รายงาน ย้อนรอยสงครามสิ้นชาติกรีก (สงครามเพโลพอนนีเซียน) จัดทำโดย นางสาวดารารัตน์ จำใจ รหัสนักศึกษา 6410121228005 สาขาวิชาสังคมศึกษา วิทยาลัยการฝึกหัดครู เสนอ อาจารย์ วรรณพร บุญญาสถิต รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์สากล (1642314) มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
ก คำนำ สงครามสิ้นชาติกรีก หรือสงครามเพโลพอนนีเซียน เป็นเหตุการณ์การสู้ระหว่าง ฝ่ายสันนิบาต เพโลพอนนีสภายใต้การนำของสปาร์ตา และฝ่ายสันนิบาติเดเลียนภายใต้การนำของเอเธนส์ซึ่งมีระยะเวลา ยาวนานถึง 30 ปี และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของนครเอเธนส์ ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของสันนิบาตเดเลียน และเป็นจุดสิ้นสุดยุครุ่งเรืองของเอเธนส์ ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมี ข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ดารารัตน์ จำใจ ผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้าที่ คำนำ ก สารบัญ ข ก่อนจะมาถึงสงครามเพโลพอนนีเซียน 1 การกบฏไอโอเนีย 1 ก่อนจะถึงการรบ 5 กบฏทาสในสปาร์ตา 6 สันติภาพที่ล้มเหลว 7 สงครามอาร์คิเดเมี่ยน 8 สนธิสัญญาแห่งนิชิแอส 11 สงครามแมนติเนีย Battle of Mantinea 12 สงครามช่วงที่ 1 13 โครงการรบในชิลี 14 สงครามช่วงที่ 2 16 การฟื้นตัวของเอเธนส์ 17 ชัยชนะของไลแซนเดอร์และการยอมแพ้ของเอเธนส์ 18 สงครามช่วงที่ 3 19 หลังเหตุการณ์ 20 บรรณานุกรม 21
1 ก่อนจะมาถึงสงครามเพโลพอนนีเซียน การกบฏไอโอเนีย ในช่วง 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้เกิดเรื่องให้ขุ่นข้องหมองใจระหว่างเอเธนส์กับอาณาจักรเปอร์เซีย ต้องกล่าวว่าโดยจิตวิญญาณประชาชาติของชาวเอเธนส์นั้นมาคิดว่า พวกผู้คนที่อยู่นอกกรีกเป็นพวก ไร้อารยธรรม คนเถื่อน เรื้อนปัญญา และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผลักดันให้เอเธนส์มีเรื่องมีราวกับอาณาจักรเปอร์เซียที่ ในช่วงนั้นถือว่าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ไร้เทียมทานเลยทีเดียว และแน่อน เกิดเลยเถิดไปเป็นสงคราม กรีกเปอร์เซีย ในภายหลังความขัดแย้งของคู่ชกคู่นี้ในครั้งแรกมาจากการที่เอเธนส์ได้ไปยุยงให้ชาวไอโอเนียที่อยู่ ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเปอร์เซียก่อกบฏต่ออาณาจักรเปอร์เซีย ไอโอเนียนั้นเคยเป็นอาณานิคมของกรีกและต่อมา ถูกอาณาจักรเปอร์เซียเข้าปกครองโดยพระเจ้าไซรัส มหาราช หลังจากนั้น ชาวเอเธนส์นั้นรู้สึกไม่พอใจพี่เหมือนพี่น้องของพวกตนโดนรังแก เพราะมีพี่น้องชาวกรีก ที่อยู่ในดินแดนไอโอเนียอยู่ด้วย จึงยุยงให้ชาวกรีกในไอโอเนียให้ก่อกบฏต่ออาณาจักรเปอร์เซีย ที่ตอนนั้นพระ เจ้าดาไรอัสมหาราชครองราชย์ และยังส่งกองทัพของตนไปสนับสนุนฝ่ายกบฏ แต่ถึงกระนั้น การกบฏในครั้ง นั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิงแต่กลายเป็นเชื้อไฟชั้นยอดให้พระเจ้าดาไรอัสมหาราช งั้นคิดว่าเหล่ากรีกนั้นเป็นเสี้ยน หนามต่ออาณาจักรเปอร์เซีย จึงสั่งบุกกรีซเพื่อจัดการกับชาวเอเธนส์ที่หาเรื่องใส่ตัว เป็นสงครามกรีก-เปอร์เซีย ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ผลคือชาวเอเธนส์จัดการปล่อยหมัดสวนกลับกองทัพของเปอร์เซียได้อย่างอยู่หมัดที่ ทุ่งมาราธอน แต่ครั้งนี้ ชาวสปาร์ต้านั้นไม่ได้เข้าร่วมเพราะติดงานเทศกาลศาสนาของตัวเองอยู่ เมื่อสงครามครั้งแรกจบลง พระเจ้าเซอร์คซิส โอรสของพระเจ้าดาไรอัสมหาราช จึงสานต่อความ พยายามของพระราชบิดา โดยใช้เวลาอยู่หลายปีเพื่อจัดการเตรียมกองทัพ ซึ่งใช้ทหารจำนวน 250,000 นาย เพื่อทำการบุกกรีกเป็นครั้งที่สองในทางเอเธนส์ ที่เป็นเป้าหมายหลักของการบุกครั้งนี้ ก็รู้สึกใจไม่ดีกับการบุก ครั้งนี้ของอาณาจักรเปอร์เซีย จึงส่งทูตไปขอความช่วยเหลือจากฝั่งสปาร์ตา ในสปาร์ตาตอนนั้นแบ่งออกเป็น สองฝ่าย ฝ่ายแรกคือพวกที่เห็นด้วยกับพระเจ้าลีโอไนดัสที่ 1 ที่ต้องการจะส่งกองทัพไปช่วยเหลือเอเธนส์ แต่อีก ฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจกับการบุกเปอร์เซียครั้งนี้ เพราะไม่ใช่ธุระอะไรของตน แล้วก็ไม่เห็นว่าสปาร์ตาจะได้รับความ เดือดร้อนอะไร
