สรปุ ความร้วู ิทยาศาสตร์
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2
เรือ่ ง สิ่งรอบตัวเรา
รอบตัวเรามีสิ่งตา่ งๆ มากมาย มรี ูปร่างลกั ษณะและทีอ่ ยูแ่ ตกตา่ งกนั เช่น คน พืช สตั ว์
สง่ิ ของ เก้าอ้ี ดินสอ ยางลบ เป็นตน้ บางชนดิ เคลอ่ื นที่ได้ บางชนดิ เคลือ่ นท่ีไมไ่ ด้ หายใจได้ กนิ
อาหารได้ เจริญเติบโตได้ บางชนิดมีลักษณะตรงกันขา้ มกบั ท่ีกล่าวถงึ เราจึงแยกสิ่งต่างๆ รอบตัว
เราออกเปน็ 2 กล่มุ ใหญๆ่ คือ กลมุ่ สิ่งมชี ีวิต กับไม่มีชีวิต
1. กลมุ่ สง่ิ มีชวี ติ
ส่งิ มชี ีวิต ไดแ้ ก่ มนษุ ย์ สัตว์ และพชื ซึ่งมกี ารดารงชวี ิตทเี่ หมือนกนั คือ กินอาหารได้
เคล่อื นท่ไี ด้ เตบิ โตได้ มลี ูกได้ และหายใจได้
คน หรอื มนษุ ย์ คนกนิ อาหารโดยใชป้ าก มีการเจริญเตบิ โต เคลื่อนท่ีโดยการเดิน วิ่ง กระโดด
หายใจทางจมกู และมลี กู หลานได้
สตั ว์ กินอาหารโดยใชป้ าก มีการเจรญิ เติบโต เคลือ่ นโดยการว่ิง กระโดด บนิ เล้อื ยคลาน ว่ายนา้
มีการหายใจและ มีลูกหลานสืบพันธไุ์ ด้
พืช เป็นส่ิงมชี วี ติ ทีด่ ูดหรือกินอาหารทางราก มีการเจริญเติบโต เคลอื่ นไหว หายใจทางใบ และ
ขยายพันธุไ์ ด้
2. ส่ิงไมม่ ีชวี ิต
ส่งิ ไมม่ ีชวี ิต ไม่สามารถกินอาหาร หายใจ เคลื่อนไหว เจริญเติบโต และมีลกู หลานได้
ตัวอยา่ งสงิ่ ไมม่ ชี ีวติ ทม่ี นษุ ย์สร้างขน้ึ
ตวั อยา่ งสิ่งไมม่ ีชวี ิตทีเ่ กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ
สง่ิ ไมม่ ีชวี ิตมีท้งั ที่เกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติและมนุษย์สรา้ งขนึ้ ซึ่งสิ่งท่ีเกิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติ เช่น น้า ดนิ อากาศ เปน็ ตน้ และสิง่ ไมม่ ชี ีวิตทีม่ นุษยส์ ร้างขนึ้ เช่น บ้าน รถยนต์ นาฬิกา
แวน่ ตา ภาชนะเครื่องใชต้ ่างๆ เป็นต้น
สิ่งมีชวี ติ ส่งิ ไมม่ ชี ีวิต
คน สัตว์ พชื ธรรมชาตสิ ร้าง มนษุ ย์สรา้ ง
ลกั ษณะสาคัญของส่ิงมชี วี ิตและสงิ่ ไมม่ ชี ีวิต
สงิ่ มีชีวติ สง่ิ ไมม่ ชี ีวติ
1.ตอ้ งการอาหารและนา้ ในการด้ารงชีวติ 1.ไม่ตอ้ งการอาหารและนา้ ในการดา้ รงชีวิต
2.ตอ้ งการอากาศในการหายใจ 2.ไม่ตอ้ งการอากาศในการหายใจ
3.มกี ารเจริญเตบิ โต 3.ไม่มีการเจริญเตบิ โต
4. มีการเคลื่อนไหวและเคลือ่ นที่ 4. ไมม่ กี ารเคลือ่ นไหวและเคลือ่ นท่ี
5.มีการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย 5.ไม่มกี ารขับถ่ายของเสยี ออกจากร่างกาย
6.มีการสืบพันธ์ุ 6.ไม่มีการสืบพนั ธุ์
7.มีการตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้า 7.ไม่มกี ารตอบสนองต่อส่งิ เร้า
การดารงชีวติ ของพืชและสตั ว์
