สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1
เรอ่ื ง ตวั เรา
1. อวัยวะภายนอกของเรา
ร่างกายของคนเราประกอบดว้ ยอวัยวะตา่ งๆ ท่ีทาหน้าท่ีแตกตา่ งกัน ดงั น้ี
จมูก เรามีจมูก 1 จมกู
เรามจี มกู ไว้หายใจและดมกล่ินตา่ งๆ
ตา เรามตี า 2 ตา
เรามตี าไวม้ องดสู ่งิ ต่างๆ
มือ เรามมี ือ 2 ขา้ ง มอื แตล่ ะขา้ ง
มี 5 นว้ิ เรามมี อื ไว้หยบิ จับสิ่งของ
เขยี นหนังสือและทางานต่างๆ
ปาก เรามีปาก 1 ปาก เรามปี ากไว้
กินอาหาร ในปากมฟี นั ไว้ใช้เคย้ี ว
อาหารและมีลิ้นไวบ้ อกรสชาติของ
อาหาร
หู เรามีหู 2 หู เรามีหไู ว้ฟังเสยี งตา่ งๆ
เท้า เรามีเท้า 2 ขา้ ง เท้าแต่และขา้ ง
มนี ว้ิ 5นิว้ เรามีเท้าไว้เดนิ วิ่ง กระโดด
และทากจิ กรรมตา่ งๆ
การดูแลรักษาอวยั วะภายนอก
อวัยวะภายนอกของร่างกายมคี วามสาคญั ต่อการดารงชีวิตประจาวนั ของ
เรา หากเราดูแลและรักษาอวัยวะของเราอยา่ งถูกวธิ ี ก็จะทาใหเ้ ราไม่เจ็บป่วยได้ง่ายและ
ใชอ้ วัยวะทากิจกรรมต่างๆไดต้ ามปกติ
วิธรี กั ษาความสะอาดของอวัยวะ
1. แปรงฟันอย่างถกู วธิ ีทุกวนั 2. ลา้ งมอื ให้สะอาดก่อนกนิ อาหารและ
เพอื่ ใหป้ ากและฟันสะอาด หลังจากการขับถา่ ยทุกคร้ัง
3. หลังจากอาบน้า ให้ใช้ผ้าขนหนู
เช็ดตวั ให้แห้งก่อนสวมเส้ือผ้า
เพือ่ ไม่ให้เป็นโรคผิวหนัง
4. ล้างหนา้ ดว้ ยสบู่ และล้างนา้ ให้
สะอาดเพอ่ื ลา้ งสิ่งสกปรกบนใบหน้า
5.หวผี มอยเู่ สมอเพื่อไม่ให้ 6.อาบน้าฟอกสบถู่ ูตัวทุกวัน
เส้นผมพันกนั เพื่อให้ผิวหนงั สะอาด
5. ใบหนา้
6.สระผมด้วยยาสระผม อยา่ งนอ้ ยสปั ดาห์ละ
2 ครงั้ เพอื่ ให้เสน้ ผมและหนังศีรษะสะอาด
2. อวยั วะภายในของเรา หัวใจ
สมอง ปอด
กระดูก กระเพาะอาหาร
ลาไส้
หน้าทีข่ องอวัยวะภายในรา่ งกาย
ลาไส้ มีไวย้ อ่ ยอาหาร หวั ใจ ทาหน้าที่มไี วส้ บู ฉดี เลือดไป สมอง มไี วท้ าหนา้ ท่คี วบคุม
ยังอวยั วะตา่ งๆทวั่ ร่างกาย การเคลื่อนไหวของร่างกาย
กระเพาะอาหาร ทาหน้าที่ คือ ตบั ทาหน้าท่ีผลิตน้าดี ซงึ่ มี ปอด ทาหนา้ ทเ่ี ก่ยี วกบั การหายใจ
การย่อยสลายสารอาหารโมเลกุล ความจาเปน็ ในการย่อยอาหาร และแลกเปล่ยี นแก๊สออกซเิ จน
ใหญใ่ หเ้ ป็นโมเลกุลเล็ก และยังทาลายสารพิษท่ีเข้าไป
และคารบ์ อนไดออกไซด์
ในร่างกาย
สรปุ ความรู้วทิ ยาศาสตร์
ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 1