2 พระเจ้าลีโอไนดัสที่ 1 ต้องการจะสั่งสอนให้อีกฝ่ายของสปาร์ตาที่เอาแต่กลัวหัวหดและอ้างว่าไม่ใช่ธุระ อะไรของตนให้รู้สึกละอายใจบ้าง โดยการจัดกำลังกองทัพของตนที่มีทหารชั้นหัวกะทิเพียง 300 คน โดยการ นำทัพของพระองค์เอง เข้าไปยันกองทัพเปอร์เซียจำนวน 250,000 คน ที่ช่องเขาเทอร์โมไพลี ซึ่งเป็น ยุทธศาสตร์ทางตอนเหนือของกรีซ และเหลือเชื่อที่พวกเขาสามารถต้านกองทัพเปอร์เซียได้เป็นเวลา 3 วัน ถ้วน ก่อนจะสู้จนตัวตาย วีรกรรมของพวกเขากลายเป็นเชื้อไฟ กำลังใจให้กองทัพกรีกที่เหลือ ที่สำคัญเป็นการซื้อ เวลาให้อพยพชาวเอเธนส์ออกจากเมือง และให้กองทัพกรีกได้ตระเตรียมกองทัพเรือที่เป็นปัจจัยหลักในการ ตัดสินผลแพ้ชนะของสงครามครั้งนี้ ในยุทธนาวีซาลามิส ที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง โดยหลังจากที่พ่ายแพ้ที่ ยุทธการเทอร์โมไพลี ที่ยังถูกกล่าวถึงมาจนทุกวันนี้ ในแง่ของความกล้าหาญ และในแง่ของทางการทหาร เรื่อง ความได้เปรียบของภูมิศาสตร์ ความสามารถของตัวทหาร และอาวุธ อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ อีกหนึ่งคนที่เป็นตัวแปรสำคัญในสงครามครั้งนี้ นอกจากพระเจ้าลีโอไนดัสที่ 1 ก็คือ เธอมิสต์โอคลีส นักการเมืองของฝั่งเอเธนส์ ผู้ที่ทำให้สปาร์ตายอมเข้ามาร่วมการรบในครั้งนี้ โดยทางเธอมิสต์โอคลีส รู้ดีว่าสปาร์ ตาไม่มีทางเข้าร่วมสงคราม หากพวกตนไม่ได้เป็นผู้บัญชาการรบ เธอมิสต์โอคลีส จึงไปโน้มน้าวให้ชาวเอเธนส์ มอบอำนาจการรบให้ทางสปาร์ตา ไม่ใช่เพียงอำนาจการสั่งการทางบก ยังรวมไปถึงอำนาจการสั่งการในการรบ ทางน้ำอีกด้วย แม้ว่ากองทัพสปาร์ตาจะไม่ค่อยมีความเชี่ยวชาญการรบทางน้ำเท่าเอเธนส์ก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นเธอมิสต์โอคลีส ยังอ่านเกมขาด ว่าทางพระเจ้าเซอร์คซิส จะต้องคิดว่าหากต้องการ เอาชนะเอเธนส์ พระองค์ต้องจากประชาชนชาวเอเธนส์ไว้เป็นเฉลย จึงจะได้รับชัยชนะที่เด็ดขาด อีกทั้งเธอ มิสต์โอคลีส รู้ว่าถึงแม้ทางเอเธนส์จะได้สร้างป้อมปราการไว้รับมือกองทัพเปอร์เซีย เอเธนส์ก็ไม่สามารถตั้งรับ กับกองทัพเปอร์เซียได้เลยแม้แต่น้อย เธอมิสต์โอคลีส จึงเกลี้ยกล่อมให้ชาวเอเธนส์ยอมรับความจริงและอพยพ ออกจากเมืองไปยังเกาะแถวชายฝั่ง เพื่อทางเป็นการอพยพเพื่อรักษา ชีวิตของประชาชนและเป็นการหลอกล่อ กองทัพเปอร์เซียในคราวเดียวกัน โดยการหลอกล่อดังกล่าว จุดประสงค์เพื่อให้กองทัพเรือเปอร์เซียรุกเข้าไปยัง ช่องแคบซาลามิส จะทำให้เสียรูปขบวน ทำให้ฝ่ายกรีกได้เปรียบ ซึ่งก็ได้ผลอย่างเด็ดขาด เมื่อกองเรือเปอร์เซีย เข้ามาในช่องแคบซาลามิส กองเรือกรีกได้ทำการปิดล้อม ก่อนที่จะจัดการกองเรือเปอร์เซียได้อย่างอยู่หมัด
3 หลังจากได้รับชัยชนะจากยุทธการซาลามิส สองปีถัดมา ที่ยุทธการพลาเทีย กองทัพของชาวสปาร์ตา กับเอเธนส์ ได้บดขยี้กองทัพเปอร์เซียจนสิ้นลาย กองทัพกรีกใช้โอกาสที่กองทัพเปอร์เซียระส่ำละส่าย นำ กองทัพเรือเข้าโจมตีกองเรือเปอร์เซียในยุทธนาวียุทธนาวีมิเคลี ซึ่งการกระทำดังกล่าวของกรีก ทำให้เกิด จุดเริ่มต้นบาดแผลแห่งความขุ่นเคืองใจของระหว่างสองนครรัฐกรีกกับสปาร์ตา เอเธนส์ได้ก่อตั้งสันนิบาตเด เลียน จุดประสงค์เพื่อร่วมกันต่อต้านเหล่ากองทัพเปอร์เซีย โดยสันนิบาตเดเลียนยังคงทำสงครามเปอร์เซีย ต่อไปอีกเป็นเวลา 30 ปีหลังจากนั้น สันนิบาตเดเลียนได้ปลดแอกไอโอเนีย ให้หลุดพ้นจากอาณาจักรเปอร์เซีย ในยุทธการยูรีมีดอน แต่ความปราชัยของสันนิบาตเดเลียนต่อการกบฏในอียิปต์ ทำให้สงครามกับเปอร์เซีย หยุดชะงักไป และประกอบกับการรบครั้งต่อๆมาก็แพ้บ้างชนะบ้าง ปะปนกันไป จนเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ทำ สนธิสัญญาสันติภาพคัลลิอัส จึงสิ้นสุดสงครามกรีก-เปอร์เซียอย่างเป็นทางการ
4 หลังจากจบสงครามกรีก-เปอร์เซีย สันนิบาตเดเลียนยังคงอยู่ยังไม่ได้หายไปไหนแถมยังขยาย อำนาจบาทใหญ่ไปทั่ว สงครามเพโลพอนนีเซียน เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างสองนครรัฐมหาอำนาจของ ดินแดนกรีซโบราณ คือ นครรัฐเอเธนส์ และนครรัฐสปาร์ตา โดยในช่วงเวลาดังกล่าวนครรัฐเอเธนส์มี กองทัพเรือที่เข้มแข็งที่สุดแล้วถือว่าเป็นมหาอำนาจทางทะเล ในขณะที่นครรัฐสปาร์ตานั้นมีกองทัพบกที่เกรียง ไกรยิ่งกว่านครรัฐใดๆ เมื่อครั้งที่จักรพรรดิเซิร์กซีสมหาราช แห่ง จักรวรรดิเปอร์เซีย ยกทัพเข้ารุกรานดินแดน กรีซ เอเธนส์และนครรัฐอื่นๆอีกหลายนครได้รวมตัวกันเป็นสันนิบาตเดเลียน โดยมีเอเธนส์เป็นผู้นำ ซึ่ง หลังจากสงครามนั้นสิ้นสุดลงโดยเปอร์เซียล่าถอยกลับไปแล้วสันนิบาตดังกล่าวยังคงดำรงอยู่ โดยสมาชิกต้องส่ง เงินบำรุงสันนิบาตไปยังเอเธนส์ ซึ่งเอเธนส์จะมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการใช้จ่ายเงินดังกล่าว หลังจากจบสงครามกรีก-เปอร์เซีย สันนิบาตเดเลียนยังคงอยู่ยังไม่ได้หายไปไหน การได้เป็นผู้นำ สันนิบาตเดเลียน ทำให้อำนาจของเอเธนส์ในดินแดนกรีซเพิ่มขึ้น ประกอบกับเอเธนส์ประสบความสำเร็จใน การค้าทางทะเลจนเจริญรุ่งเรืองและมั่นคั่ง ในขณะเดียวกันสปาร์ตาซึ่งมีบทบาทสำคัญในสงครามกับเปอร์เซียก็ จับตามองเอเธนส์อย่างไม่ไว้วางใจ ทางนี้นครทั้งสองมีการแข่งขันกันมาเป็นเวลานานแล้ว โดยเอเธนส์เป็นนคร ที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งให้เสรีภาพกับประชาชนมากกว่าสปาร์ตาที่ปกครองแบบเผด็จ การทหาร ซึ่งหลังจากสงครามเปอร์เซียสิ้นสุดลงเอเธนส์ได้เผยแพร่แนวคิดประชาธิปไตยไปยังรัฐอื่นๆสร้าง ความไม่พอใจให้กับสปาร์ตาและนครรัฐที่ปกครองแบบเผด็จการอีกหลายนคร อีกทั้งความรุ่งเรืองของเอเธนส์ ยังทำให้นครรัฐเหล่านี้เกิดความริษยาอีกด้วย เพื่อคานอำนาจกับเอเธนส์ทางสปาร์ตาจึงได้ตั้งสันนิบาตเพโล พอนนีเชียนขึ้น โดยมีตนเองเป็นผู้นำ และด้วยเหตุนี้สปาร์ตาจึงกลายเป็นมหาอำนาจทางบก ส่วนเอเธนส์ กลายเป็นมหาอำนาจทางทะเลและการแข่งขันระหว่างสองฝ่ายก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