พืช และสตั ว์เปน็ ส่ิงมชี ีวิต จึงต้องการปจั จัยบางประการทีใ่ ช้ในการดารงชีวิตและการ
เจริญเติบโต
1. ปจั จัยในการการดารงชีวิตและการเจริญเติบโตของพชื
1.1 ปัจจัยท่ที าให้เมลด็ พืชงอกเปน็ ตน้ พชื ใหมไ่ ด้ คอื สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ซึง่ ไดแ้ กน่ า้ หรอื ความชื้น อุณหภมู ิทพี่ อเหมาะ แสงแดด ธาตุอาหาร และอากาศ
ปัจจยั ในการดารงชีวติ และการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์
สัตว์เปน็ ส่งิ มชี ีวติ ที่ต้องการอากาศ อาหาร และน้าเพ่ือใช้ในการ
ดารงชีวติ เชน่ เดยี วกับมนษุ ย์
2.1. อากาศ สตั ว์ทุกชนิดตอ้ งการอากาศในการหายใจ เพื่อให้สามารถดารงชวี ติ อยูไ่ ด้ ถ้ามมี ี
อากาศหายใจ สตั ว์ต่าง ๆ ก็จะตายสัตว์ที่อาศยั อยู่บนบก เชน่ สุนัข แมว วัว มา้ ชา้ ง เป็ด ไก่ จะ
หายใจโดยใชอ้ ากาศทีอ่ ยู่รอบตวั
สตั ว์ทีอ่ าศัยอย่ใู นน้า เช่น ปลา กุง้ หอย จะได้รับออกซิเจนจากอากาศท่ีอยใู่ นนา้
2.2. น้า สัตว์ทุกชนิดต้องการน้าในการดารงชีวิตด้วย ถา้ นกั เรียนสังเกตรอบ ๆ
บรเิ วณแหล่งน้าตามธรรมชาติ จะพบว่า มีสัตวอ์ าศยั อยมู่ ากมาย สัตว์ต้องด่ืมนา้
เพ่อื ใชใ้ นกระบวนการตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ถ้าสตั ว์ขาดน้าเปน็ เวลานาน สัตวก์ จ็ ะตาย
2.3. อาหาร สัตวต์ ่าง ๆ ตอ้ งกินอาหาร สัตว์ตอ้ งการอาหารเพอื่ ให้พลงั งานแก่
รา่ งกาย ช่วยให้รา่ งกายเจรญิ เตบิ โตและดารงชวี ติ ตอ่ ไปไดส้ ัตว์แต่ละชนดิ กินอาหาร
แตก ตา่ งกัน ซง่ึ สามารถจาแนกสัตว์ไดต้ ามลักษณะอาหารทกี่ นิ ได้เปน็ 3 ประเภท ดงั นี้
2.3.1. สตั ว์ท่ีกินพืชเป็นอาหาร
สัตว์ ประเภทนี้มมี ากมายหลายชนิด เชน่ ช้างกนิ พืช ผัก และผลไมบ้ างชนิด
เปน็ อาหาร ววั ควาย กระตา่ ย กินหญา้ เป็นอาหาร กวางกนิ ใบไมน้ กบางชนดิ กินผลไม้
และน้าหวานจากเกสรของดอกไม้เปน็ อาหาร
2.3.2. สตั วท์ ี่กนิ ทง้ั พชื และสัตวเ์ ป็นอาหาร
สตั ว์บางชนิดสามารถกินได้ทั้งพืช และสัตว์เป็นอาหาร เชน่ เป็ด ไก่ สนุ ขั สกุ ร หมี หนู
วัฏจักรชีวิตของพชื
วฏั จกั รชวี ติ หมายถึงระยะการเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาท้งั หมดของสงิ่ มีชีวิตหน่งึ ๆ เรมิ่ ตง้ั แต่
ระยะการสร้างไซโกต (zygote) จนถงึ การสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ (gamete) ดงั ตัวอย่างวัฏจักรชวี ิตพชื
ดอกทว่ั ๆไปในแผนภาพขา้ งลา่ ง
สรปุ ความรู้วทิ ยาศาสตร์
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2
เรอ่ื ง ชีวติ พืช
ปจั จัยทีจ่ าเป็นต่อการดารงชีวิตของพชื
พืชมคี ลอโรฟลิ ล์เปน็ ตวั ดูดกลืนแสง เพอื่ น้าแสงมาใชเ้ ปน็ พลังงาน
