดาศักดิ์หัดละคร แต่ฝ่ายข้างผู้ที่หัดเล่นละครก็มีข้ออ้างอย่างหนึ่งว่า แบบและบทละครซึ่งพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงไว้เป็นของประณีตบรรจงไม่เคยมีเสมอ เหมือนมาแต่ก่อน ถ้าทอดทิ้งเสียไม่มีใครฝึกหัดให้ละครเล่นรักษาไว้ แบบแผนละครหลวงก็จะสูญไปเสีย ความที่ กล่าวข้อนี้เป็นความจริง ก็เหมือนเป็นเครื่องป้องกันอีกอย่าง 1 แม้พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง รังเกียจการเล่นละคร จึงมิได้ทรงห้ามปรามผู้อื่นโดยพระราชานุภาพ” (สมเด็จฯ กรมพระยาดำ รงราชานุภาพ, 2546, 351)


Click to View FlipBook Version