5 ก่อนจะถึงการรบ หลังสงครามกรีโค-เพอร์เซี่ยนสงบ แผ่นดินเกรดก็กลับมาอยู่ในความพาสุขจนเรียกว่าเป็นยุคทอง เป็น ช่วงที่ต่างคนก็ต่างทำมาหากินสร้างบ้านสร้างเมืองให้คืนกลับมาสวยงามดังเดิม ดังที่ กล่าวว่า คนกรีดอ่านไม่ ค่อยชอบแสดงความโอ่อ่าหรูหราส่วนตน แต่ถ้าเป็นการทำให้เมืองแล้วเท่าไหร่เท่ากันมีทรัพย์เท่าไหร่เป็นขนมา แต่งเมืองให้หมด สำหรับนครเอเธนส์ซึ่งดูเหมือนว่าจะโดนหนักสุด บ้านเรือนวิหารร้านค้าล้วนถูกเผา ก็ยอมถึง คราวต้องสร้างใหม่ให้โอ่อ่ากว่าเดิม สถานะเอเธนส์ในเวลานั้นอยู่ในช่วงขาขึ้น ชัยชนะทำให้เกิดความองอาจ แต่ นานเข้าก็เป็นหลงอำนาจ หลังจากกลายเป็นผู้นำของสมาพันธ์เดเลียน สามารถไล่เพอร์เซียออกจากแถบอีเจี้ยน ได้เกือบหมด และเข้าคลองอำนาจเหนือดินแดนกว้างใหญ่ที่เคยเป็นของเพอร์เซียแทนอำนาจทางทะเล จนเที่ยวระรานเมืองชายแดนอาณาจักรทั่วไป ช่วงเกือบ 50 ปีก่อนเกิดสงครามเพโลพอนนีเซียนนั้น เอเธนส์ก็ กลายเป็นผู้ส่งอำนาจใหญ่ในเมดิเตอร์เรเนียนจนสามารถเรียกว่า อาณาจักรเอเธนส์ ได้ ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่ เอเธนส์เป็นผู้นำของสมาพันธ์เดเลียน ยังถือโอกาสกุมครั้งของสมาพันธ์เดเลียนไว้ในมือ ครั้งนี้มีไว้พัฒนา กองทัพเรือและกองทัพรวมของพันธมิตรในการต่อสู้กับเมืองอื่น และเผื่อเอาไว้ว่าหากเกิดศึกก็จะใช้เงินจำนวน นี้ แต่บัตรนี้ไม่มีศึกเงินจึงเหลือ เพอริคลิสเลยหยิบ เอาเงินนั้นไปจัดการซ่อมสร้างสิ่งสาธารณะขนาดใหญ่ใน เอเธนส์ สร้างนครเอเธนส์ให้ใหญ่โตโอ่อ่า พาร์เธนอน วิหารกรีกที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดก่อสร้างในสมัยนี้ ที่สำคัญยัง ก่อกำแพงยาวขึ้นมาใหม่เพื่อป้องกันการรุกรานทางปกครองสปาร์ตา การใช้เงินผิดประเภทของเพอรอคลิสสร้างควาทขุ่นใจแก่นครรัฐที่ส่งเงินมาร่วมทุนซึ่งต่างก็มองด้วย ความไม่พอใจ อีกทั้งเรื่องกำแพงยาวก็เป็นเรื่องที่ดูถูกพวกสปาร์ตา ทั้งที่จริงๆแล้วเอเธนส์ยังไม่ได้ทำอะไรเลย สปาร์ตาขุ่นใจแต่ก็เก็บอาการไว้เงียบๆ
6 กบฏทาสในสปาร์ตา ชนวนระเบิดเกิดปี 465 ก่อนคริสต์ศักราช กบฏทาสเฮลอตส์ ระเบิดในสปาร์ตา สปาร์ตาขอความ ช่วยเหลือด้วยการขอกองกำลังจากพันธมิตรไปช่วยปราบกบฏ ปรากฏว่าเอเธนส์รีบส่งกองกำลังขนาดใหญ่มา ทัพประกอบด้วยทหารฮอปไลต์ถึง 4,000 นาย ทว่าเมื่อ ไปถึง พวกสปาร์ตาไม่ยอมรับ ไล่ทหารเอเธนส์กลับหน้าตาเฉย ยกเว้นทหารจากนครอื่นที่สปาร์ตาเรียกให้เข้า เมือง ตามธูซิดิดีสว่า ที่สปาร์ตาทำแบบนั้นก็เพราะว่ากลัวว่าทหารเอเธนส์เข้าเมืองมาได้จะเปลี่ยนข้างไป สนับสนุนทาสเฮลอตส์ สปาร์ตาก็อาจเสียเมืองจากศึกใน ไม่รู้ว่าที่สปาร์ตากลัวจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ต่อมา เมื่อกบฏเฮลอตส์ถูกปรับจนยอมจำนน สปาร์ตาก็ยอมให้ทาสเฮลอตส์ออกจากเมือง เฮลอตส์พวกที่ไม่มีที่ไปก็ เดินทางไปหาชาวเอเธนส์ ปรากฏว่าพวกเอเธนส์จัดให้พวกนี้ไปตั้งรกรากที่เมืองนอร์แพกทัสในอ่าวโครินธ์ ด้วยเห็นนี้เอเธนส์เสียหน้าจึงบอกเลิกการเป็นพันธมิตรกับสปาร์ตาตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตามก่อนจะเกิดการรบที่เรียกกันว่าสงครามเพโลพอนนีเชียน ใช่ว่าคู่สงครามอย่างเอเธนส์ และสปาร์ตาจะขัดแย้งกันเพียงคู่เดียว แต่บ้านเมืองในแผ่นดินกรีซรัฐอื่นก็ต่างวุ่นวาย สร้างปัญหากันเองแล้วก็ พันกันยุ่งเหยิง จนทุกอย่างสามารถเป็นสาเหตุของสงครามได้หมด ดังเช่นปี 459 ก่อนคริสต์ศักราช เกิดความขัดแย้งตกลงกันไม่ได้ระหว่างเมืองเมการาและโครินธ์ ซึ่ง เป็นพันธมิตรของสปาร์ตาทั้งสองเมือง เมการาและโครินธ์รบกัน ปรากฏว่ามีเมืองๆหนึ่งที่เข้ามาช่วยเมการารบ กับโครินธ์ นั่นคือ เอเธนส์ เนื่องจากต้องการคุมที่มั่นบนคอคอดโครินธ์ สันนิษฐานว่าการที่เอเธนส์ทำแบบนี้อาจอยากเป็นใหญ่เท่าเพอร์เซียเคยเป็นในอดีต แต่การกระทำของ พวกเอเธนส์นำมาซึ่งความไม่พอใจแก่นครรัฐอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่ารวมทั้งสปาร์ตา ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็น ช่วงของการรบแบบเป็นระยะๆที่เอเธนส์รบกับเมืองต่างๆ ไล่ตั้งแต่สปาร์ต้า โครินธ์ เอไจนา และเมืองอื่นๆ ความขัดแย้งยังคงดำเนินไปตลอด 15 ปี จนในที่สุดเมื่อสปาร์ตายกพลขนาดใหญ่ขึ้นบุกแอตติกา สุดท้ายพวก เอเธนส์ต้องปล่อยมือจากดินแดนที่ยึดไว้บนแผ่นดินใหญ่ของกรีซเพราะการโจมตีแบบกัดไม่ปล่อยของสปาร์ตา สงครามจบด้วยการที่ทั้งเอเธนส์และสปาร์ตายอมรับสิทธิ์ของอีกฝ่ายและต่างต้องควบคุมพันธมิตรที่ เกี่ยวข้อง สงครามสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการโดยการลงนาม “ สนธิสัญญาสันติภาพสามสิบปี -Thirty Years’ Peace” ในฤดูหนาวของปี 446-445 ก่อนคริสต์ศักราช