แสง ในกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง หรอื การสร้างอาหารของพชื
นา้ นา้ ช่วยละลายธาตอุ าหารท่ีอยู่ในดิน ท้าให้รากดดู และลา้ เลยี งธาตุ
อากาศ อาหารเหล่านัน้ ไปยังสว่ นต่างๆ ของพชื ได้ พชื ใชน้ ้าในกระบวนการ
สังเคราะหด์ ว้ ยแสงหรอื การสร้างอาหารของพชื
ในตอนกลางวัน ช่วงทมี่ แี สงพืชจะใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซดใ์ นกระบวน
การสังเคราะห์ด้วยแสงหรือการสร้างอาหารของพืชและหายใจเอาแก๊ส
ออกซิเจนออกมา ในตอนกลางคืน ชว่ งท่ไี มม่ แี สงพชื จะใช้แกส๊ ออกซเิ จน
สา้ หรบั หายใจ
ธาตุ พชื ตอ้ งการธาตอุ าหารชนิดตา่ งๆ ท่มี อี ยูใ่ นดิน โดยรากของพชื จะดูดซึม
อาหาร ธาตุอาหารไปเลย้ี งสว่ นต่างๆ ของพืช เพือ่ ทา้ ให้พืชมีการเจรญิ เติบโต
และแขง็ แรง
สว่ นประกอบต่างๆ ของพชื ดอก
เกสรตัวผู้ อับเรณู ยอดเกสรตวั เมีย เกสรตัวเมยี
กา้ นชอู บั ก้านชเู กสรตัว
เรณู
เมีย รงั ไข่
กลีบดอก กลบี เล้ียง
ฐานรองดอก ออวลุ
กลบี เล้ียง หนา้ ที่
กลีบดอก เปน็ สว่ นทอ่ี ยดู่ ้านนอกสุด มักมสี ีเขียว ทา้ หน้าทีห่ ่อหุม้ ส่วน
เกสรเพศผู้ ของดอก ในขณะทยี่ ังตูมอยู่ เพื่อปอ้ งกันอนั ตรายจากแมลง
เกสรเพศเมีย
หน้าที่
เปน็ สว่ นทม่ี สี ีสวยงาม มีกลนิ่ หอม เพ่ือช่วยลอ่ แมลงใหม้ า
ผสมเกสร ท้าหน้าทีห่ อ่ หุ้มเกสรขณะที่เกสรยังออ่ นอยู่
หน้าที่
เป็นส่วนทอี่ ยถู่ ดั จากกลบี ดอก
มกั มีอยู่หลายอัน ท้าหน้าท่ีสร้างเซลล์สืบพันธุเ์ พศผู้
หนา้ ที่
เปน็ สว่ นท่ีอยชู่ ้ันในสดุ
ทา้ หนา้ ที่ในการสร้างเซลล์สบื พนั ธุ์เพศเมยี
ขนั้ ตอนการปฏสิ นธิของพชื ดอก
ปฏิสนธิของ
พืชดอก เม่ือเจริญเติบโตเต็มท่ีแล้วจะออกดอก และเม่ือเกิดการปฏิสนธิก็จะ
กลายเป็นผล ซ่ึงภายในผลจะมีเมล็ดท่ีเจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่ได้ การเปล่ียนแปลงนี้
เรียกกันว่า วัฏจักรชีวิตของพืชดอกโดยทั่วไป วัฏจักรชีวิตของพืชจะมีขั้นตอนของการ
เจริญเติบโต คือ รากจะงอกออกมาจากเมล็ด ก่อนลงสู่ดินเป็นข้ันตอนแรก หลังจากนั้นลา
ต้นจะงอกออกจากเมล็ดขึ้นไปในอากาศ แล้วมีการแตกใบ ต่อมามีการออกดอก และใน
ข้ันตอนของการเปล่ียนแปลงจากดอกไปสู่ผลนั้น ดอกมีการถ่ายละอองเรณู ทาให้เกิดการ
ปฏิสนธิ จากนั้นกลีบดอกค่อย ๆ เห่ียวแล้วหลุดร่วงไป โดยส่วนของผลจะค่อยๆ
เจริญเติบโตข้ึนมาแทนที่ ผลของพืชจะมีเมล็ดอยู่ภายใน ท่ีพร้อมเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่
ต่อไป ซึ่งจะเกดิ หมุนเวยี นต่อกันไปเช่นน้เี รื่อย ๆ
วฏั จกั รของพชื ดอก
เมลด็
ดอกเจรญิ เตบิ โตเป็นผล เมลด็ งอก
ในผลมเี มล็ด
ตน้ กลา้
เมื่อโตเตม็ ท่จี ะเร่มิ ผลดิ อก ต้นไมเ้ ตบิ โตเตม็ ทแ่ี ตย่ ังไมม่ ดี อก