เรอ่ื ง ส่งิ มชี ีวิตรอบตวั
ส่งิ ทอ่ี ยูร่ อบตวั เรา
ส่งิ มีชวี ิต คอื สง่ิ ทสี่ ามารถ สงิ่ ไมม่ ชี วี ิต คอื สิ่งทไ่ี ม่
เคลอ่ื นทแี่ ละเคลอ่ื นไหวได้ สามารถเคลอ่ื นทแ่ี ละ
เคลือ่ นไหวได้ กินอาหาร
กนิ อาหารและนา้ ได้ และน้าไมไ่ ด้ ขบั ถ่ายไมไ่ ด้
ขับถ่ายได้ หายใจได้ หายใจไม่ได้ ไมม่ กี าร
เจริญเตบิ โตได้ สบื พนั ธุ์ เจริญเตบิ โต สืบพันธ์แุ ละ
และตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ ได้ ตอบสนองต่อสง่ิ เร้าไม่ได้
ตัวอยา่ งสิ่งมีชวี ติ
ตวั อย่างไม่สงิ่ มชี วี ิต
สิง่ มชี วี ิตรอบตัวเรา แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ สิ่งมชี วี ติ ที่เป็นพชื และสง่ิ มชี ีวิตทีเ่ ป็นสัตว์
สิง่ มีชวี ิตท่ีเป็นพืช
ช่อื สว่ นตา่ งๆของพชื หนา้ ที่สว่ นต่างๆของพืช
ดอก
ผล สรา้ งอาหาร
ใบ สบื พนั ธุ์
ลาตน้ ชูกงิ่ ก้าน ใบ และดอก
ราก ดดู นา้ และยดึ ลาต้นกับดิน
หอ่ หมุ้ เมลด็ และช่วยในการ
ขยายพันธุ์
สว่ นตา่ ง ๆ ของพืช
ประโยชนข์ องพืช
-ให้แกส๊ ออกซิเจน สาหรบั ให้คนและสัตวห์ ายใจ
-ใช้เป็นอาหาร
-ใช้เป็นยารกั ษาโรค
-ทาเป็นเครอ่ื งนงุ่ ห่ม
-สรา้ งเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั
สิ่งมชี ีวิตท่เี ป็นสตั ว์
หูทาหนา้ ท่รี ับฟังเสียง ตาทาหนา้ ที่มองเหน็
หางมหี นา้ ท่ีไวท้ รงตัว ส่ิงต่างๆ
เทา้ ทาหน้าทร่ี ับนา้ หนกั จมูกทาหนา้ ทด่ี มกลิ่น
และเคลื่อนไหว ปากทาหน้าที่กิน
ประโยชนข์ องสตั ว์
การจาแนกสตั วต์ ามประโยชน์
1. ใชเ้ ป็นอาหาร
ไก่ ไดป้ ระโยชน์ คอื เนือ้ ไก่ ไขไ่ ก่
หมู ได้ประโยชน์ คอื เน้ือหมู
ปลา ไดป้ ระโยชน์ คอื เนือ้ ปลา
2. เลีย้ งไวเ้ ป็นเพื่อนมนุษย์ เชน่ แมว กระตา่ ย สุนขั
3. เลี้ยงไวใ้ ช้งาน
- ชา้ ง ใช้ลากซงุ
- ควาย ใช้ไถนา
- ม้า ใชเ้ ปน็ พาหนะ
- ลิง ใช้เกบ็ ลูกมะพร้าว
4. เลี้ยงไว้เพอื่ ความสวยงาม เช่น ปลาทอง , ปลาหางนกยงู
5. นาขนมาทาของใชห้ รือเคร่อื งนงุ่ หม่
1. แกะ นามาทาเสอื้ ขนแกะ
2. ตัวไหม นามาทาผา้ ไหม
3. ไก่ นามาทา ไม้ขนไก่
6. ช่วยในการขยายและช่วยในการผสมพันธพ์ุ ืช เช่น ผงึ้ ผีเสอ้ื
7. กาจดั แมลงที่เปน็ ศตั รูพชื ได้ เช่น เป็ด กาจัดหอยเชอรร์ ่ี ในน้า
สรปุ ความรวู้ ิทยาศาสตร์
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1
เร่ือง วัสดรุ อบตวั เรา