7 สันติภาพที่ล้มเหลว สนธิสัญญาสันติภาพสามสิบปีถูกท้าทายเป็นครั้งแรกในปี 440 ก่อนคริสต์ศักราช เหตุเกิดเมื่อซามอส พันธมิตรทรงพลังของเอเธนส์เล่นงานเอเธนส์เอง ซามอสก่อกบฏโดยมีการซาแทรป-Satrap จากเพอร์เซียหนุน หลัง สปาร์ตาทำท่าจะเข้าแทรกแซง แต่เมืองโครินธ์พันธมิตรมีอำนาจของสปาร์ตากลับขัดค้าน เพราะมันขัดกับ สนธิสัญญา แต่ต่อมาไม่นานจุดแตกหักจึงเกิดขึ้นเมื่อโครินธ์กลับกลายเป็นต้นเหตุให้สนธิสัญญาต้องพังเสียเอง สาเหตุเนื่องมาจากนครนครคอร์ไซรา เมืองเกาะอาณานิคมเดิมของโครินธ์ ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจโครินธ์อีกแล้วก็ ทำการแข็งเมือง โครินธ์ส่งเรือไปโจมตี แต่ตอนนั้นคอร์ไซราเป็นพันธมิตรกับเอเธนส์ก็ขอความช่วยเหลือมา เอ เธนส่งเรือรบ 10 ลำไปป้องกันกองเรือของคอร์ไซราซึ่งได้ชื่อว่าใหญ่เป็นที่ 2 ของกรีก แล้วยุให้สู้ คอร์ไซราและ โครินธ์ รบกันในยุทธนาวีที่เรียกว่า สงครามซีโบตา คอร์ไซราชนะ ทางด้วยความสามารถของตนและจากการ ช่วยเหลือของกองเรือเอเธนส์ขนาดเล็กที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้กองเรือรบโครินธ์ยึดเมืองเกาะ สามารถรักษาเส้นทางเดินเรือของคอร์ไซราและกองทัพเรือเอเธนส์ไว้ได้ นอกจากนั้นเอเธนส์ยังหันมาสั่งให้โพติเดีย เป็นอาณานิคมของเมืองโครินธ์ และเป็นพันธมิตรของ เอเธนส์ในสมาพันธ์เดเลียนส่งตัวประกันไปยังเอเธนส์ แล้วไล่เจ้าหน้าที่โครินธ์ออกจากเมือง และต้องไม่ยอมรับ เจ้าหน้าที่จากโครินธ์พี่จะส่งมาในอนาคต โครินธ์เจ็บใจกับการกระทำนี้ ส่งกองเรือและทหารไปยังโพติเดีย เช่นเดียวกับเอเธนส์ สองฝ่ายรบกัน กลายเป็นสงครามโพติเดีย เอเธนส์ได้ชัยชนะ แต่มันเป็นการละเมิดสนธิสัญญาสันติภาพสามสิบปีโดยตรง ซึ่ง กำหนดไว้ว่า สมาชิกสมาพันธ์เดเลียนและสมาชิกสมาพันธ์เพโลพอนนีเซียนจะต้องเคารพการปกครองตัวเอง ของแต่ละเมือง และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ในปี 432 ก่อนคริสต์ศักราช โครินธ์ร้องเรียนสมาพันธ์เพโลพอนนีเซียนพวกสปาร์ตาก็เรียกสมาชิก สมาพันธ์มาสปาร์ตาด้วย มีผู้ไม่พอใจเอเธนส์มาร้องทุกข์มากมาย เกิดการโต้แย้งอย่างเผ็ดร้อนจากสมาชิก สมาพันธ์และตัวแทนของเอเธนส์จึงเลยเถิดกลายเป็นการโต้คารมระหว่างเอเธนส์กับโครินธ์ ถึงจุดนี้โครินธ์หัน ไปแว้งสปาร์ตาที่อยู่นิ่งเฉย เตือนสปาร์ตาว่า หากพวกเขายังคงนิ่งในขณะที่เอเธนส์วิ่งวุ่น ในไม่ช้าก็จะพบว่า ตัวเองถูกล้อมและไม่มีพันธมิตร เอเธนส์ก็ตอบโต้ด้วยการเตือนสปาร์ตาว่า อย่าลืมสถิติว่าตนประสบ ความสำเร็จในการรบกับเพอร์เซียกี่ครั้ง และเตือนอันตรายจากการเผชิญหน้ากับรัฐที่ทรงอำนาจอยากเอเธนส์ ถึงจุดนี้ทำให้ผู้แทนสปาร์ตาโกรธ กระนั้นก็ฟังคำตัดสินชี้ขาด เสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมสปาร์ตาลงมติ ว่าเอเธนส์ฝ่าฝืนสนธิสัญญาสันติภาพตามที่ตกลงกันไว้ จำเป็นต้องประกาศสงคราม
8 สงครามอาร์คิเดเมี่ยน สงครามเพโลพอนนีเซียนระหว่างสปาร์ตาและเอเธนส์ค่อนข้างประหลาด เนื่องจากแทบจะไม่สามารถ เปรียบเทียบกันได้ แต่มีผู้เปรียบเทียบว่าเหมือนช้างรบกับวาฬ เพราะฝ่ายหนึ่งคือสปาร์ตาและพันธมิตร ส่วน อีกฝ่ายคืออาณาจักรเอเธนส์ก็กำอำนาจทางทะเล มีที่มันอยู่บนคาบสมุทรแอตติกาและทั่วหมู่เกาะของทะเลอี เจี้ยน การทำสงครามให้เบ็ดเสร็จแทบไม่มีทางเป็นไปได้ ในตอนแรกของสงครามเอเธนส์ดูเหมือนจะได้เปรียบ แม่ทัพของเอเธนส์ในตอนนั้นคือเพอริคลิสและนิ ชิแอส ทำการรบด้วยการจู่โจมทางทะเลแบบกระทันหันกลับนครรัฐบนแผ่นดินเพโลพอนนีส และประสบ ความสำเร็จในการศึกจนถึงปี 424 ก่อนคริสต์ศักราช เพอริคลิส แนะนำให้ชาวเอเธนส์หลีกเลี่ยงการเปิดศึกกับ ทหารฮอปไลต์สปาร์ตาที่มีมากกว่าและฝึกมาดีกว่า แต่ให้อาศัยทัพเรือทำศึก ดังนั้นกองเรือเอเธนส์ก็ออก เดินทางไปรุกรานได้ชัยชนะที่นอแพกตัส ส่วนสปาร์ตาตอบโต้ด้วยการใช้ทหารราบตามถนัด กลยุทธ์ในการรบของพวกสปาร์ตาระหว่างสงคราม ครั้งแรก สงครามอาร์คิเดเมี่ยน นั่นก็คือการเข้าทำลายพื้นที่ในชนบทของแอตติกา กษัตริย์สปาร์ตาอาร์คิเดมัสที่ 2 วางแผนรุกรานแผ่นดินรอบเมืองเอเธนส์ เพื่อให้คนเอเธนส์ไม่มีที่อยู่และที่ทำมาหากิน แต่เรื่องนี้เพอริคลิสคิด ไว้แล้ว จึงย้ายพลเมืองมากมายของแอตติกาอพยพเข้าไปในกำแพงยาวซึ่งเชื่อมเอเธนส์กับท่าเรือไพเรอัส กำแพงยาวและท่าเรือทำให้คนเอเธนส์ไม่เดือดร้อนเพราะมีทางออกทะเล ยังสามารถเดินทางและรับเสบียงที่ ขนมาทางเรือได้ง่ายๆ เป็นงานหนักของสปาร์ตา เพราะ ถึงแม้จะยึดแอตติกาได้ แต่ก็เป็นที่เปล่า อีกทั้งยังยึดไว้ 3 สัปดาห์ก็ ต้องเลิก เพราะสปาร์ตามีข้อจำกัดมาก เพราะทหารฮอปไลต์ในยุคต้นยังต้องกลับไปร่วมเก็บเกี่ยวพืชผล เกษตรกรรม ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีทาสเฮลอตส์ทำให้ แต่ก็ยังต้องควบคุม ทหารสปาร์ตาทิ้งบ้านนานไม่ได้ ดังนั้นการ บุกยึดของสปาร์ตาในปี 430 ก่อนคริสต์ศักราชที่ยาวที่สุด กินเวลาเพียง 40 วัน