ประโยชนข์ องพชื
1.ตน้ ไมจ้ ะช่วยคายออกซเิ จนในชว่ งกลางวนั ทาให้เราไดอ้ ากาศบริสุทธ์ิซงึ่ การไดส้ ดู อากาศบริสทุ ธิ์
มผี ลดตี อ่ สขุ ภาพของเรา
2. ช่วยดดู ซบั ก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซด์ ซง่ึ เป็นตัวการใหเ้ กิดภาวะเรอื นกระจก ทาให้เกิดภาวะโลก
รอ้ น
3. เปน็ รม่ เงา บงั แสงแดด ใหเ้ กดิ ความรม่ รื่น
4. เป็นทอ่ี ยู่ อาศัยของสัตวป์ ่า
5. พชื ผล สามารถนามารับประทานเป็นอาหาร หรือ ยารกั ษาโรคได้
6. เปน็ แหล่งตน้ น้า ลาธาร เนือ่ งจากที่บริเวณราก ที่ดูดซบั นา้ และ แรธ่ าตุ เป็นการกกั เก็บน้าไว้
บรเิ วณผิวดนิ
7. บรเิ วณรากของตน้ ไม้ ท่ียึดผวิ ดิน ทาใหเ้ กิดความแขง็ แรงของบรเิ วณผิวดนิ ป้องกนั การพัง ทลาย
จากดนิ ถล่ม เนือ่ งจากมีรากเป็นส่วนยดึ ผิวดนิ อยู่ ตัวอยา่ งท่ีเหน็ เดน่ ชดั คือ การสาธติ การนาหญ้า
แฝกมาประยุกต์ ปอ้ งกันการพังทลาย ของหน้าดนิ ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว ซง่ึ เป็นพระ
ปรชี า สามารถของพระมหากษัตริย์ ประเทศของเรา
8. เปน็ แนวปอ้ งกัน การเกิดน้าท่วม เนอื่ งจาก เม่อื เกิดสภาพทนี่ า้ เกินสมดลุ ท่วมลงมาจากยอดเขา
จะมีแนวปา่ ตน้ ไม้ ชว่ ยชะลอความแรง จากเหตุการณ์นา้ ท่วม
9. ลาตน้ สามารถ นามาแปรรปู ทาประโยชน์ ตา่ งๆ เชน่ บ้านเรือน ที่พักอาศยั สะพาน
เฟอร์นเิ จอร์ เรอื
10. การปลกู ต้นไม้ เปน็ การผอ่ นคลายความเครียดไดอ้ ยา่ งหนง่ึ
11. เม่อื เจรญิ สามารถนาไปขายไดร้ าคา โดยไมเ่ สยี ค่าใช้จา่ ยมาก
12 ตน้ ไม้ เปน็ แหลง่ อาหารท่ีสาคญั ต่อบรรดาสัตว์ปา่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ในระบบนิเวศวิทยา ฯ
สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2
เรอ่ื ง วัสดรุ อบตัวเรา
วสั ดุ หรือสงิ่ ของตา่ งๆ ทีอ่ ยรู่ อบตัวเรามีท้ังท่ีเปน็ ของเล่นของใช้ รวมถึงสง่ิ ท่ีเรานามา
รบั ประทาน ซึ่งล้วนแต่เป็นสง่ิ ที่สาคัญในชีวิตประจาวนั
วัตถุ คอื สง่ิ ของท่ีมีความแตกต่างกัน ท้ังรปู ร่าง ขนาด น้าหนัก สี กลน่ิ ของเล่นของใช้ เช่น
หนงั สือ จกั รยาน ดนิ สอ กระเปา๋ นกั เรียน หนุ่ ยนต์ หมอน ตกุ๊ ตา เป็นต้น วตั ถุต่างทามาจากวัสดุ
หลายชนิด และวัสดบุ างชนิดก็ทามาจากธรรมชาติ เชน่ ดนิ หิน ไม้ บางชนดิ มนษุ ย์เป็นผู้ผลิตหรือ
ทาข้ึน เช่น พลาสตกิ แกว้ โลหะ กระดาษ เป็นต้น
วัสดุ คือ สิ่งที่นามาใช้ทาของเลน่ และของใชต้ ่างๆ ดงั นัน้ พลาสติก ไม้ ผ้า ทราย โลหะ จงึ เป็นวัสดุ
เพราะนามาใชท้ าของเลน่ ของใช้
ของเลน่ ของใชบ้ างอยา่ งทามาจากวัสดุเพยี งอย่างเดียว เชน่ ไมบ้ รรทดั ทาจากพลาสตกิ ลกู บอลทา