วัสดทุ ี่นามาทาของเล่นของใช้ ของเล่น เปน็ สิง่ ทที่ าใหเ้ ราเกิดจนิ ตนาการ เกิด
ความสนกุ สนานเพลิดเพลิน ฝึกสมอง ฝกึ อวยั วะต่างๆ และทาใหเ้ กิดการเรยี นรู้ ของใช้
เปน็ สง่ิ จาเปน็ ในการดารงชีวิตประจาวนั ของเรา ทาให้เกิดความสะดวกสบาย และทาให้
มสี ุขภาพที่ดี
วสั ดุ คอื สงิ่ ท่เี รานามาทาของเลน่ ของใช้
วสั ดุ แบง่ เป็น 2 ประเภท
1. วสั ดธุ รรมชาติ
2. วัสดุทีม่ นษุ ย์สร้างขนึ้ วัสดุจากธรรมชาตทิ เ่ี รานามาทาของเล่นของใช้ ไดแ้ ก่
ไม้ เพราะมคี วามแข็งแรง ทนทาน
ดนิ สามารถนามาปัน้ ได้
โลหะ เชน่ เหล็ก สงั กะสี อะลูมเิ นยี ม โลหะจะมีความแขง็ แรง ทนทาน
ผา้ ไดม้ าจากเส้นใยธรรมชาติ เหนยี ว และออ่ นนุ่ม
กระดาษ ทามาจากเยอ่ื ไม้ บาง ฉกี ขาดงา่ ย
ยาง ไดม้ าจาก ยางของต้นยางพารา เหนยี ว และยืดหย่นุ สงู
วัตถุ หมายถึง เป็นส่งิ ทท่ี ามาจากวสั ดุ
วสั ดุ หมายถึง ส่ิงท่ีนามาทาเป็นวัตถุ
ของเลน่
ของใช้
สรปุ ความรู้วทิ ยาศาสตร์
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1
เร่อื ง เสียงรอบตัวเรา
การเกดิ เสยี ง
การเดนิ ทางของเสยี ง
อาศยั อากาศเปน็ ตัวกลางในการเดนิ ทางมาถึงหู ซึ่งแหลง่ กาเนดิ เสยี งจะทาให้อากาศรอบ ๆ
สัน่ สะเทอื นออกไปในทุกทิศทาง ตวั กลางท่ีถ่ายทอดเสียงได้ดีท่ีสุดคอื ของแขง็ ของเหลว และ
อากาศ หรือแก๊ส ตามลาดับ ย่ิงอยู่ใกล้ยงิ่ เสยี งดงั
การไดย้ นิ เสียงแตล่ ะคร้งั เรม่ิ ต้นทห่ี ูจะรบั การสั่นจากคลน่ื เสียง โดยมใี บหูช่วยสะทอ้ นคลื่น
เสียงเข้าไปในรูหู จะทาให้กระดกู ค้อน กระดกู ทง่ั และกระดูกโกลนสั่น แล้วสง่ สัญญาณไปยงั
กระดูกกน้ หอย ซึ่งของเหลวภายในหูจะถกู ดันใหเ้ ปน็ คล่ืนจังหวะเดยี วกับเสียง และส่งสัญญาณ
ตอ่ ไปยงั สมอง
แหล่งกาเนิดเสียง
แหล่งกาเนดิ เสียง คอื วตั ถุที่ทาให้เกดิ เสียง เมอ่ื วตั ถุนน้ั เกดิ การสั่นสะเทอื น แหล่งกาเนิดเสียง
แต่ละชนิดจะทาให้กาเนดิ เสียงท่มี คี วามแตกตา่ งกันไประดับความดงั ของเสียงมีหน่วยวัดเปน็
เดซิเบล (db)
1.เสยี งทีเ่ กดิ จากธรรมชาติ คอื เสยี งท่เี กดิ ขน้ึ โดยไมไ่ ด้มาจากการทาของมนุษย์ เช่น เสียง
ลมพดั เสียง นกรอ้ ง ฝนตก เสยี งใบไมไ้ หวกระทบกัน ฯลฯ
2.เสียงท่ีเกิดจากมนุษย์สรา้ งข้นึ เปน็ เสยี งทีเ่ กดิ จากการกระทาของมนุษย์