9 ทว่าลมแห่งโชคชะตาเปลี่ยนทิศ ปี 430 ก่อนคริสต์ศักราช เกิดกาฬโรคระบาด เชื้อโรคเข้าโจมตีเอเธนส์ ทำลายพลเมืองที่หนาแน่นเต็มเมืองจดบางตา คาดว่ามันทำให้คนต้องตายไปกว่า 30,000 คน ประชาชนไม่ว่า ยากดีมีจน หญิงหรือชาย หนุ่มแน่นหรือชายชรา ทหารราบหรือทหารเรือ รวมทั้งเพอริคลิส และลูกของเขา ประมาณคราว่าหนึ่งในสามหรือสองในสามของประชากรเอเธนส์ตายไป กำลังคนเอเธนส์ลดลงอย่างรวดเร็วจน น่าใจหาย กิตติศัพท์ความน่ากลัวของโรคระบาดแพร่ไปไกล จนแม้พวกสปาต้ายังยกเลิกกองทหารไม่ยอมเสี่ยง รบด้วย และแม้แต่ทหารรับจ้างก็ปฏิเสธที่จะออกรบกับเมืองที่ติดกาฬโรค หลังการตายของเพอริคลิส พวกเอเธนส์ที่ยังต้องรบต่อไปหันหลังให้กับยุทธวิธีเชิงรับที่เคยใช้ แต่พลิก เข้าหากลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้น โดยวิธีการทำสงครามไปสู่สปาร์ตาและพันธมิตรของสปาร์ตา ตอนนี้คลีออน กลายเป็นผู้นำของเอเธนส์ ส่วนผู้นำทหารที่เปลี่ยนขึ้นมาใหม่แทนเพอริคลิสคือ นายพล เดมอสเธอนีส เมื่อเปลี่ยนคนคุมบังเหียนใหม่ ปรากฏว่าพวกเอเธนส์ได้ชัยชนะต่อพวกเพโลพอนนีสในการ รุกรานด้วยกองเรือ พวกเขาก้าวต่อไปในการนำทหารราบเข้าสู่บีโอเชียและอีโตเลีย ปราบกบฏมิลไทลีเนียน และเริ่มป้องกันที่มั่นรอบเพโลพอนนีส
10 สงครามคราวหนึ่งในปี 425 ก่อนคริสต์ศักราช เรียกว่า สงครามไพลอส-Battle of Pyios เป็นสงคราม ทางทะเลที่เกิดแถวเมืองไพลอส เรือสปาร์ต้ากับเรือ เอเธนส์รบกันและเอเธนส์ชนะ แต่ทหารฮอปไลต์สปาร์ตา ทัพหนึ่งสามารถไปขึ้นฝั่งบนเกาะสแพคเทอเรีย-Sphacteria ซึ่งมีความแคบและยาวมาก แทนที่เดมอส-เธอนีส ฝ่ายเอเธนส์จะตามขึ้นไปตี เขาใช้อุบายกักกลุ่มทหารสปาร์ตาไว้อย่างนั้นรอให้ยอมจำนนเอง แต่กระนั้นหลายสัปดาห์ต่อมา เดมอสเธอนีสก็ไม่สามารถผด็จศึกสปาร์ตาได้ ต้องร้องขอความ ช่วยเหลือ แม่ทัพแมสซีเนี่ยน-โคมอน-Komon ที่ตามมาจึงยกกำลังขึ้นด้านหลังเกาะ เข้าถึงพวกสปาร์ตาได้ ทหารฮอปไลต์สปาร์ตาก็ยอมแพ้ พวกเขากลายเป็นเชลย 292 คน และก็เป็นครั้งแรกที่น่าตกใจว่าสปาร์ตายอม แพ้ นครรัฐสปาร์ตาขายหน้า แต่พวกเขาแก้เกมด้วยการที่หลังจากการรบนายพลสปาร์ตา บราซิดาสBrasidas จัดการรวมกองทัพพันธมิตรและทาสเฮลอตส์ขึ้นอีก เดินทัพตามความยาวของแผ่นดินกรีซไปยัง อาณานิคมเอเธนส์ที่แอมฟิโปลิส-Amphipolis ในเธรซ (ตะวันออกเฉียงเหนือของเอเธนส์ใกล้มาซิดอน) ซึ่ง ควบคุมเหมืองเงินใกล้เคียงหลายแห่ง ผลผลิตที่นี่เป็นทรัพย์สนับสนุนให้เอเธนส์ทำสงครามเอเธนส์รู้ข่าวก็รีบ ส่งธูซิดิดีสยกทัพไปสกัดไม่ให้บราซิดาสยึดแอมฟิโปลิส แต่ช้าไป แอมพิโปลิสถูกยึดไปแล้ว เมื่อไม่สำเร็จ รูซิดิดีส ถูกเนรเทศ ทำให้เขาสนใจบันทึกเรื่องราวสงครามเพโลพอนนีเยนของสองฝ่ายไว้ในหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ เอเธนส์จัดทัพเข้าสู่บีโอเชีย พยายามกู้แอมฟิโปลิส คลีออนนำทัพไปเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทว่าทั้งบราซิ ดาสและคลีออนตายในการรบ หลังสงครามคราวนี้ สปาร์ต้าและเอเธนส์ตกลงลงนามพักรบ แลกเปลี่ยนเชลย ที่บราซิดาสจับ เอเธนส์นั้นกลัวว่าจะถูกพันธมิตรของตนทอดทิ้ง จึงลงนามสนธิสัญญาสันติภาพนิชิแอส เพื่อรักษาหน้า และเพื่อให้พันธมิตรกลับไปอยู่ที่เดิมก่อนสงคราม
11 สนธิสัญญาแห่งนิชิแอส มรณกรรมของคลีออนและบราซิดาส เหยี่ยวสงครามของทั้งสองฝ่าย ทำให้เกิดสนธิสัญญาสันติภาพนิชิ แอส แม้จะใช้ได้ราว 6 ปีเท่านั้น เพราะหลังจากลงนามในสนธิสัญญาได้เพียงไม่กี่ปี ก็เกิดการต่อสู้ประปรายใน แถบชานเพโลพอนนีส สปาร์ตาต้องข่มใจที่จะไม่ทำอะไรหักหาญเอาเอง แม้พันธมิตรสปาร์ตาหลายเมืองเริ่มพูด ถึงการหักสัญญา ในเวลานั้น พวกอาร์กอสรัฐทรงอำนาจที่ไม่ได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของเมืองใดในคาบสมุทรเพโลพอนนีส เป็นรัฐหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากเอเธนส์ให้นำระบอบประชาธิปไตยมาใช้และประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับรัฐทรงอำนาจอย่างแมนติเนีย และเอลิส สปาร์ตาพยายามขัดขวางการร่วมมือกันของ 3 เมืองนี้ แต่ล้มเหลว จนเป็นที่มาของการเรียกตัวกษัตริย์ เอจิสแห่งสปาร์ตามาสอบสวน อย่างไรก็ตาม พวกอาร์กอสและพันธมิตรที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังเล็ก ภายใต้การนำของอัลซิไบอะดีส ก็เคลื่อนทัพไปยึดเมืองทีเจีย ใกล้สปาร์ตา ทีเจียเป็นเมืองสำคัญ ใครก็ตามที่คุม เมืองนี้ได้ย่อมหมายถึงสามารถคุมทางออกของคาโลเนีย หากศัตรูคุมเมืองนี้ได้ก็หมายถึงว่าสปาร์ตาจะไม่มี ทางเดินออกจากเมืองของตน มีค่าเท่ากับพันธมิตรเพโลพอนนีเซียนที่ร่วมรบในสงครามอาร์คิเดเมียนจะต้อง ง่อยเปลี้ยเสียขา