มาจากหนงั ของเลน่ บางอยา่ งทามาจากไม้ ผา้ ขนหนูทาจากผ้าของเลน่ ของใช้บางอย่างทามาจาก
วัสดุหลายชนดิ ประกอบกัน เพ่ือให้เหมาะสมกับการใช้งาน เชน่ รองเท้าผา้ ใบ ดินสอ กระเปา๋ ที่
นอน โทรศพั ท์ เปน็ ต้น
ท่มี าของวัสดุ
วสั ดุแตล่ ะชนิดมแี หลง่ ท่ีมาแตกต่างกัน คือ
มาจากพืช เชน่ ไม้ เส้นใยพืช ใบพืช เย่อื ไม้ แผ่นยาง อื่นๆ
มาจากสัตว์ เช่น หนังสตั ว์ เขาสตั ว์ กระดูกสัตว์ เสน้ ไหม ขนสตั ว์ อ่นื ๆ
มาจากธรรมชาติ เช่น หิน ดิน ทราย แร่ธาตุอ่นื ๆ
มาจากคนสร้างข้ึน เช่น แก้ว พลาสตกิ หนังเทียม ใยสังเคราะห์ อ่ืนๆ
สมบัติของวสั ดุ
สี ต่างๆ ลกั ษณะผวิ สัมผัส เชน่ เรียบ ขรุขระ ความแข็ง หรือความออ่ นนมุ่ หนัก เบา
ยืดหยุน่ ได้ เหล่าน้ี เป็นสมบตั ขิ องวัสดุ ดังนน้ั วสั ดุแต่ละชนิดมแี หลง่ ท่มี าทตี่ ่างกัน จึงมีสมบตั ิที่
แตกต่างกัน
วัสดทุ น่ี ามาทาของเลน่ ของใช้
วัสดทุ ่ีนามาทาเป็นของเล่นของใช้ เพือ่ ให้วสั ดุเหล่าน้นั มีความคงทนตามคุณสมบัติ โดยคานึงถึง
ความเหมาะสม และความปลอดภัย ประโยชนข์ องการใชง้ านและความทนทาน
วัสดุทนี่ ามาทาของเล่นของใชม้ ีหลายชนดิ เชน่
1. พลาสตกิ เปน็ วสั ดุท่มี ีความยดื หยนุ่ และคงทน เหมาะสมกบั การประดษิ ฐแ์ ละการใช้งาน
พลาสติกทยี่ ืดหยุน่ ได้ ใช้ทาของเล่นของใชต้ า่ งๆ เชน่ ลูกโปง่ ต๊กุ ตาของเล่น ยางรัดของ
พลาสตกิ ท่คี งทนและแข็งแรงใช้ทาของใช้ได้ เชน่ ท่อนา้ กระติกนา้ เก้าอี้ โต๊ะ แก้วนา้ จาน
ชาม เป็นตน้
2. ไม้ เป็นวัสดทุ มี่ ีความคงทน ไม่หกั แตกงา่ ยใช้ทาของเล่นของใช้ต่างๆ เชน่ โตะ๊ เกา้ อี้ ตู้ ของ
เล่นเด็ก เป็นต้น
3. โลหะ เปน็ วสั ดทุ ม่ี คี วามคงทน แขง็ แรง ผิวมนั วาวสามารถโค้งงอได้ โลหะมีหลายชนดิ เช่น
เหลก็ ทองแดง อะลูมิเนียม สแตนเลส เปน็ ตน้
4. ผา้ มที ัง้ ท่ีเป็นเส้นใยธรรมชาติ และเสน้ ใยสงั เคราะห์ มคี วามอ่อนนมุ่ ยดื หย่นุ ได้ นยิ มนามา
ถักทอและใชต้ ดั เส้อื ผ้า
5. ดนิ ดนิ ท่ีนิยมนามาทาของเล่นของใช้ คือ ดนิ เหนียว นามาทาเครือ่ งปนั้ ดินเผา เชน่ แจกัน
ถว้ ยชาม กระถางต้นไม้ อิฐ และของใช้ที่ใชส้ าหรบั ตกแตง่ บา้ น
ประโยชนแ์ ละอันตรายจากของเลน่ ของใช้
ของเล่นและของใช้ต่างๆ มีท้ังประโยชน์และโทษ เช่น จานชาม ทามาจาก พลาสติก แก้ว
อลูมิเนียม ใช้ประโยชน์ในการใส่อาหาร ภาชนะที่มีสีไม่ควรนามาใช้ เพราะสีท่ีอยู่ในภาชนะไม่
ปลอดภัยจะผสมละลายปนเปื้อนออกมาเมื่อได้รับความ ร้อน ส่วนภาชนะที่ทาจากแก้ว พลาสติก
กระเบื้อ เป็นวัสดุที่แตกหักง่าย สมุดหนังสือ ทามาจากกระดาษใช้ประโยชน์ในการเรียน แต่โทษ
ของหนังสือนั้นเราจะตอ้ งรูจ้ ักเลือกประเภทของหนังสือท่ีนามาอ่าน จะต้องเลือกหนังสือประเภทท่ี