เชน่ เสียงเพลง เสียงจากเครอื่ งดนตรี เสยี งรอ้ งเพลง เสยี งร้องตะโกน เสยี งพูด ฯลฯ
ตวั อย่างเสยี งในชวี ิตประจาวนั
สายกตี าร์เกิดการเปล่ยี นแปลง คือ เกิดการสน่ั
ลาขลยุ่ เกิดการเปลย่ี นแปลง คอื เกดิ การสั่น
หนังกลองเกิดการเปลยี่ นแปลง คือ เกดิ การส่ัน
สายไวโอลินเกดิ การเปลยี่ นแปลง คือ เกิดการส่นั
แหลง่ กำเนิดแสง
แหลง่ กาเนดิ เสียงตามธรรมชาติ
แหลง่ กาเนิดเสียงทมี่ นษุ ยส์ ร้างข้ึน
สรปุ ความรูว้ ทิ ยาศาสตร์
ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 1
เรอ่ื ง หินรอบตวั เรา
หิน เป็นวัสดุธรรมชาติที่มนุษย์รู้จักนามาใช้ประโยชน์ ต้ังแต่สมัยเริ่มแรกท่ีมนุษย์
อาศัยอยู่ในถ้าและตามเพิงผาธรรมชาติ โดยกะเทาะหินให้มีเหล่ียมคมเพื่อใช้เป็นอาวุธ
เรียกว่า หินกะเทาะ และให้กินขัดถูกันให้เกิดประกายไฟเพ่ือใช้ในการก่อไฟ เป็นต้น จึงเรียก
มนุษย์ในสมัยนั้นว่ามนุษย์ยุคหิน ต่อมาเมื่อมนุษย์รู้จักพัฒนาเทคโนโลยีสูงขึ้น จึงได้นาหินมา
ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างท่ีอยู่อาศัย อาคาร และศาสนสถานต่าง ๆ ตลอดจนดัดแปลงทา
เครือ่ งใช้ เครื่องประดบั ปจั จบุ นั มนษุ ยก์ ็ยงั ใชป้ ระโยชนจ์ ากหิน
ลักษณะทัว่ ไปของหิน
หนิ เป็นวัตถุท่ีมมี ากท่ีสดุ ในโลก เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั วัตถอุ ่นื ๆ หินจะมคี ณุ สมบัตทิ ่ี
แตกต่างกนั เชน่ มคี วามแขง็ หรอื สที ีแ่ ตกตา่ งกัน หนิ อาจจะประกอบด้วยแรเ่ พียงชนดิ
เดียว หรอื ประกอบด้วยแร่แคลไซท์ เพยี งอยา่ งเดยี ว
นักวทิ ยาศาสตรไ์ ด้แบ่งหนิ ออกเปน็ 3 ลักษณะ
1. หนิ อคั นี คอื หินที่เกิดจากการหลอมเหลวภายในโลก และไหลออกมาตาม รอยแยกของเปลอื ก
โลก หรือเมอ่ื เกดิ ภูเขาไฟระเบดิ เม่ือเย็นลงจะเรยี กหินเหลา่ น้ีว่า “หนิ อัคนี ”
2. หินช้นั หรือหนิ ตะกอน ลกั ษณะของหินชน้ั หรือหินตะกอนก็เหมอื นช่ือของมนั คือมีการจับตัว
และแบง่ แร่เปน็ ชน้ั ๆ ในก้อนหนิ ซึ่งสามารถมองเหน็ ได้ชัดด้วยตาเปลา่ มันเกดิ ขึ้นจากการทับถม
ของตะกอน เศษหนิ แร่ ดนิ กรวด ทรายทีผ่ พุ งั อาจจะดว้ ยน้าหรอื ลมพัดพาพวกมนั มากองรวมกัน
ในแอ่งทีต่ า่ ขนาดใหญ่ ทซี่ ึ่งมนั จะทับถมกันผ่านเวลาหลายล้านปจี นกลายเปน็ ก้อนหินในท่สี ุด
3. หนิ แปร คอื หินที่ถกู แปรรูปมาโดยปจั จัยในการแปรรูปของมันคือ แรงดัน อุณหภมู ิ และ