12 สงครามแมนติเนีย Battle of Mantinea ปลายปี 418 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นการต่อสู้บนแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดและเป็นการต่อสู้กันในกรีซระหว่างช่วงสงครามเพโลพอนนีเชียน พวกสปาร์ตาและเพื่อนบ้านทีเจี้ยนเผชิญกับกองทัพรวมของอาร์กอส, เอเธนส์, แมนติเนีย และอาร์คาเดีย ใน การต่อสู้พวกพันธมิตรอาร์กอสทำสำเร็จในตอนแรก แต่ต่อมาทหารชนชั้นสูงของสปาร์ตาสามารถกำจัดกอง กำลังฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ ผลคือสปาร์ตาได้ชัยชนะสมบูรณ์ ซึ่งช่วยเมืองของตนจากปากเหวของความพ่ายแพ้ ทางยุทธศาสตร์ได้ หลังสงคราม อาร์กอสเสียทหารไปเป็น จำนวนมากจนหมดความสำคัญแม้จะเป็นพันธมิตรกับเอเธนส์ แต่เวลานั้นพันธมิตรประชาธิปไตยเพโลพอนนีส แตกคอกันเอง สมาชิกส่วนใหญ่ก็หันไปจับมือขอเป็นสมาชิกใน สมาพันธ์เพโลพอนนีเซียนกับสปาร์ต้าอีกครั้ง ด้วยชัยชนะที่แมนติเนีย สปาร์ตาผลักดันตัวเองจากความพ่ายแพ้ สร้างความนับถือขึ้นท่ามกลางคาบสมุทรเพโลพอนนีสขึ้นมาอีกครั้ง
13 สงครามช่วงที่ 1 จุดแตกหักของทั้งสองฝ่ายเริ่มขึ้นจากการที่นครโครินธ์ซึ่งเป็นสมาชิกของสันนิบาตเพโลพอนนีเซียนเริ่ม สร้างฐานการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแข่งขันกับนครเอเธนส์ จนต่อมาในปีที่ 431 ก่อนคริสต์ศักราช โครินธ์ ก็เกิดข้อพิพาทกลับนครโคซิรา ขณะที่โครินธ์ขอความช่วยเหลือไปยังสปาร์ตา จนในที่สุดก็ลุกลามเป็นสงคราม ระหว่างเอเธนส์กับนครรัฐอื่นๆในสันนิบาตเพโลพอนนีเซียน ในช่วงสิบปีแรกของสงครามคือปีที่ 431 - 421 ก่อนคริสต์ศักราช กำลังรบสำคัญของเอเธนส์คือ กองทัพเรือ ส่วนสปาร์ตาคือกองทัพบก ซึ่งใน ช่วงต้นของสงครามทั้งสองฝ่ายมีกำลังสูสีกัน ทว่า ต่อมาเกิดโรค ระบาดในเอเธนส์ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนหลายหมื่นคน รวมทั้งเพอริคลิส ผู้นำคนสำคัญของ เอเธนส์ ซึ่งผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งคนใหม่ไม่มีความสามารถเทียบเท่า ทำให้ภายในเอเธนส์เกิดแตกแยกเป็น สองพรรค คือพรรคประชาธิปไตยที่มีคลีออนเป็นผู้นำ กับ พรรคอนุรักษ์นิยมที่มีนิซิอัสเป็นผู้นำ พรรคประชาธิปไตยได้ชัยในยุทธการที่สแปคทีเรีย จับเชลยชาวสปาร์ตาได้สามร้อยกว่าคน ทว่าต่อมา กลับพ่ายแพ้ที่แอมฟิโปลิส จึงทำให้พวกอนุรักษ์นิยมเข้ายึดอำนาจภายใน จากนั้นนิซิอัสจึงได้เจรจาสงบศึกกับส ปาร์ต้า อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะสงบศึกกันแล้ว สองฝ่ายยังคงรบกันเป็นระยะ และในปีที่ 419 ก่อนคริสต์ศักราช เอเธนส์ก็ร่วมกับนครรัฐอื่นๆทำสงครามกับสปาร์ตาที่แมนดิเนียและในปีต่อมาฝ่ายสปาร์ตาก็ได้รับชัยชนะ
14 โครงการรบในชิลี ในปีที่ 17 ของสงคราม มีคำบอกมาสู่เอเธนส์ว่าพันธมิตรไกลเมืองหนึ่งในซิซิลี กำลังเผชิญการโจมตี จากซีราคิวส์ คนของซีราคิวส์เป็นกรีกเผ่าดอเรี่ยน (เช่นเดียวกับสปาร์ตา) แต่เอเธนส์และพันธมิตรของพวกเขา ในซิซิลีเป็นไอโอเนี่ยน ถึงจะดูแปลก กระนั้นก็ไม่เกินความคาดหมายที่เอเธนส์รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะช่วยเหลือ พันธมิตรของตน เอเธนส์ไม่ได้ทำเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น แต่ทำเพราะต้องการยึดซิซิลีทั้งหมด การยึดได้ ย่อมจะนำทรัพยากรจำนวนมากมาสู่เอเธนส์ เป็นทุนในการทำสงครามต่อไป อีกทั้งซีราคิวส์ เมืองหลักของซิซิลี ก็ไม่เล็กกว่าเอเธนส์มากนัก เอเธนส์จัดทัพเดินทางรบ นำโดยผู้นำรุ่นใหม่ของเอเธนส์ เขาคือ อัลซีไบอะดีส มีศักดิ์เป็นหลานของเพ อริคลิส เป็นคนฉลาดแต่เจ้าสำราญ เขาเข้ามารับหน้าที่ชุมนุมพลและเป็นผู้นำเดินทางคราวนี้ แต่ในคืนก่อนการเดินทาง รูปปั้นเฮอร์มิสในเอเธนส์ถูกเฉาะหน้า จับมือใครดมไม่ได้ มันเป็นลางร้าย ก่อนการเดินทางและเป็นอาชญากรรมร้ายแรงชนิดที่คนเอเธนส์ไม่มีทางให้อภัย น่าแปลกใจที่อัลซิไบอะดีสถูก กล่าวหาว่าเป็นผู้ทำอาชญากรรมทางศาสนานี้ อาจจะด้วยบุคลิกไม่เกรงกลัวใคร ทั้งๆที่เขาน่าจะโดนป้ายสี เพราะจะเป็นผู้เสียประโยชน์มากที่สุด อัลซิไบอะดีสต้องการให้มีการสอบสวนเพื่อที่จะได้ปกป้องตัวเองก่อน การเดินทาง อย่างไรก็ตาม ชาวเอเธนส์ยอมให้อัลซิไบอะดีสเดินทางไปก่อนโดยยังไม่ต้องรับโทษ แต่หลังไปถึงซิซิ ลีอัลซิไบอะดีสถูกเรียกกลับเอเธนส์มาสอบสวน ด้วยความกลัวว่าจะถูกยัดข้อหาอัลซิไบอะดีสจึงหนีไปยังสปาร์ ตาความเจ็บใจทำให้อัลซิไบอะดีสเล่าให้พวกสปาร์ตาฟังว่าพวกเอเธนส์กำลังวางแผนยึดซิซิลี ที่นี่เป็นจุดที่จะ กระจายอำนาจไปทั่วอิตาลีและคาร์เธจ อีกทั้งยังสามารถดึงทรัพยากรและทหารมาเพื่อพิชิตเพโลพอนนีสได้ ง่ายๆ ทัพเอเธนส์มีนิชิแอสมาแทนตำแหน่งที่อัลซิไบอะดีสรับผิดชอบ ประกอบด้วยเรือ 100 และทหารราบ เกาะเบา 5,000 ทหารม้าจำกัดอยู่ที่ประมาณ 30 ซึ่งเทียบไม่ได้กับทหารม้าทัพใหญ่ของซีราคิวส์ซึ่งได้รับการฝึก มาอย่างดี เมื่อไปถึงซิซิลี หลายเมืองที่นั่นรวมตัวกับทัพเอเธนส์ทันที แทนการโจมตีครั้งเดียว นิชิแอสถ่วงเวลา การรบไปจนปี 415 ก่อนคริสต์ศักราช ทัพซีราคิวส์แทบไม่เสียหายเลย แต่สำหรับเอเธนส์ เมื่อหน้าหนาวมาถึง ชาวเอเธนส์ก็ถูกบีบบังคับให้เข้าที่กำบังแทนการรบ