อ่านแล้วประเทืองปัญญา ให้ความรู้ และมีสาระ ของเล่น ของเล่นที่ทาด้วยผ้า พลาสติก เช่น
ตุ๊กตา หรือของเล่นท่ีเป็นหุ่นยนต์หรือรถยนต์ มีประโยชน์คือ ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน
หลังจากใช้แล้วต้องรู้จักเก็บให้เป็นระเบียบ เพราะอาจทาให้เหยียบล่ืนหกล้มเกิดอันตรายได้
ของใช้ท่ีเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า ควรระวังการใช้งาน เวลาที่จะเสียบปล๊ักมือและร่างกายต้องแห้งเสมอ
มฉิ ะน้นั จะเกดิ ไฟดดู เกิดอันตรายได้
สรปุ เรอ่ื งของเล่นของใช้ คอื
1. สมบัติ ของวสั ดุ ไดแ้ ก่ สี ลักษณะผวิ สัมผัส เชน่ ขรุขระ เรียบ แข็ง อ่อนนุ่ม หนัก เบา
ยดื หยุ่นได้ วสั ดตุ า่ งชนดิ กันมรคุณสมบัตทิ ีแ่ ตกต่างกัน
2. วัตถุทามาจากวัสดหุ ลายชนดิ บางชนดิ ทามาจากธรรมชาติ บางชนดิ มนษุ ยส์ ร้างขน้ึ
3. วัตถบุ างอยา่ งทามาจากวัสดชุ นิดเดยี ว วัตถบุ างอยา่ งทามาจากวัสดุหลายชนิด
4. ของเล่นของใชบ้ างอยา่ งมีประโยชน์ แต่บางครั้งกม็ ีโทษและอันตรายได้ ดงั น้ันตอ้ งรจู้ กั ใช้
ร้จู กั เกบ็ รู้จกั รักษา ซอ่ มแซมเพ่อื ความปลอดภัยต่อตนเองและผ้อู ืน่
สรปุ ความรู้วทิ ยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2
เร่ือง แสงและการมองเหน็
ส่วนประกอบของตา
ในสว่ นนี้การทจ่ี ะกล่าวถึงแสงและการมองเหน็ ผมขอเกรนิ นา สว่ นประกอบของตาก่อนนะ
ครบั เพราะวา่ ตาเป็นส่วนท่ีสาคัญเชน่ เดียวกัน ส่วนประกอบของตาเราสามารถดูไดจ้ ากรูปด้าน
ขวามอื ครบั ซ่งึ รูปกไ็ ดอ้ ธบิ ายสว่ นประกอบไว้ชดั เจนแล้ว แตจ่ ะขออธบิ ายเพ่มิ เตมิ ในสว่ นทสี่ าคัญ
ดงั นี้
1.ม่านตา เป็นส่วนควบคุมความเขม้ แสงใหเ้ หมาะสม
2.เรตินา เป็นจอรับภาพ ภาพท่ตี กลงบนเรตินาจะเป็นภาพหัวกลบั โดยจะสง่ ขอมลู ไปยงั
ประสาทตาแปลสัญญาณตอ่ ไป
3.เลนสต์ า เปน็ เน้อื เยื่อท่ีเหนียวและทนทาน รูปร่างคลา้ ยเลนสน์ นู เพ่อื รวมแสงไปตกท่เี รตนิ า
ดวงตาเรามองเห็นภาพไดจ้ ากการทีแ่ สงสะท้อนจากวัตถุเขา้ สลู ูกตา โดยแสงจะผา่ นเลนส์ตาไปตก
บนเรตินา
แสงเป็นพลังงานรูปหนงึ่ ท่ีตอ้ งใช้ตาในการรับรู้ แสงท้าให้เรามองเห็นส่งิ ตา่ งๆ ได้
โดยสงิ่ ทเี่ ป็นต้นกา้ เนิดของแสง เรยี กว่า แหลง่ กาเนิดแสง
แหลง่ กาเนิดแสง มี 2 ประเภท
1.แหล่งกาเนดิ แสงท่ีเกดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ คอื ส่งิ ที่ทา้ ให้เกดิ แสงไดด้ ว้ ยตวั เอง โดยอาจ
เกดิ จากปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรอื สิ่งมชี วี ิตบางชนดิ เชน่ หง่ิ หอ้ ย ฟา้ ผ่า ปลาบางชนดิ
2.แหลง่ กาเนดิ แสงทมี่ นุษยส์ ร้างขน้ึ คือ ส่งิ ท่ที ้าใหเ้ กดิ แสง ซง่ึ เกิดจากการสรา้ งหรือเกิดจาก