ปฏิกริ ิยาเคมี ซึ่งทาให้เนือ้ หนิ โครงสร้าง และแรซ่ งึ่ ประกอบในหนิ ด้ังเดมิ เปล่ียนไป
สรุปความรูว้ ิทยาศาสตร์
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1
เรอื่ ง ทอ้ งฟ้าของเรา
ดวงดาว คอื วัตถุบนท้องฟ้าที่สอ่ งแสงสว่าง ระยบิ ระยบั บนทอ้ งฟ้า ในเวลา
กลางคนื ในเวลากลางวนั เรามองไมเ่ ห็นดวงดาว เพราะว่า แสงจากดวงอาทติ ย์ สว่างจา้
กวา่ แสงของดวงดาวอน่ื ๆ
ในเวลา กลางวัน จะมีดวงอาทิตย์เสมอ ทาหน้าท่ีให้แสงสว่างทาให้เรามองเห็น
สิ่งต่าง ๆ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ทาให้โลกอบอุ่น ผ้าแห้งเร็ว และยังนามาถนอม
อาหารได้ด้วย แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สามารถนามาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าให้ความ
สว่างในบา้ นเรอื นได้ และเมอื่ ถึงตอนกลางคืนดวงอาทติ ยจ์ ะหายไป
ในเวลา กลางคืน เม่ือดวงอาทิตย์ตก เราจะมองเห็นดวงจันทร์ และดวงดาวแทน
อากาศจะเย็นลงเนื่องจากไม่มีความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ (ดวงจันทร์สว่างเพราะได้รับ
แสงจากดวงอาทิตย์ ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์เราก็จะมองไม่เห็นดวงจันทร์) และเม่ือดวง
อาทติ ยข์ นึ้ อีกครั้งกลางวันและกลางคืนจะหมนุ เวียนสลับกันไปเสมอ
สิ่งมชี ีวติ ในเวลากลางวันและเวลากลางคืน
สัตว์สว่ นใหญ่ต่นื นอนตอนดวงอาทติ ย์ข้ึน และเข้านอนตอนดวงอาทิตย์ตก แต่สัตว์
บางชนิด เชน่ นกฮกู และค้างคาว จะนอนหลับตอนกลางวนั และออกหากินตอนกลางคนื
แทน เพราะพวกมนั มีดวงตาทแ่ี ตกตา่ งจากเรา จงึ ทาใหส้ ามารถมองเหน็ ไดใ้ นความมืด
ท้ังเวลากลางวันและกลางคืนต่างก็มีความสาคัญ เพราะพืชและสัตว์ต้องการแสง
สว่างในการดารงชีวิต พืชต้องการแสงอาทิตย์และน้าเพ่ือการเจริญเติบโตท้ังสัตว์เล็ก
และสัตว์ใหญ่ล้วนกินพืชเป็นอาหาร แต่ท้ังพืชและสัตว์ต่างก็ต้องการเวลาในการพักผ่อน
เช่นกนั
ผลงำนช้ินนเ้ี ปน็ ลขิ สทิ ธ์ิ
ของเพจแบ่งปัน Science teaching media
https://www.facebook.com/Science.Biology14/
อนญุ ำตให้นำไปใชเ้ พือ่ กำรศึกษำเท่ำน้ัน
ไม่อนุญำตให้นำไปจำหน่ำยหรือดัดแปลงเพอื่ กำรจำหน่ำย
ไม่อนุญำตให้นำไปอัพโหลดใหม่
หำกฝ่ำฝืนดำเนนิ กำรตำมกฎหมำย แจง้ เปน็ ลำยลกั ษณอ์ กั ษร
ตอ่ ผู้บังคับบัญชำของท่ำนตอ่ ไป