15 เอเธนส์ใช้เวลาในฤดูหนาวรวมพันธมิตร เตรียมการทำลายซีราคิวส์อีกครั้งความล่าช้าทำให้ซีราคิวส์ ได้รับความช่วยเหลือจากสปาร์ตา ผู้ส่งจิลิพปัสไปซิซิลีพร้อมกำลังเพิ่ม เมื่อมาถึง จิลิพปัสยังเรียกคนมาเข้า กองทัพจากเมืองซิซิลีหลายเมืองก่อนช่วยเหลือซีราคิวส์ จิลิพปัสกุมอำนาจบัญชาการพลซีราคิวส์เข้าต่อสู้ในการ รบหลายครั้งเป็นลำดับ ตีทัพเอเธนส์จนพ่าย ป้องกันไม่ให้พวกเขาบุกรุกเมืองสำเร็จ นิชิแอสส่งคำขอ ขอเพิ่มกำลังความช่วยเหลือไปยังเอเธนส์ เดมอสเธอนีสถูกเลือกให้นำเรืออีกกองไปยัง ซิซิลี เข้าร่วมกองกำลังของนิชิแอส เกิดสงครามตามมาอีก แต่พวกซีราคิวส์ก็ยังสามารถจัดการพวกเอเธนส์ได้ เดมอสเธอนีสโต้เถียงจะถอยกลับเอเธนส์ ตอนแรกนิชิแอสไม่ยอม แต่หลังจากพ่ายแพ้เพิ่มขึ้น นิชิแอสก็ดู เหมือนจะตกลงเพราะเห็นลางไม่ดีในรูปของจันทรคราส จนต้องถ่วงเวลาถอยความล่าช้ามีราคาแพง มันบีบ บังคับให้เอเธนส์ต้องเข้ารบในสมรภูมิทางทะเลที่สำคัญในท่าเรือใหญ่ของซีราคิวส์ เอเธนส์แพ้หมดรูป นิชิแอส และเดมอสเธอนีสต้องพากำลังที่เหลือหนีขึ้นแผ่นดิน เที่ยวหาเมืองพันธมิตรที่เป็นมิตรพอหลบภัยแต่ไม่ทันการ ทหารม้าซีราคิวส์ไล่ตามฆ่าไร้ปราณี พวกเขาฆ่าหรือตีตรวนจับทหารซึ่งครั้งหนึ่งเป็นกำลังของกองทัพอันทรง พลังให้กลายเป็นทาส
16 สงครามช่วงที่ 2 ในช่วงเวลานี้ เอเธนส์มีผู้นำคือ อัลซิเบียดีส ซึ่งเป็นคนฉลาดแต่เห็นแก่ตัวและไม่รักษาสัจจะ เขาเชื่อว่า ตราบเท่าที่สงครามยังคงอยู่ ตัวเขาก็จะยังได้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงพยายามทุกอย่างที่จะสร้างความขัดแย้งขึ้น เช่น การขยายอำนาจเข้าสู่ซิซิลีเพื่อเตรียมการปราบปรามนครซีรากูซา ซึ่งหากทำสำเร็จ เขาก็จะมีอำนาจเพิ่ม มากขึ้นด้วย การกระทำดังนี้ ทำให้สปาร์ตาไม่พอใจเป็นอย่างมากและก่อให้เกิดสงครามครั้งใหม่ กองทัพเรือ เอเธนส์ถูกโจมตีอย่างหนักที่ซีรากูซา เหล่าทหารถูกไล่ต้อนขึ้นบกและถูกบังคับให้เผาเรือของตน พวกแม่ทัพถูก จับและถูกสังหารเกือบหมด
17 การฟื้นตัวของเอเธนส์ ตามมากับความพินาศในการเดินทางไปรบที่ชิชิลี สปาร์ตาสนับสนุนให้พันธมิตรสมทบของเอเธนส์ทำ การกบฎ และที่จริงก็มีการกบฎจากพวกไอโอเนี่ยนเกิดขึ้นบ้างแล้ว พวกชีราคิวส์ส่งกองเรือของพวกเขาไปเพโล พอนนีเชี่ยน เวลานั้นเพอร์เซียตัดสินใจสนับสนุนฝ่ายเพลพอนนีเซี่ยนด้วยเงินและกองเรือในการรบเอเธนส์เจอ ศึกสองด้าน ทั้งจากพันธมิตรและกบฎภายในกลุ่มเมืองขึ้นของตนเอง เอเธนส์ยังรอดเนื่องด้วยหลายสาเหตุ อย่างแรก ศัตรูของพวกเขาขาดควทมคิคริเริ่ม โครินและซีราคิวส์ นำกองเรือลงทะเลอีเจี้ยนข้าเกินไป สปาร์ตาและพันธมิตรอื่น ๆ ก็จัดทหารหรือจัดการเรือช้า รัฐไอโอเนี่ยนที่ กบฎคาดว่าจะได้รการคุ้มครอง อีกทั้งหลายเมืองก็เปลี่ยนข้างมาอยู่ฝ่ายเอเธนส์ใหม่อีกครั้ง และพวกเพอร์เซียก็ ช้า กว่าจะส่งเงินและรือตามสัญญา ผลก็กลายเป็นแผนการรบที่น่าผิดหวัง แรกเริ่มของสงคราม ชาวเอเธนส์มีการจัดการรัดกุม กันเงินบางส่วน และ เรือ 100 ลำที่อาจจะต้องใช้ เป็นมาตรการสุดท้ายไว้ต่างหาก แต่ต่อมาเรือเหล่านี้ถูกนำออกใช้เป็นกองเรือรบหลักของเอเธนส์ตลอดสงครามที่เหลือ การปฏิวัติระบบ คณาธิปไตยเกิดขึ้นในเมืองเอเธนส์ กลุ่มคน 400 ยึดอำนาจ การทำเจรจาสันติภาพกับสปาร์ตาอาจเป็นไปได้ แต่กองเรือเอเธนส์ซึ่งขณะนี้อยู่ที่เกาะชามอสปฎิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในปี 411 ก่อนคริสต์ศักราช กองเรือกองนี้เข้ารบกับสปาร์ตาที่สงครามไซมี-Battle of Syme ทัพเรือแต่งตั้งอัลชิไบอะดีส-ซึ่งตอนนี้กลับมา เอเธนส์-เป็นผู้นำและทำการรบในนามเอเธนส์ อัลซีไบอะดีส แม้ขณะที่ถูกประณามว่าเป็นคนทรยศ แต่ก็ยังต้องแบกภาระของเอเธนส์ เขาป้องกันเรือ ไม่ให้เรือสปาร์ตาโจมตีเอเธนส์ แทนที่นั้น เขาช่วยฟื้นฟูประชาธิปไตยด้วยวิธีกดดันเบา ๆ นอกจากนี้เขายังเกลี้ย กล่อมกองเรือเอเธนส์ให้โจมตีสปาร์ตาในสงครามซิสซิคัส-Battle of Cyzicus ปี 410 ก่อนคริสต์ศักราช ในการ ต่อสู้เอเธนส์จัดการถล่มเรือสปาร์ตา และประสบความสำเร็จในการสร้างพื้นฐานทางการเงินของจักรวรรดิ เอเธนส์อีกครั้ง ระหว่างปี 410 ก่อนคริสต์ศักราช และปี 406 ก่อนคริสต์ศักราช เอเธนส์ชนะศึกอย่างต่อเนื่อง และใน ที่สุดการกู้คืนอาณาจักรส่วนใหญ่ของเอเธนส์ก็เป็นผลงานของอัลซีไบอะดีส ผู้ที่ถูกประณามว่าเป็นคนทรยศ
18 ชัยชนะของไลแซนเดอร์และการยอมแพ้ของเอเธนส์ เอเธนส์อาจมีชัยชนะอยู่เพียงช่วงหนึ่ง แต่ต่อมาชาวเอเธนส์ก็ไม่ได้เลือกอัลซีไบอะดีสเป็นนายทัพอีก เขาเนรเทศตัวเองออกจากเมืองและไม่เคยกลับมานำทัพเอเธนส์ในการต่อสู้อีกเลย ตอนนี้เองที่พวกสปาร์ต้า เป็นฝ่ายได้ชัยจากความชำนาญของนายพลไลแซนเดอร์-Lysander นายพลผู้นี้ชนะการต่อสู้ทางทะเลที่โนติอุมNotium ในปี 406 ก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาเอเธนส์มีชัยชนะที่สงครามอาร์จินูซี-Battle of Arginusae ทัพเรือสปาร์ตาเสียเรือ 70 ลำ ส่วน เอเธนส์เสียไป 25 ลำ แต่เพราะอากาศเลวร้ายจนพวกเอเธนส์ไม่สามารถช่วยเหลือทหารตกค้างหรือตามไป จัดการพวกสปาร์ตาให้สมแค้นได้ ทำให้เกิดความโกรธขึ้นในเอเธนส์และนำไปสู่การสอบสวน ผลการสอบสวน