การกระท้าของมนุษย์ เช่น เทียนไข กองไฟ หลอดไฟฟ้า
การเคลื่อนทขี่ องแสง
1. แสงเคล่ือนที่ออกจากแหล่งกา้ เนดิ แสงทุกทศิ ทาง
2. แสงเคลื่อนทอ่ี อกจากแหล่งก้าเนดิ แสงเป็นแนวเสน้ ตรง
ตัวอยา่ งแหล่งกาเนดิ แสง
1. ดวงอาทติ ย์ เป็นแหลง่ ก้าเนดิ แสงตามธรรมชาติท่ใี หญท่ ่ีสุดและส้าคญั ทสี่ ุด
เม่ือปี พ.ศ. 2209 เซอร์ไอแซก นวิ ตัน นักวทิ ยาศาสตรช์ าวองั กฤษ ไดท้ ดลองเกีย่ วกบั เรอื่ งแสง พบวา่
ถา้ ใหแ้ สงอาทิตยส์ ่องผ่านปรซิ มึ แสงจะเกิดการหักเหออกมาเปน็ แสงสตี า่ ง ๆ 7 สี เรียกว่า “สเปกตรัม” เร่ิม
จากแสงท่ีมีความยาวคลืน่ สัน้ ไปหาแสงสีทีม่ คี วามยาวคลืน่ ยาวไดด้ ังนี้ คือ มว่ ง คราม น้าเงนิ เขยี ว เหลอื ง
แสด และแดง ท่ีสามารถมองเห็นได้ นอกจากนี้ยังมรี ังสีอ่นื ๆ ท่ีไมส่ ามารถมองเหน็ ได้ ไดแ้ ก่ รงั สเี หนือมว่ ง
หรอื รังสอี ัลตราไวโอเลต เป็นรังสีทม่ี คี วามถ่ีสงู กวา่ แสงสีมว่ ง และรังสีใต้แดงหรือรงั สีอนิ ฟาเรด เป็นรังสีท่มี ี
ความถี่ตา้่ กว่าแสงสแี ดง
2. สง่ิ มชี ีวติ เชน่ หิง่ ห้อย ปลาบางชนิด
3. เทียนไข คบเพลงิ หลอดไฟฟ้า เปน็ แหลง่ ก้าเนิดที่มาจากการเปลี่ยนแปลงพลังงานรูปอน่ื
มาเปน็ พลังงานแสง ปริมาณพลังงานแสงทสี่ อ่ งออกมาจากแหล่งกา้ เนดิ แสงใดๆ ตอ่ หน่งึ หน่วยเวลา
หรอื อัตราการใหพ้ ลงั งานแสงของแหล่งก้าเนิดแสง มีหน่วยการวัดเป็น ลูเมน หลอดไฟฟ้าทีน่ ิยมใช้กัน
ตามบ้านเรอื นมี 2 ชนิด คือ หลอดไฟฟา้ แบบไส้ และหลอดเรอื งแสงหรอื หลอดฟลูออเรสเซนต์ ใน
จา้ นวนวตั ต์ทเ่ี ท่ากัน หลอดเรืองแสงให้ความสว่างมากกว่าหลอดไฟฟา้ แบบไสป้ ระมาณ 3-4 เทา่
การป้องกนั อนั ตรายจากแสงในบรเิ วณทมี่ คี วามสว่างไมเ่ หมาะสม
1. ถ้ามองวัตถุในบริเวณทมี่ แี สงสว่างจ้าควรสวมแวน่ ตากันแดด
2. ควรอ่านหนงั สือในบริเวณท่ีมแี สงท่เี หมาะสม
3. ควรเปดิ ไฟภายในหอ้ งให้สว่างในขณะท่ดี โู ทรทัศน์
ตวั กลางของแสง
การแบ่งชนิดของตวั กลางโดยการดทู างเดนิ ของแสงผ่านวตั ถตุ ่างๆ
จะแบ่งได้เปน็ 3 ชนดิ คอื
1. ตัวกลางโปร่งใส เปน็ ตัวกลางท่ียอมให้แสงผา่ นได้หมดหรือเกือบท้งั หมดอย่างเปน็
ระเบยี บ สามารถมองเหน็ วตั ถุอีกชนิดไดช้ ดั เจน เช่น กระจกใส อากาศ น้า กระดาษแกว้ ใส
แผน่ พลาสติกใส เปน็ ตน้
2. ตวั กลางโปรง่ แสง เป็นตัวกลางทีย่ อมใหแ้ สงผา่ นได้บ้างและไม่เปน็ ระเบยี บ ทาใหก้ าร
มองเหน็ วัตถุดา้ นตรงข้ามไม่ชดั เจน เช่น กระจกฝ้า กระดาษไข แผ่นพลาสตกิ ขนุ่ เป็น
ตน้ ตัวกลางนีถ้ ้านาไปขวางทางเดินของแสงจะทาให้เกดิ เงาดาไมช่ ดั เจน(เงามัว)
3. ตวั กลางทึบแสง เป็นตวั กลางทไ่ี ม่ยอมให้แสงทะลผุ า่ น แต่สะท้อนได้หรอื บางชนดิ