คือต้องมีการลงโทษประหารผู้บัญชาการทหารเรือชั้นนำ 6 คน ทั้งที่พวกเขาสู้ชนะสงคราม ความรุ่งเรืองของทัพเรือเอเธนส์ถูกคนเอเธนส์ทำลายเอง กองทัพเรือปราศจากผู้นำทางการทหารมี ความสามารถก็หมายถึงความเสื่อม ตอนนี้เอง สปาร์ตาฉวยโอกาสแล่นทัพเรือไปยังเฮลเลสปอนท์ แหล่งที่มาของข้าวปลาอาหารของ เอเธนส์ หวังใช้วิธีสร้างความอดอยากปิดสงคราม หรือไม่ก็เพื่อล่อทัพเรือเอเธนส์ออกจากท่าเรือเอเธนส์ไม่มี ทางเลือกก็ต้องตามทัพเรือสปาร์ตาเพื่อสกัด กลยุทธ์ยอดไหวพริบทำให้ไลแซนเดอร์แม่ทัพสปาร์ตาสามารถตี กองเรือเอเธนล์พ่ายในปี 405 ก่อนคริสต์ศักราช ณ สงครามอีกอสโพตาไม-Battle of Aegospotami ทำลาย เรือ 168 ลำ และจับลูกเรือเอเธนส์ได้ 3,000 หรือ 4,000 คน มีเรือเอเธนส์เพียง 12 ลำที่หนีรอด หลายลำในจำนวนนี้นำโดยนายพลโคนอน-Conon แล่นสู่ไซปรัส หนีการตัดสินที่สภาจะกล่าวโทษความพ่ายแพ้ บัดนี้ เอเธนส์ซึ่งเผชิญกับความอดอยากและเชื้อโรคจากการปิดล้อมยาวนาน ต้องยอมแพ้ในปี 404 ก่อนคริสต์ศักราช เช่นเดียวกับพันธมิตรของพวกเขาก็ยอมแพ้ในเวลาไม่นาน การยอมแพ้ทำให้เอเธนส์ต้อง ทำลายกำแพงยาว กองเรือและทรัพย์สินต่างแดนทั้งหมด โครินธ์และธีบส์เรียกร้องให้ทำลายเอเธนส์จนสิ้นซาก ผู้คนเอเธนส์ก็ต้องขายเป็นทาส ไม่น่าเชื่อว่าสปาร์ ตาไม่ยอม สปาร์ตาว่า ถึงแม้เอเธนส์จะผยองและเห็นแก่ตัว แต่ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่ยิ่งใหญ่ในช่วงที่เกิดภัยร้าย ที่สุดต่อกรีซมาแล้ว สปาร์ตาแก้ไขด้วยการเอาเอเธนส์ไปไว้ในระบบของตนเองนับว่าเอเธนล์โชคดีที่ "มีมิตรและ ศัตรูเช่นสปาร์ตา" สปาร์ตากลายเป็นเมืองที่มีเมตตา รบกับเอเธนส์ดุเดือดสูญเสีย แต่เมื่อถึงบทจบกลับกลายเป็นผู้ ปกป้อง ซึ่งทั้งโครินธ์หรือธีบส์เองก็ไม่สามารถท้าทายการตัดสินใจของพวกเขาได้
19 สงครามช่วงที่ 3 ในปีที่ 414 ก่อนคริสต์ศักราช หลังการพ่ายแพ้ที่ซีรากูซา เอเธนส์ได้ส่งกองทัพไปโจมตีราโคเนีย ทว่า ถูกแม่ทัพไลแซนเดอร์ของสปาร์ตาเอาชนะได้ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้อัลซิเบียดีส หมดอำนาจทางการเมือง ต่อมาทัพสปาร์ตาก็มีชัยชนะในการรบอีกครั้งที่เอกอสพอทาไม โดยสามารถทำลายทั้งทัพบกและทัพเรือของ เอเธนส์ ทั้งจับเชลยได้ถึง 3,000 คนทำให้นครเอเธนส์ต้องยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงในปีที่ 404 ก่อนคริสต์ศักราช การพ่ายแพ้ในสงครามเพโลพอนนีเซียน ส่งผลให้เอเธนส์ถูกลดอำนาจลงกลายเป็นนครรัฐชั้นสอง ภายใต้อำนาจของสปาร์ตาและได้รับอนุญาตให้มีเรือรบได้เพียง 12 ลำเท่านั้น ส่วนการปกครองก็เปลี่ยนเป็น คณาธิปไตย โดยยอมให้สปาร์ตามาตั้งป้อมค่ายได้และหากมีใครขัดขวางก็จะถูกขับไล่ออกจากเมือง ซึ่งแม้ว่าใน ภายหลังเอเธนส์ขับไล่อำนาจของสปาร์ตาออกไปได้และกลับมาปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง แต่ เอเธนส์ก็ไม่อาจกลับมารุ่งเรืองได้อีกเลยและสปาร์ตาก็กลายเป็นผู้นำของนครรัฐกรีซทั้งปวงโดยเด็ดขาด
20 หลังเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้นำของสปาร์ตาดำรงอยู่เพียงระยะสั้นๆ โดยสปาร์ตาได้เข้าไปยึดอำนาจใน นครธีบส์ แต่ก็ถูกต่อต้าน และในปี 371 ก่อนคริสต์ศักราช ธีบส์ ก็เอาชนะกองทัพสปาร์ตาได้ที่ลุคทรา จากนั้นส ปาร์ต้ายังต้องมาทำสงครามกับเพอร์เซีย เพื่อช่วยเหลือนครกรีซในเอเชียไมเนอร์ ซึ่งแม้จะเอาชนะทัพเพอร์เซีย ได้ แต่ก็ถูกกลอุบายของเพอร์เซียที่ใช้แผนสร้างความวุ่นวายภายใน จนทำให้สปาร์ตาต้องตกที่นั่งลำบากและ ยอมยกดินแดนกรีซในเอเชียไมเนอร์ให้เพอร์เซียไปในปี 387 ก่อนคริสต์ศักราช เพื่อยุติศึก ความพ่ายแพ้ดังกล่าวทำให้สปาร์ตาเสื่อมอำนาจลง จนถึงปี 362 ก่อนคริสต์ศักราช สปาร์ตาได้ทำ สงครามกับธีบส์ อีกครั้งที่แมนติเนีย และพ่ายแพ้ยับเยิน ทำให้สปาร์ตาสูญเสียอำนาจให้แก่ธีบส์ ทว่าธีบส์เอง ก็ รักษาความเป็นผู้นำเอาไว้ได้ไม่นานเช่นกัน หลังจากขุนพลผู้ฉกาจ เอปามินอนดัส ตาย สุดท้ายนครรัฐต่างๆของกรีซก็เข้าสู่ภาวะวุ่นวายและอ่อนแอลง จนถูกพวกมาซิโดเนีย จากดินแดนทาง เหนือเข้ามายึดครองในที่สุด
21 บรรณานุกรม คอสมอส. (2563). แกะรอยอารยะกรีก. (พิมพ์ครั้งที่2). กรุงเทพฯ: บริษัท ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006)จำกัด. คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์. (2550). ย้อนรอยอารยธรรมกรีก-โรมัน. กรุงเทพฯ: เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก. ดาณุภา ไชยพรธรรม. (2560). จากรุ่งเรืองสู่ล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน. กรุงเทพฯ: บริษัท ยูโรปา เพลส จำกัด. ฟิลิป มาทิสซาค. (2563). 24 ชั่วโมงในโรมโบราณ: ชีวิตในหนึ่งวันของผู้คนที่นั่น = 24 hours in ancient Rome: a day in the life of the people who lived there. กรุงเทพฯ: ยิปซี กรุ๊ป. ดาว ปิ่นเฉลียว. (2548). เปิดกรุตำนานกรีก - โรมัน. (พิมพ์ครั้งที่3). นนทบุรี: บริษัท พี.วาทิน พับลิเคชั่น จำกัด.
22