ดดู กลนื แสงได้ เชน่ ไม้ เหลก็ กระเบือ้ ง สมุด เป็นต้น ตวั กลางนีถ้ า้ นาไปขวางทางเดิน
ของแสงจะทาใหเ้ กิดเงาดาชดั เจน (เงามืด)
สรปุ ความรูว้ ทิ ยาศาสตร์
ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 2
เรอ่ื ง ทรัพยากรดิน
ดนิ เป็นทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีเกดิ จากการสลายตวั ของหินและ แร่ธาตุตา่ งๆและ
ซากพชื ซากสตั วท์ ี่เนา่ เปอื่ ยทับถมกนั เป็นเวลาหลายลา้ นปี
ชนิดของดิน
ดินแบง่ ออกได้เป็น 2 ลักษณะ คอื แบง่ ตามลักษณะของชั้นดนิ และตามลักษณะของดิน
1. แบ่งตามลักษณะของช้ันดิน แบง่ ได้ดงั นคี้ ือ
1.1 ดนิ ช้ันบน เปน็ ดินทอ่ี ุดมสมบรู ณ์ เพราะมีอินทรียวตั ถุมาก เหมาะกบั การเจรญิ
เติบของพืช ใช้ในการเพาะปลูกพืชมากทส่ี ดุ
1.2 ดินช้ันลา่ ง มคี วามเหนียวแนน่ อยู่ถดั จาดดนิ ช้นั บนลงไป มีแรธ่ าตุอาหารของพชื
น้อย รากพืชงอกหยงั่ ลงไปไดย้ าก
2. แบง่ ตามลักษณะของดนิ ไดแ้ ก่
2.1 ดนิ เหนยี ว ดนิ มีสคี ลา้ เนอ้ื ดนิ จับตัวกนั แนน่ นา้ และอากาศซมึ ผา่ นไดย้ ากอุ้มนา้
ไดด้ ี เวลาแห้งจะจับตัวเป็นก้อนแขง็ ไถพรวนได้ยาก จงึ ไม่เหมาะกบั การปลูกพืชท่วั ไปแต่
เหมาะสาหรับปลูกขา้ ว เพราะข้าวเป็นพชื ทต่ี อ้ งการนา้ มาก
2.2 ดนิ ทราย เป็นดนิ ท่ีมสี นี ้าตาลเขม้ มที รายปนอยมู่ ากเม็ดดนิ มลี ักษณะใหญ่ และ
หยาบ ไมเ่ กาะตัว นา้ และอากาศซึมผ่านได้งา่ ย ไมอ่ ุ้มน้า ไมเ่ หมาะกบั การปลกู พืชทัว่ ไป
เหมาะกับพืชทต่ี อ้ งการน้าน้อยเช่นกระบองเพชรมันสาปะหลัง
2.3 ดนิ รว่ น เปน็ ดนิ ทม่ี ีเม็ดดินใหญก่ ว่าดนิ เหนียว เนอ้ื ดินโปร่งกวา่ ดินเหนยี ว
มีสีน้าตาลเขม้ เกอื บดา น้าซมึ ผา่ นได้ง่าย อากาศสามารถถา่ ยเทได้สะดวก มซี ากพชื ซาก
สตั ว์ปนอยู่มากกวา่ ดนิ เหนียว ดินรว่ นจงึ เหมาะแกก่ ารปลูกพืชทั่วไป
การใช้ประโยชน์จากดนิ
1. ใช้ในการทาการเกษตร ปลูกพืช เลย้ี งสตั ว์ ดินจงึ เปน็ แหล่งผลติ อาหารสาหรบั
หรับสิง่ มชี ีวิตตา่ งๆ เช่น ขา้ ว ขา้ วโพด ผกั ผลไม้ เปน็ แหล่งผลิตเครอื่ งนุง่ ห่ม เช่น ฝา้ ย
เปน็ แหล่งผลิตยารกั ษาโรค
2. ใช้ดินมาปน้ั เครื่องใชต้ า่ งๆ เช่น โอ่ง ไห กระถาง
3. เปน็ ท่ีอยูอ่ าศยั ของสง่ิ มชี ีวติ บางชนิดทีท่ ารงั อย่ใู ตด้ นิ เชน่ มด ไส้เดือน ตวั ตุ่น
ผลงานชิน้ นี้เป็นลขิ ทิ ธิ์
ของเพจแบง่ ปนั Science teaching media
https://www.facebook.com/Science.Biology14/
อนุญาตใ ้นาไปใชเ้ พอื่ การ กึ าเท่านั้น
ไมอ่ นญุ าตใ น้ าไปจา นา่ ย รอื ดดั แปลงเพ่อื การจา นา่ ย
ไม่อนญุ าตใ น้ าไปอพั โ ลดใ ม่
ากฝ่าฝนื ดาเนนิ การตามกฎ มาย แจ้งเปน็ ลายลกั ณ์อกั ร
ตอ่ ผบู้ ังคบั บญั ชาของทา่ นต่อไป